หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. สมาชิกธรรม

    สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    งามครับ.....

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ.....ใจจดใจจ่อรอชมอยู่ครับ ทัน12ส.ค.ยิ่งดีเลยครับ
     
  2. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    เห็นท่านได้อัญเชิญพระร่วง องค์ประธานมาแล้ว ก็ขอส่งความปรารถนาดีไปให้นะครับ ครั้งที่แล้วก็เห็นท่านนนต์อัญเชิญมา ท่าทางจะหนักกระเป๋าน่าดู แต่ไม่ได้ชมมากนัก อาศัยยตอนเดินทางไปบรบือก็มึนหัว 555 เพราะคนขับนำหน้า ใช้ฤทธิ์มากไป เล่นเอารถท่านนนต์ (ที่มีผมนั่งไปด้วย) ขับตามแทบไม่ทัน เหอๆ (ปกติรถท่านนนต์ห้ามขับเร็ว)

    ไปกันครั้งนี้ค่อย focus เรื่องพระสมเด็จ เบญจภาคี แลพระเบญจเนื้อชินกันครับ
     
  3. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ..............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  4. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    คำตอบท่านเฉลยว่าเป็นอย่างไรบ้างหนอครับ คุณอ๊อด... :)
     
  5. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 8 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 4 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>IT Man, nontayan+, Indhus+, somlatri+ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    คืนนี้อาจอยู่ในบอร์ดด้วยได้ไม่นาน เพราะลืม adapter notebook มาครับ :'(
     
  6. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    ขออนุโมทนาครับท่านอ๊อด
    ผู้ที่ไม่รู้ว่าชั่วคืออะไร จึงได้กระทำชั่ว และจะยังคงทำชั่วต่อไปเป็นนิจศีล คือทำไปเพราะไม่รู้ว่ามันบาป ดังนั้นผลของบาปก็ย่อมเพิ่มมากทวีคูณไปเรื่อยๆ
    ส่วนคนที่ยังรู้ว่าชั่วคืออะไร แต่ก็ยังกระทำชั่ว นั่นแสดงว่าในจิตใจยังพอรู้และยังพอจะยับยั้งใจในการที่จะกระทำในครั้งต่อไปได้ ครั้งนี้อาจทำเพราะความจำเป็น แต่ต่อไปจะพยายามไม่ทำอีกต่อไป ดังนั้นในสันดานยังพอกล่อมเกลาได้มากกว่าผู้ที่ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ผลของกรรมจึงต่างจากกันตรงนี้ครับ
    อุปมาดั่ง คนที่จับไฟครั้งแรกจึงรู้ว่าร้อน ในครั้งต่อไปแม้จะมีความจำเป็นที่จะต้องจับ เขาก็จะพยายามไม่ให้โดนไฟ หรือให้โดนน้อยที่สุด เพราะรู้ว่ามันร้อน แต่งูที่มันกินหางตัวเองโดยไม่รู้ว่าเป็นหางของตัวเอง จนสุดท้ายมันก็ตายเพราะความไม่รู้ของมันนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2011
  7. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    วัตถุทั้งหลายไม่ว่าจะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งสมมุติ ที่แสดงออกในรูปสมมุติกับโลกสมมุติ เพื่อแทนความเข้าใจในโลกสมมุติ (กายเรายังไม่แตกดับ) แต่หากเมื่อใดที่เราวางสมมุติลง จึงจะได้วิมุตติ เมื่อได้วิมุตติแล้วก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะมายึดสิ่งสมมุตินั้น ธรรมทั้งหลายก็ล้วนเกิดจากการเรียนรู้ในสิ่งสมมุติทั้งสิ้น ถ้าไม่มีสิ่งสมมุติก็ย่อมไม่มีวิมุตติ ธรรมหรือความหลุดพ้นทั้งหลายไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ จงเรียนรู้ในสิ่งที่มี ที่เห็น ที่เป็น ในขณะปัจจุบัน เมื่อรู้มันแล้วก็ละวางมันเสีย การละวางมิได้หมายความว่าโยนหรือทำลายสิ่งสมมุตินั้นเสีย แต่หมายความว่า มีก็มี แต่เราก็ไม่ได้ยึดเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นสุข เป็นทุกข์ สิ่งทั้งหลายที่มันมีอยู่ก็ให้มันมีอยู่อย่างนั้น ให้วางที่จิตตัวเดียวครับ อย่างน้อยแม้ไม่หลุดพ้น แต่ความทุกข์ก็จะมีน้อยลง.... ขอเจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2011
  8. สาวกธรรม1

    สาวกธรรม1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +173
    สาธุขออนุโทธนากับท่านอาจารย์ด้วยครับ
     
  9. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]
    สบายดียามเช้าและขอโมทนาสาธุกับถ้อยธรรมต่างๆครับ

    เมื่อวานผมได้รับพัสดุ จากเพื่อนธรรมท่านหนึ่งที่คอยเฝ้าดูแลบอร์ดของเราอยู่เบื้องหลัง
    ท่านได้ส่งพระพิมพ์ที่ห่อและบรรจงใส่กล่องอย่างดี เพื่อไว้มอบให้เป็นที่ระลึกแด่เพื่อนธรรมที่มาร่วมทำบุญด้วย
    ผมจะกันส่วนหนึ่งไปถวายแด่พ่อแม่ครูอาจารย์ เพื่อมอบให้ลูกศิษย์ และจะแบ่งส่วนของท่านสมาชิกธรรม อัญเชิญไปถวายฯด้วย
    เพราะคิดว่ามี 2 จุดใหญ่ในการระดมทุนเพื่อสร้างศาลาปฏิบัติธรรมในครานี้

    ผมขอกราบขอบพระคุณแทนเพื่อนธรรมทั้งหลายและโมทนาสาธุบุญมา ณ ที่นี้ด้วยครับ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1200585.jpg
      P1200585.jpg
      ขนาดไฟล์:
      164.6 KB
      เปิดดู:
      1,226
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  10. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    โดย โดยพระชุมพล พลป...

    • จะนับว่าเป็นสัมมาทิฏฐิอย่างยิ่งที่เราจะรู้สึกว่าสิ่งที่บีบคั้นเรา อย่างแสนจะที่สุดนั้นก็คือกายและจิตของเรานั่นเอง
    • ภูติผีปีศาจ สัตว์ร้าย คนดุทั้งหลาย ไม่น่ากลัวเลย จิตที่ตั้งไว้ผิดนั้น น่ากลัวมากกว่านัก
    • ทุกข์ทั้งหลายมีอยู่อย่างพร้อมมูล ชนิดครบวงจรอยู่ที่กายและจิตของเราแล้ว ไม่ต้องไปแสวงหาจากที่ไหนเลย
    • สถานที่ใดที่ยังมีรูปธรรม นามธรรม สถานที่นั้นย่อมจะประกอบไปด้วยทุกข์อย่างมิอาจที่จะหลบเลี่ยงไปได้
      นิพพาน สุขัง เนื่องจากนิพพานปราศจากรูปธรรม นามธรรม จึงปราศจากการถูกบีบคั้นจากรูปธรรม นามธรรม เพราะฉะนั้น นิพพานจึงเป็นสุขอย่างยิ่ง สุขอย่างแท้จริง เพราะว่าไม่อิงอาศัยรูปธรรมและนามธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น
    • ความคิดที่จะมาเอาอะไรจากโลกนี้นั้น เดือดร้อนที่สุด
    • เมื่อไหร่ เราจึงจะเลิกเกิดเสียที
    • ที่เราพอจะเอาตัวรอดไปได้เรื่อย ๆ ก็เพราะว่าเรารู้สึกว่าเราไม่มีดีอะไร และต้องคอยแก้ไข ปรับปรุงสภาวะจิตไปเรื่อย ๆ นักปฏิบัติธรรมคนไหน ถ้าหากไปรู้สึกว่า ตัวดี ตัวเก่ง ตัววิเศษ แล้วละก้อ เจ๊งทุกรายไป
    • ความคิดมุ่งมั่นตั้งเป้าว่าจะทำอะไรให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์ เป็นมานะอย่างหนึ่ง มานะที่ว่านี้เอง เป็นรากเหง้าทั้งราคะและโทสะ
    • อวิชชาตัวสุดท้าย คือ อุปาทานยึดมั่นในความมีอยู่
    • ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม ไม่กำหนดหยั่งรู้ทุกข์ ไม่บรรลุธรรม
    • ต้นเหตุแห่งความเดือดร้อนทั้งหมด อยู่ที่กายและจิตเราเท่านั้น
    • ยิ่งเข้ามาพิจารณากายและจิตอย่างใกล้ชิดมากเท่าไหร่ ยิ่งเห็นแต่ความน่าเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ยิ่งเห็นแต่ความน่าถอนความยึดมั่น อุปาทาน ว่าเป็นตัวเราของเรายิ่งขึ้นเท่านั้น
    • จิตเอ๋ย มึงจะขึ้นลงอย่างไร กูก็ไม่เอากับมึงแล้วโว้ย (อตัมมยตา)
    • จิตเอ๋ย มึงเอาการบรรลุธรรมมาล่อ ให้กูไปหลงยึดมึงเป็นตัวกูของกูต่อไป ก็เลยต้องเดือดร้อนกับมึงไปอีกไม่รู้จักจบ กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย (อตัมมยตา)
    • ที่มันยากก็ตรงนี้เอง คือ ตั้งหน้าตั้งตารักษาจิตโดยไม่ยึดว่าจิตเป็นตัวเราของเรา
    • สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ สิ่งที่เรายึดมั่นที่สุดนั่นเอง สิ่งที่ทำให้เราเดือดร้อนที่สุดก็คือ สิ่งที่เรารักที่สุดนั่นเอง
    • ของที่บังคับบัญชาไม่ได้ ไปยึดเอาไว้ทำไม
    • ตา รูป จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัสสชาเวทนา บังคับบัญชาไม่ได้
    • หู เสียง โสตวิญญาณ โสตสัมผัสสชาเวทนา บังคับบัญชาไม่ได้
    • จมูก กลิ่น ฆานวิญญาณ ฆานสัมผัสสชาเวทนา บังคับบัญชาไม่ได้
    • ลิ้น รส ชิวหาวิญญาณ ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา บังคับบัญชาไม่ได้
    • กาย โผฏฐัพพะ กายวิญญาณ กายสัมผัสสชาเวทนา บังคับบัญชาไม่ได้

    • ใจ ธัมมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัสสชาเวทนา บังคับบัญชาไม่ได้
    • สิ่งเหล่านี้ไปยึดเอาไว้ทำไม
    • กิเลสทั้งหลาย ย่นลงมาเหลือตัณหา ๓ คือ อยากให้มา อยากให้อยู่ อยากให้ไป

    • ยิ่งปล่อยให้จิตเตลิดเปิดเปิงไปไหน ก็ยิ่งเดือดร้อนมากยิ่งขึ้นทุกที ดึงจิตให้มาหยุดในหยุดดีกว่า วิ่งตามโลกจะไปจบลงเมื่อไหร่เล่า
    • ผมชอบฉายาของพระมาก ๆ อยู่ ๓ ฉายา
    • ๑. อนาลโย แปลว่า ผู้ไม่มีอาลัยในสิ่งใด
    • ๒. ทานรโต แปลว่า ผู้ยินดีในการให้ ยินดีในการเสียสละ
    • ๓. จันทูปโม แปลว่า ผู้อุปมาด้วยพระจันทร์ หมายถึง ผู้ไม่ข้องติดด้วยตระกูล คือ พระพุทธองค์ทรงเปรียบภิกษุผู้ไม่ข้องติดหมู่ญาติโยมผู้อุปัฏฐากทั้งหลาย เป็นประดุจกับพระจันทร์ที่โคจรผ่านบ้านแล้วบ้านเล่า แล้วก็จากไปอย่างไม่อาลัยติดข้อง ซึ่งพระองค์ได้ทรงยกย่องพระมหากัสสปะในเรื่องนี้เอาไว้มากทีเดียวว่าเป็นผู้ จันทูปโม บุคคลผู้อุปมาด้วยพระจันทร์
    • พระมหาสาวกอีกองค์ที่ผมเลื่อมใสในปฏิปทาของท่านมาก คือ พระนาลกะ ผู้ประพฤติโมเนยยปฏิปทา เป็นทั้งผู้ไม่มีอาลัย และผู้อุปมาด้วยพระจันทร์ ประวัติของท่านช่างน่าเลื่อมใสศรัทธาในความใจเด็ด และความมักน้อยสันโดษเสียเหลือเกิน
    • หาคนอื่นทำไม หาตัวเองดีกว่า คิดถึงคนอื่นทำไม คิดถึงตัวเองดีกว่า ระลึกถึงคนอื่นทำไม ระลึกถึงตัวเองดีกว่า
    • เที่ยวหาคนอื่น ไปหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จงหันเข้ามาหาตัวเองเถิด เจอแน่
    • มองขันธ์ ๕ ให้เป็นมายาให้หมด
    • เราเหมือนหลับฝันอยู่ในบ้านไฟไหม้ นั่งเพลินอยู่ในถ้ำมีเสือซะแล้ว ขันธ์ ๕ มันเจ็บปวดเดือดร้อนทุกข์เข็ญเป็นสาหัสอย่างนี้ ยังมานิ่งนอนใจอยู่ได้
    • จิตที่คอยเดือดร้อน กระวนกระวาย ห่วงหาอาทรขันธ์ ๕ นั้น เป็นจิตที่งี่เง่าที่สุด
    • ที่เราเที่ยวไปเนี่ย เที่ยวไปหาใคร ? ทำไมไม่หันเข้ามาหาตัวเอง
    • เวลาเจอปัญหาอย่าเพิ่งรีบท้อแท้ ตั้งสติให้ดี เดี๋ยววิธีแก้จะผุดขึ้นมาเอง
    • ฟ้าไม่โหดร้ายกับผู้ที่ใฝ่กุศลด้วยใจบริสุทธิ์หรอกน่า
    • อย่าเพิ่งรีบตีโพยตีพายไปกับสิ่งใดๆ ถ้าจิตเราบริสุทธิ์ จะไม่เจอทางตันแน่ๆ
    • หน้าที่ของผู้ปฏิบัติธรรม คือ มาชนะใจตนเอง
    • ถ้าเป็นสุขอยู่ได้ด้วยการเพลิดเพลินอดีต ปรุงแต่งอนาคต ก็แสดงว่าก้าวพลาดเสียแล้ว
    • อย่าปล่อยให้จิตอยู่ในระดับแห่งความคิดคำนึงอันเกี่ยวเนื่องด้วยกาย ถอนจิตให้หลุดลอยออกไปจากระดับแห่งความคิดคำนึงอันเกี่ยวเนื่องด้วยกายทั้งมวลเสีย วางจิตให้อยู่ในระดับที่มีกายเหมือนไม่มีกาย สักแต่ว่าอาศัยกายนี้ประกอบกิจต่างๆ ไปเท่านั้น ไม่ยินดียินร้าย ตื่นเต้นลิงโลด ดีใจเสียใจ ไปกับความเปลี่ยนแปลงขึ้นลง เจริญเสื่อม ของกายเลยแม้แต่น้อย
    • แม้แต่กายเราเองก็ยังต้องละ กายคนอื่นไม่ต้องพูดถึงแล้ว
    • เบื้องต้นของการปล่อยวางตัวตน ให้ถอนตรงกาย เวทนา และจิต ว่าไม่ใช่ตัวเราของเราก่อน แล้วต่อไปให้ไปพิจารณาถอนอุปาทานตรงธรรมะ ว่าสภาวะธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา แล้วปล่อยวางความยึดมั่นในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเสียให้สิ้นเชิง
    • การหนีปัญหา คือ การเริ่มต้นของปัญหาใหม่อีกอันหนึ่ง
    • เราบังคับบัญชารูปไม่ได้ ถ้าไปยึดมั่นเมื่อตาเห็นรูป ก็เดือดร้อนนะซิ
      เราบังคับบัญชาเสียงไม่ได้ ถ้าไปยึดมั่นเมื่อหูยินเสียง ก็เดือดร้อนนะซิ

      เราบังคับบัญชากลิ่นไม่ได้ ถ้าไปยึดมั่นเมื่อจมูกได้กลิ่น ก็เดือดร้อนนะซิ
      เราบังคับบัญชารสไม่ได้ ถ้าไปยึดมั่นเมื่อลิ้นได้รส ก็เดือดร้อนนะซิ
      เราบังคับบัญชาโผฏฐัพพะไม่ได้ ถ้าไปยึดมั่นเมื่อกายได้โผฏฐัพพะ ก็เดือดร้อนนะซิ
      เราบังคับบัญชาธัมมารมณ์ไม่ได้ ถ้าไปยึดมั่นเมื่อใจได้ธัมมารมณ์ ก็เดือดร้อนนะซิ
    • ถ้าถอนความยึดมั่นยินดียินร้ายจากคำพูดของคนไปได้ ก็หมดความเดือดร้อนไปเยอะเลย
    • อายตนะทั้ง ๖ คู่ ประดุจก้อนเหล็กที่ไฟเผาจนโชนแดง ใครเข้าไปจับก็เดือดร้อนเอง
    • ยุทธภูมิในการสู้กิเลส จะไปรวมลงที่ใจกับธัมมารมณ์
    • สิ่งที่เห็นด้วยตาทั้งหมดเป็นมายาทั้งสิ้น สิ่งที่ได้ยินด้วยหูทั้งหมดเป็นมายาทั้งสิ้น สิ่งที่ได้กลิ่นด้วยจมูกทั้งหมดเป็นมายาทั้งสิ้น สิ่งที่ลิ้มรสด้วยลิ้นทั้งหมดเป็นมายาทั้งสิ้น สิ่งที่รับสัมผัสด้วยกายทั้งหมดเป็นมายาทั้งสิ้น สิ่งที่รู้ด้วยใจทั้งหมดเป็นมายาทั้งสิ้น สภาวธรรมทั้งหมดเป็นมายาทั้งสิ้น
    • มันเป็นมายาทั้งสิ้น เพราะว่าเกิดแล้วดับทั้งนั้น ไม่มียืนยงคงอยู่ถาวรไปจริงแม้แต่นิดเดียว
    • มันเป็นจริงเป็นจังเพราะถูกกิเลสหลอกนั่นเอง
    • กายก็เป็นมายา เวทนาก็เป็นมายา จิตก็เป็นมายา สภาวธรรมทั้งหลายทั้งปวงล้วนแล้วแต่เป็นมายา
    • จะละกายได้ต้องตีให้แตกในด่านเวทนา จะละเวทนาได้ต้องตีให้แตกในด่านจิต จะละจิตได้ต้องตีให้แตกในด่านธรรม
    • เรามาแสวงหาความสุขในโลกนี้ ที่ไหนจะมีให้เล่า
    • กาย เวทนา และจิต มันก็ไม่อยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อุปาทานไปยึดมันไว้เอง
    • สภาวะที่ไร้อุปาทานนั่นเอง คือสภาวะที่ไร้ทุกข์
    • ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติธรรมดา อุปาทานนั่นเองที่เป็นตัวไปขวางกระแสของธรรมชาติธรรมดา
    • ขวางไว้ก็ได้แต่เพียงทุกข์เป็นผลตอบแทน
    • อวิชชาคือตัวหลงมายาเป็นของจริง
    • ผู้ประมาทเพราะไม่เห็นทุกข์
    • ความจริงที่หนีไม่พ้น คือ ทุกข์
    • ความสุขไม่มีอยู่จริงในทุกกาล ทุกสถานที่
    • จิตได้เข้ามายึดมั่นในกายโดยหลงว่าเป็นสุข
    • อยากจะกู่ตะโกนร้องให้ก้องฟ้า ว่าสังขารมันทำให้เราทุกข์เดือดร้อนจนแทบบ้า แล้วยังไปยึดมันเอาไว้อีก
    • เราเป็นทุกข์เนื่องจากเวทนา เพราะไปยึดมั่นกับการเสวยมากเกินไป
    • เมื่อเข้ามาหาในตัวเอง ก็ไม่เจอตัวเอง
    • สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก คือ ความยึดมั่นเป็นตัวกูของกู
    • อยู่ให้เห็นทุกข์ ไม่ใช่อยู่ให้เห็นสุข
    • กายนี้ช่างเป็นของสาธารณะของหมู่หนอน หมู่แมลง และเชื้อโรคชนิดต่างๆ โดยแท้
    • ความสืบต่อแห่งกายเป็นไปด้วยความยากลำบาก ความแตกดับ ฉิบหายทำลายแห่งกายเป็นไปได้ ในทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกกาลโดยไม่ยากลำบากเลย
    • ความสามารถในการควบคุมสิ่งต่างๆ ในโลกจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมาเล่า ถ้ายังไม่สามารถควบคุมใจตนเอง
    • รู้เรื่องตัวเราดีกว่าไปรู้เรื่องคนอื่น รู้เรื่องจิตเราดีกว่าไปรู้เรื่องจิตคนอื่น
    • สอนตัวเองดีกว่าสอนผู้อื่น ฝึกตัวเองดีกว่าฝึกผู้อื่น ควบคุมตัวเองดีกว่าควบคุมผู้อื่น ปราบตัวเองดีกว่าปราบผู้อื่น ชนะตัวเองดีกว่าชนะผู้อื่น
    • อย่ายึดมั่นอะไรเป็นจริงเป็นจัง เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรจริงจัง
    • สักแต่ว่าดูมัน เกิดเกิด ดับดับ
    • ความรู้สึกที่ว่ามีตัวกูของกู มันฝืนธรรมชาติ
    • ธรรมชาติของโลกคือการยึดถือเอาไว้ไม่ได้
    • ปล่อยได้เมื่อไหร่ก็หมดทุกข์เมื่อนั้น
    • ขอบพระคุณทุกข์ ที่มาสอนให้เราเจียมตัวเจียมตนและไม่ประมาท
    • กายและป่าช้า เป็นเนื้อคู่ของกันและกัน โดยไม่มีใครที่จะมากีดกันบุพเพสันนิวาสของทั้งสองได้เลย
    • การกำเนิดคือการจับจองป่าช้า
    • สวัสดีท่านนักจับจองป่าช้าผู้ไม่เห็นโทษของสังสารวัฏทั้งหลาย ท่านชอบใจชนิดฝัง ชนิดเผา หรือชนิดปล่อยไว้ให้เป็นทานแก่หมู่หนอน สุนัข และแร้งกาทั้งหลายเล่า
    • หนีเท่าไหร่ก็ไม่พ้นหรอก ความตายน่ะ เจ้าโง่เอ๋ย
    • ไม่มีใครที่จะบริสุทธิ์หมดจดประดุจผ้าขาวที่ไร้รอยด่าง การมีข้อบกพร่องเป็นธรรมชาติธรรมดาของคน
    • ราคะเกิดเพราะส่งจิตออกนอก โทสะเกิดเพราะส่งจิตออกนอก โมหะคือตัวทำให้ส่งจิตออกนอก วิชชาและวิมุติ คือ จิตเห็นจิต จิตแจ้งจิต
    • บรรยากาศแห่งการบรรลุธรรม คือ ไม่วุ่นวายไปกับความวุ่นวาย ไม่เดือดร้อนไปกับความเดือดร้อน และไม่ทุกข์ไปกับความทุกข์
    • อยู่ที่นี่ ไม่หนี ไม่สู้ นั่นแหละคือตัวรู้แจ้งเห็นจริง
    • พระยามัจจุราช ได้มาจับจองพื้นที่อยู่ในทุกอณูของอัตภาพนี้ มาตั้งแต่การตั้งขึ้นของความเกิดแล้ว
    • เรากำลังต่อสู้กับความตายที่รู้ผลลัพท์มาตั้งนานแล้วว่าต้องแพ้พันเปอร์เซนต์
    • ทุกอณูของชีวิต ก็คือ ความตาย
    • ทิศทางแห่งการก้าวเดินของทุกชีวิตคือการเดินทางไปสู่ป่าช้า
    • ความสะอาดคือบ่อเกิดแห่งความสกปรกโสโครก ความฉลาดคือบ่อเกิดแห่งความโง่เขลางมงาย
    • ห่วงอะไรไม่ห่วง ดันไปห่วงขันธ์ ๕
    • ตัวหิวกับตัวลุ่มหลงเป็นตัวเดียวกัน ตัวอยากกับตัวยึดเป็นตัวเดียวกัน
    • ตัวรังเกียจกับตัวต้องการเป็นตัวเดียวกัน ตัววิ่งหนีกับตัวเข้าหาเป็นตัวเดียวกัน
    • เพราะเราต้องการจะหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ฉะนั้น ผู้ที่ต้องการไปกับเราจึงหาได้ยาก
    • เพราะสัตว์โลกยินดีในทุกข์ จึงพ้นทุกข์ไปไม่ได้ เพราะสัตว์โลกเทิดทูนบูชาทุกข์ จึงพ้นทุกข์ไปไม่ได้
    • สัตว์โลกทั้งหลาย ช่างหิวกระหายอยากในทุกข์เสียนี่กระไร
    • ทางดับทุกข์ของผู้ยินดีในทุกข์ จักมีมาแต่ที่ไหนเล่า ทางดับทุกข์ของผู้ยินดีในขันธ์ ๕ จักมีมาแต่ที่ไหนเล่า
    • สิทธิพิเศษทำให้เราอ่อนแอ และเห็นแก่ได้
    • รู้ได้ จึงละได้ ละได้ จึงรู้ได้ ถ้ารู้แล้วยังไม่ละก็แสดงว่ายังไม่รู้ ถ้าละแล้วยังไม่รู้ก็แสดงว่ายังไม่ละ
    • ถ้าเห็นโทษแล้วแต่ยังละไม่ได้ ก็แสดงว่ายังไม่เห็นโทษ
    • ต้องปล่อยวางให้หมดนั่นแหละ จึงถึงความสวัสดี ยึดเอาไว้นิดเดียวก็ต้องเดือดร้อนเต็มที่
    • สาธุ โข บรรพชา หาคนอื่นก็ไม่เจอสักที หาตนเองดีกว่า บรรพชา คือ การเข้าหาตนเอง บรรพชา คือ การดับทุกข์
    • การนำจิตให้มาหยุดในหยุด คือ การดับทุกข์อันประเสริฐ โดยไม่ต้องเปลืองปัญญา โดยไม่ต้องเปลืองสมอง
    • การดับทุกข์ต้องเป็นไปในทางสายเอก ทางเส้นเดียวของบุคคลผู้เดียว เป็นไปในที่แห่งเดียว กายเดียว ใจเดียว ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่ไป ไม่มีญาติ ไม่มีมิตร ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีหญิง ไม่มีชาย ไม่มีคู่รัก ไม่มีคู่เกลียด นั่นแลคือการดับทุกข์ ที่ปราศจากความอาลัยในโลกทั้งปวง เป็นอนาลโยแห่งนิพพานธรรมโดยแท้จริง
    • ที่นำจิตเข้ามาสู่กาย ไม่ใช่เข้ามายึดกาย แต่เพื่อมาอาศัยเป็นฐานที่ตั้งแห่งสติและเพื่อมาเห็นความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาของกายแล้วก็ปล่อยวางไป
    • มานะ ทิฏฐิ ถือเรา ถือเขา อวดดี อวดเก่ง อวดกล้า อวดดื้อ ถือดี ยกตัว ยกตน ยกหู ชูหาง เป็นผลพวงมาจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนทั้งสิ้น
    • โทษของผู้อื่นเท่าเมล็ดงา ปองติฉินนินทาไม่วายเว้น โทษของตนเองเท่าภูผา ปกปิดรักษาไม่ให้คนอื่นเห็น
    • จะค้นหาอมตะต้องค้นหาในความตาย
    • ต้องผ่านด่านแห่งความตายไป จึงเจอความไม่ตาย
    • กายนี้ยึดไว้ไม่ได้ ถือไว้ไม่ได้เด็ดขาด
    • คอยแบกความดี ความชั่ว ความเจริญ ความเสื่อม ของโลกเอาไว้ มันหนักไม๊วะ
    • พอกันทีกับการเก๊กท่าเพื่อให้ชาวโลกเคารพ ศรัทธา ยกย่อง สรรเสริญ บูชา
    • อุปสรรคที่เป็นเพียงมโนภาพนึกคิดที่คาดเดาว่าจะเกิดนั้น เราฝ่าฟันได้แล้ว แต่กับอุปสรรคที่เป็นของจริงน่ะ เราผ่านได้หรือยัง
    • รู้จากตำรา สู้รู้จากประสบการณ์ในเหตุการณ์จริงไม่ได้
    • อย่ามั่นใจว่าตนเองไม่กลัวตาย ตราบใดที่ยังไม่ได้เผชิญหน้ากับความตาย
    • จงฆ่ากิเลสให้ได้เสียก่อน ก่อนที่มันจะมาฆ่าเรา
    • อย่าทำร้ายตัวเองโดยการประคบประหงมกิเลส
    • ถ้าเราแสวงหาสถานที่ปลอดภัย จะต้องกลัวต่อสถานที่อันตราย
    • ถ้าเราแสวงหาสถานที่สงบ จะต้องกลัวต่อสถานที่วุ่นวาย
    • ถ้าเราแสวงหาสถานที่รื่นรมย์ จะต้องกลัวต่อสถานที่สยดสยอง
    • เราจะเกิดมาทุกข์ทรมานอีกหลายชาติ เพราะติดและอาลัยในรสอาหารหรือไม่
    • คิดถึงคนอื่นทำไม มากำหนดสภาพความเกิดดับของใจดีกว่า
    • คุยกับคนอื่นทำไม คุยกับสภาวะปัจจุบันอารมณ์ของกาย เวทนา จิต และธรรมดีกว่า
    • การหลงเพลินปรุงแต่งไปกับอดีต อนาคต เป็นยาพิษแห่งใจ ขนานร้ายแรงเหลือเกิน
    • อยู่อย่างไร้ค่าเหมือนก้อนหิน ท่อนไม้ ยังดีกว่าที่จะต้องไปแบกความหมกมุ่นกังวล ดีใจ เสียใจ ไปกับเรื่องของคนอื่น
    • อย่าเป็นห่วงกังวลหมกมุ่นกับการดำเนินไปตามกฎแห่งกรรมของสัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวง
    • ปัจจุบันอารมณ์มีค่ายิ่งกว่าทองพันชั่ง เพชรหมื่นกะรัต
    • การกราบไหว้เคารพบูชาของคนทั้งโลก ก็ไม่มีค่าแม้แต่เสี้ยวเดียวของการตั้งจิตอย่างมั่นคงแข็งแกร่งในปัจจุบันอารมณ์
    • ปัญหาทั้งหลายทั้งปวง สามารถแก้ได้ด้วยการตั้งสติให้มั่นคง ในปัจจุบันอารมณ์ในฐานทั้ง ๔ ฐานใดฐานหนึ่ง คือ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม
    • จิตที่สิ้นความอาลัยอาวรณ์ ในโลกียสมบัติทั้งปวง แล้วมาตั้งอย่างแน่วแน่ในปัจจุบันอารมณ์ คือ จิตหลุดพ้น
    • ดับทุกข์ได้ก็พอแล้ว ไม่ต้องบรรลุเป็นอะไรหรอก
    • ต้องเผชิญกับทุกข์สุดขีด ปัญญาตัวแท้จึงจะโผล่
    • ปัญญามาพร้อมกับความทุกข์ ไม่ใช่มาพร้อมความสบาย
    • การที่จะอยู่โดยปราศจากทุกข์ ต้องอยู่อย่างปราศจากตัวตนเท่านั้น
    • การหลงติดกับสุขเวทนาไม่ว่าจากอายตนะใดก็ตาม คือการฆ่าตัวตาย
    • มัจจุราช ย่อมตามฆ่าบุคคลผู้เพลิดเพลินหลงเสวยสุขเวทนา เหมือนพรานเบ็ดฆ่าปลาที่หลงเหยื่อ ฉะนั้น
    • ถ้าจะทิ้งกายให้ได้ ต้องทิ้งเวทนาให้ได้ด้วย และต้องทิ้งจิตให้ได้ด้วย
    • ข้าพเจ้าขอร้องไห้ ให้กับความคิดที่อยากจะให้คนมาเคารพยกย่องบูชา จนน้ำตาเป็นสายเลือด
    • การหวั่นไหวต่อโลกธรรม คือความฉิบหายวอดวายของสัตว์โลก
    • โครงการทั้งหลายของเราสามารถผิดพลาดล้มเหลวได้ทั้งสิ้น
    • นิสัยร่าเริง รื่นเริง ของเรา เกิดมาจากการไม่เห็นทุกข์เห็นโทษของโลกหรือเปล่า ?
    • โลกนี้ ย่อมสวยสดงดงามสำหรับคนโง่เสมอ
    • ลาภสักการะและการเคารพบูชาในตระกูลต่างๆ ปรากฏแก่เราประดุจหลุมถ่านเพลิง
    • สังขารที่เที่ยง ไม่มีในโลก
    • ความเข้าใจผิดนั่นเองที่ทำให้เราแสดงออกมาอย่างผิดๆ เราต้องแก้ความเข้าใจผิด เพื่อจะให้เลิกแสดงออกมาอย่างผิดๆ เข้าใจผิด ว่า กายเป็นของเรา เวทนาเป็นของเรา และจิตเป็นของเรา
    • ความยึดมั่นถือมั่นเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความเดือดร้อนทั้งปวง
    • จะเป็นกำไรชีวิตมากเหลือเกิน ถ้าหากจะมีเหตุการณ์ใดๆ ก็ตาม ที่จะมาทำให้เรารู้ว่า ตัวเองยังไม่เก่งจริง ตัวเองยังไม่ดีจริง
    • สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ การหลงว่าสังขารที่แสนทุกข์นั้นเป็นสุข
    • อารมณ์รักที่เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ใด คือ ปริมาณที่บ่งบอกออกมา ถึงความอ่อนแอของจิต ความหิวโหยของจิต ความไม่เป็นตัวของตัวเองของจิต และความพึ่งตัวเองไม่ได้ของจิต
    • ขอบพระคุณมารที่มาช่วยให้เราได้ธรรมะ
    • อย่าให้คะแนนคนจากรูปร่างหน้าตา
    • สำหรับผู้ที่บรรลุธรรมที่แท้จริง จะไม่มีความรู้สึกอยากจะบอกให้ใครรู้ว่าตัวเองบรรลุธรรมเลย
    • เมื่อถอนอุปาทานได้หมดก็อยู่อย่างไม่ต้องห่วงอะไร
    • ยึดเอาไว้แล้วมันเป็นไปได้อย่างที่ยึดซะเมื่อไหร่
    • ความรักตัดง่าย ความเสียดายตัดยาก
    • อุปาทานคือความยึดว่าเป็นตัวกูของกู ตัณหาคือความเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการสรรพสิ่งทั้งหลาย ๓ ประการ คือ อยากให้มา อยากให้อยู่ และอยากให้ไป ตัณหาและอุปาทานทั้ง ๒ นี้ ต่างก็เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
    • อยากละอุปาทาน ต้องละตัณหาให้ได้ อยากละตัณหาต้องละอุปาทานให้ได้
    • จะละตัณหา ต้องทำทุกสิ่งตามหน้าที่ ไม่ทำด้วยความอยาก
    • ตัณหา ๓ สรุปลงเหลือ ความยินดีและยินร้าย
    • กายนี้ไม่ใช่ของเรา ความเจริญและความเสื่อมของกายนี้ เราไม่รับผิดชอบ
    • ความผิดพลาดทั้งหมดอยู่ตรงที่ การดำรงจิตอยู่ในโลกอย่างมีอุปาทานนั่นเอง
    • ความคิดที่จะเสวยโลกเกิดจากความคิดที่ว่ามีตัวกูของกู
    • และแล้วเราก็เข้าใจผิดคิดว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีอยู่จริง
    • ความเดือดร้อนของเราเกิดมาจากชอบทำอะไรตามใจตัวเอง
    • สิ่งใดร้อน สิ่งนั้นยึดไว้ไม่ได้ สิ่งใดทุกข์ สิ่งนั้นยึดไว้ไม่ได้
    • สถานที่ใดหรือเวลาใดที่อยู่อย่างไม่ได้สัมผัสทุกข์ จงระวังให้ดีว่าความประมาทจะขึ้นขี่คอโดยไม่รู้ตัว
    • จะรู้ว่าใจเราแข็งแกร่งหรือไม่ ต้องดูในสถานการณ์ที่ผจญกับความทุกข์ ไม่ใช่สถานการณ์ที่เสวยความสบาย
    • ขณะที่เผชิญทุกข์นั่นเอง ที่เราจะรู้ได้ว่าเราประมาทในเรื่องอะไรมาบ้างในกาลก่อน
    • จงระวังตนเองจะเป็นคนแข็งกร้าวโดยปราศจากความแข็งแกร่ง
    • เธอไม่ผิดหรอก แต่วิธีที่เธอใช้น่ะมันผิด
    • ความทุกข์เป็นสัญญาณบอกล่วงหน้า ว่าภาวนามยปัญญาจะเกิด
    • จิตที่คิดแสวงหาลาภสักการะ ยศถาบรรดาศักดิ์ การยกย่องสรรเสริญจากฝูงชน เป็นจิตที่นำไปสู่ความฉิบหาย
    • ความประเสริฐอยู่ที่ความบริสุทธิ์ของใจ ไม่ใช่อยู่ที่การยอมรับของสังคม
    • ถอนความรู้สึกว่าเป็นตัวเป็นตน ถอนความคิดอยากให้มา อยากให้อยู่ อยากให้ไป แล้วตั้งจิตเป็นกลางวางเฉยนิ่งอยู่
    • เมื่อถอนอุปาทานที่ยึดมั่นถือมั่นในจิตออกเสียได้ ก็ไม่ต้องไปสนใจแล้วว่าจิตจะบรรลุธรรมหรือไม่ บรรลุธรรมเมื่อไหร่
    • สันติสุขจะหาได้จากใจที่เป็นกลางเท่านั้น
    • และแล้ว ดอกรักก็กลายเป็นดอกโศก
    • ในฐานะที่ไม่มีใครโอ๋ ไม่มีใครช่วยเหลือ ไม่มีใครประคบประหงม ไม่มีใครช่วยปกป้อง ไม่มีใครคอยคุ้มภัย ไม่มีใครคอยอำนวยความสะดวกนั่นแล จึงเป็นโอกาสที่สามารถจะสร้างและบำเพ็ญบารมีขั้นสูงได้
    • เมื่อผ่านสภาวการณ์ที่โหดร้าย จะได้จิตใจที่เข้มแข็งมา
    • ชีวิตคือการเล่นขายของที่โง่เขลาที่สุด เนื่องจากว่าผู้ที่เข้ามาเล่น กลับหลงว่าเป็นเรื่องจริงเรื่องจัง
    • การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ต้องหนีความเดือดร้อน แต่ในขณะที่ความเดือดร้อนบังเกิดขึ้น แล้วเราตั้งจิตให้มั่นคงปล่อยวางได้ นั่นแหละเรียกว่า การบรรลุธรรม
    • ความทุกข์เดือดร้อนทุกชนิดของโลก ถือว่าเป็นครูที่แสนดีที่มาสอนและมาเตือนให้ปล่อยวาง
    • เมื่อสติออกนอกฐาน ญาณก็ตก กิเลสก็เกิด
    • ความสุขที่ต้องอาศัยคนอื่น เป็นความสุขของทาสหรือขี้ข้า
    • จิตที่ไร้อุปาทานคือความมีขอบเขตที่ไร้ขอบเขต
    • ถอนตัณหาออกเสียกระทั่งราก แล้วอยู่อย่างไร้ปัญหาไปตราบจนกระทั่งถึงวันตาย
    • ความไร้ตัวไร้ตน คือ ความที่ทั้งไม่สะอาดและไม่แปดเปื้อน
    • ถ้ายังสะอาดอยู่ ก็ยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้ายังแปดเปื้อนอยู่ ก็ยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์
    • สิ่งที่ปิดกั้นขวางทางนิพพานของสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่เห็นช่องว่าง คือ ความอวดดื้อ และถือทิฏฐิมานะ
    • ความเข้าใจที่ว่า มีตัวเราตั้งอยู่ตลอดเวลาตลอดกาล เป็นความเห็นผิด
    • ในเมื่อไม่มีตัวเราตั้งอยู่ตลอดเวลา แล้วจิตจะต้องไปแบก ไปหาบ ไปคอน ไปหมกมุ่นกังวล ในสิ่งใดทำไมเล่า
    • สิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ชั่วขณะแห่งการผัสสะของอารมณ์เท่านั้น
    • เมื่อตัวแสดงไม่มีเสียแล้ว ละครทั้งเรื่องก็กลายเป็นโมฆะไป เมื่อตัวเราและตัวเขากลายเป็นอนัตตาไปเสียแล้ว เรื่องราวทั้งมวลในโลกจะมีได้อย่างไร
    • ตัวเราก็ไม่มี ตัวเขาก็ไม่มี แล้วจะรักใคร แล้วจะโกรธใคร
    • การบรรลุธรรมไม่ใช่เรื่องของกาย แต่เป็นเรื่องของจิตที่ไปยึดกาย การบรรลุธรรมไม่ใช่เรื่องของจิต แต่เป็นเรื่องของจิตที่ไปยึดจิต
    • ของอะไรก็ตามที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ต้องไม่ใช่ของเราแน่ จิตเป็นของที่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งจากภายนอกบ้าง จากภายในบ้าง ฉะนั้นจิตต้องไม่ใช่ของเราแน่ ฉะนั้นการที่จะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในจิตอันไม่ใช่ของเรานั้น ไม่เป็นการสมควรเลย
    • อะไรหนอที่จะเปลี่ยนแปลงได้ไวเท่ากับจิต ฉะนั้นอะไรหนอที่จะไม่น่ายึดมั่นถือมั่นเท่ากับจิต
    • จิตเป็นสิ่งที่ต้องรักษา แต่ก็ต้องรักษาอย่างปล่อยวาง คือรักษาอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าจิตเป็นเรา เราเป็นจิต
    • อย่าหิวกระหายในการเลื่อนชั้นของจิต
    • เพราะสิ่งทั้งหลายมันไม่แน่นอน จึงยึดเอาไว้ไม่ได้
    • อุปาทานนั่นเองที่เข้ามาตีกรอบไว้ ไม่ให้จิตมีอิสระ
    • ถ้าคิดจะหาความสุขจากสังขารละก้อ งี่เง่าสิ้นดี
    • ธรรมชาติของสังขารทั้งปวงนั้นมันเป็นของว่างอยู่แล้ว แต่ว่าอุปาทานนั่นเองที่เข้าไปยึดไว้ บังตาไว้ ไม่ให้มันว่าง
    • ธรรมชาติเค้าไม่ยอมให้ยึด ไปยึดทำไม
    • ไม่เที่ยงก็เท่านั้น เดือดร้อนก็เท่านั้น บังคับไม่ได้ก็เท่านั้น เจ้าสังขารเอ๋ย
    • เมื่อเข้าไปค้นในกายในใจด้วยปัญญาญาณ ก็เจอแต่ทุกข์ทั้งสิ้น
    • เวลาเบื่อโลกไม่ใช่ต้องหนีโลก แต่ให้ถอนความยึดมั่นถือมั่นเป็นเราเป็นเขาออกจากโลกเสีย
    • ทุกข์ที่ตรงไหน ให้ถอนความยึดมั่นถือมั่นออกจากตรงนั้นก่อน ถอนให้หมด ถอนให้ไม่มีเหลือ
    • ถอนสมมุติทั้งมวลออกให้หมด แล้วอยู่อย่างไร้ตัวกูของกู
    • ของในปัจจุบันเท่านั้นที่มีอยู่ ของในอดีตและของในอนาคตไม่มี
    • รูปธรรมก็สักแต่ว่าเป็นรูปธรรม นามธรรมก็สักแต่ว่าเป็นนามธรรม ไม่มีตัวไม่มีตน
    • อาการยึดมั่นถือมั่นของจิต เกิดจากอำนาจของโมหะ ความไม่รู้
    • เมื่อญาณปัญญาเข้าไปเจาะลึกในขันธ์ ๕ รูปธรรมและนามธรรมก็มีค่าเท่ากัน คือ ไร้ค่าเท่ากัน
    • ทอดอาลัยในกายและจิตอันนี้เสียทีได้แล้ว
    • ถอนอุปาทานออกให้หมด แล้วขันธ์ ๕ นี้มันจะเจริญหรือเสื่อม ได้ดีหรือได้ชั่ว ก็ช่างมันแล้ว
    • ไปบีบเค้นของไร้สาระให้เป็นสาระแก่นสาร มันจะได้หรือ ?
    • ความทุกข์เข็ญ คือ มิตรแท้ของผู้ปฏิบัติธรรม
    • วางอุเบกขาเป็นไม๊ วางอุเบกขาเป็นไม๊ วางอุเบกขาต่อโลกเป็นไม๊
    • เรายังให้คุณค่าความหมายความสำคัญต่อกายมนุษย์อยู่ตราบใด ก็ยังไม่พ้นทุกข์อยู่ตราบนั้น
    • นึกถึงความเจริญรุ่งเรืองของเราแล้วจิตมันรู้สึกเฉยๆ นึกถึงความเสื่อมตกอับของเราแล้วจิตมันรู้สึกเฉยๆ
    • อุเบกขาที่สมบูรณ์ด้วยสตินั่นจึงเป็นอุเบกขาแท้
    • การถอนอุปาทาน จะถอนได้ก็ในขณะที่สติเต็มเปี่ยมเท่านั้น
    • การบรรลุธรรม ไม่ต้องให้ใครมายอมรับและรับรู้ด้วย
    • คิดกำไร ขาดทุน รายได้ รายเสีย มากๆ ทำให้เป็นบ้าได้
    • รู้มากถ้าหากละไม่เป็น ก็ยิ่งบ้ามากขึ้นทุกที
    • จิตที่มีอุปาทานทรงอยู่ในโลกเพื่อรับความเดือดร้อนแท้ ๆ
    • ต้องละอวิชชาให้สิ้นนั่นแล มานะจึงจะขาดลอย
    • คนเรามันพลาดกันได้ แต่ในเมื่อพลาดแล้วก็ขอให้ฉลาดขึ้นกว่าเดิม ไม่งั้นก็จะไม่คุ้มค่าที่พลาด
    • การเข้าไปเสพเสวยรสของโลกคือตัวกาม
    • ความทุกข์ดัดนิสัยคนได้ดีเหลือเกิน
    • การดับทุกข์มีวิธีเดียว คือ เลิกยึดมั่นถือมั่นในทุกข์
    • ปัญญาหมาจนตรอกนั่นแหละ คือ ปัญญาละกิเลส
    • ถามตัวเองดูซิว่า บังคับได้หรือไม่
    • กิเลสทุกตัวมีรากเหง้าอยู่ที่อวิชชา ตราบใดที่ยังไม่ถอนอวิชชาจนรากขาดสะบั้น ตราบนั้นกิเลสทุกตัวก็จะยังไม่หายสาบสูญไปได้อย่างสิ้นเชิง
    • ขอนิยามความหมายของคำว่า กามราคสังโยชน์ และปฏิฆสังโยชน์ ที่พระอนาคามีละ ว่าดังนี้ คือ กามราคสังโยชน์ คือ ความกระตือรือร้นในการยินดี ปฏิฆสังโยชน์ คือ ความกระตือรือร้นในการยินร้าย บุคคลที่เป็นพระอนาคามี ยังมีความยินดีและยินร้ายอยู่ แต่ไม่มีความกระตือรือร้นในการยินดี และไม่มีความกระตือรือร้นในการยินร้าย
    • เราขอมีชีวิตอยู่เพื่อเทิดทูนบูชาความสละ
    • ความสันโดษมักน้อยคือมิตรแท้ของเรา
    • เกี่ยวกับเรื่องธรรมะนั้น เราไม่สามารถที่จะเป็นครูของใครได้ เป็นได้แค่ผู้แนะนำเท่านั้น ครูของคนทั้งหลายก็คือความทุกข์ที่เขาเผชิญอยู่นั่นเอง
    • ชีวิต คือ อะไร ? ชีวิตก็คือสิ่งที่เริ่มต้นด้วยความเกิด และปิดท้ายด้วยความตายยังไงล่ะ
    • … และแล้ว เขาก็กลับคืนสู่ป่าตามเดิม
    • การเจริญสติกับปัจจุบันอารมณ์ให้มากๆ คือทักษะแห่งการดับทุกข์โดยตรง
    • จิตที่ทรงอยู่ด้วยอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อยู่โดยปกติ จะถูกธรรมชาติบีบบังคับให้เข้าสู่นิพพานเป็นเที่ยงแท้
    • บุคคลที่เข้มแข็ง คือ บุคคลผู้อยู่คนเดียว บุคคลที่มีคู่และต้องการคู่ เป็นบุคคลอ่อนแอทั้งสิ้น
    • นะโม ตัสสะ ตัสสะ ตัด ใครผูกใครมัด ตัดด้วย นะโม ตัสสะ … ตัสสะ
    • จิต คือ สภาวะธรรมที่สมบูรณ์อยู่ในตัวของตัวเองแล้ว คือว่าไม่ต้องรักใครก็สามารถดำรงอยู่ได้ และไม่ต้องให้ใครมารักก็สามารถดำรงอยู่ได้
    • ต้องทำตัวให้โดดเด่นนั้น เป็นเงื่อนไขของธรรมะ หรือ ของกิเลส
    • เมื่อหมดตัวหมดตนก็เหลือแต่อุเบกขา และสติ
    • ศีลของเราคือ ‘จาคะ’
    • การจะถอนอุปาทานในบุญนั้น สามารถสร้างบุญได้ แต่ให้ถอนจิตจากการอิงอาศัยสุขโสมนัสอันเนื่องมาจากการสร้างบุญ
    • อย่าหวังอะไรจากใครอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าคนนั้นจะใกล้ชิดสนิทสนมแค่ไหน จนกระทั่งแม้แต่ตัวเองก็หวังอะไรไม่ได้
    • เราหวังอะไรจากสิ่งใดๆ ในปริมาณเท่าใด จะต้องทุกข์เดือดร้อนจากความผิดหวังโดยประมาณเท่านั้น ยิ่งหวังในปริมาณมาก ยิ่งทุกข์เดือดร้อนจากความผิดหวังเป็นปริมาณมากเป็นเงาตามตัว
    • ผลแห่งความสำเร็จทั้งหลาย ไม่ได้เป็นไปตามใจที่หวัง ฉะนั้น ผู้ใดหวังมากย่อมเดือดร้อนมาก
    • ทำทุกสิ่งไปตามหน้าที่แล้วอย่าหวังอะไรให้มาก
    • ตัวหวังกับตัวยึดมั่นถือมั่นก็อันเดียวกันเปี๊ยะเลย
    • ระหว่างคนต่อคน ถ้าหากมีน้ำมิตรซึ่งกันและกันแล้ว อย่าไปดูเพียงมารยาทที่แสดงต่อกันว่าดีหรือเปล่า จงดูเข้าไปถึงว่า มีความจริงใจต่อกันหรือเปล่า หวังประโยชน์เกื้อกูลต่อฝ่ายตรงข้ามหรือเปล่า หวังความเจริญรุ่งเรืองของฝ่ายตรงข้ามหรือเปล่า ขวนขวายเพื่อยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ฝ่ายตรงข้ามหรือเปล่า
    • อย่าให้คะแนนมารยาท มากกว่าความจริงใจ
    • อย่าให้คะแนนวาจาอ่อนหวาน มากกว่าวาจายังประโยชน์
    • ขอให้น้ำตาแต่ละหยดที่หลั่งไหล จงเป็นน้ำตาแห่งความเด็ดเดี่ยวและเอาจริงเถิด อย่าเป็นน้ำตาแห่งความอ่อนแอและท้อแท้เลย
    • จิตที่ไม่ต้องรักใคร และไม่ต้องการให้ใครมารัก เป็นสุขยิ่งกว่าจิตที่สมหวังในรัก หลายพันเท่านัก
    • ความรักกับความเจ็บปวดเดือดร้อน ไม่ได้มีความหมายแตกต่างกันเลย
    • การงานที่มีสาระที่แท้จริงก็คือ การงานที่ทำเพื่อเป็นปัจจัยแห่งการพ้นโลกเท่านั้น
    • ชีวิตที่มีสาระคือชีวิตที่ไม่มีความอาลัยในชีวิต
    • กายก็มีของมันอยู่อย่างนั้น จิตก็มีของมันอยู่อย่างนั้น แต่ความรู้สึกว่าเรามันไม่มี
    • ความสิ้นอุปาทาน คือ มีจิต มีกาย แต่ไร้เรา
    • เมื่อจิตไม่ต้องการอะไร จึงได้ทุกสิ่ง
    • เมื่อจิตเข้าใจสภาพความจริงอย่างถ่องแท้ แล้วก็ปล่อยให้กระแสทั้งหลายไหลไปอย่างเดิม อยู่อย่างเดิม เป็นอย่างเดิม
    • ที่เรียกว่า บรรลุธรรม นั้น ความจริงไม่บรรลุอะไรเลย
    • เมื่อถอนเราออกเสียได้ ปัจจุบันก็กลายเป็นคำตอบ ไม่ต้องแสวงหาคำตอบจากอดีต และไม่ต้องแสวงหาคำตอบจากอนาคต ปัจจุบันกลายเป็นจุดหมายปลายทางอยู่ในตัวมันตลอดทุกขณะจิต
    • หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เมื่อเลิกหาจึงเจอ เมื่อเจอแล้วก็ไม่รู้หาทำไม ไม่รู้เจอทำไม
    • เมื่อรู้รอบจนจบกระบวนการแล้ว สติและปัญญามันก็ทำงานของมันเองอย่างไม่มีติดขัด ขัดข้องในประการใดเลย
    • พวงหรีดเตือนจิตได้ดีกว่าพวงมาลัย
    • ปริมาณความเข้มข้นแห่งความต้องการเสพโสมนัสเวทนาก็คือ ปริมาณความเข้มข้นแห่งความยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน และก็คือปริมาณความเข้มข้นแห่งความทุกข์เดือดร้อน
    • ปริมาณความเข้มข้นของอุปาทานดูได้จากปริมาณความเข้มข้นของตัณหา ปริมาณความเข้มข้นของตัณหาดูได้จากปริมาณความเข้มข้นของอุปาทาน
    • ความวางเฉยต่อทุกข์ได้นั่นแหละ คือความดับทุกข์
    • การหนีทุกข์ไม่ใช่การดับทุกข์ แต่เป็นการทวีคูณให้แก่ทุกข์
    • การรอคอยสิ่งใดก็ตาม เป็นการกระทำของคนโง่ จิตที่หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงจะไม่รอคอยต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
    • จิตที่ตกเป็นทาส จะมีความเปรื่องปราชญ์มาจากไหน
    • จิตที่บ้าอำนาจจะไม่ตกเป็นทาสได้อย่างไร
    • ความเฉยชาต่อปีติ และโสมนัสเวทนา คือแง่มุมหนึ่งของความดับทุกข์
    • จะดับทุกข์ได้ต้องที่ใจที่ถึงพร้อมเต็มเปี่ยมด้วยสติ และอุเบกขาเท่านั้น
    • สติที่เป็นไปในกาย คือ กุญแจดอกสำคัญสำหรับไขปัญหาที่แก้ไขได้ยาก นานับประการเลยทีเดียว
    • ผู้ที่บรรลุถึง วิริยะและขันตินั่นแล จึงจะบรรลุแล้วเห็นเอง
    • การปล่อยวางที่ไม่ถึงพร้อมด้วยสติ ไม่ใช่การปล่อยวาง การบรรลุธรรมที่ไม่ถึงพร้อมด้วยสติ ไม่ใช่การบรรลุธรรม
    • เจอคนรัก มิสู้เจอคนไร้รัก
    • … และแล้ว ก็ไม่รู้จะยึดเอาไว้ทำไม
    • กายนี้ไม่ใช่ของเรา และกายที่เป็นของเราก็ไม่มีด้วย ใจนี้ไม่ใช่ของเรา และใจที่เป็นของเราก็ไม่มีด้วย
    • ผู้ยิ่งใหญ่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างหน้าชื่น
    • การยึดมั่นถือมั่นเป็นการสวนทางกับความจริง เพราะว่าสรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า
    • จะขัดแย้งกับอะไรก็ขัดแย้งไปเถอะ แต่ถ้าหากไปขัดแย้งกับความจริงเข้าละก้อ จะมีแต่การขาดทุนฝ่ายเดียว
    • โลกแห่งการปรุงแต่ง น่ากลัวที่สุด
    • ความหลุดพ้นเป็นสิ่งไร้ภาษา
    • กิจกรรมแห่งความไม่ประมาท คือ การกำหนดหยั่งรู้ทุกข์เป็นนิจศีล
    • ความทุกข์คือยาขม สำหรับแก้โรคประมาท
    • ความเจริญรุ่งเรืองในทางธรรม ก็ยังถูกกิเลสนำเอามาเป็นเหยื่อล่อหลอก ให้ผู้ปฏิบัติธรรมลุ่มหลงยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตน เป็นดีเป็นวิเศษเหนือมนุษย์จนได้
    • ผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตัวโดยปริมาณ ยิ่งจะถูกพญามารหลอกให้หลงทางได้ง่ายดายเหลือเกิน
    • ธรรมภาษิตเหล่านี้ผุดขึ้นมาในจิตขณะปฏิบัติธรรม ขอให้ถือว่า ธรรมเหล่านี้เป็นสมบัติกลางของธรรมชาติ ไม่ใช่ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้บันทึกเท่านั้น ฉะนั้น จึงไม่สงวนลิขสิทธิ์
    • สถานที่บันทึก แม่ฮ่องสอน – เชียงใหม่ (๒๕๓๗)
    • คุณความดีของบันทึกชุดนี้ ขอถวายบูชาพระคุณของท่านพระครูภาวนานุศาสก์ (แป้น ธมฺมธโร) วัดไทรงาม อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ผู้มีเมตตาต่อศิษยานุศิษย์อย่างหาประมาณมิได้
    ที่มา จากวัดสันติธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2011
  11. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    ไม่สุขล้น ไม่จ่อมจมในทุกข์

    ไม่ต้องย้อนคิดในสิ่งที่ผ่านมา ไม่คาดหวังในอนาคต จงพิจารณาในปัจจุบัน
    สิ่งที่เคยมี เคยเห็น เคยเป็นในอดีต (การงาน การเงิน ชื่อเสียง ฯลฯ) ก็ให้มันผ่านไป เพราะแก้ไขหรือเรียกร้องมันมาเหมือนเดิมไม่ได้

    สิ่งที่จะเกิดขึ้น จะเห็น จะเป็น ในอนาคต ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามวาระ อะไรจะเกิด จะเห็น จะเป็น ก็ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ

    ปัจจุบัน จงมีสติระลึกได้ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น พยายามละวางในสิ่งที่เราเคยมี เคยเห็น เคยเป็นมาในอดีต อย่าย้อนไปคิดมัน การละวางคือการลดมานะทิฏฐิในเบื้องต้น ให้ระลึกเสมอว่า เราเคยเกิด เคยเจ็บ เคยปวด เคยสุข เคยทุกข์ เคยฆ่าเขา เคยถูกเขาฆ่า เคยตกนรก เคยขึ้นสวรรค์ เคยบวช เคยสึก เคยเป็นสัตว์ เคยเป็นจิปาถะ นับไม่ถ้วนเรื่องชาติภพ.... หากมันจะเกิดขึ้นอีกในชาตินี้ ก็ไม่เห็นจะไปทุกข์อะไรกับมันอีก มันอยากเป็นก็ให้มันเป็น มันจะตายก็ให้มันตาย เพราะตายมาหลายภพแล้ว อย่างไรมันก็ต้องตาย... นี่เป็นอุบายให้เราลืมความทุกข์เศร้าหมองได้ในเบื้องต้น(ผมผ่านเรื่องนี้มาแล้ว)... ส่วนการจะปล่อยวางในระดับสูงขึ้น(ระดับกลาง) ก็ต้องฝึกจิตให้ละวางคือ อุเบกขาให้เป็นนิจศีล คือ เมื่อมีสิ่งใดมากระทบทั้งสุขและทุกข์ ก็ให้รู้เร็ว และละวางเร็ว ภายในหนึ่งวัน หนึ่งชั่วโมง สามสิบนาที สิบนาที ห้านาที หนึ่งนาที สามสิบวินาที หนึ่งวินาที ลงไปตามลำดับ... นี่คือการละวางในระดับกลาง ต้องฝึกจิตระงับความรัก โลภ โกรธ หลง ให้เป็นปรกติ (ผมกำลังเข้าสู่ช่วงการปฏิบัตินี้)... ขั้นสูงสุดขึ้นไปอีกคือ การรู้ในสิ่งที่มี ที่เห็น ที่เป็น ที่มากระทบอายตนะทั้งหมด แล้ววางมันลงทันที ไม่มีสิ่งใดไปเกาะเกี่ยวในสภาวะจิตใจได้เลยแม้แต่น้อย คือสภาวะสุญญตาในขั้นปฏิบัติสูงสุด อันเป็นหนทางพระนิพพานนั่นเอง

    พระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย แม้ท่านจะตัดกิเลสได้ทั้งหมดแล้ว แต่กายสังขารท่านยังดำรงอยู่ ท่านก็ยังต้องใช้สิ่งสมมุติหรือแสดงรูปสมมุติในโลกของสมมุติเช่นเดียวกันกับพวกเรา เพียงแต่ท่านไม่ได้ยึดถือเอามันอีกแล้ว ปัจจัยทั้งสี่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ก็ยังต้องใช้อยู่ แต่ใช้เพื่อการดำรงธาตุขันธ์ให้อยู่ในโลกสมมุติได้นั่นเอง...เมื่อท่านนิพพาน(กายแตกดับลงไป) ก็ไม่เหลืออะไรเป็นสิ่งสมมุติอีกต่อไป

    นักปฏิบัติจะต้อง ไม่สุขจนล้น ไม่จ่อมจมในทุกข์ ความว่างความกลาง คือ หนทางความหลุดพ้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2011
  12. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  13. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD style="OVERFLOW: hidden" vAlign=top rowSpan=2 width="16%">Jit สมาชิกแบบเต็มตัว
    [​IMG][​IMG]

    พลังใจ: 9
    [​IMG] ออฟไลน์

    กระทู้: 53


    [​IMG] [​IMG]
    </TD><TD height="100%" vAlign=top width="85%"><TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center>[​IMG]</TD><TD vAlign=center>ฮาบ่มีอดีต ฮามีแต่ปัจจุบันและอนาคต ชีวิตของฮาถวายให้กับพุทธศาสนาแล้ว
    « เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2011, 02:58:41 PM »
    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" height=20 vAlign=bottom align=right>[​IMG]อ้างถึง [​IMG]แยกหัวข้อ </TD></TR></TBODY></TABLE><HR class=hrcolor SIZE=1 width="100%">
    ได้อ่านพบข้อคิด และข้อปฏิบัติอันดีงามต่างๆของท่าน อันเป็นต้นแบบการปฏิบัติธรรม จาก หนังสือ"วินาทีบรรลุธรรม โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์" ซึ่งเขียนโดย "เธียรนันท์" เห็นว่า เป็นเรื่องที่ดี และน่าอ่าน น่าเผยแผ่ จึงได้ขออนุญาตินำมาเขียนลงในคอลัมน์นี้ เพื่อให้ท่านผู้สนใจทุกท่าน ได้อ่านกัน หากสิ่งใดเป็นเรื่องดี ข้าพเจ้าขออุทิศให้แก่ผู้เขียนหนังสือท่านนั้น หากมีข้อผิดพลาด ข้าพเจ้าขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    การฟัง"ข้อธรรม" อันเป็นแนวทางปฏิบัติคราวนี้ เป็น"ธรรมาวุธ"สำคัญที่ติดตัว ยามที่หลวงปู่แหวนเดินธุดงค์ไปทางเหนือ เข้าเขตพม่า เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ไปเกือบถึงสิบสองปันนา ได้พบได้เห็นวิถีของชาวพุทธที่แตกต่างกันไปตามหัวเมือง ยามที่ใครเคยสงสัยถึงภูมิจิตภูมิธรรมที่เกิดขึ้นกับพระภิกษุสายพระป่านั้น เป็นของจริงหรือของปลอม หลวงปู่แหวนจะยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่ครั้งหนึ่ง เคยเดินธุดงค์เข้าเขตไทยใหญ่ แม่ฮ่องสอน บรรยากาศของพระไทยใหญ่กับพระพม่า จะเหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ เวลาสนทนาธรรม จะพูดถึงแต่โลกุตตรจิต โลกุตตรมรรค โลกุตตรธรรม คำพูดที่สนทนากันนั้น เป็นการจดจำว่าจาก "แผนที่" ในหนังสือ บางครั้งก็ถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดง ซึ่งการเข้าถึง "โลกุตตรธรรม" เพียงแค่ท่องจำจากตำรานั้น แตกต่างจากของจริงที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ หลวงปู่แหวนเล่าจากประสบการณ์ที่ชีวิตทั้งสองแบบให้ว่า

    "ปัญญาที่เกิดจากการจำแผนที่ กับปัญญาที่เกิดจากการเรียนตามภูมิประเทศนั้น ไม่เหมือนกัน ปัญญาที่เกิดจากการเรียนตามแผนที่ คือ การศึกษาเล่าเรียนจากตำรับตำราอย่างเดียว ความจำ ความเข้าใจ การตีความ อาจไม่ตรงต่อความเป็นจริงของธรรมะ

    ส่วนปัญญาที่เกิดจากการเรียนตามภูมิประเทศ คือ จากการปฎิบัติภาวนานั้น เมื่อทุกคน ทำให้เกิดขึ้นในจิตใจของตนแล้ว ต่างก็หมดความสงสัยในธรรมนั้น ๆ ไม่มีข้อโต้แย้ง ไม่มีการถกเถียงกันและกันอีกต่อไป"

    หลวงปู่แหวนอรหันต์

    หลวงปู่แหวนท่านมีรูปร่างบอบบาง ใช้ชีวิตเกือบ ๕๐ ปี กลางป่าเขา สมดังคำอธิษฐานที่มอบกายถวายชีวิตให้พระศาสนา จะตายคาผ้าเหลือง โดยไม่ห่วงชีวิตของตนเอง จนทำให้สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง มีโรคภัยไข้เจ็บตามประสาผู้สูงอายุ จนกระทั่งหลวงปู่หนู สุจิตฺโต เจ้าอาวาสวัดดอยแม่ปั๋ง ลูกศิษย์ของหลวงปู่แหวน เห็นว่าหลวงปู่แหวนท่านอายุ ๗๕ พรรษา สุขภาพไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก จึงนิมนต์ให้หลวงปู่แหวนมาจำพรรษาที่วัดดอยแม่ปั๋งเป็นการถาวร เพื่อจะได้ให้บรรดาลูกศิษย์ได้แสดงความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์

    พ.ศ.๒๕๐๕ หลวงปู่แหวนอายุ ๗๕ พรรษา ได้มาพำนักที่วัดดอยแม่ปั๋งอย่างถาวร ทำให้ญาติโยมที่แวะมาทำบุญที่วัดดอยแม่ปั๋ง ทราบว่า ที่วัดมีพระอริยเจ้ามาจำพรรษาอยู่ ข่าวดังกล่าวนี้จึงค่อย ๆ ขจรไปไกล ทั้งในเมืองไทยและต่างแดน ทุก ๆ วัน จะมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติแวะมาพักปฏิบัติธรรมที่วัดดอยแม่ปั๋งไม่ขาดระยะ รวมถึงพระภิกษุที่มีชื่อเสียง ต่างเดินทางมากราบนมัสการท่าน เพื่อความเป็นสิริมงคล

    วันหนึ่ง.......ขณะที่หลวงปู่แหวนอายุเกิน ๙๐ พรรษา ด้วยวัยชราภาพตามสังขาร ท่านนอนพักผ่อนจากอาการไข้หวัดในกุฏิ ยามนั้น หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้พาคณะศิษย์เดินทางมากราบนมัสการหลวงปู่แหวน หลังจากที่พระภิกษุทั้ง ๒ รูป ได้สนทนากันเป็นที่เรียบร้อย หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้พาคณะศิษย์กราบลา เพื่อให้หลวงปู่แหวนได้พักผ่อน

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ถามหลวงปู่แหวนเบาๆว่า "หลวงปู่เป็นไข้หวัด ไข้มันกินตัวหรือกินหัวใจ"

    หลวงปู่แหวนตอบเบา ๆ กลับมาว่า "กินแต่ตัว มันเป็นกรรม"

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้ฟังเช่นนั้น จึงถามต่อไปนัยทางธรรมว่า "หลวงปู่กำไว้มากหรือครับ"

    "กำไว้นิดหน่อย" หลวงปู่แหวนตอบเป็นนัยทางธรรมเช่นกัน

    หลังจากสนทนาธรรมสอบถามอาการไข้ของหลวงปู่แหวนเป็นที่เรียบร้อย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ จึงได้พาคณะศิษย์ กราบลาหลวงปู่แหวนลงจากกุฏิไป

    บทสนทนา "โศลกธรรม" ระหว่างหลวงปู่แหวนกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นที่สนอกสนใจของคณะศิษย์ที่ติดตามพบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ภายหลังหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้เมตตาเปิดเผยให้ทราบความหมายปริศนาธรรมในคราวนั้นว่า

    หลวงปู่แหวน ท่านปรารถนาบรรลุพระพุทธภูมิ จึงมุ่งหน้าบำเพ็ญบารมีโพธิสัตว์บารมีให้เต็มเปี่ยม เพื่อโปรดสรรพสัตว์ให้พ้นจากสังสารวัฏ ทั้ง ๆ ที่ภูมิธรรมของพระโพธิสัตว์ หากมีบารมีถึงขั้น ก็สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ไม่ยาก แต่โดยส่วนใหญ่พระโพธิสัตว์จะยั้งภูมิธรรมเอาไว้ ไม่ให้ก้าวล่วงเข้าสู่พระนิพพาน เพื่อจะได้มีเชื้อให้เกิดในสังสารวัฏ เพื่อทำหน้าที่ของพระมหาโพธิสัตว์สืบไป

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้เล่าต่อไปว่า ต่อมา หลวงปู่ตื้อ พระสหธรรมมิก ของ หลวงปู่แหวน ได้มรณภาพไป ๑๔ วัน วิญญาณหลวงปู่ตื้อ มาเยี่ยมหลวงปู่แหวน แล้วกล่าวว่า

    "หลวงปู่แหวน จะไปพุทธภูมิ ทำไมให้เสียเวลา ไปนิพพานเถอะน่า"

    พอหลวงปู่แหวนได้รับฟังมธุรสวาจา อันปรารถนาดี จึงรับพิจารณา ท้ายที่สุด หลวงปู่แหวนได้ตั้งจิตอธิษฐาน "ลาจากพุทธภูมิแล้ว เป็นพระอรหันต์"

    (ส่วนคำว่า "กำ - กรรม" ที่คงเอาไว้ คือ เหลือแต่วาระทิ้งสังขาร (ร่างกายที่เกิดจากสภาพกรรมเดิม) เข้าสู่พระนิพพาน )

    เป็นบทความจากเว็บพลังใจดอทคอมครับ ฮาบ่มีอดีต ฮามีแต่ปัจจุบันและอนาคต ชีวิตของฮาถวายให้กับพุทธศาสนาแล้ว
     
  14. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    เมื่อคืนได้พูดคุยกับท่าน ดร.นนต์ ในเรื่องการศึกษาพระพิมพ์กลุ่มเบญจภาคี และพระพิมพ์กลุ่มเบญจภาคีเนื้อชิน ซึ่งตัวผมเองก็ไม่ค่อยได้ศึกษาพระในกลุ่มนี้เท่าใดนัก ได้ขอความรู้จากท่านมาพอสังเขป ก็ต้องขอกราบขอบพระคุณในความเมตตานี้

    การที่ไม่ค่อยได้ศึกษาเรียนรู้ในเรื่องนี้ ก็คงเป็นเพราะเราได้มาพบพระวังหน้า แล้วก็ปิดรับความรู้ภายนอกทั้งหมด แถมยังเคยดูแคลนผู้ศึกษาสายนั้นเสียอีก

    นั่น...เขาเรียกว่าความยึดมั่นถือมั่นอีกตัว ก็รู้สึกว่าเองโง่ย้อนหลังเสียเหลือเกินหนอ

    เราได้รับรู้ว่า เอ้า...ถ้าหากเราไม่ได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของพระกรุ พระเบญจภาคี ที่บรรพบุรุษของเรา ท่าน(ดีไม่ดีก็คณะองค์เสก/ผู้สร้างพระวังหน้านั่นแหละครับ) ได้พากเพียรสร้างไว้ ให้เราศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ การสืบทอดพระศาสนา ความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ของคนสมัยก่อน แล้วนี่เราจะยังเรียกว่าผู้มีความกตัญญูอยู่อีกหรือ? เป็นคำถามที่ถามตัวเองครับ

    นับว่าเป็นบุญของผมและนับว่าตัวเองได้ลดมานะ ทิฐิ ความยึดมั่นถือมั่น อีกหนึ่งประการครับผม

    ผมตระหนักอยู่เสมอว่า ที่พวกเรามารู้จักกันได้ ก็เพราะพระพิมพ์เป็นสื่อนำมา ผมจึงขอเปิดรับอย่างเป็นทางการ ในการศึกษาเรียนรู้ไปด้วยกัน ไม่ใช่แต่เพียงเรื่องพระพิมพ์วังหน้า* เท่านั้นอีกต่อไป

    *ผมเคยตั้งปณิธานว่า จะเผยแพร่พระวังหน้าให้เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป ตามกำลังของตัวเองพึงมี ซึ่งก็จะทำไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2011
  15. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD class=alt2>[​IMG]
    138.0 KB, ดาวน์โหลด 1,372 ครั้ง


    </TD><TD class=alt1>ชื่อกระทู้: «ไม่มีข้อมูล»[.131/COLOR]



    </TD><TD class=alt2>25-01-2011 10:53 AM


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  16. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  17. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD class=alt2>[​IMG]
    133.7 KB, ดาวน์โหลด 1,564 ครั้ง
    </TD><TD class=alt1>ชื่อกระทู้: พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
    ส่งข้อความ: «ไม่มีข้อมูล»

    </TD><TD class=alt2>31-07-2010 09:46 PM
    </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" class=alt1 align=center><INPUT name=deletebox[1069413] value=yes type=checkbox></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD class=alt2>[​IMG]
    121.9 KB, ดาวน์โหลด 545 ครั้ง
    </TD><TD class=alt1>ชื่อกระทู้: «ไม่มีข้อมูล»[.131/COLOR]

    </TD><TD class=alt2>10-01-2011 03:07 PM
    </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" class=alt1 align=center><INPUT name=deletebox[1311933] value=yes type=checkbox></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  18. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD class=alt2>[​IMG]
    121.9 KB, ดาวน์โหลด 755 ครั้ง
    </TD><TD class=alt1>ชื่อกระทู้: «ไม่มีข้อมูล»[.131/COLOR]

    </TD><TD class=alt2>22-12-2010 02:35 PM
    </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" class=alt1 align=center><INPUT name=deletebox[1284889] value=yes type=checkbox></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  19. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]

    พระพิมพ์วังหน้า อกครุฑ อาบน้ำว่าน* ปิดทอง
    ๑ ในพระพิมพ์พิเศษ ที่ว่ากันว่า เป็นเลิศด้าน เมตตา,มหานิยม(ในโลกมนุษย์)

    *คำว่าอาบน้ำว่านนั้น ผมมีความเห็นว่า น่าจะเป็นรักใสๆครับ
    พระเศียรมีประมาณ 3 แบบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  20. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]
    ผมเห็นเหล็กไหล 2 องค์นี้ ก็พลอยนึกถึงเหล็กไหลที่เป็นเม็ดกริ่งใน "พระกริ่งปวเรศ หมุดทองคำ"
    "โคตรพระธาตุเหล็กไหล" เคยได้ยินแต่ชื่อ...จะใช่แบบนี้หรือเปล่าหนอ?

    ปล: ทราบมาว่า
    - พิมพ์ธรรมดา เม็ดกริ่งเป็นเหล็กไหลชนิดเงินยวงหรือสีทองท้องปลาไหล
    - พิมพ์พิเศษ (ที่มีหมุดและฐานทองคำ) เม็ดกริ่งเป็นโคตรพระธาตุเหล็กไหล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0269.jpg
      IMG_0269.jpg
      ขนาดไฟล์:
      156 KB
      เปิดดู:
      1,233
    • IMG_0287.jpg
      IMG_0287.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.2 KB
      เปิดดู:
      90
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...