สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    ... “สุขพอประมาณเป็นไฉน มาเกิดในมนุษยโลก เป็นหญิงก็ดี เป็นชายก็ดี จงแสวงหาเถิด


    ความสุขอยู่ในทานการให้ ยิ่งใหญ่ไพศาล ความสุขอยู่ในทานการให้ หรือความสุขอยู่ในศีล รักษากายวาจาให้เรียบร้อยดีไม่มีโทษ หรือสุขอยู่ในการเจริญภาวนา


    ให้เป็นเหตุลงไปเป็นสุขยิ่งใหญ่ไพศาล ให้อุตส่าห์ให้ทาน


    สมบัติเงินทองข้าวของ ที่เป็นวิญญาณกทรัพย์และอวิญญาณกทรัพย์ ที่เราหาได้มา เก็บหอมรอมริบไว้หรือได้มรดกมาก็ดี สิ่งทั้งหลายนั้นเมื่อเรารักษาอยู่ เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ก็เป็นของเราอยู่ แต่พอแต่กายทำลายขันธ์เท่านั้น สมบัติเหล่านั้นไม่ใช่ของเราเสียแล้ว กลายเป็นของคนอื่นเสียแล้ว ไม่ใช่ของเราจริงๆ


    ในมนุษย์โลก เราผ่านไป ผ่านมา เท่านั้นเอง ไม่ใช่เป็นบ้านเมืองของเรา ไม่เป็นถิ่นทำเลที่เราอยู่ เป็นทำเลที่สร้างบารมี มาบำเพ็ญทาน ศีล เนกขัมม์ ปัญญา วิริยะ อธิษฐาน ขันติ สัจจะ เมตตา อุเบกขา เท่านั้น” ...

    (สุขที่สัตว์ปรารถนาจะพึงได้ ๑๙ กันยายน ๒๔๙๗)



    ?temp_hash=bfe51a62fb6ce0d556110a0cb9defcfe.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    20841919_733267686874406_22066502775945514_n.jpg


    วัดหลวงพ่อสดฯ


    จากหนังสือ ตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ
    เรื่อง "พระเณรที่ไม่สนใจปฏิบัติธรรม จะมีผลอย่างไร"
    พิมพ์ครั้งที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๒ หน้า ๑๒๓-๑๒๔

    หรือนิตยสารธรรมกาย
    ปีที่ ๑๒ ฉบับที่ ๔ ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๔๐ หน้า ๙๙-๑๐๐
    จากการตอบปัญหาธรรม ช่วงอบรมพระกัมมัฏฐาน รุ่นที่ ๓๔
    โดย พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี

    *คัดลอกบางส่วน

    .....

    เพราะฉะนั้น นี่แหละ พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้เห็นแจ้งด้วยพระองค์เอง แล้วรวมเรียกว่าตรัสรู้ แล้วจึงทรงนำพระธรรมนั้นมาสอนเรา ให้ถือหลักปฏิบัติว่า ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส คือ ชำระกิเลสนิวรณ์ เครื่องกั้นปัญญา แล้วจึงจะสามารถเห็นแจ้งรู้แจ้งสภาวธรรม และสัจจธรรม แล้วจะเกิดปัญญา เห็นทางเจริญทางเสื่อมแห่งชีวิต รู้บาปบุญ คุณโทษ ตามที่เป็นจริง
    เพราะฉะนั้น ถ้าใครสนใจศึกษา และปฏิบัติธรรม ก็ย่อมเห็นทางดำเนินไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง และสันติสุข จนถึงความพ้นทุกข์อย่างถาวรได้ แต่ใครไม่สนใจ ไม่เอาใจใส่ ก็ไม่รู้แจ้ง เมื่อไม่รู้แจ้ง ปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำ นับตั้งแต่ความขี้เกียจ ความไม่รู้บาปบุญ คุณโทษ ตามที่เป็นจริง ไม่รู้ว่าอะไรดี-ไม่ดี ไม่รู้ว่าทางเจริญ-ทางเสื่อมแห่งชีวิตตามที่เป็นจริงว่าอย่างไร ก็เป็นไปตามกรรม ของใครก็ของใคร ใคร ๆ ก็ช่วยไม่ได้

    เพราะฉะนั้น คำถามของท่านที่ว่า พระเณรไม่สนใจในด้านการศึกษา และปฏิบัติธรรม ว่าจะมีผลอย่างไร ก็สรุปได้ว่า มีผลเหมือนคนตาบอด ตาบอดแล้วไม่พยายามทำตนเองให้เป็นคนตาดี เดินเปะปะหลงทางไป ใครก็ช่วยใครไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ทางปฏิบัติมีอยู่ ทางไปสู่ความสว่าง ความเจริญ และสันติสุขแห่งชีวิต ไปถึงความพ้นทุกข์อย่างถาวรก็มีอยู่ ผู้บอกทางให้ก็มีอยู่ แต่ถ้าท่านใดไม่เปิดหู เปิดตา ที่จะให้เห็นแสงสว่าง หรือทางนั้น ไม่เปิดใจให้เกิดปัญญารู้แจ้ง เห็นแจ้งทางเจริญ ทางเสื่อม เพื่อจะได้เลือกทางเดินให้ถูกต้อง ท่านเหล่านั้นก็เป็น เหมือนคนตาบอดเรื่อยไป ประกอบตน ผิด ๆ ถูก ๆ ขนาดว่าฝึกปฏิบัติอยู่อย่างนี้ ก็ยังปฏิบัติไม่ค่อยจะถูก ถ้าไม่สนใจศึกษา ทำความเข้าใจ และปฏิบัติให้ดี ยิ่งขึ้นไป เพราะกิเลสมันหนาแน่น ใคร ๆ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ก็หนักเฉพาะตัวไปเท่านั้นซิครับ

    เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า สัตว์โลกอย่าเช่นมนุษย์นี่ ตายจากความเป็นมนุษย์แล้ว จะได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์อีกยากนัก เพราะอะไร เพราะมัวแต่คิดผิด รู้ผิด เห็นผิด ทำผิด พูดผิด ๆ นำคนอื่น ๆ ผิด ๆ หลงตามคนอื่นผิด ๆ ชีวิตก็ไปในทางเสื่อม เป็นโทษเป็นความทุกข์ เดือดร้อน เมื่อจิตใจเศร้าหมองก่อนตาย ย่อมเป็นชนกกรรมให้ไปเกิดในทุคติภูมิ เรื่องก็เท่านั้น ตัวใครตัวมัน ทางที่ดีมีอยู่แล้ว ทางสว่างมีอยู่แล้ว คนบอกก็มีอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่พยายามศึกษา ไม่พยายามเข้าหาทางสว่าง เรื่องก็จบสำหรับท่านเหล่านั้น ใครจะไปช่วยใครได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    20881892_1782873515059486_5798628267080048367_n.jpg

    ******************************************

     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    20914493_1781661518514019_1510494978062800153_n.jpg

    ************************************


     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    ?temp_hash=2a4b08033723989e573c33308b973d78.jpg






    #อมตวัชรวจีหลวงป๋า

    พระราหู
    มีอิทธิพลให้เกิดสุขหรือทุกข์แก่มนุษย์โลกได้จริงหรือ ???


    ท่านทั้งหลายคงได้ยินข่าวนะ ข่าวว่ามีดาราประสบอุบัติเหตุตาย แล้วก็มีข่าวไปในทำนองว่านี่เพราะเหตุราหู ตัวนั้นตัวนี้ เย้อะแยะเลย ตัวอักษรอย่างนั้นอย่างนี้ เยอะแยะเลย นั่นแหละ จะต้องมีผลกับเพราะราหู แล้วก็ พูดไปพูดมาก็มีแนวโน้มชักนำไปว่า ก็ต้องให้บูชาด้วยของดำ ๘ อย่าง อย่างเคย ซึ่งเรื่องนี้ อาตมาเคยได้พูดมาครั้งหนึ่งแล้วตั้งแต่ต้น แต่ว่าพวกเราจะจำได้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ นั้นอย่างหนึ่ง และเคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วด้วยกับสื่อมวลชน แต่มันก็แปลกไปอย่างหนึ่งว่า สื่อมวลชนนั้น ทั้งๆที่เราพูดของดีของถูกต้อง ไม่ค่อยจะลงให้หรอก หรือว่าจะมีการออกอากาศทางวิทยุโทรทัศน์ ก็เป็นเวลาที่ไม่ค่อยจะสลักสำคัญ ที่คนหมู่มากได้ฟัง แต่ว่า ถ้าว่าพูดให้สะใจชาวบ้านแล้วก็เขาจะรีบลง เพราะฉะนั้น วันนี้พูดอีกครั้งหนึ่ง พูดอีกครั้งหนึ่ง

    ว่า ให้จำไว้เลย เราเป็นชาวพุทธ นับถือพระพุทธศาสนา ต้องเข้าใจว่า เรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเรื่องสำคัญ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นแหละ ชี้ชัดพิสูจน์ได้แล้วว่า คนเราน่ะจะอยู่ดีมีสุขหรือมีทุกข์ จะเจริญรุ่งเรืองหรือจะเสื่อม จะเป็นผู้ที่มีกายมีวาจามีใจ หยาบ หยาบคาย หยาบกระด้าง หรือจะละเอียดปราณีต ก็ด้วยกรรม คือการกระทำความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ

    ถ้าทำกรรมดีทางกาย ทางวาจา และทางใจแล้ว ผลของกรรมนั้น จะส่งผลให้เป็นความสุขความเจริญยิ่งๆขึ้นไปตามลำดับ แต่สัตว์โลกทั้งหลายเพราะอวิชชาความมืด ไม่รู้บาปบุญคุณโทษตามที่เป็นจริง จึงไปหลงคว้าที่พึ่งอื่น ไปหลงยึดที่พึ่งอื่น ไปปฏิบัติอย่างอื่น ชื่อว่าสีลัพพตปรามาส อันไม่ตรงตามเหตุตามปัจจัยให้เกิดทุกข์หรือให้เกิดสุข คือไม่รู้อย่างเที่ยงตรงตามที่เป็นจริงว่า เหตุปัจจัยอะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เหตุปัจจัยอะไรเป็นเหตุให้เกิดสุข ก็หลงคิดผิดๆ ด้วยรู้ผิดๆ หลงคิดผิดๆ ทำผิดๆ พูดผิดๆ แล้วก็นำคนอื่นผิดๆ ส่วนที่ผิดนั้นแหละ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน ทั้งแก่ตัวเองและแก่ผู้อื่น

    ทีนี้ การที่สัตว์โลกทั้งหลาย จะมีทุกข์หรือมีสุขนั่น กล่าวโดยสรุป เป็นผลของกรรมดีหรือกรรมชั่ว ที่เราทำมาแล้วแต่อดีตนับภพนับชาติไม่ถ้วน มาจนถึงปัจจุบัน อ้ายที่ทำมาแล้วในส่วนของกรรมชั่ว หรือ กรรมไม่ดี ซึ่งบางคนก็รู้บ้าง บางคนก็แทบจะไม่รู้เลย ทำตามเขาไปเรื่อยๆ โดยตนเองไม่มีสติปัญญาอันเห็นชอบ ผิดบ้าง ถูกบ้าง จึงเกิดการกระทำกรรมชั่วและกรรมดี ไปตามภูมิธรรมภูมิปัญญาของแต่ละคน

    กรณีที่บุคคลคลทำชั่ว ทุกขณะทางกาย ทางวาจา และใจ ด้วยเจตนาความคิดอ่านที่คิดผิด รู้ผิด เห็นผิด จึงทำผิด พูดผิด และนำคนอื่นผิดๆ อย่างนี้ เป็นผลให้เกิดความทุกข์เดือดร้อน แม้กระทั่งการเสียชีวิตเร็ว นั่นเกิดแต่ปาณาติบาต เวรปาณาติบาตฆ่าสัตว์มา หรือว่าจะมีอายุยืน มีสุขภาพพลานามัยดี ก็เกิดจากทานกุศลด้วยการให้ชีวิตเป็นทาน เกิดจากการให้ทานหรือทานกุศล ที่เรามีเมตตาอารี เผื่อแผ่แก่ผู้อื่นด้วยปัจจัย ๔ นี่ ก่อให้เกิดความเจริญตั้งแต่ระดับมนุษยสมบัติ มีรูปสมบัติ รูปสมบัตินี่กินความไปถึงมีชีวิตยืนยาว สุขภาพอนามัยดีหรือไม่ดีด้วยนะ รูปสมบัติ คุณสมบัติ ทรัพย์สมบัติ บริวารสมบัติ อย่างนี้เป็นต้น นี่ ศีลกุศล ทานกุศล ที่ทำไปจะได้รับผลอย่างนี้

    แต่คนที่ทุศีล มักฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แน่นอน ตายเร็ว อายุสั้น ถ้าเป็นสัตวใหญ่ หรือเป็นสัตว์ที่ต้องใช้ความพยายามมากจึงฆ่าได้ หรือเป็นสัตว์ที่มีคุณธรรมสูงยิ่งให้ผลเร็ว ยิ่งให้ผลเร็ว นี้เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติไม่มีใครตั้งขึ้น เพราะฉะนั้น ในกรณีที่คนตายเร็ว หรือเป็นขี้โรคอ่อนแอนั้น หรือทุพพลภาพนั้น เป็นเหตุเป็นปัจจัยมาจากทุศีลข้อปาณาติบาต

    แต่ส่วนว่า สมบัติจะวิบัติฉิบหายไปด้วยประการต่างๆ เป็นผลจากการทุศีล คือการกบฏ คดโกง ล่อลวงเขา ในการทำมาหาเลี้ยงชีพ นี่อีกอันหนึ่ง เพราะฉะนั้น นี้เป็นตัวอย่างอย่างย่อในการกระทำชั่ว ซึ่งคนไม่รู้ หรือบางคนก็รู้ ก็ทำๆไปทั้งที่รู้ ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ผลมันเกิดอย่างนี่

    ทีนี้ คนทำความดี ตรงกันข้าม เช่นว่า ให้ชีวิตสัตว์เป็นทาน หรือบริจาคทาน ปัจจัย 4 ต่างๆ ให้เป็นการช่วยเหลือคนอื่น ให้เขาพ้นทุกข์หรือเขาอยู่ดีมีสุข หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้แก่ผู้ที่กำลังประพฤติปฏิบัติธรรม ขจัดขัดเกลากิเลสตนเองและผู้อื่น อย่างนี้ หรือเป็นผู้ทรงศีลทรงธรรม อย่างนี้ ก็จะมีผลให้เกิดความสุขสมบูรณ์บริบูรณ์แก่ตนเอง ครอบครัวและหมู่คณะ เรียกว่าเป็นมนุษย์สมบัติ นี่ ได้อย่างนี้ เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจอย่างนี้

    ทีนี้ เมื่อเข้าใจแล้วท่านพิสูจน์ดู พิสูจน์ดูในภพชาตินี้ เห็นได้รู้ได้ในชาตินี้ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่พิสูจน์ได้ เป็นอย่างนี้

    ทีนี้ แต่ว่า เรื่องของอิทธิพลดวงดาวนี่ ถ้าจะถามว่ามีไหม ตอบอย่างนี้เสียก่อนว่า อิทธิพลดวงดาวนั้นเป็นเครื่องชี้แสดง ที่บรรดาบุคคลที่เขาศึกษาเรื่องอิทธิพลดวงดาว เก็บเหตุเก็บปัจจัยหรือเก็บผลของกรรม ที่ปรากฏขึ้นในชีวิตของสัตว์หรือบุคคล ในขณะที่ดวงดาวต่างๆเล็งลัคนา เป็นสถิติว่าถ้าดวงดาวต่างๆอย่างนี้ๆ มีกำลังอย่างนี้ๆ เล็งลัคนาของผู้ใดอย่างนี้ ปรากฏผลอย่างนี้ๆ ดีบ้าง ชั่วบ้าง แต่เหตุปัจจัยที่แท้จริงคือ"#กรรม"

    เพราะฉะนั้น การทำอย่างอื่นที่จะแก้กรรมน่ะ มันอาจจะได้เล็กน้อย เหมือนคนกางร่ม อาจจะได้ผลนิดหน่อย ในเรื่องของกำลังใจ ในเรื่องของทานกุศล หรืออะไรก็แล้วแต่ หรือการสะเดาะเคราะห์อะไรอย่างนี้ อาจจะได้ผลเล็กน้อยชั่วคราว แต่ตราบใดถ้าฝนตกก็หนีฝนไม่พ้น แต่ถ้าจะหนีฝนให้พ้น เราก็ต้องอยู่ในที่ที่ถาวร คือ ความดีของเราจะต้องทำให้ถาวร เป็นบุญ เป็นบารมี เป็นอุปบารมี ปรมัตถบารมี นั่นแหละถาวรล่ะ ละความชั่ว ทำความดี ทำใจให้ผ่องใส ด้วยการรักษาศีล บริจาคทาน เจริญภาวนาสมาธิ ให้เกิดปัญญา แล้วทำความดีเรื่อยไป รุดหน้าเรื่อยไป ความดีที่ถูกต้อง ไม่เป็นสีลัพพตปรามาส ไม่ไปหลงยึดอื่น ที่ไม่ใช่เป็นเครื่องกำจัดเหตุปัจจัยแห่งความทุกข์ หรือไม่ใช่เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งความสุขที่แท้จริง หลงยึดถืออย่างนั้นเสีย มาปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง เราก็จะได้ผลเป็นการถาวร ไม่ต้องไปสะเดาะเคราะห์บ่อยๆ ไม่ต้องไปเที่ยวหาเซ่นสรวงบวงวัก อะไรๆซึ่งผิดไปอย่างมากอย่างมหันต์

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการบูชาราหู ๘ อย่าง ด้วยสิ่งดำ ๘ อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องสุรา เรื่องการเอาสัตว์ตัดชีวิต ไก่ดำเอย อะไรดำเอย มันหมดเล้า หมดอะไรมา จนกระทั่งหนักๆเข้า เหลือไอ้ตัวเล็กตัวน้อย ก็เอามาฆ่ามันหมด นั่นเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดปาณาติบาต สร้างผลกรรมต่อไปอีก หนักไปยิ่งกว่าเก่า นี่ เป็นอย่างนี้

    ทีนี้ แต่บางคนอาจจะว่า เมื่อบูชาแล้วได้ผล คนไม่บูชามันถึงตาย ความจริงอ้ายคนมันจะตายน่ะ มันตายมาตลอดเวลา ตั้งแต่ก่อนราหูคนก็ตาย ดารารถชนตายก็มีรถคว่ำก็มี ไม่มีราหู แล้วก็ตัวม. ตัวส. ไม่รู้หล่ะ ตัวอะไรๆที่เขาบอกมาน่ะ มันตายมาแล้วทั้งนั้นแล้วแหละ มันไม่ต้องรอราหูหรอก มันตายมาก่อนหน้านั้น ด้วยผลของกรรม และยังจะมีตายต่อไปอีก อย่าไปโทษราหู นี่แหละ ปัญญาแค่นี้คิดไม่ออก แล้วก็ มันถึงได้โง่ เป็นสีลัพพตปรามาส และไม่ใช่พระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายพึงเข้าใจจุดนี้ให้ดี คนเราถ้ามันจะตาย มันตายแหงๆ เพราะผลของกรรม ผลของกรรมนั้นหนีไม่พ้นนะ ต่อให้เป็นใคร อยู่ที่ไหน จะใช้เงินทองสารพัดเท่าไหร่ ไม่รอด ถ้าจะตาย ไม่ว่าจะก่อนราหู ขณะราหู หลังราหู ถ้ามันจะตายต้องตาย

    แต่นั่นหมายเอาว่า เหตุคือกรรมชั่วมีอยู่ แล้วยังไม่กระทำกรรมดี หรือดีไม่พอ เพราะกรรมชั่วนั้นใครๆก็เคยทำมาทั้งนั้น แต่เมื่อรู้ เข้ามาสู่กระแสแห่งธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เรารีบปฏิบัติ ธรรมะนี้โดยละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส ถ้าทำอย่างนี้แล้วผลที่เกิดขึ้นก็คือว่า กรรมชั่วที่เราทำมานั้น จะเตรียมให้ผลเหมือนกับสุนัขไล่เนื้อ ที่เตรียมที่จะไล่จะงับขาเรา ถ้าคนที่ปฏิบัติกรรมชั่วนั้น มีสุนัขไล่เนื้อตามอยู่ ถ้าหากว่าหยุดยืนเฉยๆคือไม่ทำกรรมดี สุนัขไล่เนื้อก็ถึงเร็วให้ผลเร็ว

    แต่ถ้ากลับทำชั่วไปอีก โดยที่ไม่รู้ว่านั่นคือความชั่ว เหมือนกับว่าหันหน้าเดินกลับ หรือวิ่งเข้าไปหาสุนัขไล่เนื้อนั้น ก็ได้ผลเร็วและแรง มิจฉาทิฏฐิ ความหลงผิดนี่แหละ ช่วยให้แรงนักหนา

    แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติธรรม มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล ดังกล่าว คุณความดีนี้จะมีผล ให้ได้รับผลของบุญกุศลนี้ก่อน ช่วยชะลอกรรมเก่า ที่มันไม่ดี ซึ่งเราไปแก้ไขไม่ได้เพราะเป็นอดีต ซึ่งกำลังจะให้ผลในปัจจุบันและอนาคต ช่วยชะลอกรรมเก่าจากหนักเป็นเบา จากเบาก็หายไปเลย อย่างนี้ต่างหาก เหมือนคนมีปัญญา มียานพาหนะ มีกำลัง วิ่งไปข้างหน้าเร็วขึ้น ทำความดีตั้งแต่ทานกุศล ศีลกุศล วิ่งไปข้างหน้าเร็วขึ้น หรือมียานพาหนะขี่จักรยานเข้า ให้มันเร็วถึงมอเตอร์ไซค์ นะ สุนัขไล่เนื้อมันก็ตามทันได้น้อยลงๆไปตามลำดับ จนกระทั่ง ถ้าทำความดีอย่างยิ่งขึ้นไปถึงภาวนากุศล นี่..อย่างเราทำนี่ ให้เกิดสมาธิ ให้เกิดปัญญา เหมือนกับเราขี่รถเก๋งหนีสุนัขไล่เนื้อ เราก็ได้รับผลดีก่อน เรียกว่า"#ผลบุญนำหน้าบาป" ทำอย่างนี้แล้ว จากหนักจะเป็นเบา จากเบาก็จะหายไปเลย ไม่ต้องไปเส้นสรวงบวงวักให้เกิดเวรเกิดกรรม คือ ๑. เป็นมิจฉาทิฏฐิ ถ้าเบาหน่อยเป็นสีลัพพตปรามาส ถ้าว่าปฏิบัติธรรมก็ยังไม่บรรลุมรรคผล ถ้าตราบใดที่ยังติดสีลัพพตปรามาส คือการถือศีลพรตที่ผิด อันไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ได้จริง นี่ มันเป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายปฏิบัติอย่างนี้ ผลบุญจะนำหน้าบาป ดียิ่งๆขึ้นไปก็พ้นทุกข์ได้ ถึงซึ่งความสุขได้ แต่ถ้ากรรมเราเคยทำมาหนัก มันจะโดนบ้างมันก็เป็นธรรมดา นะ ไม่ต้องไปคิดหาอะไรให้มันเสียเวลา

    เราทำกรรมดีอย่างนี้เป็นของถาวร เหมือนกับเราพยายามสร้างบ้าน สร้างบ้านเรือนของเราให้มั่นคง คือ การบำเพ็ญบุญ บารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี คุณความดีให้แก่กล้า ด้วยธรรมะปฏิบัติที่ดี เหมือนกับเราสร้างบ้าน เราสร้างบ้านใด้ดี ใด้มั่นคงเท่าไหร่ เรื่องลม เรื่องฝน เรื่องแดด เป็นอันว่า เราจะได้รับการคุ้มครองมากเพียงนั้น "ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ" ธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม ด้วยอาการอย่างนี้ แล้วท่านไม่ต้องไปสงสัย

    เพราะฉะนั้น นี่แหละจึงเล่าให้ฟังว่า อย่าหลงเข้าใจผิดในเรื่องเหล่านั้น แล้วไปกระทำความผิด ไปคิดผิดๆ แล้วก็แถมแนะนำกันผิดๆเพราะกลัวตาย กลัวตาย นี่ เพราะฉะนั้นให้เข้าใจอย่างนี้

    #แล้วจะขอแถมนิดหนึ่งว่า ถ้าจะมีคำถามว่า เทพเจ้าประจำดวงดาวต่างๆอย่างว่า จะเป็นพระอาทิตย์ก็ตาม พระจันทร์ก็ตาม หรือแม้แต่ราหูก็ตาม มีไหม ??

    ก็บอกว่า ถ้าจะว่าเทพเจ้า หรือเทวดานั้น มีสถิตอยู่ในทุกที่ในเทวภูมิ และภูมิใดจะเป็นเทพเจ้าใด ย่อมมีเป็นปกติ นี้..ก็มีอยู่ในคัมภีร์ ไม่ใช่ไม่มี แม้แต่ราหูก็มี ไม่ใช่ไม่มี มี มีอยู่ในคัมภีร์

    แต่ ท่านทราบไหม ว่าราหูแพ้อะไร แพ้พระรัตนตรัย แพ้พระรัตนตรัย เพียงแต่ท่องคาถา ไม่ต้องไปเอาคาถาอะไรหรอก พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เนี่ย ราหูนี่จะต้องวิ่งหนีจนเหงื่อตก เท่านี้แหละ ไม่ต้องกล่าวถึงการปฏิบัติอย่างที่เราทำนี่ เพียงแต่เจริญภาวนา ก่อนนอนไหว้พระ สวดมนต์ หรือเจริญภาวนา ตั้งใจรักษาศีล เจริญภาวนาสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน หรือวันหนึ่งทำครั้งหนึ่งเท่าที่เราสามารถทำได้ ก็เป็นอันว่า สามารถจะช่วยให้ได้รับผล เป็นคุณความดี เป็นผลแห่งคุณความดี เป็นความสุขความเจริญ เป็นการพ้นทุกข์ไปอย่างแท้จริงอย่างนี้ได้

    เพราะฉะนั้น ให้ท่านนึกดูอีกนิดนึง ให้ท่านไปอ่านข่าวหนังสือพิมพ์อีกนิดนึง ว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น กับดาราน่ะเป็นอย่างไร นะ ดารานั้นน่ะเขาดีในทางโลก แต่ทางธรรมยังไม่ถึงขั้น บอกซะตรงๆอย่างนี้ เพราะอะไร ก็เพราะเขาไม่นับถือพระรัตนตรัย แล้วไปชนบ้านใคร ขณะไหน ไปชนบ้านนายกเทศมนตรีเมืองพัทยา ซึ่งกำลังนำครอบครัวสวดมนต์อยู่ก่อนจะนอน นี่แหละ จึงเล่าให้ฟังอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจว่า ทำดีไม่มีปัญหา ปัญหาน้อยลงๆไปตามลำดับ ตั้งใจมั่นอย่างนี้แล้วจะไม่ผิด เป็นสัมมาทิฏฐิ จากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็หายไปเลย ให้จำไว้ ไม่ต้องไปเสียเวลาทำ ถ้าจะว่าจริงๆคือบ้าๆบอๆ เพราะอะไร เพราะนั้นเป็นเครื่องแสดงเท่านั้น

    ในคัมภีร์ปรากฏเลยว่า พระราหูนั้น เมื่อผู้ใด เช่น สุริยเทพ หรือ เทวดาประจำพระจันทร์ ที่ถูกราหูรบกวนเอานั้น เพียงเจริญภาวนาท่องคาถาบทพระพุทธคุณนิดเดียวเอง พระราหูนั้นก็หายไป ตัวสั่นเทา นั่น ต้องไปถามเทพที่สูงๆยิ่งๆขึ้นไปว่าเพราะเหตุใด เมื่อได้รับทราบแล้วจึงถึงบางอ้อ

    เพราะฉะนั้น เรื่องความร้ายทั้งปวง ไม่ต้องนับเรื่องราหูล่ะ ทุกอย่าง แพ้พระรัตนตรัย ให้จำไว้ แต่ว่า กรรมของใครก็กรรมของใคร เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผ่านมาแล้วเราแก้ไม่ได้ เราแก้ได้สิ่งที่จะมีต่อไปเท่านั้น คือเราจะต้องศึกษาเหตุปัจจัยแห่งความสุข เหตุปัจจัยแห่งความทุกข์ แล้วเราทำไป ให้ผลบุญ คือความสุขความเจริญ ให้ผลนำหน้าผลบาป ก็จะได้รับผลที่พ้นจากเวรภัยไปตามลำดับ และมีแต่ความสันติสุขและร่มเย็นยิ่งๆขึ้นไป
    ขอให้มั่นในพระรัตนตรัยจะไม่ผิดหวัง อย่าไปถืออย่างอื่นที่ไม่ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้น อาตมาก็ถือโอกาสนี้ เจริญพรให้ญาติโยมทั้งหลายได้ทราบเรื่องนี้ จะได้แน่ใจแน่นอน ใครถามจะได้ตอบให้ถูก ไม่งั้นประเดี๋ยวพวกเราจะเผลอไปนึกหวาดหวั่น ตัวอะไรต่อตัวอะไร อักษรไหนต่ออักษรไหน อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ไปหลงทำอย่างนั้นเสียเวลา เสียเวลา เสียเงินเยอะด้วย อย่างน้อยก็ รถติดน้ำท่วมต้องไปหาซื้อไอ้พรรนนี้ ก็แพงด้วย นะ เพราะฉะนั้นก็ยุ่งยาก

    เพราะขึ้นชื่อว่าเหล้า ถึงแม้จะเอาไปใช้เส้นสรวงบวงวักคนอื่น แสดงว่าตนเองก็เมาแบบเหล้านั้นแหละ แล้วก็แถมยังไปหาของที่จะต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อีกมากมาย เพราะฉะนั้น อันนั้นก็เป็นการสร้างเวรสร้างกรรมโดยทางอ้อม และเป็นแมส(Mass)ด้วยนะ คือ เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่ทำกันอยู่อย่างนี้ และมีผู้นำชี้แนะชี้ทางอย่างนี้ นั่นแหละ มีผลต่อไปข้างหน้า นะ

    ________________
    เทศนาธรรมจาก

    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _______________
    ที่มา
    จากเทศนาธรรมเรื่อง
    "อิทธิพลดวงดาวกับพระพุทธศาสนา"
    _______________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า
    ขอบพระคุณภาพประกอบธรรมะ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    21032588_1791539050859599_1100237632188550441_n.jpg

    **********************************************************************


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    21106382_708437296007340_5259652304970646450_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    ?temp_hash=60bc24b7e41d7840ce971020b88e7f98.jpg







    จากหนังสือ ตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ
    เรื่อง "เอาวิชชาธรรมกายไปผสมกับสายอื่น มีผลเสียอย่างไร"
    พิมพ์ครั้งที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๒ หน้า ๒๕๒ - ๒๕๓

    โดย พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี

    ......
    เพราะจริง ๆ แล้ว ปฏิบัติเพื่อละวางอุปาทานนะ คำว่า “หยุด” นี่เขาให้ปฏิบัติเพื่อให้หยุดชั่ว

    #ให้หยุดปรุงแต่ง ไม่ต้องติดอะไร


    ถ้าหยุดแล้วกลับติด จะไปหยุดทำอะไร



    เอ้า! ถ้าหากมันยังโง่นัก ก็ยึดให้เหมือนลิงติดแหไปเลย ให้ติดนุงนังไปเลย จะได้ไปอบายภูมิสะดวก ๆ

    เพราะฉะนั้นปฏิบัติธรรม ต้องเข้าใจนะว่าปฏิบัติไปทำไม ปฏิบัติไปเพื่อละวาง ละวางกิเลสในใจเรา ปล่อยวางความยึดติด อย่าให้มี แต่ให้รู้ทางปฏิบัติตามที่เป็นจริงว่า อะไรคือทางเดินตามทางที่ครูอาจารย์สอน ตามธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ทำไปเถอะ ไม่เสียผล ไม่ผิดทาง

    ......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    21191850_1793861673960670_5009668773146511969_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    21192541_738964006304774_6254211907443505844_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    ?temp_hash=dbb137349693f0cbb7674dbe02f66f71.jpg





    #หลวงพ่อสดกับข้าวสาร

    #ก่อนที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านจะมรณภาพประมาณ 5 ปี
    ท่านได้เรียกประชุมคณะศิษย์ทั้งในและนอกวัดเป็นกรณีพิเศษที่ศาลาการเปรียญ #เพื่อแจ้งให้ทุกคนทราบว่าท่านจะถึงกาลมรณภาพในอีก 5 ปีข้างหน้า
    กิจการใดที่ท่านได้ดำเนินไว้แล้วขอให้ช่วยกันทำกิจการนั้นๆ อย่าทอดทิ้ง ท่านบอกว่าต่อไปวัดปากน้ำจะเจริญรุ่งเรืองใหญ่โต
    แม้ว่าท่านจะมรณภาพไปแล้วแต่ก็มีโอกาสช่วยวัดได้มากกว่ายังมีชีวิตอยู่ มีลูกศิษย์หลายคนได้อาราธนาขอมิให้ท่านมรณภาพ
    #ท่านตอบว่าไม่ได้อีก 5 ปี #ท่านจะไม่อยู่แน่ๆแล้ว

    #ตั้งโรงครัว

    หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านปกครองทุกคนที่อยู่ในวัดไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ
    สามเณร อุบาสก อุบาสิกา
    ศิษย์วัดแบบพ่อปกครองลูก
    ท่านยึดหลักธรรมพรหมวิหาร 4 เป็นข้อปฏิบัติ
    ความเป็นผู้มีเมตตาธรรมของท่านนั้น
    เป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่ศิษยานุศิษย์มาตั้งแต่สมัยที่ท่านอยู่วัดพระเชตุพนฯ

    บางวันท่านออกบิณฑบาตได้อาหารเพียงเล็กน้อย บางวันก็ไม่ได้อาหารเลย วันหนึ่งท่านได้อาหารมาเพียงทัพพีเดียวกับกล้วยน้ำว้า 1 ลูก
    #ขณะที่กำลังจะฉันอาหารนั้น #ท่านเหลือบไปเห็นสุนัขแม่ลูกอ่อนผอมโซ อดอยากมาเดินป้วนเปี้ยน#ท่านบังเกิดความเมตตาสงสารจึงยอมสละอาหารมื้อนั้นให้เป็นทาน #ท่านจึงตั้งปณิธานไว้ว่าถ้ามีกำลังและโอกาสท่านจะตั้งโรงครัวเลี้ยงพระภิกษุสามเณร #เป็นทานแก่ผู้อดอยากยากจนให้ได้ #และท่านก็ทำได้สำเร็จ #เป็นพระองค์แรกที่สามารถเลี้ยงดูพระภิกษุ สามเณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ศิษย์วัดตลอดจนผู้มาปฏิบัติธรรมได้ทุกวัน #นับเป็นจำนวนพันก็เลี้ยงได้ #แม้เมื่อมรณภาพไปแล้วจนถึงปัจจุบัน

    "#พวกเอ็งคอยดูนะ แม้เมื่อหลวงพ่อตายไปแล้ว ก็จะเลี้ยงดูให้พวกเอ็งได้อิ่มหนำสำราญ ไม่ต้องกลัว ขอเพียงให้ทุกคนตั้งใจศีกษาเล่าเรียน ตั้งใจปฏิบัติกันให้จริงจัง"
    ------------------------------------------------------------
    แม่ชีพราหมณ์ ช้างเขียว

    หลวง พ่อเป็นคนจริงจัง ทำอะไรทำจริงทำจัง พูดจริง ทำจริง พูดเรื่องอะไรก็ตาม รับรองได้เลยไม่มีคลาดเคลื่อนเลย คำพูดของท่านวาจาศักดิ์สิทธิ์ ท่านก็ไม่ดุ แต่ไม่รู้ทำไมกลัวท่าน ท่านรู้หมดแหละว่า ลูก ๆ ท่านเป็นยังไงเวลาเทศน์ ใครสักคนกำลังคิดอะไรอยู่ ท่านก็เทศน์แทงใจเลย คนนั้นก็จะรู้ด้วยตัวเอง เรากลัวก็กลัว แต่ก็รักหลวงพ่อ หลวงพ่อให้ช่างปั้นรูปหล่อของท่านไว้ ท่านจะเดินไปให้ช่างดูตัวทุกวัน ท่านรู้ว่าท่านจะเริ่มป่วย ก็เลยให้ช่างปั้นรูปท่านไว้ ภายในบรรจุของศักดิ์สิทธิ์มากมาย ฉันจำได้ตอนหลวงพ่ออายุราวๆ ๗๐ ปี หลวงพ่อผิวขาวสวยงามมาก ท่านดูผ่องใสมาก น่าเลื่อมใสศรัทธามาก ยิ่งตอนหลวงพ่อห่มจีวรใหม่จะดูหลวงพ่อสว่างทีเดียว

    เวลาหลวงพ่อเทศน์ ถ้าวันไหนมีพระลงน้อย ท่านก็จะบอกว่า วันนี้พระแพ้แม่ชี แล้วท่านก็จะไม่เทศน์ด้วย พระก็จะต้องรีบวิ่งไปตามพระมา ตามมาจนเต็มโบสถ์ วันหลังพระก็เข็ด เวลาเทศน์ถ้ามีคนตะบันหมาก ท่านก็จะหยุดเทศน์ รอให้ตะบันเสร็จก่อน น่ากลัวมั้ยละ คนกำลังเทศน์อยู่ดีๆ ก็หยุดเทศน์ไปเฉยๆ วัยพฤหัสหลวงพ่อจะลงมาสอนธรรมะ ถ้าใครส่งเสียงดังรบกวน ท่านก็จะพูดไปเลยว่า เดี๋ยวหูหนวกนะ รบกวนคนกำลังปฏิบัติ เวลาจะมีผู้ใหญ่มาวัดปากน้ำ หลวงพ่อจะเดินตรวจวัด เดินไปตามทาง มองไปทางโน้นที ทางนี้ที ทุกคนรีบเก็บเสื้อผ้า เรียบร้อย รู้เลยว่าจะมีผู้หลักผู้ใหญ่มา

    หลวงพ่อท่านเป็นคนประหยัด ละเอียดถี่ถ้วน เดินไปตามถนนท่านเจอเศษไม้เป็นท่อน ท่านเก็บเอามา ท่านบอกว่าเอาไว้ทำฟืนได้ พวกผ้าขี้ริ้วมันขาดแล้วก็อย่าเอาไปทิ้ง ปะมันจำเป็นอะไรมันรั่วขึ้นมา เอาน้ำมันยางโปะมันก็กันได้ ชั่วระยะไม่ให้ทิ้ง แล้วที่ล้างชามอย่าไปเทพรวดๆ ค่อยๆ ริน เอาน้ำออก แล้วไอ้ที่ก้นๆ ไปให้หมู ให้หมากินก็ได้ ท่านสอนละเอียดเลย สอนบ่อยๆ สอนมากๆ เข้าก็ค่อยๆ ซึมเข้าไป สมัยนี้ไม่มีใครทำหน้าที่สอนเหมือนหลวงพ่อวัดปากน้ำเลย
    ---------------------------------------------------------------
    แม่ชีศรีปรุง อุบลนุช

    พอตี ๓ แม่ชีต้องลุก ตวงน้ำใส่แก้ว ตั้งตามโต๊ะ กระโถนอยู่ตรงกลาง เดี๋ยวนี้ไม่ต้องตวงน้ำแล้วมีแก้วกับขวดตั้งสะดวกสบาย หลวงพ่อท่านเคยเรียกแม่ชีและบอกว่าโต๊ะตรงนี้นะ กระโถนตั้งตรงนี้ ตั้งเป็นระยะๆ ผ้าจะปูตรงกลางแล้วมีแก้วน้ำ กาน้ำแก้วน้ำนี้ต้องตวงด้วย ท่านบอกต้องทำให้สะอาดนะ ทำไปนะกุศลใหญ่ บุญใหญ่ สมัยนั้นยังใช้น้ำกรองตักจากแท้งค์ใหญ่ หลวงพ่อจะลงฉัน เวลาพระฉันก็ได้ยินแต่เสียงช้อน ไม่ให้คุยกัน พระเยอะๆ ก็ไม่ให้นั่งคุย ถ้าคุยท่านก็จะถาม “ฉันข้าวหรือกินเหล้า” ไม่ให้พูด ได้ยินแต่เสียงช้อนเพราะว่าเป็นชามกระเบื้อง แต่ก่อนแม่ชีท้วมเป็นแม่ครัวดูแลครัวทั้งหมด มาอยู่ก่อน ๕ ปี แม่ชีเขาจะมีเวรทำวิชชาไม่ขาดสาย พอเวรนี้ออกคนโน้นก็มาแทนเปลี่ยนเวรกัน ไม่ให้ขาด หมุนเวียนไปเรื่อยๆ แล้วจะจัดสำหรับเอาไว้ให้ต่างหาก

    --------------------------------------------------------------------

    พระอาจารย์สุวิชา เปสโล คณะเนกขัมม์ วัดปากน้ำ

    เมื่อก่อนวัดปากน้ำไม่มีอะไรหรอก ริเริ่มก็เป็นวัดเก่าแก่ กุฏิก็มีไม่กี่หลัง สมัยหลวงพ่อที่นี่ก็เป็นสวนพลู สวนหมาก สวนมะพร้าว สวนเงาะ กุฏิเป็นกุฏิเล็กๆ ยกขึ้น ปลูกด้วยไม้สัก พักได้องค์เดียว อยู่ตามร่องสวน สมัยหลวงพ่อ ตึกยังไม่มี ยกโรงกลางสนามวัดให้พระได้ศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรม ไม่ได้สร้างอะไร อยู่มาพระเณรมากขึ้น ไม่มีที่ศึกษาเล่าเรียน มีคนเขาให้หลวงพ่อช่วยสร้างโรงเรียนขึ้นสักหลัง ต่อมาจึงมีการสร้างพระของขวัญขึ้น องค์ละ ๒๕ บาท เพื่อนำเงินมาสร้างโรงเรียนหลวงพ่อบอกว่า เราต้องสร้างคนเสียก่อน ให้มีความรู้ ความเข้าใจในพระพุทธศาสนา ให้รู้จักธรรมะ ให้รู้จักบุญ รู้จักบาป รู้จักคุณ รู้จักโทษ เดี๋ยวเขาก็สร้างเอง เขามีศรัทธาเดี๋ยวเขาก็สร้างเอง ไม่ต้องบอก แล้วอีกอย่างหนึ่งที่หลวงพ่อสอนทุกเช้า คือเมื่อพระภิกษุสามเณรบวชมาแล้วให้ตั้งอยู่ในธรรมวินัย ไม่ต้องวิ่งไปหาญาติโยม ให้อยู่ในวัด ประพฤติปฏิบัติให้ดี เมื่อเราประพฤติปฏิบัติดี เดี๋ยวเขาก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาก็เอาอาหารมาถวายเอง หลวงพ่อมีอุดมคติอย่างนั้น พระภิกษุสามเณร อุบาสก แม่ชีจึงต้องปฏิบัติกันทุกคน ไม่ต้องกลัวอด ถ้าอดเป็นอด ตายเป็นตาย ขอให้เราประพฤติ ปฏิบัติจริง ตั้งอยู่ในพระธรรมวินัยจริงมนุษย์ไม่เห็น เทวดา ผีสางก็เห็นเขาก็สรรเสริญเอง

    หลวงพ่อมีลูกศิษย์ ลูกหาอยู่ทั่วประเทศ สมัยนั้นพระเณรหลวงพ่อไม่ให้มีวิทยุ โทรทัศน์ ไม่ให้จับเงิน จับทอง แต่ก่อนพระเณรที่มาอยู่กับหลวงพ่อให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหาร หลวงพ่อมีโรงครัวเลี้ยง มีพระจบเปรียญกันมากมายจากวัดปากน้ำ หลวงพ่อสด ท่านสอนว่าใครจะโจมตีเรายังไงก็แล้วแต่ ท่านให้เราเป็นเสาหิน เรียกว่าจะมีพายุทั้ง ๔ ด้านมาเราก็เฉย มี ครั้งหนึ่งมีคนมาด่าหลวงพ่อที่หน้าโบสถ์ ขณะหลวงพ่อกำลังเทศน์อยู่ หรือมีคนเอาปืนมาลอบยิงท่าน ท่านก็ไม่ว่าอะไร อยากจะทำก็ทำไป เพราะเขาอิจฉาหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกว่า เราหยุด หยุดเป็นพระ ชนะเป็นมาร เราไม่หนี เราไม่สู้ แต่เราปฏิบัติ เราก็ทำความดีของเราเรื่อย เดี๋ยวไอ้พวกมาร พวกอิจฉาก็หายไปเอง เรานั่งเฉย ไม่ต้องไปโต้ตอบอะไร เขาด่าเราภายใน ๗ วัน เหนื่อยมันก็หยุดไปเอง ไม่โต้ตอบ ชนะด้วยความดี

    #ในการมาเรียนพระปริยัติธรรม #แต่ก่อนมีพระเณรมาเรียนกันมาก มีถึง ๖๐๐ กว่าองค์ #หลวงพ่อบอกว่าเลี้ยงไหว #ท่านบอกว่าเมื่อจั้งใจมาเรียนแล้ว #แม้จะคับที่ก็ขอให้อยู่ได้ #อัศจรรย์อย่างหนึ่ง #คือหลวงพ่อเลี้ยงอาหารไหวตลอด #เดี๋ยวก็มีคนเอาข้าว#เอาอะไรต่ออะไรมาถวายทีหนึ่งก็เป็นลำเรือ





    **********************************************************
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    21230772_1801027496577421_6261712032211324807_n.jpg


    *******************************************************************************
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    21272160_1801493783197459_839449047932621753_n.jpg


    ผลดีของการเดิน


    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสอานิสงส์การเดินจงกรม มีปรากฏในจังกมสูตร อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต (๒๒/๒๙/๓๑) ว่า


    ปฺจิเม ภิกฺขเว จงฺกเม อานิสสา

    กตเม ปฺจ

    อทฺธานกฺขโม โหติ ปธานกฺขโม โหติ อปฺปาพาโธ โหติ อสิต ปิต ขายิต สายิต สมฺมาปริณาม คจฺฉติ จงฺกมาธิคโต สมาธิ จิรฏฺิติโก โหติ

    อิเม โข ภิกฺขเว ปฺจ จงฺกเม อานิสสาติ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการจงกรม ๕ ประการนี้

    ๕ ประการเป็นไฉน คือ

    ภิกษุผู้เดินจงกรมย่อมเป็นผู้อดทนต่อการเดินทางไกล ๑
    ย่อมเป็นผู้อดทนต่อการบำเพ็ญเพียร ๑
    ย่อมเป็นผู้มีอาพาธน้อย ๑
    อาหารที่กิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้มแล้วย่อมย่อยไปโดยดี ๑
    สมาธิที่ได้เพราะการเดินจงกรม ย่อมตั้งอยู่ได้นาน ๑

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการเดินจงกรม ๕ ประการนี้แล.


    ***************************************************************


    ปัจจุบันนี้ มีผลการศึกษาเกี่ยวกับการเดิน ว่า มีผลดีหลายประการ ดังนี้


    ทำไมอัจฉริยะจึงชอบเดินคิด เดินคุย ?


    สตีฟ จ๊อบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ล ชอบเดินประชุมมากกว่านั่ง โดยเฉพาะในการพบกันครั้งแรก และการพูดคุยเรื่องที่ตัดสินใจยาก

    จ๊อบส์ จะเลือกเดินสนทนา

    *******

    มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ค เป็นอีกคนที่ชอบเดิน

    มาร์คมักจะพาคนที่เขาต้องการรับเข้าทำงาน เดินจากสำนักงานใหญ่ของบริษัท ไปยังจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองโดยรอบ

    *******

    เมื่อครั้งที่ กุสตาฟ มาห์เลอร์ คีตกวีชาวออสเตรียน ไปขอคำปรึกษาปัญหาชีวิตสมรสจาก ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) นักจิตวิเคราะห์ผู้โด่งดัง

    ฟรอยด์ ได้พา มาห์เลอร์ เดินคุยนานถึง ๔ ชั่วโมง

    นอกจากนี้ ลูกศิษย์คนโปรดของฟรอยด์ ก็ยังเปิดเผยว่า ฟรอยด์ใช้วิธีเดินสอนในตอนเย็นเป็นประจำ

    *******

    ชาร์ล ดิกเกนส์ (Charles Dickens) นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษ เดินวันละ ๒๐ ไมล์ หรือประมาณ ๓๒ กิโลเมตร ในเวลากลางคืน

    ดิกเกนส์ เล่าว่า หากไม่สามารถเดินให้เร็วและไกลได้ เขาคงจะต้องตายอย่างแน่นอน

    *******

    ชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ เดินวันละ ๓ รอบ รอบละ ๔๕ นาที

    รอบแรกเขาจะเดินก่อนอาหารเช้า รอบสองก่อนอาหารเที่ยง และรอบที่สามหลังอาหารเย็น

    *******

    มาริลี ออปเปซโซ ( Marily Oppezzo) และ แดเนียล ชวาร์ตซ์ (Daniel Schwartz) สองนักวิจัยจากสถาบันสแตนด์ฟอร์ด (Stanford) ได้ทำการศึกษาเรื่องการเดิน พบว่า การเดินช่วยเพิ่มระดับความคิดสร้างสรรค์ ให้สูงกว่าช่วงเวลาที่นั่ง ๖๐% ไม่ว่าจะเดินบนเครื่องออกกำลังกายในบ้าน หรือเดินนอกบ้าน ก็ให้ผลดีเช่นเดียวกัน และหลังจากเดิน เมื่อกลับมานั่ง พลังความคิดสร้างสรรค์ที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาขณะที่เดิน ก็ยังคงอยู่

    *******

    นอกจากการเดินจะช่วยเพิ่มพลังความคิดสร้างสรรค์ดังที่กล่าวมาแล้ว

    การเดินยังเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย

    *******

    นิโลเฟอร์ เมอร์เชินท์ (Nilofer Merchant) นักวางแผนธุรกิจ ที่ทำงานให้กับองค์กรขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น บริษัท Apple และ Autodesk ได้บรรยายบนเวที TED Talk โดยมีเนื้อหาสำคัญ คือ เทคโนโลยีทำให้ทุกวันนี้เรานั่งทำงานนานกว่านอนหลับพักผ่อนเสียอีก ซึ่งเราไม่เคยนึกกันเลยว่า การนั่งก็เหมือนกับการสูบบุหรี่ ที่มีผลให้เกิดโรคได้ ผู้ที่นั่งโดยไม่เคลื่อนไหวร่างกาย จะมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและลำไส้, โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน สูงกว่าผู้ที่เดินและออกกำลังกายเป็นประจำ

    เมอร์เชินท์ บอกว่า มีอยู่วันหนึ่ง เธอได้รับเชิญให้ไปประชุมตัวต่อตัว แต่สถานที่ไม่เอื้ออำนวย ผู้ที่เชิญเธอจึงเสนอว่า “พรุ่งนี้ฉันต้องพาหมาไปเดินเล่น คุณมาได้ หรือ ไม่ ?” และนี่ก็คือ จุดเริ่มต้นในการเดินประชุมของเธอ

    เมื่อได้ไอเดียในการเดินประชุม เมอร์เชินท์ ก็เริ่มเปลี่ยนจากการประชุมในร้านกาแฟ หรือห้องประชุมทั่วไป เป็นเดินประชุม ซึ่งหลังจากทำเช่นนี้เป็นร้อยๆ ครั้ง มันก็ทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไป เธอคิดนอกกรอบมากขึ้น และสามารถมองเห็นปัญหา รวมถึงวิธีแก้ปัญหาจากมุมมองใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน

    *******

    จะเห็นได้ว่า การเดินคิด เดินคุย เป็นหนึ่งกิจกรรมที่บรรดาอัจฉริยะหลายคนชื่นชอบ และปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

    Cr. พิสิษฐ์ จง
    — ที่ วัดป่าวิสุทธิคุณ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    21192673_1798724420141062_7904209504398061079_n.jpg


    ความเพียร ในอริยมรรคปฏิปทา ให้ศึกษาและปฏิบัติซึ่งสัมมัปธาน 4
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    21369545_1805325736147597_7816493982862374438_n.jpg
    **************************************************

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    14237736_1301348223232716_700217636273973114_n.jpg 14291843_1301348356566036_1292807156896143906_n.jpg

    14202625_1301349309899274_4821527014228572866_n.jpg

    14202610_1301349039899301_6287671630411090969_n.jpg




    หลวงพ่อภาวนาตามพระคู่บารมีเนื้อทองคำและนากมาให้หลวงป๋า โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)

    จะมีใครรู้บ้างว่ามีพระสำคัญในโบสถ์ของวัดหลวงพ่อสดอยู่ 2 องค์ คือพระทองคำและพระนากนั้นได้มาเพราะฝีมือของหลวงพ่อภาวนาโกศลเถระ (วีระ คณุตตโม) อดีตพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาของวัดปากน้ำภาษีเจริญ เมื่อหลวงป๋าได้เรียนวิชชาธรรมกายจากหลวงพ่อภาวนาแล้วก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของท่านเต็มตัว ดังนั้นหลวงพ่อท่านจึงได้ตรวจดูว่าจะช่วยเหลือหลวงป๋าในการสร้างบารมีได้อย่างไรบ้าง ก็ปรากฏว่าเมื่อท่านได้ใช้ญาณทัศนะในวิชชาธรรมกายตรวจดูจนรู้ว่า ในอดีตชาตินั้นหลวงป๋าท่านได้สร้างพระที่สำคัญเอาไว้ แต่ตอนนี้พระไม่ได้อยู่ในประเทศไทย พระท่านกระจัดกระจายอยู่ในแถบเมืองเชียงตุงในเขตแดนของพม่า

    ดังนั้นเพื่อให้หลวงป๋าได้พระที่สำคัญกลับคืนมา หลวงพ่อภาวนาท่านจึงได้ใช้วิชชาธรรมกาย "ตะล่อม" (วางผังสำเร็จ) เพื่อให้พระเดินทางกลับมาสู่ประเทศไทย โดยอาจเป็นการดลใจให้เจ้าของถวายหรือปล่อยให้เช่าต่อๆ กันมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จนกระทั่งพระที่สร้างด้วยเนื้อนากได้เดินทางมาถึงจังหวัดแถวเชียงใหม่หรือลำพูน หลวงพ่อภาวนาท่านก็รีบแจ้งให้หลวงป๋า (ตอนนั้นหลวงป๋าท่านยังไม่ได้บวช) ให้รีบขึ้นไปที่ร้าน.....ซึ่งเป็นร้านรับซื้อขายพระและของเก่าต่างๆ หลวงพ่อภาวนาท่านจะบอกรายละเอียดที่อยู่พร้อมกับรูปร่างและขนาดของพระอย่างละเอียด เมื่อหลวงป๋าเดินทางไปจนถึงจุดที่หลวงพ่อภาวนาบอก ก็สามารถเจอะเจอพระนากขนาดหน้าตักประมาณ 17 นิ้ว และสามารถบูชามาได้อย่างง่ายดาย โดยหลวงป๋าทำทีว่าไม่รู้ว่าพระองค์นี้มีความสำคัญ แกล้งติโน่นต่อนี่เพื่อให้ผู้ขายลดราคาลงมา คนขายก็ตกลงขายให้แบบงงๆ ท่านจึงได้พระมาในราคาที่ไม่แพงเลย ถ้าคนขายรู้ว่าพระองค์นี้เป็นพระเก่าแก่และหล่อขึ้นด้วยเนื้อนากทั้งองค์ ต่อให้มีเงิน 1 ล้านบาทเขาก็คงไม่ปล่อยให้บูชามาได้

    เมื่อได้พระองค์แรกมาแล้วหลวงพ่อภาวนาก็ "ตะล่อม" พระทองคำมาอีก คราวนี้องค์พระท่านได้เดินทางเข้ามาสู่ประเทศไทยที่จังหวัดเชียงราย พอพระเดินทางมาถึงหลวงพ่อภาวนาก็รีบโทรศัพท์บอกหลวงป๋าให้ขึ้นไปรับมาทันที เมื่อไปถึงร้านนั้นแล้วก็มองไม่เห็นพระทองคำ ทั้งนี้เพราะเจ้าของเดิมเขาหวงพระองค์นี้มากจึงได้เอาสีดำด้านๆ ทาไว้ทั้งองค์ดูจากภายนอกไม่มีความสวยงามเลย ใครเห็นก็ไม่สนใจเพราะคิดว่าเป็นพระธรรมดาไม่มีค่าอะไร แต่หลวงป๋าท่านรู้ได้เพราะลักษณะรูปร่างและขนาดตรงตามที่หลวงพ่อภาวนาบอกไว้ไม่มีผิด

    หลวงป๋าท่านจึงสามารถบูชาพระทองคำแท้องค์ใหญ่ขนาดหน้าตักประมาณ 19 นิ้วมาในราคาที่ไม่แพงเลย เนื่องจากพ่อค้าเขาก็ไม่รู้ว่าพระองค์นั้นคือพระทองคำอันล้ำค่าทั้งองค์ เมื่อได้มาแล้วลองขูดเนื้อดูก็รู้ว่าเป็นพระทองคำแท้ ขอบอกไว้นิดหนึ่งว่าปัจจุบันนี้ถ้าเราจะสร้างพระทองคำขนาด 9 นิ้วยังต้องใช้เงินสร้างไม่ต่ำกว่า 14 ล้านบาท แต่หลวงป๋าท่านสามารถบูชาพระองค์นี้มาได้ในราคาเพียงไม่กี่หมื่น มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ไหมครับ แต่มันก็เป็นไปแล้วเพราะว่าพระองค์นี้เคยเป็นพระของหลวงป๋าท่านมาก่อนนั่นเอง...พระท่านจึงกลับมาหาเจ้าของด้วยฤทธิ์ของหลวงพ่อภาวนา

    ที่จริงหลวงป๋าท่านจะต้องได้พระมาอีก 1 องค์ คือพระเงินน้องเล็ก เพราะในอดีตท่านได้สร้างไว้เป็นพระ 3 พี่น้อง คือพระทองคำ พระนาก และพระเงิน แต่เนื่องจากพระเงินยังอยู่กับคุณแม่ชีผู้มีบารมีท่านหนึ่งแถบจังหวัดนครสวรรค์หรือพิษณุโลกนี่แหละ เจ้าของหวงแหนมาก แต่สักวันหนึ่งก็คงจะได้กลับมาอยู่รวมกันเป็นพระ 3 พี่น้อง ทองคำ นาก เงิน เหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา

    บางคนชอบพูดว่าพวกที่นั่งสมาธิแล้วเห็นโน่นเห็นนี่ ไม่รู้ว่าคิดเห็นไปเองหรือเปล่า แต่ถ้าเขาเหล่านั้นได้มาทราบเรื่องที่หลวงพ่อภาวนา ได้ตรวจไปถึงอดีตชาติของหลวงป๋า แล้วยังได้รู้ว่าพระที่หลวงป๋าสร้างไว้นั้นยังอยู่ในโลก ท่านยังสามารถทำวิชชาให้พระเดินทางมาจากนอกประเทศให้เข้ามาในไทยเพื่อที่หลวงป๋าจะสามารถเดินทางขึ้นไปรับมาได้อีก แล้วหลวงพ่อภาวนาท่านยังสามารถระบุรายละเอียดของสถานที่ที่พระนั้นอยู่ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ญาณทัศนะและสิทธิอำนาจในวิชชาธรรมกายจึงเป็นของจริงที่ทั้งรู้และทั้งเห็น ทั้งสามารถทำได้จริงอีกด้วย

    มาในชาตินี้หลวงป๋าท่านก็ยังได้พระ 3 พี่น้อง 3 เนื้อชุดใหม่อีก แต่ครั้งนี้ผม (อู๋) และเหล่าญาติมิตรได้เป็นคนสร้างถวายท่าน โดยสร้างขึ้นมาด้วยเนื้อธาตุกายสิทธิ์คือเหล็กไหลวัชรธาตุ เหล็กไหลช่อทิพย์เงินยวง และเหล็กไหลสุริยันราชา และได้นำถวายท่านไปแล้วเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2559 เอาไว้ชาติหน้าพวกเราคงจะได้สร้างพระสามพี่น้องถวายหลวงป๋ากันอีกนะครับ


    (เพิ่มเติม) วันหนึ่งมีสามเณรรูปหนึ่งได้เข้าไปนั่งสวดมนต์นั่งสมาธิในโบสถ์ของวัดหลวงพ่อสด ตอนนั้นคงจะเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ สามเณรนั่งสมาธิไปนานเข้าก็เริ่มง่วงตามประสาเด็ก นั่งโงกไปโงกมาจะหลับแหล่มิหลับแหล่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะมีพระองค์หนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้าสามเณรแล้วเอามือเขกศีรษะเณรดังโป้ก เณรหายง่วงเลยลืมตาขึ้นมาดูว่าพระที่ไหนมาเขกศีรษะ มองขึ้นไปยิ่งตกใจใหญ่เพราะเห็นเป็นหลวงพ่อนากซึ่งอยู่ในตู้กระจกของโบสถ์ ท่านออกมายืนอยู่ตรงหน้าได้อย่างไร สามเณรองค์นั้นถึงกับร้องลั่นออกมาด้วยความตกใจพร้อมกับหงายหลังล้มลงไปเลย พอลุกขึ้นมาได้ก็วิ่งโกยออกจากโบสถ์ไปด้วยความตกใจสุดขีด พอไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังคนฟังก็อดขำไม่ได้ถึงความขี้เล่นของหลวงพ่อนากองค์นี้

    ที่จริงก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ตอนที่ได้พระมาไม่นานสมัยนั้นหลวงป๋าท่านยังไม่ได้บวช ท่านมีความคิดว่าจะนำพระนากนี้ถวายแก่เจ้าอาวาสของวัดใหญ่มากแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดปทุมธานีเพื่อเอาบุญ เมื่อถวายพระนากไปแล้วทางวัดนั้นก็ให้คนมาทำการขัดผิวองค์พระเพื่อให้พระดูงดงามขึ้น ขณะที่คนนั้นกำลังขัดพระอยู่เพลินๆ ปรากฏว่านิ้วของหลวงพ่อนากท่านกระดุกกระดิกได้เอง คนนั้นเขาไม่ทันตั้งตัวเลยตกใจสุดขีด ดีดตัวเองลอยออกไปทางหน้าต่างของห้องนั้นแบบลืมคิดชีวิต ดีที่เป็นกุฏิชั้นเดียวถ้าสูงหลายชั้นคงเจ็บหรือตายแน่ หลวงพ่อนากองค์นี้ท่านศักดิ์สิทธิ์จริงแถมอารมณ์ดีขี้เล่นอีกด้วย แต่ท่านคงไม่อยากจะอยู่ที่วัดใหญ่แห่งนั้น เพราะต่อมาปรากฏว่าทางวัดได้ส่งพระมาคืนให้หลวงป๋า ถามดูเหตุผลเขาบอกว่า "พระคงอยากมาอยู่กับเจ้าของ"

    ----------------------------------------

    หลวงพ่อภาวนาใช้อานุภาพของพระธรรมกายดับดาว
    เล่าโดย เมธีกิตติ์ เล็ก

    อานุภาพวิชชาธรรมกายของหลวงพ่อภาวนาโกศลเถระ (วีระ คณุตตโม) จากปากหลวงน้าสัมรินทร์ว่าสมัยที่หลวงพ่อภาวนาท่านอายุประมาณ 70 ปี มีครั้งหนึ่งได้ไปที่น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ พอตกกลางคืนคณะศิษย์ก็มานั่งล้อมวงคุยกับท่าน และพูดเชิงอยากเห็นอานุภาพพลังจิตของท่าน จึงพูดเชิงให้หลวงพ่อท่านลองดับรัศมีดวงดาวกลุ่มนี้ให้ดูสักหน่อย หลวงพ่อภาวนาท่านก็ตอบว่าจะไปดับทำไมแค่ดวงดาวกลุ่มนั้น มันต้องแบบนี้ซิ ท่านกล่าวพร้อมกับโบกมือไปในอากาศ ปรากฏว่ารัศมีของดวงดาวครึ่งหนึ่งของท้องฟ้าดับมืดไป คือสว่างครึ่งฟ้าและมืดไร้แสงดาวไปครึ่งฟ้า ปาฏิหาริย์นี้เกิดขึ้นยาวนานประมาณครึ่งชั่วโมงหลวงพ่อท่านจึงคลายพลังจิต ดวงดาวก็กลับมาส่องแสงดั่งเดิม ขอเล่าถวายเกียรติคุณไว้เท่านี้ครับ


    ********************************************************

    วันหนึ่งมีสามเณรรูปหนึ่งได้เข้าไปนั่งสวดมนต์นั่งสมาธิในโบสถ์ของวัดหลวงพ่อสด ตอนนั้นคงจะเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ สามเณรนั่งสมาธิไปนานเข้าก็เริ่มง่วงตามประสาเด็ก นั่งโงกไปโงกมาจะหลับแหล่มิหลับแหล่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะมีพระองค์หนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้าสามเณรแล้วเอามือเขกศีรษะเณรดังโป้ก เณรหายง่วงเลยลืมตาขึ้นมาดูว่าพระที่ไหนมาเขกศีรษะ มองขึ้นไปยิ่งตกใจใหญ่เพราะเห็นเป็นหลวงพ่อนากซึ่งอยู่ในตู้กระจกของโบสถ์ ท่านออกมายืนอยู่ตรงหน้าได้อย่างไร สามเณรองค์นั้นถึงกับร้องลั่นออกมาด้วยความตกใจพร้อมกับหงายหลังล้มลงไปเลย พอลุกขึ้นมาได้ก็วิ่งโกยออกจากโบสถ์ไปด้วยความตกใจสุดขีด พอไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังคนฟังก็อดขำไม่ได้ถึงความขี้เล่นของหลวงพ่อนากองค์นี้


    ***********************************************************

    (เพิ่มเติมอีก) ที่จริงก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ตอนที่ได้พระมาไม่นานสมัยนั้นหลวงป๋าท่านยังไม่ได้บวช ท่านมีความคิดว่าจะนำพระนากนี้ถวายแก่เจ้าอาวาสของวัดใหญ่มากแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดปทุมธานีเพื่อเอาบุญ เมื่อถวายพระนากไปแล้วทางวัดนั้นก็ให้คนมาทำการขัดผิวองค์พระเพื่อให้พระดูงดงามขึ้น ขณะที่คนนั้นกำลังขัดพระอยู่เพลินๆ ปรากฏว่านิ้วของหลวงพ่อนากท่านกระดุกกระดิกได้เอง คนนั้นเขาไม่ทันตั้งตัวเลยตกใจสุดขีด ดีดตัวเองลอยออกไปทางหน้าต่างของห้องนั้นแบบลืมคิดชีวิต ดีที่เป็นกุฏิชั้นเดียวถ้าสูงหลายชั้นคงเจ็บหรือตายแน่ หลวงพ่อนากองค์นี้ท่านศักดิ์สิทธิ์จริงแถมอารมณ์ดีขี้เล่นอีกด้วย แต่ท่านคงไม่อยากจะอยู่ที่วัดใหญ่แห่งนั้น เพราะต่อมาปรากฏว่าทางวัดได้ส่งพระมาคืนให้หลวงป๋า ถามดูเหตุผลเขาบอกว่า "พระคงอยากมาอยู่กับเจ้าของ"


    ***************************************************************

    อ.เสริมชัย(หลวงป๋า)เมื่อครั้งเป็นฆารวาส เคยเล่าให้ผมฟังว่า ในระหว่างที่ท่านขึ้นไปทางเหนือเพื่อเอากลับมา ท่านได้พักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง คืนนั้นทั้งคืนได้ยินเสียงพระสวดมนต์จนรุ่งเช้า และได้เจรจาติดต่อจนได้พระอย่าง่ายดาย


    *****************************************************************


    กายสิทธิ์ หรือจักรพรรดิ ที่สร้างบารมีมาร่วมกับเจ้าของ เมื่อผ่านกาลเวลานานไป
    แม้เราจะเกิดมา จำความยังไม่ได้ จักรพรรดิและกายสิทธิที่เคยสร้างบารมีมาร่วมกับเรา ก็ยังคอยหาโอกาสที่จะเข้ามาหาและสร้างบารมีร่วมกันอีก





    หมายเหตุ ท่านทวีวัฒน์ (คุณอู๋) ปัจจุบันท่านบวชเป็นพระภิกษุแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2017
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    #ทำบุญไปทำไมกัน ???

    ผลจากการประกอบคุณงามความดีหรือกุศลนั้น คือบุญ บุญทั้งหลายเมื่อสะสมรวมกันมากๆเข้า #ก็จะกลั่นตัวเองเป็นบารมี ได้แก่..

    ทานบารมี
    ศีลบารมี
    เนกขัมมบารมี
    ปัญญาบารมี
    วิริยบารมี
    ขันติบารมี
    สัจจบารมี
    อธิษฐานบารมี
    เมตตาบารมี
    และอุเบกขาบารมี
    รวมสิบทัศ

    บารมีแต่ละอย่างนี้ เมื่อถูกสะสมกันมากๆเข้า #ก็จะกลั่นตัวเองเป็นอุปบารมี#และปรมัตถบารมี ตามลำดับ รวมเป็นสามสิบทัศ และจะติดตามให้ผลต่อไปในอนาคตหรือภพหน้า จนกว่าจะบรรลุมรรคผล นิพพาน

    #วัตถุประสงค์ของการประกอบการบุญกุศล ก็เพื่อชำระกาย-วาจา-ใจ ของตนให้บริสุทธิ์ โดยการละหรือกำจัดอาสวกิเลสให้สิ้นไป จนถึงหมดโดยสิ้นเชิงนั่นเอง

    #ผลที่ได้จากการประกอบบุญกุศลนี้ นอกจากจะให้ผลในทางโลกุตระดังกล่าวแล้ว ยังช่วยให้ผู้ประกอบกรรมดีนั้นได้เสวยผลบุญในทางโลกียะ อันจะเป็นเสบียงเลี้ยงตัวต่อไปจนกว่าจะสิ้นอาสวกิเลส ได้บรรลุมรรคผล นิพพาน อีกด้วย

    #ผู้มีปัญญาจึงย่อมรู้จักใช้บุญ อันเกิดแต่การประกอบกรรมดีทั้งหลาย เพื่อการละหรือกำจัดอาสวกิเลส ทั้งของตนเองและผู้อื่น จึงจะตรงเป้าหมายแห่งพระพุทธศาสนา เป็นต้นว่า..

    #การบริจาคทาน ก็เพื่อให้ผู้บริจาคละหรือกำจัดอภิชฌา อันเป็นกิเลสหยาบให้หมดไป ให้เป็นผู้มีจิตใจเมตตาอารี เผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน เป็นการชำระกาย-วาจา-ใจ ให้สะอาดได้ทางหนึ่ง และในขณะเดียวกัน ผลบุญจากการบริจาคทาน ก็จะกลับติดตามสนองตนต่อไปในกาลข้างหน้า ให้เป็นผู้เจริญด้วยโภคทรัพย์ มีฐานะเป็นปึกแผ่นมั่นคง

    #ท่านคงจะเคยได้พบเห็นมาแล้วว่า เพราะจน จึงไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำบุญเพิ่ม บางรายถึงกับต้องประกอบมิจฉาชีพ หรืออาชีพที่ต้องเบียดเบียนชีวิตสัตว์ เพราะความยากจนข้นแค้น ไม่อาจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้ จิตใจย่อมหม่นหมองเพราะว้าวุ่นอยู่กับการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง การจะเจริญสมาธิปัญญาก็ไม่อาจกระทำได้โดยสะดวก เมื่อปัญญายิ่งน้อยลง ความรู้สึกในบาปบุญคุณโทษก็ยิ่งเบาบาง หรือหมดไปเลยก็มี เป็นทางให้อาสวกิเลสอันได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ เข้าครอบคลุมจิตใจให้มืดมนหนักยิ่งขึ้นไปอีก ระดับจิตก็ยิ่งตกต่ำลงไปตามลำดับ จนในที่สุดธรรมสัญญาก็ขาดจากใจ เมื่อจุติหรือตายลงก็ย่อมมีทุคติเป็นที่หวัง ทั้งนี้เป็นเพราะได้สร้างสมทานบารมีไว้น้อยแต่อดีต จึงเปิดโอกาสให้สร้างบาปในปัจจุบันได้มากขึ้น อุปมาดั่งคนจนยอมมีโอกาสที่จะมีหนี้สินพอกพูนมากขึ้น เพราะต้องเสียค่าดอกเบี้ยทบต้นฉะนั้น

    #ในทางกลับกัน ท่านก็คงจะได้พบเห็นผู้ที่มีอยู่มีกิน ไม่เดือดร้อน มีฐานะดี มีสัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบในทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค มีจิตใจเมตตาอารีเผื่อแผ่ รู้จักแบ่งทรัพย์ที่มีอยู่หรือทำมาหาได้ เพื่อประโยชน์ตนเองและผู้อื่น ได้ชื่อว่าเป็นสัตบุรุษ มีจิตใจเป็นกุศล เหล่านี้ ย่อมเป็นผลจากการที่ได้สร้างสมทานบารมีอันประกอบด้วยปัญญามามากแต่อดีต จึงทำให้มีโอกาสได้สร้างสมบุญบารมีเพิ่มมากขึ้นอีกในภพนี้และภพหน้า ประดุจดั่งเศรษฐีมีทรัพย์มาก ก็มีโอกาสเก็บดอกผลทุนทรัพย์ได้มากขึ้น ด้วยเงินต่อเงินหรือบุญต่อบุญนั่นเอง ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข เมื่อจุติย่อมมีสุคติเป็นที่หวัง เพราะรู้จักหาบุญได้ใช้บุญเป็นนั่นเอง

    #ยังมีบุคคลอีกประเภทหนึ่ง เป็นคนมีทรัพย์มากแต่มีจิตใจตระหนี่คับแคบ ไม่รู้จักใช้ทรัพย์ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยอภิชฌา จึงได้ชื่อว่าอสัตบุรุษ บุคคลประเภทนี้ เคยประกอบทานกุศลอันประกอบด้วยอวิชชาหรือโมหะ ขณะเมื่อกำลังเสวยผลบุญอยู่ก็ยังมีอวิชชาหรือโมหะที่พกติดตัวมาด้วยมาก ทั้งๆที่มีอยู่มีกินไม่เดือดร้อน หรือรุ่งเรืองด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ ก็ยังมีจิตใจเป็นอกุศล กรปรไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิดเป็นชอบ เป็นทางให้โลภะ โทสะ โมหะ เข้าครอบงำจิตใจ มีสติปัญญาอันเสื่อมทราม จนไม่พอที่จะรู้เรื่องบาปบุญคุณโทษได้ มีแต่ความประมาทขาดหิริโอตตัปปะ แล้วหันเข้าประกอบมิจฉาชีพ สร้างความเดือดร้อนให้แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์อื่น ห่างจากการบริจาคทาน สมาทานศีล เจริญสมาธิและปัญญา ไม่ช้าก็ถึงซึ่งความเสื่อม เพราะมีใจเป็นอกุศล สร้างบาปพอกพูนมากขึ้น ระดับจิตก็ตกจนถึงขั้นธรรมสัญญาขาดจากใจ เมื่อยังมีชีวิตอยู่แม้จะมีทรัพย์ก็หาความร่มเย็นเป็นสุขมิได้ เมื่อจุติย่อมมีทุกคคติเป็นที่ไป ต่อไปในภพหน้าหรือกาลข้างหน้าก็จะกลับกลายเป็นคนต่ำต้อย หรือยากไร้ทรัพย์อีก

    ฉะนั้น #การบริจาคทานหรือประกอบการกุศล #จึงควรกระทำด้วยปัญญากล่าวคือ เพื่อความหลุดพ้นหรือสิ้นอาสวกิเลสของตนเองและผู้อื่น ก่อนบริจาค ขณะบริจาค และภายหลังบริจาค ก็ควรจะได้กระทำกาย-วาจา-ใจ ให้บริสุทธิ์ ด้วยการสมาทานศีล เจริญสมาธิและปัญญา และควรบริจาคกับผู้บริสุทธิ์ หรือกำลังปฏิบัติเพื่อความบริสุทธิ์ ด้วยทรัพย์อันได้มาโดยบริสุทธิ์ จึงจะได้อานิสงส์เต็มส่วน

    #การรักษาศีล ก็เพื่อกำจัดกิเลสอย่างกลาง อันจะเป็นเครื่องส่งเสริมสมาธิได้เป็นอย่างดี

    #การเจริญภาวนา หรือการปฏิบัติสมถกัมมัฏฐาน ก็เพื่อให้จิตใจสงบระงับจากความกำหนัดยินดี เป็นอุบายชำระจิตใจให้ปลอดจากนิวรณ์ และเป็นวิชาเบื้องต้นที่จะนำไปสู่วิปัสสนากัมมัฏฐาน เพื่อดับอวิชชาและให้เกิดปัญญา สามารถได้บรรลุมรรคผลนิพพานต่อไป จึงนับเป็นมหากุศลทีเดียว

    #การประพฤติถ่อมตนกับผู้ใหญ่ ก็เพื่อทำลายถัมภะ คือความหัวดื้อหัวรั้น ไม่ยอมฟังเสียงหรือเหตุผลของผู้อื่น และกำจัดอติมานะ คือนิสัยชอบดูถูกดูแคลนผู้อื่น ให้หมดไปจากสันดาน

    #การช่วยขวนขวายในสิ่งที่ชอบ ก็เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว นับเป็นกุศลกรรมอีกอย่างหนึ่ง

    #การให้ส่วนบุญกุศลอันตนได้กระทำไว้แล้ว ทางกาย วาจาและใจ ให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ก็เพื่อกำจัดโทสะ ได้แก่ความโกรธอย่างรุนแรง โกธะคือความโกรธอย่างเบาบาง และ อุปนาทะอันได้แก่ความผูกพยาบาท ความผูกโกรธหรือผูกใจเจ็บ ให้หมดไปจากสันดาน และเป็นการเจริญพรหมวิหารไปในตัวอีกด้วย นับเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่รองลงไปจากภาวนามัยทีเดียว

    #การอนุโมทนาส่วนบุญ ก็เพื่อชำระจิตใจตนให้สะอาด สามารถช่วยกำจัดอิสสา คือความริษยา ไม่พอใจในเมื่อเห็นคนอื่นได้ดี และ มานะคือความเย่อหยิ่งจองหอง อวดดี ให้สูญหายไปจากสันดาน

    #การฟังธรรมอันพระพุทธเจ้าตรัสดีแล้ว (สวากขาตธรรม) ในที่นี้ หมายความรวมถึงการศึกษาหาความรู้เรื่องธรรม จากการฟังธรรมหรือค้นคว้าเรื่องธรรม ซึ่งจะเป็นเครื่องกำจัดโมหะ ความหลงผิด หรือกำจัดมิจฉาทิฐิ อันได้แก่ความเห็นผิด

    #การแสดงธรรมอันพระพุทธเจ้าตรัสดีแล้ว ไม่ว่าจะโดยวาจาหรือเป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม และหากได้กระทำไปโดยมีจิตใจอันบริสุทธิ์ สะอาดผ่องใส ไม่มุ่งหวังลาภสักการะสิ่งใดตอบแทน ก็เป็นการกำจัดโมหะหรือมิจฉาทิฐิ ทั้งของตนเองและผู้อื่น จัดว่าเป็นบุญทั้งผู้แสดงและผู้สดับตรับฟังหรือเรียนรู้

    #การทำความเห็นของตนให้ตรงตามความเป็นจริง เป็นต้นว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หรือใครทำกรรมอันใดไว้ ก็ต้องเสวยผลแห่งกรรมนั้น ฯลฯ ก็เป็นการกำจัดโมหะหรือมิจฉาทิฐิอีกเช่นเดียวกัน

    ฉะนั้น
    การสร้างบุญกุศลใดๆก็ตาม หากผู้กระทำจะได้มีสติปัญญาระลึกได้ว่า กระทำไปเพื่อละหรือกำจัดอาสวกิเลส มุ่งประโยชน์ในทางโลกุตระอันเป็นทางพ้นทุกข์ด้วยแล้ว ผู้สร้างบุญกุศลนั้นย่อมได้อานิสงส์มากกว่าผู้กระทำไปด้วยความมัวเมาปราศจากปัญญา ซึ่งมุ่งจะให้ได้ประโยชน์ในทางโลกียะแต่อย่างเดียว จึงจะได้ชื่อว่ารู้จักหาบุญได้ใช้บุญเป็น.

    _________________
    เทศนาธรรมจาก

    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _________________
    ที่มา
    บางตอนจากหนังสือ
    "ทางสร้างบุญ"
    _________________
    ที่มาของธรรมะจาก
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    ?temp_hash=259ba3cf0029a1218422506256125299.jpg


    หลวงพ่อพยุง สุนฺทโร
    ศึกษาวิชาธรรมกายกับหลวงพ่อสด จนฺทสโร

    เมื่อไปถึงวัดปากน้ำภาษีเจริญก็เข้ากราบเรียนความประสงค์ที่จะมาศึกษาธรรมปฏิบัติให้หลวงพ่อสดทราบหลวงพ่อสดก็ต้อนรับปฏิสันถารด้วยดี หลวงพ่อสดท่านถามถึงการปฏิบัติที่ผ่านมาว่าปฏิบัติมาอย่างไร ท่านจึงกราบเรียนการปฏิบัติที่ดำเนินมาตั้งแต่ได้สมาธิใต้ต้นมะซางเมื่อสมัยเด็กให้หลวงพ่อสดทราบและขอคำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อจะได้ปฏิบัติต่อไป หลวงพ่อสดท่านกล่าวว่า บุคคลใดมีบุญบารมีมาแต่ภพชาติก็สอนได้ไม่ยากเย็นนัก พอค่ำหลวงพ่อสดก็ขึ้นแท่นแนะนำวิธีการฝึกวิชาธรรมกายโดยการเพ่งจิตให้เป็นดวงแก้วที่ศูนย์กลางกายโดยใช้คำภาวนาว่า สัมมาอรหัง เมื่อดวงแก้วปรากฏอย่างแจ้งชัดก็เพ่งจิตให้ทะลุกายโดยใช้ดวงแก้วเป็นอุคคหนิมิต คือจำให้ติดตาหรือเพ่งดูจนติดตาติดใจแม้หลับตาหรือลืมตาก็เห็นได้จะทำให้เล็กหรือขยายให้ใหญ่ก็ย่อมได้จากนั้นจึงพลิกจิตพิจารณากายคตาสติ คือการพิจารณากายในกายเป็นอารมณ์โดยการแยกกายออกเป็นส่วนๆคือให้เห็นว่า

    เป็นเพียงธาตุ๔แต่ละอย่างไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา แบ่งออกเป็นสี่อย่างคือ

    ๑.ปฐวีธาตุ คือธาตุที่มีลักษณะแข็งภายในตัวก็มีภายนอกตัวก็มีสำหรับกำหนดพอให้สำเร็จประโยชน์เป็นอารมณ์ได้แก่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูกม้าม หัวใจ ตับ ปอดหรือสิ่งอื่นใดที่อยู่ในตัวที่มีลักษณะแข้นแข็งก็เอากองไว้ส่วนหนึ่ง

    ๒.อาโปธาตุ คือธาตุที่มีลักษณะเอิบอาบทั้งภายในภายนอกเป็นของเหลวคือ เลือด เหงื่อ เสลด น้ำตา น้ำลาย น้ำมูก มันข้น ดี เปลวมัน ไขข้อ น้ำมูตร หรือสิ่งอื่นใดที่มีลักษณะเอิบอาบอย่างนี้ก็แยกไว้กองหนึ่ง

    ๓.เตโชธาตุ คือธาตุที่มีลักษณะร้อน ทั้งภายในภายนอกได้แก่ ไฟที่ยังกายให้อบอุ่น ไฟที่ยังกายให้ทรุดโทรม ไฟที่ยังกายให้กระวนกระวาย ไฟที่ยังอาหารให้ย่อย นี่ก็ต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่

    ๔.วาโยธาตุ คือธาตุที่มีลักษณะพัดผันเคร่งตึงทั้งภายในภายนอกได้แก่ ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมซ่านไปตามตัว ลมหายใจ และช่องว่างระหว่างกายพึงกำหนดจิตพิจารณาอย่างแยบคายลอกหนังออกแยกกองไว้ส่วนหนึ่ง แยกเนื้อกองไว้ส่วนหนึ่ง เลือดกองไว้ส่วนหนึ่ง เอ็นที่รึงรัดกายส่วนต่างๆก็กองไว้ส่วนหนึ่ง กระดูกก็กองไว้ส่วนหนึ่ง

    เมื่อพิจารณาสติที่เป็นไปในกายก็เห็นตามสภาพที่มีส่วนประกอบซึ่งล้วนเป็นของไม่สะอาด ไม่งาม น่ารังเกียจ ทำให้จิตเกิดความรู้เท่าทันไม่หลงมัวเมาในกายอันประกอบไปด้วยธาตุทั้ง๔ จากนั้นหลวงพ่อสดก็ให้พิจารณาขันธ์คือรูปธรรมและนามธรรมทั้งหมดแบ่งออกเป็น๕กองดังต่อไปคือ รูปขันธ์กองรูปคือส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมดทั้งร่างกายก็ดี พฤติกรรมก็ดี และคุณสมบัติต่างๆของส่วนที่เป็นร่างกาย


    เวทนาขันธ์กองเวทนา คือ ส่วนที่เสวยอารมณ์และความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือเฉยๆเรียกว่ากองเวทนา สัญญาขันธ์ ความกำหนดได้หมายรู้ในอารมณ์๖เช่นนั้นสิ่งนั้นสิ่งนี้นั้นขาว เขียว ดำ แดงเป็นกองสัญญา สังขารขันธ์คือสภาวะที่ปรุงแต่งจิตให้ดีบ้างชั่วบ้าง ไม่ดีไม่ชั่วบ้างหรือคุณสมบัติต่างๆของจิตที่มีเจตนาเป็นตัวนำเรียกว่ากองสังขาร วิญญาณขันธ์กองวิญญาณ หมายถึงความรู้อารมณ์ทางอายตนะ๖ คือรู้รูปด้วยตา รู้เสียงด้วยหู รู้กลิ่นด้วยจมูก รู้รสด้วยลิ้น รู้โผฏฐัพพะด้วยกาย รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ รวมแล้วเรียกว่าเบญจขันธ์

    ขันธ์ ๕ นี้เมื่อย่อลงมาเป็น ๒ ประการ คือ นามและรูป รูปขันธ์จัดเป็นรูป ๔ขันธ์ที่เหลือนอกนั้นเป็นนามธรรม เมื่อหลวงพ่อสดแนะนำแล้วก็นำหลักคำสอนนั้นมาพิจารณาต่อที่กุฏิอยู่เป็นประจำเพื่อดำเนินรอยตาม

    ท่านเล่าว่าในระหว่างที่อยู่กับหลวงพ่อสดที่วัดปากน้ำนั้นช่วงเวลากลางคืนท่านจะทำความเพียรจนถึงห้าทุ่มแล้วตื่นจากจำวัตรตี ๓ หากเป็นวันอุโบสถท่านจะถือเนสัชชิกไม่นอนตลอดคืนยังรุ่งทั้งไม่เคยปล่อยจิตให้อยู่นอกกายเลยไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดจิตก็จะวนอยู่กับการพิจารณากายกับดวงแก้วเป็นอารมณ์ เพราะพื้นฐานที่ท่านปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องและความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวตามวิสัยวาสนาขององค์ท่านที่ทำอะไรก็จะทำอย่างจริงจังจึงทำให้การฝึกวิชาธรรมกายกับหลวงพ่อสดก้าวหน้าอย่างมาก

    เพราะจิตขององค์ท่านเกิดความรู้ความเห็นสิ่งต่างๆภายในอย่างมากมายอาจเป็นเพราะมีครูอาจารย์ผู้ฉลาดอย่างหลวงพ่อสดแนะนำจึงทำให้องค์ท่านได้พบกับความรู้พิเศษขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน ณ.วัดปากน้ำภาษีเจริญนั้นเองความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นภายในจิตคือ ในวันมาฆบูชาหลังจากฟังธรรมเทศนาของหลวงพ่อสดแล้ว ท่านก็กลับกุฏิแล้วเข้าที่ภาวนาเมื่อกำหนดจิตจนเกิดดวงแก้วสว่างใสแล้วจึงพิจารณาธาตุขันธ์ขณะนั้นสมาธิเกิดความตั้งมั่น จิตรวมลงสู่ภวังค์ถึงเอกัคคตามีอารมณ์เดียว จิตสงบละเอียดอ่อนประณีตเข้าไปโดยลำดับ

    ขณะจิตนั้นได้เกิดความรู้ย้อนหลังระลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงสมัยยังเด็กล่วงไปถึงชาติในอดีตได้ว่าเป็นมาอย่างไร ท่านว่าจิตเรานั้นมีอยู่ดวงเดียวจะเกิดกี่ภพกี่ชาติก็จิตดวงเดิมนี่แหละจะเปลี่ยนก็แต่เพียงรูปกายเท่านั้นดังนั้นจิตจึงบันทึกข้อมูลทุกอย่างที่ได้กระทำไว้ทั้งดีและชั่วแต่คนเราไม่รู้เองเพราะ อวิชชามันปิดบังเอาไว้ ต่อเมื่อบุคคลใดขจัดเมฆหมอกคืออวิชชาออกไปเท่าไรยิ่งมากก็ยิ่งรู้เห็นตนเองมากขึ้นจากนั้นจิตก็พิจารณาถึงการเกิดการตายของตนเองและผู้อื่นได้อย่างไม่สงสัยจึงได้เข้าใจในพุทธสุภาษิตข้อที่ว่า

    "กมฺมุนา วตตีโลโก คือสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"

    เมื่อพิจารณาถึงกรรมที่ทำให้เวียนว่ายอยู่ในภพชาติของท่าน จิตได้เกิดจึงเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในเรือนคือสังขารที่อาศัยอยู่ จนจิตสงบนิ่งอยู่ในอุเบกขาญาณขณะนั้นธรรมได้ปรากฏขึ้นมาภายในจิตว่า ปุญญัง สุขัง โหนตุ ผู้ใดไกลจากกิเลส ผู้ใดตื่นจากกิเลส ผู้นั้นก็วิเศษประเสริฐสุขสิ้นทุกข์ภัย อายุขัยก็เหลือล้นพ้นประมาณ สมนาม ว่า อรหัง สัมมา สัมพุทโธ เมื่อธรรมปรากฏขึ้นมาอย่างนั้นจิตท่านได้พิจารณาตามว่าในทันทีว่าอะไร คือ ผู้ไกลจากกิเลส

    เมื่อไกลจากกิเลสแล้วจะวิเศษประเสริฐสุขอย่างไร เป็นเหตุให้ท่านระลึกถึงประวัติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ประสูติจนถึงตรัสรู้และกระทั่งเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานและประวัติของเหล่าสาวกที่บรรลุอรหันต์จนถึงพระนิพพานจึงหมดความสงสัยส่วนที่ว่าอายุขัยก็เหลือล้นพ้นประมาณนั้นหมายความว่าเมื่อจิตถึงพุทธะเป็นจิตที่บริสุทธิ์อันชักนำให้ถึงพระนิพพานได้เมื่อจิตถึงนิพพานแล้วก็พ้นจากการเกิดการตายเป็นอมตะธรรมที่ถึงพุทธะอย่างสมบูรณ์จากนั้นท่านจึงพิจารณาจิตและบุญวาสนาของท่านก็ทราบว่าบารมีที่บำเพ็ญมายังไม่เต็มบริบูรณ์จึงยังไม่สามารถตัดอาสวะให้ขาดได้ในขณะนั้น แต่ท่านก็เห็นความสำเร็จอยู่แค่เอื้อมท่านว่าคืนนั้นท่านนั่งตลอดคืนยังรุ่งไม่อ่อนเพลียหรือหาวนอนเลยครั้นออกจากสมาธิภาวนาจิตก็ยังอิ่มเอิบด้วยปีติที่เกิดจากธรรมรส

    จากคำกล่าวของท่านที่แสดงแก่สานุศิษย์ทำให้ทราบได้ว่าท่านน่าจะได้ญาณ ๓ อย่างแน่นอน เพราะญาณ ๓ นั้นหมายถึง ความรู้แจ้งหรือความรู้วิเศษมี ๓ ประการ คือ

    ๑.อตีตังสญาณ คือ ญาณเป็นเหตุระลึกขันธ์ที่อาศัยอยู่ก่อนได้หรือระลึกชาติในอดีตได้

    ๒.อนาคตังสญาณ คือ ญาณส่วนอนาคตหมายถึงการหยั่งรู้เรื่องราวในอนาคตสามารถเห็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้

    ๓.ปัจจุปันนังสญาณ คือ ญาณในส่วนปัจจุบันหมายถึงความหยั่งรู้เรื่องราวในปัจจุบันหรือเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นเฉพาะหน้าสามารถล่วงรู้ได้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์เหมาะสม และรู้แตกฉานในเหตุและผล มีไหวพริบในการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

    แม้องค์ท่านจะไม่ได้บอกโดยตรงว่าได้ขั้นนั้นขั้นนี้เพราะอัธยาศัยของท่านไม่ใช่คนมักอวด อะไรที่ท่านเมตตาเล่าให้ฟังนี้ก็เล่าเป็นการภายในเฉพาะศิษย์ที่ใกล้ชิดเท่านั้นอาจเป็นเพราะองค์ท่านจะส่งเสริมให้เหล่าศิษย์มีกำลังใจในการปฏิบัติธรรมให้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้นแต่อรรถธรรมที่ท่านแสดงให้ฟังนั้นก็พอจะสรุปได้ว่า การปฏิบัติของท่านที่วัดปากน้ำนั้น นอกจากจะได้ธรรมกายแล้วยังได้ญาณ ๓ ด้วยเมื่อท่านเกิดความรู้ภายในเช่นนั้น เป็นเหตุให้ท่านระลึกถึงอุปการคุณของหลวงพ่อสดเป็นอย่างยิ่ง ท่านยังเล่าให้ฟังอีกว่าหลวงพ่อสดนั้นท่านมีความรู้ภายในมากสุดคณานับ ท่านมีบารมีที่บำเพ็ญมามากท่านมีเมตตามากใครใฝ่รู้ใฝ่เรียนท่านส่งเสริมทุกอย่างทั้งด้านปริยัติและด้านปฏิบัติและท่านยังมีญาณที่แก่กล้ามากหยั่งรู้ทุกอย่างพระเณรในวัดปากน้ำเป็นร้อยและบรรดาแม่ชีอุบาสิกาอีกท่านเลี้ยงได้ไม่ให้อดอยาก

    สมัยนั้นคุณแม่ชีบุญเรือนก็ได้ฝึกปฏิบัติอยู่ที่วัดปากน้ำเช่นกันท่านเล่าว่าแม่ชีบุญเรือนเป็นแม่ชีที่เก่งปฏิบัติภาวนาได้รู้เห็นสิ่งต่างๆทางจิตได้อย่างมากมาย
    น่าจะได้อภิญญาด้วย หลวงพ่อสดท่านไม่ใช่พระดุหรือโผงผางแต่ทั้งพระทั้งเณรที่ได้อยู่อบรมกับท่านก็มักเกรงกลัวท่านทั้งนั้นสิ่งใดที่ท่านปารถนาสิ่งนั้นต้องได้แต่สิ่งที่หลวงพ่อท่านปารถนานั้นก็เพื่อสงเคราะห์พระเณรในวัดทั้งสิ้น นี่ตัวอย่างผู้ที่มีบารมีเป็นอย่างนี้ เมื่อมีความชำนาญพอรักษาจิตและสมาธิตนได้แล้วท่านกลับระลึกถึงคุณของบิดามารดาของท่านที่ได้เลี้ยงดูอุ้มชูท่านมาแต่เยาว์วัยเมื่อท่านได้พบดวงแก้วดวงธรรมแล้วท่านก็ปารถนาที่จะให้บิดามารดาท่านได้สัมผัสบ้างจักได้เป็นการตอบแทนพระคุณของท่านได้เป็นอย่างดี เมื่อระลึกได้ดังนั้นท่านจึงขออนุญาตกราบลาหลวงพ่อสดเพื่อกลับไปเยี่ยมบิดาและมารดาที่อยู่สุพรรณบุรีซึ่งหลวงพ่อสดก็อนุญาตแต่เมื่อจะลากลับหลวงพ่อสดได้ให้โอวาทว่า
    "เออท่านพยุงนี่มีความตั้งใจดี ถ้าไม่ละความพยายามต่อไปจะ สมปรารถนา หลวงพ่อก็อยู่ที่ใจนี่แหละตราบใดที่รักษาความดีไว้ได้หลวงพ่อก็อยู่กับผู้นั้น ให้รักษาความดีดุจเกลือรักษา ความเค็มนะจะได้ไม่เสียทีที่เกิดมา"
    ท่านรับว่า สาธุภันเต แล้วจึงเดินทางกลับสุพรรณบุรีเมื่อสิ้นเดือน ๔ ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รวมระยะเวลาที่ท่านอยู่กับหลวงพ่อสดเป็นเวลา ๔ เดือน

    เรียบเรียงโดย พระอาจารย์วิชัย จริยวรรณณ
    ธุดงคสถานธรรมวิชัยต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี

    **********************************************************

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...