สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    vcz44oh7_SxNJyVT3JXdFuQa50rUBJws8&_nc_ohc=K9oVOeEL674AX9DV-Yt&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg


    เมื่อขันธ์ 5 ไม่ใช่ตน แล้วอะไรเล่าเป็นตน 2753.png
    1f4cc.png "... ในการบำเพ็ญภาวนา ความเพียรเป็นข้อสำคัญยิ่ง ต้องทำเสมอ ทำเนือง ๆ ในทุกอริยาบถ ไม่ว่านั่ง นอน เดิน ยืน และทำเรื่อยไป อย่าหยุด อย่าละ อย่าทอดทิ้ง อย่าท้อแท้ มุ่งรุดหน้าเรื่อยไป ผลจะเกิดวันหนึ่ง ไม่ต้องสงสัย ผลเกิดอย่างไร ท่านรู้ได้ด้วยตัวของท่านเอง
    1f4cc.png นี่หมายความว่ากระไร อะไรเป็นตน ตนคืออะไร นามรูปํ อนตฺตา ก็แปลกันว่า นามและรูปไม่ใช่ตน ถ้ากระนั้นอะไรเล่าจะเป็นตน ซึ่งจะได้ทำให้เป็นที่พึ่งแก่ตน
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เรียกว่าขันธ์ 5 เมื่อย่อเข้าเรียกอย่างสั้นก็เรียกว่า นามรูป โดย เอากองรูปคงไว้
    ส่วนกองเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมกัน 4 กองนี้เรียกว่านาม ฉะนั้น ที่ว่านามรูปก็คือขันธ์ 5 นั่นเอง
    1f4cc.png เมื่อขันธ์ 5 ไม่ใช่ตน จึงต้องถามว่าอะไรเล่าเป็นตน ถ้าค้นหาตนไม่พบก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้เป็นที่พึ่งแก่อะไร
    1f4cc.png พระพุทธวจนะที่มีอยู่ว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ซึ่งแปลว่า ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน จะมิได้มีทางออกหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้
    ได้เคยกล่าวมาข้างต้นบ้างแล้วว่า พระองค์ทรงสอน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ด้วย พระปรีชาญาณอันสุขุมคัมภีรภาพ เพื่อให้คิดค้น
    1f4cc.png พระองค์เน้นสอนทางอนัตตา ก็เพื่อให้ เห็นอัตตาเอาเอง สมในคำ สนฺทิฏฺฐิโก ซึ่งแปลว่า ธรรมของพระองค์นั้นผู้ที่ปฏิบัติย่อมเห็นเอง อกฺขาตาโร พระตถาคตเจ้าทั้งหลายเป็นแต่ผู้ทรงบอกแนวทางให้เท่านั้น
    ฉะนั้น เมื่อมีเรื่อง “อนัตตา” กับ “อัตตา” ยันกันอยู่ จึงต้องคิดค้นต่อไป ธรรมของพระองค์จะขัดกันเองไม่ได้
    1f4cc.png เพื่อที่จะไม่ให้ขัดแย้งกัน จึงต้องแบ่งอัตตาออกเป็น 2 อย่าง คือ อัตตาสมมติ กับ อัตตาแท้ อัตตาสมมติ ได้แก่ กายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม เพราะกายเหล่านี้ยังมีเกิด มีตาย เป็นกายส่วนโลกีย์
    1f4cc.png ยังมีกายอีกกายหนึ่ง ซึ่งเป็นกายโลกุตตระ คือธรรมกาย ธรรมกายนี้แหละเป็นอัตตาแท้ หรือตนแท้... 1f4cc.png
    270d.png คัดลอกบางส่วนจาก 270d.png
    พระธรรมเทศนา เรื่อง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
    เทศน์เมื่อ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๘ – ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙
    โดยพระเดชพระคุณ #พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    #หลวงพ่อวัดปากน้ำ
    dgOa_596g26vFd&_nc_ohc=n_BRVm-8QXAAX8o8YAT&tn=toLzPcx_25HvKG2C&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-6.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    วิธีเจริญภาวนาพิจารณาปฏิจจสมุปบาทธรรมตามแนววิชชาธรรมกาย

    วิธีเจริญภาวนาพิจารณาปฏิจจสมุปบาทธรรม ๑๒ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านสอนไว้ มีความว่าดังนี้
    “ที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทธรรมนั้น หมายถึงธรรมที่เกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่ เป็นปัจจัยติดต่อกันไม่ขาดสาย คือ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส” (พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร), วิชชามรรคผลพิสดาร เล่มที่ ๑: หจก.พริ้นติ้ง (ไทยแลนด์), พ.ศ.๒๕๒๘, หน้า ๓๗-๓๘.)

    มีวิธีเจริญภาวนาพิจารณาเห็นได้ดังต่อไปนี้
    ขณะเมื่อพระโยคาวจรเจริญฌานสมาบัติ พิจารณาอริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นไปในญาณทัสสนะ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อยู่นั้น ย่อมจะสามารถพัฒนาไปเป็นปฏิจจสมุปบาทธรรม ๑๒ ได้ กล่าวคือ ในขณะที่พิจารณาเห็นทุกขอริยสัจ สมุทัยอริยสัจ ในกายมนุษย์ ทิพย์ รูปพรหม อรูปพรหม ทั้งหยาบและละเอียดอยู่นั้น หากเพ่งพิจารณาด้วย “ตา” หรือ “ญาณ” พระธรรมกาย ลงไปที่กลางทุกขสมุทัยอริยสัจ ก็จะเห็นว่า
    “อวิชชา มีลักษณะสัณฐานกลม สีดำขุ่นมัว ไม่ผ่องใส เล็กประมาณเท่าเมล็ดโพธิ์หรือเมล็ดไทร เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร

    สังขาร มีลักษณะสัณฐานกลม สีขาวใสสะอาดบริสุทธิ์ ซ้อนอยู่ในชั้นในของอวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ

    วิญญาณ มีลักษณะสัณฐานกลม สีขาวใสสะอาดบริสุทธิ์ ซ้อนอยู่ในชั้นในของสังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป

    นามรูป มีลักษณะสัณฐานกลม สีขาวใสสะอาดบริสุทธิ์ ซ้อนอยู่ในชั้นในของวิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิดสฬายตนะ

    สฬายตนะ มีลักษณะสัณฐานกลม สีขาวใสสะอาดบริสุทธิ์ ซ้อนอยู่ในชั้นในของนามรูป เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ

    ผัสสะ มีลักษณะสัณฐานกลม สีขาวใสสะอาดบริสุทธิ์ ซ้อนอยู่ในชั้นในของสฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา

    เวทนา มีลักษณะสัณฐานกลม สีขาวใสสะอาดบริสุทธิ์ ซ้อนอยู่ในชั้นในของผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา

    ตัณหา มีลักษณะสัณฐานกลม สีขาวใสสะอาดบริสุทธิ์ ซ้อนอยู่ในชั้นในของเวทนา เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน

    อุปาทาน มีลักษณะสัณฐานกลม สีขาวใสสะอาดบริสุทธิ์ ซ้อนอยู่ในชั้นในของตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิดภพ

    ภพ มีลักษณะสัณฐานกลม สีขาวใสสะอาดบริสุทธิ์ ซ้อนอยู่ในชั้นในของอุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิดชาติ

    ชาติ มีลักษณะสัณฐานกลม สีขาวใสสะอาดบริสุทธิ์ ซ้อนอยู่ในชั้นในของภพ เป็นปัจจัยให้เกิดชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ อุปายาส
    ธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องกัน ประสานติดต่อกันเป็นปัจจัย อุดหนุนกันไม่ขาดสาย เหมือนลูกโซ่ จึงเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท เกิดขึ้นเพราะเป็นปัจจัยติดต่ออาศัยซึ่งกันและกันเกิด เมื่อจะดับธรรมเหล่านี้ ก็ต้องดับเบื้องต้น คือ อวิชชาดับมาก่อน แล้วธรรมอื่นๆ ก็ดับมาเป็นลำดับจนถึงเบื้องปลาย คือ ชาติดับ แต่นั่นธรรมเหล่านี้จึงจะดับขาดสายไปทุกประการ” (อ้างแล้ว. หน้า ๓๘-๓๙)

    อนึ่ง ในปฏิจจสมุปบาทธรรมแต่ละดวงนี้ ก็มีเห็น จำ คิด รู้ เจืออยู่ด้วยทุกดวง และดังที่จะได้แนะนำวิธีพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา และ จิตในจิต โดยละเอียดในลำดับต่อๆ ไปว่า ใน เห็น จำ คิด รู้ ก็มี “อนุสัย” ได้แก่ ปฏิฆานุสัย กามราคานุสัย และ อวิชชานุสัย หุ้มซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อวิชชานุสัยนั้น หุ้มซ้อนดวงรู้ของกายโลกิยะทั้ง ๘ อยู่ แต่หยาบละเอียดกว่ากันไปตามความหยาบละเอียดของกายเข้าไป เห็น จำ คิด รู้ ของกายโลกิยะทั้ง ๘ จึงไม่ขยายโตเต็มส่วนเหมือนธรรมกาย
    ต่อเมื่อเจริญภาวนาถึงธรรมกายแล้ว อนุสัยกิเลสทั้งหลาย จึงถูกถอดออกเป็นชั้นๆ จนกระทั่งหมดไปเมื่อถึงธรรมกาย อวิชชาเครื่องหุ้มรู้ เมื่อถูกถอดมาถึงกายธรรม จึงกลับเป็นวิชชา ให้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจจธรรมขึ้นมาทันที วิชชาเครื่องหุ้มนั้นก็ใสละเอียดสะอาดบริสุทธิ์ และดวงรู้ก็เบิกบานขยายโตเต็มส่วน มีขนาดวัดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับหน้าตักและความสูงของพระธรรมกาย และ กลับเป็นญาณรัตนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นอาสวักขยญาณคือความหยั่งรู้วิธีทำอาสวะให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน ตามคุณธรรมที่ปฏิบัติได้ต่อไป
    จึงเห็นแจ้งด้วยตาพระธรรมกายว่า ปฏิจจสมุปบาทธรรมนั้นคงมีอยู่แต่เฉพาะในกายโลกิยะทั้ง 8 เท่านั้น หาได้มีในพระธรรมกายด้วยไม่ และรู้แจ้งแทงตลอดในพระไตรลักษณ์ส่วนละเอียดด้วยญาณพระธรรมกายว่า กายโลกิยะทั้ง 8 นั้นเอง ที่ต้องตกอยู่ในอาณัติแห่งพระไตรลักษณ์ คือ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา เพราะมีอวิชชาเป็นรากเหง้าแห่งกิเลส ตัณหา อุปาทาน อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง ถ้าดับอวิชชาได้ ทุกข์ก็ดับหมด หรือส่วนหนึ่งส่วนใดดับหรือขาดลง ทุกข์ก็ดับ เพราะความเป็นเหตุและผลของทุกข์ ที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทธรรม” นั้นขาดหมดตลอดทั้งสาย
    เมื่อเห็นแจ้ง รู้แจ้ง ด้วยตา และ ญาณพระธรรมกายว่า กายโลกิยะทั้ง ๘ นั้น ตกอยู่ในอาณัติแห่งพระไตรลักษณ์อย่างไรแล้ว ก็ย่อมเห็นแจ้งด้วยตาพระธรรมกาย และ รู้แจ้งด้วยญาณพระธรรมกาย ว่า พระธรรมกายมรรค ผล นิพพาน ชื่อว่า “พระนิพพานธาตุ” อันพระอริยเจ้า พระอรหันตเจ้าท่านได้บรรลุแล้ว ไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่งนี้เอง ที่กลับเป็นกาย นิจฺจํ สุขํ และ อตฺตา (แท้) ที่วิมุตติหลุดพ้น หรือ ว่าง (สูญ) จากกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ที่ว่างจากอัตตาโลกิยะและสิ่งที่เนื่องด้วยอัตตาโลกิยะนั้น หรือที่ว่างจากสังขาร จึงชื่อว่า “ว่างอย่างยิ่ง-ปรมํ สุญฺญํ” ด้วยประการฉะนี้
    ที่กล่าวข้างต้นนี้ เป็นวิธีพิจารณาปฏิจจสมุปบาทธรรม ในส่วนที่เป็นธาตุละเอียด ที่ตั้งซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ กัน เข้าไปข้างใน ถัดจากธาตุละเอียดของอริยสัจ ๔ ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม
    สำหรับผู้ปฏิบัติภาวนาที่ได้ถึงธรรมกายแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และ ธรรมในธรรม ทั้งของตนเองและของผู้อื่น และทั้ง ณ ภายนอก (ส่วนหยาบ) และ ณ ภายใน (ส่วนละเอียด) จากสุดหยาบ (กายมนุษย์) ไปถึงสุดกายละเอียด
    โดยความเป็นธรรมอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น (ปฏิจจสมุปบาทธรรม ๑๒) และ ดับไป เป็นปัจจุบันธรรม ได้ ดังเช่นต่อไปนี้
    สำหรับผู้ปฏิบัติได้ถึงธรรมกายที่เจริญฌานสมาบัติให้จิตสงัดจากกิเลสนิวรณ์เครื่องกั้นปัญญา และทำนิโรธ (ไม่ใช่นิโรธสมาบัติ) ดับสมุทัยคือปหานอกุศลจิตของกายในภพ ๓ มีสติสัมปชัญญะ มีศีลสังวรและอินทรีย์สังวรอยู่เสมอ ย่อมสามารถพิจารณาเห็นเป็นปัจจุบันธรรม ทั้งที่ยังเป็นๆ อยู่ ตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม ดังต่อไปนี้
    กายมนุษย์ละเอียด ซึ่ง เป็นกาย ณ ภายใน ของผู้ที่ปฏิบัติกายทุจจริต วจีทุจจริต มโนทุจจริต ซอมซ่อ เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส พลอยให้กายมนุษย์หยาบ อันเป็นกาย ณ ภายนอก เศร้าหมองด้วย
    ย่อมเห็น เวทนาในเวทนา และ จิตในจิต ทั้ง ณ ภายนอก และ ทั้ง ณ ภายใน คือ ดวงเห็น-จำ-คิด-รู้ ของกายมนุษย์หยาบ และ ของกายมนุษย์ละเอียด เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส และ
    ย่อมเห็น ธรรมในธรรม อันมี “ดวงธรรม” ที่ทำให้เป็นกาย ๑ “ดวงศีล” ๑ ธาตุละเอียดของ “ทุกขสัจ” ๑ “สมุทัย” (ตัณหา) ๑ และ ภพภูมิ (ตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม) ๑ อันมี เห็น-จำ-คิด-รู้ คือ “ใจ” ซ้อนอยู่ตรงกลางของกลางดวงธรรมในธรรมดังกล่าวทุกดวง มัวหมอง ไม่ผ่องใส เป็น “ทุคคติภพ” พลอยให้การดำเนินชีวิตของผู้นั้นเป็นไปไม่ดี คือ เป็น “ทุกข์” ไม่เป็น “สันติสุข” และ
    ย่อมสามารถพิจารณาเห็น กายมนุษย์ละเอียด ซึ่งเป็นกายในกาย ณ ภายใน ของผู้งดเว้น คือ ไม่ประกอบกายทุจจริต วจีทุจจริต และ มโนทุจจริต เป็นผู้มีศีลมีธรรม ประกอบด้วยทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล เป็นต้น ผ่องใส ตามระดับภูมิธรรม เช่น
    ผู้ทรงคุณธรรมในระดับ “มนุษยธรรม” กายมนุษย์ละเอียดก็ปรากฏผ่องใส
    ผู้ทรงคุณธรรมในระดับ “เทวธรรม” คือประกอบด้วยหิริ โอตตัปปะ กายทิพย์ก็ปรากฏผ่องใส
    ผู้ทรงคุณธรรมในระดับ “พรหมธรรม” คือประกอบด้วยพรหมวิหารธรรม และรูปฌาน/อรูปฌาน กายรูปพรหม/อรูปพรหม ก็ปรากฏผ่องใส
    ผู้ทรงคุณธรรมในระดับ “พุทธธรรม” ตั้งแต่โคตรภูจิตขึ้นไป “ธรรมกาย” ก็ปรากฏผ่องใสตามระดับภูมิจิต
    ธรรมในธรรมของผู้นั้น รวมทั้งเวทนาในเวทนา และ จิตในจิต ทั้ง ณ ภายนอก (ส่วนหยาบ) และ ทั้ง ณ ภายใน (ส่วนละเอียด) ของผู้นั้น ย่อมบริสุทธิ์ผ่องใส และ มีรัศมีปรากฏ เป็นสุคติภพ (ภูมิจิต) และสูงขึ้นไปเป็นโลกุตตรภูมิ ตามระดับภูมิธรรมและบุญบารมีของแต่ละท่าน
    พลอยให้การดำเนินชีวิตของท่านผู้นั้นเป็นไปด้วยดี มี “สันติสุข”
    แต่มีข้อพึงสังเกตว่า ผู้มีภูมิจิตสูงกว่า ย่อมสามารถเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม เป็น ณ ภายใน ของผู้มีภูมิจิตต่ำกว่าได้ชัดเจน
    โดยนัยนี้ จึงกล่าวได้ว่า การเจริญสมถวิปัสสนาภาวนาถึงธรรมกาย ที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านปฏิบัติ และได้สั่งสอนไว้ จึงมีสติปัฏฐาน ๔ คือ การมีสติพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม ทั้ง ณ ภายนอก (ส่วนหยาบ) และ ทั้ง ณ ภายใน (ส่วนละเอียด) อย่างครบถ้วน อยู่ในตัวพร้อมเสร็จ ด้วยประการฉะนี้
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ...สำหรับ ผู้ที่มีสัจจะ ซื่อสัตย์ ซื่อตรงต่อตนเอง ต่อธรรม

    จะสามารถสังเกตุเห็นได้ ในผลแห่งกรรม ที่ทำไปแล้วเกิดกับตนทันที ได้ดังนี้


    1.
    สำรวมจิตไว้ในใจ



    2. สำหรับ ผู้สำรวมใจ สามารถทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่7 เหนือสะดือสองนิ้วมือได้


    จนปรากฏดวงปฐมมรรค หลับตา ลืมตา ก็เห็นอยู่ทุกอิริยาบถ

    หรือ เข้าถึงกาย มนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม กายธรรมชั้นต่างๆ
    แล้ว



    ....เมื่อทำกรรมใดๆ


    จะเห็นการเปลี่ยนแปลงภายในทันที ( ตามพระธรรมที่สอนเรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้นเอง)
    ไม่ต้องรอภพชาติหน้า


    เช่น ทันทีที่ดื่มเหล้า ดวงปฐมมรรค หรือดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ จะหม่นหมอง
    หรือเปลี่ยนเป็นสีทึบไม่ใส


    ถ้ามองเห็นละเอียดถึงกายภายใน จะเห็นกายเปลียนเป็นสีดำ รูปร่างหน้าตาหน้าเกลียดต่างกันไปตามกรรมปรุงแต่งอื่นๆ เช่น บางคนหน้าเหมือนผี เหมือนเปรต ไม่มีเสื้อผ้าใส่


    บางคนภายนอกไม่หล่อไม่สวย แต่ใจดี คิดดี พูดดี จะเห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายต่างๆ
    มีสีขาวใส สีสะอาดใส อาภรณ์เป็นสีขาวสะอาด อาภรณ์เป็นเทวดา เทพ พรหม
    หรือเป็นพระ ตามความหนักเบาของกรรมและอำนาจปรุงแต่งกรรมอื่นๆปนไป
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    พระพุทธดำรัสว่าด้วยปฏิจจสมุปบาท

    สมัยหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี พระนครสาวัตถี ได้ตรัส
    “ปฏิจจสมุปบาทธรรม” คือ ธรรมอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น ๑๒ ประการ ดังต่อไปนี้ (ม.มู.๑๒/๔๔๘, ๔๕๐/๔๘๒-๔๘๓, ๔๘๕)
    ตรัสนัยอันเป็นปัจจัยเกิด และ ดับ
    ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่กล่าวนั้น ถูกละ พวกเธอกล่าวอย่างนั้น แม้เราก็กล่าวอย่างนั้น

    เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนี้ก็มี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น คือ

    เพราะ อวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี

    เพราะ สังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี

    เพราะ วิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี

    เพราะ นามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี

    เพราะ สฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี

    เพราะ ผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี

    เพราะ เวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี

    เพราะ ตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี

    เพราะ อุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี

    เพราะ ภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี

    เพราะ ชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงมี

    ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้
    เพราะ อวิชชาดับหมดมิได้เหลือ
    สังขารก็ดับ

    เพราะ สังขารดับ วิญญาณจึงดับ

    เพราะ วิญญาณดับ นามรูปจึงดับ

    เพราะ นามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ

    เพราะ สฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ

    เพราะ ผัสสะดับ เวทนาจึงดับ

    เพราะ เวทนาดับ ตัณหาจึงดับ

    เพราะ ตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ

    เพราะ อุปาทานดับ ภพจึงดับ

    เพราะ ภพดับ ชาติจึงดับ

    เพราะ ชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงดับ

    ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้

    ตรัสนัยแห่งความดับ
    ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่กล่าวนั้น ถูกละ พวกเธอกล่าวอย่างนั้น แม้เราก็กล่าวอย่างนั้น

    เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ คือ
    เพราะ อวิชชาดับ สังขารจึงดับ

    เพราะ สังขารดับ วิญญาณจึงดับ

    เพราะ วิญญาณดับ นามรูปจึงดับ

    เพราะ นามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ

    เพราะ สฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ

    เพราะ ผัสสะดับ เวทนาจึงดับ

    เพราะ เวทนาดับ ตัณหาจึงดับ

    เพราะ ตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ

    เพราะ อุปาทานดับ ภพจึงดับ

    เพราะ ภพดับ ชาติจึงดับ

    เพราะ ชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงดับ

    ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ใจละเอียด กายละเอียด (ทำไมต้อง ๑๘ กาย)

    พระพุทธศาสนานั้น ใช่ว่าเราจะใช้สมองตรึกนึกตรองข้อธรรมต่างๆ แล้วจะเข้าใจแจ่มแจ้งได้ เราต้องปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมนั้นๆ สมาธิขั้นสมถะเป็นเบื้องต้น เมื่อใจสงบระงับมีกำลังจึงยกภูมิสูงขึ้นสู่ภาควิปัสสนา ภาควิปัสสนานั้นเราต้องมีรู้ญาณหรือมีญาณทัสสนะเห็นธรรมตามความเป็นจริงได้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในเรื่อง ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ อริยสัจ ๔ ใช่ว่าเราจะใช้สมองคิดตรึกตรองแล้วจะเข้าใจสภาวธรรมเหล่านี้อย่างแจ่มแจ้งได้ เราต้องปฏิบัติให้รู้ให้เห็นจริงๆ ให้เกิดเป็นอธิจิต อธิปัญญา รู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง
    เวลาฝึกสมาธินั้นหลายท่านบอกว่าเราฝึกสมถะจนจิตสงบ พอออกจากสมาธิแล้วจะใช้ปัญญาคิดพิจารณาข้อธรรมต่างๆ แล้วเป็นวิปัสสนาได้หรือไม่ ชื่อว่าไม่ได้แน่นอน เพราะขั้นตอนของสมถะและวิปัสสนาต้องต่อเนื่องกันไปในขณะหลับตาทำสมาธิอยู่ เช่น เราต้องการพิจารณาขันธ์ ๕ เมื่อปฏิบัติสมาธิเบื้องต้นจนจิตสงบแล้วต่อไปก็ยกภูมิขึ้นสู่วิปัสสนา รู้เห็นขบวนการของขันธ์ ๕ รู้ญาณชนิดนี้เป็นรู้ญาณละเอียดขั้นอธิจิต อธิปัญญา จึงมีตาวิเศษ รู้เห็นขบวนการของขันธ์ ๕ อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน เพียงแต่ว่าใจเราละเอียดอยู่ในระดับใด ถ้าละเอียดอยู่ในขั้นโลกีย์ก็ไม่สามารถรู้เห็นสภาพธรรมชั้นสูงในภาคโลกุตระได้ เพราะชั้นโลกีย์เราจะมีคุณธรรมคือ ระดับจิตได้แค่ มนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม ซึ่งทั้ง ๔ ระดับนี้ พิจารณาได้แต่ธรรมแบบโลกีย์ เช่น มนุษยธรรมได้แก่ใจระดับที่มีหิริโอตตัปปะ เทวธรรมคือใจที่มีศีลห้าธรรมห้า(กุศลกรรมบถ ๑๐) พรหมธรรมได้แก่ ใจที่สำเร็จฌานโลกีย์ ๔ ระดับ หรืออย่างหยาบต้องมีพรหมวิหารธรรม ๔ อรูปพรหมธรรมได้แก่ ใจที่สำเร็จอรูปฌาน ๔ นี่คือรู้ส่วนเห็นนั้น ตาหยาบก็เห็นของหยาบ ตาละเอียดก็เห็นของละเอียด เหมือนนักวิจัยใช้กล้องส่องดูอนุภาคเล็กๆ ถ้ากล้องมีกำลังขยายสูงเราก็เห็นได้ละเอียด
    ตามนุษย์เรียกว่ามังสะจักษุ ตาเทวดา(ทิพย์)เรียกทิพจักษุ ตาพรหมเรียกว่าปัญญาจักษุ ตาอรูปพรหมเรียกว่าสมันตจักษุ ตาระดับโลกุตรภูมิเรียกว่าพุทธจักษุ
    เข้าถึงภูมิระดับใดใจก็มีตาระดับนั้น รู้เห็นได้ละเอียดกว่ากันเป็นชั้นๆ รู้และเห็นธรรมต่างๆ ทั้งโลกียธรรมและโลกุตรธรรมได้เป็นชั้นๆ ไป ตามแต่ภูมิธรรมที่เข้าถึง เมื่อใจละเอียดมีอย่างนี้แล้ว ก็เป็นธรรมดาที่ว่า มีใจที่ใดต้องมีกายครองที่นั่น ก็กายกับใจเป็นของคู่กัน เหมือนรูปกับนามเป็นของคู่กัน เมื่อมีรูปย่อมมีนาม เมื่อมีนามย่อมมีรูป เมื่อใจมีกายก็ต้องมารองรับ ใจละเอียดกายก็ละเอียด ใจหยาบกายก็หยาบ ใจหยาบช้าทำแต่กรรมชั่ว กายที่มารองรับก็อัปลักษณ์น่าเกลียดอย่างเช่น สัตว์นรก เปรต อสูรกาย และพวกสัตว์เดียรัจฉานต่างๆ นี่เพราะใจหยาบช้ากายก็หยาบช้า ถ้าใจละเอียดกายก็ละเอียดเป็นเครื่องรองรับกันเสมอ เช่น ทิพย์ พรหม อรูปพรหม เมื่อใจเรางามกายที่งามสมกับใจก็มารองรับซึ่งกันและกัน ตรงนี้เป็นผังสำเร็จ เป็นผังชีวิตที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ถ้าเราเข้าใจเรื่องกายกับใจเช่นนี้ได้ เราก็จะสามารถเข้าใจสภาวธรรมต่างๆ ได้ง่ายเข้า
    วิชชาธรรมกายสอนเรื่องกายละเอียดต่างๆ นั้นมิได้หมายเรื่องนิมิตหรือเห็นอะไรสักแต่เป็นนิมิต แต่นี้เป็นผังชีวิตของจริงที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายท่านได้รู้ได้เห็น เพียงแต่ว่าต้องปฏิบัติจนเข้าถึงจึงจะหมดข้อสงสัย เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของลุ่มลึกเกินวิสัยแห่งปุถุชนที่จะคาดเดาเอาเองได้ ต้องไปรู้ไปเห็นด้วยญาณทัสสนะอันละเอียดจึงจะเข้าใจ ที่พระองค์ไม่ทรงตรัสไว้โดยละเอียดเพราะเนื้อแท้แล้วพระองค์ต้องการให้เราปฏิบัติเพื่อเข้าถึงเองดีที่สุด พระองค์จึงตรัสบอกแต่วิธีการเข้าถึง เช่น ให้ปฏิบัติตามกัมมัฏฐาน ๔๐ วิธี หรือแบบอานาปานัสติ หรือสติปัฏฐาน ๔ เพื่อให้เข้าถึง กาย เวทนา จิต ธรรม ที่ละเอียด เข้าถึงได้แล้วจะเข้าใจแหมดข้อกังขาเอง
    ตรองดูเถิดท่านทั้งหลาย ใจละเอียดมีตาละเอียด ตาละเอียดมีญาณทัสสนะที่ละเอียด รู้ได้เห็นได้อย่างละเอียดถึงรูปแบบและขบวนการของสภาวธรรมในระดับวิปัสสนาได้ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ อริยสัจ ๔ หรือธรรมขั้นโลกุตรใดๆ ก็รู้เห็นได้หมด เพียงขอให้เข้าถึงใจละเอียดเป็นอธิจิต อธิปัญญาเถิด แต่พิจารณาอย่างเดียวไม่พอต้องทำการสะสางธาตุธรรมภายในให้หมดกิเลสเป็นชั้นๆ ได้ด้วย เพระกิเลสอวิชชาเขาก็มีเป็นชั้นๆ ซ้อนอยู่ในกายและใจของเราที่เป็นชั้นๆ อยู่ ด้วยเหมือนกัน ชำระสะสางกิเลสให้หมดจากจิตใจได้จึงเชื่อได้ว่าหลุดพ้นจริง หมดภพหมดชาติ หมดการเวียนว่ายตายเกิดจริง
    ถ้าเรารู้จักกายมนุษย์หยาบกายนี้กายเดียวไม่มีทางกำจัดกิเลสเข้าไปเป็นชั้นๆ ได้ เพราะกิเลสระดับละเอียดเขามีอยู่ เขาก็อยู่ในชั้นละเอียดเข้าไป กายและใจมนุษย์ไม่สามารถรู้เห็นได้ ต้องใช้รู้ญาณทัสสนะที่ละเอียดเข้าไปจึงจะทำลายกิเลสให้หมดจนสุดหยาบสุดละเอียด
    หลวงพ่อวัดปากน้ำมีวิริยคติที่ว่า “บัดนี้ของจริงที่พระพุทธเจ้าทรงรู้เห็น เราก็ยังไม่รู้เห็น สมควรที่เราจะลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง” ในที่สุดหลวงพ่อเข้าถึงกายละเอียใจละเอียดเป็นชั้นๆ ซึ่งมีกายและใจละเอียดถึง ๑๘ ชั้น (วิชา ๑๘ กาย) จึงได้รู้เห็นผังของจริง เมื่อเรารู้เห็นเป็นชั้นๆ เข้าไป ต่อไปงานสะสางธาตุธรรมเป็นชั้นๆ เข้าไปจนหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ก็ทำได้ นี้จึงชื่อว่าเป็นเหตุเป็นผลรองรับกัน ฉะนั้นเราเข้าถึง กายมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม กายธรรม ทั้งหลายและละเอียด ก็คือเรามีหนทาง(มรรควิธี)แห่งการกำจัดกิเลสอวิชชาเป็นชั้นๆ เข้าไป ตามที่กล่าวมาแล้วส่วนขั้นปฏิบัติจริงจังนั้นจะต้องว่ากันโดยละเอียดต่อไป...
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    (ต่อ)
    พระพุทธเจ้า สอนให้เราละกิเลส สอนให้เราละสังโยชน์ แปลว่า อย่าไปเพิ่มกิเลสให้มากขึ้น ของเก่าเรายังทำให้หลุดไปไม่ได้ อย่าไปเพิ่มพูนขึ้นใหม่อีกเลย

    ท่านทราบแต่ว่า กายมนุษย์ คือตัวท่าน ยังมีกิเลส เราเจริญภาวนารักษาศีลกันอย่างทุกวันนี้ เป็นการไม่เพิ่มพูนกิเลสใหม่เท่านั้น ส่วน “ของเก่า” คือกิเลสเดิมที่นอนเนื่องอยู่ใน “ใจ” นั้นมีอะไรบ้าง
    และกิเลสที่อยู่ในกายละเอียดของท่าน ท่านเข้าไปสืบทราบแล้วหรือยัง การจะไปดูกิเลสในกายละเอียดอื่นๆ ถ้าดูด้วยตามนุษย์ไม่เห็น จะต้องทำ “ธรรมกาย” เป็น และใช้รู้ใช้ญาณธรรมกายตรวจจึงจะเห็นได้ รู้ได้
    ฝ่ายอวิชชาได้เอากิเลสต่างๆ ตรึงติด “ใจ” ของสัตว์โลกไว้ ดังนี้
    ๑.กายมนุษย์ และกายมนุษย์ละเอียด(กายฝัน)
    อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ
    ๒.กายทิพย์หยาบ กายทิพย์ละเอียด
    โลภะ โทสะ โมหะ
    ๓.กายรูปพรหมหยาบ กายรูปพรหมละเอียด
    ราคะ โทสะ โมหะ
    ๔.กายอรูปพรหมหยาบ กายอรูปพรหมละเอียด
    กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัย
    ๕.ธรรมกายโคตรภูหยาบ ธรรมกายโคตรภูละเอียด
    สักกายทิฏฐิ สีลัพพตปรามาส วิจิกิจฉา
    ๖.ธรรมกายพระโสดาหยาบ ธรรมกายพระโสดาละเอียด
    ธรรมกายพระสกิทาคามีหยาบ ธรรมกายพระสกิทาคามีละเอียด
    กามราคะ ปฏิฆะ
    ๗.ธรรมกายพระอนาคามีหยาบ ธรรมกายพระอนาคามีละเอียด
    รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
    ๘.ธรรมกายพระอรหัตต์หยาบ ธรรมกายพระอรหัตต์ละเอียด
    ไม่มีกิเลสใดเจือปน
    ข้อคิดเรื่องการสะสางกิเลส
    ๑. กายของท่าน ๑๘ กาย
    - ท่านเห็นได้กี่กาย
    - กายมนุษย์ คือ ตัวตนของท่าน ท่านเห็นอยู่แล้ว ถึงไม่บรรลุธรรมอะไร ก็เห็นกันอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร
    - กายฝันเป็นกายละเอียดต่อจากมนุษย์ มีกี่ท่านได้เห็นอย่างถูกวิธี ถ้าเห็นกายฝันเมื่อนอนหลับ ก็ได้เห็นกันทุกคนเพราะทุกคนเคยฝัน แต่ถ้าเห็นในขณะที่เรา “ไม่หลับ” คือ เห็นในขณะที่เราปฏิบัติธรรมมีใครบ้างที่ได้เห็น
    ถ้าถามว่า ใครเห็นกายฝันอยู่ในดวงวิมุตติญาณทัสสนะบ้าง อันเป็นการเห็นที่ถูกวิธี คงไม่มีใครเห็นเลย เว้นแต่ท่านที่ฝึกวิชชาธรรมกายเท่านั้น เมื่อไม่เห็นกายฝัน กายที่ละเอียดต่อจากนั้นไปเป็นอันไม่ต้องพูดถึง

    ๒.กายของเรา ๑๘ กาย ไม่มีกิเลส เพียง ๒ กาย
    - ท่านจะเห็นว่า กายของเรามี ๑๘ กาย ไม่มีกิเลสเพียง ๒ กายเท่านั้น คือธรรมกายพระอรหัตต์หยาบและธรรมกายพระอรหัตต์ละเอียด นอกนั้นมีกิเลสทุกกาย แต่ละกายมีชื่อกิเลสต่างกันออกไป ตั้งแต่กิเลสหยาบไปถึงกิเลสขั้นละเอียด ตามหลักฐานดังกล่าวนั้น
    - เพียงทำให้เห็นธรรมกาย ก็ยากแทบจะล้มประดาตายแล้ว เรายังต้องศึกษาความรู้สะสางกิเลสอีก ซึ่งงานสะสางกิเลสไม่ใช่งานที่ทำง่ายเลย

    วิธีทำกิเลสให้หมดหรือเรียกว่าการสะสางกิเลส
    - เราทราบแล้วว่า เรามีกิเลสหรืออวิชชาห่อหุ้ม “ใจ” ของเราอยู่ทุกกาย เป็นผลให้เราอยู่ในภาวะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น เพราะอานุภาพของกิเลสนั้นๆ
    - หน้าที่เรา ก็ต้องแก้ไขตัวเอง จะทำอย่างไรกิเลสและอวิชชาเหล่านั้น จึงจะหมดและสูญหายไปจากใจเรา
    ในเรื่องนี้ พระมงคลเทพมุนี หลวงพ่อวัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ได้แสดงไว้
    ในหนังสือ “ธรรมกาย” พิมพ์เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.๒๔๙๙ ที่โรงพิมพ์ไทยพาณิชยการ สีลมพระนคร เป็นหนังสือบรรณาการงานกฐินพระราชทาน วัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๔๙๙
    ลิขสิทธิ์เรื่อง “ธรรมกาย” ของหนังสือนี้ เป็นของมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ตั้งแต่หน้า ๑๐๓ ถึงหน้า ๑๒๙ ท่านได้แสดงวิธีทำให้กิเลสหมด กิเลสสูญ คือ
    อาราธนาธรรมกายพระอรหัตต์ในท้องของท่าน มาเดินสมาบัติเป็นอนุโลมปฏิโลม ๗ เที่ยว และดูอริยสัจ ๔ ที่ดวงธรรมของกายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม ทั้งกายหยาบและกายละเอียด

    ๑. การดูอริยสัจ ๔ ดูเฉพาะกายโลกีย์ คือกายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม ทั้งกายหยาบและกายละเอียด
    อริยสัจ ๔ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
    ทุกข์ มี ๔ ดวง ดวงเกิดเป็นดวงใส แปลว่าทุกข์ไม่จริง ดวงแก่สีน้ำตาลจนคล้ำ ถ้าดวงนี้โตมาก กายมนุษย์ก็ชรามาก ดวงเจ็บเป็นดวงดำ ถ้าดวงโตแปลว่าป่วยมาก ดวงตายเป็นดวงดำประดุจนิล ดวงนี้ถ้ามาจรดขั้วหัวต่อกายเมื่อไร ทำให้ขั้วหัวต่อกายขาดจากกัน เราจะตายทันที

    สมุทัย เป็นดวงดำ ๓ ดวงซ้อนกัน ดวงในประดุจนิล ดวงนอกดำเรื่อๆ สมุทัยนี้เป็นเหตุ ส่วนทุกข์คือความทุกข์ร้อนที่เรารู้สึกเป็นผล

    นิโรธ เป็นดวงใสสว่างโชติ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๕ วาขึ้นไป เส้นผ่าศูนย์กลางของดวงแค่ไหน ก็เป็นเกณฑ์ของธรรมกายนั้น เช่นธรรมกายโคตรภู ดูอริยสัจ ๔ ของกายมนุษย์ ดูทุกข์เสร็จแล้วมาดูสมุทัย พอดูสมุทัยเสร็จ เกิดดวงนิโรธ เป็นดวงใสสว่างโชติ เส้นผ่านศูนย์กลางของดวง วัดได้ ๕ วา ขณะนั้นดวงทุกข์ดับ ดวงสมุทัยดับ จึงว่า “นิโรธ เป็นผู้ดับทุกข์และดับสมุทัย”
    พอนิ่งไปกลางดวงนิโรธ เกิดธรรมกายพระโสดาขึ้นทันที (หน้าตักกว้าง ๕ วา สูง ๕ วา เกตุดอกบัวตูม)

    มรรค แปลว่าทางเดิน ได้แก่ดวงธรรมในท้องธรรมกาย ๖ ดวง ดวงธรรมเหล่านี้ เป็นทางเดินให้แก่กาย คือ กายธรรม อย่างเช่น กายธรรมพระโสดาจะไปหาพระสกิทาคามี ก็ต้องผ่านดวงธรรมในท้องของพระองค์ ๖ ดวง จึงจะถึงพระสกิทาคามี เป็นต้น
    ๒. จากนั้นอาราธนาธรรมกายพระโสดา ดูอริยสัจ ๔ ของกายทิพย์ ตามแนวที่กล่าวแล้ว พอเกิดดวงนิโรธ วัดเส้นผ่าศูนย์กลางของดวงนิโรธได้ ๑๐ วา เกิดกายธรรมพระสกิทาคามี พระสกิทาคามีดูอริยสัจ ๔ ให้กายรูปพรหม เกิดดวงนิโรธเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๕ วา เกิดธรรมกายพระอนาคามี ธรรมกายพระอนาคามีดูอริยสัจ ๔ ให้แก่กายอรูปพรหม เกิดดวงนิโรธ เสั้นผ่าศูนย์กลาง ๒๐ วา เกิดธรรมกายพระอรหัตต์ ธรรมกายพระอรหัตต์เดินสมาบัติในธรรมกายโคตรภูเรื่อยไป
    ๓. การดูอริยสัจ ๔ ดูได้เฉพาะกายโลกีย์ ในกายธรรมไม่มีอริยสัจ ๔ ธรรมกายใหญ่เพียงเดินสมาบัติในธรรมกายเล็ก เพื่อให้กิเลสละเอียดในธรรมกายเล็กหมดไป สูญไป
    ๔. การเดินสมาบัติของธรรมกาย ได้แก่การเอาแผ่นใสที่รองรับของธรรมกายมาซ้อนกัน มาสับกัน เป็นผลให้กายใส ดวงธรรมก็ใสยิ่งขึ้น แผ่นใสนั้นก็คือ ฌาน มีลักษณะเป็นแผ่นใสกลมรอบตัว หนาคืบหนึ่ง
    จะเดินสมาบัติให้กายใด ก็ขยายดวงธรรมของกายนั้นให้ใหญ่กำหนดให้ถูกเอกายนมรรค คือ “กลาง” ตรงจุดใสเท่าปลายเข็ม พอจุดใสเท่าปลายเข็มว่าง ก็จะเห็น ดวงเห็น ดวงจำ ดวงคิด ดวงรู้ ของกาย ซึ่งดวงทั้ง ๔ ซ้อนกันอยู่ จะเห็นกิเลสซ้อนกันอยู่ในดวงทั้ง ๔ นั้น เมื่อธรรมกายพระอรหัตต์ละเอียดเดินสมาบัติ เป็นอนุโลม (เดินหน้า) และปฏิโลม (ถอยหลัง) แล้ว กิเลสเหล่านั้น จะหมดและสูญไป แต่ต้องขยันทำ หากทำบ้างไม่ทำบ้าง กิเลสก็เพียงเบาบางไป ส่วนอีกวิธีหนึ่ง ใช้เครื่องกำจัด เห็นว่ายากไปจึงไม่นำมาแสดงไว้ ไม่มั่นใจว่าท่านผู้ศึกษาจะเข้าใจได้แค่ไหน แต่ถ้าไปรับการฝึกจากวิปัสสนาจารย์ ท่านจะเข้าใจและทำได้ ไม่ยากอะไร
    หลักมีอยู่ว่า กายของเราทุกกาย ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มีกิเลสเกือบทุกกาย
    เราเข้าถึงกายละเอียดของเราได้กี่กาย
    กายเหล่านั้น มีกิเลสอะไรบ้าง
    ท่านเข้าไปทำลายกิเลสในกายเหล่านั้นแล้วหรือยัง
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    การเรียนวิชชาธรรมกาย ไม่ทำให้งมเข็มในมหาสมุทร
    - มีกฎเกณฑ์การปฏิบัติ ทำสิ่งนี้ได้แล้วต่อไปจะทำอะไร ออกจากจุดนี้แล้ว ต่อไปจะไปจุดไหน จุดไหนให้ทำอย่างไร และทำอย่างไร ทำให้ได้อะไร มีลำดับ มีขั้นตอน มีวิธีการ มีปฏิบัติการ มีแนวปฏิบัติชัดเจน

    อย่างเช่น บริกรรมจนเห็นดวงธรรมแล้ว ดำเนินดวงธรรมให้ครบ ๖ ดวง จะไปเห็นกายฝัน กายฝันทำดวงธรรม ๖ ดวง จะไปถึงกายทิพย์หยาบ…..ธรรมกาย…..ธรรมกายพระอรหัตต์ละเอียด เป็นต้น
    ไม่เป็นการงมเข็มในมหาสมุทร และเมื่อทำวิชชาเบื้องต้นเป็นแล้ว ก็ต้องเรียนวิชชาชั้นสูงต่อไป เป็นบท เป็นสูตร ต่อไปไม่มีจบสิ้น แต่จะทำได้มากหรือน้อย ขึ้นกับความตั้งใจจริง ของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ แปลว่าใจของท่านมีงานทำเป็นขั้นเป็นตอน ต่อกันเป็นลูกโซ่
    ท่านมีโอกาสได้เลื่อนชั้น ไม่ใช่นั่งบริกรรมกำหนดกันอยู่ทั้งปีทั้งชาติ โดยไม่เห็นฝั่งเห็นฝาอะไรกันเลย จะได้อะไร จะถึงอะไร เกจิอาจารย์ก็ไม่แจ้ง ได้แต่บอกว่าทางสำเร็จ จะหมดกิเลส ถ้าพบตำรับนี้ พบเกจิอาจารย์อย่างนี้ ผู้เรียนจะเกิดความเบื่อหน่าย
    ท่านจะพบว่า มีแต่งมเข็มในมหาสมุทรเป็นส่วนใหญ่ มีแต่บริกรรมกันชั่วนาตาปี เมื่อไรก็เมื่อนั้น เลื่อนชั้นไม่ได้สักที เมื่อไรก็อยู่แต่ชั้นบริกรรมอยู่อย่างนั้น มีอาจารย์เก่งคนเดียว ลูกศิษย์ไม่เก่งเท่าท่าน จะพบเห็นแต่อย่างที่ว่านี้ แทบทั้งนั้น
    แต่การเรียนกัมมัฏฐานวิชชาธรรมกาย จะต้องแบ่งผู้เรียนเป็น ๓ ชั้น คือ ชั้นบริกรรม หมายความว่ายังทำปฐมมรรคไม่ได้ ถ้าทำได้แล้วจะเลื่อนไปเรียนวิชชาเบื้องต้น คือชั้นทำวิชชา ๑๘ กาย เมื่อทำวิชชา ๑๘ กายได้แล้ว ต้องเลื่อนไปเรียนวิชชาชั้นสูง แปลว่า ต้องมีวิทยากรอย่างน้อย ๓ คน จึงจะสู้งานนี้ได้
    แสดงว่ากัมมัฏฐานวิชชาธรรมกาย ท่านไม่มีโอกาสงมเข็มในมหาสมุทร ท่านมีโอกาสเลื่อนชั้น ท่านมีโอกาสได้เห็น “ธรรมกาย” เว้นแต่ท่านเกียจคร้านไม่ทำจริง และถ้าท่านไม่เอาจริง ท่านก็อยู่ชั้นบริกรรมเหมือนกัน เป็นที่น่ายินดี เรียนวันนี้ ทำธรรมกายเป็นวันนี้ ได้เรียนวิชชาชั้นสูงในเวลาไม่นาน กลับทำได้เก่งกว่าอาจารย์ ปฏิบัติได้เชี่ยวชาญกว่าอาจารย์ มีรู้ญาณแม่นกว่า ตัวอย่างนี้มีไม่น้อยเลย แปลว่าไม่ใช่อาจารย์เก่งคนเดียว วิเศษอยู่คนเดียว ศิษย์เก่งกว่าอาจารย์ มีตัวอย่างมาแล้ว เพราะอะไรจึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะเขาเอาจริง เขาทราบแนวทาง เขาทราบทางเดิน วิชชาธรรมกายเป็นสากล ทำได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับชั้น ใครขยันมาก ก็ได้มาก
    วิชชาธรรมกายนี้ เป็นที่พึ่งได้ ไม่ใช่การสร้างวิมานในอากาศ เรียนวันนี้ทำเป็นวันนี้ รุ่งขึ้นก็ใช้ความรู้ที่เรียนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ทันที ไม่ต้องรอไปถึงเมื่อโน้นเมื่อนี้ ไม่ต้องรอผลเอาชาติหน้า เอาผลเดี๋ยวนี้ อย่างสด ๆ ร้อน ๆ กันทีเดียว
    ท่านอยากเห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะเคยแต่รู้สึก เหมือนหนึ่งเกิดอารมณ์ฌาณขึ้นแก่ใจ แต่ยังไม่เคยเห็นหน้าตา เป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน พึ่งตำรา ตำราก็เขียนไว้สั้นๆ แล้วจะให้ท่านแจ้งอะไรได้
    เรื่องยากทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ อันได้แก่ บาป บุญ อริยสัจ ๔ ฌาน นรก สวรรค์ นิพพาน และอะไรต่อมิอะไร อันเป็นเรื่องยาก และเร้นลับ มันก็จะยากและลี้ลับต่อไป แต่ถ้าเราเรียนธรรมกายให้แก่กล้า เราก็จะเห็นและเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ แต่การเห็นและเข้าใจนั้น ขึ้นอยู่กับความตั้งใจจริงแห่งการเรียนเป็นสำคัญ เพราะธรรมกายมีต้น มีกลาง มีปลาย มีอ่อน มีแก่ มีหยาบ มีละเอียด
    ตายแล้วสูญหรือตายแล้วเกิด ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ อันเป็นเรื่องที่นักปราชญ์ถกเถียงกันมานานแล้ว เรื่องนี้จะยุติเมื่อท่านเป็นธรรมกายระดับแก่กล้าแล้ว ขอแต่ว่าทำธรรมกายให้เป็นและให้แก่กล้าเท่านั้น ถ้าเราไม่เป็นธรรมกาย เราก็ขาดเครื่องมือค้นคว้า ต่างก็แสดงความเห็นอัตโนมัติกันทั้งนั้น ไม่เป็นประโยชน์อะไร
    วิชชาธรรมกายมีหลักสูตรให้เรียนมากมาย
    วิชชาธรรมกายมีหลักสูตรให้ท่านเรียนมากมาย ตามรายชื่อหนังสือที่จะได้กล่าวต่อไป ทั้งความรู้สมถะ (โลกิยะ) ความรู้วิปัสสนา (โลกุตระ) ครบถ้วน
    ท่านที่เป็นเด็กเล็ก นักเรียน ก็มีหลักสูตรให้เรียนพอควรแก่วัยและหน้าที่
    ท่านที่เป็นนักศึกษาเป็นนักค้นคว้าทดลอง ก็มีหลักสูตรให้เรียนตามสมควรแก่หน้าที่และเวลา
    ท่านที่เป็นผู้ครองเรือน ประกอบธุรกิจการค้า มีหลักสูตรให้เรียนตามความเหมาะสม แก่ผู้มีอาชีพนั้น
    ท่านที่เป็นข้าราชการ นักบริหาร มีหลักสูตรให้เรียนตามความรู้และความสามารถของท่าน
    ท่านพุทธบริษัทที่ต้องการบรรลุ โพธิญาณ และเรียนความรู้ขั้นปรมัตถ์ ระดับปุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ วิชชาธรรมกายระดับสูง ก็มีหลักสูตรให้เรียน อย่างครบครัน
    บัดนี้ มีผู้รู้ให้ความรู้แก่ท่านทุกหลักสูตรทุกระดับชั้น อย่างนี้แล้วคงเป็นที่พอใจท่าน ยังอยู่แต่เรา เราพร้อมที่จะเรียนหรือไม่ เราจะเอาจริงหรือไม่ วิปัสสนาจารย์พร้อมที่จะช่วยท่านอยู่แล้ว
    น่าเสียดายท่านที่มีกำลังวังชาดี อายุยังหนุ่มยังแน่น ปรารถนาบรรลุวิชชาวิเศษของพุทธศาสนา อ่านตำราแล้วได้แต่อยาก แต่ได้ใช้ความหนุ่มแน่นของเขาไปในเรื่องไร้สาระ ถ้าได้ใช้ความหนุ่มแน่นของเขาได้ใช้พลังใจอันเข้มแข็งของเขา ไปในเรื่องฝึกและปฏิบัติให้ถูกทาง เขาเหล่านั้นก็จะเป็นกำลังอันสำคัญของพระศาสนา
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ?temp_hash=494ca37840d6a7200890203a6403f858.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    - สภาพแวดล้อมโลกแย่ลง เนื่องด้วยมนุษย์สร้างบาปอกุศลมากขึ้น.
    มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์นะ ว่าเมื่อไหร่ที่ประชาชนหรือชาวโลกเต็มไปด้วยโทสะ มุ่งแต่จะประทุษร้ายกัน โกรธ พยาบาท อาฆาต จองเวรกัน เมื่อนั้นมนุษย์จะประหัตประหารกันด้วยศัตราวุธ ชื่อว่า"#สัตถันตราย" คืออันตรายเกิดจากอาวุธยุทโธปกรณ์ นี่ ที่มันเกิดขึ้นแล้วนี่
    และเมื่อไหร่ที่มนุษย์เต็มไปด้วยตัณหาราคะ โลภจัด เห็นแก่ตัวจัด ตัณหาราคะจัด เมื่อนั้นมนุษย์จะประสบกับ"#โรคันตราย" อันตรายเกิดแต่โรคภัยไข้เจ็บ ไล่ไปตั้งแต่โรคเอดส์ โรคติดต่อกัน โรคเกิดขึ้นเองด้วยอำนาจของกรรมมากมายก่ายกองจนนับประมาณไม่ได้ ตลอดไปถึงโรคแล้วก็ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพิ่ม เป็นโรคแล้วก็นำไปสู่ความเป็นอายุสั้น ซึ่งคู่กันกับโทสะ ประหัตประหารกัน นัวนุ่งกันใหญ่
    และเมื่อไหร่ที่มนุษย์หรือสัตว์โลกทั้งหลายเต็มไปด้วยโมหะ หลงไม่รู้บาปบุญคุณโทษตามที่เป็นจริง เมื่อนั้นเกิด"#ทุพภิกขันตราย" อดอยาก ไม่รู้บาปบุญคุณโทษตามที่เป็นจริงจึงเป็นเหตุนำเหตุหนุนให้เกิดกิเลส ตัณหา อุปาทาน ใน 3 กองใหญ่ คือ ตัณหาราคะ อภิชฌา โลภจัด แล้วก็โกรธ พยาบาท อาฆาต จองเวร อิจฉาริษยา ด้วยความหลงมัวเมาไม่รู้บาปบุญคุณโทษ ประพฤติผิดศีลผิดธรรมและผิดหลักการของชาติบ้านเมือง หลักการโดยชอบของประชาชนประชากรส่วนใหญ่ของบ้านเมือง ผิดหลักนี้เข้าไปอีกด้วย หมายถึงหลักที่ได้รับการยอมรับจากอาริยชนทั้งหลาย ที่เขายอมรับว่าหลักการในการปกครองประเทศ ในการบริหารราชการแผ่นดิน ว่าอย่างนี้มันดี แต่ไปประพฤติผิดเข้า ด้วยความหลงเรียกว่าโมหะ หลงตัวหลงตน หลงอำนาจราชศักดิ์ หลงอำนาจอาวุธยุทโธปกรณ์ หลงอำนาจเงิน อำนาจพวกพ้องหมู่เหล่า เป็นต้น ความหลงเหล่านี้นำไปสู่"ทุพภิกขันตราย" ข้าวยากหมากแพง..

    _______________
    เทศนาธรรมจาก
    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _______________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    rUCLGZ3-82_R01gE2kp7sqNzpGW8ddOQz1dWjFpVTcW&_nc_ohc=dHsx6iFzUh4AX_WBNHh&_nc_ht=scontent.fbkk22-4.jpg

    คนเช่นเราใช่จะไร้เสียซึ่งปัญญา ชั่วก็รู้ ดีก็เห็น เราจะฆ่าตัวเองเพราะความปรารถนาลามกทำไม ที่เขาพูดหาว่าเราอย่างนั้น บางคนคงไม่รู้จักคำว่า "ธรรมกาย" มีอยู่ที่ไหน หมายเอาใคร เขาอาศัยความไม่รู้มาว่าเราผู้ตั้งใจปฏิบัติชอบ

    เมื่อผู้ไม่รู้ติเตียนเรา ความไม่รู้ของเขาจะลบล้างสัจธรรมของพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ถ้าจะลบก็ลบได้เพียงชั่วคราว ไม่ช้าดวงแก้วของพระพุทธศาสนาก็จะเปล่งรัศมี ให้ผู้มีปัญญาเห็นด้วยสายตาของตนเอง

    พระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร)
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ถาม : ผู้ปฏิบัติ ไม่เห็นนิมิตธรรมกาย คือ ปฏิบัติสายอื่นแต่ระดับจิตถึงธรรมกายนั้นมีไหม 2753-png.png
    2705-png.png ตอบ : ข้อหนึ่ง คำว่านิมิตธรรมกายนั้น อย่าพูดเลยน ธรรมกายไม่ใช่นิมิตนะ ของจริง

    นิมิตมี 2-3 อย่าง
    ให้เข้าใจประเภทของนิมิต


    หนึ่ง นึกขึ้น นึกให้เห็น เช่น นึกให้เห็นดวงแก้ว เรียกว่าบริกรรมนิมิต
    1f331-png.png เจริญภาวนาไป ใจหยุดรวมได้อุคคหนิมิต เห็นเป็นดวงใสขึ้นมา แต่เห็นอยู่ไม่ได้นาน ใจก็รวมหยุดแน่วแน่เข้าไปอีก ถึงปฏิภาคนิมิต (นิมิตติดตา) ระดับสมาธิก็ชั้นสูงจากขณิกสมาธิ-อุปจารสมาธิ นี่ระดับต่ำ สูงขึ้นไปเป็นปฏิภาคนิมิตก็อัปปนาสมาธิ นั่นระดับปฐมฌาน ตรงนั้นชื่อว่านิมิตอย่างหนึ่ง คิดเอาแล้วจิตค่อยหยุดนิ่ง ถ้าที่คิดเอานั้นกลายเป็นอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต นี่ประเภทหนึ่ง
    1f331-png.png อีกประการหนึ่ง นอนฝัน ฝันก็เป็นนิมิต เรียกว่าสุบินนิมิต ถ้าไม่นอนฝัน อะไรๆที่เรามองเห็นนี่เรียกว่านามรูป ก็เห็นเป็นนิมิตก็ได้ อย่างตัวท่านจะเรียกเป็นนิมิตก็ได้ การมองเห็นข้างในก็เป็นนิมิต
    คือจากกายมนุษย์ เห็นกายมนุษย์ละเอียด
    ทิพย์-ทิพย์ละเอียด
    พรหม-พรหมละเอียด
    อรูปพรหม-อรูปพรหมละเอียด
    2757-png.png แต่นิมิตมีของปลอม กับของจริง 2757-png.png
    ของปลอม คือ ไม่นึกจะเห็น แต่ก็เห็นแปลกประหลาดไป ไม่เป็นไปตามที่เป็นจริง จริงนี้หมายถึงจริงโดยสมมติ บางทีนั่งแล้วเห็นเสือกระโดดโฮ้กเข้าใส่ แต่เปล่า เสือไม่มี นี่ก็เห็นได้เช่นกัน หรือบางคนนั่งแล้วเห็นผี แต่เปล่า ผีไม่มี นี่เรียกว่าเห็นของไม่จริง จะเกิดแก่ผู้ที่เอาใจออกนอกตัว
    1f4cc-png.png หลวงพ่อวัดปากน้ำจึงให้เอาใจเข้าในตัว เพื่อชำระใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ หยุดนิ่งเป็นอารมณ์เดียว ปราศจากกิเลสนิวรณ์ จิตใจก็เที่ยง เห็นตามที่เป็นจริง พอ"ใจ"หรือเห็น-จำ-คิด-รู้ ที่เห็นนะ มันไปวางอยู่ตรงกำเนิดธาตุธรรมเดิม ซึ่งเป็นที่ตั้งของกาย เวทนา จิต ธรรม ณ ภายใน มันก็เห็นตรงตามนั้น สิ่งที่เห็นอย่างนั้น เห็นจริงโดยสมมติ
    1f331-png.png นิมิตจริง เห็นนาย ก. นาย ข. เห็นพระ เห็นเณร เห็นแม่ชี เห็นของจริงทั้งนั้น ที่เห็นๆอยู่นี่ เห็นเข้าไปข้างในตามที่เป็นจริง ก็จริง แต่ว่าจริงโดยสมมติ นี่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    "ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อไม่โดดเดี่ยวยินดียิ่งในความเงียบสงัดแล้ว จักถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิต และวิปัสสนาจิตได้นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้"
    1f331-png.png แต่ถ้ามันเลยนิมิตนี่ไป เห็นธาตุล้วนธรรมล้วนจริง ๆ เขาไม่เรียกว่านิมิต เพราะนิมิตชื่อว่าเบญจขันธ์หรือนามรูป เกิดแต่อวิชชา แต่ธรรมกายไม่ใช่เบญจขันธ์ เป็นธรรมบริสุทธิ์ จึงเรียกว่าธรรมขันธ์ ไม่เกิดแต่อวิชชา เป็นกายที่พ้นภพสามนี้ไป เป็นของจริง เป็นปรมัตถธรรม

    แต่ว่า จำเพาะส่วนที่ยังไม่บรรลุ คือจัดเป็น"โคตรภู" คืออยู่ระหว่างโลกิยะกับโลกุตระ แต่กำลังจะขึ้นไป
    แต่ถ้าว่าเป็นธรรมกายมรรค ธรรมกายผล พระนิพพานแล้วละก็ เป็นธรรมขันธ์แท้ ๆ ชัดเจน ไม่เรียกว่านิมิต
    1f331-png.png ไปเข้าใจผิดกันแล้วเอามาโจมตีกันเรื่องนี้แหละ เพราะเขาแยกนิมิต แยกของจริงของปลอมไม่ค่อยชัดเจน ก็มั่วไป ก็ไปคลุมว่าเห็นอะไรเห็นได้เรียกว่านิมิต จริง ๆ นิมิตอยู่ในครรลองในสภาวะที่จะสัมผัสได้ด้วยอายตนะของกายในภพสาม คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่น เห็นกายมนุษย์-คือตาเห็นรูป หรือว่าทิพพจักษุ-เห็นกายทิพย์ พรหมจักษุ-เห็นกายพรหม อย่างนี้เป็นของในภพ 3
    แต่ว่าเห็นโดยพุทธจักษุ ตรงนี้ไม่ใช่นิมิตหละ ของจริง มันเข้าเขตปรมัตถ์ ที่โจมตีกันไม่ถูกหรอก เพราะเข้าไม่ถึงเลยไม่รู้เรื่อง ก็ตีกันไป ก็ไม่ว่ากระไร เป็นเรื่องของท่านจะเข้าใจอย่างไร ก็ว่ากันไปตามเรื่อง
    แต่ว่าจะได้ผลเป็นบุญเป็นบาปอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของท่านอีกเหมือนกัน
    1f331-png.png สรุปว่า เขาถามว่าปฏิบัติสายอื่น แต่ระดับจิตถึงธรรมกายน่ะมีไหม ?
    มี ต้องมี อันนี้ไม่ปฏิเสธนะ จะสายพุทโธ ยุบหนอพองหนอ สัมมาอะระหัง หรือว่าอะไร ๆ ก็ตาม ถ้าจิตถึงก็ถึง ไม่มีปัญหา
    ถ้ามี จะหลุดพ้นหรือไม่ ?
    หลุดพ้นสิ ทำไมจะไม่หลุดพ้น.
    2705-png.png ตอบปัญหาธรรม 2705-png.png
    โดย พระเดชพระคุณ #พระเทพญาณมงคล วิ. (หลวงป๋า)
    (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    อดีตปฐมเจ้าอาวาส #วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    aotb7zmj2xhqgbnnupdnuiau-eobxh5vgislgyaa-_nc_ohc-5vai4yucddyax9whcgz-_nc_ht-scontent-fbkk2-6-jpg.jpg
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447


     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    idvAoLqGiG6UCjPPa_HQWpFH2la2I1fRQq&_nc_ohc=ijyGkhNHvF8AX-Y5xLk&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-6.jpg
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    พระธรรมเทศนา “โพชฌงคปริตร"
    โดย พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
    เมื่อ ๔ มิถุนายน ๒๔๙๗
    คัดลอกบางส่วน***
    เนื้อความเต็มสามารถตามอ่านได้ตามลิ้งก์
    http://www.dhammakaya.org/ธรรมะ/พระธรรมเทศนา-โดย-พระมงคลเทพมุนี/โพชฌงคปริตร
    .....
    ไม่ใช่แต่พระองคุลิมาลเท่านั้นที่ยกความจริงขึ้นพูด หญิงแพศยาทำฤทธิ์ทำเดชได้ ยกความจริงขึ้นพูดเหมือนกัน หญิงแพศยาคนหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินยกพยุหเสนาไปพักอยู่ที่ แม่น้ำใหญ่ ว่ายข้ามก็จะไม่พ้น น้ำไหลเชี่ยวเป็นฟอง ไหลปราดทีเดียว เมื่อเขาตั้งพลับพลา ให้พักอยู่ที่คันแม่น้ำใหญ่เช่นนั้น ท่านทรงดำริว่า แม่น้ำใหญ่ไหลเชี่ยวขนาดนี้ จะมีใครผู้ใด ผู้หนึ่งอาจสามารถจะทำให้น้ำไหลกลับได้บ้าง ทรงดำริดังนี้ รับสั่งแก่มหาดเล็กเด็กชาของ พระองค์ มหาดเล็กเด็กชาของพระองค์ก็ไปเที่ยวป่าวร้องหาว่าผู้ใดใครผู้หนึ่งอาจสามารถ ทำให้น้ำในแม่น้ำนี้ไหลกลับขึ้นได้บ้าง หญิงแพศยาคนหนึ่งรับทีเดียว ว่าฉันเองจะทำให้ น้ำไหลกลับได้ เพราะนางเป็นแพศยาก็จึงมั่นใจว่าชายคนใดไม่ว่าชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ ให้เงินเพียงค่าบาทหนึ่ง ปฏิบัติเพียงเท่านี้ ให้เงินค่า ๒ บาท ปฏิบัติเพียงเท่านี้ ๓ บาท ปฏิบัติเพียงเท่านี้ พอแก่ค่าของเงินเท่านั้น เหมือนกันไม่ได้ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ทำไปตามหน้าที่ของตัว ความสัตย์มีอย่างนี้ นางเมื่อ ราชบุรุษพาไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินทรงรับสั่งว่า เจ้าหรือ อาจจะทำให้น้ำไหล กลับได้ พะย่ะค่ะ หม่อมฉันอาจสามารถจะทำให้น้ำไหลกลับได้ เจ้าจะต้องการอะไร ธูปเทียนดอกไม้จะหาให้ ถ้าเจ้าทำน้ำให้ไหลกลับได้ตามคำกล่าวของเจ้าแล้ว เราจะรางวัล ให้หนักมือทีเดียว ถ้าว่าเจ้าทำน้ำไหลกลับไม่ได้ เจ้าจะมีโทษหนักทีเดียว นางจุดธูปเทียนตั้ง สัตยาธิษฐานหันหน้าไปทางด้านแม่น้ำ ยกเอาความสัตย์นั่นเองอธิษฐานว่า เดชะปุญญาภินิหารความสัตย์ความจริงของหม่อมฉันได้สั่งสมอบรมมา ตั้งแต่เป็นหญิงแพศยา ได้ปฏิบัติ ชายผู้หนึ่งผู้ใดที่มาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าปฏิบัติโดยค่าควรแก่บาทหนึ่ง ควรแก่ ๒ บาท ควรแก่ ๓ บาท ตามหน้าที่ ความจริงทำอยู่ดังนี้ ไม่ได้เคลื่อนคลาดไปแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าว่าความสัตย์จริงอันนี้ของหม่อมฉัน จริงดังหม่อมฉันอธิษฐานดังนี้แล้ว ขออำนาจความ สัตย์นี้ จงบันดาลให้น้ำไหลกลับโดยฉับพลันเถิด พออธิษฐานขาดคำเท่านั้น น้ำไหลกลับอู้ ไหลลงเชี่ยวเท่าใดก็ไหลขึ้นเชี่ยวเท่านั้นเหมือนกัน พอกันทีเดียว พระเจ้าแผ่นดินเห็นอัศจรรย์ เช่นนั้น ก็ให้เครื่องรางวัลแก่หญิงแพศยานั่นอย่างพอใจ ให้เป็นนายหญิงแพศยาต่อไป แล้ว ก็ให้บ้านส่วยสำหรับพักพาอาศัยอยู่ไม่ขาดตกบกพร่องใดๆ ละ เป็นสุขสำราญเบิกบานใจ ทีเดียว หญิงแพศยาผู้นั้น
    นี่ความสัตย์โดยความชั่วยังเอามาใช้ได้ ส่วนพระองคุลิมาลเถรเจ้านี้ ท่านยกสัตย์ ที่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นอธิษฐาน หญิงคลอดบุตรไม่ออก พอขาดคำ หญิงคลอดบุตร ผลุดออกไป อัศจรรย์อย่างนี้ นี่ใช้ความสัตย์อย่างนี้ ติดขัดเข้าแล้ว #อย่าเที่ยวใช้เรื่องเลอะ ๆ เหลว ๆ บนผีบนเจ้า นั่นไม่ได้ยินได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เลย พวกนั้นไม่ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษเลย ความเห็นจึงได้เลอะเทอะเหลวไหลเช่นนั้น ไม่ถูกหลักถูกฐาน ถูกทางพุทธศาสนา ถ้าว่ารู้จักหลักทางพุทธศาสนาแล้ว ต้องยกความขึ้นพูดความสัตย์ความ จริง นั่นเป็นข้อสำคัญ #ถ้าความบริสุทธิ์ของศีลมีอยู่ ก็ต้องยกความบริสุทธิ์นั่นแหละขึ้นพูด หรือ #ความบริสุทธิ์ของสมาธิมีอยู่ ก็ยกความบริสุทธิ์ของสมาธิขึ้นพูดขึ้นอธิษฐาน หรือแม้ว่า #ความจริงของปัญญามีอยู่ ก็ยกความจริงของปัญญานั้นขึ้นอธิษฐาน หรือความสัตย์ความจริง ความดีอันใดที่ทำไว้แน่นอนในใจของตัว ให้ยกเอาความดีอันนั้นแหละขึ้นอธิษฐาน ตั้งอก ตั้งใจ บรรลุความติดขัดทุกสิ่งทุกประการ ให้รู้จักหลักฐานดังนี้
    นี่ในเรื่องพระองคุลิมาลเถรเจ้าเป็นสาวกของพระบรมศาสดา พระศาสดาทรงรับสั่ง ไว้ในโพชฌงคกถา หรือ โพชฺฌงฺคปริตฺตํ นั้น ปรากฏว่า #โพชฌงค์ทั้ง ๗ ประการ ตั้งแต่ สติสัมโพชฌงค์ จนกระทั่ง อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ทั้ง ๗ ประการเหล่านี้แหละ อันพระมุนีเจ้า ผู้เห็นธรรมทั้งสิ้น ได้กล่าวไว้ชอบแล้ว ถ้าว่าบุคคลใดเจริญขึ้นกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อนิพพาน เพื่อความตรัสรู้ ความจริงอันนี้ ด้วยความกล่าวสัตย์อันนี้แหละ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ ข้อนี้เป็นข้อสำคัญ สติสัมโพชฌงค์ เราจะพึงปฏิบัติ อย่างไร จึงจะได้บรรลุมรรคผลสมมาดปรารถนา ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์
    #สติสัมโพชฌงค์ เราต้องเป็นคนไม่เผลอสติเลย เอาสตินิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ ทำให้เป็นกายมนุษย์นั่น ตั้งสติตรงนั้นทำใจให้หยุด ไม่หยุดก็ไม่ยอม ทำให้หยุดไม่เผลอทีเดียว ทำจนกระทั่งใจหยุดได้ นี่เป็นตัวสติสัมโพชฌงค์แท้ ๆ ไม่เผลอเลยทีเดียว ที่ตั้งที่หมายหรือ กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ สะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย กลางกั๊กนั่น ใจหยุด ตรงนั้น เมื่อทำใจหยุดตรงนั้น ไม่เผลอสติทีเดียว ระวังใจหยุดนั้นไว้ นั่งก็ระวังใจหยุด นอนก็ระวังใจหยุด เดินก็ระวังใจหยุด ไม่เผลอเลย นี่แหละตัวสติสัมโพชฌงค์แท้ ๆ จะตรัสรู้ต่าง ๆ ได้เพราะมีสติสัมโพชฌงค์อยู่แล้ว
    ......
    h441Zbe6ixE63mY7i7hjdvFJABbhbJvFqwFA074ICYb&_nc_ohc=YAyJkmGWU9EAX-RGRIr&_nc_ht=scontent.fbkk22-8.jpg
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...