เทคนิคการรวม ธรรม เทพ จักรวาล ครั้งที่ 1

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เดมีดี, 9 กันยายน 2011.

  1. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    การเป็นอยู่ตามธรรมชาติและความจริง คือการรู้จักธรรมชาติ ความเป็นจริง เริ่มจากตัวเอง รู้จักตนเอง ยอมรับและอยู่กับความจริงของตัวเอง ไม่ต้องเสริมเติมแต่งเกินความเป็นจริง ยกเว้นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ เช่นความพิการที่สามารถทำให้ดีขึ้น เพื่อใช้ชีวิตให้เป็นปกติสุข ส่วนนี้ควรทำ แต่หากแต่งโน่นเสริมนี่ด้วยความไม่พอใจกับสิ่งตนมี เรียกว่าไม่เป็นธรรมชาติ รวมถึงคนมีโรคที่รักษาไม่ได้ต้องยอมรับและอยู่กับมันอย่างมีความสุข เพราะทุกข์ไปก็แก้อะไรไม่ได้ กลับทำให้ยิ่งทุกข์มากขึ้น จึงต้องยอมรับความจริง รวมถึงความสามารถของเรา ไม่ต้องไปอิจฉาริษยาผู้มีความสามารถดีกว่า นอกจากชื่นชม เป็นมิตร ให้คิดว่า เป็นเพื่อนกับคนดี คนเก่ง คนสวย คนหล่อ คนดี มีความสามารถ กับการเป็นศัตรู เป็นคนไม่รู้จักกัน อย่างไหนดีกว่ากัน อย่างไหนทำให้เรามีความสุข นั่นคือ การอยู่ตามธรรมชาติและความเป็นจริงของตนเอง และยอมรับความจริงของคนอื่นด้วยความชื่นชม พึ่งพา ยินดี
    การอยู่ตามธรรมชาติอีกอย่าง คือการเข้าใจธรรมชาติ ฝนตก ฟ้าร้อง ภัยพิบัติ สิ่งที่ทุกข์ไป กังวลไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ต้องยอมรับและปรับตัวเอง อยู่กับมันอย่าางมีสติ เตรียมตัวเองให้พร้อมจะอยู่กับสิ่งเหล่านั้นรู้ว่าฝนตกหากต้องไปไหนก็กางร่ม ใส่เสื้อกันฝนหากต้องไปทำอะไรที่จำเป็นหรือยอมเปียก ถึงเวลาหน้าน้ำที่น้ำอาจท่วมก็เตรียมตัวเอง ศึกษาหาข้อมูลว่า น้ำเคยท่วมอย่างไร ระดับไหน กี่วัน มีอะไรต้องเตรียมป้องกัน ยกหนี เตรียมสิ่งจำเป็นอะไรบ้าง อย่างไร เท่าไร ที่สามารถช่วยเหลือตัวเองก่อน บอกลูก บอกหลาน เพื่อนบ้าน พูดง่ายๆ ทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น แต่ต้องอยู่กับมันให้ได้ด้วยตัวเอง พึ่งตัวเองก่อน ในยามนั้น ทุกคนก็เจอภัยเหมือนกับเรา เดือดร้อนเหมือนเรา มีสิ่งของ ครอบครัว คนที่รักให้เป็นห่วง ดูแล เหมือนกัน กลัวภัยอันตรายเหมือนกันที่อยากช่วยก็ช่วยไม่ได้ อย่าไปต่อว่า โวยวาย ให้เสียกำลังใจกัน ให้คิดว่าถ้าเราเป็นเขา เราจะรีบเข้ามาช่วย หรือรีบกลับบ้านไปดูแลคนที่ต้องเป็นห่วงอยู่ ถึงยังไงก็โดนด่า โดนว่า
    การเข้าใจธรรมชาติอีกด้านหนึ่ง คือ เข้าใจในกระบวนการต่าง ๆ เช่น อยากมีสุขภาพแข็งแรง มีส่วนสัดที่ดีต้องออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ ใช้ประโยชน์จากการกิน การอยู่ ดูแลสุขภาพตนเอง การดื่มเครื่องดองของเมา ก็ดื่มแค่ให้สูบฉีดโลหิต ดื่มเพียงรสชาติ ไม่ใช่ดื่มจนทำลาย ทำร้ายตนเอง ทำอะไรต้องมีสติ อยากแต่งตัวสวย ทันสมัย ก็ต้องไม่ไปในที่มีความเสี่ยงต่ออันตราย หาวิธีหลีกเลี่ยงป้องกัน หากรู้ว่าเมาง่าย ก็ต้องรู้ว่าควรหยุดเมื่อไร หาที่พักให้ปลอดภัยดีกว่าไปถูกจับ เสี่ยงอุบัติเหตุ เป็นต้น
    การอยู่อย่างเข้าใจธรรมชาติ อยู่กับความเป็นจริง ปรับตัว เตรียมใจ เตรียมพร้อม ผ่อนหนักให้เป็นเบา เข้าใจเขา เอาใจเขามาใส่ใจเรา และเอาใจเราไปไส่ใจเขา รู้จักผ่อนทุกข์ก็เป็นสุขได้
     
  2. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    การได้ข้อชี้แนะ จากคุรุทางจิตวิญญาณ นั้น
    เราเองประมวนผล ในแบบฉบับของเราว่า

    ในการส่งจิตออกนอกนั้น ไม่เฉพาะแต่ส่งออกไปทาง อยาตนะ ทั้ง 6 แล้ว ยังสามารถส่งออกไปในขณะ ฝัน ที่เรียกว่านิมิตร อีกด้วย

    ดังเช่นคำที่ว่า ให้ดูจิตในจิต และ ดูกายในกาย

    การถูกหลอกล่อ ในนิมิตร ซึ่งเราเองจะกลายเป็นผู้กำหนดวิธี หลอกล่อ นั่นเสียเอง โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยว่า จิตใต้สำนึกของเรา ได้เป็นผู้ ทดสอบเราเสียแล้ว

    การเห็น ในปัจจุบัน ทั้ง ภายนอกและภายใน จึงต้องตั้งอยู่บนพื้นของ ความเป็นธรรมชาติและเป็นธรรมดา ไม่มีการปรุงแต่ง ใด ใด ไม่มีบวก ลบ ไม่มีร้อนหนาว มันก็จะกลายเป็นความเห็น โดยไร้การโต้ตอบไปโดยปริยาย
     
  3. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    ข้อคิดและการฝึก หากดูดี ดีแล้ว มันคือ กงล้อ หมุนซ้ำรอยเดิม และ ย้ำอยู่กับที่เท่านั้นเอง โดยที่เรา รู้ไม่เท่าทัน คิดและรู้สึกไปว่า คือการเรียนรู้ใหม่ แต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง

    อ้อ.... ถูกหลอกอีกแล้ว โง่อีกแล้ว ที่ยังคงหลงอยู่ใน วัฐจักรเดิม ๆ

    และ เริ่มต้นใหม่ อีกครั้ง อยู่เนือง ๆ เปลี่ยน บท เปลี่ยนคนเล่น เปลี่ยนวิธีการเล่น
    และ ก็ถูกเปลี่ยนให้หลงเข้าใจผิด ว่า ได้รับการพัฒนา ได้รับการเรียนรู้ สุดท้าย

    เมื่อรู้สึกตัวได้ทัน ก็โง่ไปเสียแล้ว พลาดท่า จิตสำนึกตัวเอง อีกครั้ง

    ถึงมีคำใบ้มาเสมอว่า ของจริงอยู่ภายใน ข้างนอก มันของหลอกลวง ถึงถามตัวเองเสมอ ว่าจะปรับสมดุลย์ในการใช้ชีวิตอย่างไร ให้จริงให้หลอกไม่ตีกัน และไม่เกิดการหลอกลวงผู้อื่นและตนเองในที่สุด

    สรุปสุดท้าย มนุษย์ ก็น่าเวทนา นัก ที่เกิดมาอยู่ในวงล้อแห่งกรรม
     
  4. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    กระทู้นี้เป็น กระทู้เล็ก ๆ ที่นำเอา ข้อมูลการปฎิบัติ เทคนิค การปฎิบัติ มาบอกกล่าว ซึ่งมันเป็นเรื่อง ที่อาจจะไปเหมือน กับใคร ก็ได้

    ดังนั้น ถ้าผู้เข้าเยี่ยมชม จะนำเสนอข้อคิดเห็น ข้อเปรียบเทียบ ข้อสักถาม อย่าไปคิดว่า จะถูกดูแคลน เพราะเรื่องแบบนี้ ตนเองจะรู้ดีที่สุด ว่าตกอยู่ในสภาพอะไร

    เราก็จะมาช่วยกัน เสนอแนวคิด ฝึกปฎิบัติ ให้ หลุดรอดออกจาก วัฐฐะ ต่อไป
     
  5. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    การระลึกชาติได้ในวัยเด็ก
    เมื่อคุณเป็นเด็กคุณยังมีจิตที่บริสุทธิ์ไม่เคยเชื่อมต่อกับสิ่งที่เราเรียกว่าชีวิตที่ผ่านมาหรือเหตุการณ์ที่ทำให้ความรู้สึกในชีวิตปัจจุบันของคุณหรือไม่ คุณมีความสามารถในการอธิบายถึงสิ่งที่คุณเห็น? ไม่ว่า'เรื่องราวของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่องในเวลาที่ความฝัน? คุณไม่วาดมันได้หรือไม่ มี'เพื่อนจินตนาการ'ที่แนบมากับมันได้หรือไม่


    เด็กสามารถระลึกชาติได้จริงหรือไม่? พวกเขาทำ แต่มักจะไม่ได้ภาษาหรือพื้นหลังที่จะอธิบายสิ่งที่พวกเขาเห็น
    เด็กบางคนมี'ความทรงจำที่'ชีวิตที่ผ่านมาภายในกลุ่มจิตวิญญาณในทันที (ครอบครัว) ของพวกเขาขณะที่คนอื่นเดินเข้าสู่ประสบการณ์ของคนอื่น ๆ มักจะเป็นส่วนหนึ่งของเชื้อชาติและชาติพันธุ์อื่น ๆ ในรหัสพันธุกรรมของพวกเขา

    มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะเข้าใจว่าทั้งหมดของความเป็นจริงมีสติจึงทำให้ผู้ใหญ่ไม่เพียง แต่จะมีสติเห็นสิ่งที่อยู่ในกริดของประสบการณ์ แต่เด็กเช่นกัน มันเป็นความสามารถในการจำสถานที่คนและเหตุการณ์ในรายละเอียดที่ชัดเจน
    บางคนฝันเหตุการณ์ที่คนอื่นเขียนเกี่ยวกับพวกเขาในขณะที่บางช่องให้เป็นศิลปะวรรณคดีและดนตรีหรือสิ่งที่จะได้รับ

    ความถี่ในการอย่างใดอย่างหนึ่งที่ชัดเจนและสูงกว่าของได้ง่ายขึ้นก็คือการแตะลงในระบบกริดและการเข้าถึงข้อมูลไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่ผ่านมาหรือมีประสบการณ์การขนาน ... หรือคนอื่นเป็นประสบการณ์ที่พวกเขากำลังดู มันเป็นอัตนัยและขึ้นอยู่กับความสามารถหนึ่งของการเดินทางกริดของสติ ...
    เหมือนฝันภาพลวงตา,​​ ฯลฯ

    วิธีการที่ถูกต้องเรียกคืนชีวิตที่ผ่านมาคืออะไร? นักวิจัยได้บันทึกเหตุการณ์ตามที่ระบุไว้โดยเด็กและผู้ใหญ่
    ที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องของการติดตามข้อมูลและการตรวจสอบมันเป็น

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ความจริงเป็นโฮโลแกรมสติในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สร้างตัวอักษรที่จะสร้างที่ระดับกายภาพที่เป็นโปรแกรมที่จะเชื่อว่ามันเป็นจริง

    ความจริงเป็นเกมของภาพลวงตา,​​ ความหลงการรับรู้และการหลอกลวง

    ความเป็นจริงเกี่ยวกับวิวัฒนาการของจิตสำนึกในความขลังของเวลา

    ความเป็นจริงเกี่ยวกับประสบการณ์และการเรียนรู้

    ความเป็นจริงโฮโลแกรมสติหรือภาพลวงตาโปรแกรม มันเป็นเสมือนการรับรู้ผ่านการรับรู้สติ เราอยู่ในการทดสอบ biogenetic ประสบการณ์ผ่านการสร้างอารมณ์ความรู้สึกของเวลาการเชิงเส้น ทั้งหมดทุกอย่างและถูกสร้างขึ้นโดยการออกแบบทางเรขาคณิตต่อไปนี้รูปแบบของเรขาคณิตศักดิ์สิทธิ์
    ความจริงจะปรากฏขึ้นเพื่อย้ายไปในแบบเชิงเส้นตรงสร้างภาพมายาของระยะเวลาที่รู้จักกันเป็นลูป / รอบของเวลาที่ล้อของกรรมหรือล้อขลัง

    ความเป็นจริงเริ่มต้นด้วยเสียง (horns, กรวย, ดนตรี, บันทึกจิตวิญญาณ) และแสง spiraling (สติ) ซึ่งสร้างกริดอย่างต่อเนื่องและไม่มีที่สิ้นสุดในที่จิตวิญญาณของความจริงประสบการณ์ มีความถี่กริดที่วิญญาณแนบสำหรับประสบการณ์ที่
    ใส่จิตวิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งหรือมากกว่ากริดที่พวกเขามีประสบการณ์พร้อมกัน

    ความเป็นจริงไม่เคยเหมือนกัน เช่นการไหลของสติส่วนรวมมันเป็นตลอดไปในการเคลื่อนไหวสร้างรูปแบบใหม่ของประสบการณ์ spirals สติเช่น Slinky, มิเรอร์การเคลื่อนไหวหรือวิวัฒนาการของดีเอ็นเอ
    สติของคุณสูงกว่าก็จะเคลื่อนขึ้น Slinky ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นความถี่การสั่น -- ได้เร็วขึ้นคุณคิดว่าการสร้างความเข้าใจที่สูงขึ้นโฮโลแกรมต้นแบบของความเป็นจริงและเพิ่มการสำแดงของคุณในความเป็นจริงทางกายภาพ

    ความคิด / สติของคุณเริ่มต้นที่ด้านบนและเกลียวลงไปที่อาณาจักรทางกายภาพที่มีการเคลื่อนย้ายจึงช้า -- คุณลืมธรรมชาติของความเป็นจริง -- สิ่งที่อยู่ข้างต้น
    ขณะนี้เป็นวิธีการที่เราสิ้นสุดการทดลองความเป็นจริงที่ย้ายทุกอย่างลงในความถี่สูงจนกว่าจะสิ้นสุดสภาพการมีอยู่จากทางกายภาพที่จะกลับไปมีสติและรวมแสง

    คนพื้นเมืองมีความเข้าใจเสมอว่าความจริงเป็นภาพลวงตาหรือความฝันที่เราจะปลุก

    ตลอดระยะเวลาการพยากรณ์นำข้อความเดียวกันเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นจุดสิ้นสุดของรอบของเวลาการพัฒนาเป็นสิ่งที่มากขึ้น -- บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่ทางกายภาพ -- ผลตอบแทนจากการให้แสง

    คุณเห็นมันรอบ ๆ ตัวคุณเป็นระบบกริดที่เชื่อมต่อทางกายภาพในการรักษาของเราจะถูกยุบ พร้อมกับนี้เราเป็นพยานการล่มสลายของระบบเศรษฐกิจการเมืองสังคมและศาสนา ภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเร่งชี้แจงให้จิตวิญญาณที่จะเข้าใจทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง
    เรากำลังทำงานอยู่ออกจากเวลาที่ซึ่งถือเป็นภาพลวงตาในสถานที่

    เราเป็นมนุษย์แสง (สติจากแหล่ง Creational) ที่มีประสบการณ์ทางกายภาพ, การพัฒนากลับไปยังรัฐธรรมชาติของเรา

    โปรแกรมความเป็นจริงนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อวาง / วิวัฒนาการ บางคนเชื่อมโยงนี้มี 2012 -- อุปมาอุปมัยสำหรับการย้อนกลับไปยังจิตสำนึก คุณไม่สามารถใส่วันที่ที่แน่นอนในนั้นถ้ามีเวลาเป็นภาพลวงตา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    สติคือทั้งหมดและทุกสิ่งในโฮโลแกรมเสมือนจริงของประสบการณ์ของเรานำเข้ามาในการรับรู้โดยสมองซึ่งเป็นเครื่องไฟฟ้าตลอดกาลรหัสดูสตรีมมิ่งสำหรับประสบการณ์และการตีความ สติมาจากแหล่งที่มาของพลังงานแสงเพื่อวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ การทดสอบ biogenetic ของมนุษย์เป็นสติออกมาในทางกายภาพโดยรูปแบบของเรขาคณิตที่ศักดิ์สิทธิ์ทำซ้ำในรอบที่เรียกว่าเวลา

    ความเป็นจริงเกี่ยวกับวิวัฒนาการของจิตสำนึกในความขลังของเวลา ที่จะกลายเป็นสติอย่างเต็มที่คือการจำได้ว่าคุณเป็นใครในฐานะที่เป็นของแสงที่ว่าทำไมคุณอยู่ที่นี่และที่เราจะบอกเป็นไปตามที่หมดสติร่วมกันที่จะสร้างโปรแกรมของความเป็นจริงที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตของคุณไปพร้อม ๆ กัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    รูปทรงเรขาคณิตที่เกี่ยวข้องกับศาสนารูปแบบสากลที่ศักดิ์สิทธิ์ใช้ในการออกแบบของทุกสิ่งที่ในความเป็นจริงของเราส่วนใหญ่มักจะเห็นในงานสถาปัตยกรรมและศิลปะศักดิ์สิทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อพื้นฐานที่อัตราส่วนเรขาคณิตและคณิตศาสตร์ดนตรี, และสัดส่วนยังพบในเพลงแสง, จักรวาลวิทยา ระบบค่านี้จะเห็นเป็นที่แพร่หลายแม้ในยุคก่อนประวัติศาสตร์, วัฒนธรรมสากลของสภาพของมนุษย์

    และถือว่าเป็นพื้นฐานในการสร้างโครงสร้างที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นวัด, มัสยิด, megaliths อนุสาวรีย์และคริสตจักรช่องว่างที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นแท่นบูชา, temenoi และ tabernacles; สถานที่ประชุมเช่นสวนศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้านสีเขียวและศักดิ์สิทธิ์หลุมและการสร้างงานศิลปะทางศาสนายึดถือ และการใช้สัดส่วนของ"พระเจ้า" หรือศิลปะรูปทรงเรขาคณิตศักดิ์สิทธิ์ตามอาจจะเป็นชั่วคราวเช่นการสร้างภาพ, ภาพวาดล้อทรายและยา

    รูปทรงเรขาคณิตศักดิ์สิทธิ์อาจจะเข้าใจว่าเป็นโลกทัศน์ของการรับรู้รูปแบบระบบที่ซับซ้อนของสัญลักษณ์ทางศาสนาและโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่เวลาและรูปแบบ ตามมุมมองนี้ในรูปแบบพื้นฐานของการดำรงอยู่มีการรับรู้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยการเชื่อมต่อด้วยเหล่านี้เชื่อ contemplates ลึกลับอันยิ่งใหญ่และการออกแบบที่ดี โดยการศึกษาลักษณะของรูปแบบเหล่านี้ในรูปแบบและความสัมพันธ์และการเชื่อมต่อของพวกเขาเข้าใจอาจจะได้รับเข้าสู่ความลึกลับ -- การปฏิบัติตามกฎหมายและตำนานของจักรวาล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    การระลึกชาติที่คิดว่าตัวเองเป็นบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงในอดีต
    บางคนเห็นว่าตัวเองเปลี่ยนเป็นตัวอักษรอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์หรือเป็นมากเป็นนิติบุคคลจากโลกอื่น ๆ และประวัติที่ไม่ได้บันทึก เป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด บางคนไม่เห็นว่าตัวเองเป็นพวกเขาถูก / มีประสบการณ์ในการอื่น แต่แตะลงหมดสติร่วมกันและมุมมองชีวิตผ่านสายตาของคนอื่น นี้ไม่ยากที่เป็นความเป็นจริงอะไรมากไปกว่าประสบการณ์ที่ใส่ใจ

    เมื่อคุณเห็นตัวเองเป็นคนที่มีชื่อเสียงในชีวิตที่ผ่านมาก็เป็นไปได้ที่คุณกำลังเล่นบทบาทในความเป็นจริงขนานนั้น แต่ก็มีโอกาสมากกว่าที่คุณมีการจับคู่กับเมทริกซ์ตารางของคุณกับที่ของบุคคลอื่นและเชื่อว่าคุณเป็นหนึ่งเดียวกัน
    .

    ที่มีชื่อเสียงสงครามโลกครั้งที่สองทั่วไปจอร์จแพ็ตตันเป็นผู้ศรัทธาหนักแน่นในการเกิดใหม่และพร้อมกับสมาชิกคนอื่น ๆ หลายครอบครัวของเขามักจะอ้างว่าได้เห็นสดใส, วิสัยทัศน์จริงของบรรพบุรุษของเขา
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Patton เชื่อว่าเขาคือการเกิดใหม่ของชาวนครการ์เธจฮันนิบาลทั่วไปเช่นเดียวกับการเกิดใหม่ของจูเลียสซีซาร์

    เฮนรี่ฟอร์ดเชื่อว่าเขาได้อาศัยอยู่ก่อนเมื่อเร็ว ๆ นี้ส่วนใหญ่เป็นทหารฆ่าตายที่การต่อสู้ของ Gettysburg
    อ้างจากซานฟรานซิตรวจสอบจาก 26 สิงหาคม 1928 อธิบายความเชื่อฟอร์ด :


    "ผมนำทฤษฎีของการกลับชาติมาเกิดเมื่อฉันถูก 26. ศาสนาที่นำเสนออะไรไปยังจุดที่. ทำงานได้แม้ไม่สามารถให้ฉันความพึงพอใจ. การทำงานเป็นไม่ได้ผลถ้าเราไม่สามารถใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ที่เราเก็บรวบรวมได้ในที่เดียวชีวิตในถัดไป. เมื่อฉันพบกลับชาติมาเกิด เวลามันก็เป็นถ้าฉันได้พบแผนสากลที่ผมรู้ว่ามีโอกาสที่จะทำงานออกความคิดของฉัน. คือไม่ จำกัด . ฉันไม่เป็นทาสให้กับมือของนาฬิกา. Genius คือประสบการณ์. บางคนดูเหมือนจะคิดว่า ว่ามันเป็นของขวัญหรือความสามารถ แต่ก็เป็นผลไม้จากประสบการณ์อันยาวนานในชีวิตหลาย. บางคนมีจิตวิญญาณที่มีอายุมากกว่าคนอื่น ๆ และเพื่อให้พวกเขาทราบข้อมูลเพิ่มเติม. การค้นพบของการเกิดใหม่วางใจของฉันที่ง่าย. หากคุณเก็บรักษาบันทึกนี้เป็น
    การสนทนา, การเขียนเพื่อที่จะทำให้ผู้ชายจิตใจของนที่ง่าย. ฉันต้องการจะสื่อสารกับคนอื่น ๆ ความสงบที่มุมมองระยะยาวของชีวิตให้กับเรา."
    Sadam Hussein เชื่อว่าเขากลับชาติมาเกิดของโบราณบาบิโลนกษัตริย์ Nebakanether

    บางส่วนของแก่นดนตรีของไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมาปล่อยให้เราสงสัยเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด โมสาร์ทได้แต่งซิมโฟนีทั้งหมดตามเวลาที่เขาหกปีเก่า Bach Beethoven และมีความคล้ายคลึงกัน
    อัจฉริยะในเกือบทุกรูปแบบศิลปะได้เกิดที่อายุแทบไม่น่าเชื่อแสดงใจโอนเอียงสำหรับความสามารถไกลเกินกว่าตรรกะมนุษย์

    เชื่อว่าคุณเป็นคนที่มีชื่อเสียงไปยังทฤษฎีของข้อมูล channeling จากวิญญาณอื่นหรือมุมมองของชีวิตของคุณที่มีประสบการณ์อื่นที่ออกมาอยู่ทั่วโลก
     
  10. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    อัตตาเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ภายในให้คุณทราบว่าเป็นความกลัวตามและรวมทั้งหมดของความคิดเชิงลบของคุณและความรู้สึก เพื่อให้เข้าใจถึงวิธีการที่อาตมาได้เกิดภายในจิตวิญญาณของคุณก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะให้ข้อมูลพื้นฐานบางอย่างเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการสร้างตัวเองและเหตุผลที่จิตวิญญาณของคุณถูกสร้างขึ้น

     
  11. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    มนุษย์ต่างดาวก็เป็นสุคติ
    มนุษย์เราเกิดมากับความทุกข์จริงๆ ตามที่พุทธศาสนาบอก แต่ศาสนาม่ได้บอกเรื่องมนุษย์ต่างดาว ซึ่งกล่าวถึงพรหมวิมาน แต่แอริช วอนดานิเกนส์ ได้พิมพ์หนังสือขายรวมทั้งหมดถึงกว่า 30 ครั้ง จำนวนมากกว่า 3,500,000 เล่ม ชื่อว่า "วิมานของเทวดา" (Erich Von Dinkies : Chariots of the Gods?, 1973) ว่าเทวดามาเยี่ยมเยียนโลกเราโดยวิมาน (UFO) มาตั้งแต่ก่อนที่เราจะมีโฮโม ซาเปียนส์เสียอีก แต่เท่าที่ผู้เขียนรู้ ทุกข์ของแต่ละคนก็ไม่ได้เหมือนกันเปี๊ยบ จริงๆ แล้วอาจพูดได้ว่าไม่เหมือนกันเลยก็ได้ นอกจากนี้ประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนจะบอกว่าแม้แต่วัยและวันเวลาก็ไม่เหมือนกัน สำหรับตัวเองที่พูดมานั้นขึ้นกับหน้าที่ โดยเฉพาะความรับผิดชอบของเราในเวลานั้นๆ ดังนั้นในช่วงที่เป็นเด็กและยิ่งเล็กเท่าไหร่? เรายิ่งไม่ค่อยมีทุกข์มากนัก เรียกว่าพอจะมีสุขบ้าง ที่พูดนั้นพูดไปตามประสบการณ์ความรู้สึกเท่านั้น ทั้งนี้และทั้งนั้นการดำเนินชีวิตของคนเรานั้นเต็มไปด้วยความทุกข์จริงๆ มากหรือน้อยเป็นไปตามความรู้สึกของผู้ที่กำลังได้รับความทุกข์อยู่ในขณะนั้นๆ แต่คนเราจะมีน้อยคนนักที่จะนั่งฟังความทุกข์ของคนอื่นด้วยความตั้งใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าตนเองก็มีทุกข์เหมือนกัน บทความของวันนี้จะมองในอีกแง่หนึ่งคือ มองว่าคนที่มีรูปกายคล้ายกับมนุษย์ หรือมนุษย์ต่างดาว ที่ผู้เขียนเชื่อว่ามีอย่างแน่นอนนั้น เมื่อตายไปแล้วก็ย่อมจะไปสู่สุคติได้เหมือนกันเช่นเดียวกับมนุษย์เราในโลกนี้ สุดแต่กรรมที่กระทำนั้น

    แต่ถ้าให้พูดอย่างหมดเปลือกจริงๆ เกิดมาเป็นมนุษย์ที่พุทธศาสนาถือว่าเป็นการเกิดใหม่ที่เป็น "สุคติ" หรือมีวิถีชีวิตที่จะรู้จักความสุขบ้าง แม้ว่าจะเป็นความสุขที่ส่วนใหญ่มากๆ มักจะไม่สมบูรณ์ เพราะส่วนมากเป็นความสุขทางกายภาพนำที่ตัวเองก็ไม่รู้และคิดว่าคือความสุขที่แท้จริง มีน้อยคนนักที่รู้ความสุข 2 ด้าน นั่นคือความสุขทางกายภาพและทางจิตภาพ แทบจะรู้สึกว่ามาพร้อมๆ กัน แต่จริงๆ แล้วโดยมีที่จิตมีก่อนและมีจิตนำ นั่นคือความสุขที่สมบูรณ์ และที่มีปีติหรือความซาบซ่านเป็นหัวหอก (blissful happiness) ซึ่งผู้ปฏิบัติสมาธิแทบทุกคนรู้จักดี แต่มีบางคนที่ไม่มีปีติเลยก็ได้ นอกจากนี้สุคติซึ่งเป็นการเกิดมาบนโลกนี้ของมนุษย์นั้นจะมีทางเลือกวิถีชีวิตของตัวเอง คือสามารถจะเลือกเส้นทางของจิตที่ดีงามอันเป็นเส้นทางแห่งจิตวิญญาณที่จะนำไปสู่สวรรค์หรือนิพพานได้ หรือเส้นทางแห่งความเลวร้ายที่จะนำไปสู่อบายหรือนรกได้ ซึ่งภพภูมิอื่นๆ ไม่มีทางเลือกเช่นนี้ การมีทางเลือกเช่นว่านี้ทำให้ นอกจากมนุษย์ภูมิซึ่งทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นภพภูมิแห่งกามเฉกเช่นสวรรค์ระดับล่างสุดๆ หรือชั้นระดับกามาวจรภูมิที่ถือว่าเป็นสุคติภูมิแล้วยังทำให้ผู้เขียนมีความสงสัยว่ากามาวจรภูมิจะเป็นภูมิที่มีภพเช่นโลกเราหรือดาวเคราะห์ในกาแล็กซีทางช้างเผือกเราหรือไม่? หรืออีกนัยหนึ่งเป็นมนุษย์ต่างดาวประเภทหนึ่งหรือไม่? ความสงสัยที่น่าเชื่อว่าอาจเป็นเช่นนั้นก็ได้ คือมีรูปกายอยู่ภายนอกและมีจิตอยู่ภายในหรือไม่? ทั้งนี้ น่าจะยกเว้นโดยเฉพาะภูมิหรือสวรรค์ที่ไม่มีรูป (อรูปพรหม) ทั้งหลาย ซึ่งท่องเที่ยวไปด้วยจิต (psychological) ที่ผู้เขียนเคยเขียนลงในไทยโพสต์เมื่อเร็วๆ นี้ ในเรื่อง "ประสบการณ์ใกล้ตายที่เป็นลบ" (FNDEs ซึ่งเป็นลบหรือ negative) ที่เป็นเสมือนนรกและพุทธศาสนาสายทิเบตก็บอกว่าน่าจะเป็นเหมือนๆ กับสวรรค์ชั้นพรหม คือเป็นการท่องเที่ยวไปด้วยจิตหรือเป็นความรู้สึกด้วยจิตที่ว่ามาข้างบนนั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ในสมัยโบราณเราจะเห็นว่าวิวัฒนาการของจิต - ที่จริงๆ แล้วผู้เขียนคิดอย่างแน่ใจคือการบริหารจิตไร้สำนึกของจักรวาลหรือจิตจักรวาลของคาร์ล กุสต๊าฟ จุง (universal unconscious continuum) เป็นจิตรู้หรือจิตสำนึกของคนแต่ละคนโดยสมอง ดังที่ผู้เขียนได้บอกไปแล้วหลายครั้งและจะย้ำอีก เพราะมันสำคัญมากๆ สมองนั้นสำคัญเหลือเกิน แต่สมองก็ไม่ใช่จิต และจิตรู้หรือจิตสำนึกนั่นเองที่มีวิวัฒนาการที่ทางศาสนาพุทธเรียกว่าวิญญาณขันท์ที่ 5 ที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการ "รู้" (cognition) ซึ่งนอกจากจะเป็นจิตสำนึกที่รู้แล้ว (ยามปกติ) แต่จิตไร้สำนึก (ยามไม่ปกติ เช่น อภิญญา (ESP) หรือในปรภพ) ก็รู้ได้โดยไม่ใช้สมอง ซึ่งคาร์ล จุง ก็เชื่ออย่างนั้น (unconsciousness cognition) ฉะนั้น วิวัฒนาการของจิตตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ามาแล้ว คนโบราณจึงมักจะเทียบกับสีต่างๆ ของสายรุ้ง ซึ่งมี 7 สี คือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง นั้น นับจากบนหรือสูงสุดลงมา แต่จะบวกสีสุดท้ายหรือสุดยอดเหนือสีม่วงเป็นสีขาวนวลหรือสีเหลืองที่กระจ่างใสที่เป็นสีของพระเจ้า หรือ (Buddha hood) อันแสดงถึงความจริงที่แท้จริง (Supreme Reality) แต่ผู้เขียนคิดว่าเราอย่าไปหลงสีต่างๆ จะดีกว่า เพราะเราอาจจะสับสน อย่าลืมว่าสีต่างๆ ที่แคลร์ เกรฟ (ตายแล้ว) และดอน เบ็ค ใช้ในสไปรัลไดนามิกส์ (spiral dynamics) นั้นได้สีต่างๆ มาจากการถ่ายรูปออร่า (aura)
     
  13. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    มนุษย์นั้นนอกจากคุณสมบัติที่กล่าวมาแล้วยังมีคุณสมบัติที่ทางวิชาการถือว่ามีศักยภาพที่แทบจะไม่มีขอบเขต ดูได้จากความคิดคำนึงจินตนาการดังที่ไอน์สไตน์ว่าไว้ว่า ความรู้กับสติปัญญาความฉลาดนั้นไม่สำคัญหากเทียบกับจินตนาการ เพราะว่าจินตนาการสามารถเดินทางไปรอบโลกได้ในทันทีทันใด จนมีผู้กล่าวว่าไม่มีอะไรที่มนุษย์จะทำไม่ได้ และนั่น - ทำให้มนุษย์ในอดีต เช่น ฟรานซิส เบคอน นักปราชญ์ผู้ทรงอิทธิพลยิ่งเมื่อ 500 ปีก่อน และมนุษย์ทั้งยุโรปในเวลานั้นได้พากันหลงตัวเอง (narcissism) น่าเกลียด (anthropocentric) จนกระทั่งมีบางคนที่มีจำนวนไม่น้อยในทุกวันนี้ (ราวๆ 5-15%) โดยเฉพาะคนในประเทศด้อยพัฒนาที่ด้อยการศึกษา - ไม่สามารถจะมีวิวัฒนาการตามธรรมชาติได้ตามปกติเหมือนเพื่อนเขา ซึ่งมีวิวัฒนาการสูงถึงขั้นระดับตัวตนและเหตุผล (self - rational) อันเป็นระดับชั้นที่คนส่วนใหญ่มีอยู่ในปัจจุบัน คนจำพวกนี้จะยังคงอยู่ระดับหรือชั้นแห่งการเจริญเติบโตวิวัฒนาการอยู่ในที่ขั้นต่ำที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ (mythic) นั่นคือยังอยู่ที่นิยายจักรๆ วงศ์ๆ คนจำพวกนี้คือพวกผู้คลั่งชาติ คลั่งศาสนา (fundamentalist) บ้าสี บ้าเข็มขัด หรือเครื่องหมายที่ตนอยู่ (membership) ซึ่งเหตุผลเป็นเรื่องรองๆ ทำไม? มนุษย์ถึงต้องเป็นเช่นนั้น? เพราะอะไรหรือ? เราถึงต้องเจริญเติบโตวิวัฒนาการเป็นขั้นเป็นตอน นั่นชี้บ่งว่าเป็นจิตที่คุมกายและพฤติกรรมทั้งหมด จริงๆ แล้วเกิดมาเป็นสัตว์โลกที่รวมทั้งมนุษย์แล้วไม่ว่าอะไรจะต้องขึ้นอยู่กับจิตทั้งหมดเลย ว่าเพราะมีจิตสัตว์โลกทั้งหลายโดยเฉพาะมนุษย์จึงต้องเรียนรู้ไปตามลำดับ? เราไม่รู้คำตอบเหล่านี้ ซึ่งไม่ง่ายเลย แต่น่าจะอยู่ที่จิตไร้สำนึกหรือจิตจักรวาล (self) รูปแบบต่างๆ เช่น ความคิด อารมณ์ที่ต้องรอคอยช่วงเวลาในการวิวัฒนาการไปตามช่วงหนึ่งๆ เปลี่ยนแปลง คือรอให้จิตไร้สำนึกของจักรวาลที่ว่านั้นให้เป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้เสียก่อน? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ รูปและช่วงเวลาหรือวัยและอายุก็มีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งกับมนุษย์และจักรวาลที่มีรูปมีกายทั้ง 2 เลย และวิวัฒนาการก็คือ วัยหรือช่วงเวลาโดยธรรมชาติของจิตไร้ของจักรวาลที่เข้ามาอยู่ในกายหรือสมองของมนุษย์ (self) จะเปลี่ยนแปลงเป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้เท่านั้น มนุษย์จึงมีความสำคัญที่สุดในประเด็นของการเรียนรู้เฉพาะด้านวิวัฒนาการสำคัญกว่าภพภูมิใดๆ ทั้งสิ้นในประเด็นนี้ ส่วนประเด็นของความทุกข์หรือความสุขที่แท้จริงเป็นคนละประเด็น สุคติคือภพภูมิของการเรียนรู้และวิวัฒนาการที่สุดท้ายแล้วจะต้องเป็นบูรณาการ และนั่นคือสิ่งที่ผู้เขียนคิดมาตลอดถึงเหตุผลที่ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ที่จะเลือกเส้นทางแห่งสภาวะจิตวิญญาณอันเป็นบูรณาการ ซึ่งก็คือนิพพานนั่นเอง
     
  14. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    "สุคติ" นั้นคือวิถีชีวิตที่ดี ซึ่งเป็นตรงกันข้ามกับทุคติอันเป็นวิถีชีวิต อันได้แก่ อบายทั้งหมด อย่างไรก็ตาม มนุษย์และเทวดาระดับล่างหรือกามาวจรภูมิที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นภพภูมิ ก็คือมนุษต่างดาวที่อยู่ในสวรรค์ชั้นล่างที่สุดที่ 6 ขั้น เพราะว่ายังเกี่ยวข้องกับกามและคิดว่าตนมีหนทางที่จะเลือกทางเดินของตน มีทางเลือกของตนนั้น ผู้เขียนคิดเอาเองว่า มนุษย์และเทวดาหรือมนุษย์ต่างดาวคิดว่าตนเป็นผู้เลือกนั้น สุคติจึงน่าจะเป็นดาวเคราะห์ดวงไหนก็ได้ เพราะเป็นกามาวจรภูมิเหมือนๆ กัน จริงๆ แล้วล้วนแล้วแต่กำหนดด้วยการกระทำหรือกรรมสัตว์โลกหรือมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่ว่ามนุษย์นั้นๆ จะเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือไม่? เพราะทั้งมนุษย์และเทวดาระดับล่างนั้นๆ ต่างก็มีทั้งจิตที่เป็นกุศลและจิตที่เป็นอกุศลเท่าๆ กัน ต่างก็มีกรรมที่เป็นของตนเองและกรรมร่วมโดยรวม โดยเฉพาะในชั้นล่างๆ เช่น ชั้นหรือระดับที่มี 4 กษัตริย์ปกครอง ชั้นหรือระดับที่มีเป็นเทพอสูร แต่ชั้นหรือระดับที่อยู่สูงกว่าจะมีจิตที่เป็นกุศล (กุศลจิต) เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (อภิธรรมมัตสังคาหะ)
    [​IMG]
     
  15. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    มนุษย์ในโลกนั้นหรือมนุษย์ต่างดาวเกิดอยู่ในสุคติก็จริง แต่ "มีที่มา" ไม่เหมือนกัน ที่มนุษย์จึงมีหลายๆ ที่มา บางคนจึงสงสัยและมักถามว่าประชากรในโลกมาจากไหนถึงได้มีมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ และหมูเห็ดเป็ดไก่มาจากไหนคนจึงกินไม่หมดสักที ทั้งที่ประชากรของโลกก็เพิ่มทวีมากขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ก็ขอตอบรวมกันเสียเลยว่า จักรวาลนี้จักรวาลเดียวมีคลื่นอนุภาคถึง 10 ยกกำลัง 80 ซึ่งเมื่อสภาพคลื่นได้สลายตัว (wave-function collapse) ก็จะเหลืออนุภาคหรือสสารที่ประกอบเป็นวัตถุเนื้อเยื่อเต็มจำนวนนั้น - ทีนี้พุทธศาสนาบอกว่าทุกๆ สิ่งทุกๆ ปรากฏการณ์มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตล้วนประกอบด้วยรูปกับนามเท่านั้น และรูปกายของชีวิตทั้งหลายทั้งปวงวิวัฒนาการมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต โดยมาจากจิตปฐมภูมิที่แยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดนั้น - โดยควอนตัมเม็คคานิกส์และพุทธศาสนาที่กล่าวเหมือนกันว่าได้มาจากความว่างเปล่าทางควอนตัม (quantum vacuum) หรือสุญตา เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตตั้งแต่เม็ดกรวด เม็ดทราย พืชพันธุ์ต้นไม้ มด ปลวก หรือแมลง จนกระทั่งกุ้ง ปลา ลิง ค่าง บ่าง ชะนี ล้วนมีสิทธิ์ที่จะมีวิวัฒนาการได้ทั้งนั้น นอกจากนี้ผู้ใดที่หลุดจากกรรมหรือใช้กรรมหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือนรกชั้นไหนก็ย่อมจะเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อการเรียนรู้ และเพื่อแสวงหาจิตวิญญาณนิพพาน (spirituality-nirvana) กันทั้งนั้น อย่าลืมว่าทางพุทธศาสนานั้นการเกิดใหม่ไม่ว่าในภพภูมิไหน? หรือภพไหน? หรือภูมิอะไร? ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงต่อเนื่องกัน ดังนั้นวิวัฒนาการไม่มีขาดตอน เพียงแต่การเจริญเติบโตวิวัฒนาการนั้นเป็นเรื่องของกายอย่างเดียวก็ได้ เป็นเรื่องของจิตอย่างเดียวก็ได้ หรือทั้งกายและจิตก็ได้ ดั่งสวรรค์ชั้นล่าง ชั้นกามาวจรภูมิ หรือมนุษย์ต่างดาวอย่างในบทความของวันนี้ ทั้งนี้ ย่อมเป็นไปตามกรรมที่ตนกระทำนั้นๆ.
    [​IMG]
     
  16. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    ได้ข้อสรุป เป็นเหตุให้ทุกอย่างต้องเลื่อนไป..........
    จึงได้ข้อคิดว่า หยุด และ ยุติ ภายนอก ด้วย จิตเรา เคลื่อนย้าย ต่างหน้าที่ ไม่ข้องแวะ ไม่เจรจา มา ผ่าน

    เข้าสู่วิถี การรวมสาม กายในกาย จิตในจิต พันธุกรรมในพันธุกรรม ให้สอดประสานเป็นหนึ่ง ทั้งรับและรุก สู่ สมดุลย์ ( การปรับจะเกิดแรงเหวี่ยง ที่เร็วและรุนแรง เพื่อการเคลื่อนย้าย ...............จนกว่าจะเข้าสู่การสมดุลย์ที่แท้จริง เหมือนเลียนแบบจักรวาลกลาย ๆ เลยนะเนี่ย )

    เพราะ มัวแต่เป็นเล่น แยก กันเดิน แยก กันทำ มันก็ไม่เป็นท่า พลาดพลั้งได้บ่อย ๆ
    คราวนี้ ก็ต้องเข้าสู่ เอกอัตคะตา (ไม่รู้แปลว่าอะไร มีความหมายอะไร แต่แค่รู้ ว่าน่าจะเรียกแบบนี้ ผู้รู้ช่วยบอกหน่อยค่ะ)

    วิถี ไม่ตอบสนองกับภายนอก ไร้ภาษา แค่รับรู้.............ปรับคลื่น......

    เดมีดี
     
  17. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    จุดเด่นของคำสอนของพระพุทธเจ้า (พรหมจรรย์)
    คำสอนของพระพุทธเจ้า หรือ ที่พระองค์เรียกว่า "พรหมจรรย์" หรือ "ธรรมวินัย" มีจุดเด่น คือ เป็นวิธีดำเนินชีวิต ที่ค้นพบด้วยมนุษย์เอง ด้วยเรี่ยวแรงและสติปัญญา ของมนุษย์เอง มิใช่การดลบันดาลของเทพสูงสุด ที่สังคมสมัยนั้น (หรือสมัยไหน ก็ตาม) เรียกว่า "เทพเจ้า เทวดา หรือพระพรหม" มนุษย์นี่้แหละ จะบรรลุความสุข ที่แท้จริงได้ ก็ด้วยความสามารถ (การกระทำ = กรรม) ของตนเอง ด้วยเรี่ยวแรง ความพยายาม (วิริยะ) ของตนเอง มิใช่ด้วยการอ้อนวอน บูชาบวงสรวง หรือที่เรียกว่า เซ่นสรงบูชายัญ ทุกคนสามารถเข้าถึงความสุขนี้ได้ด้วยตนเอง ในปัจจุบันชาตินี้ มิใช่เข้าถึงหลังจากตายแล้ว คือ ประสบได้ทั้งที่ยังมีชีวิตเป็น ๆ อยู่นี่แหละ (คำสอนของศาสดาอื่น จะประสบสุขได้ ต้องหลังจากตาย คือ เข้าอยู่กับเทพสูงสุดชั่วนิรันดร์ = เทียบให้เห็นเท่านั้น มิได้ประสงค์ว่า คำสอนใด ดีเด่น หรือด้อยแต่ประการใด อันนี้อยู่ที่สติปัญญาของแต่ละคนจะเข้าถึงได้ จีงได้บอกว่า ทุกศาสนา มีจุดหมายสูงสุด ไม่เหมือนกัน)
    และคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มิได้จำกัดไว้เฉพาะนักบวชเท่านั้น หรือ จำกัดเฉพาะเพศใดเพศหนึ่ง วัยใดวัยหนึ่ง เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย จะเห็นว่าพระองค์ ทรงวางระบบไว้ทั้งแก่พระภิกษุและฆราวาส จนพระองค์ตั้งขึ้นเป็นบริษัท 4 คือ ภิกษุ (รวมสามเณรด้วย) ภิกษุณี (รวมสามเณรีด้วย = นักบวชแบบพุทธ ที่เป็นผู้หญิง) อุบาสก (ฆราวาสที่เป็นผู้ชาย ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ ที่ยอมรับนับถือวิธีดำเนินชีวิตแบบพุทธ) อุบาสิกา (ฆราวาสที่เป็นผู้หญิง ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ ที่ยอมรับนับถือวิธีดำเนินชีวิตแบบพุทธ) ซึ่งพระพุทธองค์ ตรัสว่า์ เพียงขาดบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ก็ยังไม่ชื่อว่า พรหมจรรย์นี้ เจริญบริบูรณ์เป็นปึกแผ่น ซึ่งพระเจ้าทรงตรัสไว้ตั้งแต่เริ่มส่งพระสาวกรุ่นไปแรกออกประกาศคำสอนนี้ ว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงจาริกไป เพื่อประโยชน์และความสุข ของชนเป็ฯอันมาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุข แก่ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย
     
  18. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    พุทธศาสนา สอนไว้ว่า อยากได้อะไร ต้องทำเอาเอง (กรรม) ด้วยความเพียรพยายาม ของตนเอง (วิริยะ) ไม่ใช่อ้อนวอน บวงสรวงเทพเจ้าต่าง ๆ ซึ่งแม้พระภิกษุในพระพุทธศาสนาเอง ในทุกวันนี้ ก็สอนประชาชน ออกนอกลู่ นอกทาง เช่น ไปสอนให้บูชาพระพิฆเนศวร์ (ที่จังหวัดแถวภาคตะวันออก) เพื่อให้ร่ำ ให้รวย พึงทราบว่า นั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า นั่นไม่ใช่พุทธบริษัท ไม่ใช่พระภิกษุในพระพุทธศาสนา เป็นแต่อาศัยพุทธศาสนาหากิน คนส่วนมาก แม้แต่ชนชั้นปกครอง ก็บอกว่า ไม่ควาาเชื่อของเขา ไปห้ามไม่ได้ นั่แหละครับ เป็นสิ่งที่มอมเมา ทำให้ประชาชนงมงายมากกว่าล็อตเตอรี่รัฐบาล ควรจะสังคายนา พระสงฆ์ให้หันมาสอนตามหลักพระพุทธศาสนาอย่างเอาจริงเอาจัง จึงจะเกิดความสุขอย่างแท้จริง
     
  19. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ความพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่<O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าสอนเราไว้ว่าบุคคลที่รวยที่สุดคือ บุคคลที่พึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ผมขอย้ำในคำว่าสิ่งที่ตนมีอยู่ ซึ่งรวมถึงพละกำลังที่เรามีอยู่ในตัวเราทั้งหมด ทั้งที่ได้ใช้แล้วและที่ยังไม่ได้ใช้ เมื่อเราพยายามจนหมดแรงกำลังที่เรามีแล้ว ผลที่ได้รับถึงจะไปไม่ถึงที่ปารถนา แต่ว่าเป็นผลดีที่สุดที่เราจะมีได้ ตามบุญเก่าและกรรมใหม่ของเรา เราควรจะพึงพอใจ ในผลที่เราได้มา ถ้าเราทำได้ฉะนี้ เราจะมีความสงบใจ สบายใจ ไม่ฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ ไขว่คว้าจะเอาเดือนและดาว โกรธโชคชะตา เกลียดชัง อิจษาริษยา คนอื่นที่ดูประหนึ่งจะมีความสุข ความสำเร็จมากกว่า ถ้าเราพึงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ เราไม่แคร์ว่าคนอื่นเขามีอะไร และเขาก็จะไม่แบ่งปันของเขามาให้เรา เราจะไปสนใจของเขาทำไม เขาสุขตามประสาเขา เราสุขตามประสาเรา ถ้าเราบรรลุถึงขั้นนี้เราเป็นคนอิสระเสรีทางด้านจิตใจ และมีดวงตาภายในอันสว่างไสว จะมองเห็นตัวเองได้ทะลุปุโปร่ง รู้เห็น ข้อดีข้อเสีย ข้อเก่งข้อด้อย ของตนเอง สามารถเดินทางสายกลางได้ดี วางตนไม่ให้ประมาท ถือได้ว่าเรามีเนตรมนีที่มีค่าสุดยอด พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าคนที่พึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่นั้นเป็นคนรวยที่สุด<O:p</O:p
    การรู้จักคน<O:p</O:p
    การที่เราจะรู้อะไรเราใช้ระบบประสาทรับความรู้สึก(Sensory peripheral nervous system) สมองที่แปลข้อมูลจากระบบประสาทรับความรู้สึก (Sensory Cortex) สมองความจำ (Temporal cortex) และสมองจิตและอารมณ์ (limbic system) <O:p</O:p

    ระบบประสาทรับความรู้สึก<O:p</O:p


    ระบบนี้มี 5 ระบบย่อย ผิวหนังมีประสาทรับการสัมผัสอูณภูมิและความเจ็บป่วด ข้อรับประสาทการสมดุลย์ (Balance) และการสั่น (Vibration) <O:p</O:p


    ตา รับภาพ หู รับเสียง ส่วนในสุดของหูควบคุมการสมดุลย์ ลิ้น บอกรสชาติ และ จมูกบอกกลิ่น<O:p


    ข่าวสารพวกนี้จะถูกส่งเข้าไปตามเส้นใยประสาทที่เรียกว่า Afferent ไปสู่สมองประสาทความรู้สึกในสมอง Parietal ซึ่งจะแปลข่าวสารนั้นว่าเป็นอะไร เช่นภาพที่เห็นเป็นคนหรือสุนัขเป็นต้น แล้วส่งข่าวสารต่อไปที่สมอง temporal ซึ่งเป็นสมองความจำเพื่อจะขยายความว่าภาพที่เห็นนั้นมีคุณภาพอย่างไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นสุนักข์เขามีความจำต่างๆเกี่ยวกับสุนักข์ บางคนมีความจำดีๆ เกี่ยวกับสุนักข์ บางคนมีประสพการณ์ไม่ดีกับสุนักข์ ความจำนี้จะถูกส่งต่อไปที่จิตใต้สำนึก เพื่อนำเอาปฏิกิริยาทั่งอารมณ์และกายาภาพออกมาโต้ตอบสถานการณ์ จิตใต้สำนึกอยู่ในสมอง temporal และ Limbic <O:p


    จากความรู้ข้างบน เราจะเห็นได้ว่าเราจะรู้จักคน เราต้องมีระบบประสาทรับความรู้สึกเป็นปกติ สมองเป็นปกติ เรื่องที่จำไว้เป็นปกติและมีประสพการณ์เป็นปกติ เรื่องที่จำและประสพการณ์ที่มีอิทธิผลต่อความรู้สึกนึกคิดและปฏิกิริยา ตอบสนองเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อ 5ปีแรกของชีวิตเมื่อสมองกำลังเจริญเติบโต หลังจากอายุ5ขวบไปแล้วสมองหยุดโต แต่ยังรับความรู้ได้ โดยการแตกรากของเซลล์สมอง เพื่อเก็บงำข้อมูลใหม่ๆ ดังนั้นชีวิตครอบครัวของเด็กเมื่อแรกเกิดถึง5ขวบ มีความสำคัญต่อการพัฒนาของบุคลิกภาพและความสามารถในการเรียนรู้ ถ้าการเติบโตเมื่อ5ปีแรกเป็นปกติ อายุต่อไปโดยส่วนใหญ่จะเป็นปกติด้วย<O:p


    หากว่าเรามีปัญหาในการดูคนไม่ออก บอกไม่ถูกว่าคนใหนดีคนใหนร้ายและมีปัญหาในการสัมพันธ์กับบุคคลอื่น นั้นคือเราด้อยความสามารถในการรู้จักคน วิธีแก้ไข<O:p</O:p


    1. มีความเชื่อมั่นในตนเอง ถ้าสัญชาติญานเราบอกว่าคนใหนจะไม่ดีต่อเรา ตีตัวออกห่างทันที พระพุทธเจ้าสอนเราไว้ว่า เดินคนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจยังสบายกว่าเดินกับคนโง่คนชั่ว เพราะเขาจะนำมา ซึ่งความทุกข์ให้กับเรายิ่งนัก<O:p</O:p


    2. ถ้าคบกันไปแล้วอย่าประมาท ความประมาทคือทางแห่งความตาย อย่าสัญญาผูกมัดรัดตัว โดยเฉพาะสัญญาในสิ่งที่เราไม่อยากทำ หรือทำได้ยาก ศึกษาพิจารนาบุคคลนั้นอยู่เสมอ โปรดจำภาษิตโบราณที่ว่า น้ำลึกหยั่งได้ น้ำใจหยั่งยาก ถ้าชอบกันแล้ว ก็เพียงแต่รักอย่าหลง อย่าปากพล่อย คิดก่อนพูด ถ้าพูดดีไม่ได้อย่าพูดจะดีกว่า วาจาเป็นของมีค่าไม่ใช้ของราคาถูกคนร่ำรวยเพราะปากมีมาก คนตายเพราะปากก็มีมาก ดังนั้นสุภาษิตโบราณจึงกล่าวว่า ปากเป็นเอกครับ สันพันธุ์ต่างๆขึ้นอยู่กับสัจจะและวาทะ<O:p</O:p


    3. การวิเคราะห์จิตเราต้องวิเคราะห์ตัวเราเองให้รู้จักตัวเองดังที่กล่าวข้างต้น การวิเคราะห์ที่สำคัญ คือการวิเคราะห์ประวัติของเราว่าบุคคลสำคัญในชีวิตเริ่มแรกของเรา มีอิทธิผลต่อความรู้สึกนึกคิดและการประพฤติของตัวเราอย่างไร ยกตัวอย่างเช่นถ้าเราไม่ถูกกับพ่อเราเมื่อเราเป็นเด็กๆ และเราไม่ชอบเจ้านายผู้ชาย เราควรจะวิเคราะห์ว่าความรู้สึกของเจ้านายผู้ชายนี้มีหลักฐานจากความเป็นจริงในปัจจุบัน หรืออุปทานจากประสพการณ์ในวัย เด็กกับพ่อของเรา ถ้าเรามีความรู้สึกว่าคนไม่ชอบเรานั้นมีมูลความจริงในปัจจุบัน หรือมาจากความรู้สึกเก่าว่าพ่อแม่ไม่รักเรา<O:p


    ถ้าเรามีปมด้อยว่าเราไม่ดีเท่าคนอื่นเขาเพราะว่าเราไม่เคยได้รับคำชมเชย จากพ่อแม่ผู้ใหญ่ในบ้านเมื่อทำดี แต่โดนตำหนิขนาดหนักเมื่อทำผิดเพียงเล็กน้อย<O:p


    4. เมื่อมีข้อสงสัยจงถาม เช่นเรามีข้อสงสัยในตัวบุคคลใดว่าเขาชอบไม่ชอบเรา แทนที่จะนั่งโกรธนั่งเกลียดอยู่ในใจพูดกับคนนั้นดีๆ ถามเขาเมื่อสดวกว่าบุคคลนั้นชอบไม่ชอบเขาอย่างไร ทำใมถึงไม่ชอบเขาไม่ชอบเขาเรื่องอะไรและมีข้อแนะนำอย่างไรบ้าง<O:p</O:p


    การรู้จักกัน ได้สนทนาปราสัยซึ่งกันและกันเป้นวิธีเดียวที่จะรู้จักกัน ดังสุภาษิตโบราณว่า อย่าตัดสินใจว่าหนังสือเล่มหนึ่งว่าดีไม่ดี โดยดูแต่หน้าปก ต้องอ่านเนื้อเรื่องแล้วค่อยตัดสินใจ


    <O:p

    </O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2011
  20. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    รู้คน หมายถึงความรอบรู้เกี่ยวกับคนร่วมงาน นักบริหารต้องรู้ว่าใครมีความสามารถในด้านใด เพื่อจะได้ใช้คนให้เหมาะกับงาน นอกจากนั้นนักบริหารต้องรู้จักจริตของคนร่วมงาน เพื่อใช้งานที่เหมาะสมกับจริตของเขา


    จริตได้แก่คนที่ประพฤติบางอย่างเคยชินจนเป็นนิสัย จริงจึงหมายถึงประเภทนิสัยของคนมี ๖ แบบด้วยกันคือ๖

    ๑) ราคจริต คือพวกรักสวยรักงาม มักทำอะไรประณีตเรียบร้อยและใจเย็น คนพวกนี้ชอบทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดประณีต

    ๒) โทสจริต คือพวกใจร้อน ชอบความเร็วและมักหงุดหงิดง่ายถ้าถูกขัดใจ คนพวกนี้ชอบทำงานที่ต้องใช้ความรวดเร็ว

    ๓) โมหจริต คือพวกเขลาซึม ขาดความกระตือรือร้น ทำงานอืดอาด เฉื่อยชา ชอบหลับในที่ทำงานเป็นประจำ

    ๔) สัทธาจริต คือพวกเชื่อง่าย เวลามีข่าวเรื่องแปลกแต่จริง-เชื่อหรือไม่ พวกนี้จะเชื่อก่อนใคร คนพวกนี้ถ้าชอบใครจะทำงานให้เต็มที่

    ๕) พุทธิจริต คือพวกใฝ่รู้ เป็นคนช่างสงสัย รักการศึกษาหาความรู้ มักต้องการรายละเอียดมากกว่าคนอื่น คนพวกนี้ถนัดทำงานด้านวิชาการ

    ๖) วิตกจริต คือพวกช่างกังวล เป็นคนไม่กล้าตัดสินใจมักปล่อยเรื่องค้างไว้เป็นเวลานาน โดยไม่ย่อมลงนามหรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเราต้องการคนใส่เบรกให้กับการตัดสินใจของเราบ้าง ลองปรึกษาคนพวกนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...