สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    20155883_1746505605362944_1163245740942316009_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    หลวงพ่อสด "ไอ้ความรู้ในกระดาษ มันก็พึ่งกระดาษ รู้ในกระดาษ"
    เล่าเรื่องโดย หลวงพ่อสุบิน วัดหัวเขา จ.สุพรรณบุรี คัดลอกจากกลุ่มบุญศักดิ์สิทธิ์



    (บุคคลยุคต้นวิชชาอีกท่านหนึ่ง ที่ผม (นะโม) ได้มีโอกาสทำบุญและรับความเมตตาจากหลวงพ่อ แม้ปัจจุบันหลวงพ่อจะมรณภาพไปแล้ว แต่ก็ยังระลึกถึงท่านเสมอในความเมตตาที่ท่านมีให้ จึงอยากจะนำประวัติและเรื่องราวของหลวงพ่อมาให้ทุกคนได้รู้จักกันครับ )

    ...หลังจากได้ธรรมกาย ฝึก18 กาย จนชำนาญคล่องแคล่วแล้ว ในปี พ.ศ. 2478 หลวงพ่อวัดปากน้ำ ก็ให้เข้าโรงงานทำวิชชาทุกวัน หลวงพ่อสดท่านให้เข้าทุกวัน นั่งทำวิชชาอยู่จนกระทั่งหลวงพ่อมรณภาพ ในโรงงานทำวิชชามีฝากั้นห้องฝั่งหนึ่งเป็นแม่ชี อีกฝั่งหนึ่งเป็นพระ เณร แล้วก็มีห้องหลวงพ่อเชื่อมอยู่ ท่านนั่งสั่งงาน ฝ่ายแม่ชีที่พอจำได้ก็มี ตรีธา ญาณี ทองแท้ แม่ชีฉลวย แม่ชีถนอม แม่ชีปุก แม่ชีทองสุข แม่ชีจันทร์ แม่ชีเธียร พระเณรก็มี หลวงพ่อเล็ก (มหาเจียก) ธีระ ธมฺมธโร มหาณรงค์ (นานๆทีเข้า) หลวงตาผัน หลวงตาอินทร์ หลวงตาแอบ หลวงตาใจ หลวงพ่อวีระ คณุตโม เณรก็มี เณรวัฒนา เณรรอด

    จะว่าไปคนที่จะเข้าโรงงาน ทำวิชชานั้นหายาก พวกมหาเปรียญก็ถือว่ามีความรู้ดี มีความรู้สูงแล้ว ไม่ไปนั่งหลับตาหรอก แต่หลวงพ่อสดท่านว่า ไอ้ความรู้ในกระดาษ มันก็พึ่งกระดาษ รู้ในกระดาษ มันก็พึ่งกระดาษ ท่านพูดว่า...ยันเต ภะคะวะตา ฌานะตา ปัสสะตา อาระหะตา สัมมา สัมพุทเธนะ เดี๋ยวท่านแปลให้แล้วยันเตภะคะวา พระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ใด ฌานะตา รู้แล้ว ปัสสะตา เห็นแล้ว ทั้งรู้ทั้งเห็นเชียวนะ นี่พวกเรามันรู้ในกระดาษ เห็นในกระดาษ ได้ใบตราตั้งกระดาษ ได้ยศจากที่ในกระดาษก็ยังใช้ได้ ยังดีแต่ก็ดีแค่เปลือกๆ อืมม...

    ยันเต ภะคะวะตา พระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ใด ฌานะตา รู้แล้ว ปัสสะตา เห็นแล้ว อะระหะตา สัมมา สัมพุทเธนะ เป็นพระอรหันต์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เวลาหลวงพ่อพูด พูดเป็นศัพท์ยกบาลีแปลเป็นคำศัพท์ มหาบุญมาประโยคเก้า มหาช่วงประโยคเก้า (สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์) มหาสว่างเล็ก ป.ธ. 9 มหาสว่างใหญ่ ป.ธ. 9 พากันอึ้ง หลวงพ่อเอาในท้องมาแปลให้เราฟัง เรามันแปลในกระดาษสู้หลวงพ่อไม่ได้
    (เรื่องเล่าโดย พระพุทธศาสนโสภณ (หลวงพ่อสุบิน) วัดหัวเขา บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)

    หลวงพ่อท่านเป็นพระมหาเปรียญที่ได้ธรรมกายและมีความสนิทสนมกับหลวงพ่อเล็ก (พระภาวนาโกศลเถระ ธีระ ธมฺมธโร) หลวงพ่อสุบินได้ถูกส่งไปสอนธรรมะที่ภาคใต้ ไปช่วยหลวงตาแอบ (เปิดสาขาปฏิบัติธรรมหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ที่หาดใหญ่ สงขลา) หลวงตามหาอินทร์ หลวงตาผัน พอหลวงพ่อวัดปากน้ำใกล้มรณภาพท่านก็ถูกเรียกกลับ

    หลังจากหลวงพ่อวัดปากน้ำมรณภาพ หลวงพ่อสุบินก็กลับมาอยู่ที่สุพรรณบุรี มาพัฒนาวัดท่าช้าง หลวงพ่อได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะอำเภอวัดท่าช้าง วัดใหญ่โต ต่อมาโยมนิมนต์ให้มาอยู่วัดบ้านเกิด วัดหัวเขา ท่านได้รับแต่งตั้งจากประเทศศรีลังกาเป็นพระราชาคณะตำแหน่งที่พระพุทธศาสนาโสภณ

    ปัจจุบันหลวงพ่อสุบินได้มรณภาพไปแล้วเมื่อ 29 พฤษภาคม 2555
    ในสมัยที่ท่านยังอยู่ หลวงพ่อก็ยังทำภาวนาวิชชาธรรมกายตามแบบหลวงพ่อสดตลอด ทำสมาธิต่อเนื่องมาไม่เคยขาดโดยเฉพาะวันพระ และวันอาทิตย์ หลวงพ่อจะมีเปิดสอนสมาธิ เวลาบ่ายโมงถึงบ่าย ๔ โมง ใครไปวัดท่านจะต้อนรับอย่างเป็นกันเองก่อนกลับท่านก็จะแจกพระของขวัญให้กับมือตลอด พระของขวัญองค์ในรูปท่านก็มอบให้กับมือบอกเก็บไว้ให้ดี เลยเอามาเลี่ยมทองไว้อย่างดี



    20139822_1645238055510396_2852548631195314098_n.jpg


    20228411_1645237662177102_8102827666719420805_n.jpg


    *****************************************************************

    https://www.facebook.com/groups/1673036292917789/?fref=nf
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2017
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    20155988_1747778705235634_1303698009404434740_n.jpg
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    เรื่อง "ปฏฺิจจสมุปบาทธรรม"

    โดย พระเทพญาณมงคล
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี

    ***คัดลอกมาบางส่วน

    .......

    ตรงกลางธาตุละเอียดของรูปขันธ์ ยังมีธาตุละเอียดของนามขันธ์ ๔ ก็คือ "ใจ" นั่นแหละ ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ซ้อนกันอยู่ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม
    "นาม" และ "รูป" มาด้วยกัน เป็นธาตุสำเร็จ ที่ว่าสังขารเป็นปัจจัยทำให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยทำให้เกิดนามรูป และนามรูป มันเจริญเติบโตขึ้นเป็น สฬายตนะ (อายตนะภายใน ๖) มีกาย มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีใจ ตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม ที่เจริญเติบโตออกมาเป็นส่วนหยาบ สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดสฬายตนะ คือ อายตนะภายในทั้ง ๖ ซึ่งจะทำหน้าที่สัมผัสกับอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัสทางกายได้ และเมื่อเกิดการสัมผัส สฬายตนะเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ คือสัมผัส แล้วผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา ดังกล่าวแล้ว แล้วก็เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา อุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ ฯลฯ ซึ่งมีอยุ่ตลอดเวลา

    สำหรับเด็กทารกที่เจริญเติบโตต่อมา ภายหลังจากที่ได้มาตั้งปฏิสนธิวิญญาแล้วนั้น เมื่ออยู่ในครรภ์ ยังหยุดนิ่งไม่ทำหน้าที่อะไร จะทำหน้าที่ต่อเมื่อคลอดออกมาแล้ว เมื่ออุแว้แล้วนั่นแหละ ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็เริ่มทำหน้าที่ออกไปยึดไปเกาะอารมณ์ภายนอก ปฏิจจสมุปบาทธรรมก็ทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลา ก่อให้เกิดภพ ชาติ มรณะ ทุกข์ แต่ว่าความเกิดภายหลังจากที่คลอดออกมาจากครรภ์มารดาแล้วนั้น ความเกิดดับตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรมเห็นได้ด้วยการมีสติพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม ตรงศูนย์กลางกายของบุคคลนั้น คือกายละเอียดจะเปลี่ยนไปตามวาระจิต วาระจิตดี ระดับมนุษยธรรมใสบริสุทธิ์ด้วยบุญกุศล กายมนุษย์ละเอียดก็จะปรากฏเด่นใส บริสุทธิ์อยู่ ถ้าเป็นบุญ เป็นกุศลในระดับทิพยธรรม หรือเทวธรรม กายทิพย์ก็จะปรากฏเด่นอยู่ พร้อมด้วยใจ และกุศลธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม อยู่ด้วยกัน ไม่ได้แยกกัน อยู่ในธาตุธรรม เห็น จำ คิด รู้ สุดหยาบสุดละเอียด ถ้าถึงพรหมธรรมก็มีกายรูปพรหมแล้ว ก็อรูปพรหมต่อไปตามลำดับ ถ้าถึงธรรมกาย เป็นพุทธธรรม

    พุทธธรรมเกิดแต่ธาตุธรรมที่ละเอียดบริสุทธิ์ ผ่องใส เป็นธาตุธรรมของธรรมกายที่บริสุทธิ์ ทุกคนมีธรรมกายทั้งนั้น แต่ยังเข้าไม่ถึง ต้องกระเทาะเปลือกคือกิเลส ดับหยาบไปหาละเอียดด้วยธรรมปฏิบัติ ทางศีล สมาธิ ปัญญา จึงจะเข้าถึง และรู้เห็นได้ จากมนุษยธรรมถึงเทวธรรม จากเทวธรรมถึงพรหมธรรม ดับหยาบไปหาละเอียดไปถึงพุทธธรรม นั่นแหละ ธรรมกายอยู่ในนั้น นี่เป็นชั้น ๆ อย่างนี้ #ถ้าระดับจิตของใครเปลี่ยนตกต่ำลงไป กายที่ละเอียด ๆ ก็หายไปหมด เพราะกายทุคติปรากฏขึ้นมาทำหน้าที่แทน เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี ใครทำหน้าที่ ฝ่ายบุญหรือฝ่ายบาปทำหน้าที่ ก็เห็นกาย เวทนา จิต และธรรมได้ ว่าพวกคิดผิด เห็นผิด รู้ผิด ทำผิดอยู่บ่อย ๆ เนือง ๆ ก็จะเห็นกาย เวทนา จิต และธรรมเศร้าหมอง ความเศร้าหมองเห็นชัดได้ด้วยตา หรือญาณของธรรมกาย

    มีอยู่นิดหนึ่งไม่ได้พูดมาตั้งนาน ว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ก็ "อวิชชา" คือความไม่รู้บาปบุญ คุณโทษ ไม่รู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาทธรรม ไม่รู้อดีต ไม่รู้อนาคต ไม่รู้ทั้งอดีต และอนาคต คือไม่รู้ทั้งเหตุ และทั้งผลด้วย และอดีตจริง ๆ ก็ไม่รู้ด้วย อดีตข้ามภพข้ามชาติไม่รู้หรอก ถ้าใครรู้ได้ นั่นถือว่าคนนั้นมีวิชชาที่หนึ่ง ชื่อว่า "ปุพเพนิวาสานุสติญาณ" พระพุทธเจ้าท่านมีวิชชา ท่านเจริญภาวนาธรรมให้เกิดวิชชา ในคืนวันจะตรัสรู้นั่นแหละ ในยามต้นแห่งราตรี

    ..........



    20258276_722105891323919_8836942407955026443_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    ทูเร สนฺโต ปกาเสนฺติ
    สัตบุรุษ ย่อมปรากฏในที่ไกล"


    โดย พระเทพญาณมงคล
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี

    ณ บัดนี้ จักได้อรรถาธบายขยายเนื้อความตามธรรมภาษิต ที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น พอเป็นแนวทางแห่งการศึกษา สัมมาปฏิบัติของผู้สนใจในธรรม และเพื่อดำรงไว้ซึ่งศาสนธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามสมควรแก่เวลาสืบไป

    ดำเนินความว่า #สัตบุรุษ หมายถึง คนดีมีปัญญา ย่อมจะเห็นได้เด่นชัด แม้จะอยู่ในที่ไกลแสนไกล เกียรติคุณย่อมจะปรากฏเลื่องลือระบือทั่ว อุปมาดังขุนเขาที่สูงเด่น ยอ่มเห็นได้ในที่ไกล ที่ว่าสัตบุรุษหมายถึงคนดีนั้น ก็เพราะว่าเขาเป็นคนรู้จักเกรงกลัวต่อบาปอกุศล เป็นคนมีความขยันหมั่นเพียรในกิจการ และหน้าที่รับผิดชอบ โดยชอบ จะคิด จะพูด จะกระทำการใด ๆ และจะปรึกษาในสิ่งใด กับใคร ๆ ก็จะไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น ส่วนที่ว่าสัตบุรุษเป็นคนมีปัญญานั้น ก็เพราะว่าสัตบุรุษเป็นผู้ที่ได้เรียนรู้ และได้ยินได้ฟังมามาก รู้จักเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักบุคคลควรคบ ไม่ควรคบ และรู้จักสังคม รู้จักกาลเทศะ เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะมั่นคง และมีปัญญารอบรู้สิ่งที่เป็นสารประโยชน์ และสิ่งที่มิใช่สารประโยชน์ตามที่เป็นจริง อนึ่งสัตบุรุษยังเป็นผู้มีทาน หรือจาคะ และศีลมั่นคง เป็นผู้สำรวมระวัง กาย วาจา และใจให้เรียบร้อยดีไม่มีโทษ จึงได้นามอีกหนึ่งว่า #บัณฑิต

    สมดังธรรมภาษิตที่มีมาใน ทีฆนิกาย มหาวรรค และสังยุตตนิกาย สคาถวรรค ว่า
    "อินฺทฺริยานิ รกฺขนฺติ ปณฑิตา" บัณฑิต ย่อมรักษาอินทรีย์
    ความว่า บัณฑิต หมายถึง ผู้มีปัญญารอบรู้ทางเจริญ ทางเสื่อม จึงสำรวมระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ซึ่งรวมเรียกว่า อินทรีย์ ๖ ในเวลาเห็นรูป ได้ยินเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัสทางกาย และรู้ธรรมารมณ์ทางใจ มิให้เคลิบเคลิ้ม กำหนัดยินดีในอารมณ์ที่น่ารัก และมิให้เคียดแค้นชิงชังในอารมณ์ที่ไม่น่ารัก ก็ย่อมจะประพฤติปฏิบัติทางกาย ทางวาจา และทางใจ เป็นไปในแนวทางที่ถูกที่ควร

    สรุปว่า สัตบุรุษ เป็นคนดีมีศีล มีธรรมประจำใจ มีความละอาย และเกรงกลัวต่อบาปอกุศล ย่อมคิด พูด ทำ แต่กรรมดี เป็นผู้มีสติมั่นคง และมีปัญญารอบรู้ทางเจริญ ทางเสื่อม รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน และสังคม และรู้จักสำรวมระวังกาย วาจา และใจให้เรียบร้อยดี ไม่มีโทษ จึงมีชืออีกหนึ่งว่า บัณฑิต ผู้มีเกียรติคุณฟุ้งขจรไปไกล และสามารถเห็นเด่นชัดในทุกที่ ดุจขุนเขาที่สูงเด่น เห็นได้ในที่ไกลฉะนั้น
    จึงเห็นสมด้วยธรรมภาษิตที่ลิขิตไว้ เบื้องต้นว่า
    ทูเร สนฺโต ปกาเสนฺติ สัตบุรุษ ย่อมปรากฏในที่ไกล
    (ขุ.ธ. ๒๕/๕๕)
    ดังอรรถาธิบายมานี้ แล




    20245583_722639394603902_6017344580700845336_n.jpg

    ***************************************************************************************


    https://www.facebook.com/RakangdhamDhammakaya/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    20429592_724141524453689_3561450232970496933_n.jpg


    พระธรรมเทศนา “รัตนสูตร - พุทธรัตนะ"

    โดย พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    วัดปากน้ำภาษีเจริญ
    เมื่อ ๑๖ พฤษภาคม ๒๔๙๗

    ***คัดลอกบางส่วน
    เนื้อความเต็มสามารถอ่านได้ตามลิ้งก์
    http://www.dhammakaya.org/ธรรมะ/พระธรรมเทศนา-โดย-พระมงคลเทพมุนี/รัตนสูตร-ธรรมรัตนะ

    .......

    เมื่อพุ่มไม้ในป่า เมื่อมีใบตกเสียหมดแล้ว ถ้าว่าเมื่อมนุษย์ไม่เดียงสาในต้นไม้นั้น ไม่เข้าใจในต้นไม้แล้ว เข้าใจว่าต้นไม้นั้นตายเสียแล้ว ไม่มีใบแล้ว แต่ไม่ตายหรอก เขาตัดใบ เมื่อมียอดอันแย้มแล้ว ชื่อว่าแตกใบใหม่ ยอดมันอยู่ตรงไหนมันก็แย้มออกตรงนั้น แตก ใบออกที่ตรงนั้น นี่เรียกว่ามียอดอันแย้มแล้ว พุ่มไม้ในป่าที่จะมียอดอันแย้มออกไปได้เช่นนี้ ต้องในต้นเดือนของฤดูร้อน ชาวโลกเขาจึงรู้ได้ว่า นี่ถึงคราวเวลาใบไม้ผลิแล้ว ที่มันจะออก ดอกนั่นเอง ใบไม้ผลิ เราก็เห็นยอดต้นไม้ที่ผลิออกมาปรากฏชัดๆ เราก็รู้ว่าจะมีใบต่อไป นั่นแหละ ยถา ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ ให้ถึงซึ่งนิพพาน อัน ประเสริฐ เพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลาย ตถูปมํ มีอุปมัยฉันนั้น

    เพราะธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ซึ่งเป็นธรรมอันประเสริฐน่ะ ธรรมอะไร จึงจัดได้ชื่อว่าเป็นวรธรรมเป็นธรรมอันประเสริฐ อันนี้ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดที่จะคาดคั้นลงไปว่า ธรรมอันใดเป็นธรรมอันประเสริฐ ถ้าว่าอรรถกถานัยคลี่ความพระบาลีออกไว้ เราก็รู้ได้ ทีเดียวว่าธรรมอันนั้นอันนี้ ธรรมอันประเสริฐของมนุษย์น่ะมีอยู่แท้ ๆ เกื้อกูลแก่มนุษย์ ทั้งหลายจริง ๆ ธรรมอะไรล่ะที่ให้มนุษย์เป็นอยู่เดี๋ยวนี้แหละ เขาเรียกว่า “มนุษยธรรม” ธรรม ที่ทำให้มนุษย์เป็นอยู่ รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร โตเล็กเท่าไหน สีสันวรรณะเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน

    ......
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    20479554_726263600908148_7820575172736797135_n.jpg

    "ปรารถนาจะเป็นอสีติมหาสาวก อัครสาวก ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างไร?"
    พิมพ์ครั้งที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๒ หน้า ๓๕-๓๗

    โดย พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี

    ถาม : ผู้ปรารถนาจะเป็นอสีติมหาสาวก หรือปรารถนาเป็นพุทธสาวก เบื้องซ้าย เบื้องขวา จะต้องบำเพ็ญบารมีอย่างไรบ้าง จะใช้เวลานานเท่าไร ?

    ตอบ : บารมี ๑๐ อย่างนะครับ คือ ทำความดี ๑๐ อย่างเป็นบุญเป็นกุศล แก่กล้ามากเข้าเป็นบารมี แก่กล้ามากเข้าเป็นอุปบารมี และก็เป็นปรมัตถบารมี ได้แก่ ทานบารมี ขันติบารมี ศีลบารมี สัจจบารมี เนกขัมมบารมี อธิษฐานบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี อุเบกขาบารมี
    #ความเพียรก็ต้องเลิศ ขันติก็ต้องเลิศ ไม่ใช่นิดหน่อย ๆ ก็พาลจะทนไม่ได้นะครับ

    ต้องใช้เวลานานเท่าไร เทียบเอา พระพุทธเจ้าพระสมณโคดมของเรา ๔ อสงไขย แสนมหากัป พระพุทธเจ้าบางองค์ ๘ อสงไขยแสนมหากัป บางองค์ ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป ขึ้นอยู่กับประเภทที่พระพุทธเจ้าจะบรรลุในระดับไหน
    ในระดับวิริยาธิกะก็ ๑๖ อสงไขย สัทธาธิกะก็ ๘ อสงไขย ปัญญาธิกะก็ ๔ อสงไขยแสนมหากัป นั่นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า
    ถ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าก็หย่อนลงมาหน่อย พระอรหันต์ประเภทอสีติมหาสาวก ก็หย่อนลงมาตามลำดับน้อยกว่า ๔ อสงไขยแสนกัป แต่ที่ปรากฏขึ้นไว้เป็น ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย กระผมเองยังเชื่อแน่ว่า ๓๒ อสงไขย ๖๔ อสงไขยแสนกัปก็ต้องมี นั่นคือนิพพานเป็น อันนี้เป็นคำสันนิษฐานนะครับ
    แต่อย่าไปคิดเลยว่าเป็นเวลานานเท่าไร เพราะมันเกิดมาชาติหนึ่ง ถ้าระลึกชาติไม่ได้ก็นึกว่าเพิ่งเกิด ที่แท้มันบำเพ็ญบารมีมาด้วยกันทุกท่าน บำเพ็ญมาไม่รู้จะกี่กัปมาแล้ว

    #พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอก ถ้าใครอ่านในธรรมบทคงจะจำได้ ครั้งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ ปรากฏว่าพราหมณ์คนหนึ่งนั่งฟังไปเอามือเขี่ยดินไป คนหนึ่งแหงนดูท้องฟ้า คนหนึ่งนั่งเขย่าขา เขย่าต้นไม้ กิ้ง ๆ ๆ เขย่าอยู่นั่นแหละ
    พระอานนท์ทนไม่ได้ ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “พระพุทธเจ้าข้า พระธรรมของพระองค์นี้วิเศษสุดแล้ว ทำไมพราหมณ์ ๕ คน ถึงเป็นอย่างนี้ บางคนนั่งหลับสัปหงก บางคนนั่งขีดพื้น บางคนนั่งมองท้องฟ้า บางคนนั่งฟังด้วยความตั้งใจ จึงทรงแสดงธรรมว่า พวกนี้เกิดเป็นอะไรมาก่อน พวกชอบเขย่าแข้งขามือ ต้นไม้ พวกนี้พวกลิงมาเกิด คนนั่งตรงไหนหลับตรงนั้น สัปหงกโงก ๆ นั่นพวกงู พวกนั่งตรงไหนขีดดินเขียนดินนั่นไส้เดือน บางคนนั่งมองดาว นี่พวกชอบดูดาวฤกษ์ พวกหมอดู ประเภทนั่งฟังตาแป๋ว ตั้งใจฟัง #อันนี้ท่านว่าได้ผ่านการสดับฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้ามาแล้วนับแสน ๆ ชาติ คิดดูสิครับว่ามันนานแค่ไหน ส่วนพวกที่ไม่ได้ผ่านการฟังพระธรรมเทศนาเป็นแสน ๆ ชาติ ถึงได้เป็นอย่างนั้น เห็นมั๊ยล่ะครับ กว่าจะเปลี่ยนมิจฉาทิฏฐิมาเป็นสัมมาทิฏฐิได้นี่ต้องผ่านมาเยอะ เพราะฉะนั้นชาตินี้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วตั้งใจขุดให้เต็มที่ อย่าประมาทนะครับ มันเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว เอาเลยเต็มที่ อย่าลังเลสงสัย ไม่อย่างนั้นพลาดพลั้งไปก็ไม่รู้อีกกี่แสนชาติยิ่งไปเจอที่ว่างจากพระพุทธศาสนา เสร็จเลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    20376121_726323624235479_7985834671611985200_n.jpg
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    20479549_1762998230380348_6514902631049469373_n.jpg

    ******************************************
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    20046670_1742897579057080_3045919597072537290_n.jpg

    **************************************************************************

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443


    จรณะ : ข้อปฏิบัติอันเป็นทางบรรลุวิชชา
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    20479945_727802427420932_9104752717499242657_n.jpg






    จากหนังสือ ตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ
    เรื่อง "การยึดถือกายที่เข้าถึงเป็นแบบ ถูกหลักมัชฌิมาปฏิปทาหรือไม่?"
    พิมพ์ครั้งที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๒ หน้า ๒๓๘-๒๔๑

    โดย พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี

    ***คัดลอกมาบางส่วน
    ติดตามอ่านเนื้อความเต็มได้ตามลิ้งก์
    http://www.dhammakaya.org/…/การยึดถือกายที่เข้าถึงเป็นแบบ-ถ…

    ....

    เรื่อง"นิมิต"นั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงไว้ เป็นขั้นตอนของการเจริญสมถวิปัสสนากัมมัฏฐานเพื่อทำนิพพานให้แจ้ง มีปรากฏในพระสุตตันตปิฎก ฉบับ พ.ศ. ๒๕๒๑ ฉักกนิบาต อังคุตตรนิกาย (องฺ ฉกฺก. ๒๒/๓๙/๔๓๐-๔๓๑) ว่า ดังนี้

    "ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ที่พอใจในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ ยินดีในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ ตามประกอบความพอใจในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ เป็นผู้พอใจในหมู่, ยินดีในหมู่, ตามประกอบความพอใจในหมู่, อยู่แล้วหนอ; เธอนั้นจักมาเป็นผู้โดยเดี่ยวยินดียิ่งในความสงัดเงียบนั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้

    เมื่อไม่เป็นผู้โดดเดี่ยวยินดียิ่งในความสงัดเงียบแล้ว จักถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิต วิปัสสนาจิตได้นั้น ข้อนี้ก็ไม่เป็นฐานะที่มีได้

    เมื่อไม่ได้ถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิตวิปัสสนาจิตแล้วจักยังสัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนาให้บริบูรณ์นั้น ข้อนี้ก็ไม่เป็นฐานะที่มีได้

    เมื่อไม่ทำสัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนาให้บริบูรณ์แล้ว จักยังสัมมาสมาธิแห่งมรรคและผลให้บริบูรณ์นั้น ข้อนี้ก็ไม่เป็นฐานะที่มีได้

    เมื่อไม่ทำสัมมาสมาธิแห่งมรรคและผลให้บริบูรณ์แล้ว จักละสัญโญชน์ทั้งหลายนั้น ข้อนี้ก็ไม่เป็นฐานะที่มีได้

    เมื่อไม่ละสัญโญชน์ทั้งหลายแล้ว จักทำนิพพานให้แจ้งนั้น ข้อนี้ก็ไม่เป็นฐานะที่มีได้เลย

    ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ที่ไม่พอใจในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ ไม่ยินดีในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ ไม่ตามประกอบความพอใจในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ ไม่เป็นผู้พอใจในหมู่, ไม่ยินดีในหมู่, ไม่ตามประกอบความพอใจในหมู่, อยู่แล้วหนอ; เธอนั้น จักมาเป็นผู้โดดเดี่ยว ยินดียิ่งในความสงัดเงียบนั้น ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้

    เมื่อเป็นผู้โดดดี่ยวยินดียิ่งในความสงัดเงียบแล้ว จักถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิตและวิปัสสนาจิตได้นั้น ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้

    เมื่อถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิตและวิปัสสนาจิตได้แล้ว จักยังสัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนาให้บริบรูณ์ได้นั้นข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้

    เมื่อทำสัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนาให้บริบูรณ์ได้แล้ว จักยังสัมมาสมาธิแห่งมรรคและผลให้บริบูรณ์ได้นั้น ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้

    เมื่อทำสัมมาสมาธิแห่งมรรคและผลให้บริบูรณ์ได้แล้ว จักละสัญโญชน์ทั้งหลายได้นั้น ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้

    เมื่อละสัญโญชน์ทั้งหลายได้แล้ว จักทำนิพพานให้แจ้งได้นั้นข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้แล

    (คำแปลจากหนังสือขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ ของคณะธรรมไชยา พ.ศ.๒๕๑๔ หน้า ๒๘๕-๒๘๖)

    กล่าวโดยสรุป "นิมิต" เป็นขั้นตอนของการเจริญสมถภาวนาเพื่อกำจัดกิเลสนิวรณ์เครื่องกั้นปัญญาให้จิตใจผ่องใสควรแก่งาน และเป็นขั้นตอนของวิปัสสนาภาวนา คือ ยกสังขารนิมิต มีเบญจขันธ์ เป็นต้น ทั้ง ณ ภายนอก (ส่วนหยาบ) และทั้ง ณ ภายใน (ส่วนละเอียด) ขึ้นพิจารณาให้เห็นแจ้ง รู้แจ้ง สภาพความปรุงแต่งและ ลักษณะอันเป็นเอง ของสังขารธรรมที่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง ว่าเป็นสภาพ ไม่เที่ยง (อนิจฺจํ) เป็นทุกข์ (ทุกฺขํ) และ มิใช่ตัวตนที่แท้จริงของใคร (อนตฺตา)

    ในขั้นสมถภาวนา เมื่อสามารถถือเอาปฏิภาคนิมิตได้ ก็จะได้สมาธิจิต ในระดับอัปปนาสมาธิ อันเป็นเบื้องต้นของปฐมฌานมรรคจิต อันประกอบด้วยสัมมาสมาธิ จึงจะเริ่มสามารถทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ถ้าใครปฏิเสธนิมิตเสียตั้งแต่สมาธิจิตยังสมาธิ อันเป็นเบื้องต้นของปฐมฌาน มรรคจิตก็ย่อมจะยังไม่เจริญขึ้นสมบูรณ์ให้สามารถทำหน้าที่ปหานสัญโญชน์ได้เต็มกำลัง เพราะขาดสัมมาสมาธิ (การเจริญรูปฌานตั้งแต่ปฐมฌาน-จตุตถฌาน) อันเป็นไปเพื่อเจริญปัญญาเห็นแจ้ง รู้แจ้งในสภาธรรมและอริยสัจจธรรมตามที่เป็นจริงได้

    ......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    ๔. อัญญติตถิยสูตร
    ว่าด้วยอัญเดียรถีย์

    พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน ... เขตกรุงราชคฤห์
    ครั้นในเวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรครองอันตรวาสก ถือบาตร และจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ ได้มีความคิดดังนี้ว่า “การเที่ยวไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ยังเช้านัก ทางที่ดีเราพึงเข้าไปยังอารามของพวกอัญเดียรถีย์ปริพาชกเถิด”

    ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้เข้าไปยังอารามของพวกอัญเดียรถีย์ปริพาชกได้สนทนาปราศรัย พอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันกับพวกอัญเดียรถีย์ ปริพาชกนั้นแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร พวกอัญเดียรถีย์ปริพาชกนั้น ได้กล่าวกับท่านพระสารีบุตรดังนี้ว่า

    “ท่านพระสารีบุตร มีสมณพราหมณ์ฝ่ายกรรมวาทะพวกหนึ่งบัญญัติว่า ทุกข์เป็นสิ่งที่ตนกระทำเอง
    อนึ่ง สมณพราหมณ์ฝ่ายกรรมวาทะพวกหนึ่งบัญญัติว่า ทุกข์
    เป็นสิ่งที่คนอื่นกระทำให้
    สมณพราหมณ์ฝ่ายกรรมวาทะพวกหนึ่งบัญญัติว่า ทุกข์ เป็นสิ่งที่ตนกระทำเองด้วย และเป็นสิ่งที่คนอื่นกระทำให้ด้วย
    อนึ่ง สมณพราหมณ์ฝ่ายกรรมวาทะพวกหนึ่งบัญญัติว่า ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุที่ตนกระทำเองก็มิใช่ และคนอื่นกระทำให้ ก็มิใช่

    ท่านพระสารีบุตร ก็ในวาทะเหล่านี้ พระสมณโคดมตรัสไว้อย่างไร ตรัสบอกไว้อย่างไร และพวกข้าพเจ้าจะตอบอย่างไร จึงจะชื่อว่าพูดตรงตามที่พระสมณโคดมตรัสไว้ ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่พระสมณโคดมด้วยคำเท็จ ชื่อว่ากล่าวแก้อย่างสมเหตุสมผล ทั้งไม่มีการคล้อยตามคำเช่นนั้นที่จะเป็นเหตุให้ถูกตำหนิได้”

    “ท่านทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ‘ทุกข์เป็นสภาวะที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น อาศัยปัจจัยอะไร คืออาศัยผัสสะ บุคคลผู้กล่าวถ้อยคำเช่นนี้ จึงชื่อว่าเป็นผู้พูดตรงตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำเท็จ ชื่อว่ากล่าวแก้อย่างสมเหตุสมผล ทั้งไม่มีการคล้อยตามคำเช่นนั้น ที่จะเป็นเหตุให้ถูกตำหนิได้

    ท่านทั้งหลาย ในวาทะทั้ง ๔ นั้น
    ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์ฝ่ายกรรมวาทะ บัญญัติว่าเป็นสิ่งที่ตนกระทำเอง ก็เกิดขึ้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
    ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์ฝ่ายกรรมวาทะบัญญัติว่า เป็นสิ่งที่คนอื่นกระทำให้ ก็เกิดขึ้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
    ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์ฝ่ายกรรมวาทะบัญญัติว่า เป็นสิ่งที่ตนกระทำเองด้วย และเป็นสิ่งที่คนอื่นกระทำให้ด้วย ก็เกิดขึ้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
    ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์ฝ่ายกรรมวาทะบัญญัติว่า เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุที่ตนกระทำเองก็มิใช่ และคนอื่นกระทำให้ก็มิใช่ ก็เกิดขึ้นเพราะผัสสะ เป็นปัจจัย

    ท่านทั้งหลาย ในวาทะทั้ง ๔ นั้น
    เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกสมณพราหมณ์ฝ่ายกรรมวาทะบัญญัติว่า ทุกข์เป็นสิ่งที่ตนกระทำเอง จะเสวยทุกข์เว้นจากผัสสะ
    เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกสมณพราหมณ์ฝ่ายกรรมวาทะบัญญัติว่า ทุกข์เป็นสิ่งที่คนอื่นกระทำให้ จะเสวยทุกข์เว้นจากผัสสะ
    เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกสมณพราหมณ์ฝ่ายกรรมวาทะบัญญัติว่า ทุกข์เป็นสิ่งที่ตนกระทำเองด้วย และเป็นสิ่งที่คนอื่นกระทำให้ด้วย จะเสวยทุกข์เว้นจากผัสสะ เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกสมณพราหมณ์ฝ่ายกรรมวาทะ
    บัญญัติว่า ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุที่ตนกระทำเองก็มิใช่ และคนอื่นกระทำให้ก็มิใช่ จะเสวยทุกข์เว้นจากผัสสะ”

    ท่านพระอานนท์ได้ฟังท่านพระสารีบุตรสนทนาปราศรัยกับพวกอัญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เที่ยวไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ กลับจากบิณฑบาต หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ครั้นแล้ว ได้กราบทูลคำสนทนาทั้งหมดของท่านพระสารีบุตรกับพวกอัญเดียรถีย์ปริพาชกนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดีละ ดีละ อานนท์ ตามที่สารีบุตรพยากรณ์นั้น ชื่อว่าพึงพยากรณ์โดยชอบ เรากล่าวว่า ทุกข์เป็นสภาวะที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น อาศัยปัจจัยอะไร คืออาศัยผัสสะ บุคคลผู้กล่าวถ้อยคำเช่นนี้ จึงชื่อว่าเป็นผู้พูดตรงตามที่เรากล่าวไว้ ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำเท็จ ชื่อว่ากล่าวแก้อย่างสมเหตุสมผล ทั้งไม่มีการคล้อยตามคำเช่นนั้น ที่จะเป็นเหตุให้ถูกตำหนิได้
    ในวาทะทั้ง ๔ นั้น ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์ฝ่ายกรรมวาทะบัญญัติว่า เป็นสิ่งที่ตนกระทำเอง ก็เกิดขึ้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ฯลฯ ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์ ฝ่ายกรรมวาทะบัญญัติว่า เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุที่ตนกระทำเองก็มิใช่ และคนอื่นกระทำให้ก็มิใช่ ก็เกิดขึ้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
    ในวาทะทั้ง ๔ นั้น เป็นไปไม่ได้เลย ที่พวกสมณพราหมณ์ฝ่ายกรรมวาทะ บัญญัติว่า ทุกข์เป็นสิ่งที่ตนกระทำเอง จะเสวยทุกข์เว้นจากผัสสะ ฯลฯ เป็นไปไม่ได้ที่พวกสมณพราหมณ์ฝ่ายกรรมวาทะบัญญัติว่า ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุที่ตนกระทำเองก็มิใช่ และคนอื่นกระทำให้ก็มิใช่ จะเสวยทุกข์เว้นจากผัสสะ

    .....................
    คัดลอกบางส่วนจาก
    พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๖
    สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
    หน้าที่ ๔๓ ข้อที่ ๒๔






    ?temp_hash=0b28b5d34f6885efb476f74db140b250.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    20604566_729061027295072_3447067560327723645_n.jpg
    เรื่อง "เอาลูกแก้วให้พิจารณาและเพ่งดู แนะให้ทำตาม เป็นการสอนแบบสะกดจิต ?"


    โดย พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี

    ***คัดลอกมาบางส่วน
    ติดตามอ่านเนื้อความเต็มได้ตามลิ้งก์
    http://www.dhammakaya.org/ตอบปัญหาธรรม/เอาลูกแก้วให้พิจารณาและเพ่งดู-แนะให้ทำตาม-เป็นการสอนแบบสะกดจิต

    ถาม : การนำเอาลูกแก้วมาให้พิจารณาและเพ่งดู และแนะให้ทำตาม เป็นการสอนคนแบบสะกดจิตหรือไม่ ?

    ตอบ : การสะกดจิตคืออะไร ? การสะกดจิตเป็นการใช้อุบายวิธีหรือเวทย์มนต์ประกอบอำนาจจิตของผู้สะกดจิตนั้น กล่อมใจผู้ที่ถูกสะกด ให้เคลิบเคลิ้มขาดสติสัมปชัญญะ คือ ขาดความรู้สึกตัว

    แล้วตกอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของผู้สะกดจิตนั้น เช่น ให้เคลิ้มหลับไป แล้วปฏิบัติตามอำนาจจิต หรือตามคำสั่งของผู้สะกดจิตนั้นโดยไม่รู้สึกตัว หรืออาจจะเคลิบเคลิ้มหลับไปจนไม่ถึงรู้สึกเจ็บปวดแม้ขณะกำลังถูกผ่าตัดอยู่ เป็นต้น

    แต่การแนะนำให้เพ่งพิจารณาดูลูกแก้วให้จำได้ แล้วให้รวมใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายและให้ตรึกนึกถึงดวงที่ใส ให้ใจอยู่ในกลางดวงที่ใส และให้บริกรรมภาวนา นึกท่องในใจ ว่า “สัมมาอรหังๆๆ” เรื่อยไป จนกว่าใจจะหยุดนิ่งเป็นสมาธิแน่วแน่มั่นคงตรงศูนย์กลางกายนั้น เป็นอุบายวิธีสงบใจในขั้นของการปฏิบัติสมถกัมมัฏฐาน เพื่ออบรมใจให้สงบระงับจากกิเลสนิวรณ์ โดยให้ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์คือ วิตก วิจาร ตรึกตรองประคองนิมิต อันเป็นธรรมเครื่องกำจัดถีนมิทธะ (ความง่วงเหงา ซึมเซา ไม่กระปรี้กระเปร่าแห่งจิต) มีปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ ธรรมเครื่องกำจัดพยาบาทและอุทธัจจะกุกกุจจะ (คือความหงุดหงิดฟุ้งซ่านแห่งจิต) และกามฉันทะได้เป็นอย่างดี

    องค์แห่งฌานทั้ง ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ อันเป็นธรรมเครื่องกำจัดกิเลสนิวรณ์ออกจากจิตใจนี้ เป็นการเจริญสมถภาวนาในระดับปฐมฌาน อันเป็นเบื้องต้นของสัมมาสมาธิ (๑ ในอริยมรรคมีองค์ ๘) เพื่อการเจริญปัญญารู้แจ้งในสภาวธรรม และให้พัฒนาต่อไปได้ถึงการเจริญปัญญารู้แจ้งในพระอริยสัจทั้ง ๔ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    และการแนะนำให้เพ่งดูดวงแก้วจนจำติดตา แล้วให้รวมใจให้หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย พร้อมด้วยบริกรรมภาวนาเพื่อรวมใจให้หยุดนิ่งได้สนิทนั้น มิใช่อุบายวิธีกล่อมใจให้ผู้ปฏิบัติภาวนาเคลิบเคลิ้มหลับไปโดยขาดสติสัมปชัญญะ ไม่รู้สึกตัว แล้วให้ปฏิบัติอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของผู้สอนแต่อย่างใด วิธีปฏิบัติและผลการปฏิบัติกลับเป็นตรงกันข้าม กล่าวคือ ผู้ปฏิบัติย่อมรู้สึกตัว มีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา (ถ้าหลับไม่ใช่สมาธิ) ผู้สอนเพียงแต่แนะวิธีให้ผู้ฝึกปฏิบัติภาวนาที่ยังปฏิบัติไม่ได้ถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย ให้รู้และดำเนินไปตามวิธีที่ถูกต้องเหมาะสม อันเป็นอุบายวิธีสงบใจที่จะให้ได้ผลดี คือให้ใจหยุดนิ่งสนิทอยู่ในอารมณ์เดียวได้โดยง่าย และโดยมีสติสัมปชัญญะคือมีความรู้สึกตัวพร้อม ครูผู้แนะนำเป็นแต่เพียงชี้แนะแนวทางให้เท่านั้น แล้วปล่อยให้ผู้ปฏิบัติฝึกอบรมใจของตัวเองให้สงบเป็นสมาธิเอง



    ..........

    จากหนังสือ ตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ
    พิมพ์ครั้งที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๒ หน้า ๒๖๗-๒๖๙
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    เรื่อง "วิธีเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน : พิจารณา และปหานอนุสัยกิเลส"

    โดย พระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม)
    ในสมัย พระภาวนาโกศลเถร
    วัดปากน้ำภาษีเจริญ

    *คัดลอกมาบางส่วน

    ลำดับนี้ จะได้แนะนำวิธีพิจารณาอนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดาน พร้อมด้วยวิธีปฏิบัติภาวนาเพื่อปหานอนุสัยกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษอีกต่อไป

    คำว่า อนุสัยกิเลส นั้น หมายถึง กิเลสละเอียด ที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งมีอยู่ ๗ อย่าง คือ
    ๑. #กามราคานุสัย ได้แก่ กิเลสละเอียดประเภทความยินดี พอใจ ติดใจ อยู่ในกามคุณทั้ง ๕ คือ ความติดใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส และในสิ่งสัมผัสทางกาย กิเลสประเภทนี้ เมื่อมีสิ่งที่จะก่อให้เกิดอารมณ์จากภายนอกมากระทบ หรือจิตสร้างอารมณ์ขึ้นมาเอง ก็จะแสดงตัวออกมาพร้อมกับอกุศลจิต ในรูปของราคะ โลภะ หรืออภิชฌา วิสมะโลภะ ซึ่งเป็นกิเลสในระดับกลาง และหยาบตามลำดับ
    ๒. #ทิฏฐานุสัย ได้แก่ กิเลสละเอียดประเภทความเห็นผิดซึ่งจะแสดงตัวขึ้นมาในรูปของโมหะ หรือมิจฉาทิฏฐิ พร้อมกับอกุศลจิต ในฐานะเป็นเหตุนำ หรือเหตุหนุน แล้วแต่กรณี
    ๓. #ปฏิฆานุสัย ได้แก่ กิเลสละเอียดประเภทความขัดเคืองใจ ไม่พอใจในอารมณ์ต่าง ๆ เมื่อจิตกระทบเข้ากับอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ ก็จะแสดงตัวออกมาในรูปของโทสะ คือ ความโกรธอย่างรุนแรง หรือในรูปของโกธะ คือความโกรธอย่างบางเบา , หรืออุปนาทะ คือ ความผูกใจเจ็บ ผูกพยาบาท หรือจองเวร
    ๔. #ภวราคานุสัย คือ ความยินดีในความเป็นอยู่ในภพ
    ๕. #มานานุสัย คือ ความอวดดื้อ ถือดี ไม่ยอมลงใคร ไม่ว่าจะผิด หรือถูก ซึ่งจะออกมาในรูปของมานะทิฏฐิ อันเป็นปมด้วย หรือปมเด่นในทางต่าง ๆ
    ๖. #วิจิกิจฉานุสัย คือ ความลังเลสงสัย ในสภาวธรรมต่าง ๆ และ
    ๗. #อวิชชานุสัย คือ ความไม่รู้สัจธรรมทั้ง ๔ ได้แก่ ความไม่รู้ในลักษณะของทุกข์ ทั้งลับ และเปิดเผย ทั้งที่เห็นได้ง่าย และที่เห็นได้ยาก ความไม่รู้ในเหตุแห่งทุกข์ ความไม่รู้ในสภาวะที่ทุกข์ดับเพราะเหตุดับ ความไม่รู้ในหนทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อันถาวร ความไม่รู้อดีต ความไม่รู้อนาคต และความไม่รู้เหตุ และผลที่เกี่ยวเนื่องกัน อันเป็นผลให้เกิดทุกข์ ที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทธรรม อวิชชานุสัยนี้ จะแสดงตัวออกมาพร้อมกับ อกุศลจิต ในฐานะที่เป็นทั้งเหตุนำ และเหตุหนุนกิเลสอื่น ในลักษณะของโมหะ หรือมิจฉาทิฏฐิ

    อนุสัยกิเลสทั้ง ๗ นี้ ความจริงก็มีอนุสัยหลักอยู่ ๓ ประเภท คือ ปฏิฆานุสัย , กามราคานุสัย และ อวิชชานุสัย ส่วนอนุสัยกิเลสอื่นนอกจากนี้ ก็เป็นแต่เพียงแยกรายละเอียดออกไปจากอนุสัยหลักนี้เท่านั้น

    ........

    จากหนังสือ นิตยสารธรรมกาย
    ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๓ กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๓๒ หน้า ๒๒-๒๓



    20664137_729973080537200_328569527195043884_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    20638308_730263980508110_3876236847303604796_n.jpg

    **********************************
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    วันศุกร์ ที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๐
    เวลา (๑๙.๓๐-๒๑.๐๐)น.
    สวดมนต์ทำวัตรเย็น
    และเจริญสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน
    ตามแนวมหาสติปัฏฐาน ๔
    ( ทุกวัน ท่านใดสนใจสามารถมากิจกรรมได้ทุกวัน)
    ณ วิหารกลางน้ำพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย ชั้น ๓
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ. ดำเนินสะดวก จ. ราชบุรี
    และขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมได้ทุกวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ (ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น)



    ?temp_hash=7ee863562ee2cc91e2d3925dc5bc44ed.jpg

    ?temp_hash=7ee863562ee2cc91e2d3925dc5bc44ed.jpg

    ?temp_hash=7ee863562ee2cc91e2d3925dc5bc44ed.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...