พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ปัญหาผู้เช่า ไม่จ่ายค่าเช่า ไม่ย้ายออก

    -http://terrabkk.com/news/%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b9%88%e0%b8%b2-%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%88%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%84%e0%b9%88%e0%b8%b2/-



    เสือนอนกิน หนึ่งวิธีการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่นิยมอย่างมากอย่างบ้านเช่า ไม่ว่าจะเป็นบ้านเช่าหรือคอนโดเช่า ดูเหมือนจะง่าย มีทรัพย์สินเป็นของตนเอง แถมยังมีรายได้เป็นค่าเช่าทุกเดือนอีก ความเป็นจริงแล้ว ทราบหรือไม่ว่าไม่มีอะไรง่ายดายขนาดนั้น หากเจอผู้เช่าดีก็ดีไป แต่ถ้าเจอผู้เช่าจอมป่วน ค่าเช่าไม่ยอมจ่าย และไม่ยอมย้ายออก TerraBKK ทีคำแนะนำ สำหรับใครที่กำลังประสบ ปัญหาผู้เช่า ไม่จ่ายค่าเช่า เป็นข้อมูลเบื้องต้นนำไปวิจารณาและปฎิบัติต่อไป ดังนี้

    ล็อคบ้าน โยนทรัพย์สินผู้เช่าออกนอกบ้าน ?
    ผู้เป็นเจ้าบ้านเช่าอาจคิดว่า ปัญหาผู้เช่า ไม่เห็นจะยุ่งยากอะไร หากผู้เช่าไม่จ่าย ก็ล็อคบ้านไม่ให้เข้าบ้านหรือคอนโด ที่เป็นทรัพย์สินของเราได้ ยิ่งกว่านั้น บางคนอาจจะกำลังคิดว่า จะงัดบ้านตนเอง แล้วทำการขนย้ายทรัพย์สินของผู้เช่าออกไปนอกบ้านให้หมด หากทำเช่นนี้ TerraBKK ขอเตือนไว้ก่อนว่า อาจนำมาซึ่งความเดือนร้อนแก่ผู้เป็นเจ้าของบ้านเช่าได้ ร้ายแรงไปถึงขั้นติดคุกติดตะรางใน คดีความข้อหาบุกรุก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ได้เลยด้วย

    ข้อความสำคัญในสัญญาเช่า ?

    มาถึงตรงนี้ หลายท่านอาจมีคำถามว่า แล้วจะต้องทำอย่างไร เพื่อเตรียมตัวรับมือกับ ปัญหาผู้เช่าจอมป่วนเช่นนี้ TerraBKK ขอแนะนำดังนี้

    1. จัดการทำสัญญาเช่า ลงลายมือชื่อของคู่สัญญา มีกำหนดระยะเวลาเช่าไม่เกิน 3 ปี หากเกินกว่า3ปีขึ้นไป จะต้องทำสัญญาและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงจะมีผลบังคับใช้ได้ มิเช่นนั้น สัญญาจะมีผลบังคับใช้ได้แค่เพียง 3 ปี ว่าด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ.มาตรา538

    2. ในสัญญาเช่า ควรกำหนดว่า หากผู้เช่าผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าหรือผิดสัญญาเช่า ผู้ให้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันที และใช้สิทธิครอบครองสถานที่และสิ่งที่เช่าได้ทันที กรณีคำพิพากษาศาลฎีกาที่788/2519 : ข้อสัญญาเช่าสำนักงานมีว่า ถ้าผู้เช่าผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนด ผู้ให้เช่ากลับเข้าครอบครองสถานที่เช่าได้ ข้อสัญญานี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ผู้เช่าค้างชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าใช้ลวดไขกุญแจห้องเช่าออก เอากุญแจใหม่ใส่แทน ผู้เช่าเข้าห้องเช่าไม่ได้ ดังนี้ เป็นการใช้สิทธิตามสัญญาเช่า ไม่เป็นความผิดอาญา และคำพิพากษาศาลฎีกาที่5854/2537,3025/2541

    3. ในสัญญาเช่า ควรมีข้อกำหนดว่า ผู้เช่ายินยอมให้ผู้ให้เช่าล็อคกุญแจ ตัดน้ำ ตัดไฟ ได้ด้วย ในกรณีผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่าหรือผิดสัญญาเช่า กรณีมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3921/2535 : ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาเช่า ทำให้สัญญาเช่าสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์ ผู้เช่าไม่มีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์ในสถานที่เช่าอีกต่อไป ผู้ให้เช่าไม่จ่ายกระแสไฟฟ้าและน้ำประปาและใส่กุญแจไม่ให้ผู้เช่าเข้าไปในสถานที่เช่า เป็นการกระทำภายหลังสัญญาเช่าได้สิ้นสุดลงและได้กำหนดเวลาให้ผู้เช่าตามสมควรแล้ว ถือว่าไม่เป็นละเมิด และคำพิพากษาศาลฎีกาที่1523/2535

    ผู้เช่าเบี้ยว ไม่ยอมจ่ายค่าเช่า ?
    หลายคนสงสัยว่า หากตัวเราเจอผู้เช่าจอมป่วน เริ่มเบี้ยวไม่จ่ายค่าเช่า ควรจะทำอย่างไรต่อไป TerraBKK แนะนำว่า ก่อนอื่นเริ่มจาก ออกหนังสือทวงถาม ให้ชำระค่าเช่า โดยมีระยะเวลาชำระค่าเช่าภายในกำหนดไม่น้อยกว่า15 วัน หากผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่ามาภายในเวลาที่กำหนด ผู้ให้เช่าจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ ป.พ.พ.มาตรา560 วรรค2 โดยให้ระยะเวลาผู้เช่าในการขนย้ายออกพอสมควร อีกทั้งผู้ให้เช่ามีสิทธิฟ้องคดีเรียกค่าเช่าค้างชำระจากผู้เช่าได้ ภายในกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ผู้เช่าค้างชำระค่าเช่าตาม ป.พ.พ.มาตรา193/33(3) และมาตรา193/34(6)

    ผู้เช่าไม่จ่ายค่าเช่า และไม่ยอมย้ายออก ?
    คำถามต่อไปว่า หากผู้เช่าไม่ยอมย้ายออก ทั้งที่เราบอกเลิกสัญญาถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว ผู้ให้เช่าสามารถดำเนินการอะไรได้อีกบ้างนั้น TerraBKK ขอกล่าวว่า ผู้ให้เช่าสามารถใช้สิทธิฟ้องร้องต่อศาล ตาม ป.วิ.พ.มาตรา55 เพื่อขับไล่ผู้ให้เช่าออกจากสถานที่เช่า ซึ่งผู้ให้เช่าไม่สามารถดำเนินการไล่ผู้เช่าออกไปจากสถานที่เช่าได้ด้วยตนเอง เพราะอาจเป็นความผิดฐานบุกรุกได้ โดยต้องกระทำโดยทางศาล ให้ศาลเป็นผู้บังคับ โดย TerraBKK ขอเน้นย้ำว่าก่อนผู้ให้เช่าจะกระทำการใดๆท่านจะต้องบอกเลิกสัญญาเช่าให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายเสียก่อน

    –เทอร์ร่า บีเคเค บทความโดย : TerraBKK เคล็ดลับการลงทุน

    อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : TerraBKK.com - -http://terrabkk.com/?p=137977-
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ขอเชิญร่วมทำบุญในงานบุญ 3 งาน

    1.งานกฐินพระราชทาน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปี 2559

    2.งานกฐินสามัคคี ที่ วัดป่าภัทรปิยาราม จ.ลพบุรี ปี 2559

    3.งานผ้าป่า(หรือ กฐิน)สามัคคี ที่ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จ.สกลนคร ปี 2559

    สำหรับเงื่อนไขกันทำบุญ

    1.เงินที่ท่านโอนเข้ามาทำบุญ ผมจะแบ่งเป็น 4 ส่วน

    ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 ผมนำไปทำบุญงานกฐินพระราชทาน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้

    ส่วนที่ 3 ผมนำไปทำบุญกฐินสามัคคี ที่ วัดป่าภัทรปิยาราม จ.ลพบุรี

    ส่วนที่ 4 ผมนำไปทำบุญผ้าป่า(หรือ กฐิน)สามัคคี ที่ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร

    หากท่านมีความประสงค์ที่จะทำบุญในงานบุญไหน เวลาที่โอนเงินเข้ามาแล้ว ขอให้แจ้งความประสงค์ที่จะทำบุญในงานบุญที่ท่านต้องการที่จะทำ ผมจะได้นำไปทำบุญให้ถูกต้องตรงกับวัตถุประสงค์ของท่าน

    หากท่านไม่แจ้งความประสงค์ฯ ผมจะแบ่งเงินของท่านออกเป็น 4 ส่วน ตามที่ผมแจ้งไว้ด้านบน

    ระยะเวลาในการทำบุญ

    งานบุญที่ 1 และ 2

    1.งานกฐินพระราชทาน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปี 2559

    2.งานกฐินสามัคคี ที่ วัดป่าภัทรปิยาราม จ.ลพบุรี ปี 2559

    เริ่มทำบุญตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2556

    สิ้นสุดการทำบุญ 19 ตุลาคม 2559 เวลา 18.00 น.


    ส่วนงานบุญที่ 3

    3.งานผ้าป่า(หรือ กฐิน)สามัคคี ที่ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จ.สกลนคร ปี 2559

    เริ่มทำบุญตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2556

    สิ้นสุดการทำบุญ 1 ธันวาคม 2559


    บัญชีที่ใช้ในการโอนเงินร่วมทำบุญ

    บัญชีเลขที่ 983-2-94326-4 ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
    บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาเซ็นทรัลพลาซ่า พระราม 2

    หมายเหตุ
    1.ท่านที่ประสงค์จะร่วมทำบุญ ขอให้ท่านอ่านรายละเอียดก่อน ผมเกรงว่า จะทำบุญไม่ถูกต้องตรงกับวัตถุประสงค์ที่ท่านต้องการ

    2.หากเงินที่ท่านโอนเข้ามาหลังระยะเวลาที่กำหนด ผมขอนำไปทำบุญให้ท่านเอง ซึ่งอาจไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของท่าน ซึ่งท่านต้องรับทราบตามนี้และท่านอนุญาตให้ผมนำไปทำบุญแล้วแต่ที่ผมเห็นสมควร

    โมทนาบุญ สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    อธิษฐานจิตเสียก่อนทำบุญ

    พฤษภาคม 27, 2011 โดย ธ. ธรรมรักษ์

    -https://torthammarak.wordpress.com/2011/05/27/%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B8/-



    การจะถวายของแก่พระภิกษุสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นการใส่บาตร การทำสังฆทาน หรือถวายอะไรก็ตามมักจะมีการอธิษฐานหรือที่เรียกว่าการ “จบของ” ซึ่งบางคนอาจจะจบนาน บางคนอาจจะจบช้าด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างในตอนนั้น

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสะแก จ.อยุธยา พระอริสงฆ์ที่ทุกคนกราบท่านได้ทั้งหัวใจ สมัยที่ท่านยังไม่ละสังขาร ท่านได้เมตตาสอนเรื่องว่าควรจะอธิษฐานอย่างไรที่ยังคงสืบทอดกันมาและยังมีปรากฏหลักฐานอยู่ในเว็บไซต์ของวัดถ้ำเมืองนะ (วัดถ้ำเมืองนะ (วัดพุทธพรหมปัญโญ) บารมี หลวงปู่ทวด, หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ, หลวงตาม้า, พระผง บท) ที่ขอแนะนำว่าเป็นเว็บไซต์ที่ดีมากเพื่อจะได้รู้จักหลวงปู่ดู่ รวมถึงแนวทางการปฏิบัติธรรมที่จะทำให้เจริญในธรรมได้ผลดียิ่งขึ้น หลวงปู่เมตตาสอนไว้ว่า

    “ก่อนที่เราจะถวาย ให้จบมาเสียก่อนจากบ้าน เนื่องจากพอมาถึงวัด มักจะจบไม่ได้เรื่อง คนมากมายเดินไปเดินมา จะหาสมาธิมาจากไหน เราจะทำอะไรก็ตามอธิษฐานไว้เลย เวลาถวายจะได้ไม่ช้า เสียเวลาคนอื่นเขาอีกด้วย บางคนก็ขอไม่รู้จบให้ตัวเองไม่พอ ให้ลูกให้หลานจิตเลยส่ายหาบุญไม่ได้”

    จากเมตตาของหลวงปู่ดังกล่าว ทุกคนก็จะได้รับทราบทางสว่างถึงการสร้างบุญแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยและอุทิศบุญได้แบบครบถ้วน เพราะในช่วงเวลาสำคัญที่กำลัง “จบของ” อยู่นั้นอาจจะถูกรบกวนจากปัจจัยภายนอกที่ยากจะควบคุมได้

    ครูบาอาจารย์ท่านจึงเมตตาแนะนำว่าควรอธิษฐานเสียก่อนที่จะใส่บาตร ก่อนไปวัด ก่อนไปทำบุญเพื่อบุญจะได้ไม่ตกหล่นสามารถทำได้ทุกบุญที่เราทำ

    การสร้างบุญกุศลนั้นขอให้ยึดหลักการสร้างบุญบารมีในบุญกิริยาวัตถุ 10 เป็นสำคัญที่มีทั้ง 10 ช่องทาง มีเพียงบุญจากการทาน เท่านั้นที่ใช้เงิน ส่วนที่เหลืออีก 9 ช่องทางไม่ต้องใช้เงินเลยแม้แต่บาทเดียวคือ บุญจากการรักษาศีล บุญจากการเจริญภาวนา บุญจากการอ่อนน้อมถ่อมตน บุญจากการช่วยเหลือสังคมรอบข้าง บุญจากการเปิดโอกาสให้คนอื่นมาร่วมทำบุญกับเรา บุญจากการ ยอมรับและยินดีในการทำความดี บุญจากการฟังธรรม บุญจากการธรรมทาน บุญจากการทำความเห็นให้ถูกต้องและเหมาะสม

    เคล็ดสำคัญที่จะช่วยให้การทำบุญนั้นได้รับผลบุญมากคือ ต้องระมัดระวังจิตใจทั้ง 3 ระยะเป็นสำคัญต้องดูแลจิตให้ไปทางกุศลอย่าให้จิตตก ทั้งก่อนทำ ขณะทำและหลังทำบุญ ทั้ง 3 ช่วงระยะสำคัญนี้ต้องทำใจให้โล่งๆ โปร่งสบายๆ ยิ่งใจเป็นกุศล นิ่งมากเท่าใด บุญที่ได้รับก็มากตามเท่านั้นเพราะผู้ให้นั้นบริสุทธิ์

    เคล็ดสำคัญที่ครูบาอาจารย์ท่านเน้นมากคือ อย่าไปคิดว่าทำบุญแล้วต้องได้ผลอย่างนั้น เมื่อนั้นเมื่อนี้ แบบต้องรวยทันใจ ต้องให้คนมาหลงรัก ต้องแก้ดวงตกเคราะห์ไม่ดีได้ ถ้าไปคิดหวังผลแบบนั้นเลย อาจจะไม่ได้ตามที่หวัง เพราะการคิดแบบนั้นจะไปขวางทางบุญไม่ให้ส่งผลได้เต็มที่

    ขอให้ทำบุญแบบไม่หวังผลใดๆ เข้าตัว ทำบุญเพื่อชำระจิตใจให้สะอาด เพื่อให้คนอื่นมีความสุขในบุญของเราที่ทำ ส่วนเรื่องของอานิสงส์บุญอย่างไรก็ต้องได้ เป็นกฎแห่งกรรมอยู่แล้ว เราหว่านอะไรไว้ต้องได้ผลแบบนั้น

    อยากได้อะไร อยากขอในเรื่องไหน ขอให้ ไปตั้งจิตในตอนอธิษฐาน ไม่ใช่ในช่วง 3 ระยะสำคัญที่ทำบุญอยู่

    เคล็ดในการอธิษฐานนั้นจะอธิบายให้ทราบอย่างละเอียดชัดเจนทุกขั้นตอนในบทต่อไป และเวลาทำบุญก็อย่าไปกังวลว่าพระสงฆ์ ท่านจะเอาของที่ใส่ ทำสังฆทาน ปัจจัยต่างๆ ไปทำอะไร รวมถึงเวลาที่เราจะช่วยเหลือใครแล้วไม่ต้องไปหวังผลตอบแทน “ให้” เพราะอยากเห็นเขามีสุขได้ ให้เพราะอยากเห็นเขาคลายจากความทุกข์ ความไม่มีความขัดสนก็พอ

    แต่อย่า “ให้” เพื่อเขาเอาไปทำบาปเป็นอันขาด เช่น การเลี้ยงเหล้า การให้เงินไปทำแท้ง ให้เงินไปทำในสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม เพราะการให้แบบนั้นคือ การร่วมกรรมไม่ดีที่จะส่งผลกรรมแรงมาก ต้องพิจารณาให้ดี

    หลายคนทำบุญไม่ได้บุญเพราะจิตตกคิดไปทางอกุศล จิตส่ายไปคิดโน่นคิดนี่จนอาจจะถึงขั้นปรามาสพระสงฆ์ท่าน จะเป็นกรรมหนักเสียเปล่าๆ จะทำบุญแล้วไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องระแวง ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ว่าวัตถุทานที่ใส่บาตรนั้น

    – ถ้าเป็นของดีที่ประณีตมากเหนือกว่าที่เรากินและใช้ก็จะได้บุญมากขึ้นทวีคูณ

    – ถ้าเป็นของดีเสมอกับที่เรากินเราใช้ก็ได้บุญเท่าที่เราทำเสมอตัวตามนั้น

    – แต่ถ้าเป็นของไม่ดีของเลวกว่าที่ตนเองกินและใช้ อานิสงส์ของบุญที่ได้นั้นจะน้อยมากเพราะเป็นทานที่ไม่เต็มใจ เป็นทานที่ขาดเจตนาที่เป็นกุศล

    การพิจารณาคุณภาพของวัตถุทานนั้นสำคัญมาก มหาเศรษฐีหรือคนรวยบางคน มีเงินมากจริงเพราะได้รับอานิสงส์ในการทำทานมามาก แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเงินนั้น เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะทานที่ทำมานั้นเป็นทานชั้นต่ำ ทำทานด้วยของไม่ดีหรือทำทานด้วยความไม่เต็มใจ หรืออาจจะมาจากการทำทานที่หวังผลตอบแทน ทำบุญแบบการค้าแลกเปลี่ยนกัน

    คงจะพอเคยเห็นคนรวยที่ขี้เหนียวมาก เวลาที่จะกิน จะซื้ออะไรก็จะเลือกกินแต่ของใกล้จะเสีย หรือของเหลือเดน รวมถึงคนที่กินได้ประเภทกินแต่ข้าวต้มกับปลาเค็ม เศษผักอะไรประเภทนั้น ของดีๆ มีประโยชน์กินไม่เป็น กินไม่ได้ เหตุเป็นเพราะอาจจะทำทานชั้นต่ำมาก่อนและเหตุจากวิบากกรรมไม่ดีมาส่งผลให้เป็นเช่นนั้น ทั้งๆ ที่บางคนอยากจะกิน อยากจะใช้ของดีแต่ก็ทำไม่ได้ บางคนใส่เสื้อผ้าดีๆ กินอะไรดีๆ ไม่ได้เลย ต้องมีผื่นคันหรือถึงขั้นเจ็บไข้ล้มป่วยไปเลย

    ดังนั้นการใส่บาตรหากไม่พิจารณาแล้วเอาของเหลือเดน ของบูดเน่าเสียไปใส่บาตร อันนี้จะพูดถึงการที่ไม่รู้มาก่อน นอกจากได้บุญน้อยหรือแทบจะไม่ได้บุญแล้ว ยังไปสร้างบาปเสียอีกเพราะพระสงฆ์ที่รับไปนั้น ท่านเอาไปฉันหรือใช้ไปแล้วเกิดผลเสียต่อสุขภาพ ถือว่าเป็นการไปขวางการปฏิบัติธรรมของท่านด้วย แต่สำหรับพวกที่รู้แก่ใจอยู่แล้วว่าของนั้นบูดเน่าเสีย แล้วยังเอาสิ่งของนั้นไปทำบุญอีก บุญนั้นไม่ได้รับอยู่แล้วล้านเปอร์เซ็นต์ มีแต่บาปล้วนๆ เท่านั้น

    เหมือนเป็นการเอายาพิษไปให้พระสงฆ์เลยทีเดียว และจะทำอะไรไม่เจริญเลยในชาตินี้

    ครูบาอาจารย์และบรรพบุรุษตั้งแต่ครั้งโบราณท่านรู้เรื่องเคล็ดวิชาเหล่านี้ดี ท่านจึงสอนเสมอว่าต้องพยายามเอาของดีที่สุดที่มีอยู่ใส่บาตร เช่น ข้าวปากหม้อที่หุงใหม่ กับข้าวที่ทำเสร็จใหม่ ผลไม้ที่กำลังสุกงอมดี อะไรที่ไม่ดีท่านจะไม่เอาไปใส่บาตรหรือเอาไปทำบุญ ทำสังฆทานเลยเป็นอันขาด เพราะท่านรู้หลักการทำบุญด้วยของที่ดีกว่าตนเองกินและใช้ เพื่อที่จะเกิดบุญมาก

    ยิ่งสมัยนี้มักนิยมทำสังฆทานถังเหลืองกันมากเพราะสะดวกไม่ต้องเสียเวลาจัดเตรียม ขอแนะนำว่าให้ดูให้ดีๆ ในสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในนั้นดูวัน เดือน ปีที่ที่หมดอายุด้วย หากยังพอที่จะมีเวลาก็ควรจะหาซื้อเองจะได้บุญมากขึ้นตามเจตนาและความพยายามในการสร้างบุญนั้น และยังมีอีกหลายอย่างที่พระสงฆ์ท่านต้องการใช้จริงๆ เช่น ยาสระผม รองเท้าแตะ เครื่องเขียน มีดโกน ผ้าขนหนูเนื้อดี ไฟฉาย ฯลฯ

    ลองพิจาณาดูว่าอะไรที่ท่านต้องการใช้จริงๆ เพื่อให้ท่านสะดวกในการปฏิบัติธรรม การ”ให้”ที่ตรงกับคนรับต้องการนั้นได้บุญมากด้วย เพราะตรงกับความเดือดร้อน ตรงเวลา ตรงประโยชน์

    หลายคนไม่ค่อยมีเวลาในตอนเช้าที่จะไปใส่บาตร เพราะอาจจะติดภารกิจต่างๆ ก็ให้เอาเงินที่จะใช้ใส่บาตรในแต่ละวันนั้น ใส่ซองหรือใส่กระปุกเก็บไว้ก่อน เมื่อมีเวลาเมื่อใดก็ไปที่วัดเอาเงินในกระปุกนั้นตั้งจิตอธิษฐานถวายเป็นค่าภัตตาหารของพระสงฆ์ สามเณร เงินนั้นจะน้อยหรือมากไม่เป็นไร ไม่สำคัญอยู่ที่เจตนา ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำว่า ควรฉลาดในการทำบุญคือ เฉลี่ยบุญให้ครบในทุกวัน

    เช่น ใน 7 วันนี้เราเก็บเงินในกระปุกได้ 7 บาทก็อธิษฐานว่า ขอถวายเป็นค่าภัตตาหารของสงฆ์วันละ 1 บาทครบ 7 วัน พออาทิตย์หน้ามาทำใหม่ก็ใช้วิธีเดิมจะได้บุญครบถ้วนทุกวัน เงินบาทเดียว สลึงเดียวถ้าเป็นเงินบริสุทธิ์มาจากความอดออม มาจากความตั้งใจอย่างแรงกล้าแล้ว คนที่ทำทานนั้นจะได้บุญมากเหลือที่จะสุดบรรยายได้

    สำหรับการเฉลี่ยบุญแบบนี้ จะทำให้เราได้สร้างบุญครบต่อเนื่องไปทุกวันไม่มีขาดตอน ถือว่าเป็นการสะสมบุญให้กลายเป็นบุญใหญ่ บุญกุศลก็จะหนุนนำชีวิตให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน และเป็นการส่งเสริมให้จิตอยู่กับกุศลตลอดเวลา

    หรืออาจจะใช้วิธีฝากหรือไหว้วานให้คนอื่นไปใส่บาตรแทนให้ก็ได้ แต่ก็ให้”จบของ” เงินนั้นเสียก่อนแล้วค่อยมอบเงินให้ไป เรื่องนี้ถือว่าได้บุญสองเท่าด้วย เพราะนอกจากจะได้บุญจากการใส่บาตรแล้ว ยังได้บุญจากการที่ชักชวนคนไปสร้างบุญด้วย แต่อย่าไปบังคับไปขู่เข็ญให้เขาทำแทนโดยที่ไม่เต็มใจ เพราะจะเป็นบาปปนกับบุญ

    ถ้าอยากจะได้บุญถึง 3 เท่า 3 ทาง เงินที่เตรียมใส่บาตรไว้ที่เตรียมจะให้คนอื่นไปใส่บาตรแทนนั้น เราก็ให้เกินจำนวนที่เตรียมจะใช้ใส่บาตรจะดียิ่งขึ้น เช่น เงินที่เตรียมใส่บาตร 100 บาทใน 1 อาทิตย์ก็เพิ่มเป็น 150 บาทส่วนที่เพิ่ม 50 บาทให้เป็นทานแก่คนที่ไปใส่บาตรแทนให้ก็จะได้บุญทั้ง 3 ทาง

    ครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่ง เมตตาแนะนำเสริมว่าโดยเฉพาะการ “จบของ” ก่อนใส่บาตรหรือทำสังฆทานนั้น ผู้ที่กำลังมีเจ้ากรรมนายเวรมารังควานมารบกวนหรือคิดว่ามี ที่กำลังทำให้เกิดปัญหาทั้งด้านการเงิน การงาน สุขภาพหรือด้านใดก็ตาม

    ขอให้ตั้งจิตอธิษฐานอุทิศบุญไปตอนนั้นเลย…และต้องแบบเจาะจงเฉพาะตัว

    เฉพาะเรื่องที่กำลังมีปัญหาอยู่ ถ้าจะให้ดีมากๆ ให้เจาะจงเรื่องที่ต้องการจริงๆ เพียงเรื่องเดียว อย่าเหมารวมทุกเรื่องแบบบุฟเฟต์ ปนมั่วสับสนกันไปหมดเพราะแรงบุญนั้นอาจจะกระจายไปเรื่องนั้นนิด ไปเรื่องนี้หน่อย จนอาจจะไม่เกิดพลัง ไม่เกิดผลเท่าที่ควร จึงขอแนะนำให้อธิษฐานในเรื่องเดียวแบบตรงประเด็นที่สุด เช่น

    “ด้วยบุญกุศลในการใส่บาตร (หรือทำสังฆทาน) ที่ข้าพเจ้า ……….(ชื่อของตน) ได้ทำสำเร็จแล้วในวันนี้ ขออุทิบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร ที่ตามจองเวรอยู่ในขณะนี้ที่กำลังทำให้เดือดร้อนเรื่อง…..(เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม) ขอให้ท่านเมตตามารับ มาร่วมอนุโมทนาบุญที่ทำนี้ เมื่อท่านยินดีพอใจในบุญนี้แล้วขอให้ถอนตัวจากอุปสรรคที่กำลังเกิดขึ้น และให้อโหสิกรรมกับข้าพเจ้า ขออานิสงส์แห่งบุญนี้ช่วยปรับภพภูมิให้เจ้ากรรมนายเวรอยู่ในภพภูมิที่มีความสุขยิ่งขึ้นไป นับตั้งแต่บัดนี้เทอญ” (คำอธิษฐานนี้อาจจะแตกต่างกันไปตามครูบาอาจารย์ แต่รับรองว่าถ้าถูกธรรมแล้วดีทุกครูบาอาจารย์ เพราะท่านพิจารณาแล้วขอให้เลือกใช้ได้ตามจริตของท่าน)

    เวลาที่อธิษฐานอุทิศบุญแผ่เมตตานี้ ในช่วงที่หลับตาตั้งจิตอธิษฐานขอให้นึกภาพว่ามีแสงสว่างมารวมที่จิตให้สว่างมากที่สุดเท่าที่จะนึกได้ แล้วส่งแสงสว่างนั้นออกจากจิตของเราให้พุ่งออกไปในวงกว้าง ยิ่งเราจำหน้าคนที่เราอยากอุทิศบุญไปให้ เช่น พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ลูก หรือเจ้าหนี้ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายให้ลำแสงที่ออกมาจากจิตนั้นพุ่งตรงไปที่เขาเลย จะเกิดผลดีมาก

    สำหรับครูบาอาจารย์ พระอริยสงฆ์ พรหมเทพเทวาทั้งหลายที่เราอุทิศบุญเพื่อถวายและเพื่อโมทนาพระคุณความดีของท่าน ขอให้เปลี่ยนจากการนึกภาพของแสงเป็นดอกไม้แทน จะเป็นดอกบัวหรือดอกอะไรก็ได้ที่ท่านชอบ เปลี่ยนจากการส่งลำแสงพุ่งไปหาเป็นการถวายดอกไม้ท่านที่เท้าของท่านหรือตรงหน้าท่านก็ได้

    หลายคนที่จิตมีกำลังมาก เมื่อเวลาอธิษฐานอุทิศบุญนี้สำหรับอุทิศโมทนาพระคุณความดีของสำหรับ พระอริยสงฆ์ พรหมเทพเทวา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ดอกไม้ที่ถวายในจิตนั้นจากดอกไม้ธรรมดาจะกลายเป็นดอกไม้บุญที่สุกสกาวเหมือนเพชรที่มีแสงระยิบระยับ สวยงามมาก

    ในส่วนของการอธิษฐานอุทิศบุญแผ่เมตตาไปให้เจ้ากรรมนายเวร คนที่จิตมีกำลังมากจะเห็นภาพในนิมิตเหมือนดาวระยิบระยับพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า ซึ่งก็หมายความว่า เจ้ากรรมนายเวรเขามีความสุขได้ปรับภพภูมิที่สูงขึ้นด้วยอานุภาพแห่งบุญที่เราอธิษฐานอุทิศบุญแผ่เมตตาไปให้ (แต่ท่านที่ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ขอให้ใจเป็นสุขในการให้และหมั่นทำไปเรื่อยๆ จะเห็นเอง)

    สำหรับเจ้ากรรมนายเวรที่สร้างปัญหาชีวิตให้กับเรานั้นมีอยู่ 2 แบบที่อยากจะเรียนให้ทราบ คือ แบบที่หนึ่งเป็นดวงจิตวิญญาณที่อยู่กันคนละภพภูมิกับเรา ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิสูงเป็นเทวดาหรือต่ำกว่าเราพวกผี พวกสัมภเวสีต่างๆ เป็นกายละเอียดที่เรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น การติดต่อกับเขาได้ต้องด้วยทางจิตเท่านั้นและการที่จะให้อะไรกับเขาต้องด้วยบุญเท่านั้นเช่นกัน จึงเป็นที่มาของการที่ต้องอุทิศบุญไปให้เขาเพื่อการอโหสิกรรม

    แบบที่สองเป็นเจ้ากรรมนายเวรแบบมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้องญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อนร่วมงาน คู่ค้า ลูกค้า สัตว์เลี้ยงหรือสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายที่มาทำให้เราทุกข์ใจหรือเดือดร้อนในเรื่องต่างๆ เจ้ากรรมนายเวรแบบมีชีวิตนั้นส่วนมากเราจะเป็นหนี้เขาด้วยการกระทำ เป็นหนี้เรื่องทรัพย์สินเงินทอง หากเราได้ทำการชดใช้และได้ไปขออโหสิกรรมกับเขา กรรมนั้นมักจะอโหสิกรรม

    นอกจากเรื่องทางกาย วาจาและใจที่เขาอาจจะไม่อภัย เช่น ไปเบียดเบียนเขา ไปทำให้เขาเสียประโยชน์ ไปสร้างความเจ็บแค้นทางใจอย่างรุนแรงจนเขาแค้นมากอาจจะไม่เอาแล้วเงินทอง คอยจ้องจะทำให้เราเสียหายตกต่ำช้ำใจให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

    บางคนเขาไม่แสดงออกแต่เขาแค้นอาฆาต ถ้าเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตแบบนี้เราไปหาเขาไม่ได้แน่นอนเพราะอาจจะไม่ปลอดภัย หากเรารู้จักชื่อเสียงของเขา ที่อยู่เป็นหลักแหล่งของเขา ตอนที่อุทิศบุญให้เอ่ยนามเขาและที่อยู่ด้วยจะดีมากๆ แบบเจาะจงตัวไปเลย

    นอกจากอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรแล้ว การอุทิศบุญให้เทวดาประจำตัวของเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตนั้นสำคัญมาก

    เพราะเจ้าหนี้บางคนนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ ดวงจิตของเขาบางคนยังโกรธมากๆ คงไม่ยอมยกโทษให้ง่ายๆ และมีความแค้นอาฆาตรุนแรง การอุทิศบุญไปให้เทวดาประจำตัวของเขาก็เพื่อขอให้ท่านช่วยเมตตาดลบันดาลทำให้จิตเขากลับเข้ามาทางกุศล เพื่อขอให้ท่านช่วยนำทางเขาให้คิดมาทางธรรมได้เร็วขึ้น เพื่อให้เจ้าหนี้เขารู้จักการให้อภัย การปล่อยวางได้ ซึ่งจะนำไปสู่การอโหสิกรรมต่อไปที่จะสำเร็จลงได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งใช้ได้กับทุกเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิต มีคนที่ทำงานแล้วเกิดปัญหากับเพื่อนร่วมงาน คู่ค้า เพื่อนบ้านหรือแม้แต่คนในบ้านการอุทิศบุญแบบเจาะจงนี้ช่วยให้คลายทุกข์มาแล้วมากมาย

    การอุทิศบุญแบบเจาะจงอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุรุษไปรษณีย์ที่ไปส่งจดหมายจะได้ส่งจดหมายนั้นถูกบ้านถูกตัว เพราะหากเราไม่เอ่ยชื่อเขาหรือเอ่ยถึงความเดือดร้อนที่ได้รับอยู่ในขณะนั้นแบบตรงตัว ตรงประเด็น ก็เหมือนเขียนจดหมายแต่ไม่จ่าหน้าซอง บุรุษไปรษณีย์ก็ไปส่งไม่ถูกคนนั้นแหละ

    สุดท้ายในเรื่องนี้ ขอให้รับทราบไว้ด้วยว่า อันคนเรานั้นไม่ได้มีเจ้ากรรมนายเวรรายเดียวแน่ๆ แค่คิดแต่เพียงที่เคยสร้างกรรมในชาตินี้ ลองคิดทบทวนดูดีๆ ว่าคงมีมากมาย ยิ่งรวมกับในอดีตชาติแล้วต้องนับกันไม่ถ้วนเลยทีเดียว จึงเป็นเหตุผลที่หลายคนบอกว่า ทำไมวิบากกรรมไม่ดีจึงยังไม่หมดจากชีวิตเสียที ก็เพราะเราสร้างเจ้ากรรมทำให้เกิดเจ้ากรรมนายเวรมากมาย

    การสร้างบุญและอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรนั้นจึงควรหมั่นทำทุกๆ วัน เพราะเราไม่รู้ว่าวันนี้ พรุ่งนี้จะเจอวิบากกรรมใดและเจ้ากรรมนายเวรท่านไหนมาทำให้เดือดร้อน จะเป็นกรรมหนักหรือกรรมเบา ถ้ามัวแต่นั่งรอให้วิบากกรรมไม่ดีมาส่งผล ยิ่งเป็นกรรมหนักฝ่ายไม่ดีด้วยแล้ว มันจะไม่ทันการณ์ ไม่ทันเวลา เป็นคนประมาทเหมือนคนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา หรือเพิ่งจะมาคิดมาหัดว่ายน้ำตอนที่แพจะแตกแล้วมันไม่ทันแน่นอน

    ดังนั้นเราควรจะสร้างบุญอธิษฐานอุทิศบุญแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรอย่างสม่ำเสมอถ้าทำแบบไม่หยุดยั้งแล้ว ชีวิตของเราก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะวิบากกรรมไม่ดีและจำนวนเจ้ากรรมนายเวรจะลดลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน แต่ต้องทำด้วยความสำนึกผิด แล้วอยากจะให้เจ้ากรรมนายเวรเขามีความสุขพ้นทุกข์จริงๆ เจ้ากรรมนายเวรเขารับรู้ได้ถึงเจตนาที่แท้จริง อย่าไปหลอกเขาเพราะไม่มีทางหลอกเขาได้ เขามีจิตที่ละเอียดกว่าเรามาก ขอให้สำนึกผิดจริงๆ แล้วอยากจะขอโทษ อยากช่วยเขาจริงๆ จะทำให้เราหลุดจากอุปสรรคเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นเร็วมาก

    เรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ได้ใช้เวลาอะไรมาก แต่ถ้าทำได้ถูกวิธีตรงช่องทาง ชีวิตก็จะมีความสุขเพิ่มขึ้นๆ ในทุกวัน โชคลาภที่ควรจะได้ก็จะเข้ามาเพราะเจ้ากรรมนาเวรเขาพอใจและให้อโหสิกรรมถอนตัวไป ไม่มาบังความสุข ไม่ปิดทางโชคลาภอีกแล้วนั่นเอง

    เมื่อบุญเกิดขึ้นแล้ว เราสามารถน้อมเอาผลบุญนั้น มาอุทิศให้แก่ผู้อื่น เพื่อให้ผู้อื่นนั้นมีความสุขด้วย อีกทั้งยังเป็นการใช้หนี้เวร หนี้กรรม เศษเวร เศษกรรม ทั้งหลาย ที่เกิดจากบาปเวรอกุศลกรรมที่เราเคยสร้างไว้กับผู้อื่น อันเป็นผลให้เราได้รับวิบากกรรมชั่วต่างๆ นานา (ที่เรามักว่ามาจากเจ้ากรรมนายเวรนั่นแหละ) โดยบุญที่เกิดขึ้นนั้น ก็ยังเป็นบุญของเราอยู่ด้วย การอุทิศให้ผู้อื่น ก็เพื่อให้เขาได้อนุโมทนาและได้มีส่วนในบุญนั้นด้วย

    ต่อจากนั้นเราก็กล่าวอุทิศบุญทั้งหลายนี้ให้กับบุคคลทั้งหลายที่เราปรารถนาจะอุทิศให้ แล้วจึงตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อให้บุญนั้นเกิดเป็นความสำเร็จในกิจการงานต่างๆ ตามที่เราได้ปรารถนา หรือตั้งเป้าหมายไว้ ส่วนการที่เราจะอุทิศบุญให้แก่ใคร บุคคลใดนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับบุคคลต่างๆ ในแง่ใด ในสถานการณ์ใด (ในทุกๆ ภพภูมิ หรือทุกมิติ) แล้วจึงเจาะจงอุทิศให้ไป (การอุทิศบุญต้องเจาะจง)

    ***(ควรทำให้ได้ทุกวัน และในแต่ละวันควรทำบุญให้ครบส่วน ทั้งในส่วนของ ทาน ศีล ภาวนา กรณีไม่มีโอกาสได้ทำทานทุกวัน หรือคิดว่ายังไม่พร้อมเพียงพอในเรื่องทรัพย์ปัจจัยที่จะนำไปใช้ในการทำบุญ ก็ให้หมั่นสะสมไว้ ใช้วิธีหยอดเงินใส่กระปุกออมสินรวบรวมไว้ก็ได้ แล้วนำไปทำทาน ถวายทาน ในแต่ละสัปดาห์ หรือตามโอกาส การทำบ่อยๆ จะทำให้จิตระลึกถึงบุญกุศลอยู่เสมอ)

    คำกล่าวอุทิศ โดยทั่วไป ใช้คำว่าอุทิศได้ทั้งนั้น ส่วนคนที่มีบุญบารมีมาก เราก็ควรใช้คำที่เหมาะสม ว่า “อุทิศถวายแด่” เช่น พรหมเทพ เทวดา ชั้นสูง บรรพกษัตริย์ แต่ในส่วนของผู้ทรงพระคุณความดีสูงสุด ครูบาอาจารย์ สมณะทั้งหลาย เราใช้คำว่า ขอน้อมถวายผลบุญนี้เพื่อบูชาพระคุณความดี ของท่าน

    ตัวอย่าง

    – ขอน้อมผลบุญทั้งหลายทั้งปวงนี้ ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา อริยสังฆบูชา

    – ขอน้อมถวายผลบุญทั้งหลายทั้งปวงนี้ ถวายเพื่อโมทนา และบูชาพระคุณความดีของ สมเด็จพระสังฆราชฯ ท่านพระอาจารย์…. ฯลฯ

    – ขออุทิศถวายผลบุญทั้งหลายทั้งปวงนี้ แด่ ท่านท้าวพระยายมราช ท่านท้าวจตุโลกบาล พระแม่ธรณี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฯลฯ

    – ขออุทิศผลบุญทั้งหลายทั้งปวงนี้ ให้แก่ บิดา มารดา นาย ก. นางสาว ข. เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ



    ****คำอุทิศบุญนี้ได้รับเมตตาจากครูบาอาจารย์คนสำคัญของ ธ.ธรรมรักษ์ คือ พระอาจารย์เกียรติณรงค์ กิตฺติวฑฺฒโน สถานปฏิบัติธรรมบ้านสุกขวิปัสสโก (บ้านจิตกุศล) จ.เชียงใหม่
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    สารพันปัญหาว่าด้วยเรื่องทาน
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    -http://www.jetovimut.com/forum/index.php?topic=954.0-

    ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ ถวายสังฆทานให้พระองค์เดียวได้ไหมคะ ?"

    หลวงพ่อ : "ได้ แต่พระไปฉันองค์เดียว พระองค์นั้นลงนรก นี้เรื่องจริงนะ อย่างฉันรับนี่ ฉันรับองค์เดียว แต่ว่าองค์เดียวนี่ ถือว่าเป็นผู้แทนคณะสงฆ์นะ อย่าไปกินไปใช้แต่ผู้เดียว นี่ไม่ได้ ของเขาย่อมมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบพระองค์เดียว หรือพระ ๓ องค์ ถือว่าเป็นผู้แทนสงฆ์ พระ ๓ องค์ ก็แบ่งไปใช้แค่ ๓ องค์ไม่ได้ จะต้องไปรวมทั้งคณะ คำว่า สังฆทาน สังฆะ เขาแปลว่า หมู่ "

    ผู้ถาม : "ลูกเป็นคนยากจน มีเงินน้อย อยากจะได้อานิสงส์มากๆ จะทำบุญอย่างไรดีคะ?"

    หลวงพ่อ : "คืออานิสงส์จริงๆ ต้องทำบุญให้มากที่สุด เท่าที่จะพึงทำได้ สมมติว่าเรามีเงินอยู่ ๑๐ บาท จะไปมาที่นี่ เสียค่ารถ ๖ บาท กินก๋วยเตี๋ยว ได้ครึ่งชามแล้ว หมดไป ๙ บาท เหลือ ๑ บาท เขียนที่หน้าซองเลยว่าเงินนี้ถวายสังฆทาน วิหารทานและธรรมทาน คนนี้อานิสงส์มากเหลือเกิน จำนวนเงินเขาไม่จำกัด เขาจำกัดกำลังใจ ถ้ากำลังใจมุ่งด้านดีนะ การทำบุญมากๆ คำว่า "ทำมาก" หมายความว่า ทำบ่อยๆ แต่คำว่า "บ่อย" ไม่ต้องทุกวันก็ได้นะ คำว่า "มาก" หมายความว่า ทำเต็มกำลังที่พึงทำ ไม่ใช่ขนเงินมามากเวลาทำบุญ ต้องดูก่อนว่า ค่าใช้จ่าย เรามีความจำเป็นเพียงไร เงินที่มีความจำเป็น อย่านำมาทำบุญ มันจะเดือดร้อนภายหลัง และให้เหลือส่วนนั้นไว้บ้าง แล้วแบ่งทำบุญพอสมควรและประการที่ ๒ การทำบุญ ถ้าใช้วัตถุมาก แต่กำลังใจน้อย ก็มีอานิสงส์น้อยถ้าหากใช้วัตถุน้อย กำลังใจมีมาก ก็มีอานิสงส์มาก อย่างถวายสังฆทาน ที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนำมานี่ ลงทุนไม่มาก แต่อานิสงส์มหาศาล ความจริง ถ้าจะพูดถึงอานิสงส์กันจริงๆล่ะก็รู้สึกว่าจะมากกว่าจัดงานที่บ้าน หรือที่วัดตั้ง เยอะแยะทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าถวายสังฆทาน เราทำกันแบบเงียบๆ ไม่มีกังวล

    การบำเพ็ญกุศลแต่ละคราว ถ้ามีกังวลมาก อานิสงส์มันก็น้อย เพราะว่าจิตที่เราเข้าสู่กุศลมันห่วงงานอื่นมากกว่าไม่ตั้งจิตโดยเฉพาะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถวายสังฆทานในหมู่สงฆ์ ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตามพระวินัย ท่านเรียกกันว่า คณะสงฆ์ ถ้าต่ำกว่านั้น เป็น คณะบุคคล ถ้าบุคคลเดียว เป็น ปาฏิปุคคลิกทาน โดยเฉพาะ ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์เป็นหมู่นี้มีอานิสงส์มาก เรื่องนี้ก็มีตัวอย่าง คนที่มีทรัพย์น้อย ทรัพย์มาก อย่างท่านอินทกะเทพบุตรกับ ท่านอังกุระ - เทพบุตร ไงล่ะ ท่านอังกุระเทพบุตร ทำบุญนอกเขตพระพุทธศาสนา เวลานั้นพระพุทธศาสนาไม่มี ตั้งโรงทาน ๘๐ โรง ให้ทานถึง ๒ หมื่นปี เลี้ยงคนกำพร้า คนตกยาก คนเดินทาง พอตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุดเพราะเขตของบุญเล็กไป คนไร้ศีลไร้ธรรม ใช่ไหม ตรงกันข้ามท่านอินทกะเทพบุตร เกิดเป็นคนจน พ่อตาย ตัดฟืนเลี้ยงแม่ ก็ไม่ได้ตัดขายมากมาย เอาแค่วันๆ พอกินพอใช้ไปวันๆวันหนึ่ง พระสงฆ์เดินผ่านไปที่นั้น ท่านมีโอกาสได้ถวายทาน ในฐานะที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ก่อนคนจนจะมีอะไรมากนักใช่ไหมล่ะ เพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นอาศัยคุณ คือความกตัญญูรู้คุณอย่างหนึ่งแล้ว ก็ถวายสังฆทานหนึ่ง สองอย่างด้วยกัน ตายแล้ว ไปเป็นเทวดาที่มีบุญมากที่สุดในดาวดึงส์ นอกจากพระอินทร์แล้ว ไม่มีใครโตกว่า"


    ผู้ถาม : "การที่เราทำบุญใส่บาตรตามหน้าบ้านกับพระที่เรารู้จักตามวัดกับการไปทำที่วัด อันไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันเจ้าคะ ?"

    หลวงพ่อ : "คือว่าการใส่บาตรตามหน้าบ้าน ไม่เฉพาะเจาะจง พระอะไรมาก็ใส่อย่างนี้ก็เป็นสังฆทาน ทีนี้ไปใส่บาตรตามพระที่ชอบใช่ไหม ?"

    ผู้ถาม : "ไม่ใช่ชอบค่ะ คือว่าศรัทธาค่ะ"

    หลวงพ่อ : "ชอบกับศรัทธาก็ครือกันล่ะ ถ้าศรัทธาฉันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป เป็นสังฆทาน มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ถ้าหากท่านฉันตั้งแต่ ๑ รูป ถึง ๓ รูป อย่างนี้เป็นปาฏิปุคคลิกทาน"

    ผู้ถาม : "มีอานิสงส์มากไหมคะ ?"

    หลวงพ่อ : "มีโยม ถ้าเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ถ้าจัดกันตามลำดับแย่นะ ไล่เบี้ยตั้งแต่ให้ทานกับคน ไม่มีศีล จนถึงพระอรหันต์ มีอานิสงส์ไม่เท่ากัน แต่จะพูดสรุปโดยย่อว่าถวายทานกับพระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับพระพุทธเจ้า ๑ ครั้งถวายทานกับพระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้งและถ้าถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่าถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง คือสร้างวิหาร มีการก่อสร้าง เช่นสร้างส้วม ศาลาการเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้นการถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิต และถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์ มีศรัทธาแท้ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้ จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวาย เกิดไปทุกชาติ ขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็ญใจไม่มีในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน

    คนที่ถวายสังฆทานแล้วจะไม่เกิดในที่นั้น ผลที่ให้ไปไกลมาก ท่านกล่าวว่าแม้แต่พระพุทธญาณเอง ก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทานคำว่า"ไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน" หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทานบำเพ็ญบารมีแล้ว แล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมดนี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน

    ฉะนั้น การถวายทานเป็นส่วนบุคคล กับถวายเป็นสังฆทาน อานิสงส์มันต่างกันลายแสนเท่าแล้วก็ยังมีอีกเวลาหนึ่ง ถ้าพระออกจากสมาบัติ นี่คูณหนักเข้าไปอีกไม่รู้เท่าไรทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระ มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่ง คือหมายความว่า ถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕ ประการอย่างนี้เราถวายกี่หมื่น กี่แสน อานิสงส์มันก็ไม่มาก ถ้าหากว่า ถวายแก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ บางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านที่เป็นพระอริยเจ้าก็เข้าถึงผลสมาบัติ ถ้าถวายทานกับท่านที่ออกจากนิโรธสมาบัติ หมายความว่า ให้คนเดียวนะ ก็ให้ผลปัจจุบันทันด่วน ให้ผลวันนั้นเลย"


    ผู้ถาม : "แล้วอย่างการใส่บาตร โดยเราลงมือใส่เอง กับให้ลูกจ้าง คือเด็กของเราใส่แทนอย่างไหนจะได้บุญมากกว่ากันคะ ?"

    หลวงพ่อ : "เราไปไม่ได้ แต่ให้คนอื่นไป ได้บุญเท่ากัน แต่เราใส่เอง เราเกิดความปลื้มใจอันนี้ได้กำไรอีกนิด แต่ผลของทานมันเสมอกัน"

    ผู้ถาม : "เวลาเราใส่บาตรไปแล้ว ถ้าหากว่าพระไม่ได้ฉันอาหารของเรา เราจะได้บุญไหมคะ ?"

    หลวงพ่อ : "บุญมันเริ่มได้ ตั้งแต่คิดว่าจะให้แล้วนะ พระจะฉันหรือไม่ฉัน ไม่ใช่ของแปลก คือการให้ทาน ตัวให้นี่มันตัดความโลภ และตัวให้นี่กันความจน ในชาติหน้า อันดับรองลงมา "ทานัง สัคคโส ทานัง" ทานเป็นบันไดให้เกิดในสวรรค์ ทีนี้ พอเราเริ่มให้ปั๊บ มันเริ่มได้ตั้งแต่เราตั้งใจ การตั้งใจนะ มันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วนะ เช่นคิดว่าพรุ่งนี้จะใส่บาตร ข้าวขันนี้ เราไม่กินแน่นอน คิดว่าเราจะไม่กินเองตั้งแต่วันนี้คิดว่า จะใส่บาตร นี่บุญมันเกิดตั้งแต่เวลานี้ แต่พอถึงพรุ่งนี้ ต้องใส่จริงๆนะอย่านึกโกหกพระ ไม่ได้นะ ไม่ใช่แกล้งนึกทุกวันๆ คิดว่านึกได้บุญ เลยไม่ได้ใส่บาตรสักทีนี่ดีไม่ดี ฉันพูดไปพูดมา เสียท่าเขานะแต่คิดว่าจะทำจริงๆนะ คือพรุ่งนี้จะใส่บาตรแน่ๆ แต่ว่าวันนี้เกิดตายก่อน นี่ได้รับ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกนั่นแหละ"เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าตัวตั้งใจเป็นตัวบุญพระพุทธเจ้าบอกว่ามันมีผลตั้งแต่การตั้งใจเริ่มสละออก พอคิดว่าเริ่มจะทำอารมณ์มันตัด ตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว ถือว่าไม่ได้เป็นของเราแล้ว มันได้ตั้งแต่ตอนนั้น"

    ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ การใส่บาตร วิระทะโย มีอานิสงส์อย่างไรคะ ?"

    หลวงพ่อ : "อานิสงส์เท่ากับ ถวายสังฆทานธรรมดา ไม่ต่างกัน อานิสงส์เหมือนกันหมด แต่ว่าใช้วิระทะโย ( คาถาภาวนากันจน ) มันมีผลปัจจุบัน ชาตินี้ทำให้เงินไม่ขาดตัว ถ้าใส่ บาตรทุกวัน สวดมนต์ทุกวัน ถ้าจะหมด ก็มีมาต่อจนได้ ถ้าแบ่งเวลาทำสมาธิล่ะก็ ขลังมากรวยมากหน่อย"

    ผู้ถาม : "เห็นพระบางองค์ดูลักษณะไม่สำรวม ท่านวนเวียนคอยรับบาตร บ้านคนโน้นคนนี้แล้วก็ถ่ายใส่ถัง ถ้าเราไม่ใส่บาตรพระแบบนี้ เราจะบาปไหมคะ ?"

    หลวงพ่อ : "บาป เขาแปลว่า ชั่ว บุญ เขาแปลว่า ดี ถ้าเราไม่ใส่ก็ไม่ชั่วตรงไหนนี่เพราะ ว่ามันเป็นทรัพย์สินของเรา ถ้าเราให้เขา เขาแสดงอาการไม่เป็นที่ เลื่อมใสเราไม่ให้ก็ไม่เห็นจะแปลก เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า การให้ทานก็จะต้องเลือกให้เหมือนกัน เพราะผู้รับถือว่าเป็น "เนื้อนาบุญ" ถ้าหว่านพืชลงในนาลุ่ม น้ำก็ท่วมตาย ถ้าดอนเกินไป น้ำไม่ถึงก็ตาย ต้องหว่านในเนื้อนาที่เหมาะ ถ้าเราเห็นนามันไม่ควร เราก็ไม่ให้ ทำไม่เหมาะไม่สม ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถ้าให้ก็เป็นการเลี้ยงโจร แต่ว่าถ้าพูดถึงทานการให้ เจตนาเราจะตั้งอย่างไรก็ตาม ตัวนี้มันเป็นผลตัดโลภะอยู่ตลอดเวลาส่วนใหญ่จริงๆ ที่มีอานิสงส์สูงสุด คือ ตัดโลภะความโลภ เพราะคนที่มีความโลภนี้ให้ทานไม่ได้ เงินที่จะให้ทานได้นี่ มันตัดความสุขของเจ้าของหากว่าเจ้าของเขาไม่ให้ เขากินเขาใช้ก็มีความสุข เขาอุตส่าห์ตัดความสุขของเขาส่วนนี้ออกไป เป็นการตัดโลภะความโลภ เป็นก้าวหนึ่งที่จะถึงพระนิพพาน อันนี้เขาไม่ต่ำมันเป็น "จาคานุสติกรรมฐาน" จาคานุสติกรรมฐานนี้ไม่ต้องไปภาวนา จิตคิดว่าจะให้ทานทุกวันๆนี่นะจิตคิดว่าถึงเวลานั้นเราจะใส่บาตร มากหรือน้อยก็ตาม อันนี้เป็น "จาคานุสติกรรมฐาน" และการใส่บาตรหน้าบ้าน เขาถือว่าเป็นสังฆทานมันก็มีผลสำหรับพระผู้รับ ถ้าผู้รับไม่ดี ก็ลงอเวจีไปเอง

    ผู้ถาม : "กระผมอยากจะทำบุญใส่บาตรเหมือนกันครับ แต่คิดว่าของที่จะใส่ บาตรทำบุญมันไม่ดี ก็เลยอาย ไม่อยากใส่ กะไว้ว่าถ้ามีอาหารดีเมื่อไหร่ ก็จะใส่บาตร ผมคิดอย่างนี้ถูกไหมครับ ?"

    หลวงพ่อ : "การทำบุญ ทำไมจะต้องอาย เคยมีนักเทศน์เขาถามกันว่า "มียายกับตา ๒ คน เขาหุงข้าวแฉะแล้วแฉะอีก ไอ้แกงก็เปรี้ยวแล้วเปรี้ยวอีก แกกินไม่ลง ของมันกินไม่ได้ เวลาพระมาบิณฑบาตแกก็บอกว่า ใส่บาตรดีกว่า" พระนักเทศน์ เขาก็ถามกันว่า "อย่างนี้จะได้อานิสงส์ไหม ?" ก็ต้องตอบว่า "ได้อานิสงส์ แต่ผลที่เขาจะได้รับ ก็เป็น "ทาสทาน"

    ผู้ถาม : ทาสทาน เป็นยังไงครับ ?

    หลวงพ่อ : "คำว่า "ทาสทาน" หมายความว่า ให้ของเลวกว่าที่เรากิน เราใช้...เวลาที่เราได้ของใช้สอยมันก็ต้องเลวกว่าที่เขากินเขาใช้กัน ได้ก็ได้ของเลวถ้าให้ของเสมอที่เรากินอยู่ หรือที่เราใช้อยู่ เขาเรียกว่า สหายทาน ผลที่เราจะได้รับ ก็เสมอกับที่เรากินเราใช้ถ้าให้ของที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้ เขาเรียกว่า สามีทาน สามีทาน เขาไม่ได้แปลว่า ผัวทานนะ สามีเขา แปลว่า นาย เวลาที่จะได้รับผล เราก็จะได้ของเลิศ ถ้าจะถามว่า ทาสทานมีอานิสงส์ไหม ก็ต้องดูตัวอย่าง ท่านอาฬวีเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ พระราชาตั้งเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าผ้าที่แกนุ่งนี้ ผ้าใหม่แกนุ่งไม่ได้ นุ่งผ้าช้ำแล้วใกล้จะขาด แกจึงนุ่งได้ ข้าวที่จะกิน เม็ดสวยๆก็กินไม่ได้ ต้องเป็นข้าวหัก หรือเป็นปลายข้าวแกจึงจะกินได้ ของทุกอย่างที่แกใช้ ต้องเป็นของเลว แต่อย่าลืมว่า เขาก็เป็นมหาเศรษฐีได้นะ

    อนึ่ง การตั้งใจว่าจะใส่บาตรด้วยของดีๆ น่ะดี แต่ว่าวันไหนมีอาหารที่เราคิดว่าไม่ดีก็ใส่บาตรได้การให้ทาน พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าให้เบียดเบียนตัวเองถ้าเบียดเบียนตัวเอง เป็น "อัตตกิลมถานุโยค" เป็นการทรมานตัว และการให้ทาน พระพุทธเจ้าให้ดูอีกว่า ควรให้หรือไม่ควรให้ถ้าให้ในเขตของคนเลว อานิสงส์ก็น้อย อาจจะไม่มีเลยรู้ว่าคนนี้ควรจะให้ เราก็ให้ ถ้าไม่ควรให้ เราก็ไม่ให้ ให้แล้ว ไปกินเหล้าเมายา ไปสร้างอันตรายกับคนอื่น เราไม่ให้ดีกว่าเป็นการต่อเท้าโจร ให้พลังแก่โจรเวลาจะให้ ท่านวางกฎไว้ดังนี้


    ๑.ผู้ให้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์หรือไม่ เขาจึงให้สมาทานศีลก่อน ถ้าสักแต่ว่าสมาทาน นี่ซวยเวลานั้นต้องตั้งใจรักษาศีลจริงๆ จิตตอนนั้นมันจึงจะบริสุทธิ์ คืออยู่ในช่วงว่างจากกิเลสถ้าตั้งใจสมาทานศีลด้วยดี จิตตอนนั้นบริสุทธิ์

    ๒.ผู้รับบริสุทธิ์ หมายความว่า ถ้าผู้รับเป็นพระ ก็พยายามให้เป็นพระจริงๆนะ

    ๓.วัตถุทานบริสุทธิ์ ถ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์เอามาทำบุญ ไม่ได้ขโมยสตางค์เขามาทำบุญเป็นของ ๓ อย่าง ถ้าลดไปอย่างใดอย่างหนึ่ง อานิสงส์ก็ลดตัวลงมาถ้าลดเสียหมดเลย ก็ไม่มีอานิสงส์ แต่ว่าการให้ทานพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อีกประการหนึ่งต้องให้ครบ ๓ กาล จึงจะมี

    อานิสงส์สูง คือ
    ๑. ก่อนจะให้ก็ตั้งใจว่าจะให้
    ๒. ขณะที่ให้ก็ดีใจ
    ๓. เมื่อให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใส


    มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยหนึ่ง เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจนลง ขนาดข้าวเป็นแทบไม่มีกินต้องกินปลายข้าว แต่ศรัทธาท่านยังไม่ถอย ท่านนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระสงฆ์ ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน ท่านก็เอาปลายข้าวละเอียด เรียกว่าข้าวปลายเกวียนต้ม แล้วก็เอาน้ำผักดอง เปรี้ยวๆ เค็มๆ ทำเป็นกับ มาถวายพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า

    "เวลานี้ ทานของข้าพระพุทธเจ้าเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าข้า"

    พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอมีเจตนาในการถวายทานอย่างไรล่ะ ?"

    ท่านบอกว่า

    "ก่อนจะให้ เต็มใจพร้อมเสมอ ในขณะที่ให้ก็ปลื้มใจ เมื่อให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใสดีใจว่าให้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า"

    พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า "ดูก่อนมหาเศรษฐี "ลูขัง วา ปณีตัง วา"

    หมายความว่า ถ้าคนให้ทานมีเจตนาพร้อมเพรียงทั้ง ๓ กาลอย่างนี้ ของดีก็ตาม ของเลวก็ตาม ย่อมมีอานิสงส์เลิศมีอานิสงส์สูง แต่ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านทำนั้น ท่านถวายพระพุทธเจ้า และพระที่ฉันก็เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด นับเป็นยอดของทาน ถ้าหากว่า เราไม่รู้จะเลือกยังไง องค์นี้จะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์หรือเปล่า หรือเป็นพระโปเก พระเชียงกง ถ้าเราไม่รู้ ก็ถวายเป็นสังฆทานเลย เพราะสังฆทานมีอานิสงส์สูงมากรองจากวิหารทาน"


    ผู้ถาม : "หลวงพ่อครับ ใส่บาตรตอนเช้า บังเอิญหากับข้าวไม่ทัน เอาปลาเค็มที่กินค้างเมื่อวานนี้ใส่ไปเพราะความจำเป็น อย่างนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ ?"

    หลวงพ่อ : "มีแน่ เป็นผลร้ายแรงมาก"


    ผู้ถาม : "ขนาดไหนครับหลวงพ่อ ?"

    หลวงพ่อ : "ตายแล้วเป็นธรรมดา นี่เป็นจริงๆนะ"

    ผู้ถาม : "ก็นี่เขากินเหลือนี่ครับ?"

    หลวงพ่อ : "เดี๋ยวก่อน... เคยอ่านในพระไตรปิฎกไหม ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จไปในที่แห่งหนึ่ง เวลานั้นสายเกินไป เลยเวลาอาหารตอนเช้า ใช่ไหม ก็มีพรหมณ์คนหนึ่งบอกว่า

    "อาหารของข้าพเจ้ามี แต่เวลานี้มันเป็นเดนเสียแล้ว การถวายพระพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระสงฆ์ เกรงจะเป็นบาป"

    พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอคิดว่าเป็นเดนน่ะ เธอตักกินในหม้อหรือเปล่า ?"

    เขาบอกว่า "เปล่า" เขาตักออกมาใส่ถ้วยแล้วกิน

    พระพุทธเจ้าบอกว่า "อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นเดน ถวายพระสงฆ์หรือพระพุทธเจ้าก็ดี จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบ"
    แล้วท่านก็ตรัสต่อไปว่า

    "ถึงแม้ว่า อาหารจะเป็นเดน คือกินในถ้วยนั้นแล้ว แต่ว่าถ้าพระท่านหิว ถ้าเอาไปถวาย ก็มีอานิสงส์สมบูรณ์แบบเหมือนกัน ไม่มีโทษมีแต่คุณ "อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า สมัยพระพุทธกัสสป ท่านเทศนาไว้อย่างนี้คือ"บุคคลใดทำบุญด้วยตนเองไม่ชักชวนคนอื่น ถ้าเกิดในชาติต่อไป จะร่ำรวยโภคสมบัติ แต่ขาดเพื่อน ขาดบริวาร สมบัติถ้าดีแต่ชักชวนเขา ไม่ทำเอง ชาติต่อไป มีเพื่อนมาก แต่ตัวเองจนถ้าทำบุญด้วยตนเองด้วย ชักชวนผู้อื่นด้วย รวยด้วย มีพรรคพวกมากด้วย"

    นี่ท่านเทศน์แบบนี้นะ ถ้าเราทำคนเดียวได้ก็ทำ ทีนี้ถ้าเราชวนเขาด้วย แต่ว่าการชวนนี่ก็ลำบากนะ ถ้าชวนเขาทำบุญด้วย ก็อย่าหวังว่า เขาจะให้เรานะ คิดว่าเขาให้หรือไม่ให้ ก็เป็นเรื่องของเขา คือแนะนำเขา ว่าเวลานี้ เราทำโน่นทำนี่จะทำบุญร่วมด้วยไหม ? ถ้าบังเอิญเขาไม่ทำร่วมด้วยอย่าโกรธ เราถือว่า เราชวนเขาทำความดี ถ้าเราโกรธเขาเข้า บุญเราจะด้อยลงไป เพราะตัวโกรธเข้ามาตัด

    ผู้ถาม : "ดิฉันเคยอ่านเจอในหนังสือที่หลวงพ่อเขียน บอกว่าการถวายสังฆทาน ควรมีพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร และอาหาร อันนี้จำเป็นจะต้องมีครบตามนี้ไหมคะ ?"

    หลวงพ่อ : "ความจริง เราไม่ทำถึงขนาดนี้ก็ได้ การถวายสังฆทานในที่บางแห่งใช้เครื่อง ๕ เครื่อง ๘ นี่เป็นการสร้างขึ้น เรามีข้าวเพียงช้อนหนึ่ง แกงเพียงช้อนหนึ่งน้ำเพียงช้อนหนึ่ง แล้วถวายไป บอกว่าเป็นสังฆทาน เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ แต่ว่าที่เขียนไว้ในหนังสือ ว่าควรทำแบบนี้เพราะว่าผีกี่ร้อยกี่พันรายก็ตาม มาขอกันแบบนี้เรื่อยคือขอเหมือนกัน ที่ฉันแนะนำเขา ก็ทำตามที่ผีเขาขอนะ เลยถามเขาว่า "ผลจะได้แก่พวกเอ็งเป็นยังไง ?"
    เขาบอกว่า

    ๑. ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ อานิสงส์ก็คือ ถ้าเป็นเทวดาจะมีรัศมีกายสว่างไสวมาก เพราะว่าเทวดาหรือพรหม เขาไม่ดูกันที่เครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างจากกาย
    ๒. ผ้าไตรจีวร หรือผ้าสักผืนหนึ่ง เขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ เครื่องแต่งตัวทิพย์
    ๓. อาหารหรือของกิน จะทำให้มีร่างกายเป็นทิพย์"

    ผู้ถาม : "ทีนี้ถ้าหากว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจุติจากเทวโลกกก็ดี พรหมโลกก็ดี มาเกิดเป็นมนุษย์ อานิสงส์เหล่านี้จะติดตามมาอีกไหมครับ ?"

    หลวงพ่อ : "อานิสงส์ตามมาคือ
    ๑. จะมีรูปร่างหน้าตาสวย เพราะอานิสงส์ถวายพระพุทธรูป แล้วก็มีปัญญาทรงตัวนี่อำนาจ พุทธานุภาพนะ
    ๒. เครื่องประดับเครื่องแต่งตัวดี และไม่อดอยาก เพราะอาศัยทาน ตัวอย่าง นางวิสาขาเป็น คนสวยงามมาก เพราะในชาติก่อน ได้เคยซ่อมแซมพระพุทธรูปและปลูกโรงทำหลังคาคลุมพระพุทธรูป จึงเป็นปัจจัยทำให้ได้เบญจกัลยาณี คือมีความงาม ๕ ประการ และ นางวิสาขาก็เป็นคนรวยมาก มีเครื่องลดามหาปสาธน์ราคา ๑๖ โกฏิ เป็นเครื่องประดับ เพราะอานิสงส์เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาทั้งนี้ ด้วยอำนาจบุญบารมีที่ท่านได้บำเพ็ญแล้วด้วยดี จึงเป็นปัจจัยให้นางวิสาขา เป็นทั้งคนสวย คนรวย และเป็นคนมีปัญญามาก ได้เป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ"


    ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ การทำบุญวันเกิด เราจะทำหลังวันเกิด หรือก่อนวันเกิดดีคะ ?"

    หลวงพ่อ : "ตอนไหนก็ได้ การทำบุญวันเกิด เราถือว่าปีหนึ่ง เรามีโอกาสทำบุญครั้งหนึ่ง ที่เราทำบุญวันเกิดนี่เป็นนโยบายของพระ ท่านให้เรามีจิตเป็นกุศลไว้ถ้าถึงวันเกิดเราตั้งใจจะทำบุญ เราจะทำอะไรบ้าง มีการเตรียมการไว้ในใจถ้าจิตมันนึกอย่างนี้ เวลาจะตาย อานิสงส์ ได้ทันที อย่างสาตกีเทพธิดา เธอจะเอาดอกบวบขมไปบูชาเจดีย์ ที่เขาบรรจุกระดูกของพระ อรหันต์ แต่พอจัดดอกไม้ยังไม่ทันพ้นบ้าน ถูกวัวขวิดตาย อาศัยที่เธอจะตั้งใจบูชาพระด้วยดอกไม้ดอกนั้น ยังไปไม่ถึง พอตายแล้วก็เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร อย่างนี้เขาถือว่าเป็นอนุสติ ถ้าเรานึกจะถวายเป็นสิ่งของก็เป็น จาคานุสติคิดว่าเราจะทำบุญกับพระองค์นั้นองค์นี้ นึกถึงพระสงฆ์ก็เป็นสังฆานุสติถ้าเราคิดจะทำบุญกับพระสงฆ์ แต่ให้มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ด้วย นึกถึงพระพุทธ ก็เป็นพุทธานุสติ ถือว่าเป็นการเจริญพระกรรมฐานไปในตัว แต่พระท่านไม่ได้บอกตรงๆเท่านั้น เอง"

    ผู้ถาม : "รู้สึกว่า สมบัติที่เราทำไปมันน้อย ก็คิดว่าบุญคงได้น้อยค่ะ ?"

    หลวงพ่อ : "สมบัติมันเล็กน้อยก็จริง แต่ว่าอานิสงส์มันไม่เล็กน้อย ก็แบบซื้อล็อตเตอรี่ใบเดียว แต่ถูก รางวัลที่ ๑ อย่างทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างอาคาร สร้างส้วม เขาเรียกว่าวิหารทานอันนี้จัดเป็นบุญสูงสุดตัวอย่างตอนที่พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็น มฆมานพ ท่านกับเพื่อนอีก ๓๒ คน ช่วยกันทำ ศาลาหลังหนึ่งไว้เป็นที่พักของคนเดินทาง มีช้างสำหรับลากไม้ ๑ เชื่อก มีนายช่าง ๑ คน เวลาตายไปแล้ว ท่านมฆมานพก็ไปเกิดเป็นพระอินทร์ เพื่อนอีก ๓๒ คน ก็ไปเป็นเทวดา มีวิมานคนละหลัง นายช่างไปเป็นวิษณุกรรมเทพบุตร ช้างที่ลากไม้เป็น เอราวัณเทพบุตร มีวิมานคนละหลังเหมือนกัน นี่เป็นเรื่องของอานิสงส์นะ"

    ผู้ถาม : "หลวงพ่อครับ กุศลชนิดใดที่มีอานิสงส์มากกว่าวิหารทานบ้างครับ ?"

    หลวงพ่อ : "สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ......การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง ให้ธรรมทานซีคุณ หนังสือเรียนของเด็ก หนังสือเรียนของผู้ใหญ่หนังสือเรียนของพระหนังสือธรรมะต่างๆ ดูตัวอย่างพระสารีบุตร ให้ปัญญากับประชาชนทั้งหลาย เพราะอานิสงส์ได้เคยสร้างพระธรรม ซึ่งเป็นถ้อยคำที่มีประโยชน์ถวายพระพุทธเจ้า เกิดมาชาติหลังสุด จึงทำให้เป็นพระที่มีปัญญามาก อย่างเงินที่เขาถวายฉันไว้นี่ พอกลับไปถึงวัดก็เรียบร้อย เลี้ยงอาหารพระบ้าง ค่ากระแสไฟฟ้าบ้าง ค่าก่อสร้างบ้าง รวมความว่า ที่ท่านตั้งใจนี่มีผล ๔ อย่าง
    ๑. สร้างพระพุทธรูป
    ๒. วิหารทาน
    ๓. สังฆทาน
    ๔. ธรรมทาน

    ทั้งหมดนี้ ใช้ทุนไม่ต้องมากก็ได้ เอาสัก ๕๐ สตางค์ เป็นอันว่า การทำบุญเอาแค่พอสมควร แต่ให้มันเป็นบุญใหญ่ เขามุ่งแบบนั้นนะ คือเราเอาไปผสมกับเขาก็แล้วกันไม่ต้องสร้างทั้งหลัง"


    ผู้ถาม : "กระผมสงสัยเรื่องการทำบุญ บางคนก็ทำช้า บางคนก็ทำไว อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า การทำบุญช้าบ้าง เร็วบ้าง ยืดยาดบ้าง อานิสงส์ จะต่างกันหรือไม่ขอรับ ?"

    หลวงพ่อ : "ต่างกัน คือได้ช้า ได้เร็ว ต่างกันก็เหมือนท่าน จูเฬกสาฎก ท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า ตั้งใจถวายทานตั้งแต่ยามต้น และยามที่ ๒ จิตเป็นห่วงยายที่บ้าน ไม่มีโอกาสจะฟังเทศน์ เพราะไม่มีผ้าห่ม พอยามที่ ๓ ใกล้สว่าง จึงตัดสินใจถวาย แล้วประกาศว่า
    "ชิตัง เม ชิตัง เม" พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยิน ก็ทราบว่า ชนะความตระหนี่ จึงนำผ้าสาฎก และทรัพย์สินต่างๆมาให้ มีฐานะเป็นคหบดีคนหนึ่งต่อมาพระพุทธเจ้าตรัสว่า "ถ้าพราหมณ์นี้ถวายในยามต้น จะได้เป็นมหาเศรษฐีถ้าถวายยามที่ ๒ จะได้เป็นอนุเศรษฐี ยามที่ ๓ จะได้เป็นคหบดีใหญ่ที่ได้น้อย เพราะถวายช้าเกินไป พระองค์จึงตรัสว่า การบำเพ็ญกุศลผล ความดีในศาสนาของเรานี้ จงอย่าให้เนิ่นช้า ต้อง ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง คือเร็วๆ ไวๆ"

    ที่มา :-http://www.mfuzone.com/nboard/index.php?showtopic=11864-
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    การกินเจ ไม่ใช่การทำบุญ การกินเนื้อสัตว์ ไม่ใช่การทำบาป

    เรื่อง "การบริโภคเนื้อสัตว์"

    (วิสัชนาธรรมโดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ)

    ที่มา -http://www.share-si.com/2016/09/blog-post_600.html-


    สมเด็จพระสังฆราช เคยปรารถเรื่องการกินเจกับพระราชินีว่าคนไทย "เข้าใจผิด" อยู่มาก

    การกินเจ (ตั้งใจไม่กินเนื้อสัตว์) จริงๆไม่ได้บุญ

    อธิบาย คือ เราไม่กินข้าวขาหมู แล้วคิด(จิตนาการ) ว่า หมูจะไม่ถูกฆ่า เปรียบได้กับเรานั่งอยู่บ้านเฉยๆ แล้วคิด(จิตนาการ) ว่า เราไปช่วยสอนหนังสือคนอนาถา บุญที่เราไปสอนหนังสือคนอนาถานั้น ไม่มี ไม่เกิด เพราะเรา นึกๆคิดๆไปเองไม่ได้ทำ ไม่ได้กระทำจริง ถ้าอยากได้บุญ เราต้องช่วยชีวิตสัตว์ มี ๒ ข้อ คือ

    ๑.ช่วยชีวิตมันโดยการไถ่ชีวิต ซื้อสัตว์ที่กำลังถูกฆ่านำมาปล่อย
    ๒.เมตตาสัตว์ไม่ทำร้ายมัน อย่างนี้เป็นบุญ

    แต่การกินเจ บุญไม่เกิด เพราะเราไม่ได้ลงมือกระทำจริง(ช่วยชีวิตสัตว์) เป็นเพียงแต่คิดไปเอง

    พระเทวทัตเคย มาเสนอให้ชาวพุทธไม่กินเนื้อสัตว์
    พระพุทธเจ้าปฎิเสธ พร้อมให้เหตุผลว่า
    ๑. เนื้อสัตว์ไม่ใช่ของเหม็น อกุศลกรรมต่างหากที่เป็นของเหม็น
    ๒. พระต้อง ควรเป็นผู้เลี้ยงง่าย
    ๓. อนุญาติในการกินเนื้อสัตว์ที่ -ไม่เห็น -ไม่รู้ -ไม่ใช่เนื้อที่ฆ่าโดยเฉพาะให้ตน
    ๔. อาหารเป็นแค่ของเลี้ยงกายไม่ให้ตาย อย่าสนใจมาก

    การรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นบุญหรือไม่ ?

    การที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำอะไร เป็นบุญหรือไม่เป็นบุญนั้น ต้องอาศัยกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่าด้วย บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง คือ

    ๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
    ๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
    ๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
    ๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
    ๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือขวนขวายในกิจการงานต่างๆ
    ๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
    ๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
    ๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
    ๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม
    ๑๐.ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความคิดเห็นของตนให้ตรง

    เมื่อเทียบเคียงกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ วิธี แล้ว ไม่พบว่าการรับประทานอาหารมังสวิรัติ คือ รับประทานแต่พืชผักเป็นวิธีทำบุญข้อใดเลย จึงไม่นับว่าเป็นวิธีทำบุญในพระพุทธศาสนา ลองคิดดูว่าถ้าการกินพืช เช่น ผัก หญ้า ได้บุญ แล้วสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร เช่น วัว ควาย แพะ แกะ ก็ต้องได้บุญมากกว่ามนุษย์ เพราะสัตว์พวกนี้กินพืชตลอดชีวิตไม่กินเนื้อสัตว์เลย

    การกินเนื้อสัตว์ บาป หรือ ไม่ ?

    การที่จะวินิจฉัยว่าบาปหรือไม่บาปนั้น ต้องพิจารณาว่า การกินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว เป็นการผิดศีลข้อปาณาติบาต หรือไม่ ศีลข้อปาณาติบาต คือ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ นั้นจะผิดศีลก็ต่อเมื่อประกอบด้วย องค์ ๕ คือ

    ๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
    ๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
    ๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
    ๔. อุปกฺกโม พยายามที่จะฆ่า
    ๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น

    เมื่อครบองค์ประกอบทั้ง ๕ ข้อ จึงถือว่าเป็นการฆ่าสัตว์ ผิดศีลข้อที่ ๑ เป็นบาป แต่ถ้าไม่ได้ลงมือฆ่าเอง และไม่ได้ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ก็ไม่เป็นบาป ตัวอย่าง เราไปจ่ายตลาด ซื้อกุ้งแห้ง ปลาดุกย่าง ปลาทู เนื้อหมู ฯลฯ เราได้มีส่วนร่วมในการฆ่าสัตว์เหล่านั้นหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นย่อมตายก่อนที่เราจะไปซื้อมาเป็นอาหาร ถึงเราจะซื้อหรือไม่ซื้อ สัตว์เหล่านั้นก็ตายอยู่แล้ว เราไม่ได้มีส่วนทำให้ตาย

    มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า

    “นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต”
    “บาป ไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ”

    การกินผักก็อาจจะต้องฆ่าสัตว์ทางอ้อมไปด้วยเช่นกัน เพราะต้องไถดิน ใส่ปุ๋ย ใช้ยากำจัดแมลง อาจทำให้แมลงต่างๆ ไส้เดือนตายได้ ถ้าแบบนี้บาปก็คงไม่ต้องทำสัมมาอาชีพกันเลย

    หลวงปู่แหวนท่านบอกว่า
    "ไอ้วัวควายกินหญ้าอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว"

    จากเพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น

    ที่มา -http://www.share-si.com/2016/09/blog-post_600.html-

    -------------------------------------------------


    วิธีการทำบุญที่ถูกต้อง มี 10 วิธี
    มีเพียงแค่นี้ ส่วนวิธีอื่นๆที่นอกเหนือจากนี้ ไม่ใช่การทำบุญครับ
    เช่น การกินเจ ก็ไม่ใช่การทำบุญครับ


    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • boon10.png
      boon10.png
      ขนาดไฟล์:
      77.6 KB
      เปิดดู:
      128
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เตือนภัย!? แฉกลโกง “มิจฉาชีพ ยูเทิร์น”
    วิธีการหากินรูปแบบใหม่ ฉลาดมาก ล้ำกว่าที่เคยมีมา…บอกเลยไม่ธรรมดา

    -http://skynews.sayhibeauty.com/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%89%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%87-%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%89%E0%B8%B2/-



    มิจฉาชีพ เป็นสิ่งที่อยู่กัดกินสังคมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะไปที่ไหน ทำอะไร สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดเลยก็คือบุคคล เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคนไหนเป็นคนดี คนไหนเป็นมิจฉาชีพแฝงตัวมา แถมวิธีหลอกลวง ฉ้อโกง ของเหล่ามิจฉาชีพก็มักจะมีรูปแบบใหม่ๆมาอยู่เสมอ แทบจับไม่ได้ไล่ไม่ทันเลยทีเดียว

    ล่าสุด มีกลโกงของมิจฉาชีพแบบใหม่ ที่สังคมให้ชื่อว่า “มิจฉาชีพยูเทิร์น” เพราะมิจฉาชีพเหล่านี้ จะปรากฏตัวและฉ้อโกงคนในขณะที่ขับรถและยูเทิร์นรถนั่นเอง ซึ่งสมาชิกเฟซบุ๊กใช้ชื่อว่า Arvut Kaewniam ได้โพสต์ภาพเตือนภัยและข้อความแฉกลวิธีของมิจฉาชีพยูเทิร์นอย่างละเอียด โดยระบุไว้ว่า

    “”มิจฉาชีพ ยูเทิร์น”
    …เตือนภัยกันสักนิด เรื่อง มิจฉาชีพ ยูเทิร์น เดี๋ยวนี้ หากินกันแปลกๆ…
    __เรื่อง การหากิน ตรงทางกลับรถ ผมเองก็เพิ่งจะเจอ การทำงานเป็นทีม ที่สมบูรณ์แบบที่สุด เขาจะขับรถไป ยูเทิร์น ซึ่งขับนำรถเราไป พอถึงที่ยูเทิร์น ก็ยูเทิร์น เราก็ยูเทิร์น…นึกภาพตามนะครับ…ระหว่างเรากำลังกลับรถ รถคันอื่นๆ ที่อยู่ฝั่งนี้ ก็จะหยุดให้เรากันหมด ทั้ง 3 เลน พอเรากำลังหักพวงมาลัย เต็มที่ รถเราก็กำลังกลับหัว การมอง ก็จะเน้นมองข้างหน้า…ครานี้ล่ะ ได้จังหวะ มิจฉาชีพอีกคน จะขี่มอไซค์ มาจากเลนซ้ายสุด มาแบบพุ่งมาเลย เพื่อให้เราชน!!..โครม ร่วง โอดโอย…ลงไปดู เจรจา…หน้าม้า เริ่มมา(คนที่ขับรถนำหน้าเรามาก่อนนี้)..ทำเป็นมาช่วยเจรจาต่อรอง ให้เราจ่ายค่ารักษา จ่ายค่าซ่อมรถ…ถ้าตกลงกันได้ เรื่องจบ…ถ้าตกลงไม่ได้ มีต่อ…หน้าม้าคนที่ 2 ถือกระป๋องสี มาทำทีดูแลความเรียบร้อย…เจรจาต่อรอง ช่วยไกล่เกลี่ย ค่าเสียหาย…ถ้าตกลงกันได้เรื่องจบ…ถ้าตกลงไม่ได้ เรียกร้อยเวร (ว่างั้น)…หน้าม้าคนที่ 3 ร้อยเวรปลอม มาถึงทันที ทุกคนในที่นี่ จะมาถึงทันที โดยไม่ต้องโทรหา ไม่ต้องแจ้ง เพราะมันได้เตรียมการไว้หมดแล้ว…เราแทบหนีไม่ออก…
    “น่ากลัวครับ และ ควรระวังที่สุด”
    ข้อควรจำ
    1.ทุกทางกลับรถ ให้ขับช้าๆ อย่ารีบ อย่าคิดว่าทางกลับรถ คือช่วงที่ต้องรีบ ไม่จำเป็นครับ
    2.หากเกิดเหตุ ดังว่า พยายามให้มันชนข้างรถเรา อย่าให้เราชนมันตรงๆ
    3.ไม่ต้องเจรจากับคนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าใคร แม้แต่คนที่ใส่เครื่องแบบฯ
    4.เรียกประกันเท่านั้น
    5.ถ่ายรูป ทุกมุมในจุดเกิดเหตุเอาไว้
    6.โทรปรึกษา ญาติ เพื่อน ทันที
    7.อย่ายอมตามข้อเสนอของพวกมัน ไม่ว่ามากหรือน้อยทั้งนั้น
    8.ระวังทรัพย์สินในรถเราด้วย เผลอเป็นโดน
    9.ช่วยเล่นงานมันกลับด้วย 555

    **ก็ฝากกันเอาไว้นะครับ สำหรับนักขับขี่ทั้งหลาย คนเดี๋ยวนี้มันใจดำครับ**

    ผู้ขับขี่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจนะคะ ควรรู้ให้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของมิจฉาชีพ เพราะวันนึงเราอาจตกเป็นเหยื่อของบุคคลเหล่านั้นก็ได้

    ที่มา : -thaiautocars.com-

    ที่มา เตือนภัย!? แฉกลโกง “มิจฉาชีพ ยูเทิร์น” วิธีการหากินรูปแบบใหม่ ฉลาดมาก ล้ำกว่าที่เคยมีมา…
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    สำคัญ! ผู้มีความจงรักภักดี ต้องรู้! อย่าทำ อย่าไลก์ อย่าแชร์ภาพเข้าข่าย มิบังควร
    -http://www.oknation.net/blog/tewson/2016/01/15/entry-1-

    เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่มีความจงรักภักดี ต้องรู้!
    จากการสังเกตตลอดช่วงที่ผ่านมา ผมพบว่ามีพระบรมฉายาลักษณ์/พระบรมฉายาลักษณ์/ พระฉายาลักษณ์/ พระรูป ที่โพสต์ทางเฟซบุ๊ก หรือส่งต่อกันทางไลน์ เห็นแล้วต้องออกมาพูดมาเตือนผู้กระทำ อาจเพราะไม่เคยรู้ว่าทำผิดแบบแผนที่สำนักราชเลขาธิการได้ให้แนวทางไว้ ซึ่งเราทั้งหลาย จะต้องไม่ทำ และไม่ส่งเสริมการกระทำที่มิบังควร อย่าไลก์ อย่าแชร์ ภาพที่เข้าข่าย ดังนี้


    รูปที่ 1
    หมายเหตุ : ข้อความข้างบนนี้ได้รับจากผู้ใหญ่ที่เคารพทำขึ้น
    มีบางคำที่เขียนตกเขียนผิด แต่โดยเนื้อหาเป็นไปตามที่เตือนมาครับ

    .

    ๑ พระบรมฉายาลักษณ์/พระฉายาลักษณ์ พระบรมสาทิสลักษณ์/พระสาทิสลักษณ์ ที่มีข้อความใดๆ เหนือพระเศียร และตัวอักษรทับพระองค์…อย่าทำ...อย่าไลก์...อย่าแชร์ (จะเห็นว่า นิตยสารที่อัญเชิญ พระบรมฉายาลักษณ์/พระฉายาลักษณ์/พระรูป ลงปก จะต้องเปลี่ยนตำแหน่งชื่อนิตยสารมาไว้ข้างล่างเสมอ)

    ๒.พระบรมฉายาลักษณ์/ พระฉายาลักษณ์ ที่นำมาตกแต่งผิดไปจากเดิม หรือใช้เทคนิคจนเกินความเป็นธรรมชาติด้วยวิธีการใดๆ แล้วส่งทักทายสวัสดีกัน ทั้งในเฟชบุ๊ก และในไลน์...อย่าทำ...อย่าไลก์ อย่าแชร์

    ๓.พระบรมฉายาลักษณ์/ พระฉายาลักษณ์ ที่นำมาตกแต่ง และใส่เครดิตตนเองลงไปด้านล่างไม่ว่าจะตัวเล็กหรือใหญ่...มิบังควรอย่างยิ่ง อย่าทำ...อย่าไลก์ อย่าแชร์

    ๔.มิบังควร นำพระบรมฉายาลักษณ์/ พระฉายาลักษณ์ มาเป็นภาพโปรไฟล์ของตนเอง แม้ด้วยแรงจูงใจจงรักภักดี แต่ภาพโปรไฟล์ คือ ภาพแสดงตัวตนคนนั้นๆ...จึงเป็นการกระทำที่มิบังควรอย่างยิ่ง...อย่าทำเด็ดขาด

    ๕.การเขียนถวายราชสดุดีหรือถวายพระพรชัยมงคล คู่กับ พระบรมฉายาลักษณ์/ พระฉายาลักษณ์ จะต้องแยกส่วนชัดเจน หรือขอบเขตแยกต่างหาก และต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม ต้องไม่สูงเกินกว่า พระอุระ/พระทรวง

    นอกจากนี้ หากจะทำพระฉายาลักษณ์/พระรูป เผยแพร่ พร้อมพระนามเพื่อแสดงความจงรักภักดีในโอกาสต่างๆ จะต้องใส่พระนามพร้อมพระราชอิสริยยศ/พระอิสริยศ ให้ครบถ้วนเสมอ (เว้นแต่ "พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เขียนแต่เพียงเท่านี้) มิบังควรเขียนสั้นๆ เช่น พระเทพฯ พระบรมฯ องค์โสมฯ องค์ภาฯ เว้นแต่เอ่ยพระนามลำลองส่วนตัว และคำบรรยายต้องอยู่ในตำแหน่งใต้พระฉายาลักษณ์ ไม่ใช่เหนือพระเศียร

    และที่สำคัญ หากจะทำภาพ พระบรมฉายาลักษณ์/พระฉายาลักษณ์/พระรูป เพื่อถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสสำคัญ พร้อมเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ ในนามองค์กรหรือหน่วยงาน จะต้องทำเรื่อง ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต/ พระราชานุญาต ขอประทานพระอนุญาต ผ่านสำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง เพื่อนำความกราบบังคมทูล, กราบทูล ต่อไป


    เราไม่อาจอ้างว่า "มีความจงรักภักดี" แล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจ เพราะหากจงรักภักดีจริง ย่อมสนใจใส่ใจที่จะเรียนรู้เมื่อมีโอกาสได้รู้ หรือไม่ยอมปล่อยผ่านสิ่งที่ไม่มั่นใจ การขวนขวายเรียนรู้ในธรรมเนียมปฏิบัติ เป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อคนไทยทุกคน ที่อาศัยทั้งในราชอาณาจักรและนอกราชอาณาจักร เพราะสะท้อนถึงความปรารถนาที่จะแสดงออกว่า เรามีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เราภาคภูมิใจอย่างแท้จริง

    (หมาย เหตุ: การทำภาพไม่ว่ากรณีใดๆ ใช้หลักเดียวกันนี้ ทั้งพระบรมฉายาลักษณ์, พระฉายาลักษณ์, พระรูป, พระบรมสาทิสลักษณ์, พระสาทิสลักษณ์, พระรูปวาด ของพระราชวงศ์)

    อ้างอิง : สำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง


    .

    ภาพที่เข้าข่าย มิบังควร เริ่มตั้งแต่ภาพที่ 7 เป็นต้นไป


    .

    ภาพที่เข้าข่าย "มิบังควร"
    .

    มิบังควรมีตัวอักษรใดๆ ทับพระองค์แบบนี้

    .


    มิบังควร มีอักษรใดๆ อยู่เหนือพระเศียร

    .

    .

    มิบังควร เขียนอักษร/ข้อความ เหนือพระเศียร
    .


    มิบังควร ทำภาพตกแต่งด้วยเทคนิค จนผิดธรรมชาติ และใส่เครดิตชื่อ

    .

    มิบังควร ทำตัวอักษรทับไปบนพระองค์เช่นนี้
    ควรทำกรอบแยกต่างหากด้านล่าง หรือ แยกเป็นกรอบข้อความต่างหาก
    .

    มิบังควร ทำตัวอักษรทับไปบนพระองค์เช่นนี้
    ควรทำกรอบแยกต่างหากด้านล่าง หรือ แยกเป็นกรอบข้อความต่างหาก
    .

    มิบังควร ทำตัวอักษรทับไปบนพระองค์เช่นนี้ และใช้ราชาศัพท์ผิด
    ต้องใช้ว่า "พระอาการประชวร" โดยข้อความควรอยู่ในกรอบต่างหาก
    .

    .
    มิบังควร ทำภาพตกแต่งด้วยเทคนิค จนผิดธรรมชาติ
    แม้เป็นพระราชดำรัส แต่มิบังควร ทำตัวอักษรใส่ไปในพระบรมฉายาลักษณ์
    ควรทำกรอบแยกต่างหากด้านล่าง หรือ แยกเป็นกรอบข้อความต่างหาก
    มิบังควรใส่ตัวอักษรเช่นนี้ และโปรโมทเพจที่ขอบภาพ
    .


    .
    แม้เป็นพระราชดำรัส แต่มิบังควร ทำตัวอักษรเสมอพระเศียร
    ควรทำกรอบแยกต่างหากด้านล่าง หรือ แยกเป็นกรอบข้อความต่างหาก
    มิบังควรใส่ตัวอักษรเช่นนี้ และไม่ควรใส่เครดิตโปรโมทเพจในขอบภาพ
    .


    .
    แม้เป็นพระราชดำรัส แต่มิบังควร ทำตัวอักษรเสมอพระเศียร
    ควรทำกรอบแยกต่างหากด้านล่าง หรือ แยกเป็นกรอบข้อความต่างหาก
    .

    .
    มิบังควร มีตัวอักษรเหนือพระเศียร และไม่ควรปรากฏอักษรใดในพระบรมฉายาลักษณ์
    มิบังควรอย่างยิ่ง ที่จะโพสต์พระบรมฉายาลักษณ์ เพื่อชวนให้คนอื่นไลก์
    และแชร์จากเพจตนเอง รวมถึงการคอมเมนต์ใดๆ นั้น ล้วนเป็นเจตนาแฝง


    .

    .
    มิบังควร มีตัวอักษรใส่ในพระบรมฉายาลักษณ์ เว้นแต่ทำกรอบด้านล่างแยกต่างหาก
    .

    .
    มิบังควรอย่างยิ่ง ที่ทำอักษรพาดไปบนพระเศียรเช่นนี้

    .

    .
    มิบังควร มีตัวอักษรใส่ในพระบรมฉายาลักษณ์ และในภาพยังใช้ราชาศัพท์ผิด ไม่สมพระเกียรติ
    เพราะพระชนมายุ แปลว่า อายุ ต้องใช้กับชั้นเจ้าฟ้า คือชั้นถัดลงมา
    พระมหากษัตริย์ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด คำว่า อายุ ต้องใช้ในรูปประโยค พระชนมพรรษายิ่งยืนนาน
    .

    .
    ภาพนี้ บังอาจ และมิบังควรอย่างยิ่ง ที่ทำเช่นนี้
    เป็นการกระทำที่ไร้สำนึก ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร
    ผู้ทำภาพ ต้องการเพียงแค่ให้คนเข้าไปไลก์ในเพจตนเอง
    และชวนคนให้แชร์ ซึ่งมีคนหลงผิดจำนวนมาก
    .

    .
    มิบังควร มีตัวอักษรใส่ในพระบรมฉายาลักษณ์ เว้นแต่ทำกรอบด้านล่างแยกต่างหาก
    และห้ามใส่เป็นเครดิตตนเองเช่นนี้
    .

    .
    มิบังควร มีตัวอักษรใส่ในพระบรมฉายาลักษณ์ เว้นแต่ทำกรอบด้านล่างแยกต่างหาก
    .

    .
    มิบังควรทำภาพเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ
    โดยเขียนพระนามและพระอิสริยยศไม่ครบถ้วน
    และมิบังควรมีตัวอักษรใดๆ เหนือพระเศียร

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1-58530b8f.jpg
      1-58530b8f.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.7 KB
      เปิดดู:
      130
    • 2-1 5853502c.jpg
      2-1 5853502c.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.6 KB
      เปิดดู:
      158
    • 2-2 58532b79.jpg
      2-2 58532b79.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.4 KB
      เปิดดู:
      136
    • 2-3 585361d8.jpg
      2-3 585361d8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.2 KB
      เปิดดู:
      128
    • 2-4 5853a96a.jpg
      2-4 5853a96a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.4 KB
      เปิดดู:
      162
    • 2-5 5853b20b.jpg
      2-5 5853b20b.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.4 KB
      เปิดดู:
      132
    • 3 มิบังควร.png
      3 มิบังควร.png
      ขนาดไฟล์:
      95.2 KB
      เปิดดู:
      116
    • 5853ac88.jpg
      5853ac88.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.1 KB
      เปิดดู:
      139
    • 5853cb93.jpg
      5853cb93.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69 KB
      เปิดดู:
      141
    • 5853dd15.jpg
      5853dd15.jpg
      ขนาดไฟล์:
      73 KB
      เปิดดู:
      614
    • 5853e2f4.jpg
      5853e2f4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      97.8 KB
      เปิดดู:
      141
    • 5853ecca.jpg
      5853ecca.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41 KB
      เปิดดู:
      116
    • 5853ede8.jpg
      5853ede8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.8 KB
      เปิดดู:
      114
    • 5853fc4a.jpg
      5853fc4a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.8 KB
      เปิดดู:
      227
    • 58530a90.jpg
      58530a90.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.5 KB
      เปิดดู:
      128
    • 58532fe1.jpg
      58532fe1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.9 KB
      เปิดดู:
      145
    • 58535d42.jpg
      58535d42.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76 KB
      เปิดดู:
      121
    • 58536d29.jpg
      58536d29.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.9 KB
      เปิดดู:
      124
    • 58538f50.jpg
      58538f50.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66.3 KB
      เปิดดู:
      142
    • 585314e8.jpg
      585314e8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.1 KB
      เปิดดู:
      208
    • 585343c4.jpg
      585343c4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95.6 KB
      เปิดดู:
      132
    • 585359d9.jpg
      585359d9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.7 KB
      เปิดดู:
      126
    • 5853707a.jpg
      5853707a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.2 KB
      เปิดดู:
      172
    • 5853885e.jpg
      5853885e.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.9 KB
      เปิดดู:
      129
    • 58532313.jpg
      58532313.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63.1 KB
      เปิดดู:
      177
    • 58535183.jpg
      58535183.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.5 KB
      เปิดดู:
      125
    • 58536182.jpg
      58536182.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.6 KB
      เปิดดู:
      195
    • 58537750.jpg
      58537750.jpg
      ขนาดไฟล์:
      87.5 KB
      เปิดดู:
      2,300
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    แจ้งเพื่อนสมาชิกครับ หากจำเป็นต้องเอ่ยพระนามถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดช ที่เสด็จสวรรคตไปแล้ว เพื่อแสดงความอาลัยนั้น กรุณาใช้คำว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ" โปรดหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เฉยๆ อันหมายถึง รัชกาลปัจจุบัน (รัชกาล ๑๐) ครับ ( สำเนา ต่อแจ้งให้ทราบครับ)


    -----------------------------------------



    งดแชร์ เผยแพร่ภาพ พระศพ ไม่ว่าจะภาพจริงหรือไม่ ท่านใดส่งมาจะเป็น หลักฐานสามารถเข้าแจ้งความดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพราะผิด พ.ร.บ. คอม และ ผิด ม.112 หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

    ภาพพระองค์ท่านงดงาม..
    ในใจเราคนไทยตลอดไป..
    ♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ประกาศ ห้าม ติดตราสัญลักษณ์บนเสื้อสีดำ ทั้งสวมใส่-จำหน่ายเด็ดขาด
    -http://hilight.kapook.com/view/143459-

    กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ออกประกาศห้ามติดตราสัญลักษณ์ลงบนเสื้อสีดำ ทั้งสวมใส่ไว้ทุกข์ หรือจำหน่าย ชี้ไม่เหมาะสมและไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง

    วันที่ 14 ตุลาคม 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มีการโพสต์ข้อความประกาศเตือน ห้ามประชาชนนำตราสัญลักษณ์ติดลงบนเสื้อสีดำโดยเด็ดขาด ทั้งกรณีสวมใส่เพื่อไว้ทุกข์และจัดจำหน่าย เพราะถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

    ภาพจาก เฟซบุ๊ก SocialMsociety (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
    -https://www.facebook.com/Msociety.go.th/photos/a.141411242601523.36542.138484956227485/1156577994418171/?type=3-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • q1_117.jpg
      q1_117.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38 KB
      เปิดดู:
      98
    • q2_98.jpg
      q2_98.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.2 KB
      เปิดดู:
      108
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เตือนอย่าเชื่อ จดหมายจากในหลวง ร.9 ถึงสมเด็จพระเทพฯ มิใช่พระราชหัตถเลขาจริง
    -http://hilight.kapook.com/view/143473-

    ดูรูปที่ 1

    วอนอย่าหลงเชื่อ บทความเรื่องพระราชหัตถเลขา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ถึง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จากการตรวจสอบพบมีการส่งต่อกันมาอย่างยาวนานนับ 10 ปี และในหลวง ร.9 ไม่เคยมีพระราชดำรัสแบบนี้

    จากกรณีที่มีการส่งต่อข้อความทางฟอร์เวิร์ดเมลและโซเชียลเน็ตเวิร์ก เกี่ยวกับพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ถึง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงมีพระราชดำรัสในเรื่องการดำเนินชีวิต ลงท้ายวันที่ 16 ตุลาคม 2547 จนมีการกล่าวอ้างและมีการนำมาเผยแพร่นั้น
    
    ล่าสุด (14 ตุลาคม 2559) เมื่อทำการตรวจสอบแล้วพบว่า ข้อมูลดังกล่าว เป็นบทความส่วนหนึ่งจากหนังสือ “บันทึกของลูกรัก บันทึกนี้มอบแด่ลูกหญิง” และผู้เขียนบทความนี้ใช้นามปากว่า ว.แหวน ในขณะที่สมเด็จพระเทพฯ ทรงใช้นามปากกาในการพระราชนิพนธ์หนังสือ ได้แก่ สิรินธร แว่นแก้ว ก้อนหินก้อนกรวด หนูน้อย และบันดาล ซึ่งแต่ละนามปากกามีที่มาดังนี้

    ดูรูปที่ 2 และ รูปที่ 3

    นอกจากนี้ คุณ คนดีครับ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ยังได้มีการโทร.สอบถามไปที่ กองงานส่วนพระองค์ในสมเด็จพระเทพฯ และบุคคลที่ถวายงานได้เข้าเฝ้าพระองค์ท่านประจำ ยืนยันว่า ไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินว่าพระองค์ท่านทรงรับสั่งทำนองนี้ ไม่เคยปรากฏพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ และในหลวงไม่เคยมีพระราชดำรัสนี้ อีกทั้งสมเด็จพระเทพฯ ยังมิเคยใช้นามปากกว่า ว.แหวน อีกด้วย

    ดูรูปที่ 4

    ภาพจาก เฟซบุ๊ก น้ำพระทัยของในหลวง, rimkhobfabooks.com


    -https://www.facebook.com/KingBhumibolTheGreat/-
    -http://www.rimkhobfabooks.com/978-974-49-7722-9#-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    อ่านประวัติ “พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท” สถานที่ประดิษฐานพระบรมศพมหากษัตราธิราชแห่งราชจักรีวงศ์
    -http://www.matichon.co.th/news/323010-


    รูปที่ 3

    พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นพระที่นั่งองค์ประธานของพระที่นั่งทั้งหมู่

    รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าให้สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ มีขนาดสูงใหญ่เท่าพระที่นั่งสุริยามรินทร์ในพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา

    ในระหว่างรัชกาลเมื่อมีพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงฝ่ายในบางพระองค์สิ้นพระชนม์ลงก็โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระศพบนพระมหาปราสาท เช่น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุนทรเทพ เป็นต้น

    และที่สำคัญที่สุด คือ เมื่อรัชกาลที่ 1 เสด็จสวรรคตก็ได้อัญเชิญพระบรมศพมาประดิษฐานไว้บนพระมหาปราสาท จนกลายเป็นธรรมเนียมที่จะประดิษฐานพระบรมศพสมเด็จพระมหากษัตราธิราชเจ้าพระองค์ต่อๆมา

    ในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อโปรดเกล้า ให้บูรณะพระมหามณเฑียร ก็ได้เสด็จมาประทับและเสด็จออกว่าราชการที่พระที่นั่งหมู่นี้เช่นเดียวกับสมัยรัชกาลที่ 1 และเคยโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นที่ชุมนุมสงฆ์ทำสังคายนาพระไตรปิฎกด้วย

    รูปที่ 4

    ในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อมีการพระราชพิธีต่างๆ โปรดเกล้าฯ ให้จัดมุขเหนือ มุขตะวันออกและมุขตะวันตกเป็นท้องพระโรง สำหรับฝ่ายหน้า จัดมุขใต้สำหรับฝ่ายในและเสด็จฯ ประทับที่ พระบัญชรบุษบกมาลา ซึ่งตั้งอยู่กลางผนังด้านทิศใต้ที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใหม่ เป็นที่เสด็จออกให้พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในดฝ้าฯ นอกจากนั้นยังโปรดเกล้าฯ ให้ทำฉากลงรักปิดทองเป็นภาพพิธี “อินทราภิเษก” เพื่อกั้นมุขใต้แทนม่าน

    ในสัมยรัชกาลที่ 5 เคยเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 4 รัชกาลก่อนอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนหน้าที่จะสร้างพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาทเพื่อเป็นที่ประดาฐานพระบรมรูปดังกล่าว

    ในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเฉลิมราชมณเฑียรที่พระมหาปราสาทนี้ใน พ.ศ. 2465 ได้ตั้งพระแท่นบรรทมที่มุขด้านทิศตะวันออก จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ต่อเติม ห้องสรง ขึ้นที่มุมพระมหาปราสาทระหว่างมุขตะวันออกกับมุขใต้

    รูปที่ 5

    ปัจจุบันพระที่นั่งองค์นี้ ใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีและการพระราชกุศลต่างๆ โดยพระราชพิธีสำคัญซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำ คือ พระราชพิธีฉัตรมงคล

    ส่วนที่มุขเด็จของพระมหาปราสาทนั้น พระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ได้เสด็จออกให้เฝ้าฯ เนื่องในโอกาสต่างๆกัน หรือบางครั้งเป็นที่ประดิษฐานปูชนียวัตถุที่สำคัญ เช่น สมัยรัชกาลที่ 1 ได้เสด็จออกให้เจ้าประเทศราช เช่น ทูตเมืองทวายเข้าเฝ้าฯ โดยประทับเหนือพระที่นั่งบุษบกมาลาซึ่งตั้งอยู่กลางมุข

    ส่วนเจ้าประเทศราชหมอบเฝ้า ฯ อยู่ ณ ท้องพระลานเบื้องหน้าพระพักตร์

    นอกจากนั้น ในรัชกาลต่อมาที่มุขเด็จแห่งนี้ยังเป็นที่เสด็จออกมหาสมาคมในงานพระราชพิธี หรือโปรดเกล้าฯ ให้ประชาชนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท

    ในรัชกาลที่ 9 ได้โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระสยามเทวาธิราชจากพระที่นั่งไพศาลทักษิณมาประดิษฐานที่พระที่นั่งบุษบกมาลาที่มุขเด็จแห่งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชา เนื่องในงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี

    รูปที่ 6


    ภาพถ่ายและข้อมูลจากหนังสือ หนังสือ “สถาปัตยกรรมพระบรมมหาราชวัง” เล่ม 1
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p1.png
      p1.png
      ขนาดไฟล์:
      1 MB
      เปิดดู:
      97
    • p2.png
      p2.png
      ขนาดไฟล์:
      855 KB
      เปิดดู:
      87
    • p3.png
      p3.png
      ขนาดไฟล์:
      618.5 KB
      เปิดดู:
      149
    • p4.png
      p4.png
      ขนาดไฟล์:
      319.2 KB
      เปิดดู:
      74
    • p5.png
      p5.png
      ขนาดไฟล์:
      402.6 KB
      เปิดดู:
      82
    • p6.png
      p6.png
      ขนาดไฟล์:
      348.7 KB
      เปิดดู:
      78
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    "เก่งนะที่เอาชื่อเรามาทำเป็นเพลงได้"
    -http://news.sanook.com/2086170/-

    "แอ๊ด" ยืนยง โอภากุล นักร้องชื่อดังวงคาราบาว ศิลปินแห่งชาติประจำปี พ.ศ.2556 ได้เปิดเผยเรื่องราวที่ปลื้มปีติครั้งหนึ่งในชีวิต กับเพลง "ผู้ปิดทองหลังพระ"

    โดยเพลงนี้ ยืนยง โอภากุล ได้แต่งขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 65 ปี และพระชนมายุ 84 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้เป็นที่รักแห่งทวยราษฎร์

    ทั้งนี้เพลง "ผู้ปิดทองหลังพระ" ได้นำพระนามเต็มของในหลวง คือ "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร" มาอยู่ในเพลง

    ซึ่งเนื้อหา เป็นการบอกถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย มาตลอดการครองราชย์

    ซึ่งเพลงดังกล่าวนี้ ได้ถูกชื่นชมและถูกยกย่องไปทั่วประเทศว่า นี่คือเพลงที่ทำให้คนไทยทุกคนได้จดจำพระนามเต็มของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เป็นอย่างดี

    โดย "น้าแอ๊ด" ได้เปิดเผยอีกด้วยว่า "ดิสธร วัชโรทัย" รองเลขาธิการสำนักพระราชวัง ได้บอกกับตนว่า พระองค์ทรงตรัสชมว่า "เก่งมาก ที่นำชื่อเรามาใส่ในเนื้อเพลงได้"


    -
    [ame]https://www.youtube.com/watch?v=sZ4iuUJWe5A-[/ame]

    ฟังเพลง "ผู้ปิดทองหลังพระ"

    เครดิตเพลงจาก : carabaoofficial

    หรือฟังนี้ได้ที่ Joox Music

    ภาพโดย : Surasak Tungkulpanich
     
  15. เอก ขอนแก่น

    เอก ขอนแก่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    400
    ค่าพลัง:
    +1,349
    ขอร่วมทำบุญ 500 บาทครับ เข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย

    โอนแล้ว
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

    -www.nat.go.th-

    -http://www.finearts.go.th/nat/2016-10-16-08-15-35/item/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%8A-2.html?category_id=79-



    สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ

    พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    บทความสุดโดนจาก เอิร์น กัลยากร ...พวกเรานี่หรือ ?โดนล้างสมองให้รัก ในหลวง!!

    -http://socialnews.teenee.com/starpost/6330.html-


    "เอิน-กัลยกร นาคสมภพ" อดีตนักแสดงและศิลปินชาวไทย โพสต์เฟซบุ๊ก "Kalyakorn Earn Naksompop" ระบุถึงการเขียนบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ลงในเว็บไซต์ "http://www.kalyakorn.com" เรื่อง "พวกเราน่ะเหรอโดนล้างสมอง? (They said we were brainwashed)" เพื่อตอบคำถามชาวต่างชาติ ที่มักถามว่า "คนไทยถูกล้างสมองให้รักในหลวงหรือเปล่า"

    ข้อความว่า

    เราสามารถรักคนที่
    เราไม่เคยเจอเลยได้อย่างไร?

    เราสามารถแม้กระทั่ง...
    เทิดทูนท่านได้อย่างไร?

    บางคนบอกว่า... เราถูกล้างสมอง

    บางคนอธิบายว่า... กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือที่คนไทยสมัยนี้เรียกกันสั้นๆ ว่า 112 ห้ามเราไม่ให้วิจารณ์พระราชวงศ์
    ดังนั้น เราจึงไม่เคยรู้ความจริงและไม่เคยสงสัยในความเคารพที่เรามีให้กับพระราชวงศ์

    บางคนแสดงความคิดเห็นไว้ว่า... เพราะประเทศไทยไม่มีประชาธิปไตย เราจึงไม่เคยรู้ว่ามีทางเลือกอื่น

    บางคน... เมื่อเห็นว่าเราร้องไห้...
    ก็เอาเราไปเปรียบกับเกาหลีเหนือ

    - - - - - - -

    ถ้าอย่างนั้น...
    ฉันขอถามกลับด้วยคำถามที่เรียบง่ายแล้วกัน

    คุณเคยได้ยินเรื่องของอับราฮัม ลินคอล์น และสิ่งที่เขาทำมั้ย? คุณเคารพเขามั้ย?

    แล้วเนลสัน แมนเดลล่า หรือ มหาตมะ คานธี ล่ะ? คุณเข้าใจเมื่อตอนที่เขาร้องไห้ให้กับการตายของพวกเขามั้ย?

    ใช่ ในหลวงของเราไม่ได้ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยชนชาติไทยให้เป็นอิสระเพื่อความเท่าเทียมในสังคม

    แต่... ในหลวงของเราก็ทรงต่อสู้ อย่างหนักเสียด้วย เพื่อปลดปล่อยประชาชนของท่านจากความหิวโหยและความยากจน

    แม้จะเกิดขึ้นในบริบทที่ต่างกัน แต่มันคือเรื่องเดียวกัน

    ฉันชื่อกัลยกร อายุ 33 ปี เป็นคนที่เกิดและเติบโตในประเทศไทย ฉันมองว่าตัวเองเป็นคน 2 ภาษา ด้วยความที่เรียนประถมในโรงเรียนไทย แล้วไปต่อชั้นมัธยมในโรงเรียนนานาชาติ ในฐานะที่เป็นคนสองภาษาและเป็นคนที่สนใจประวัติศาสตร์มาก ฉันจึงโชคดีมากที่สามาถเข้าถึงข้อมูลและอ่านบันทึกทางประวัติศาสตร์ได้ทั้ง 2 ภาษา ซึ่ง... บอกเลยว่าเป็นสิ่งที่ทำเสมอ ถ้าจะว่ากันตามตรง ฉันเริ่มจากการศึกษาประวัติศาสตร์ของอารยธรรมอื่นก่อนเสียด้วยซ้ำ ก่อนที่จะเริ่มหันมาสนใจศึกษาประวัติศาสตร์ไทย

    ช่วงเวลา 4 ปีในรั้วมหาวิทยาลัยไทยทำให้ฉันตระหนักว่า... ฉันรู้เรื่องบ้านเมืองของตัวเองน้อยเหลือเกิน การเดินทางไปในที่ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นในถิ่นชนบท การต้องนั่งรถทัวร์ การต้องนอนในวัด การต้องทานอาหารพื้นบ้านที่ห่างไกลจากคำว่าหรูหรา เช่น การกินแคบควายกับข้าวเหนียว ทำให้ฉันเห็นประเทศนี้ในมุมที่ไม่เคยเห็น

    ฉันจึงเริ่มหันมากลับมามองที่ประเทศอันเป็นบ้านเกิดของตัวเอง ในเวลาเดียวกันนั้น ฉันก็เริ่มเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพื่อบ้าน ซึ่งมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน และเคยได้ผ่านประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์หลายๆ อย่างคล้ายกัน ฉันจึงได้เห็นความแตกต่างของแต่ละบ้านเมืองที่ฉันได้ไปเหยียบ และรู้สึกซาบซึ้งกับใครก็ตามที่ทำให้ประเทศเรามาถึงจุดนี้ได้ในวันนี้

    แต่ฉันพบว่าอดีตของเราไม่ได้สวยหรูอย่างที่หลายคนพยายามทำให้เราเชื่อ ฉันได้เรียนรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ต้องเร่งรัดประเทศให้เข้าสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่ เพื่อจะรอดพ้นจากการถูกคุกคามจากประเทศตะวันตก ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงล่าอาณานิคม

    การศึกษาเรื่องราวจากทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ทำให้ฉันเห็นมิติที่ลึกซึ้งขึ้นในเรื่องราวมากมายที่เคยได้ยินตั้งแต่ตอนยังเด็ก

    ฉันได้เรียนรู้ว่าประชาธิปไตยเป็นอุดมคติที่หวานหอมและสวยหรู แต่กลับถูกยัดเยียดให้คนไทยอย่างฉับพลันผ่านการปฏิวัติรัฐประหาร ในตอนที่คนยังไม่พร้อม และไม่เคยได้รับการศึกษาที่ถูกต้องเพื่อจะเข้าใจว่า ประชาธิปไตย คืออะไร

    ฉันได้ค้นพบความจริงว่า พระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ต้องหนีออกจากประเทศ เพราะเสี่ยงเหลือเกินที่จะถูกจับขังหากอยู่ในประเทศไทย

    ฉันยังได้เห็นความจริงผ่านการเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ชาติอื่น ว่าการขึ้นครองราชย์ของทั้งรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 นั้น.... ไม่ใช่เรื่องปกติ

    รัชกาลที่ 8 นั้นท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ยังเป็นเด็กมาก ท่านใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์กับครอบครัวเล็กๆ แม่ของท่านเป็นคนธรรมดา พ่อของท่านเสียไปแล้ว แถมท่านยังไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในสายของการขึ้นครองราชย์โดยตรง แต่ก็ทรงถูกรัฐบาลในยุคนั้นทูลเชิญขึ้นเป็นกษัติย์ปกครองประเทศ เมื่อท่านโตขึ้นและพบว่ามีการเป็นกษัตริย์นั้นมีภาระหน้าที่มากมายกว่าการเป็นแค่หุ่นเชิด ท่านจริงเริ่มทำงานในฐานะกษัตริย์จริงๆ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ในระหว่างการกลับมาเยี่ยมประเทศไทย

    ท่านสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งที่มีมายาวนานระหว่างชาวไทยและชาวจีนในไทย

    นั่นเอง... ที่ท่านเริ่มสามารถชนะใจของประชาชนได้... แล้วท่านก็ถูกลองปลงพระชนม์...​ เพียงไม่กี่วันก่อนจะเสด็จกลับไปเรียนต่อ

    หลังท่านเสด็จสวรรคต พระอนุชาของท่านจึงต้องขึ้นครองราชย์แทน ด้วยพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

    มันไม่ใช่งานที่ง่ายเลย

    มันอาจไม่ใช่แม้งานที่ท่านอยากได้

    มันคืองานที่ถูกยัดเยียดให้
    ในเวลาที่อันตรายเหลือเกิน

    แต่ท่านก็ทรงรับ

    นี่คือความจริงที่คนไทยทุกคนรู้ แม้เราจะไม่อยากพูดถึงมันเท่าไหร่ แต่เราก็รู้ ซึ่งฉันพบว่ามันเป็นเรื่องน่าตลกมากเลย ที่สื่อต่างชาติมากมายมักชอบวาดภาพการครองราชย์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไว้เสียหรูหรา โดยกลับไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย

    เพราะอย่างนี้... ฉันจึงได้เรียนรู้ว่า ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่สุ่มเสี่ยงยากลำบาก และเป็นช่วงเวลาที่ราชวงศ์อยู่ในจุดที่อ่อนแอที่สุด เรากลับได้พบกับพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานอย่างหนัก จนสามารถกุมใจของประชาชน และสามารถทำให้ราชวงศ์กลับมาเข้มแข็งได้อีกครั้ง

    ท่ามกลางความแปรปรวนของความขัดแย้งทางการเมือง ในหลวงรัชกาลที่ 9 คือคนเดียวที่ทรงแสดงให้เราเห็นถึงความจริงใจในประเทศนี้...​ ผ่านการทรงงานของท่าน

    ฉันเคยได้ยินมากว่ากษัตริย์ไม่สามารถเป็นกษัตริย์ที่แท้จริงได้หากปราศจากแรงสนับสนุนจากประชาชน

    แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงได้มาซึ่งบารมีด้วยความรักจากประชาชน

    เราวางใจในตัวท่าน เราจึงเชื่อท่าน
    นี่... ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับกฏหมายหมิ่นฯ แม้ว่าพวกคุณจะชอบจินตนาการของความคิดที่คนมีอำนาจข่มเหงประชาชนด้วยกฏหมายที่ขัดต่อสิทธิมนุษยชน แค่เพราะมันช่างเป็นภาพที่คุณคิดเหมาเอาเองว่าประเทศโลกที่สามควรจะเป็น

    แต่ถ้าฉันบอกคุณว่าราชวงศ์ไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริงในการกำหนดกฏหมายล่ะ

    ถ้าฉันบอกคุณว่าอำนาจของกษัตริย์นั้นถูกจำกัดไว้ภายใต้รัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ในยุคที่มีการรัฐประหารเพื่อเปลี่ยนระบบการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตย... ล่ะ

    ถ้าฉันบอกคุณว่าประเทศไทยมีระบบที่ชัดเจนเกี่ยวกับร่างกฏหมาย ที่ต้องไปผ่านสภาฯ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมักใช้เวลาหลายเดือน หรือหลายปีเสียด้วยซ้ำ.. ล่ะ

    ถ้าฉันบอกคุณว่าคดีหมิ่นฯ ส่วนใหญ่นั้นถูกใช้ในเกมการเมือง และหลายคดีที่เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาก็เพราะมีคนต้องการสร้างความกดดันในสังคมเพื่อหวังประโยชน์บางอย่างส่วนตัว... ล่ะ

    คุณจะเชื่อฉันมั้ย?

    มันไม่สนุกเท่าไหร่.. ใช่มั้ยล่ะ... แต่มันคือเรื่องจริง

    ไม่เป็นไรหรอก... ฉันเข้าใจหากคุณจะไม่เข้าใจ

    แต่คุณสามารถเคารพลินคอล์น ยึดแมนเดลลาเป็นแรงบันดาลใจ หรือเสียใจกับการจากไปของคานธี... ได้อย่างไร? และคุณสามารถเลือกที่จะเชียร์อองซานซูจี หรือเลือกที่จะเชื่อถ้อยคำขององค์ดาไลลามะ... ได้อย่างไร?

    พวกคุณส่วนใหญ่ก็ยังไม่เคยพบพวกเขาเหล่านั้นเหมือนกัน.. ใช่มั้ย? แต่พวกคุณกลับเชื่อเวลาที่ประชาชนรักและเคารพพวกเขา เพราะคุณเห็นสิ่งที่พวกเขาทำ... ผ่านหลักฐาน ผ่านภาพถ่าย ผ่านวีดิโอ ผ่านบทสัมภาษณ์ ผ่านเรื่องราว.... ที่คนอื่นบอกคุณ

    แล้วทำไมมันจึงยากเหลือเกินที่คุณจะเชื่อว่าความรักที่เรามีต่อในหลวงนั้นเกิดขึ้นมาจากความดีงามที่ท่านทำ? เพราะท่านเป็นกษัตริย์เหรอ? แค่เพราะประเทศนี้มีกฏหมายนั้นเหรอ?

    ในเมื่อร่องรอยของการทรงงานหนักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ของเรา ยังคงมีให้เราเห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาอย่างชัดเจน

    คุณจะลองค้นคว้าหาข้อมูลจากหลายๆ ที่เกี่ยวกับช่วงเวลาที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ได้เข้ามาคุกคามในประเทศแถบนี้ เอาจริงๆ คือตอนนั้นพวกคอมมิวนิสต์ได้มาจ่ออยู่ที่คอหอยเราแล้ว และเราสามารถเป็นประเทศเดียวที่รอดพ้นและยังคงสามารถเป็นประเทศประชาธิปไตยอยู่ได้อย่างไร

    คุณยังสามารถขึ้นไปบนเขาและถามเหล่าผู้คนชนเผ่าต่างๆ ซึ่งไม่เคยได้รับการใส่ใจจากภาครัฐ ว่าทำไมเขาถึงมีรูปในหลวงประดับไว้ในบ้านทุกหลัง หรือคุณจะลองเดินทางไปในแถบชนบทที่เคยทุรกันดารทั่วประเทศนี้ก็ได้ ว่าพวกเขาได้ระบบชลประทานมาได้อย่างไร หรือโครงการฝนเทียมนั้นได้ช่วยอะไรพวกเขาบ้าง

    ส่วนตัวฉัน ฉันได้เคยดูการถ่ายทอดสดทางทีวีสมัยที่ฉันยังเด็ก ในวันที่ทุกคนต่างออกมาถวายพระพรให้ในหลวงเนื่องในวันพระราชสมภพของท่าน ท่านกลับใช้โอกาสในวันนั้น... เรียกข้าราชการมาถามไถ่ความเป็นไปเรื่องน้ำ และเล่าทฤษฎีแก้มลิงที่ท่านทรงศึกษาและพัฒนามา พร้อมกับอธิบายด้วยการวาดบนแผนที่ซึ่งท่านเตรียมไว้ ...วันนั้นเป็นวันที่ฉันได้เห็นในหลวงของฉันทรงงาน... ต่อหน้าต่อตา ในวันที่ท่านสามารถพักผ่อนและอิ่มเอมไปกับคำอวยพรของพสกนิกร โดยไม่จำเป็นต้องทรงงานเลย

    ดังนั้น การยึดเอาตำแหน่งของท่านเป็นที่ตั้ง แล้วเหมารวมเอาว่าพวกเรารักในหลวงของเราเพียงเพราะเราไม่มีการศึกษา หรือการไม่สามารถมองเห็นในสิ่งดีๆ ที่ท่านได้ทรงทำไว้.... นั้นสุดแสนจะกลวงและมันแสดงให้เห็นถึงการละเลยในความจริงและมิติที่หลากหลายของวัฒนธรรมอื่น

    แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก

    ฉันไม่ได้เขียนบทความนี้เพื่อจะขอให้คุณมารักคนที่ฉันรัก ...หรือแม้กระทั่งจะขอให้คุณเคารพท่านด้วยซ้ำ

    ฉันเข้าใจหากคุณจะไม่เข้าใจในความจงรักภักดีที่เรามีต่อท่าน

    แต่ฉันเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพื่อจะขอสิ่งที่ง่ายดายกว่านั้นมากมาย.... ปล่อยให้พวกเราได้เศร้าโศกเถอะ

    คุณจะเห็นเราร้องไห้ คุณจะเห็นเราพยายามทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าจะสามาถตอบแทนความรักที่ท่านทรงมีให้ประชาชนและการงานอย่างหนักเพื่อพวกเรา คุณอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเรารู้สึกเลยสักนิด ซึ่งก็ไม่เป็นไรหรอก ...แต่ขอร้องเถอะนะ ปล่อยให้พวกเราได้เศร้าโศกในแบบของเรา และกรุณาเคารพในการสูญเสียของพวกเราด้วย

    ถ้าคุณไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียกษัตริย์ผู้เป็นที่รัก ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน ฉันเชื่อว่าอย่างน้อย... คุณก็คงจะสามาถเข้าใจว่าการเสียคนคุณรักและเคารพจากใจมันเจ็บปวดได้ขนาดไหน... ใช่มั้ย

    มันคงไม่ยากเกินไปมั้ง

    ชีวิตพวกคุณก็จะดำเนินไปตามปกติ แม้ว่าคุณจะไม่พูดถึงเรา ...แต่ชีวิตพวกเรา ชีวิตพวกเราไม่เหมือนเดิมเลย และหัวใจของเรากำลังสลาย

    ปล่อยให้พวกเราได้โศกเศร้าเถอะ ให้พวกเราได้ทำในสิ่งที่อยากทำ หยุดโจมตีพวกเรา อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาแห่งความหมองหม่นนี้ และ.... ช่วยเคารพต่อการสูญเสียของพวกเราด้วย

    ด้วยความจริงใจ
    กัลยกร นาคสมภพ
    20 ต.ค. 2559

    ที่มา บทความสุดโดนจาก เอิร์น กัลยากร ...พวกเรานี่หรือ ?โดนล้างสมองให้รัก ในหลวง!!
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เปิดคำบอกเล่า “นายจ่ายวด” มหาดเล็กอยู่งาน “ปลายพระแท่นบรรทม” วันสวรรคตรัชกาลที่ 5

    -http://www.matichon.co.th/news/333084-

    23 ตุลาคม วันปิยมหาราช เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นที่รักของปวงชนชาวสยามตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

    ข้อความต่อไปนี้ คือส่วนหนึ่งของคำบอกเล่า โดย นายจ่ายวด (นพ ไกรฤกษ์) ซึ่งเป็นมหาดเล็กอยู่งานปลายพระแท่นบรรทมในช่วงวันใกล้วันสวรรคต จนถึงนาทีสุดท้าย

    “วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์ฯ และหมอฝรั่ง 3 คน ขึ้นไปเฝ้าตรวจอาการ ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปด้วยตามเคย เมื่อกลับลงมาเห็นกิริยาท่าทางของหมอและเจ้านายไม่สู้ดี ได้ความว่าพระอาการหนักมาก พระบังคนเบาที่คาดว่าจะมีก็ไม่มี พิษของพระบังคนเบาซึมไปตามเส้นพระโลหิตทั่วพระองค์ จึงทำให้เป็นพิษเซื่องซึม บรรทมหลับอยู่เสมอ หมอตั้งพระโอสถถวายเร่งให้มีพระบังคนเบาแรงขึ้นทุกที

    พวกหมอฝรั่งประชุมกันเขียนรายงานพระอาการยื่่นต่อเจ้านาย เสนาบดี ว่าพระอาการมากเหลือกำลังของหมอที่จะถวายการรักษาแล้ว

    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพิษณุโลกประชานารถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จมาแต่เช้าได้ทอดพระเนตรรายงานพระอาการที่หมอทำไว้ ทรงปรึกษาหารือเห็นพร้อมกันว่าควรให้พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์มาเฝ้าตรวจพระอาการดูด้วย ข้าพเจ้าจึงให้นายฉัน หุ้มแพร (ทิตย์ ณ สงขลา) รีบเอารถยนต์ไปรับมาทันที

    พระองค์เจ้าสายฯ ขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวน้ำพระเนตรไหล แต่ไม่ตรัสว่าอะไร พระองค์เจ้าสายฯ กลับลงมา ยืนยันว่าพระอาการยังไม่เป็นอะไร เชื่อว่ามีบรรทมหลับเซื่องซึมอยู่นั้นเป็นตัวฤทธิ์พระโอสถต่างๆ พอฤทธิ์พระโอสถหมดแล้วก็คงจะทรงสบายขึ้น เพราะพระชีพจรก็ยังเต้นเป็นปรกติดี

    พระองค์เจ้าสายฯ กลับไปนำพระโอสถมาตั้งถวายแก้ทางพระศอแห้ง ขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการอีกครั้งหนึ่ง

    ครั้งนี้ตรัสว่า ‘หมอมาหรือ’ ได้เท่านั้นแล้วก็ไม่ได้รับสั่งอะไรอีกต่อไป

    พระอาการตั้งแต่เช้าไปจนเย็น ไม่มีพระบังคนหนักและเบาเลย พระหฤทัยอ่อนลงมา ยังบรรทมหลับเซื่องซึมอยู่เสมอ

    เวลาย่ำค่ำสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์ฯ และหมอฝรั่งขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการ ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปด้วย และเห็นหายพระทัยดังยาวๆ และหายพระทัยทางพระโอษฐ์ พ่นแรงๆ จนเห็นพระมัสสุได้แต่ไกล สังเกตดูพระเนตรไม่จับใครเสียแล้ว ลืมพระเนตรคว้างอยู่อย่างนั้นเอง แต่พระกรรณยังได้ยิน

    สมเด็จพระราชินีนาถกราบทูลว่าเสวยน้ำ ยังทรงพยักพระพักตร์รับได้ และกราบทูลว่าพระโอสถแก้พระศอแห้งพระองค์เจ้าสาย ก็ยังรับสั่งว่า “ฮือ”

    แล้วยกพระหัตถ์ขวาและซ้ายที่สั่นขึ้นเช็ดน้ำพระเนตร คล้ายทรงพระกันแสง พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวีซับเช็ดพระเนตรด้วยผ้าซับพระพักตร์ชุบน้ำถวาย หมอฉีดพระโอสถถวายช่วยบำรุงพระหฤทัยให้แรงขึ้น

    ตั้งแต่เวลานี้ต่อไป หมอฝรั่งนั่งประจำคอยจับพระชีพจร ตรวจพระอาการผลัดเปลี่ยนกันประจำอยู่ที่พระองค์

    การหายพระทัยค่อยๆเบาลงทุกที พระอาการกระวนกระวายอย่างหนึ่งอย่างใดไม่มีเลย คงบรรทมหลับอยู่เสมอ เจ้านายจะขึ้นไปเฝ้าอีกครั้ง ก็พอหมอรีบลงมาทูลว่า เสด็จสวรรคตเสียแล้วด้วยพระอาการสงบ เมื่อเวลา 2 ยาม 45 นาที

    สมเด็ตพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกยาเธอ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ และพระเจ้าน้องยาเธอ พร้อมกันเสด็จขึ้นไปเฝ้ากราบถวายบังคมด้วยความเศร้า่โศกอาลัย ทรงกันแสงคร่ำครวญสอึกสอื้นทั่วกัน ข้าพเจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วย กราบถวายบังคมมีความเศร้าโศกอาลัยแสนสาหัส ร่ำร้องมิได้หยุดหย่อยเลย

    ในที่พระบรรทมและตามเฉลียงเต็มไปด้วยฝ่ายในและฝ่ายหน้า ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ระงมเซ็งแซ่และทุ่มทอดกายทั่วไป ประดุจต้นไม้ใหญ่ที่ถูกลมพายุใหญ่พัดต้นและกิ่งก้านหักล้มราบไปฉันใด บรรดาฝ่ายในและฝ่ายหน้าทั้งหมดล้มกลิ้งเป็นลมไปตามกันฉันนั้น ด้วยความเศร้าโศกาดูรเป็นอย่างล้นเหลือที่จะรำพันให้สิ่นสุดได้”



    คัดจาก นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 29 เล่ม 1 พฤศจิกายน 2550
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 5001.png
      5001.png
      ขนาดไฟล์:
      902.6 KB
      เปิดดู:
      115
    • 5002.png
      5002.png
      ขนาดไฟล์:
      772.1 KB
      เปิดดู:
      101
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    11 เมนูพะโล้ อาหารไทยน้ำดำหอมหวนชวนกดไลค์

    -http://cooking.kapook.com/view158640.html-


    ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์ ! ชวนทำเมนูพะโล้ อาหารไทยหอมสมุนไพร น้ำซุปสีเข้ม หวานเค็มกลมกล่อม ทำเองง่ายเว่อร์ อร่อยสุดในสามโลก

    เอ่ยถึงเมนูพะโล้ อาหารไทยที่คุ้นลิ้นตั้งแต่วัยเยาว์ แม้จะหากินได้ง่าย แต่ถ้าทำเองถูกปากและอิ่มฟินกว่าแน่นอน กระปุกดอทคอมขอนำเสนอ 11 เมนูพะโล้ เช่น ไข่พะโล้ เป็ดพะโล้ ขาหมูพะโล้ และวิธีทำเมนูพะโล้อื่น ๆ อีกเพียบ ไปหาซื้อเครื่องพะโล้รอเลยจ้า

    เมนูพะโล้

    1. ไข่พะโล้

    เมนูพะโล้สุดคลาสสิกคงเป็นอื่นไม่ได้นอกจากเมนูไข่พะโล้ สูตรจาก เฟซบุ๊ก iCook สูตรนี้ใส่ปีกไก่กับเต้าหู้ลงไปด้วย กินกับข้าวสวยหรือข้าวต้มก็เหมาะจ้า

    ส่วนผสม ไข่พะโล้

    • ไข่ต้ม (ใส่ไข่ลงไปในน้ำก่อนแล้วค่อยนำไปตั้งไฟประมาณ 9-10 นาที)
    • ปีกกลางไก่ หรือเนื้อสัตว์อื่น ๆ ตามชอบ
    • น้ำเปล่า
    • เต้าหู้ (หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม)
    • โป๊ยกั๊ก 2 ดอก
    • อบเชย 2 แท่ง
    • ผงพะโล้
    • ซอสปรุงรส
    • น้ำตาลทราย
    • ผงปรุงรส (ในสูตรใช้คนอร์)
    • ซีอิ๊วดำ
    • น้ำมันพืช

    วิธีทำไข่พะโล้

    • 1. ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อยลงในหม้อ ใช้ไฟอ่อน ๆ ใส่เครื่องพะโล้ลงไปผัดพอหอม ใส่ปีกไก่ลงไปผัดพอเข้ากัน ใส่น้ำเปล่าลงไปพอท่วม ใช้ไฟปานกลางต้มจนไก่สุก ช้อนฟองทิ้ง
    • 3. ปรุงรสด้วยซอสปรุงรส น้ำตาลทราย ผงปรุงรส และซีอิ๊วดำ ชิมรสตามชอบ
    • 4. ใส่ไข่ต้มลงไป ลดเป็นไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ต้มจนปีกไก่นุ่ม ชิมรสอีกครั้ง ใส่เต้าหู้ลงไป คนพอเข้ากัน ปิดไฟ

    + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ไข่พะโล้ เมนูแห่งความทรงจำตั้งแต่วัยเยาว์

    +-+-+-+-+-+-+-+-+-+

    เมนูพะโล้

    2. ไข่พะโล้สูตรคลีน

    สำหรับคนกินอาหารคลีนอยากให้ลองเมนูไข่พะโล้ สูตรจาก คุณทำวันนี้เพื่อลูก สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ใช้ซุปผักผสมกับผงพะโล้ เพิ่มโปรตีนจากอกไก่ ใช้ความหวานจากน้ำหวานดอกมะพร้าว เตรียมข้าวกล้องรอเลยค่ะ

    ส่วนผสม ไข่พะโล้สูตรคลีน

    • ไข่ไก่ต้ม
    • ซุปผัก
    • รากผักชีกับกระเทียมโขลก
    • อกไก่หั่นชิ้นใหญ่ (หรือหมูไม่ติดมัน)
    • เต้าหู้แผ่น
    • น้ำมันหอย สูตรโซเดียมต่ำ
    • ซีอิ๊วดำ
    • ผงพะโล้
    • น้ำหวานดอกมะพร้าว
    • เกลือ สูตรโซเดียมต่ำ

    วิธีทำไข่พะโล้สูตรคลีน

    • 1. นำเต้าหู้แผ่นไปย่างบนกระทะไม่ใช้น้ำมัน เตรียมไว้
    • 2. ต้มน้ำซุปผัก เตรียมไว้
    • 3. ผัดเครื่องที่โขลกไว้กับอกไก่ ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย ซีอิ๊วดำ ผงพะโล้ น้ำหวานดอกมะพร้าว และเกลือ ผัดจนสุก
    • 4. ตักส่วนผสมที่ผัดไว้ใส่หม้อซุปผัก ใส่ไข่ต้มลงไป เคี่ยวประมาณ 3-4 ชั่วโมง ตักใส่ชาม พร้อมเสิร์ฟ

    + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ สูตรอาหารคลีนกว่า 30 เมนู ลดน้ำหนักจาก 78 เหลือ 63 กิโลกรัม

    +-+-+-+-+-+-+-+-+-+

    เมนูพะโล้

    3. เป็ดพะโล้

    ใครอยากกินเป็ดพะโล้อย่างจุใจก็ทำเองเลยจ้า สูตรจาก คุณ tukata001 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม หั่นเป็นชิ้นหนาได้ตามชอบ กินอร่อยได้ทั้งครอบครัวเลยจ้า

    ส่วนผสม เป็ดพะโล้

    • เป็ดสด 1 ตัว
    • กระเทียม 1 หัวใหญ่
    • โป๊ยกั๊ก 5-6 ดอก
    • อบเชย 4-5 ก้าน
    • พริกไทยดำ 1/4 ถ้วย
    • ชวงเจีย (พริกหอม) 1/4 ถ้วย (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
    • รากผักชี 2-3 ราก
    • ข่าแก่ 2 ชิ้น
    • น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย
    • ผงพะโล้ 2 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำมันหอย 1 ถ้วย
    • ซีอิ๊วขาว 1 ถ้วย
    • ซีอิ๊วดำหวาน 1/2 ถ้วย
    • ซอสปรุงรส 1/3 ถ้วย
    • เหล้าจีน 1/3 ถ้วย

    วิธีทำเป็ดพะโล้

    • 1. ใส่กระเทียม โป๊ยกั๊ก อบเชย พริกไทยดำ ชวงเจีย รากผักชี ข่าแก่ น้ำตาลปี๊บ และผงพะโล้ ลงในหม้อใบใหญ่
    • 2. ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำหวาน ซอสปรุงรส และเหล้าจีน ใส่น้ำเปล่าลงไปกะพอให้ท่วมตัวเป็ด คนให้เข้ากัน ต้มเครื่องพะโล้ ประมาณ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง
    • 3. นำเป็ดที่ล้างสะอาดแล้วใส่หม้อ โดยจับเป็ดหงายก่อนนำลงไป และต้มประมาณ 20 นาที หลังจาก 20 นาที กลับตัวเป็ด เอาด้านอกลงต้ม ต้มไปอีกประมาณ 20 นาที นำเป็ดขึ้นมาใส่ภาชนะผึ่งไว้
    • 4. ใช้กระชอนตักเครื่องพะโล้ออกให้หมดจากน้ำต้มเป็ด เก็บไว้ทำน้ำราดเป็ด ก๋วยเตี๋ยวเป็ด หรือเกาเหลา พอเป็ดเย็นลง จัดการสับปีกเป็ด น่องเป็ด ผ่าครึ่งตัวแล้วก็สับตามความชอบ จัดใส่จาน

    + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ วิธีทำเป็ดพะโล้ สูตรตุ๋นยาจีนพร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด

    +-+-+-+-+-+-+-+-+-+

    เมนูพะโล้

    4. เป็ดพะโล้ สูตรหม้อหุงข้าว

    สำหรับเด็กหอที่อุปกรณ์ไม่พร้อมอย่าเพิ่งน้อยใจ ขอแนะนำเป็ดพะโล้ สูตรจาก คุณ Rita_Bunny สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ทำง่าย ๆ ด้วยหม้อหุงข้าว หน้าตาดีงามกินกับพริกดองน้ำส้ม

    ส่วนผสม เป็ดพะโล้

    • เป็ด 1 กิโลกรัม
    • สามสหาย 20 กรัม (รากผักชี+กระเทียม+พริกไทยโขลกให้เข้ากัน)
    • ขิงทุบพอแตก 5 กรัม
    • อบเชย 1/2 ช้อนชา
    • เกลือแกง 1 ช้อนชา
    • น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะ
    • ซีอิ๊วดำหวาน 2 ช้อนโต๊ะ
    • ซีอิ๊วขาว 1/4 ถ้วยตวง
    • ผงพะโล้ 2 ช้อนชา
    • โป๊ยกั๊ก 3-4 ดอก
    • เห็ดหอมแห้ง 15 กรัม
    • น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง

    วิธีทำเป็ดพะโล้ (สำหรับหม้อหุงข้าวที่มีระบบตุ๋น)

    • 1. ใส่เป็ดลงในหม้อหุงข้าว ตามด้วยสามสหาย ขิงบุบ อบเชย เกลือแกง น้ำตาลทรายแดง ซีอิ๊วดำหวาน ซีอิ๊วขาว ผงพะโล้ โป๊ยกั๊ก เห็ดหอมแห้ง และน้ำเปล่า คนผสมให้เข้ากัน
    • 2. ปิดฝาแล้วกดปุ่มตุ๋น รอจนปุ่มเด้งมาที่อุ่นก็เป็นอันเสร็จ

    สำหรับหม้อหุงข้าวธรรมดา

    • เพิ่มน้ำเป็น 3 ถ้วยตวง ใส่ส่วนผสมทุกอย่างลงไป กดปุ่มหุงข้าว และห้ามปิดฝา ไม่อย่างนั้นน้ำจะเดือดจนล้น ทำเสร็จ จัดใส่ภาชนะ พร้อมเสิร์ฟกับพริกดองน้ำส้ม

    ส่วนผสม พริกดองน้ำส้ม

    • พริกขี้หนูแดง 1/3 ถ้วยตวง
    • น้ำส้มสายชู 1 1/2 ถ้วยตวง
    • เกลือแกง 1 ช้อนชา
    • กระเทียมจีน 10 กลีบ

    วิธีทำพริกดองน้ำส้ม

    • นำพริกขี้หนูแดง น้ำส้มสายชู เกลือแกง และกระเทียมจีนใส่เครื่องปั่น ปั่นพอแหลก เป็นอันเสร็จ

    • เคล็ดลับล้างกลิ่นสาบเป็ดจาก คุณ Rita_Bunny สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

    ส่วนผสม ล้างกลิ่นสาบเป็ด

    • น้ำเปล่า
    • เหล้าจีน 3 ช้อนโต๊ะ
    • ขิงบุบ 1 แง่ง

    วิธีล้างกลิ่นสาบเป็ด

    • ถ้าซื้อเป็ดสดแช่แข็งไม่ต้องทำความสะอาดดับกลิ่นสาบอะไรเลย หากซื้อเป็ดสดจากตลาดให้นำมาล้างข้างใน แล้วนำน้ำเปล่าใส่หม้อพอท่วมเป็ด ใส่เหล้าจีนและขิงบุบลงไปต้มจนเป็ดสุก ตักเป็ดขึ้น เทน้ำทิ้ง

    + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ วิธีทำเป็ดพะโล้ด้วยหม้อหุงข้าว ทำเรื่องยากให้ง่ายได้เนื้อนุ่มกลิ่นหอม

    +-+-+-+-+-+-+-+-+-+

    เมนูพะโล้

    5. ก๋วยเตี๋ยวเป็ดพะโล้

    วันหยุดอยากทำก๋วยเตี๋ยวเป็ดพะโล้เอาใจคุณแม่ นี่เลยขอแนะนำสูตรจาก RinS Cook Book สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม เนื้อเป็ดนุ่ม ๆ กับน้ำซุปพะโล้หอม ๆ กินกับเส้นอะไรก็อร่อย

    ส่วนผสม ก๋วยเตี๋ยวเป็ดพะโล้

    • เป็ดสด 1 ตัว
    • กระเทียม บุบพอแตก 1/2 ถ้วย
    • พริกไทยดำเม็ด บุบพอแตก 2 ช้อนโต๊ะ
    • ผักชีสับหยาบ 1 ถ้วย
    • น้ำตาลปี๊บ (หรือน้ำตาลทราย) 1 ถ้วย
    • อบเชย 9 แท่ง
    • โป๊ยกั๊ก 25 ดอก
    • ฮ่วยซัว 8 ชิ้น
    • ข่าแห้ง หรือข่าสด 1/3 ถ้วย
    • ผงพะโล้ 3 ช้อนโต๊ะ
    • ซอสปรุงรส 1 ถ้วย
    • ซีอิ๊วขาว 1 ถ้วย
    • เกลือป่น 3 ช้อนโต๊ะ
    • ซีอิ๊วดำหวาน 1/2 ถ้วย
    • เส้นก๋วยเตี๋ยว
    • ถั่วงอก
    • ขึ้นฉ่ายซอย
    • กระเทียมเจียว
    • ผักชีซอย
    • น้ำมันพริกเผา

    วิธีทำก๋วยเตี๋ยวเป็ดพะโล้

    • 1. ล้างทำความสะอาดเป็ดทั้งภายในและภายนอก ดึงขนเป็ดออกให้หมด จากนั้นเช็ดให้แห้ง เตรียมไว้
    • 2. ใส่ผักชี กระเทียมบุบ พริกไทยดำบุบ น้ำตาลปี๊บ อบเชย โป๊ยกั๊ก ฮ่วยซัว ข่าแห้ง และผงพะโล้ ลงบนผ้าขาวบาง มัดผ้าให้แน่น
    • 3. ใส่น้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟแรงจนน้ำเดือด ใส่ห่อผ้าเครื่องเทศลงไปต้ม ตามด้วยซอสปรุงรส ซีอิ๊วขาว เกลือป่น และซีอิ๊วดำหวาน ตามด้วยเป็ด เติมน้ำให้ท่วมตัวเป็ด เบาไฟอ่อนสุด ต้มทิ้งไว้นานประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาทีถึง 2 ชั่วโมง พอเป็ดสุก นำขึ้นจากหม้อ ตัดเนื้อเป็ดออกเป็นชิ้น ๆ ตามชอบ เตรียมไว้
    • 4. ลวกถั่วงอก และเส้นก๋วยเตี๋ยวในน้ำเดือด ใส่ลงในชาม วางเนื้อเป็ดบนเส้นก๋วยเตี๋ยว ราดน้ำพะโล้ โรยขึ้นฉ่าย กระเทียมเจียว ผักชี และน้ำมันพริกเผา เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้ม

    ส่วนผสม น้ำจิ้ม

    • พริกขี้หนู 1/4 ถ้วย
    • กระเทียม 1/4 ถ้วย
    • ข่าแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ
    • เกลือป่น 1 ช้อนชา
    • น้ำส้มสายชู 3/4 ถ้วย

    วิธีทำน้ำจิ้ม

    • ใส่พริก กระเทียม ข่าแห้ง เกลือป่น และน้ำส้มสายชูลงในเครื่องปั่น ปั่นจนละเอียด เตรียมไว้กินคู่กับก๋วยเตี๋ยว

    + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ก๋วยเตี๋ยวเป็ด เมนูเส้นกลิ่นหอม พร้อมเสิร์ฟแล้วจ้า

    +-+-+-+-+-+-+-+-+-+

    เมนูพะโล้

    6. เป็ดพะโล้ผัดต้นกระเทียม

    เป็ดพะโล้เหลือ ๆ กินกับข้าวสวยก็เบื่อ เอามาทำเป็ดพะโล้ผัดต้นกระเทียม สูตรจาก นิตยสารแม่บ้าน แปลงร่างเป็นกับข้าวสไตล์จีน หน้าตาชวนหิว อิ่มไปอีกมื้อ

    ส่วนผสม เป็ดพะโล้ผัดต้นกระเทียม

    • เป็ดพะโล้ (หั่นเป็นชิ้น) 150 กรัม
    • ต้นกระเทียมญี่ปุ่น (หั่นเฉียง) 100 กรัม
    • ขิงแก่ (หั่นแว่น) 3 แว่น
    • กระเทียม (ทุบพอแตก) 3 กลีบ
    • พริกขี้หนูแห้ง (ทุบพอแตก) 3 เม็ด
    • น้ำซุป 3 ช้อนโต๊ะ
    • ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
    • ซอสปรุงรส 2 ช้อนชา
    • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
    • แป้งมันฮ่องกง 1 ช้อนชา (ผสมน้ำเปล่าเล็กน้อย)
    • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
    • เหล้าจีน 1/2 ช้อนชา

    วิธีทำเป็ดพะโล้ผัดต้นกระเทียม

    • 1. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชพอร้อน ใส่กระเทียม พริกขี้หนูแห้ง และขิงลงผัดพอหอม
    • 2. เติมน้ำซุป ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรม ซอสปรุงรส และน้ำตาลทราย พอเดือด ใส่แป้งมันฮ่องกง ผัดให้เข้ากัน
    • 3. ใส่เป็ดพะโล้ ต้นกระเทียม และเหล้าจีน ผัดพอทั่วยกลง จัดเสิร์ฟร้อน ๆ

    + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ เป็ดพะโล้ผัดต้นกระเทียม อาหารตรุษจีน เสริมความมั่งคั่ง

    +-+-+-+-+-+-+-+-+-+

    เมนูพะโล้

    7. บะหมี่อบพะโล้สะโพกไก่หม้อดิน

    เอาใจคนชอบกินเมนูเส้นกันหน่อย ขอแนะนำบะหมี่อบพะโล้สะโพกไก่หม้อดิน สูตรจาก นิตยสาร Food News & Life อิ่มอร่อยกับสะโพกไก่เต็ม ๆ คำ เสิร์ฟในหม้อดินเก๋ ๆ ใครจะใส่เป็ดพะโล้แทนก็ได้นะคะ

    ส่วนผสม บะหมี่อบพะโล้สะโพกไก่หม้อดิน

    • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
    • กระเทียมสับละเอียด 30 กรัม
    • รากผักชีสับละเอียด 20 กรัม
    • พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
    • ผงพะโล้ 2 ช้อนชา
    • น้ำตาลปี๊บ 80 กรัม
    • น้ำ 250 กรัม
    • ซอสหอยนางรม 3 ช้อนโต๊ะ
    • ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
    • สะโพกไก่ 4 ชิ้น
    • บะหมี่เปาะลวกสุก 250 กรัม
    • น้ำมันเจียวกระเทียม 2 ช้อนโต๊ะ
    • เบคอน 2 เส้น
    • รากผักชีบุบ 2 ราก
    • กระเทียมปอกเปลือก 10 กลีบ
    • ผักชี
    • พริกชี้ฟ้าแดง

    วิธีทำบะหมี่อบพะโล้สะโพกไก่หม้อดิน

    • 1. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ ใส่กระเทียม รากผักชี พริกไทยป่น และผงพะโล้ ลงไปผัดจนมีกลิ่นหอม เติมน้ำตาลปี๊บลงผัดจนละลาย เติมน้ำเปล่า ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรมและซอสปรุงรส ใส่สะโพกไก่ ต้มใช้ไฟอ่อนจนไก่สุก เตรียมไว้
    • 2. ผสมบะหมี่เปาะลวกสุกกับน้ำมันเจียวกระเทียมเข้าด้วยกัน
    • 3. วางเบคอนลงในหม้อดิน ตามด้วยรากผักชีและกระเทียม ปิดฝา นำขึ้นตั้งไฟจนมีกลิ่นหอม
    • 4. ตักสะโพกไก่พะโล้ลงในหม้อดิน วางผักกวางตุ้ง และบะหมี่ เติมน้ำพะโล้ ปิดฝา อบต่อจนส่วนผสมมีกลิ่นหอม และระอุดี แต่งด้วยผักชีและพริกชี้ฟ้าแดง พร้อมเสิร์ฟ

    + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ บะหมี่อบพะโล้สะโพกไก่หม้อดิน เมนูเส้นกลิ่นหอมชวนหิว

    +-+-+-+-+-+-+-+-+-+

    เมนูพะโล้

    8. คอหมูย่างหมักผงพะโล้

    ส้มตำพร้อม คอหมูย่างอยู่ไหน อยู่นี่ ๆ ขอแนะนำคอหมูย่างหมักผงพะโล้ สูตรจาก คุณ TaYo76 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม แม้จะดูแปลกไม่คุ้นลิ้นไปหน่อย แต่รับรองว่าอร่อยสุด ๆ

    ส่วนผสม คอหมูย่างหมักผงพะโล้

    • คอหมู 250 กรัม
    • ซีอิ๊วขาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
    • ซีอิ๊วหวาน 1/2 ช้อนโต๊ะ
    • ซีอิ๊วดำเค็ม 1/2 ช้อนโต๊ะ
    • แป้งทอดกรอบ 1 ช้อนโต๊ะ (สำหรับจะเอาไปทอด)

    ส่วนผสม เครื่องพะโล้

    • ผงพะโล้ 1 ช้อนชา
    • อบเชย 1 แท่ง
    • โป๊ยกั๊ก 2 ดอก
    • ลูกผักชี (นิดหน่อย)

    วิธีทำคอหมูย่างหมักผงพะโล้

    • 1. นำเครื่องปรุงทั้งหมดใส่ในภาชนะที่ใส่คอหมูเตรียมไว้แล้ว ใช้มือคลุกให้เข้ากัน เอาเข้าตู้เย็นหมักทิ้งไว้สัก 2 ชั่วโมง
    • 2. พอครบเวลาแบ่งมาทำคอหมูย่างส่วนหนึ่ง โดยวางบนตะแกรง ใส่ในเตาอบเล็ก ย่างประมาณ 20-25 นาที โดยตั้งเวลาครั้งละ 10 นาที แล้วเอาออกมากลับด้านสักทีหนึ่ง พอสุกหั่นใส่จาน
    • 3. ส่วนคอหมูย่างที่เหลือจะเอาไปทอด โดยตั้งกระทะใส่น้ำมันปาล์มลงไป ใช้เตาแม่เหล็กไฟฟ้าที่อุณหภูมิประมาณ 140 องศาเซลเซียส โรยแป้งทอดกรอบลงไปบนหมูหมักก่อนนำไปทอด ใช้เวลาทอดประมาณ 3-5 นาที พอสุกหั่นใส่จาน

    ส่วนผสม น้ำจิ้มแจ่ว

    • ข้าวคั่ว 1/2 ช้อนโต๊ะ
    • พริกป่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำปลา 5-6 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
    • มะนาว 1/2 ช้อนชา

    *ปรับปริมาณเอาตามชอบได้เลยครับ

    วิธีทำน้ำจิ้มแจ่ว

    • ผสมส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน

    + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ คอหมูย่างหมักผงพะโล้ เมนูกับแกล้มอร่อยเด็ดจากคอหมู

    +-+-+-+-+-+-+-+-+-+

    เมนูพะโล้

    9. ขาหมูพะโล้น้ำแดง

    ถ้ายังไม่เอียนเมนูพะโล้ไปก่อน ก็มาต่อกันที่ขาหมูพะโล้น้ำแดง สูตรจาก คุณ shintaro สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ขาหมูตุ๋นเปื่อย ๆ ใส่เครื่องแน่น อร่อยเพลินลืมอ้วนแน่นอน

    ส่วนผสม ขาหมูพะโล้น้ำแดง1

    • ขาหมู (ส่วนขาหลัง)
    • ไส้ใหญ่หมู
    • น้ำเกลือ (สำหรับล้างไส้ใหญ่หมู)
    • น้ำส้มสายชู (สำหรับล้างไส้ใหญ่หมู)
    • เต้าหู้ขาวแบบแข็ง
    • ไข่ไก่ต้มสุก (ปอกเปลือก)
    • เครื่องพะโล้
    • น้ำตาลปี๊บ
    • รากผักชีทุบ
    • กระเทียม
    • ซีอิ๊วขาว
    • ซีอิ๊วดำ
    • ผักกาดดอง
    • ผักชี
    • พริกดองน้ำส้ม

    อุปกรณ์

    • หม้ออบลมร้อน
    • หม้อตุ๋นแรงดัน (ถ้าไม่มีก็ใช้หม้อธรรมดาได้)

    วิธีทำขาหมูพะโล้น้ำแดง

    • 1. ล้างขาหมูให้สะอาด นำไปอบด้วยเตาอบลมร้อนประมาณ 300 องศาเซลเซียส ใช้เวลามากกว่า 40 นาที พอให้ได้สีออกเหลือง ๆ
    • 2. ล้างไส้ใหญ่หมู โดยล้างด้วยน้ำเกลือและน้ำส้มสายชูให้สะอาด นำไส้หมูไปคลุกกับซีอิ๊วดำ จากนั้นเอาเข้าเตาอบลมร้อน หรือจะอบพร้อมขาหมูก็ได้
    • 3. หั่นเต้าหู้เป็นก้อน นำไปทอดให้เหลืองกรอบ ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน เตรียมไว้
    • 4. ต้มไข่ไก่จนสุก ปอกเปลือกแล้วนำลงไปแช่ในน้ำซีอิ๊วดำ
    • 5. ตั้งกระทะใส่น้ำมันลงไป พอน้ำมันร้อนแล้วเบาไฟลง ใส่เครื่องพะโล้ลงไปผัดให้หอม ใส่น้ำตาลปี๊บลงไปผัดจนละลายให้ได้กลิ่นไหม้เหมือนคาราเมล
    • 6. ตั้งหม้อแล้วเติมน้ำลงไป (ในสูตรใช้หม้อตุ๋นแรงดัน ถ้าไม่มีก็ใช้หม้อธรรมดาก็ได้ หรือตั้งเตาถ่าน) ใส่ขาหมูอบ รากผักชีทุบ กระเทียม ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ ผักกาดดอง และเติมเครื่องพะโล้ที่ผัดไว้ลงไป
    • 7. ตุ๋นให้ขาหมูสุก ประมาณ 40 นาที ถ้าเป็นหม้อธรรมดาใช้เวลานานหน่อย ลองใช้ส้อมจิ้มดูว่า หมูเปื่อยหรือเปล่า เมื่อสุกแล้วก็ตักขึ้นมา สับทุกอย่างจัดใส่จาน โรยหน้าด้วยผักชี เสิร์ฟกับพริกดองน้ำส้ม

    + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ 5 เมนูขาหมู สูตรแน่น ๆ เนื้อเน้น ๆ คนไม่กลัวอ้วนเชิญบันเทิง

    +-+-+-+-+-+-+-+-+-+

    เมนูพะโล้

    10. ขาไก่ต้มพะโล้

    จากที่เคยกินเมนูต้มซุปเปอร์เผ็ดแซ่บจนแสบปาก ลองเปลี่ยนมากินขาไก่ต้มพะโล้รสชาติเบา ๆ กันดีไหม ขาไก่ต้มเปื่อยกับน้ำซุปพะโล้ ดูดปรื๊ด ๆ ไม่ต้องแคร์ใคร ถ้าได้ลองจะติดใจ

    ส่วนผสม ขาไก่ต้มพะโล้

    • ขาไก่ 1/2 กิโลกรัม
    • ผงพะโล้ 1/2 ห่อ
    • รากผักชี 3 ราก
    • กระเทียม 2 หัว
    • อบเชย 1 แท่ง
    • โป๊ยกั๊ก 3 ดอก
    • น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนโต๊ะ
    • ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
    • ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำขาไก่ต้มพะโล้

    • 1. สับเล็บขาไก่ออก ล้างให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ
    • 2. โขลกรากผักชีกับกระเทียมพอแหลก เตรียมไว้
    • 3. ตั้งไฟกระทะใส่น้ำมัน ใส่เครื่องที่โขลกลงผัดพอหอม ใส่ผงพะโล้ผัดจนหอม ใส่น้ำเล็กน้อย พอเดือดเทใส่หม้อ
    • 4. ใส่อบเชย โป๊ยกั๊ก และขาไก่ ต้มประมาณ 30 นาที ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ ซีอิ๊วขาว และซีอิ๊วดำ ต้มต่อจนเปื่อยตามชอบ ตักใส่จานเสิร์ฟ

    +-+-+-+-+-+-+-+-+-+

    เมนูพะโล้

    11. ต้มพะโล้เจ

    เมนูพะโล้ไม่ใส่เนื้อสัตว์ก็อร่อยเหมือนกันนะคะ ขอแนะนำต้มพะโล้เจ ใส่ทั้งเต้าหู้ เห็ดหอม และหมี่กึง ใครจะใส่กะหล่ำปลีหรือกวางตุ้งลงไปเพิ่มก็ได้นะคะ

    ส่วนผสม ต้มพะโล้เจ

    • เต้าหู้ทอด 3 ก้อน
    • เห็ดหอมแช่น้ำ 5 ดอก
    • หมี่กึงหั่นแว่น 1/2 ถ้วย
    • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำมันหอยเจ 1/2 ช้อนโต๊ะ
    • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
    • น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนโต๊ะ
    • ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
    • ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำแช่เห็ดหอม 1 ถ้วย

    วิธีทำต้มพะโล้เจ

    • 1. ตั้งกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อย ใส่เห็ดหอมลงไปผัดพอหอม ใส่หมี่กึงผัดพอสุก ตักใส่หม้อ
    • 2. เติมน้ำแช่เห็ดหอมลงในหม้อ ใส่เต้าหู้ ตั้งไฟกลางต้มจนเดือด ปรุงรสด้วยน้ำมันหอยเจ เกลือป่น น้ำตาลปี๊บ ซีอิ๊วขาว และซีอิ๊วดำ คนให้เข้ากัน

    อยากให้กลิ่นหอม ๆ ของเมนูพะโล้ทะลุจอจังเลย อย่าอิจฉากันนะคะ ถ้าใครอยากอร่อยเหมือนเราจิ้มสูตรที่ชอบแล้วไปช้อปปิ้งที่ตลาดกันเลย
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    วันนี้ ผมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ(พระเสโทธาตุ) องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมณโคดม , พระธาตุพระอรหันต์ และพระเกสาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยนำไปให้กับพี่ท่านนึง(ที่คณะทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาท อ.ประถม อาจสาคร) ที่โรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อฝากไปถวายตามวัดต่างๆ

    และผมไปทำบุญที่โรงพยาบาลสงฆ์

    มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...