หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. สมาชิกธรรม

    สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    ด้วยความยินดี.....และยินดีต้อนรับคุณสายรุ้งสู่ นักรบธรรมแห่งภูดานไห ศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช นะครับ

    สวัสดี ดีใหม่
     
  2. manopk

    manopk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +61
    สวัสดีครับ
    อนุโมทนากับคุณศรุตและครอบครัวด้วยนะครับขอให้เจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม
     
  3. nakorn_nd

    nakorn_nd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +174
    สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน

    วันนี้นครมีโอกาสได้พบกับพี่สมบัติ เป็นครั้งแรกแบบตัวจริงเสียงจริงและพี่สมบัติได้พานครไปกราบพระทันตธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสปะ นับเป็นวาสนาของนครอีกครั้งครับที่ได้ไปกราบ ต้องกราบขอบคุณพี่สมบัติด้วยนะครับ สำหรับความกรุณาครั้งนี้ ดีใจมากครับที่ได้พบกันเพราะคุยกันแต่ทางโทรศัพท์มานานพอสมควร และขอบคุณของฝากหลายชิ้น (สวยและมีค่าสำหรับนครทุกชิ้นครับ)ที่พี่นำมาให้ด้วยนะครับ

    อีกท่านหนึ่งที่ขอขอบพระคุณคือท่านพี่นนต์ ที่ฝากวัตถุมงคลหลายชิ้นมาให้ ขอกราบขอบพระคุณครับ นครขอน้อมรับไว้นะครับ แต่อยากเรียนถามเรื่อง
    การดูแลรักษาครับ ต้องระวังเรื่องการขาดเวลาสวมใส่ไหมครับ หรือต้องเปลี่ยนสายร้อยก่อนครับถึงจะสวมไว้ได้

    ส่วนพี่ท่านอื่นๆที่ฝากวัตถุมงคลชิ้นอื่นๆมาให้ นครจำไม่ได้ว่ามีท่านใดบ้างแต่ขอกราบขอบพระคุณทุกท่านด้วยนะครับ

    นคร
     
  4. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]
    สวัสดียามเย็นครับ...

    รู้สึกดีใจ,ยินดีและขอบคุณ ที่ได้มีโอกาสร่วมนมัสการพระทันตธาตุขององค์สมเด็จพระพุทธกัสสปะร่วมกับญาติธรรม(เก่าแก่) เช่น คุณนคร บุตรชายและคุณสุพล

    แม้จะได้อยู่ร่วมกัน ทั้งการพูดคุย สนทนาธรรม รับประทานอาหาร ตลอดทั้งการนั่งภาวนาในมณฑลพิธีใกล้มณฑปประดิษฐานพระทันตธาตุ ตั้งแต่ 10 โมงเศษจนถึงประมาณบ่าย 3 โมง (เพื่อแยกจากกัน) ก็น่าจะนานสำหรับผู้พบกันใหม่ๆ...แต่ดูเหมือนทุกเรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านี้ครับ...

    สำหรับสร้อยประคำนั้น แนะนำให้ร้อยใหม่เพื่อความคงทนครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1260592_1.JPG
      P1260592_1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      302.3 KB
      เปิดดู:
      2,664
  5. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ภาพต่อไปนี้ขออนุญาตยืมคำอธิษฐานของท่านสุพลที่ว่า...

    "ผู้ที่ได้ชมภาพต่อไปนี้...ขอให้ท่านมีส่วนในบุญที่หมู่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    ได้มานมัสการพระทันตธาตุขององค์สมเด็จพระพุทธกัสสปะนี้ด้วยเทอญ"
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    ข้าพระพุทธเจ้าขอนอบน้อมนมัสการพระทันตธาตุขององค์สมเด็จพระพุทธกัสสปะด้วยเศียรเกล้า

    กราบ กราบ กราบ
    กราบ กราบ
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    มณีนาคราช...สมบัติของท่านสุพลครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1260596_1.JPG
      P1260596_1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      330.7 KB
      เปิดดู:
      2,989
    • P1260607_1.JPG
      P1260607_1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      318.4 KB
      เปิดดู:
      3,283
    • P1260593_1.JPG
      P1260593_1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      267.7 KB
      เปิดดู:
      2,678
    • P1260569_1.JPG
      P1260569_1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      292.7 KB
      เปิดดู:
      2,726
    • P1260582_1.JPG
      P1260582_1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      306 KB
      เปิดดู:
      3,520
    • P1260605_1.JPG
      P1260605_1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      270.9 KB
      เปิดดู:
      2,466
    • P1260608_1.JPG
      P1260608_1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      287.4 KB
      เปิดดู:
      217
    • P1260601_1.JPG
      P1260601_1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      322.7 KB
      เปิดดู:
      231
    • P1260603_1.JPG
      P1260603_1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      315.8 KB
      เปิดดู:
      222
    • P1260589_1.JPG
      P1260589_1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      275 KB
      เปิดดู:
      3,832
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  6. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    ยินดีและอนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ผมเห็นภาพแรกครั้งแรกผมก็รู้ว่าในภาพคือท่านใด ส่วนสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่ได้รับไปนั้น ขอให้ร้อยใหม่ตามความเหมาะสม แล้วค่อยพบกันนะครับ

    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    7 มกราคม 2555
     
  7. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ภาพพระอาทิตย์ในช่วงบ่ายสามนิดๆของวันนี้ ย่านสะพานควาย
    โดยคำแนะนำของท่านพี่ท่านหนึ่ง (บันทึกได้ก่อนวันที่ 9 ม.ค.)
    แต่ละภาพมีเสน่ห์ต่างกัน...ลองนำภาพมาชมกันนะครับ
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    โปรดชมภาพที่พ่อแม่ครูอาจารย์ถ่ายไว้ที่ภูดานไห...ที่นี่ครับ
    ปล: ผมเข้าใจแล้วครับว่า ทำไมท่านถึงให้ print ไว้เพื่อฝึกเพ่งกสิณ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1260617.JPG
      P1260617.JPG
      ขนาดไฟล์:
      144.6 KB
      เปิดดู:
      63
    • P1260619.JPG
      P1260619.JPG
      ขนาดไฟล์:
      135.1 KB
      เปิดดู:
      2,648
    • P1260620.JPG
      P1260620.JPG
      ขนาดไฟล์:
      114.8 KB
      เปิดดู:
      2,565
    • P1260622.JPG
      P1260622.JPG
      ขนาดไฟล์:
      130.6 KB
      เปิดดู:
      2,620
    • P1260626.JPG
      P1260626.JPG
      ขนาดไฟล์:
      111.4 KB
      เปิดดู:
      3,929
    • P1260627.JPG
      P1260627.JPG
      ขนาดไฟล์:
      150.7 KB
      เปิดดู:
      6,850
    • P1260630.JPG
      P1260630.JPG
      ขนาดไฟล์:
      100 KB
      เปิดดู:
      71
    • P1260631.JPG
      P1260631.JPG
      ขนาดไฟล์:
      226.8 KB
      เปิดดู:
      2,680
    • P1260635.JPG
      P1260635.JPG
      ขนาดไฟล์:
      120.1 KB
      เปิดดู:
      2,494
    • P1260638.JPG
      P1260638.JPG
      ขนาดไฟล์:
      111.3 KB
      เปิดดู:
      2,785
    • P1260624.JPG
      P1260624.JPG
      ขนาดไฟล์:
      216.8 KB
      เปิดดู:
      9,660
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  8. Phoobes

    Phoobes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,181
    ขออนุโมทนาบุญกับคุณอ้อย คุณศรุตและครอบครัว ด้วยครับ

    เทียนเล่มน้อย เมื่อใดที่ได้ถูกจุดจากประทีปดวงใหญ่แล้ว ก็จะยังความสว่างแก่สถานที่
    และอาณาบริเวณที่เทียนเล่มนั้นตั้งอยู่
    หากแม้นเทียนเล่มดังกล่าวได้จุดเปลวไฟต่อไปยังเทียนเล่มอื่นๆอีกหลายต่อหลายเล่ม ความมืดทั้งหลายคงจะปราศนาการไปสิ้นจากสถานที่แห่งนั้น / ภูเบศวร์
     
  9. Phoobes

    Phoobes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,181
    สวัสดีครับ คุณสายรุ้ง จากแดนไกล ยินดีต้อนรับสู่สายธารแห่งธรรมเดียวกันครับ
    ต้นสายปลายรุ้งแม้จะอยู่คนละฝั่งฟากฟ้า แต่ที่เราเห็น สายรุ้งก็เหมือนจะเป็นสะพานเชื่อมต่อท้องฟ้าให้เป็นผืนเดียวกัน

    แม้นสีทั้ง7จะแบ่งเฉดสีแตกต่างกัน ก็ยังรวมกันเป็นสายรุ้งที่งดงามประดับบนท้องฟ้าในวสันตฤดู...
    (เกี่ยวกันไหมเนี่ย 55..)
     
  10. Phoobes

    Phoobes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,181
    วันนี้ผม ท่านอ๊อด ท่านสันติ ได้มีโอกาสไปกราบคุณปู่ประถม ผู้เชี่ยวชาญและปรมาจารย์แห่งพระสมเด็จ พระสกุลวัง ได้รับความรู้มากมาย จากความเมตตาของท่าน น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่รัก ชอบ สนใจ และศรัทธาในพระสกุลวัง เพราะได้รับรู้จากต้นฉบับที่ถูกต้อง ก็คงจะได้ถ่ายทอด บอกต่อ สิ่งที่ถูก เพื่อเป็นการอนุรักษ์ และเผยแผ่ พระสกุลวังให้คงสืบต่อไป
    กราบขอบพระคุณในความเมตตาของคุณปู่ประถม อาจสาคร ครับ


    แต่ที่น่าเสียดายที่วันนี้ไม่ได้เจอท่านสมบัติ และกลุ่มคุณนครนะครับ แถมเป็นวันที่อุโบสถวัดพระแก้ววังหน้าเปิดให้เข้าได้ในรอบปี (คงยังเปิดโอกาสให้อีกหลายวันกระมัง) แต่พระทันตธาตุจะมีโอกาสได้ทันไปกราบยังสถานที่ใดที่หนึ่งของประเทศไทยไหมหนอ? (ใกล้เกลือกินด่าง สู้คนไกลไม่ได้จริงๆ)
     
  11. สมาชิกธรรม

    สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    ความในใจและความห่วงใยจากแม่ชมต่อเหล่า นรธ.

    ในค่ำคืนของวันที่ 1ม.ค.2555ขณะนั่งฟังธรรมและปฎิบัติธรรมอยู่นั้น คุณแม่ชมได้เอ่ยถามผม ท่านสมบัติ และคุณอู๊ดว่ามีความรู้สึกเช่นไรกับการที่ได้ออกไปเดินบิณฑบาตรร่วมกับพ่อแม่ครูอาจารย์ในครั้งนี้.....

    ผมรู้สึกว่านิ่งอึ้งไปเลยเตรียมตัวเตรียมใจไม่ทันกับคำถามของแม่ชม เป็นความรู้สึกที่ยากจักอธิบายออกมาให้คนอื่นได้เข้าใจถึงความรู้สึกในส่วนลึกของหัวใจที่ได้รับรู้สัมผ้สและซึมลึกเข้าไปในจิตขณะนั้น.....มันเป็นความประทับใจ ความรู้สึกว่าคุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้ อารมณ์เหล่านี้ว่าเราได้เดินตามรอยท่านไป(รอยธรรม)อย่างนี้ไม่รู้จักกี่ภพ กี่ชาติมาแล้วนับไม่ถ้วนยาวนานเหลือเกิน.....สภาพบรรยากาศยามเช้ากับแสงอาทิตย์อ่อนๆกับวิถีชิวิตชาวบ้านแบบเรียบง่ายซึ่งต่างก็ตระเตรียมข้าวปลาอาหารเพื่อรอใส่บาตรเป็นระยะๆ เป็นกลุ่มๆดูเป็นภาพที่งดงามต่อผู้ที่ได้พบเห็นยิ่งนัก ทำเอาผมปล่อยอารมณ์ตามไปคิดว่าตัวเองเป็นพระที่เดินบิณฑบาตรตามหลังพ่อแม่ครูอาจารย์ไปซะอย่างงั้น.....

    คุณแม่ชมได้บอกกล่าวเล่าความในใจและความรู้สึกห่วงใยที่มีต่อเหล่านักรบธรรมที่มาร่วมปฎิบัติธรรมในวาระนี้ว่า.....ให้ลูกๆทุกคนตั้งใจจริงและน้อมรับเอาธรรมะของพ่อแม่ครูอาจารย์ไปปฎิบัติให้เป็นผล อย่าปล่อยเวลาให้สูญเปล่าจักเป็นการเสียโอกาส เนื่องด้วยแต่ละคนอยู่ห่างไกลมีเวลาไม่มากนักให้เก็บประสบการณ์เล็กๆน้อยที่พบเห็นซึ่งทุกๆอย่างล้วนเป็นธรรมะทั้งหมดหากเราจักน้อมนำมาพิจารณาให้เป็นธรรม.....คุณแม่ชมสนทนาไปสะอื้นไป บรรยากาศพาไปพลอยทำให้ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่(เป็นครั้งแรก จริงจริ๊ง)คาดว่าท่านสมบัติและท่านอื่นๆคงรู้สึกได้เช่นกัน.....ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ชมได้พูดได้แสดงออกมาก็เพียงเพื่อหวังให้เหล่านักรบธรรมได้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป.....ผมขอโมทนาสาธุในความห่วงใยและความหวังดีครับ.....

    ป.ล.ตกหล่นบ้างต้องขออภัยด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2012
  12. nakorn_nd

    nakorn_nd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +174
    แต่ที่น่าเสียดายที่วันนี้ไม่ได้เจอท่านสมบัติ และกลุ่มคุณนครนะครับ แถมเป็นวันที่อุโบสถวัดพระแก้ววังหน้าเปิดให้เข้าได้ในรอบปี (คงยังเปิดโอกาสให้อีกหลายวันกระมัง) แต่พระทันตธาตุจะมีโอกาสได้ทันไปกราบยังสถานที่ใดที่หนึ่งของประเทศไทยไหมหนอ? (ใกล้เกลือกินด่าง สู้คนไกลไม่ได้จริงๆ)[/QUOTE]

    เสียดายเหมือนกันครับ คุณภูเบศร์ ตอนแรกคิดว่ามีโอกาสได้เจอ เพราะพี่สันติ บอกว่าอาจจะเข้ามากรุงเทพช่วงบ่าย แต่ไม่เป็นไรครับ ผมเชื่อมั่นว่าเราคงได้พบกันในเร็ววันนี้ครับ ใกล้เกลือกินด่างนี่โดนผมเต็มๆเหมือนกันครับ เพราะถ้าไม่มีพี่สมบัติชวนไปคงไม่ได้ไปเหมือนกันครับ ขอบคุณพี่สมบัติอีกวาระนะครับ ยังไงคงต้องลากต้องจูงฉุดกระชากลากไถนครไปด้วยละครับ หุหุ


     
  13. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์เงินล้าน

    ขอเชิญทุกท่านพักสายตาและเรื่องราวทางธรรมสักระยะก่อนนะครับ กับภาพพระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่นิยม ที่เรียกว่าพิมพ์เงินล้าน องค์แรกนี้เป็นสมบัติของท่านนาวาอากาศโท สุทน ยาพัน (ที่ปรึกษาสนามบินสุวรรณภูมิ) ผู้อาวุโสแห่งนักรบธรรมอีกท่านหนึ่ง ท่านสุทนเป็นผู้มีบุญวาสนาเพราะมีพระสมเด็จวัดระฆังและอื่นๆจำนวนพอสมควร และเป็นผู้มีความรักสนิทชิดใกล้กันกับผมมาก (แม้ปัจจุบันวัยจะต่างกันแต่อดีตเป็นเพื่อนกัน) ตลอดเวลาเราได้แลกเปลี่ยนวิถีปฏิบัติ สนทนาธรรม เรื่องอจินไตย และเรื่องราวของพระเครื่อง(จริตเหมือนกัน) เรื่อยมา เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท่านได้ส่งภาพพระสมเด็จองค์นี้มาให้ผมพิจารณา พร้อมกับเอ่ยขึ้นมากับผมว่า อยากจะนำพระองค์นี้มาประมูลเพื่อนำเงินรายได้ส่วนหนึ่งไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่ง ไปร่วมสร้างวัดภูดานไหกับเหล่านักรบธรรมและพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ผมจึงขออนุโมทนาสาธุการด้วยนะครับ พระองค์นี้มีความสวยงามมาก หากประเมินราคาก็ว่ากันหลักล้านขึ้นไป สาเหตุที่เรียกพิมพ์นี้ว่า เป็นพิมพ์เงินล้าน เนื่องจากเป็นพิมพ์ที่มีลักษณะสวยงามลงตัวมากที่สุดพิมพ์หนึ่ง หากเช่าบูชากันต้องว่ากันด้วยเงินล้านขึ้นไปนั่นเอง ลักษณะพิมพ์ทรงขอให้สังเกตกันเอาเองนะครับ เป็นพระเกศทะลุซุ้ม หากสนใจจะร่วมทำบุญ กรุณาติดต่อไปที่ท่านสุทนเจรจากันเอาเองนะครับ 0827987984, 0880024976 ขออนุโมทนาสาธุ ปล. พระสมเด็จวัดระฆังที่ลงรักปิดทองมักนิยมทำกันในช่วงปลายของสมเด็จโต (ช่วง ร.5) ตามคตินิยมของสายวังครับ



    [​IMG]

    [​IMG]




    ส่วนองค์ที่สอง เป็นพระสมเด็จพิมพ์เงินล้านเช่นเดียวกัน แต่เป็นพระของผมเอง พระองค์นี้มีลักษณะดูเหมือนพระใหม่มาก แต่หากดูด้วยจิตและสายตาที่เป็นกลางก็ทราบว่า เป็นพระถึงยุคของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ข้อสังเกตที่สำคัญในการพิจารณาพระแท้ก็คือ คราบผงแป้ง(ปูนแคลเซียม) ที่พอกหนาอยู่บนผิวหน้า (surface) ขององค์พระ นั้นเกิดจากกระบวนการหล่อพระที่น้ำปูนระเหยออกไปขังอยู่ผิวหน้าองค์พระขณะยังอยู่ในเบ้าพิมพ์ (ปูนเซ็ทตัว) บางคนก็บอกว่าใช้แป้งทาโรยพิมพ์ก็ว่ากันไป(อาจจริง) แต่ผมเป็นอาจารย์สอนวิชาประติมากรรมและเซรามิกจึงเข้าใจกระบวนการนี้ได้ดี(ไม่เคยโรยแป้งทาพิมพ์) ให้สังเกตที่ด้านหลังก็ยังมีคราบน้ำแป้งแคลเซียม(ไม่ได้อยู่ในเบ้าพิมพ์และก็ไม่ได้โรยแป้งทางด้านหลัง) ขอให้ท่านพิจารณาเอาเองนะครับ


    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    8 มกราคม 2555


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2012
  14. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ทรงเจดีย์


    พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ทรงเจดีย์ (มีหลายพิมพ์) พระองค์นี้ผมเสี่ยงทายด้วยการปล่อยให้ท่านวางอยู่บนแผงพระหลายเดือน เพราะเจ้าของเปิดราคาไว้แพงมาก แต่พอหลังกลับจากแสวงบุญที่วัดภูดานไหเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ผมกลับมาดูอีกครั้ง ปรากฏว่า พระองค์นี้ก็ยังอยู่เหมือนเดิม แถมเจ้าของคะยั้นคะยอให้ผมบูชา โดยลดราคาลงมาหลายๆๆๆเท่า ผมจึงได้อัญเชิญกลับบ้านด้วย พระท่านปิดหูปิดตาคนอยู่นาน... เฮ้อ...อะไรกันนี่...คนหนอคน หาอะไรกันอยู่...พระดีอยู่ต่อหน้าต่อตาก็ยังมองไม่เห็น (ผมคิดในใจ) พระองค์นี้เป็นพระเนื้อแก่ผงผสมปูน เนื้อแกร่งหนึกนุ่มเป็นมัน สีออกเขียวก้านมะลิ ผิวหน้ามีลักษณะเหมือนผิวตกกระของคนแก่ มีความยุบ ย่น แยก มีรอยปริด้านข้าง มีเม็ดมวลสารชัดเจน และมีพลานุภาพสูง พระแท้จะดูง่ายกว่าพระปลอมเสียอีก (คิดกลับกัน) ก็ลองพิจารณาเอาเองนะครับ

    ปล. ตรวจสอบภายในทราบว่า สมเด็จโตอธิษฐานจิตในปี 2407 ในวาระหลวงปู่โตได้รับสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์

    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    8 มกราคม 2555

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2012
  15. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    ข้อสงสัยในพระสมเด็จที่มีเหรียญอยู่ด้านหลัง


    ผมได้รับเมล์จากผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ที่ครอบครองวัตถุมงคลจำนวนมากคนหนึ่งของเมืองไทย ท่านได้ส่งข้อความมาถึงผมเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2554 ดังข้อความต่อไปนี้


    ...............................................
    ท่านณัฐชัย ท่านนนต์ ท่านสมบัติ ท่านอ๊อด

    เช้านี้เปิดไฟล์ดู เห็นว่าน่าสนใจ ยิ่งท่านนนต์ช่วงหลังนี้เริ่มลงพระสมเด็จเนื้อผง เลยขอข้อมูลด้วยครับ

    สมเด็จเนื้อผง ด้านหลังผนึกเหรียญทองคำ เป็นเหรียญเฟื่องทองคำ ผลจากการตรวจ (เฉพาะเหรียญเท่านั้น เพราะเนื้อผงตรวจไม่ได้)
    Au(ทองคำ) = 74.86 % Ag = 25.14 %

    พระสมเด็จด้านหลังผนึกเหรียญ รัชกาลที่ ๕ มีหลายชนิดมาก แต่ที่เป็นเหรียญทองคำ เข้าใจว่าน่าจะมีอะไรพิเศษ
    อาจจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับพระราชทาน หรือพิธีที่เป็นการเฉพาะครั้ง

    ถ้าทุกท่านมีข้อมูล ขอช่วยอนุเคราะห์ด้วยครับ

    (ผู้อาวุโส)

    เอกสารแนบ 3 ฉบับ — ดาวน์โหลดเอกสารแนบทั้งหมด ดูรูปภาพทั้งหมด

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    จากคำถามดังกล่าว ผมพอจะตอบได้ตามที่ผมได้ศึกษาค้นคว้ามาทางด้านประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับการผลิตเหรียญกษาปณ์ของเมืองไทย ปรากฏว่า แม้สยามจะมีการผลิตเหรียญมานานแล้ว แต่การผลิตเหรียญเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าแผ่นดินนั้น เริ่มผลิตครั้งแรกในปี พ.ศ. 2417 เป็นเหรียญพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 (ข้อมูลของโรงกษาปณ์) ซึ่งก่อนหน้านั้นมักจะเป็นรูปสัญลักษณ์เช่น ครุฑ หรือพระราชลัญจกร เป็นต้น ดังนั้น พระสมเด็จทั้งหลาย ที่ประดับหรือฝังเหรียญรัชกาลที่ 5 หรือเหรียญต่างๆนั้น จึงเป็นการสร้างขึ้นมาภายหลังจากองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มรณภาพแล้วถึงสองปี (หลวงปู่โตมรณภาพปี 2415) ฉะนั้น พระเหล่านี้จึงเป็นพระแท้สายวังที่สร้างขึ้นมาภายหลังจากสมเด็จโตท่านละสังขารไปแล้ว กล่าวง่ายๆก็คือ ไม่ทันหลวงปู่โต เพราะประวัติศาสตร์มิสามารถบิดเบือนได้นั่นเอง ดูเหรียญที่ท่านอาวุโสส่งภาพมาให้ดูอีกครั้งนะครับ เป็นเหรียญยุคแรกๆของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงคุณค่ามากครับ

    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    8 มกราคม 2555

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0948[1].jpg
      IMG_0948[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      518.5 KB
      เปิดดู:
      15,470
    • IMG_0950[1].jpg
      IMG_0950[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      639.2 KB
      เปิดดู:
      15,374
    • DSC07226[1].JPG
      DSC07226[1].JPG
      ขนาดไฟล์:
      342.9 KB
      เปิดดู:
      22,212
    • DSC07227[1].JPG
      DSC07227[1].JPG
      ขนาดไฟล์:
      378 KB
      เปิดดู:
      39,416
    • DSC07228[1].JPG
      DSC07228[1].JPG
      ขนาดไฟล์:
      601.4 KB
      เปิดดู:
      16,318
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2012
  16. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    พระราชลัญจกรประจำพระมหาษัตริย์ไทย ร.1-9 จากวิกิพิเดีย
    พระราชลัญจกรประจำรัชกาล - วิกิพีเดีย

    ประวัติ
    ปรากฏหลักฐานว่าพระราชลัญจกรประจำรัชกาลมีใช้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้วในเอกสารต่างประเทศ โดยมีการพิมพ์ภาพจำลองพระราชลัญจกรรูปเทวดา 4 กร ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นพระราชลัญจกรพระนารายณ์ทรงครุฑ ประจำพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือ จดหมายเหตุลาลูแบร์ ซึ่งเขียนโดย ซิมง เดอ ลา ลูแบร์ แต่เนื่องจากเอกสารสมัยกรุงศรีอยุธยาส่วนใหญ่สูญหายไปกับการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ทำให้ไม่อาจสืบทราบได้ชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาลใช้ตราอะไรเป็นพระราชลัญจกรประจำรัชกาล
    ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้น ก่อนสมัยรัชกาลที่ 4 ปรากฏหลักฐานรอยประทับพระราชลัญจกรประจำรัชกาลเพียงพระราชลัญจกรที่เชื่อว่าเป็นพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 2 เท่านั้น คือ พระราชลัญจกรไตรสารเศวต อย่างไรก็ตาม ก็มีการใช้สัญลักษณ์ประจำรัชกาลต่างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 โดยปรากฏหลักฐานอยู่ในเงินพดด้วงสมัยดังกล่าวอยู่แล้ว
    ธรรมเนียมการใช้พระราชลัญจกรประจำรัชกาลปรากฏหลักฐานชัดเจนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งมีการประทับพระราชลัญจกรพระมหามงกุฎและพระราชลัญจกรพระจุฑามณี ในเอกสารส่วนพระองค์ เช่น พระราชหัตถเลขา ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวตามลำดับ
    เมื่อมีงานรัตนโกสินทรสมโภชครบ 100 ปี ใน พ.ศ. 2425 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่ 3 เพื่ออุทิศถวายพระมหากษัตริย์ทั้งสามรัชกาลข้างต้น หลังจากนั้น พระมหากษัตริย์ในรัชกาลต่อๆ มาก็ทรงสร้างพระราชลัญจกรประจำรัชกาลของพระองค์ใช้มาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน
    [แก้] พระราชลัญจกรประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์

    [แก้] สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

    <CENTER>
    • [​IMG]

      <CENTER>พระราชลัญจกรสมเด็จพระนารายณ์มหาราช</CENTER>
    </CENTER>[แก้] ราชวงศ์จักรี

    <CENTER>
    • [​IMG]

      <CENTER>พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 1</CENTER>
    • [​IMG]

      <CENTER>พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 2</CENTER>
    • [​IMG]

      <CENTER>พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 3</CENTER>
    </CENTER>
    • พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 1 เป็นรูปปทุมอุณาโลม มีอักขระ "อุ" แบบอักษรขอมอยู่กลาง ล้อมรอบด้วยกลีบบัวอันเป็น พฤกษชาติที่เป็นสิริมงคลในพุทธศาสนา ตราอุณาโลมมีรูปร่างคล้ายสังข์ทักษิณาวรรต (สังข์เวียนขวา) อยู่ในกรอบลายกนก เริ่มใช้คราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อ พ.ศ. 2328
    • พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 2 เป็นรูปครุฑยุดนาค เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า "ฉิม" ตามความหมายของวรรณคดีไทย คือ พญาครุฑซึ่งในเทพนิยายเทวกำเนิด เป็นเทพองค์หนึ่งที่ทรงมหิทธานุภาพยิ่ง แต่ยอมเป็นเทพพาหนะสำหรับพระนารายณ์ ปกติอยู่ที่วิมานฉิมพลี ดังนั้นทรงพระกรุณาให้ใช้รูปครุฑยุดนาค เป็นพระราชสัญลักษณ์ประจำพระองค์ แทนพระบรมนามาภิไธย
    • พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 3 เป็นรูปปราสาท เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า "ทับ" หมายความว่า ที่อยู่ หรือเรือน ดังนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดกล้าฯ ให้สร้างรูปปราสาท เป็นพระราชสัญลักษณ์ประจำพระองค์ แทนพระบรมนามาภิไธย
    พระราชลัญจกรทั้ง 3 องค์นี้เดิมเป็นเพียงพระราชสัญลักษณ์ที่ปรากฏในที่ต่างๆ เช่น เงินพดด้วง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระราชลัญจกรเหล่านี้ขึ้นเพื่ออุทิศถวายพระมหากษัตริย์ทั้งสามพระองค์เมื่อ พ.ศ. 2425 ตราทั้งหมดเป็นตรากลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร
    <CENTER>
    • [​IMG]

      <CENTER>พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 4</CENTER>
    • [​IMG]

      <CENTER>พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 5</CENTER>
    • [​IMG]

      <CENTER>พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 6</CENTER>
    </CENTER>
    • พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 4 เรียกว่า พระราชลัญจกรพระมหามงกุฎ ลักษณะเป็นรูปกลมรี ลายกลางเป็นรูปพระมหาพิชัยมงกุฎ อันเป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า "มงกุฎ" ซึ่งเป็นศิราภรณ์สำคัญของพระมหากษัตริย์ อยู่ในเครื่องเบญจราชกุธภัณฑ์ มีฉัตรบริวารตั้งขนาบข้างที่ริมขอบทั้งสองข้าง มีพานทองสองชั้นวางพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรข้างหนึ่ง สมุดตำราข้างหนึ่ง รูปพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรนี้มาจากฉายาเมื่อทรงผนวชว่า "วชิรญาณ" ส่วนสมุดตำรามาจากเหตุที่ได้ทรงศึกษาเชี่ยวชาญในทางอักษรศาสตร์และดาราศาสตร์ องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรากลมรีรูปไข่แนวนอน กว้าง 5.5 เซนติเมตร ยาว 6.8 เซนติเมตร
    • พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 5 เรียกว่า พระราชลัญจกรพระเกี้ยวยอด ลักษณะเป็นรูปพระจุลมงกุฎ (หรือพระเกี้ยว) เปล่งรัศมีประดิษฐ์บนพานแว่นฟ้า เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า "จุฬาลงกรณ์" ซึ่งแปลความหมายว่าเป็นศิราภรณ์ชนิดหนึ่งอย่างมงกุฎ มีฉัตรบริวารตั้งขนาบข้าง ที่ริมขอบทั้งสองข้างมีพานแว่นฟ้าและพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรข้างหนึ่ง วางสมุดตำราข้างหนึ่ง พระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรและสมุดตำรานั้น เป็นการเจริญรอยจำลองพระราชลัญจกรประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นสมเด็จพระบรมชนกนาถ องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรากลมรีรูปไข่แนวนอน กว้าง 5.5 เซนติเมตร ยาว 6.8 เซนติเมตร
    • พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 6 เรียกว่า พระราชลัญจกรพระวชิระ เป็นรูปวชิราวุธ เปล่งรัศมีเป็นสายฟ้า ประดิษฐ์บนพานแว่นฟ้าตั้งอยู่เหนือตั่ง มีฉัตรกลีบบัวตั้งอยู่สองข้าง เป็นสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธย "วชิราวุธ" ซึ่งหมายถึง สายฟ้าอันเป็นเทพศาสตราของพระอินทร์ องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรากลมรีรูปไข่แนวนอน กว้าง 5.5 เซนติเมตร ยาว 6.8 เซนติเมตร
    <CENTER>
    • [​IMG]

      <CENTER>พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 7</CENTER>
    • [​IMG]

      <CENTER>พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 8</CENTER>
    • [​IMG]

      <CENTER>พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 9</CENTER>
    </CENTER>
    • พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 7 เรียกว่า พระราชลัญจกรพระแสงศร ลักษณะเป็นรูปพระแสงศร 3 องค์ คือ พระแสงศรพรหมาสตร์ พระแสงศรประลัยวาต พระแสงศรอัคนีวาต อันเป็นเทพอาวุธของพระพรหม พระอิศวร และพระนารายณ์ตามลำดับ เหนือราวพาดพระแสงเป็นดวงตรามหาจักรีบรมราชวงศ์ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ เบื้องซ้ายและเบื้องขวาของราวพาดพระแสงตั้งบังแทรก สอดแทรกด้วยลายกนกอยู่บนพื้นตอนบนของดวงตรา พระแสงศร 3 องค์นี้ เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า "ประชาธิปกศักดิเดชน์" ซึ่งมาจากความหมายของศัพท์คำสุดท้ายของวรรคที่ว่า "เดชน์" แปลว่า ลูกศร องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรางากลมรีรูปไข่แนวนอน กว้าง 5.4 เซนติเมตร ยาว 6.7 เซนติเมตร
    • พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 8 ลักษณะเป็นรูปพระโพธิสัตว์ประทับบนบัลลังก์ดอกบัว ห้อยพระบาทขวาเหนือบัวบาน (ซึ่งดัดแปลงจากพระราชลัญจกรโพธิสัตว์สวนดุสิตในรัชกาลที่ 5) หมายถึงแผ่นดิน พระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัวตูม และมีเรือนแก้วด้านหลังแทนรัศมี มีแท่นรองรับตั้งฉัตรบริวารทั้งสองข้าง เป็นพระราชสัญลักษณ์ของบรมนามาภิไธยว่า "อานันทมหิดล" ซึ่งแปลความว่า เป็นที่ยินดีของแผ่นดิน เพราะพระองค์ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ด้วยความยินดีของอเนกนิกรชาวไทย ประหนึ่งพระโพธิสัตว์เสด็จมาประทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ทวยราษฎร์ทั้งมวล องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรากลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร
    • พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 9 เป็นรูปพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ ประกอบด้วยวงจักร กลางวงจักรมีอักขระเป็น "อุ" หรือ "เลข 9" รอบวงจักรมีรัศมีเปล่งออกโดยรอบ เหนือจักรเป็นรูปเศวตฉัตร 7 ชั้น ฉัตรตั้งอยู่บนพระที่นั่งอัฐทิศ แปลความหมายว่า ทรงมีพระบรมเดชานุภาพในแผ่นดิน โดยที่วันบรมราชาภิเษก ตามโบราณราชประเพณี ได้เสด็จประทับเหนือพระที่นั่งอัฐทิศ สมาชิกรัฐสภาถวายน้ำอภิเษกจากทิศทั้ง 8 นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ทรงรับน้ำอภิเษกจากสมาชิกรัฐสภา แทนที่จะรับจากราชบัณฑิตดั่งในรัชกาลก่อน องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรากลมรีรูปไข่แนวตั้ง กว้าง 5 เซนติเมตร สูง 6.7 เซนติเมตร
      พระราชลัญจกรองค์นี้นอกจากจะใช้ประทับในเอกสารสำคัญส่วนพระองค์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับราชการแผ่นดินแล้ว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตรานี้แก่สถาบันอุดมศึกษากลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลและมหาวิทยาลัยราชภัฏ ใช้เป็นตราประจำมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งในเครือของตน และยังได้มีพระบรมราชานุญาตให้ใช้เป็นภาพประธานในตราสัญลักษณ์งานพระราชพิธีสำคัญต่างๆ ในรัขกาลของพระองค์ ได้แก่ พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี และงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษาอีกด้วย
     
  17. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]
    พระพิมพ์องค์นี้เจอคู่แฝด(เมื่อวาน)จากท่านสุพลครับ
    ชื่อช่างสอดคล้องกับท่านสุทนเสียนี่กระไร หึหึ
    ปล: บ้านอยู่ ชม.ครือกันอีกต่างหาก...หนอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  18. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส(วังหน้า)

    [​IMG]


    <CENTER>[​IMG]

    พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส(วังหน้า)
    อยู่ภายใต้การดูและของกรมศิลปากร
    ซึ่งเป็นโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ
    เดิมพระอุโบสถฯ หลังนี้สร้างขึ้นอยู่ใน
    พระราชวังบวรสถานมงคล(วังหน้า)

    [​IMG]

    พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส
    เรียกกันเป็นสามัญว่า "วัดพระแก้ววังหน้า"
    สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓
    โดยกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพโปรดเกล้าฯ
    ให้สร้างขึ้นเป็นพระอุโบสถ

    [​IMG]

    เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ
    เช่นเดียวกับพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
    แต่เดิมจะสร้างขึ้นเป็นยอดปราสาท
    พระอุโบสถหลังนี้จึงเป็นหลังคาจตุรมุขดังที่เห็นกันทุกวันนี้

    หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
    เสด็จสวรรคตแล้ว
    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    มีพระราชดำริที่จะให้พระอุโบสถ
    เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์

    จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ก่อฐานชุกชี
    ตั้งบุษบกขึ้นกลางห้อง พร้อมทั้งเขียนฝาผนัง
    เรื่องตำนานพระพุทธสิหิงค์ขึ้นด้วย
    แต่ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อน
    จึงไม่ได้ย้ายพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐาน
    ตามพระราชดำริเดิม


    </CENTER><CENTER>[​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพบูชา
    มีอยู่ด้วยกัน 2 สิ่ง คือ พระพุทธรูปที่อยู่ในพระอุโบสถ
    และองค์พระพิฆเนศวร

    [​IMG]

    ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมครับ
    เพราะพระอุโบสถตั้งอยู่ใจกลางวิทยาลัยนาฏศิลป์

    และไม่มีผู้ดูแลจึงถูกปิดไว้ โดยกรมศิลปากร</CENTER><CENTER></CENTER>
    เพิ่มเติม

    วัดบวรสถานสุทธาวาสหรือวัดพระแก้ววังหน้า เป็นวัดในพระราชวังบวรสถานมงคล เช่นเดียวกับ วัดพระศรีรัตนศาสดารามภายในพระบรมมหาราชวังและด้วยเหตุที่เป็นวัดในวัง ดังนั้น จึงไม่มีพระภิกษุจำพรรษา​

    วัดนี้สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพซึ่งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่การสร้างยังไม่แล้วเสร็จ พระองค์เสด็จทิวงคตเสียก่อน การก่อสร้างวัดพระแก้ววังหน้า จึงมาแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับพระราชทานนามว่า วัดบวรสถานสุทธาวาส​

    ปัจจุบันวัดบวรสถานสุทธาวาส ตั้งอยู่ในสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป เป็นวัดที่ไม่มีการประกอบสังฆกรรมใดๆ และถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบ พิธีไหว้ครูพิธีครอบครู และพิธีมงคลต่างๆ ของบรรดา นาฏศิลปินดุริยางคศิลปิน และ กรมศิลปากร ศิลปกรรมต่างๆ ของวัดพระแก้ววังหน้า ที่เหลืออยู่ในปัจจุบันนี้ มีเพียงพระอุโบสถเท่านั้น เป็นพระอุโบสถ จัตุรมุขสูงใหญ่ตั้งสูงตระหง่านอยู่บนฐานซึ่งมีบันไดขึ้นทั้งสี่ด้าน บริเวณฐานมีชานล้อมโดยรอบ​

    เสียดายที่พระอุโบสถหลังนี้ถูกตึกสมัยใหม่บังเสียหมด จนไม่อาจชมความงามของพระอุโบสถได้ในระยะที่เหมาะสม ในด้านรูปทรงภายนอกแล้ว ต้องนับว่าพระอุโบสถหลังนี้มีความงามสง่าแปลกตาไม่น้อย และเป็นศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ 3 ที่สำคัญของวังหน้าที่ทรงสร้างขึ้น
    นอกจากรูปทรงภายนอกแล้วภายในพระอุโบสถยังมีศิลปกรรมสำคัญที่ควรชมคือ พระพุทธรูป ซึ่งเป็นพระประธานของพระอุโบสถตั้งอยู่สุดผนังมุขด้านตะวันตก เป็น พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางห้ามสมุทร ซึ่งสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ทรงสร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานในพระอุโบสถนี้​

    ปัจจุบันนี้พระพุทธรูปองค์นี้ยังคงอยู่ในสภาพดี มีฐานชุกชีและบุษบกครอบ บุษบกนั้นคงเป็นฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 4 ช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ที่วังหน้า​

    ศิลปกรรมที่นอกเหนือไปจากพระพุทธรูปภายในพระอุโบสถคือ จิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งเป็นจิตรกรรมเรื่อง ตำนานพระพุทธสิหิงค์ ประวัติพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ ซึ่งเป็นฝีมือช่างผสมกันระหว่างฝีมือช่าง ในสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 รวมทั้งเรื่อง ตำนานนิทานไทยโบราณ ประวัติพระคเณศและช้างอุษฏทิศ ภาพจากวรรณคดีเรื่องอุณรุท รามเกียรติ์ นารายณ์สิบปาง ตลอดจนภาพเทพเจ้า และอมนุษย์ของอินเดีย ทั้งที่ปรากฏในมหาภารตคัมภีร์และคัมภีร์ปุราณะต่างๆ​

    นอกจากนี้ก็มีพระราชพิธีโบราณของไทย เช่น พระราชพิธีโสกันต์ และภาพการละเล่นต่างๆ ของไทย เช่น กระตั้วแทงควาย แทงวิไสย ไต่ลวด และญวนหก เป็นต้น​

    อย่างไรก็ตามภาพที่ปรากฏบนฝาผนังเป็นเรื่องราวต่างๆ จำนวนมากนี้ คงเป็นฝีมือช่างหลายคน เพราะผนังพระอุโบสถนี้กว้างใหญ่มาก มีพื้นที่สำหรับเขียนภาพได้มากมาย จึงปรากฏเรื่องราวต่างๆ ในลักษณะหลายเรื่อง หลายรส หลายฝีมือช่าง มีทั้งฝีมือดีและด้อยคละเคล้ากัน
    ดังที่สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์นิพนธ์ไว้ว่าเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังงามเยี่ยมแห่งหนึ่งเท่าที่เหลือในปัจจุบัน เจ้าฟ้าอิศราพงศ์เป็นแม่กอง จัดช่างฝีมือเข้าเขียน มีฝีมือพระอาจารย์แดงวัดหงส์รัตนาราม เขียนภาพชนช้างไว้ห้องหนึ่ง อีกห้องหนึ่งเป็นภาพฝีมือนายมั่น คือ การทิ้งทานลูกกัลปพฤกษ์​

    ดังกล่าวแล้วจะเห็นว่าวัดพระแก้ววังหน้า หรือวัดบวรสถานสุทธาวาส เป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน เป็นวัดในพระราชวังหน้าของพระมหาอุปราชมาถึงห้ารัชกาล แม้ปัจจุบันจะเหลือเพียงพระอุโบสถเท่านั้นก็ตาม แต่คุณค่าของศิลปกรรมนับได้ว่า มีค่าควรแก่การศึกษาหาความรู้อย่างยิ่ง​

    โดยเฉพาะผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องราวของประวัติศาสตร์และศิลปะจึงควรหาโอกาสไปชมวัดนี้ เพราะจะได้สัมผัสหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แท้จริง ได้ลิ้มรสสุนทรียภาพจากศิลปกรรม ทั้งยังเป็นการฟื้นความทรงจำถึงวังหน้าที่สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์อีกด้วยครับ...​

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2012
  19. nakorn_nd

    nakorn_nd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +174
    พี่สุพลของผมแขวนองค์เป็นล้านนนนนน งานนี้มีคอขาดแน่ครับ พี่สมบัติ ทำไงดี. ต้องไปขอมาสักห้าแสนจะได้ไม่ต้องอันตรายมากนัก หุ หุ หุ
     
  20. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ก็ดีนะครับท่าน แต่เป็นผม...ผมขออนุญาตแบ่งจากที่มาขององค์พระพิมพ์เงินล้านดีกว่าคร๊าบ หึหึ ใช่มั๊ยท่านพี่...หรือท่านสุทน :)
     

แชร์หน้านี้

Loading...