ศักดิ์สิทธิ์ ลี้ลับ ผีสาง เทวดา พระเครื่อง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Kingkong1, 30 ตุลาคม 2012.

  1. PraKhoonPhan

    PraKhoonPhan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    881
    ค่าพลัง:
    +6,625
    ตามอ่านไม่ไหวเยอะเกิน
    อันนี้ประสบการณ์กับตัวพี่เลยใช่ไหมครับ
     
  2. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    เมื่อค้นคว้าลงในบันทึกประวัติศาสตร์ล้านนา ไม่เคยพบเขียนบันทึกไว้ ณ ที่ใดเลยว่าในยุคใดยุคหนึ่งที่ผ่านมามีความฟูเฟื่องเรื่องสมาธิภาวนา กรรมฐาน สติปัฏฐาน มหาสติปัฏฐาน นอกจากสมัยเมื่อหลายสิบปีมานี่เองที่กรรมฐานรุกขมูลได้ก่อเกิดขึ้น เมื่อครูบาหลาย ๆ ท่านชอบปลีกวิเวกไปอยู่รุกขมูล (ถือโคนไม้เป็นที่อยู่อาศัยเพื่อเจริญสมาธิภาวนา) แต่ลักษณะการถือรุกขมูลของท่านเหล่านั้นก็มิได้เข้มข้นดุจหลวงปู่มั่นและหลวงปู่เสากระทำในสมัยหลัง เป็นการรักษาประเพณีกรรมฐานมากกว่า เพื่อก่อให้เกิดอุปนิสัยหรือวาสนาในธรรมอันจะทำให้เกิดร่วมกับพระพุทธเจ้าพระนามว่า “ศรีอาริยเมตไตรย” และได้ตรัสรู้ร่วมกับพระองค์ในอีกหลายหมื่นปีข้างหน้าโน้น

    เรื่องปฏิบัติธรรมกรรมฐานได้สูญหายจากล้านนาไทยและภาคอื่น ๆ ไปเป็นเวลานานเท่าใดไม่สามารถบอกได้ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือพระภิกษุสามเณรในยุคที่ผ่านมาไม่เข้าใจการนั่งภาวนา และละเลยต่อพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง ทางภาคเหนือการภาวนาคือการนั่งตกลูกประคำ และทำในช่วงเวลาบวชใหม่ ระยะเวลา ๗ – ๑๕ วัน ซึ่งเรียกว่า”เข้ากรรม” และเข้าใจกันเช่นนั้นว่าเข้ากรรม ไม่รู้เลยว่าคำว่า”กรรม”นั้นคือ “กรรมฐาน” และยังนำคำว่า”เข้ากรรม”นี้ไปใช้ในการเข้าปริวาส ซึ่งเป็นพิธีกรรมลงโทษพระภิกษุที่ประพฤติผิดในอาบัติหนักสังฆาทิเสส ทั้งยังมีความเข้าใจกันว่าการเข้ากรรมนั้นก่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้เข้าร่วมพิธี

    เมื่อพระบวชใหม่อยู่กรรมในโบสถ์ แทบจะหาพระภิกษุที่มีความรู้ทางกรรมฐานสั่งสอนไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าอาวาส หรืออุปัชฌาย์ ซึ่งให้บวชจนสำเร็จเป็นพระ ทุกอย่างทำไปล้วนเป็นประเพณีทั้งสิ้น พอถึงคราวที่จะปฏิบัติสมาธิภาวนาจริง ๆ ก็จะให้ผู้ที่ผ่านการบวชพระมาแล้ว (หนาน) เป็นผู้แนะนำการชักลูกประคำ และอื่น ๆ จากนั้นพระบวชใหม่ก็นั่งหลับหูหลับตาทำไป บางทีตาไม่หลับ สอดส่ายไปมา ในขณะที่นิ้วชักลูกประคำ ปากขยับหมุบหมิบ ๆ ราวกับพวกดาราตลกแสดงหนังผีก็ปานนั้น

    ในขณะที่การปฏิบัติกรรมฐานอันเป็นหัวใจของการเข้าถึงศาสนาได้เสื่อมหายไป แต่เรื่องเวทย์มนต์คาถา การลงเลขลงยันต์กลับได้รับการสืบสานเป็นอย่างดี จึงพระทุกวัดสามารถเขียนเลขยันต์ลงในแผ่นผ้าเพื่อทำไส้เทียนบูชาเทียน เพื่อก่อให้เกิดโชคลาภ ต่ออายุ สามารถเขียนเลขยันต์ลงแผ่นทองเหลืองเพื่อตีปะหัวเสาเวลาสร้างบ้านใหม่ เพื่อป้องกันเสนียดจัญไร ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้หาได้ปรากฏในตำราพุทธศาสนาไม่ วันดีคืนดีเกิดมีภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยผู้มีบุญวาสนาในธรรมมาแต่ชาติปางก่อนหนีเข้าป่าเพื่อนั่งสมาธิภาวนา กลับจะได้รับการต่อต้านจากพระระดับผู้ปกครองตั้งแต่เจ้าอาวาสจนถึงเจ้าคณะจังหวัด ข้อหาคือ “มันเป็นบ้าไปแล้ว” ยิ่งถ้ามีพระภิกษุ-สามเณรจากต่างถิ่นแบกกลดผ่านมา หาที่พักค้างคืน ณ จุดใดจุดหนึ่ง ถ้าพระสังฆาธิการเจ้าถิ่นรู้เข้าก็จะพากันไปขับไล่หนี เป็นเรื่องที่เกิดมาแล้ว มิได้แกล้งกล่าวหาให้เสื่อมเสีย
    พระคาถาต่าง ๆ ซึ่งเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้ถูกนำมาท่องสวดเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมต่าง ๆ ถ้าจะสวดไล่ผี ไล่เสนียดจัญไร ก็สวดเจ็ดตำนานหรือสิบสองตำนาน พร้อมคาถาหว่านทราย ถ้าจะสืบชะตาต่ออายุต้องท่องคาถาอุณหิสวิชัย ถ้าสวดไล่ผีใช้กรณียเมตตสูตร เป็นต้น เมื่อใครจะเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุสามเณรต้องท่องบทสวดมนต์ต่าง ๆ ให้ได้ เมื่อมีงานประเพณีใดถ้าชาวบ้านนิมนต์พระไปสวดก็ต้องสวดให้ได้ จึงเป็นงานหลักของนักบวชคือสวดมนต์ และรับไทยทานของชาวบ้านเพื่อส่งถึงผู้ตาย และเป็นศูนย์กลางการศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่าน คนไทยโบราณที่อ่านเขียนได้จึงมีแต่ผู้ชายเท่านั้น เพราะอยู่วัดเล่าเรียนเขียนอ่านได้ ผู้หญิงหมดสิทธิ์เสมอกันทั้งแผ่นดิน

    ในตู้ธรรมซึ่งมีคัมภีร์ใบลานเต็มตู้เป็นร้อยเป็นพันผูกนั้น ส่วนมากเป็นชาดก คือนิทานเล่าเรื่องอดีตของพระพุทธเจ้า ซึ่งแต่งโดยผู้คงแก่เรียนในยุคพุทธศาสนาลังกาวงศ์เฟื่องฟู แต่ที่วัดผมไม่มีพระไตรปิฎกนะครับ เชื่อแน่ว่าวัดอื่นก็คงหายาก เพราะช่วงที่ท่านครูบามหาเถร พระเถระชาวแพร่ที่ไปโด่งดังที่เชียงใหม่เมื่อต้นกรุง ได้ชักชวนเจ้าเมืองและพระมหาเถระชาวเชียงใหม่พากันนำพระธรรมคัมภีร์เก่า ๆ มาจารึกใหม่ และสร้างหอธรรมเก็บไว้ตามวัดต่าง ๆ ทั่วภาคเหนือนั้น ตำราส่วนมากเป็นชาดกแทบทั้งสิ้น ซึ่งก็คือธรรมปฏิรูปนั่นเอง ชาดกเหล่านั้นมีไว้ให้พระภิกษุสามเณรในวัดนั้น ๆ อ่านให้ญาติโยมฟังในวันพระฤดูกาลเข้าพรรษา พอออกพรรษาถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง เป็นยี่เป็ง (เพ็ญเดือนสอง)ของคนเหนือก็จะมีเทศกาลเทศน์มหาชาติ ทุกวัดก็ให้พระภิกษุสามเณรอ่านเวสสันดรชาดก เริ่มตั้งแต่เช้ามืด จนจบ ๑๓ ตอน(ผูก) ก็ปาเข้ากลางดึกดื่น นั่นเป็นประเพณีทำบุญให้ทานทั้งสิ้น ตั้งแต่ผมบรรพชาเป็นสามเณรน้อย จนใหญ่ ไม่เคยมีครั้งไหนที่มีการชักชวนพระภิกษุสามเณรบำเพ็ญกรรมฐาน แม้กระทั่งไปเรียนหนังสือวัดใหญ่ในเมืองก็หามีไม่ ( เพิ่งมามีเอาสมัยหลัง เมื่อกรรมฐานแพร่หลายแล้ว)

    ผมพบคัมภีร์กรรมฐานครั้งแรกและเล่มแรกในชีวิตคือ “ธรรมกาย” เป็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ เผยแพร่โดยแม่ชีจันทร์ ขนนกยูง วัดปากน้ำ เมื่อประมาณ พ.ศ.2513-14 มันซุกซ่อนอยู่ในตู้รวมกับหนังสือนิตยสารธรรมรายเดือนอื่น ๆ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้นำมาทดลองปฏิบัติ ซึ่งก็ไม่ได้เกิดมรรคผลใด ๆ เพราะทำเล่น ๆ ไปตามประสาเด็กที่อยากรู้อยากเห็น และเขาว่าทำโดยไม่มีครูบาอาจารย์เดี๋ยวเป็นบ้า ก็เลยไม่ได้ทำจริงจัง


    ทางภาคอีสานนั้นเล่า การณ์พระพุทธศาสนายิ่งย่ำแย่กว่าภาคเหนือ พระที่อยู่ตามวัดต่าง ๆ มีการเป็นอยู่ไม่สู้ต่างจากชาวบ้านนัก มีอาชีพเลี้ยงหมู วัวควาย ช้าง ม้า ทำมาค้าขายเช่นเดียวกับชาวบ้าน และชอบรังแกพระภิกษุสามเณรผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เรื่องนี้ได้ปรากฏชัดเจนในบันทึก”เที่ยวกรรมฐาน” ของพระบุนนาค โฆโษ ซึ่งออกบวชและท่องธุดงค์แต่ผู้เดียวตั้งแต่เป็นสามเณรวัยรุ่น บันทึกของท่านมีคุณค่าทั้งต่อประวัติศาสตร์พระศาสนา และต่อวงการปฏิบัติกรรมฐานมาก ท่านที่สนใจสามารถหาอ่านได้ในอินเตอร์เน็ต หรือถ้าทางสำนักพิมพ์จะพิมพ์ออกมาก็น่าสนใจมิใช่น้อย บันทึกนี้มี 2 ภาค ถ้าหาไม่ดีก็จะได้แค่ภาคเดียว บันทึกภาคที่สองจะจบลงที่ท่านป่วยหนัก มรณภาพตั้งแต่เป็นพระหนุ่ม หลังจากเขียนบันทึกเรื่องนี้ยังไม่จบดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  3. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    เมื่อวานทั้งวันไม่สามารถโพสต์ข้อความได้เลยครับ นึกอกุศลว่าโดนเขาอเปหิเสียแล้ว
     
  4. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    เป็นประสบการณ์ตรงก็มี อ้างอิงก็มีครับ
     
  5. มนต์รักคำใต้

    มนต์รักคำใต้ สัพเพชนา สุขิตาโหนตุ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,072
    ค่าพลัง:
    +503
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    พิมพ์เป็นเล่ม เสนอโรงพิมพ์เลยครับ..พิมพ์แบบ 4 สีออกแบบปกสวยๆ..
    ตั้งชื้อเรื่อง..ประสบการณ์และความเชื่อเรื่องผีๆ..รุ่นตายาย..หรืออะไรก็ได้
    ไม่ต้องเล่มหนามาก..ผมว่าขายได้เยอะนะคับ..คริ คริ..
     
  7. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ขอบคุณครับ สำนักพิมพ์คิดดีเขาขอไปพิมพ์เมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่ได้พิมพ์ทั้งหมด ตัดเอาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับพระเครื่อง มีจำหน่ายตาม 7eleven ทั่วประเทศ
     
  8. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    พระเณรกับพระเครื่อง

    แต่อีกวิถีหนึ่ง การนับถือพระเครื่องน่าจะเป็นกระแสที่เชี่ยวกราก ไม่ว่าพระภิกษุ สามเณร ศิษย์วัด ชาวบ้าน ทุกคนล้วนสนใจพระเครื่อง อยากได้พระเครื่องมาห้อยคอสักองค์ พระที่พวกเราใฝ่ฝันกันในยุคนั้นคือเหรียญพระโกศัยรุ่นหนึ่ง ซึ่งทำพิธีปลุกเศกที่วัดพระบาทมิ่งเมือง พ.ศ.2498 ความโด่งดังของพระโกศัยนั้นมีต่าง ๆ นานา ปืนยิงไม่ออก ปืนยิงไม่เข้า แค่นี้ผู้คนก็แสวงหากันจะเป็นจะตาย สมัยนั้นองค์ละ 4-5 ร้อย ถือว่าแพงมากแล้ว ต่อจากนั้นก็มีพระเมธังกร คือเหรียญรูปเหมือนของพระมหาเมธังกร อดีตเจ้าคณะจังหวัดวัดน้ำคือ พระผู้ทรงอาคมขลังที่สุดในเมืองแพร่ งานปลุกเสกใด ๆ ในกรุงเทพ ฯ และปริมณฑลและทั่วภาคเหนือจะขาดท่านเสียมิได้ เมื่อท่านจากไป มีการสร้างเหรียญของท่าน เมื่อ พ.ศ.2511 ผู้คนก็แสวงหากัน

    (พระมหาเมธังกร (พรหมเทโว พรหม) อดีตเจ้าคณะจังหวัดแพร่ นามเดิมว่า พรหม เกศทับทิม เป็นบุตรคนสุดท้องของนายชัยลังการ์ และนางเที่ยง เกศทับทิม เกิดเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๑๘ ที่บ้านน้ำคือ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๒ ด้วยโรคชรา รวมอายุได้ ๗๔ ปี ได้รับพระราชทานเพลิงศพในวันที่ ๓-๗ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๔)

    การแสวงหาพระเครื่อง คาถาอาคม ตระกุด ผ้ายันต์ และสักยันต์ตัวลาย เป็นเรื่องของผู้ชาย ตั้งแต่เด็กชายตัวเล็ก ๆ จนถึงชายแก่หงำเหงือก ไม่เคยเห็นผู้หญิงแสวงหาสิ่งเหล่านี้เลย นั่นเพราะการต่อสู้รบทัพจับศึกแต่โบราณเป็นเรื่องของผู้ชาย พอหมดสมัยรบรากับข้าศึกภายนอกก็หันมารบรากันเอง ระหว่างชายหนุ่มต่างหมู่บ้าน ต่างตำบล เมื่อเที่ยวผู้หญิงสาวที่ต่างคนต่างหมายปอง ก็ต้องเป็นศัตรูกัน มีการดักทำร้ายกัน ตีรันฟันแทงกัน อย่างน้อยก็ชกต่อยกันหัวร้างข้างแตก อันเป็นเรื่องสามัญของหนุ่มบ้านนอก ทำให้ผู้ชายเริ่มแสวงหาของขลังตั้งแต่เป็นเด็ก แม้การสนทนาในวงสังคมก็มีเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่เป็นเด็ก ใครมีพระดี คาถาดี ยันต์ดี พวกเราเล่ากันตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น ในงานประเพณีตานก๋วยสลาก มีการแห่เครื่องไทยทานของแต่ละหมู่บ้าน แต่ละตำบลมารวมกันที่วัดใดวัดหนึ่งที่เขาจัดงาน คนที่เข้าขบวนแห่ก็จะดื่มสุรา ร้องรำทำเพลงกันตามถนน จากนั้นการชกต่อยกันก็เกิดขึ้น ใครมีของดีก็เป็นที่ปรากฏในงานนั้น คนนั้นข่าม ขลัง แทงไม่เข้า ตีต่อยไม่แตก ก็ร่ำลือกัน แล้วก็เล่ากันว่าคนนั้นมีของดีอย่างนั้นอย่างนี้ มีพระมีเหรียญของวัดนั้นวัดนี้ หรือมีคาถาอาคมแก่กล้า บางคนสักลายเต็มตัว เขาแทงไม่เข้าก็เชื่อกันว่าเพราะรอยสักนั่นเองที่ทำให้ข่าม เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดเบ้าหลอมทางความคิดความเชื่อและพฤติกรรมในสังคม

    จำได้ว่าตอนผมเรียนประถมปีที่ ๓ พวกเราได้พระรอดองค์เล็ก ๆ ของเพื่อนคนไหนไม่รู้มาองค์หนึ่ง ก็เอามากดลงบนดินเหนียว ก็ได้แม่พิมพ์ปรากฏบนดินเหนียวนั้นหลายองค์อยู่ พอได้แม่พิมพ์แล้วเราก็เอาตะกั่วใส่กระป๋องนม ใส่ขี้ผึ้งตั้งไฟ เมื่อร้อนเต็มที่ตะกั่วก็หลอมละลาย เราก็เทลงแม่พิมพ์นั้น พอเย็นตัวลงถอดจากแม่พิมพ์ก็เป็นองค์พระเล็ก ๆ แค่นั้นพวกเราก็ดีใจมากมาย ก็หาลวดทองเหลืองเส้นเล็ก ๆ (เผาสายไฟลอกออกก็ได้เส้นลวดนี้) นำมาถักสานพันเกี่ยวกันไปมาก็สามารถนำมาหุ้มพระและร้อยสายแขวนคอได้ แต่ถ้าปลุกเสกเสียหน่อยก็ดีไม่น้อย

    มีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่าตาทองบ้านอยู่ข้างวัดคาถาแกดี ตัวแกก็ข่าม แทงไม่เข้า เพื่อนเล่าว่ามันเอาพระให้ตาทองปลุกเสก แกเอาเข็มแทงที่แขนไม่เข้า พวกเราได้ยินก็หูผึ่ง ได้พระตะกั่วแล้วก็จะเอาไปให้ตาทองปลุกเสก แต่ตาทองคนนี้ผีเข้าผีออก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย หน้าตาไม่รับแขกหรอก พวกเราอยากให้แกปลุกเสกจะตาย แต่พอเห็นหน้าที่แดงกล่ำเหมือนคนกำลังโมโหโทโสใครอยู่เราก็ปลอดแหกทุกครั้ง ก็เลยไม่ได้ให้แกปลุกเสกสักที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  9. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    แหล่งพระเครื่องของเก่า

    ที่เมืองแพร่นั้นมีวัดร้างมากมาย มันร้างมาตั้งแต่ต้นกรุง ยุคที่ไทยใต้รบกับพม่า แล้วไทยเหนือได้สมทบกับไทยใต้ เดี๋ยวพม่าก็กวาดต้อนครอบครัวชาวเมืองหนีไปพม่า เดี๋ยวกองทัพไทยใต้มากวาดต้อนเอาครอบครัวชาวเมืองหนีลงไปทางใต้ จึงทำให้บ้านแตกสาแหรกขาด เมื่อชาวบ้านอพยพไปหมด วัดก็กลายเป็นวัดร้าง จนผ่านมาหลายสิบปี เมื่อบ้านเมืองสงบ(ก็ราวรัชกาลที่ 3 ) ก็มีการสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นใหม่ รวบรวมชาวเมืองที่กระจัดกระจายไปอยู่ตามป่าตามดงกลับมาอยู่หมู่บ้าน แล้วสร้างวัดขึ้นใหม่ ดังนั้นจึงมีวัดร้างอยู่ทุกหมู่บ้าน จนถึงสมัยที่ผมเป็นเด็ก ๆ วัดร้างเหล่านั้นก็มีเศษอิฐ ฐานวิหาร ศาลา แท่นพระพุทธรูปให้เห็น ก็ซากวัดเก่าเหล่านี้แหละคือที่หมายปองของพวกขุดคุ้ยหาของเก่า ซึ่งจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากพระเครื่องเก่า ๆ ที่เชื่อกันว่าต้องมีซุกซ่อนอยู่แห่งใดแห่งหนึ่งของซากวัดนั้น โดยเฉพาะฐานพระพุทธรูป

    คนที่ขุดหาของเก่าพวกนี้ต้องเป็นคนมีคาถาอาคมแก่กล้า เพราะสถานที่เหล่านั้นล้วนมีผีสางเทวดาปกปักรักษา ใครสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปขุดย่อมพบกับความพินาศวอดวาย สิ่งที่พวกชาวบ้านเห็นอยู่บ่อย ๆ คือพอตกกลางคืนวันพระมักมีแสงกลมโตบ้างเล็กบ้างล่องลอยขึ้นจากวัดร้างเหล่านั้น ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นดวงแก้ววิเศษ ถ้าผู้ใดได้ครอบครองก็จะทำให้เป็นผู้วิเศษไปด้วย แต่ผู้ที่ขุดค้นวัดร้างเหล่านั้นก็ยากที่จะได้ดวงแก้ววิเศษไปครอง นอกจากความโชคร้าย เป็นบ้าบอ หรือป่วยตายด้วยอาการประหลาด แม้อาคมแก่กล้าสักปานใดก็หาได้ช่วยให้รอดพ้นจากอาถรรพ์ไปได้ไม่
     
  10. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ดวงแก้ววิเศษคืออะไร

    สมัยก่อน ก่อนที่ไฟฟ้าจะเข้าถึงทุกหนทุกแห่ง กลางค่ำคืนเดือนมืดก็มืดสนิท พอข้างขึ้นเดือนก็ส่งแสงสว่างจ้าเป็นแสงเดือนล้วน ๆ ดังนั้นหากมีแสงแปลกปลอมเกิดขึ้นคืนใด ณ ที่ใด ย่อมง่ายต่อการพบเห็น นอกจากแสงผีพุ่งใต้แล้ว สิ่งที่ชาวบ้านมักพบเห็นเสมอคือแสงดวงไฟกลมเป็นสีขาวบ้าง สีเหลืองบ้าง สีเขียวบ้าง ลอยจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง บางทีก็เห็นขึ้นจากวัดร้าง เจดีย์ร้าง จากต้นไม้ใหญ่ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นดวงแก้ววิเศษ บางคนที่กล้าหาญถึงกับวิ่งไล่ตะครุบดวงแก้วนั้นก็มี แต่ไม่เคยมีใครได้อะไร
    แต่ความจริงแล้วแสงดวงแก้วนั้นคืออะไร

    ผมไปกราบหลวงพ่อท่านครูบาสมจิต วัดสะแล่ง อำเภอลอง จังหวัดแพร่ อยู่บ่อยครั้ง คุ้นเคยและเคารพนับถือท่านมาก ท่านครูบาเล่าว่า เมื่อมาอยู่วัดนี้ได้ไม่นาน พอกลางคืนก็เห็นดวงแสงสีเขียวมรกตลอยขึ้นจากฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ในวัดนั้น ต่อมาท่านจึงให้พระและสามเณรช่วยกันขุดลงไปตรงที่เห็นดวงแสงผุดขึ้นมา ขุดลงไปไม่ลึกนักก็พบแผ่นศิลาปิดอยู่ เมื่อเปิดแผ่นศิลาออกก็พบไหโบราณ ในไหนั้นมีพระพุทธรูปแก้วมรกตสวยงามบริสุทธิ์อยู่ องค์หนึ่ง แสงที่ปรากฏเป็นแสงของเทวดาที่เฝ้าปกปักรักษาพระพุทธรูปองค์นี้นั่นเอง เทวดาเฝ้ามานานอยากเปลี่ยนภพภูมิไปเกิดใหม่จึงปรากฏแสงให้เห็นเพื่อจะให้ขุดเอาพระพุทธรูปขึ้นมา เทวดาก็หลุดพ้นจากความผูกพันดังกล่าว

    ท่านครูบามีประสบการณ์เกี่ยวกับดวงแสงที่ลอยยามค่ำคืนเป็นอย่างดี มีถ้ำอยู่แห่งหนึ่งท่านก็พบทั้งดวงแสง และฝันว่าเทวดาที่เฝ้าพระพุทธรูปให้ไปขุดเอาพระขึ้นมา เพราะเขาต้องไปเกิดใหม่แล้ว เมื่อท่านไปขุดก็ได้พระพุทธรูปทองดอกบวบมาองค์หนึ่ง ได้มอบให้นายพลท่านหนึ่งไปแล้ว และอีกคราวหนึ่งมีผู้มาเข้าฝันให้ท่านไปขุดเอาสมบัติมาสร้างวัด ท่านก็ไปขุดตามนั้น พบไหโบราณ ในไหนั้นมีแต่หอยเบี้ย ซึ่งสมัยโบราณใช้แทนเงิน ผีผู้เป็นเจ้าของได้ฝังสมบัติไว้ พอตายลงจิตก็หวงแหนจึงตายเป็นผีเฝ้าสมบัติอยู่หลายร้อยปี และยังคิดว่าสิ่งที่ตัวเองเฝ้าแหนอยู่นั้นยังมีค่าเช่นเงินทอง เมื่อพบพระผู้มีบุญบารมีจึงมาเข้าฝันให้ขุดไปทำบุญ ตัวเองจะได้ไปผุดเกิดเสียที ครูบาก็เอาเบี้ยนั้นมาแจกจ่ายให้ผู้ที่ไปกราบนมัสการท่าน ตัวผมก็เคยได้มาเป็นที่ระลึก

    ผมเคยไปกราบนมัสการหลวงพ่อประมุข เจ้าอาวาสวัดจงโก หรือวัดอะไรก็ลืมไปแล้ว อยู่อำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี ท่านไปอยู่วัดนี้ตั้งแต่เป็นป่าสมัยคอมมิวนิสต์อาละวาดแล้ว อยู่ได้ไม่นาน ท่านเห็นดวงแสงสว่างจ้าผุดขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วลอยขึ้นไปบนฟ้า เที่ยวไปมานานพอสมควรก็ลอยกลับสู่พื้นดินนั้นตามเดิม ท่านอยากรู้ว่ามันคืออะไร คืนวันหนึ่งท่านจึงดักรออยู่ใกล้ ๆ เมื่อเห็นแสงผุดลอยขึ้นสูงไม่เกินศีรษะ ท่านก็กระโดดคว้าตรงดวงแสงนั้น ก็มีก้อนหินหล่นตุ๊บลง ท่านก็เก็บเอาก้อนหินนั้นไปดู เป็นหินอุกกามณีมีรอยตะปุ่มตะป่ำ ก้อนโตเกือบเท่ามะพร้าว ท่านก็เอาวางไว้หน้าโต๊ะหมู่บูชา ตั้งแต่นั้นมาดวงแสงก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย และต่อมาก็มีคนมาขอก้อนหินนั้น ท่านก็ยกให้เขาไป

    ดังนั้น แสงดวงแก้วจะเป็นสีอะไรก็แล้วแต่ล้วนเป็นแสงจากดวงเทพเทวาผู้ปกปักรักษาสมบัตินั้น ๆ หาใช่ดวงแก้ววิเศษอะไรไม่ ดุจที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่าว่ามีเทพยดามากราบพระองค์ท่านแต่ละคืนมากมาย ถ้าเป็นเทพชั้นสูงแสงก็สว่างมาก ถ้าเทพชั้นล่าง ผู้ต่ำศักดิ์ ก็มีแสงดวงกลมเล็ก ๆ ถ้าเป็นพรหมก็สามารถทำให้ป่าทั้งป่าสว่างดุจกลางวัน ดังนั้นดวงแก้วที่พวกชาวบ้านเห็นก็ล้วนเป็นเทพผู้มีศักดิ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  11. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    จากเรื่องที่เล่ามาก็จะย้อนกลับมาเล่าถึงพระเครื่องศักดิ์สิทธิ์อย่างไร​

    พระเครื่องและเครื่องรางทุกชนิด รวมทั้งเหล็กไหลด้วย เป็นวัตถุธาตุด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่แตกต่างกันในลักษณะ พระรอดลำพูน พระซุ้มกอ พระนางพญา พระผงสุพรรณ ใช้ดินเหนียวกดลงแม่พิมพ์ แล้วเผาไฟจนสุก กลายเป็นพระพิมพ์ แล้วเข้าพิธีพุทธาภิเศกตามหลักของพิธีที่ได้สืบต่อกันมา ซึ่งเราก็ไม่รู้ใครเป็นผู้ตั้งพิธีการเหล่านั้น อาจเป็นเทพเทวาบนสวรรค์ชั้นฟ้าบอกแก่ฤาษีก็ได้ใครจะรู้ เมื่อทำถูกต้องตามพิธีแล้วพระดินก็กลายเป็นพระวิเศษศักดิ์สิทธิ์

    หลวงปู่โตเดินธุดงค์ไปเยี่ยมญาติที่กำแพงเพชร ได้ลายแทงโบราณมา เมื่อขุดก็พบกรุพระซุ้มกอ พร้อมกรรมวิธีสร้างพระซุ้มกอที่พระฤาษีได้เขียนบอกไว้ ท่านก็นำตำรานั้นมาสร้างพระสมเด็จของท่าน เพียงแต่ไม่ได้ใช้ดินเหนียวเผาไฟ แต่ใช้ดอกไม้ธูปเทียนสารพัดที่อยู่รอบตัวท่าน และผงอิทธิเจที่ท่านเขียนคาถาบนกระดานชะนวน เขียนลบ ๆ ๆ ๆ จนได้ผงเป็นกอบเป็นกำ ก็นำผงนั้นมาผสมในวัตถุมงคลอื่น ๆ และตำคลุกเคล้ากัน กดลงแม่พิมพ์ ตากจนแห้ง ก็เข้าพิธีปลุกเสก พระของท่านก็ศักดิ์สิทธิ์

    แต่การกดพิมพ์พระนั้นใช่ว่านึกจะกดเมื่อไรก็กด ท่านต้องหาฤกษ์หายามให้ได้เพชรฤกษ์ จึงกดพระตามฤกษ์นั้น ถ้าเวลาเคลื่อนคล้อยไปตกลูกพิษก็ต้องหยุดทำพระ จนกว่าจะผ่านเวลาลูกพิษแล้วจึงเริ่มกันใหม่ เมื่อจะปลุกเศกท่านก็ต้องดูฤกษ์ดูยาม ทำให้ถูกต้องตามโบราณประเพณีที่ได้ศึกษามา ผู้ที่วางฤกษ์และจัดพิธีกรรมให้หลวงปู่คือพระยาโหราธิบดีซึ่งประจำอยู่โบสถ์พราหมณ์หน้าวัดสุทัศน์ (หลังจากท่านสิ้นไปแล้วก็กลับมาเกิดเป็นกรมหลวงชุมพรในเวลาไม่นานนีก (หลวงปู่โตบอกเองครับ)

    ถึงแม้พระเครื่องเป็นวัตถุธาตุ แต่ก็มีจิตวิญญาณครอง ถ้าทำตรงตามเวลาฤกษ์ที่กำหนด การอัญเชิญเทพเทวาลงประจุในองค์พระก็ได้ผล ถ้าฤกษ์ตกลูกพิษ เทพเทวาไม่สามารถลงประจุประจำในองค์พระได้ พระนั้นก็เป็นแค่วัตถุธาตุธรรมดา หาความศักดิ์สิทธิ์มิได้

    พระแต่ละองค์ แม้เข้าพิธีเดียวกันก็ใช่ว่าจะมีความศักดิ์สิทธิ์เท่าเทียมกัน มันขึ้นอยู่กับเทพเทวาที่สถิตอยู่ว่ามีบารมีมากน้อยแค่ไหน ถ้าบารมีใหญ่พระก็ศักดิ์สิทธิ์มาก แต่ถึงอย่างไรในพิธีใหญ่ โดยเจ้าพิธีถึงพร้อมด้วยบุญบารมีภินิหาร เมื่อท่านกล่าวชุมนุมอัญเชิญเทพเทวา เหล่าเทพเทวาที่มาประชุมกันก็ล้วนมีศักดิ์ใหญ่ทั้งสิ้น ดังนั้นเจ้าพิธีจึงมีความสำคัญมาก ถ้าเจ้าพิธีเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ พระที่มาร่วมกันปลุกเสกถึงพร้อมด้วยศีลสมาธิและอาคม พราหมณ์เจ้าพิธีเคร่งครัดในพิธีกรรมและเวลา พระเครื่องนั้นศักดิ์สิทธิ์แน่นอน ยกตัวอย่างง่าย ๆ พระรอดลำพูน ฤาษีและนางจามเทวีผู้เป็นกษัตริย์เป็นผู้สร้าง พระเครื่องจึงศักดิ์สิทธิ์ พระซุ้มกอ พระนางพญา พระผงสุพรรณ ก็ล้วนระดับเจ้าฟ้ามหากษัตริย์สร้างทั้งสิ้น ฤาษีเป็นเจ้าพิธี จึงทำให้พระเหล่านั้นศักดิ์สิทธิ์ คนแสวงหากันราคาเป็นแสนเป็นล้านก็ไม่เกี่ยง (พระรอดลำพูนที่ฤาษีสร้างสมัยพระนางจามเทวีคือพระรอดพิมพ์ต้อ ซึ่งอยู่ในอุโมงใต้ดิน ส่วนพระรอดพิมพ์ใหญ่มาจากเจดีย์ สร้างประมาณ พ.ศ.1500)

    ความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องนั้น ถ้ามีบางคนที่มากด้วยบุญบารมีขอชมบารมีด้วยการทดสอบอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งส่วนมากก็ใช้ปืนยิง เทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ประจำอยู่ในองค์พระจะแสดงฤทธิ์ให้ชมเป็นขวัญตา คือปืนยิงไม่ออก เมื่อเบนปลายกระบอกปืนไปทางอื่น ปืนก็ลั่นตูมตามขึ้นมา เรื่องนี้มีกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์เป็นตัวอย่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  12. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ทำไมกรมหลวงชุมพรจึงสนใจไสยเวทมาก​

    กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงสำเร็จวิชาการทหารเรือจากยุโรป โดยใช้เวลาศึกษาและอยู่ต่างประเทศที่เจริญด้วยวิทยาศาสตร์ ถึง 6 ปี คนไทยที่ไปศึกษาเมืองนอกมาในยุคนั้น แต่ละพระองค์ หรือแต่ละคนย่อมแสดงออกถึงความเป็นคนสมัยใหม่ ไม่เชื่อเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ ดุจเรื่องพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสมัยเป็นมหามกุฎราชกุมาร ทรงเขียนจดหมายถึงเสด็จพ่อ ร.๕ ว่า

    “ในคืนวันที่ 24 ตุลาคม 2452 เวลาดึก 2 ยาม 55 นาที ขณะที่นั่งเล่นอยู่ที่เรือนหลังหนึ่งในพระราชวังสนามจันทร์ พร้อมด้วยข้าราชการและมหาดเล็กจำนวนมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นองค์พระปฐมเจดีย์มีรัศมีสว่างพราวออกทั้งองค์ ดูราวกับพระเจดีย์ด้านตะวันตกทาด้วยฟอสฟอรัส พราวเรืองตั้งแต่ใต้คอระฆังขึ้นไปจนถึงยอดมงกุฎ และยังซ้ำมีเป็นรัศมีพวยพุ่งขึ้นไปอีกประมาณ 3-4 วา ปรากฏแก่ตาอยู่เช่นนี้ประมาณ 17 นาที จากนั้นรัศมีตอนใต้ปล้องไฉนตลอดจนยอดก็ดับไปทันที เหลือสว่างแต่ตอนช่วงมะหวด แต่สว่างอยู่ไม่ถึงครึ่งนาทีก็ดับไปหมด แม้องค์พระเจดีย์ก็มืด มองไม่เห็นชัด ผู้ที่เห็นเหตุการณ์นับแล้วมี 69 คน

    ตรองดูตามหลักวิทยาศาสตร์ “บางทีจะเป็นด้วยตอนเย็นฝนตกหนัก ละอองฝนจะติดค้างที่กระเบื้องที่ประดับองค์พระเจดีย์ ครั้นตอนดึกพระจันทร์จวนตก แสงจันทร์ส่องทอตรง ได้ระดับฐานฉากกับองค์พระเจดีย์ จึงได้บังเกิดแสงพราวฉะนั้น ครั้นพระจันทร์เหลื่อมเข้าเมฆแสงก็ลับไป รัศมีที่องค์พระเจดีย์ก็หายไปด้วย”

    ครั้นรุ่งขึ้นทราบว่าจีนที่รับเหมาทำศาลารัฐบาล ซึ่งอยู่ด้านตะวันออกขององค์พระเจดีย์ รวมทั้งชาวตลาดอีกหลายคนซึ่งอยู่ด้านเหนือองค์พระเจดีย์ก็เห็นด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็หมายถึงรัศมีได้สว่างพราวไปทั้งองค์ เป็นการพ้นวิสัยที่แสงจันทร์จะทอแสงได้ทั่ว จะว่ามีฟอสฟอรัสอยู่ในองค์พระก็ไม่น่าจะใช่ เพราะธาตุนั้นจะสว่างพราวในเวลากลางคืนได้ก็ต่อเมื่อได้รับแสงอาทิตย์ในเวลากลางวันไว้มากพอ ทว่าวันนั้นเวลากลางวันก็ชอุ่ม ตอนเย็นฝนก็ตก ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่เพราะฟอสฟอรัสแน่”

    เสด็จพ่อ ร.๕ ทรงมีจดหมายตอบว่า
    “ได้รับหนังสือปาฏิหาริย์พระปฐมเจดีย์แล้ว ตามที่เล่ามาช่างไม่มีผิดกับที่เคยเห็น 2 คราวแต่สักนิดหนี่งเลย กำลังเสด็จออก คนเฝ้าแน่นอยู่ ก็ได้เป็นเช่นนี้ เห็นด้วยกันหมด จึงได้มีเรื่องตรวจตราซึ่งได้ปรากฏในหนังสือของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ แต่จะเป็นด้วยเหตุใดเหลือที่จะยืนยันฤารับรองให้คนอื่นเห็นจริงด้วยได้ จึงไม่ได้เล่าให้ใครฟังในชั้นหลัง ๆ นี้ แปลกอยู่หน่อยหนึ่งแต่เวลาที่จะเป็น มักจะเป็นเดือน ๑๑ เดือน ๑๒ แลเดือนยี่ เวลาเดินบกมาถึงที่นั้น ฤาเด็จออกไปหลายครั้งไม่เคยมีเลย”

    แต่กรมหลวงชุมพรมีประสบการณ์อะไรจึงได้เชื่อและเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และไสยเวท คาถาอาคม จนมอบตัวเป็นศิษย์หลวงปู่สุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า เรื่องนี้มีเล่าไว้ในหนังสือ “เล่าเรื่องเมืองไทย” ในตอนหนึ่ง ว่า

    “สำหรับสาเหตุที่เสด็จในกรม ฯ ทรงนับถือในไสยศาสตร์และพุทธศาสนาอย่างมั่นคงนั้นเนื่องจากพระองค์ได้พระเครื่ององค์หนึ่งมาจากพระองค์เจ้าวิบูลย์พรรณ (พระโอรสในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญสถานมงคล เจ้ากรมวังหน้า) ซึ่งเป็นพระเครื่องของวังหน้า ท่านจึงให้พระองค์เจ้าวิบูลย์พรรณนำไปแขวนไว้ที่ต้นยางใหญ่ หน้าประตูกองทัพเรือ แล้วให้นาวาเอก พระยานาวาพหลพลพยุหรักษ์ (ลอย ชลายลนาวิน) เอาปืน ร.ศ.ที่ทหารใช้ใส่กระสุนยิง 3 ที ปรากฏกระสุนปืนไม่ออก แต่พอหันปากกระบอกปืนยิงขึ้นฟ้าก็ลั่นตูม ตั้งแต่นั้นพระองค์ก็เลื่อมใสในอิทธิฤทธิ์ของพระเครื่อง

    ก็พระเครื่องวังหน้านั้นชื่อบ่งบอกอยู่แล้วว่าทางวังหน้าเป็นผู้สร้าง วังหน้าในสมัยรัชกาลที่ ๔ คือพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ขุนนางผู้ใหญ่ในยุคของรัชกาลที่ ๔ ที่ชอบสร้างพระมีหลายท่าน โดยเฉพาะเจ้ากรมท่าสมัยนั้นคือเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี พระที่ท่านสร้างมักมีลวดลายยันต์หงิก ๆ งอ ๆ วังหน้าสมัยรัชกาลที่ ๕ คือกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญสถานมงคล เป็นพระโอรสในสมเด็จพระปิ่นเกล้า ท่านสนใจในไสยเวทเป็นพิเศษ เชื่อกันว่าท่านเป็นศิษย์ฆราวาสของหลวงปู่ใหญ่ คือหลวงตาดำ (คนสมัยนี้นิยมเรียกหลวงปู่โลกอุดร) ดังนั้นพระที่ท่านสร้างจึงมีจำนวนหนึ่งที่เป็นพระสังกัจจายน์และพระปิดตา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของหลวงปู่ใหญ่ คล้ายเป็นตัวแทนของท่านทีเดียว

    เจ้านายวังหน้า และขุนนางผู้ใหญ่ชอบสร้างพระเครื่อง เมื่อสร้างแล้วก็มักให้หลวงปู่โตบ้าง หลวงปู่เงินวัดบางคลานบ้างเป็นผู้ปลุกเศก ก่อนที่จะสร้างพระเครื่องเพื่อเฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์ของรัชกาลที่ ๕ เมื่อเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ นั้น ท่านก็สร้างมาตลอด ส่วนมากมักฝังพระโบราณองค์เล็ก ๆ ไว้ด้านหลัง เช่นพระข้าวเม่าพิจิต พระรอดลำพูน เป็นต้น พระเหล่านี้ไม่ได้สร้างแจกจ่ายคนภายนอก ผู้ที่มีครอบครองเป็นราชวงศ์และขุนนางระดับสูงเท่านั้น
     
  13. SLK

    SLK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +446
    ข้อมูลเยี่ยมครับ
     
  14. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    การสร้างพระสมเด็จวังหน้าครั้งใหญ่ ๒๔๑๑



    จนมาถึงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายบรรพชิต มีกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธ์ (กรมพระปวเรศน์วริยาลงกรณ์ในกาลต่อมา) ฝ่ายฆราวาสมีกรมพระเทเวศร์วัชรินทร์เป็นประธาน และขุนนางระดับสูงมีเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ เป็นประธาน ได้จัดประชุมกันในพระราชวังสวนดุสิต ในพระบรมมหาราชวัง ได้ตกลงยกเจ้าฟ้าจุลาลงกรณ์ กรมขุนพิชิตประชานารถ ซึ่งมีพระชนมายุ ๑๕ พรรษาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ถวายพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”และจะจัดพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๑๑ โดยยกเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการไปจนกว่าพระมหากษัตริย์จะมีพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา
    ขณะเดียวกันก็เลือกผู้ที่จะเป็นเจ้ากรมวังหน้า ที่ประชุมตกลงยกพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ (พระโอรสในสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๒ ของรัชกาลที่ ๔) ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญสถานมงคล ตั้งแต่วันนั้น

    ในงานนี้ เจ้าพระยาภาณุวงษ์มหาโกษาธิบดี เจ้ากรมท่า ว่าที่การคลังกับการต่างประเทศ ซึ่งเป็นน้องชายของเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ ได้ขอพระบรมราชานุญาตสร้างพระพิมพ์ขึ้นจำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์ โดยใช้พิมพ์สมเด็จวัดระฆัง ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เป็นแม่แบบ เพื่อเป็นศิริมหามงคลเนื่องในการเสด็จเถลิงถวัลย์ครองราชสมบัติ รัชกาลที่ ๕ เพื่อแจกจ่ายแก่เจ้านายและประชาชน ที่เหลือจะได้บรรจุลงกรุในพระเจดีย์วัดพระแก้วมรกต

    การสร้างพระพิมพ์ครั้งนี้ ได้นำพิมพ์ของวัดระฆังมาส่วนหนึ่ง และทำเพิ่มขึ้นอีกมากมายเพื่อเร่งให้ได้พระ ๘๔,๐๐๐ องค์ ทันวันงาน พวกช่างวังหน้า วังหลัง วังหลวง อันมีหลวงวิจารณ์เจียรนัย และหลวงนฤมลวิจิตร เป็นหัวหน้า จึงช่วยกันทำแม่พิมพ์พระขึ้นมากมาย ซึ่งผู้เขียนยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่ามีกี่พิมพ์ เพราะหาได้ไม่ครบ เช่นพิมพ์พระประธาน พิมพ์เกศบัวตูม พิมพ์เศียรบาตร พิมพ์สังฆาฏิ พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์อกร่องหูยาน พิมพ์โบราณเช่น พระรอดลำพูน พระลีลาเม็ดขนุน พระซุ้มกอ พระนางพญา พระผงสุพรรณ พระปิดตา พระสังกัจจายน์ เป็นต้น พระส่วนมากหลังเรียบ แต่บางองค์ก็มีประทับตราหลังคือตราครุฑบ้าง ธรรมจักรบ้าง ตราธงชาติ ตราเสมา ดอกบัว พระเกี้ยว จปร.เป็นต้น

    พระอีกส่วนหนึ่งไม่ได้ผสมหลายสี ทำแบบพระวัดระฆัง แต่มีสีขาว สีเหลือง สีเขียว สีดำ สีแดง สีฟ้าอ่อน เป็นชุด ๆ ไป พระสีเบญจรงค์มีจำนวนมากที่สุด แต่ละองค์ก็มีสีที่แตกต่างกัน ถ้าช่างพิมพ์พระเป็นคนเดียวกัน ก็ได้พระออกมาสีใกล้เคียงกัน แต่ไม่เหมือนกันสักองค์ แต่ละองค์มีความสวยงามที่แตกต่างกัน เมื่อนำมานั่งส่องนั่งดูก็เพลิดเพลินเจริญใจมิใช่น้อย

    ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๑๑ นั้น พระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงได้ถูกนิมนต์มาร่วมพิธีที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ก็ได้มาร่วมในงานครั้งนี้ด้วย
    ในพิธีมหาพุทธาภิเษกพระสมเด็จครั้งนั้น กรมพระยาปวเรศย์วริยาลงกรณ์ ได้เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ สวดชยันโตและเบิกพระเนตร องค์ปลุกเสกมีสมเด็จพระพุฒาจารย์โต หลวงพ่อเงิน บางคลาน หลวงปู่คำ วัดอัมรินทร์ หลวงปู่จาด วัดภาณุรังสี ฯ ลฯ จะมีใครบ้างผู้เขียนไม่ทราบทั้งหมด งานมหาพุทธาภิเษกพระสมเด็จทำที่วัดบวรสถานสุทธาวาส มีกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญเป็นประธาน ทำพิธียิ่งใหญ่เป็นพิธีหลวง ดังนั้นพระชุดนี้จึงเป็นพระหลวง ทำพิธีถูกต้องทุกอย่าง พระคณาจารย์สุดยอดของประเทศในสมัยนั้นมาร่วมปลุกเสก จึงทำให้พระชุดนี้มีพลังอิทธิคุณล้ำเลิศ จะหาพระชุดไหนเสมอมิได้

    เมื่อเสร็จแล้วก็แจกจ่ายแก่พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ส่วนประชาชนทั่วไปจะได้รับหรือไม่มิปรากฏหลักฐาน เพราะผู้ที่ครอบครองพระชุดนี้ได้ปรากฏในสมัยต่อมามักเป็นเจ้านายระดับสูง ต่อมาทางลูกหลานของท่านก็นำมามอบให้ผู้ที่ตนรู้จักและนับถือ ซึ่งเล็ดลอดออกมาไม่มากนัก จึงหาคนรู้จักพระชุดนี้ได้น้อย เมื่อปรากฏขึ้นก็กลายเป็นพระเหนือตาเซียน คือเซียนไม่เคยพบเห็นมาก่อนจึงปฏิเสธว่าเป็นพระนอกพิมพ์ พระทำขึ้นทีหลัง

    พระที่เหลือจากการแจกจ่ายวันนั้นได้นำบรรจุในกรุเจดีย์ทอง ระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งผู้เขียนสันนิษฐานว่าน่าจะบรรจุช่วงบูรณะวัดพระแก้ว และพระบรมมหาราชวังเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๓-๒๔ เพื่อฉลองพระนครครบ ๑๐๐ ปี ใน พ.ศ.๒๔๒๕ การบูรณะคราวนั้นได้มีการชะลอโยกย้ายพระเจดีย์ด้วย จึงน่าจะมีการบรรจุลงกรุคราวนั้น ก่อนหน้านั้นจะเก็บพระไว้ที่ไหนมิได้ระบุไว้ในเกร็ดประวัติศาสตร์ พระอีกส่วนหนึ่งเก็บไว้บนเพดานโบสถ์วัดบวรสุทธาวาส (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ) และใต้ฐานพระ ซึ่งกรุนี้แตกเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓-๒๕๒๔ เช่นกัน แต่มีพระออกมาไม่มากนัก
     
  15. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    พ.ศ.๒๕๒๐ ก่อนครบรอบ ๒๐๐ ปีรัตนโกสินทร์ พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ทรงเป็นประธานในการบูรณะพระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพิพิธภัณฑ์ เพื่อจัดฉลองให้ยิ่งใหญ่ ปี ๒๕๒๕ จึงระดมช่างสิบหมู่จากจังหวัดนครศรีอยุธยา อ่างทอง สุพรรณ กาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี มาทำการรื้อและบูรณะสิ่งก่อสร้างที่ทรุดโทรมให้สวยงามเหมือนเดิม

    การจะบูรณะก็ต้องมีการรื้อถอนบางส่วนที่เสียทรวดทรง ซึ่งเจดีย์สร้างมานานอาจจะเอนเอียงไป ก็ต้องปรับให้ตรง ก็ต้องรื้อเกือบทั้งหมด แล้วทำให้เหมือนเดิม เมื่อรื้อเจดีย์ทอง ก็พบเป็นโพรงลงไป ข้างในโพรงนั้นเต็มไปด้วยพระเครื่องมากมาย พวกนายช่างและคนงานจึงแอบหยิบใส่ย่ามบ้าง ปิ่นโตบ้าง นำออกมา จนข่าวเรื่องพบกรุพระในเจดีย์ทองรั่วไปถึงหูเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมการก่อสร้าง จึงนำเรื่องทูลเกล้าแจ้งให้สมเด็จพระเทพทรงทราบ พระองค์จึงกำชับให้กวดขันนายช่างและคนงานทุกคนเวลาเลิกงาน อย่าให้นำพระออกไป

    นายช่างและคนงานจึงหาวิธีใหม่ คือเอาพระใส่ถุงเศษอิฐหินปูนทรายซึ่งเป็นขยะที่ต้องทิ้ง เอาไปกอง ๆ ไว้ตามปกติที่เคยทำ แล้วลักลอบนำออก คราวนี้สามารถนำออกได้คราวละมาก ๆ

    คนงานส่วนมากเป็นคนอีสาน ฐานะยากจน เมื่อพบของดีก็อยากเปลี่ยนเป็นเงินทอง จึงนำไปเร่ขายแถวตลาดพระท่าพระจันทร์บ้าง ตลาดพระวัดราชนัดดาบ้าง เจ้าของแผงพระบางร้านก็รับซื้อไว้มากบ้างน้อยบ้าง เพราะราคาหลักสิบ ร้านไหนมีทุนเยอะก็อาจซื้อเหมาเก็บไว้หมด เพราะวาดฝันไว้ว่าถ้าพระชุดนี้ดังแล้วรวยระเบิดแน่ ๆ บางทีไปเจอคนนอกที่ไปเที่ยวเตร่แถวนั้น เขาพบเข้าและมีเงินติดตัวมากก็อาจซื้อเหมาไว้หมด

    เหตุการณ์เช่นนี้จะดำเนินไปกี่วันไม่ปรากฏ เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระเทพ ฯ ท่านก็รับสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจตามแผงพระต่าง ๆ แล้วยึดคืนกลับมาให้หมด เพื่อบรรจุลงเจดีย์เหมือนเดิม ร้านไหนเก็บซ่อนทัน พ้นหูพ้นตาก็รอดไป ร้านที่ไม่ได้ซุกซ่อนไว้ แถมยังเอามาวางจำหน่ายก็ถูกยึดคืนจนหมด

    ตั้งแต่นั้นมา พระกรุวัดพระแก้วจึงเป็นพระต้องห้าม ใครมีครอบครองก็ไม่กระโตกกระตากให้ใครรู้ แม้ศูนย์พระเครื่องพันทิพย์พลาซ่ายังต้องใส่ตู้เซฟซ่อนไว้ เพราะกลัวถูกยึดคืน พระเครื่องชุดนี้จึงลับ ๆ ล่อ ๆ ไม่สามารถปรากฏองค์ให้โด่งดังได้ ประจวบกับบรรดาเซียนพระต่าง ๆ พากันกดไว้ ใครนำมาพูดนำมาเสนอถามก็บอกว่าเป็นของปลอม ของทำเทียม คนจึงหมดความสนใจกันไป

    ต่อมา เมื่อเรื่องซาลงแล้ว คนที่รู้เรื่องราวก็แอบไปกระซิบถามเจ้าของแผงพระต่าง ๆ ก็สามารถทยอยซื้อเก็บไว้มากบ้างน้อยบ้าง ตามกำลังทรัพย์ของตน บางคนใช้เวลาเก็บอยู่หลายปี ได้พระสมเด็จกรุวัดพระแก้วหลายร้อยองค์ ซึ่งมีแบบพิมพ์ต่าง ๆ แต่พิมพ์พิเศษซึ่งมีอักษรจารึกหลังนั้นมีไม่มาก
     
  16. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    พระสมเด็จวัดพระแก้วมี 2 กรุ
    จากการสืบสาวค้นหาเรื่องราวทราบว่า พระสมเด็จที่ออกมาจากวัดพระแก้วนั้น มี 2 แห่งด้วยกัน คือจากกรุเจดีย์ทอง พระกรุนี้สร้าง ๒๔๑๑ แล้วบรรจุในเจดีย์ทองทั้งหมด ช่วงบูรณะเพื่อฉลอง ๑๐๐ ปี และมีความเป็นไปได้ที่เจ้านายบางองค์ที่มีสมเด็จวัดระฆังจำนวนมากพอ อาจใส่ลงไปในกรุนี้ด้วย เมื่อผมท่องเที่ยวอยู่ตามภาคอีสานจึงพบพระสมเด็จพิมพ์วัดระฆังที่หลวงปู่โตปลุกเสกอยู่ประปราย สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากคนงานอีสานซึ่งได้มาจากวัดพระแก้ว ต่อมานำออกมาขายให้ศูนย์พระเครื่องในราคาถูก ๆ ถ้าใครตาถึงก็สามารถแสวงหาได้ตามแผงพระทางอีสาน

    พระสมเด็จอีกส่วนหนึ่งมาจากหลังคาโบสถ์พระแก้วมรกต พระชุดนี้สร้างเป็นศิริมหามงคลฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปี พ.ศ. ๒๔๒๕ เป็นพิธีใหญ่โตในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระที่มาปลุกเสกล้วนเยี่ยมวิทยาคมทั้งสิ้น เพียงแต่หลวงปู่โตได้จากไปตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๕ จึงไม่มีส่วนร่วม พระชุดนี้ไม่สามารถลงกรุเจดีย์ได้ เพาะปิดไปก่อนแล้ว จึงบรรจุลงในหีบไม้อย่างดี นำขึ้นไปวางเรียงรายบนเพดานโบสถ์พระแก้วมรกตทั้งสิ้น

    พอมาถึง พ.ศ. ๒๔๕๑-๕๒ (ร.ศ.๑๒๗) ก็มีการสร้างพระอีกชุดหนึ่ง นอกจากใช้แม่พิมพ์เดิมแล้วยังมีการแกะพิมพ์ใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายพิมพ์ จัดพิธีมหาพุทธาภิเษกยิ่งใหญ่ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามเช่นกัน เพื่อเฉลิมฉลองงานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อแจกจ่ายแก่ประชาชน ที่เหลือก็นำใส่หีบอย่างดี ขึ้นไปวางเรียงกันบนเพดานโบสถ์พระแก้วมรกต รวมกับพระชุด ๒๔๒๕

    ดังนั้นพระบนเพดานโบสถ์จะมีจำนวนกี่แสนกี่ล้านองค์ก็ไม่ทราบได้ พระชุดนี้ได้ทะลักออกมาเป็นจำนวนมาก จะกี่แสนองค์ก็ไม่ทราบได้ เพราะใช้รถทหารขนออกมาทีเดียว หลังจากกรุเจดีย์ทองไม่นานนัก ตามลำดับของการรื้อสิ่งก่อสร้างเพื่อบูรณะนั่นเอง แต่ผู้นำออกมาไม่ใช่พวกช่างและคนงาน เพราะเป็นช่วงที่ถูกกวดขันมากที่สุด

    ดังนั้น พระที่หลวงปู่โตปลุกเสกจึงมาจากกรุเจดีย์ทอง ซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก เพราะถูกเจ้าหน้าที่ตามยึดกลับคืนสู่กรุตามเดิม เล็ดลอดหูตาตามร้านค้าพระเครื่องต่าง ๆ นั้นมีจำนวนไม่น่าเกินพันองค์ และกระจัดกระจายไปสู่คนหลายคนที่ตามเก็บภายหลัง
     
  17. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ความศักดิ์สิทธิ์ทดลองพร่ำเพรื่อไม่ได้

    ถึงแม้พระเครื่องวังหน้า หรือของวัดพระแก้วจะวิเศษศักดิ์สิทธิ์มากมายปานใด แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะเอามาทดลองกันเล่น ๆ ได้ เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพยดาอารักษ์ที่สถิตอยู่ในองค์พระไม่ได้ร่วมสนุกกับเราหรอก เวลาถึงคราวคับขันเท่านั้นท่านจึงแสดงฤทธิ์เดชให้ชมเป็นขวัญตา แต่ถ้าเอาไปทดสอบเพื่อซื้อขายกัน รายไหนรายนั้นโป้งเดียวกระจุย หมดตัวทุกราย เพราะเหตุนี้ผู้ที่รู้เคล็ดลับนี้จึงกล้าใช้เงินต่อเงินกับผู้ที่อยากรวย ใครมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าอยากขายก็มาลงเงินกันเลย ถ้าอยากได้เงินล้านท่านต้องลงเงินหมื่น ถ้ายิงออกท่านเสียเงินหมื่นแน่นอน ถ้ายิงไม่ออกเขาซื้อท่านหนึ่งล้าน ถ้าท่านอยากได้เงินร้อยล้านท่านก็ต้องลงเงิน 1 ล้าน ถ้ายิงไม่ออกเขาจะซื้อของท่าน ร้อยล้านจริง ๆ แต่ไม่มีใครทดสอบผ่าน เอาอะไรไปให้เขาทดลองก็นัดเดียวกระจุยทั้งนั้น เขาคงไม่ได้ใช้วิชาอะไรข่มหรอก แต่เทพเทวาอารักษ์ที่อยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านไม่ให้เราขายท่านกิน

    เหล็กไหลคือสิ่งที่วิเศษสุดในแผ่นดิน ไม่มีอะไรที่จะวิเศษเกินเหล็กไหลไปได้ ทดสอบให้เห็นกับตา ปืนยิงไม่ออก ไม้ขีดไฟเอาไปวางทาบเอามาขีดก็ไม่ติด สามารถล่องหนหายตัวได้ สามารถส่งแสงให้สว่างจ้าได้ แต่ผู้ครอบครองเหล็กไหลที่อยากเปลี่ยนเป็นเงินทองก็นอนสะอื้นมาทุกราย เพราะเมื่อถึงคราวทดสอบเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินตรา เทพที่อยู่กับเหล็กไหลท่านไม่ร่วมมือก็หน้าแตกเย็บไม่ติดทุกราย คนที่มาติดต่อซื้อก็ลงความเห็นว่าของเก๊ แหกตา

    ผมเคยติดตามหลวงพ่อดำ ศิษย์หลวงพ่อคล้ายวาจาศิษย์ ท่านเคยเล่าว่าขายเหล็กไหลได้เงิน 120 ล้าน เจ้าของเอาไป 60 ล้าน ท่านกับเพื่อนแบ่งกันคนละ 30 ล้าน ผมก็เขียนลงหนังสือ พวกนายหน้าค้าเหล็กไหลอ่านก็วิ่งเข้ามาหา อยากให้หลวงพ่อเป็นคนกลางหาคนมาซื้อเหล็กไหล เอาเหล็กไหลมาทดสอบกันต่อหน้าหลวงพ่อ ผมก็อยู่ในเหตุการณ์ เจ้าของเหล็กไหลเป็นหญิงแก่อายุราว 65 ปี ชาวพิมาย นครราชสีมา แกยากจนมาก ก่อนหน้าที่จะเอามาทดสอบต่อหน้าหลวงพ่อเขาก็ไปขอทดสอบที่บ้านหญิงแก่คนนั้นมาแล้ว ก็ทดสอบผ่าน ไม้ขีดหมดเป็นกล่องขีดไม่ติดเลย แต่พอมาทดสอบต่อหน้าหลวงพ่อดำ ไหงซี่ไหนก็ลุกเป็นไฟหมด หญิงแก่เจ้าของเหล็กไหลส่ายหน้า พูดว่าทำไมเป็นอย่างนี้ ทีทดลองที่บ้านไม่เห็นขีดติดไฟ มาที่นี่ทำไมติดไฟหมด

    ก้อนเหล็กไหลนั้นไม่ได้วิเศษในตัวเอง เป็นเพียงแร่ธาตุก้อนหนึ่ง แต่มีเทพผู้สูงศักดิ์อาศัยอยู่เนื่องเพราะเป็นแร่ธาตุพิเศษ เมื่อท่านอาศัยอยู่ในก้อนแร่ธาตุนั้นทำให้พลังฤทธิ์ของท่านเพิ่มขึ้น เหล็กไหลแต่ละก้อนมีเทพที่อาศัยไม่เหมือนกัน เหล็กไหลหยดน้ำค้างปลีกแมงทับจะเป็นที่สถิตของเทพผู้ทรงฌาน เช่นท้าวกุเวร ฤาษีนารอท เป็นต้น ท้าวกุเวรมีอีกพระนามหนึ่งว่าองค์เทพจิตรา ท่านสถิตอยู่กับเหล็กไหลที่องค์ญาณครอบครองอยู่ ฤทธิ์ของท่านมาก สามารถพิสูจน์ได้ (อ่านเรื่อง อภินิหารองค์ญาณแก้วมณีโชติ สำนักพิมพ์เดียวกัน) ส่วนเหล็กไหลของฤาษีนารอทนั้นอยู่ที่ถ้ำปุ่ม แม่จันทร์ เชียงราย เป็นเหล็กไหลหยดน้ำค้างปีกแมงทับเช่นกัน ท่านเคยให้นายทหารยศพันเอกท่านหนึ่งครอบครองอยู่พักหนึ่ง อนุญาตให้ทดลองจนเป็นที่พอใจ อนุญาตให้ขายได้ถ้ามีคนซื้อ แต่ถึงแม้ทดสอบผ่านทุกขั้นตอนก็ไม่เคยมีนายทุนหอบเงินร้อยล้านพันล้านมาซื้อ ทั้งนี้เพราะท่านฤาษีนารอทรู้ความจริงว่ามันมีแต่การคดโกงหลอกลวงกัน ไม่มีคนซื้อจริง แต่ท่านจะสอนให้ผู้พันเรียนรู้และเข้าสู่สายธรรม จนที่สุดเมื่อผู้พันรู้ความจริงท่านก็เอาเหล็กไหลไปคืนที่ถ้ำเหมือนเดิม ตัวท่านก็นุ่งขาวห่มขาว ถือศีลภาวนาอยู่ที่บ้าน ไม่นึกอยากร่ำอยากรวยอีกแล้ว

    จากความศักดิ์สิทธิ์ของเหล็กไหลนี่เองจึงทำให้เรารู้ว่าแม้พระเครื่อง เครื่องรางของขลังอื่น ๆ ศักดิ์สิทธิ์ได้ก็เพราะมีเทพอาศัยอยู่ เทพก็มีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับบารมีผู้ปลุกเศกอีกที ถ้าผู้ปลุกเศกบารมีธรรมไม่แก่กล้าพอ แต่สมาธิแก่กล้า วิชาอาคมแก่กล้า วิญญาณที่มาสถิตจะเป็นพวกที่มีกิเลสตัณหามาก ทำให้เครื่องรางของขลังนั้นมีฤทธิ์ไปทางกามตัณหา เช่นพระขุนแผน กุมารทอง ปลัดขิก อีเป๋อ อิ่น เป็นต้น ใครที่พกพาสิ่งเหล่านี้ก็จะถูกวิญญาณที่สถิตในเครื่องรางนั้นชักนำไปทางกามตัณหา ดึงหญิงชายให้มาสนใจกัน สมสู่กัน วิญญาณที่อาศัยอยู่ก็สนุกสนานไปด้วย ก็คงเหมือนคนเราที่ชอบดูหนังโป๊มั้ง
     
  18. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    การปลุกพระ​

    สมัยผมเป็นสามเณรอยู่วัดบ้านนอก ก็หลงใหลไฝ่หาพระเครื่องกันมาก และทดสอบพระเครื่องกัน ซึ่งเราเรียกกันว่าปลุกพระ การปลุกพระก็ทำไม่ยาก นั่งเอามือประสานกันถือพระไว้ หลับตาบริกรรมคาถา”นะมะพะทะ ๆ ๆ ๆ “ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น พอจิตสงบพระที่เราถือก็จะแสดงให้เห็นทางกายภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าพระดีทางผู้หญิง มือที่ประสานก็จะวนลงอยู่ตรงเครื่องเพศของผู้ปลุกพระ เช่นพระขุนแผน อิ่น อีเป๋อ เป็นต้น ถ้าพระที่ดีทางอุด ยิงไม่ออก ยิงไม่เข้า ตัวจะสั่น มือจะสั่นเหมือนเขย่าติ้ว แต่ถ้าพระนั้นมีฤทธิ์มากมือไม่ได้สั่นปกติ จะสั่นอย่างรุนแรง กระโดดผึง ๆ ตัวผู้ปลุกหน้าดำหน้าแดง น่ากลัวมาก ต้องช่วยกันปล้ำแกะเอาพระออก เขาบอกว่าเหนื่อยมาก ให้ปลุกอีกเขาส่ายหน้า บอกว่ากลัว ไม่กล้า พระที่ออกฤทธิ์แบบนี้มักเป็นพระกริ่งทองเหลือง แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระกริ่งของวัดไหน แต่ก่อนก็คงสร้างกันไม่มาก แต่มันไม่มีตำราศึกษากันเหมือนเดี๋ยวนี้ว่าพระองค์ไหน มีลักษณะอย่างไร มาจากวัดไหน ปลุกเสกเมื่อไร
    แต่คนปลุกพระนี่ไม่ใช่ใครก็ทำได้นะครับ ตัวผมนี่ปลุกไม่เห็นขึ้น ไม่เห็นมีอาการอะไรเลย วัดเรามีสามเณรทั้งเล็กและใหญ่ 8 รูป ที่ปลุกพระขึ้นมีเพียงรูปเดียวคือเณรประเทียม ผมก็สังเกตเลียบ ๆ เคียง ๆ สอบถามเอาข้อเท็จจริงว่าแกแกล้งทำหรือมันขึ้นจริง ๆ ก็จับไม่ได้ว่าแกโกหกแกล้งทำ เพราะเวลาพระแรงฤทธิ์นี่นั่งขัดสมาธิกระโจนตัวลอยเลยนะครับ แกล้งทำยังทำไม่ได้ขนาดนั้น
     
  19. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    พระจริงหรือปลอมพิสูจน์ได้ด้วยการตรวจหาพลัง
    แปลกแต่จริง พ่อค้าขายพระเครื่อง แต่ไม่เชื่อเรื่องการจับพลังอิทธิคุณในพระเครื่องว่ามีจริงหรือไม่ เขาว่าเป็นอุปาทาน แหกตา เล่นปาหี่ เขาเชื่อกล้องขยาย เชื่อพิมพ์ว่าถูกต้องตรงกันหรือไม่ เชื่อความเก่าแก่ แต่พลังอิทธิคุณเขาไม่เชื่อเลยว่าสามารถตรวจได้
    ก็พระเครื่องจะขลัง ดีวิเศษ ก็ต้องเกิดจากพลังจิตของผู้ปลุกเสก เมื่อมีพลังจิตก็ต้องใช้พลังจิตตรวจดูจึงจะรู้แจ้ง แว่นขยายก็รู้เพียงถูกพิมพ์ผิดพิมพ์ เก่าหรือใหม่ แม้ผงวิเศษที่ผสมยังไม่สามารถเอาเป็นข้อกำหนดตายตัวได้ ถ้ามีใครใช้แม่แบบของหลวงปู่โต ใช้ผงวิเศษของหลวงปู่โต พิมพ์พระขึ้นมาในยุคเดียวกัน แต่ไม่ได้ให้หลวงปู่โตปลุกเสก พระนั้นจะมีอิทธิเดชอิทธิคุณหรือ ถ้าหากเอาไปให้หลวงปู่อาจารย์อื่นปลุกเสก อิทธิคุณก็จะเกิดอีกอย่างหนึ่ง
    ยกตัวอย่างพระสมเด็จของยายขำ เขาเล่ากันว่ายายขำทำพระสมเด็จปลอมแล้วบรรจุกรุไว้ คนไหนรู้ว่ามาจากกรุยายขำก็ไม่เลื่อมใสศรัทธา แต่ความจริงยายขำใช้แม่พิมพ์ของสมเด็จ และผงวิเศษของสมเด็จ เมื่อพิมพ์พระแล้วก็นำไปให้หลวงปู่องค์ใดองค์หนึ่งปลุกเสก(อาจเป็นหลวงปู่เงิน วัดบางคลาน เพราะท่านมักมาที่วังหน้าและวังหลังเสมอ) แล้วนำออกจำหน่ายช่วงนั้น ซึ่งคนกำลังตื่นแสวงหาพระสมเด็จวัดระฆังเพื่อเอาไปอธิษฐานทำน้ำมนต์รักษาโรคห่า แต่พระสมเด็จที่เก็บไว้ในวิหารน้อยวัดระฆังหมด ยายขำจึงรีบทำขึ้นมาจำหน่าย ได้เงินมหาศาลอยู่ แต่พระสมเด็จของยายขำกลับเด่นด้านมหาอุจ ปืนยิงไม่ออก คนที่รู้ก็แสวงหาสมเด็จยายขำ แต่จะหาอย่างไร เอาอะไรเป็นข้อสังเกต เพราะพิมพ์ก็ของวัดระฆัง ผงวิเศษก็ของหลวงปู่ทำไว้ กล้องส่องจะให้คำตอบอย่างไร ถ้าไม่ใช้พลังจิตตรวจจับ
    ยายขำเป็นแม่ครัวของวังหลัง ซึ่งอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชเดี๋ยวนี้ ท่านมีหน้าที่นำภัตตาหารมาถวายหลวงปู่ที่วัดระฆังทุกวัน ตามรับสั่งของเจ้ากรมวังหลัง เมื่อถวายแล้วก็ช่วยเขาพิมพ์พระ หรือโขลกตำผงพระ จึงสามารถรอบรู้ส่วนผสมทุกอย่างตลอดวิธีทำพระสมเด็จ และเมื่อเป็นต้นเครื่องของเจ้ากรม ไปวัดทุกวัน ก็ต้องสนิทสนมกับพระวัดระฆัง ตั้งแต่เจ้าอาวาสยันสามเณรน้อย ใคร ๆ ก็เคารพนับถือยายขำ เมื่อหลวงปู่จากไปแล้วไม่กี่ปี เกิดโรคห่า คนตายเป็นเบือ ไปจนถึงอยุธยา-ไชยนาท
    วันหนึ่งมีคนแถวอยุธยาหรือชัยนาทก็จำได้ไม่ถนัด ป่วยเป็นอหิวาต์ จะตายมิตายแหล่ กลางคืนนั้นหลวงปู่โตไปเข้าฝัน บอกว่ามึงยังไม่ถึงที่ตาย ให้รีบไปวัดระฆัง ไปเอาพระสมเด็จที่กูเก็บไว้ในวิหารน้อย เอามาอธิษฐานทำน้ำมนต์กินก็จักหาย คนป่วยก็เล่าให้ญาติฟัง เขาจึงรีบพายเรือไปวัดระฆัง จะใช้เวลากี่วันก็ไม่ทราบ แต่ได้พระสมเด็จไปทำน้ำมนต์ให้คนป่วยกินจนหายป่วย เรื่องก็ดังเป็นพลุ จากหูหนึ่งถึงหูที่สองหูที่สิบที่ร้อย ชาวอยุธยา อุทัย ไชยนาท พากันนั่งเรือมุ่งหน้าสู่วัดระฆัง หยิบเอาพระสมเด็จติดไม้ติดมือคนละองค์สององค์ จนเกลี้ยง ถามเจ้าอาวาสก็หมด ไม่รู้จะเอาที่ไหนให้อีก วัน ๆ คนมาออกันอยู่ที่ท่าน้ำวัดระฆังราวกับคนตื่นผู้วิเศษบอกหวยสมัยปัจจุบันนี่แหละ
    ยายขำทราบดังนั้นจึงไปขอแม่พิมพ์และผงวิเศษของหลวงปู่จากเจ้าอาวาส แล้วทำพระสมเด็จขึ้นมาแจก บอกว่านี่ก็เป็นสมเด็จของหลวงปู่เช่นกัน เพราะเอาผงวิเศษของหลวงปู่มาทำ และให้ครูบาอาจารย์ปลุกเสกแล้ว มีอิทธิคุณเหมือนสมเด็จที่หลวงปู่ทำ คนที่ผิดหวังจากพระของหลวงปู่โตก็ดีใจที่ยังได้สมเด็จยายขำติดมือกลับไป แต่ยายขำให้บูชาองค์ละเท่าไรไม่ทราบ เห็นมีเล่าว่ายายขำร่ำรวยขึ้นมาทันตาเห็น กลายเป็นเศรษฐินีคนหนึ่ง

    เมื่อยายขำเสียชีวิต พระที่ยายขำทำเหลืออีกหลายร้อยองค์ ลูกหลานจึงทำเจดีย์องค์เล็กตั้งริมกำแพงวัดระฆังติดแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อบรรจุอัฐิของยาย แล้วนำพระที่ยายสร้างบรรจุไว้ เวลาผ่านไปเกือบร้อยปี น้ำเซาะตลิ่งจนเจดีย์เอียง จึงพบพระในเจดีย์มากมาย คนจึงแตกตื่นพระกรุยายขำ แต่เจ้าอาวาสบอกว่า “เอาไปทำไมพระของยายขำ ไม่ใช่ของหลวงปู่โต” แต่คนที่แสวงหาก็มีมาก เพราะพระยายขำสุดยอดมหาอุด ทดลองกันได้ให้เห็นกับตา
     
  20. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ถ้าเจอแบบพระสมเด็จยายขำก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าเป็นพระที่ทำยุคเดียวกัน นำวัตถุที่คล้าย ๆ กันมาป่นผงผสมปูนเปลือกหอย ปูนขาว เศษอิฐเก่า ๆ ผสมน้ำมันตั้งอิ้ว แล้วกดพิมพ์ออกมาแจกจ่ายจำหน่าย โดยมิได้ปลุกเสก คนถือแว่นสิบแรง ยี่สิบแรงสามสิบแรง จะมิดูเป็นสมเด็จวัดระฆังไปหมดหรือ
    ติ๊ต่างว่า คนเก่งทางดูพิมพ์พระเนื้อพระ ไปพบพระสมเด็จที่ท่านสร้างกับมือ ซึ่งท่านสร้างไว้ถึงร้อยหกสิบสามพิมพ์ หลายสิบพิมพ์(หรือเป็นร้อยพิมพ์)พวกเราไม่เคยพบเห็น แต่เกิดไปพบเข้า จะรู้หรือว่าเป็นพระที่สมเด็จสร้างขึ้นมา เมื่อไม่เหมือนที่ตนเห็นก็จะตัดสินว่า “ผิดพิมพ์ ของปลอมแต่โบราณ” หรือคนมีฝีมือทำขึ้น ไม่เชื่อลองดูองค์นี้สิ เนื้อเก่าแก่ แตกลายงา ถูกต้องตามตำรา แต่ไม่ตรงกับพิมพ์ที่เขาซื้อขายกันเป็นแสนเป็นล้าน องค์นี้เป็นสมเด็จจากเจดีย์ทองวัดพระแก้วครับ

    แว่นขยายตัดสินพระไม่ได้หรอกครับ ตานอกตัดสินความศักดิ์สิทธิ์ของพระไม่ได้ ต้องใช้ตาใน ถ้าคนตาบอดมีญาณสัมผัสพิเศษ แม้ไม่เห็นลักษณะของพระก็สามารถบอกได้ว่าลักษณะพลังที่สัมผัสได้นั้นเป็นอย่างไร คนส่องพระสมเด็จตระกูลวัดระฆัง วัดอินทร์ วัดใหม่ วัดไชโย เมื่อมาเจอพระสมเด็จพิมพ์วังหน้า ดูความเก่าความแก่ก็เท่ากัน แต่เอ๊ะ ทำไมเนื้อผงพุทธคุณต่าง ๆ มองไม่ค่อยพบ เอ๊ะ ทำไมพิมพ์เป็นอย่างนี้ เอ๊ะ ทำไมเนื้อพระเป็นอย่างนี้ ดูอายุใช่นะ แต่เนื้อไม่ใช่ ส่วนผสมไม่ใช่ เป็นพระผิดพิมพ์ คงมีอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่งทำขึ้นมาในสมัยเดียวกัน เห็นมั้ย เขาบอกไม่ได้ว่าหลวงปู่โตปลุกเสก หรือใครปลุกเสก หรือยังไม่ได้ปลุกเสก
    พระเครื่องมิใช่วัตถุโบราณ คนเราแสวงหาพระเครื่องเพื่อคุ้มครองตนเอง มิได้แสวงหาความเก่าแก่ของพระเครื่อง แต่แสวงหาอิทธิคุณของพระเครื่อง ดังนั้นอย่าใส่ใจกับกล้องขยายให้มากนัก ให้ใช้พอเป็นแนวทางเท่านั้น
    มีใครทราบบ้างไหมว่า ในงานประกวดพระที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง พระสมเด็จที่ได้รับรางวัลที่ ๑ เป็นพระฝีมือที่ เขาทำขึ้น เมื่อได้รับรางวัลแล้ว มหาเศรษฐีคนหนึ่งบูชาไปครอบครององค์ละไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาท เป็นเรื่องตลกในวงการที่เจ้าของพระนำมาเปิดเผยในหมู่มวลมิตรชิดใกล้ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกที่เจ้าพ่อในวงการหลายคนมีพระดี ๆ ดัง ๆ บูชามาจากงานประกวดพระหรือจากเซียนพระระดับชาติ แต่แล้วก็ถึงจุดจบด้วยลูกปืน
    หรือจะเป็นว่า เมื่อคนเราทำชั่วมาก ๆ แม้เทวดาที่ประดิษฐานในองค์พระก็เผ่นไปก่อนแล้ว คงเหลือแต่เศษอิฐหินปูนทรายให้เขาห้อยคออยู่
    ความจริงแล้ว ถ้าคนถึงศีลถึงธรรมจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องหาวัตถุมงคลแขวนคอก็ได้ ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนา คราใดให้รีบส่งบุญให้เทวดาที่รักษาตัวเองทุกวี่วัน เทวดาก็จะกลายเป็นผู้มีฤทธิ์อำนาจคุ้มครองท่านได้ แต่ถ้าจะหา ก็อย่าลืม พระสมเด็จวัดพระแก้ว สุดยอดพระเครื่องในแดนดินถิ่นสยาม.
     

แชร์หน้านี้

Loading...