สติ ผู้รู้ ทำให้สักกายทิฏฐิหมดไป ได้อย่างไร?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อินทรบุตร, 13 พฤศจิกายน 2012.

  1. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    น่าสนใจ ตรงเข้าถึงน่ะครับพี่ป.ปุณฑ์
     
  2. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    กัลยาณมิตรกันนะ
    เราเป็นเพื่อนทุกข์ ร่วมช่วยกันและกันไป
     
  3. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ก็อริยบุคคลสี่
    ขั้นต้นก็เข้ากระแส ปหานกิเลสบางส่วน ละ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพรตปรามาส
    ไม่ใช่ข่มกิเลส แบบพรหม (พระอรหันต์ชั่วคราว)

    ใครเข้าถึง ต้องแทงปฏิจจฯได้ มาศีกษาเข้าใจได้แม้นไม่ลึกซึ้งก็ต้องพอได้..
    ความรู้ธรรมอาจบ่งบอกไม่ได้ แค่เรื่องมีธรรมต้องได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2012
  4. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    อืม งั้นพอย้อนอ่านไปที่กระทู้แรก จึงเป็นส่วนของการใช้โลกียปัญญาหรือเปล่าครับ เพื่อน้อมเข้าสู่สมาธิให้ถึงการเห็นรูปนามตามจริงอีกที
     
  5. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    คิดได้สองด้านนะ
    คือแบบ เป็นเหตุมาสู่ผล (เพราะมีอริยมรรค แต่อาจไม่มีคำว่าสมังคี)
    หรืออาจ คิดว่ามาไม่ถึงผล เป็นแค่การรู้เพียงความรู้ และไม่ถึงผลที่คิดว่าถึงแล้ว เพราะยังไม่ครอบคลุมชัดเจน แต่ก็สามารถคิดแบบแรกได้เหมือนกันคือถึงผลจริง .. แต่อาจเขียนแบบเข้าใจกัน..??

    ก็เพราะพวกคุณๆ เข้ามาขัดเนี่ย เลยต้องคิดมากมาย

    ต้องไปละ
     
  6. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เป็นเพราะพวกคุณๆ นี่เองตัวดี
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ผมขอร่วมแชร์แบบนี้นะครับ..อาจจะยาวหน่อยแต่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์บ้าง...การที่จิตจะลงไตรลักษณ์ได้.
    .จิตเค้าจะลงได้ที่ละเรื่องก่อน มีหนี่งใน ๓ เรื่องนี้ ก็คือ ๑. เรื่องความไม่แน่นอนเนื่องจากบังคับให้ตั้งอยู่ดังใจเราไม่ได้
    ๒.เรื่องความแปรปรวนคือไม่สามารถบังคับเวลาและเรื่องที่จะผุดขึ้นมาได้ ที่นี้ก็เลยเป็นเหตุให้มีเรื่องที่
    ๓.คือเรื่องความทุกข์ที่เกิดจากการที่เราบังคับอะไรไม่ได้ทั้งการให้อยู่ได้ดัง
    ใจเราการควบคุมเวลาและเรื่องที่จะขึ้นมา..


    คือต้องให้จิตเค้าเห็นนะครับ.ไม่ใช่ไปใช้กำลังสมาธิหรือสมถะข่มไว้.
    หรือไปเจริญสติแบบไม่รู้ไม่เห็นไม่สนใจเพราะจุดนี้เป็นการการทำให้
    จิตวางชั่วคราวเหมือนเราจะไม่มีความทุกข์ใด..แต่ตัวจิตจะยังไม่สามารถเห็นไตรลักษณ์ได้...



    ส่วนในกรณีที่เราไม่ทันตั้งแต่ต้นเรื่องจริงๆถึงค่อยดับค่อยควบคุม.
    .ถ้าทันหรือพอตามดูได้ก็ปล่อยให้จิตเค้าเห็นเค้าตามดูไป.ด้วยความเป็นกลาง
    (คือไม่มีความคิดจากจิตเราเค้าไปปรุงร่วมด้วยเด็ดขาด)
    ยกเว้นสำหรับผู้ปฎิบัติใหม่ๆอาจจะพร่ำสอนจิตไปในทางที่ดีได้
    ในช่วงแรกๆตามตำราเพื่อเป็นแนวทางให้จิตไว้ใช้สำหรับเดินปัญญา
    (แต่จะไม่สามารถ คลายกิเลสได้)แต่ก็ไม่ผิดอะไรสำหรับ
    ช่วงเริ่มต้น.


    ที่นี้พอจิตได้รับรู้ ได้เห็นบ่อยๆ ซ้ำไปซ้ำมา มากๆขึ้น..จิตเค้าจะถึงจะทราบได้เองว่า.
    .เรื่องพวกนั้นเป็น อนิจจัง ทุกขัง หรืออนัตตา ตามตำราที่เราเคยได้ยิน
    คือ จิตจะเห็นว่าการเกิดเรื่องแบบนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีแก่นสาร เห็นว่า
    การที่ได้มาเกิดเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ ถึงจะทำให้จิตค่อยๆละ ค่อยๆคลายการยึดมันถือมั่นในตัวตน
    การยึดมั่นถือมั่นวางร่างกายนั้นเป็นของเรา..ลงไปเรื่อยๆเป็นมูลเหตุให้ตัดร่างกายได้ที่สุดจริงๆในอนาคต..

    ที่นี้การตามดูให้จิตเค้ารับรู้ด้วยความ เป็นกลาง (คือจิตเป็นธาตุรู้ เราปล่อยให้เค้ารับรู้แต่เราจะไม่ให้เค้าเกิด)เราตามอะไร.เราตามดูการ
    เกิดดับของขันธ์ 5 ส่วนนามธรรม..คือ ความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
    บังคับเวลาไม่ได้..บังคับเรื่องที่จะเกิดขึ้นมาไม่ได้.และจะเป็นเรื่องที่เป็นอดีต
    บางเรื่องผ่านมาเป็น ๑o ปีก็มี.โดยเรื่องที่ขึ้นมามักจะเป็นประโยค..มาเป็นท่อนๆ
    และจะวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น..และเราจะไม่สามารถไปแทรกแซงหรือเปลี่ยน
    แปลงอะไรๆได้ ​


    ถ้าเราแทรกแซงได้ เปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามใจเราได้ จะเป็นความคิดที่
    เกิดจากจิต ให้ดับซะ ถ้าดับไม่ได้เนื่องจากเราเคยไปคิดร่วมกับเค้ามานานมาก
    จนกำลังในจุดนี้เค้ามาก เราก็ปล่อยไปจนกว่าจะจบเรื่อง หรือหาอย่างอื่นไปทำ
    แต่นะนำให้ดับตั้งแต่แรก.จะด้วยสมถะหรือการเปลี่ยนไปหาอะไรทำก็ได้ ไม่งั้น
    ถ้าปล่อยไปนานจะเป็นการสร้างกำลังในเรื่องนั้นๆให้เค้าโดยเราไม่รู้ตัว​


    และสุดท้ายเราก็ตามดูขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมทุกเรื่อง ให้จิตเค้าเห็น เค้าคลาย
    พอจิตเค้าเข้าใจ จิตก็จะวางเอง.เราใช้อะไรในการตาม ในการแยกแยะว่าอะไร
    เป็นความคิดที่เกิดจากจิต อะไรเป็นความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    กิริยาของจิต ที่ว่างพร้อมที่จะรับรู้ ก็คือ


    การมาฝึกเจริญสติเพื่อสร้างสติทางธรรมตัวนี้ในการเข้าไปดู ส่วนการฝึกสมาธิ
    ก็เพื่อใช้ในการควบคุม..ความคิดที่มีกำลังมาก.พอมีกำลังสติมากแม้เราไม่ตามดู
    เค้าก็จะตามดูทุกเรื่องเอง จนกว่าจิตเค้าจะหายสงสัย.ซึ่งระยะเวลาที่จะถึงเป้า
    หมายปลายทาง..ก็แตกต่างกันไปตามเหตุและปัจจัยของแต่ละท่านครับ..
     
  8. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    ช่วงระยะการฝึกฝนจึงเป็นรอยต่อที่สำคัญของนักปฏิบัติ

    คนที่เข้ามาศึกษาจึงมี 3 กลุ่มเป็นต้น ดังนี้

    กลุ่มแรก เข้ามาแล้วก็จริงจัง ฝึกฝนตน ทุกอย่างทำเพื่อปรารถนาความหลุดพ้น

    กลุ่มสอง เข้ามาแล้วก็ทรงๆ ไม่เข้าใจในการปฏิบัติมากนัก ทำๆไปตามเขาไปอย่างนั้นแหละ แต่มากด้วยทานการบริจาค เพื่อหวังผลความมั่งคั่งหรือหลุดพ้นในอนาคต

    กลุ่มสาม เข้ามาแล้วก็ถอยกลับไป เพราะทนต่อสภาวะกระแสกิเลสไม่ได้
     
  9. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ข้าพเจ้าอ่านดูแล้ว เหมือนกับว่า เจ้าของกระทู้ แอบอ้างตัวเองว่า บรรลุโสดาบัน แล้ว ทั้งๆที่สิ่งที่ได้เขียนมานั้น ก็แค่นำเอามาจากพระไตรปิฎกบางส่วน แถมยังอธิบายในรายละเอียดไม่แจ่มแจ้ง ไม่ชัดเจน
    แสดงถึงความไม่เข้าใจในเรื่องของ ไตรลักษณ์ อย่างแท้จริง เหตุเพราะ
    สิ่งที่ผู้ตั้งกระทู้ ได้กล่าวตามเข้าใจว่า สิ่งที่คุ่กับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้น เป้นตัวบดบัง แต่ไม่อธิบายให้ละเอียดว่า คำว่าบดบัง นั่นหมายถึงอะไร บางคนที่ไม่มีความรู้ หรือมีความรู้ไม่เพียงพอ ก็อาจเกิดความเข้าใจผิดคิดว่า สิ่งที่คู่กับ ไตรลักษณ์นั้น บดบังจริง ความจริงแล้ว มันเป็นสิ่งที่ทำให้บุคคลไม่เกิดปัญญา รู้แจ้งในสิ่งที่เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ
    อนึ่ง ผู้ที่จะบรรลุโสดาบัน ได้ จักต้องรู้มรรคผล ไม่ใช่รู้เพียงกฎแห่งใตรลักษณ์ ร่วมกับสิ่งที่ทำไม่ให้เกิดปัญญา (ในทางศาสนาเรียกว่า "บังปัญญา" ไม่ให้รู้ตามความเป็นจริง)
    คำว่า "มรรคผล" ในที่นี้ หมายถึง มรรคผล แห่งธรรมะ ทั้งหลาย คิดว่าบรรลุอริยะบุคคลกันง่ายๆหรือ

    ถ้าจะเปรียบไป ก็เหมือนกับ คนที่มีเงินเพียง 10 บาท แล้วก็เที่ยวโพทะนา โฆษณา ว่า ตัวข้านี้ รวย อย่างนั้นแหละขอรับ
     
  10. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ความรู้สึกโกรธ เกิดขึ้นไม่ได้ ทั้งเข้าณานไม่เข้าฌาน ไม่แม้เกิดน้อยแล้วดับไว
    ความรู้สึกโลภ เกิดขึ้นไม่ได้ อยากได้ อยากมี อยากกิน
    ความรู้สึกหลง เกิดขึ้นไม่ได้ กลัวกังวล กลัวอด เสียดาย เซ็ง เหงา ความคาดหวังของตนเอง หรือ คนรอบข้าง ชื่อเสียง

    เมื่อทุกข์มาหนัก สติตั้งมั่นให้อยู่ครับ จะพัฒนาจิตได้มากนะครับ
     
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    เอาวิภาคแห่งปฎิจสมุปบาท มาฝาก พระวจนะ"ภิกษุทั้งหลาย ปฎิจสมุปบาทเป็นอย่างไรเล่า?.............ภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาน เพราะมีวิญญานเป็นปัจจัย จึงเกิดมี นาม-รูป เพราะนาม-รูปเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอายตนะหก เพราะอายตนะหกเป็นปัจจัยจึงเกิดมี ผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดมีชาติ เพราะชาติเป้นปัจจัย ชรา มรณะ โศก ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส และอุปายาสจึงเกิดมีพร้อม ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้.........................ภิกษุทั้งหลาย ชรามรณะ เป็นอย่างไรเล่า ชราคือความแก่ ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยว ความเสื่อมไปแห่งอายุ ความแก่รอบทั้งหลายในสัตว์นิกายนั้นนั้น ของสัตว์เหล่านั้นนั้น นี้เรียกว่า ชรา..................ภิกษุทั้งหลาย มรณะเป็นอย่างไรเล่า มรณะคือ การจุติ ความเคลื่อน การแตกสลาย การหายไป การวายชีพ การตาย การทำกาละ การแตกแห่งขันธิ์ทั้งหลาย การทอดทิ้งร่าง การขาดแห่งอินทรีย์คือชีวิต จากสัตว์นิกายนั้นนั้น ของสัตว์เหล่านั้นนั้น นี้เรียกว่า มรณะ ด้วยเหตุนี้แหละ ชราอันนี้ด้วย มรณะอันนี้ด้วย ภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่า ชรามรณะ.......................ภิกษุทั้งหลาย ชาติเป็นอย่างไรเล่า ชาติคือการเกิด การกำเนิด การก้าวลง(สู่ครรภ์)การบังเกิด การบังเกิดโดยยิ่ง ความปรากฎของขันธิ์ทั้งหลาย การที่สัตว์ได้ซึ่งอายตนะทั้งหลาย ในสัตว์นิกายนั้นนั้นของสัตว์เหล่านั้นนั้นภิกาุทั้งหลายนี้เรียกว่า ชาติ............................ภิกษุทั้งหลาย ภพ เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ภพมีสามเหล่านี้ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ ภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่าภพ.......................ภิกาุทั้งหลายอุปาทาน เป็นอย่างไรเล่า ภิกาุทั้งหลาย อุปาทานมีสี่เหล่าอย่างนี้คือ กามุปาทาน ทิฎฐุปาทานสิลัพพตุปาทาน และอัตวาทุปาทาน ภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่าอุปาทาน
     
  12. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ภิกษุทั้งหลาย ตัณหาเป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลายหมู่แห่งตัณหามีหกอย่าง เหล่านี้คือ ตัณหาในรูป ตัณหาในเสียง ตัณหาในกลิ่น ตัณหาในรส ตัณหาในโพฐฐัพพะ และตัณหาในธัมมารมณ์ ภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่า ตัณหา...........................ภิกษุทั้งหลาย เวทนาเป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลายหมู่แห่ง เวทนามีหกอย่างเหล่านี้คือ เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางตา เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางหู เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางจมูก เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางลิ้น เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางกาย และเวทนาที่เกิดแต่สัมผัสทางใจ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าเวทนา................................ภิกษุทั้งหลาย ผัสสะเป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลายหมู่แห่งผัสสะมีหกอย่างเหล่านี้คือ สัมผัสทางตา สัมผัสทางหู สัมผัสทางจมูก สัมผัสทางลิ้น สัมผัสทางกาย และสัมผัสทางใจ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ผัสสะ...................................ภิกษุทั้งหลาย อายตนะหกเป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย หมู่แห่งอายตนะมีหกอย่างเหล่านี้คือ อายตนะคือตา อายตนะคือหู อายตนะคือจมูก อายตนะคือลิ้น อายตนะคือกาย และอายตนะคือใจ ภิกาุทั้งหลาย นี้เรียกว่าอายตนะหก...........................ภิกษุทั้งหลาย นามรูป เป็นอย่างไรเล่า นามคือเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะและ มนสิการ นี้เรียกว่า นาม รูปคือ มหาภูตรูปทั้งสี่ด้วยและรูปที่อาศัยมหาภูตทั้งสี่ด้วย นี้เรียกว่ารูป ด้วยเหตุนี้แหละ นามอันนี้ด้วย รูปอันนี้ด้วย ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า นาม-รูป..........................ภิกษุทั้งหลาย วิญญานเป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลายหมู่แห่งวิญญาน มีหกอย่างเหล่านี้คือ วิญญานทางตา วิญญานทางหู วิญญานทางจมูก วิญญานทางลิ้น วิญญานทางกาย และ วิญญานทางใจ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าวิญญาน...................ภิกษุทั้งหลายสังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายเหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร และจิตสังขาร ภิกษุทั้งหลายเหล่านี้เรียกว่า สังขารทั้งหลาย..................ภิกษุทั้งหลาย อวิชชาเป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ความไม่รู้อันใดเป็นความไม่รู้ในทุกข์ เป็นความไม่รู้ในเหตุที่เกิดทุกข์ เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือของทุกข์ และเป็นความไม่รู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า อวิชชา....................ภิกษุทั้งหลายด้วยเหตุนี้แหละ .............เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร เพราะสังขารเป้นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาน เพราะวิญญานเป็นปัจจัยจึงเกิดมี นามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอายตนะหก เพราะอายตนะหกเป็นปัจจัยจึงเกิด มีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป้นปัจจัยจึงเกิดมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงเกิดมีพร้อม ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้แล-----นิทาน.สํ.16/2-5/5-17............(อริยสัจจากพระโอษฐ์ท่านพุทธทาส):cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2012
  13. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ........................จากพระวจนะ วิญญาน และ นามรูป แยกออกจากกันแต่ก็เป็นปัจจัยแก่กันในการเกิด หรือที่พระสารีบุตร เปรียบเหมือนไม้สองกำพิงกัน อาศัยซึ่งกันและกัน..........จากปฎิจสมุปบาท อวิชชา ปัจจัยสังขาร สังขารปัจจัยวิญญาน วิญญานปัจจัย นาม-รูป......ลองทวนความเข้าใจ วิญญาน และ นามรูป ดู:cool:
     
  14. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    วิธีปฎิบัติ
    เหมือนผีโผล่มา แบร่ๆ:boo: เราจะเห็นรูป นามที่เกิดกับอายตนะเรา
    ไม่ใช่ว่าเราแปลงสัญญาณเป็นกลัวผีอันนั้นคือหลุดภูมิวิปัสสนา
    วิธีแก้ก็จับลม ตั้งมั่นใหม่

    เห็นรูปนามเนื่องๆ นั้นแหละครับ
     
  15. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ เรื่องอาหารสี่ พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย อาหารสี่อย่างเหล่านี้ มีอยู่ เพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งสัตว์ผู้เกิดแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด อาหารสี่อย่างใหนเล่า สี่อย่างคือ อาหารที่หนึ่งคือ คำข้าว หยาบก็ตามละเอียดก็ตาม อาหารที่สองคือ ผัสสะ อาหารที่สามคือมโนสัญเจตนา อาหารที่สี่คือ วิญญาน ภิกษุทั้งหลาย อาหารสี่อย่างเหล่านี้มีอยู่ เพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งสัตว์ผู้เกิดแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด..............ภิกษุทั้งหลาย ถ้ามีราคะ นันทิ มีตัณหา ในอาหารคือคำข้าวไซร้วิญญานก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ในอาหารคือคำข้าวนั้นนั้น วิญญานที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้มีอยู่ที่ใด การก้าวลงแห่งนามรูปก็มีอยู่ในที่นั้น การก้าวลงแห่งนามรูปมีอยู่ในที่ใด ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ก็มีอยู่ในที่นั้น ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย มีอยู่ในที่ใดการบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น การบังเกิดในภพใหม่มีอยู่ในที่ใด ชาติ ชรา และ มรณะ ต่อไปก็มีอยู่ในที่นั้น ชาติชรามรณะ ต่อไป มีอยู่ในที่ใด ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกที่นั้นว่า เป็นที่ที่มี โศก มีธุลี และ มีความคับแค้น ดังนี้(ในกรณีที่เกี่ยวกับอาหารอีก สามอย่าง คือ ผัสสะ มโนสัญเจตนา และ วิญญาน ก็ตรัสโดยทำนองเดียวกับอาหารคือคำข้าว)...............ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเสมือนช่างย้อม หรือ ช่างเขียน เมื่อมีน้ำย้อม คือ ครั่ง ขมิ้น คราม หรือ สีแดงอ่อน ก็จะพึงเขียนรูป สตรี หรือรูปบุรุษ ลงที่แผ่นกระดาษ หรือฝาผนัง หรือผืนผ้า ซึ่งเกลี้ยงเกลา ได้ครบทุกส่วน อุปมานี้ฉันใด..............ภิกษุทั้งหลาย อุปไมยก็ฉันนั้น คือ ถ้ามีราคะ มีนันทิ มีตัณหา ในอาหารคือคำข้าวไซร้ วิญญานก็เป้นสิ่งที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ ในอาหารคือตำข้าวนั้นนั้น วิญญานที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ มีอยู่ในที่ใด การก้าวลงแห่งนามรูป ก็มีอยู่ในที่นั้น การก้าวลงแห่งนามรูปมีอยู่ในที่ใด ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ก็มีอยู่ในที่นั้น ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายมีอยู่ในที่ใด การบังเกิดในภพใหม่ต่อไปก็มีอยู่ในที่นั้น การบังเกิดในภพใหม่ต่อไปมีอยู่ในที่ใด ชาติ ชรา มรณะต่อไปก็มีอยู่ในที่นั้น ชาติ ชราและมรณะต่อไปมีอยู่ในที่ใด ภิกษุทั้งหลายเราเรียกที่นั้นว่า เป็นที่มีโสก ธุลี และมีความคับแค้น(มีข้อความตรัสต่อไปจนกระทั่งจบข้อความในกรณีอาหารที่สี่คือ วิญญาน ซึ่งอาหารอีกสามอย่างที่ตรัสต่อไปนั้น ก็มีข้อความเหมือนกับในกรณีอาหารคือคำข้าวข้างบนนี้ทุกประการ ต่างแต่ชื่ออาหารเท่านั้น)ดังนี้แล----นิทาน.สํ.16/122-123/245-247.....(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:
     
  16. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    เมื่อวานคุณอินทรบุตรซัดไป 12 โพสต์
    เมื่อวันที่ 12 พย. 55 ซัดไป 10 โพสต์ ในกระทู้ต่างๆกัน

    คนเรานะ ถ้ามุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมจริง จะไม่มานั่งเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่อย่างนี้หรอก เพราะจะเพลิดเพลินในธรรม การเล่นอินเตอร์เน็ตก็คือการเสพสื่อ มันก็เป็นสิ่งเสพติดดีๆนี่เอง เหมือนอย่างเราเล่นไอโฟน สมาร์ทโฟนอะไรนั้นนะ

    เพราะฉะนั้น ยังไม่สายเกินไปสำหรับคุณ คุณปุณณพิธ ถ้าคุณรู้สำเหนียกเสียบ้าง คุณจะพบว่าคำกล่าวของผมมันให้สติคุณ เหมือนภาษิตบางประเทศที่ว่า ยาดี ย่อมรสขม ดีกว่าคุณมาหลงใหลกับการแสดงออกว่าคุณนะเข้าถึงขั้นนั้นขั้นนี้ ถึงแม้คุณจะไม่พูดออกมาตรงๆก็ตาม แต่ความหมายของคุณ คนฉลาดเค้าอ่านปุ๊ป เค้าก็รู้เลย

    แล้วคุณก็ต้องยอมหัดรับความจริงด้วย นี่แหละจุดอ่อนและจุดตายคุณ..... ผมเตือนคุณในฐานะที่เป็น......
     
  17. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    จะหาเอาสาระอะไรกับคำพูด ผู้ที่ผิดศีลมุสาวาทา ยอมรับหน้าชื่นตาบานแล้วบอกปัดว่า มันเป็นเรื่องไม่สำคัญ

    ผู้ที่มีนิสัยเช่นนี้ ย่อมจะพูดอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่พูดมา จะหาความสำคัญ หาน้ำหนักสักนิด ได้อย่างไร?
     
  18. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ให้ไปหาพระสูตรที่พระพุทธเจ้าสอนใครก็ได้
    จนเขาบรรลุพระโสดาบันนั่นแหละครับ
    อ่านพิจารณา
    ส่วนอารมณ์ถึงขนาดไหนยังไง ก็รู้กันเอง
     
  19. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    โลก กว้างหนายาวสุด แค่ ตาหูจมูกลิ้นกายใจจะรับรู้ได้
    ใจกลางโลกก็เบญจขันธ์เนี้ยแหละ
    โลกุตตระ ก็พ้นจากโลก พ้นจากเบญจขันธ์
    แปลแบบสากกะเบือทิ้มดิน โลก กุด ละ ซะสิ อิอิอิ
     
  20. aroonoldman

    aroonoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +462
    สักกายทิฏฐิ ในระดับโสดาบันคิดอยู่ประมาณมรณานุสติคือยอมรับความเป็นจริงว่าร่างกายนี้ต้องตายแน่นอน ในระดับอนาคามีเห็นร่างกายเป็นอสุภะ ในพระอรหันต์เห็นร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราเราไม่มีในร่างกายร่างกายไม่มีในเราเราคือดวงจิตหรืออทิสมานกายเป็นผู้อาศัยในร่างกายนี้ ความเห็นก็มีประมาณนี้(คือรู้เท่านี้)ขอโมทนากับคุณ จขกท ด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...