ประวัติและประสบการณ์ หลวงพ่อโสต สิริธมฺโม วัดเขาหินโค่ง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย พิภพจบนภา, 27 กันยายน 2015.

  1. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    มี 3 แบบครับ 1.ขุนแผนสิริฤ ปี 53 2.ขุนแผนจิ๋ว ปี 54 3. ขุนแผนสามพรายปี 57
     
  2. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    ท่านพ่อโสต วัดเขาหินโค่ง ตอน ช้างเผือกอยู่ในป่าใครไม่เห็นคุณค่าก็ช่างมัน..... ... รักแท้และความอยาก ไม่เคยแพ้ระยะทาง”...
    บนเส้นทางที่คดเคี้ยวดั่งจิตใจมนุษย์ ในขณะที่เดินทางผ่าน ตะเคียนทอง -คลองพูล ในเขต อ.เขาคิชกูฎ เลียบเลาะอ่างเก็บน้ำสันทราย สายตาผมก็ พลางชำเลือง มองนับเสาไฟที่ปักอยู่ในระยะห่างๆกัน หากมองด้วยความรู้สึกขั้วลบ เสาไฟพวกนี้มันคงจะโกรธกันนะครับถึงได้ตั้งห่างกันนัก แต่ถ้ามองในมุมกลับ การที่มันตั้งห่างกันแต่มันก็เป็นเหมือนเข็มทิศบอกเส้นทางให้เราสามารถไปถึงจุดหมายโดยไม่หลงทาง...ในที่สุดผมก็มาถึงที่หมายครับ..วัดสันติธรรมคีรี (เขาหินโค่ง) บ้านชำตาเรือง ต.คลองพลู อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรีเพื่อกราบนมัสการ ท่านพ่อโสต สิริธมโม เป็นเรื่องจริงที่พวกเรายอมรับครับว่า..
    “ยิ่งระยะห่างระหว่างเรากับท่านขยายวงกว้างมากขึ้นเท่าไหร่ พวกเราก็จะยิ่งคิดถึงท่านมากขึ้นเท่านั้น”
    ดังนั้นพวกเราจึงชอบใช้ระบบการติดต่อสื่อสารด้วยการเดินทางมาพบ มากกว่าจะพึ่งเครือข่ายที่โยงใยและรวดเร็วในปัจจุบันครับ.....วันนี้ท่านพ่อติดกิจนิมนต์ พลางก็นึกในไม่เป็นไรรอท่านพ่อกลับจากกิจแล้วค่อยสนทนากับท่าน มืดก็มืดเถอะไหนๆก็มาแล้ว ...สำหรับผมและเพื่อนพี่น้องร่วมอุดมคติที่เดินทางบนเส้นทางแสวงหาพระสงฆ์และพระเครื่อง...
    ซึ่งก็ไม่นานเท่าไรนัก เมื่อท่านพ่อกลับมาจากกิจมีโอกาส ผมก็มานั่งเสนอหน้า เพื่อสนทนากับท่าน..... ความจริงใจเป็นสิ่งที่สื่อถึงกันได้ ทั้งทางภาษาพูดและภาษากาย ตั้งแต่การใส่ใจกับสิ่งที่ได้รับ การบอกเล่าและรับฟังอย่างตั้งใจ การส่งสายตา ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความจริงใจที่ ท่านพ่อโสต มีให้กับพวกเราด้วยความเมตตา และทั้งหมดนั้นเป็นพฤติกรรมที่พวกเราคิดว่ามาจากใจของท่าน...
    การเปลี่ยนแปลงสถานะของชีวิตไม่ว่าในทิศทางใดย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะกับการที่ต้องละทิ้งชีวิตในวัยหนุ่ม เพื่อมาทำตามความเชื่อของตนเอง...สายตาที่ท่านมองมายังผม โดยที่ไม่ได้กล่าวถึงเจตนาและการมาครั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่น่าแปลกใจมากคือ ท่านเอ่ยกล่าวถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาโดยที่ผมยังไม่ได้เกริ่นกล่าวถามท่านก่อนเลยแม้แต่คำเดียว สายตาที่ท่านมองมายังผมเหมือนจะรู้จิตรู้ใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า ฉันเคยไปเมืองชลบุรีเพื่อไปเรียนวิชาสาริกากับพระเกจิอาจารย์ท่านหนึ่งในเขตชลบุรีแต่นานมากแล้วจำไม่ได้ว่าท่านผู้ถ่ายทอดวิชาชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรพอจะนึกออกบ้างไหม งงล่ะครับพี่น้องยังไม่บอกท่านสักคำว่ามาจากจังหวัดชลบุรี แล้วท่านรู้ได้อย่างไร เรื่องประหลาดเกิดขึ้นในคำรบที่สอง..เรื่องนี้ผมก็ไม่ทราบเลยครับท่านพ่อ ตอบไปอย่างนั้นเพราะไม่รู้จริงๆ .......ความเปลี่ยนแปลงของสังคมในอดีตที่ถูกรุกรานโดยความเจริญของปัจจุบัน สะท้อนให้เราเห็นถึงการทำลายคุณค่าของวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ความสงบเรียบร้อยกลายมาเป็นความพลุกพล่าน ความสัมพันธ์ระหว่างคนในท้องถิ่นถูกแทนที่ด้วยความเหินห่าง
    แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ย่อมกระทบถึงความสัมพันธ์ด้านระหว่างวัดกับคนที่มาทำบุญอย่างเลี่ยงไม่ได้...”ธรรมชาติให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับมนุษย์ก็จริง แต่ธรรมชาติก็พรากทุกสิ่งไปจากมนุษย์ได้เช่นกัน...” โดยเฉพาะในเรื่องของ “ความเชื่อ...”
    “ตื่นวัว ตื่นควาย ไม่เท่าตื่นคน....แต่ที่หนักที่สุดคือ ตื่นกระแสศรัทธา...” ท่านพ่อโสตท่านกล่าวว่า “ พวกเราเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้แล้วว่า ชีวิตของเรา สิ่งที่ควรจะต้องยึดไว้ตลอดคือ การพึงพาตัวเอง...
    หากไม่รู้จักการพึงพาตัวเองแล้วใครเล่าจะช่วยเหลือเราได้ เช่นเดียวกันวัตถุมงคลต่างๆที่มีให้ไว้ นั่นคือสิ่งที่เตือนใจ สิ่งที่เตือนสติ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ให้พวกเราไว้วิงวอน ไว้กราบเพื่อความมีชีวิตที่ดีขึ้น....จะเชื่อก็เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า ใช้หลัก “กาลามสูตร”.....”(ยิ้ม)
    ผมนั่งฟังแล้วคิดตาม...จะว่าไปแล้วในปัจจุบันสื่อในเรื่องที่เกี่ยวกับพระเครื่องหรือวัตถุมงคลมีออกมามากมาย อาจจะเป็นเพราะเพื่อรองรับกับสภาพความต้องการของสังคมในยุคสมัยที่ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ.. ตราบใดที่ไม่ผิดศีลธรรมและเดือดร้อนใคร นั่นละคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุดของพวกเอ็งในขณะนี้...”
    ฟังแล้วก็ต้องสะอึก เพราะสามารถอธิบายเป็นศัพท์นอกพระไตรปิฏกได้ว่า “เชื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เชื่อ...” ประมาณว่าอะไรขนาดนั่นแหละครับ..
    วันนี้อีกเช่นกันในระหว่างที่ผมกับท่านกำลังสนทนากันในเรื่องพวกนี้...คำพูด คำตอบ แต่ละอย่างของท่านถูกส่งเข้ากระแทกใจเป็นระยะๆ “ดูคนอย่าดูแต่ภายนอก ให้ดูเข้าไปถึงข้างใน…ถ้ายังไม่มั่นใจอย่าคิดวิจารณ์.....”
    มันยังคงเป็นคำคมที่ใช้ได้ร่วมยุคสมัยจริงๆ ...”ไม่เบาเลยครับหลวงพ่อองค์นี้”...
    ท่านว่า ..จะว่าไปแล้วการจะบวชเป็นพระกับเขาสักองค์ในปัจจุบันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ยิ่งเป็นพระที่มีคนในสังคมให้ความเคารพนับหน้าถือตาก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ คงจะเป็นเพราะว่ามันต้องตัดความต้องการ ตัดความยึดติด ตัดแล้วซึ่งกิเลสบางอย่างออกจากชีวิต และที่สำคัญที่สุดก็คือการที่ต้องทำใจยอมรับกับความเปลี่ยนแปลงของคนอื่นที่มีกับเราได้ อย่างเช่นเมื่อครั้งที่ท่านพ่อโสต ยังไม่บวชและได้ชื่อว่าเป็นคนจริง คนหนึ่ง ในเขตนี้ จะไปไหนคนก็ยำเกรง แต่พอมาบวชเป็นพระ ด้วยความที่เคยเป็นนักเลง ทำให้ความเคารพยำเกรงลดน้อยลง ซึ่งในช่วงแรกท่านก็อึดอัดใจ แต่ก็นั่นแหละครับเมื่อท่านตั้งสติได้เลิกยึดติดกับสิ่งเดิมๆ ..สิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับท่าน.. ท่านพ่อได้กล่าวถึงเรื่องการสักยันต์ตอนหนึ่งว่า สมัยก่อนท่านสักให้ลูกศิษย์ไปมากถึงขนาดคนที่มาสักกับท่านเอาท่านไปซุบซิบนินทาว่าอายุยังน้อยจะขลังจริงหรือ ถึงขนาดเอาอีดาบแกล้งลองฟันบางคนถึงกลับคลานหนีก็มี (ท่านพูดไปหัวเราะไป ) เรื่องราวแต่อดีตฟังแล้วก็ชวนให้อมยิ้มเกี่ยวกับการสักยันต์ โดยเฉพาะแนวความคิดและการวางอักขระ แต่นั่นก็เป็นเพียงเปลือกนอกที่สะท้อนให้เห็นวิถีของชาวไทย ซึ่งการสักยันต์ในประเทศไทยจะเริ่มมีมาในสมัยใดผมก็ไม่อาจทราบได้แน่ชัด
    คงพอทราบเพียงแต่ว่าในสมัยของ”ท่านจอมพล ป.พิบูลสงคราม” ได้มีความพยายามให้คนไทยเลิกเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์ เช่นการไม่อนุญาตให้ข้าราชการสักตามร่างกาย ถ้าเดิมมีรอยสักอยู่แล้วต้องลบออกก่อนจึงจะสามารถสมัครเข้ารับราชการได้ และถ้าใครสักยันต์ตามร่างกายจะถือว่าเป็นนักเลง...
    การสักยันต์ในสมัยโบราณของไทย เราอาจแบ่งอย่างหยาบๆ ออกได้เป็น การสักบอกสังกัด สักเพราะถูกลงโทษ สักเพื่อเป็นเครื่องหมายของเผ่า สักเพื่อสวยงามและสักเพื่อความอยู่ยงคงกระพัน (ทำนองนั้น)...
    ในส่วนของการสักเพื่อผลทางไสยศาสตร์ก็ยังแตกย่อยออกเป็น สักเพื่อผลทางอยู่ยงคงกระพัน กับผลทางเมตตามหานิยม ซึ่งการสักเพื่อผลทางไสยศาสตร์จะมีความเข้มแข็งก็ต่อเมื่อ สักด้วยอักขระที่ถูกต้อง สักได้ตรงตามตำแหน่งที่ควรสัก... สำคัญคือการสักในลักษณะแบบนี้จะต้องสักโดยพระเกจิอาจารย์ที่เชี่ยวชาญ ขมังในเวทย์ หรือถ้าเป็นฆราวาสต้องเป็นฆราวาสที่ทรงศีลและชำนาญในคาถาอาคม....ขั้นตอนการสัก เริ่มจากการกำหนดอักขระเลขยันต์และลงเข็มสักบนผิวหนัง ในระหว่างนั้นผู้ที่ทำการสักจะต้องบริกรรมคาถากำกับตลอดเวลา นัยว่าเพื่อเป็นการถ่ายทอดพระเวทย์ลงในอักขระเลขยันต์นั้นๆ..
    อาจจะมีเรื่องปลีกย่อยแต่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือหากสักเป็นลวดลายของสัตว์ต่างๆ ผู้ที่เป็นอาจารย์สักจะต้องลง “หัวใจของคาถา” เพื่อเป็นการกำกับลวดลายนั้น...ซึ่งในส่วนของคาถาที่เรียกว่า “หัวใจของคาถา” ผมไม่อาจจะอธิบายได้เนื่องจากตนเองไม่แตกฉานพอครับ...
    จะว่าไปแล้วคนสมัยโบราณท่านก็มีวิธีการคิดที่ดีนะครับ..รู้จักสร้างอุบายเพื่อทำให้คนเป็นคนดี ปฏิบัติดี เพราะการสักยันต์คือ “การกำหนดเงื่อนไขและระเบียบปฏิบัติในการกระทำความดี..”จะว่าไปแล้วการทำความดีละเว้นความชั่วก็คือ.. “การสร้างยันต์ที่จะคุ้มครองตัวนั่นเอง...”ปัจจุบันหลังจากมนุษย์โลกเหยียบดวงจันทร์ วัฒนธรรมการสักยันต์ก็ไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายเหมือนในอดีตแล้ว ความคิด ทัศนคติและค่านิยมของคนเราเปลี่ยนไป
    คนในสังคมส่วนใหญ่มักมองคนที่มีรอยสักว่าเป็นนักเลง ไร้การศึกษาฯลฯ ซึ่งบางทีพระสงฆ์ก็ได้รับมุมมองตามแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นคนทีมีรอยสักมักจะปกปิดไม่ให้ใครเห็น ยกเว้นก็แต่การสักเพื่อความสวยงามก็ยังคงเป็นที่นิยมและถือว่าเป็นเทรนที่เข้ากับยุคสมัยได้อย่างเสมอ....
    เรื่องที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้คือเหตุผลส่วนหนึ่งของการที่ท่านพ่อโสต ท่านได้เลิกสักยันต์ ....ครับ “ทัศนคติ บวก ความหลงระเริง ผลลัพธ์คือสองอย่าง” ตามหลักคณิตศาสตร์ครับ...จริงอยู่ครับ คำว่า”ที่หมาย ย่อมสำคัญกว่า ที่มั่น” เพราะที่สุดแล้วท่านพ่อโสต ท่านก็เน้นว่าพระพุทธศาสนาคือโลกของความจริง การเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าคือสิ่งที่เหล่าสาวกพึงปฏิบัติ มากกว่าจะเน้นหนักด้านพุทธคม..
    แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน “ที่มั่น บางทีก็สำคัญเสมอเหมือน ที่หมาย” เพราะ “ที่มั่น ยังเอาไว้ไม่อยู่แล้วที่หมายจะได้มาอย่างไร” ยิ่งในยุคสมัยที่คนส่วนใหญ่ยังขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ซึ่งในเรื่องนี้พระพุทธองค์ทรงยกเว้นให้สำหรับผู้ที่ยังขาดตกบกพร่องในระหว่างการเดินทางเพื่อให้ถึงที่หมาย..... ครับผมเชื่อว่า ตราบใดที่ดวงตะวันยังขึ้นลงอยู่อย่างนั้น เปรียบเป็นศรัทธาพุทธศาสนิกชนผู้มีความเชื่อมั่นในพระเกจิอาจารย์ผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ จักเป็นนิรันด์ ....เรื่องราวของท่านพ่อโสตยังมีที่ถ่ายทอดอีกมากมายวันนี้ขอจบลงก่อนแต่เพียงเท่านี้ ..สวัสดีครับ...

    อ้างอิงจากเฟสบุค Pornchai Saengmaung 10/2/2559
     
  3. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    ท่านพ่อโสต วัดเขาหินโค่ง จันทบุรี ตอน ท่านพ่อผู้พอเพียง .... ถ้าจะพูดกันในเรื่องของไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถา ท่านพ่อบอกว่าตัวท่านเองก็เรียนมาเยอะ ประมาณว่าที่นำมาใช้สร้างวัตถุมงคลในทุกวันนี้ ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของวิชาที่ท่านได้เคยเรียนมาเลย ท่านว่าในเรื่องของการเสกพระหรือเสกของ นอกจากวิชาการต้องแม่นแล้ว ชั่วโมงบินหรือประสบการณ์ในการเสก ถือเป็นเรื่องที่จะมองข้ามเสียมิได้ ปัจจุบันในแวดวงนักนิยมพระเครื่องสายเมืองจันทบุรีต่างให้ความนิยมและยกย่องท่านพ่อว่า เป็นพระที่ดีและสร้างของได้ขลัง ซึ่งเรื่องนี้สามารถวัดดัชนีได้จากวัตถุมงคลของท่านพ่อในแต่ละรุ่นที่สร้างขึ้นจะถูกบูชาหมดไปจากวัดภายในเวลาไม่นานนัก สำหรับผม เพื่อน พี่น้อง แล้ว พวกเรามีความคิดตรงกันว่า ความน่าสนใจในตัวของท่านพ่อไม่ได้อยู่แค่การเป็นพระเกจิอาจารย์ที่สร้างวัตถุมงคลได้ขลังและมีประสบการณ์เกิดขึ้นแบบนับครั้งไม่ถ้วน หากแต่จากที่พวกเราได้สัมผัสทำให้พอทราบได้บ้างว่าวิถีการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ การผ่านช่วงชีวิตที่ยากลำบากและร้ายแรงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ความคิดเห็นต่อความเป็นไปของสังคม การรู้จักสำนึกในบุญคุณของแผ่นดิน ฯลฯทั้งหมดนี้ล้วนทำให้เรื่องราวของท่านพ่อมีสีสันและน่าติดตามครับ เชื่อว่าเพื่อนๆ คงจะรู้จักท่านพ่อมาบ้างแล้ว หลายคนอาจจะรู้จักท่านพ่อในฐานะเจ้าอาวาสนักพัฒนา ผู้นำความเจริญเข้าสู่ท้องถิ่นและจิตใจ บางคนอาจจะคุ้นเคยกับชื่อของท่านพ่อ โดยดูจากรายนามนิมนต์พระเกจิอาจารย์ในพิธีพุทธาภิเษก หรือในขณะที่บางคนก็รู้จักท่านพ่อเป็นอย่างดีกับบทบาทพระนักกรรมฐานผู้สมถะและเคร่งครัด.. แต่ไม่ว่าทุกๆท่าน จะรู้จักท่านพ่อในแง่มุมใดก็แล้วแต่ เรื่องราวต่อไปนี้ถือเป็นอีกบทบาทหนึ่งของท่านพ่อที่ได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการก่อสร้างธรรมสถาน (วัดสันติธรรมคีรี) ท่านว่า ปัจจัยที่ญาติโยมมาถวายรายได้จากกิจนิมนต์ ท่านนำมาสร้างวัดหมดไม่มีเก็บเป็นส่วนตัว เรียกกันว่ามีเท่าไหร่เทกันหมดหน้าตัก มีใครบางคนเคยพูดกับท่านว่าทำไม่ท่านพ่อไม่เก็บไว้บ้าง ท่านว่า เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อถึงเวลาญาติโยมลูกศิษย์คงไม่ให้ท่านตายง่ายๆหรอกนะ (อมยิ้ม) ท่าน พ่อบอกว่า ตามปกติแล้วหากไม่มีกิจนิมนต์หรือภาระกิจภายในวัด ท่านก็จะดูความคืบหน้าของการก่อสร้าง ดูว่าพระที่จำพรรษาอยู่ที่นี่และคนงานขาดเหลืออะไรบ้าง ผมฟังแล้วอดเรียนถามท่านไม่ได้ “ท่านพ่อเหนื่อยไหมครับ” ท่านพ่อได้พูดขึ้นว่า ไม่เหนื่อยหรอก เพราะก่อนจะลงมือทำหรือจะปลูกอะไร เราจะต้องปลูกศรัทธาขึ้นในหัวใจของเราก่อน ศรัทธาในความดี ศรัทธาในสิ่งที่ทำ ซื่อสัตย์ต่อตนเอง และต้องทำจริง”
    ว่ากันว่าหากเราจะลงมือทำอะไรสักอย่างให้ประสบความสำเร็จ สิ่งแรกที่เราต้องเอาชนะให้ได้คือเรื่องของ “ความท้าทาย” ต่างๆ เช่น ความสามารถในเนื้อหาของงาน ประสบการณ์ การวางแผนจัดการ การประสานงาน ฯลฯ แต่ถ้าถามถึงสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะต้องมีก่อนลงมือทำคงเป็นเรื่องของ “ความตั้งใจจริง” ครับเพราะความตั้งใจจริงนี่แหละเป็นพื้นฐานเบื้องต้นสู่ความสำเร็จของทุกอย่าง ดั่งเช่นความตั้งใจจริงของ “ท่านพ่อโสต สิริธมโม ที่เปี่ยมไปด้วยแรงปรารถนาและอุดมการณ์อันแน่วแน่ในการพัฒนา ดูแลและรักษาแผ่นดินที่ท่านได้อาศัยอยู่ในทุกวันนี้ ท่านว่าการมาปฏิบัติธรรมของคนหมู่มากเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ท่านได้ทำขึ้นมาด้วยความยากลำบากได้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ คือการชักจูงคนให้หันมาปฏิบัติธรรม เพื่อกล่อมเกลาจิตใจ“คนที่รู้คุณค่าก็จะมีจิตสำนึกของการรู้รักษา การพัฒนาจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ใส่ใจพื้นฐานของตนเอง”
    จะว่าไปแล้ว ปัจจุบันนี้คำว่า”ความเจริญกับจิตสำนึก” ดูเหมือนจะเดินสวนทางกันตลอดครับ อย่างเช่นคนรุ่นใหม่ๆ เมื่อเรียนจบก็มักจะออกแสวงหาที่ทำงานกันแต่ในเมืองหลวงหรือตามแหล่งที่เจริญ มากกว่าจะหันกลับมาทำงานและพัฒนาความเจริญให้กับแผ่นดินเกิดของตนเอง แต่ก็ยังนับเป็นโชตดีอย่างหนึ่งครับที่ความเจริญยังไม่สามารถกลืนกินได้ทั้งหมด เพราะทุกวันนี้เรายังคงพอมองเห็นใครบางคนที่มีความใส่ใจและสำนึกในพื้นฐานของตนเอง โดยมีการตั้งปณิธานกับตนเองเอาไว้ว่า..จะต้องพัฒนาแผ่นดินที่ตนเองอาศัยอยู่ให้มีความเจริญมากที่สุดเท่าที่ตนเองจะมีแรงทำได้ ไม่มีชาวบ้านคนไหนคิดเลยว่า การมาถึงของพระภิกษุวัยกลางคนองค์นี้จะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองแก่วัดและท้องถิ่น จนเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ผลของการทำงานอย่างหนักเริ่มสัมฤทธิ์ผลเป็นระยะๆ และเมื่อวันใดที่ปฏิทินระบุว่าเป็นวันพระและวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ก็จะเห็นชาวบ้านอุ้มลูกจูงหลานออกมาทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม จากผลตอบรับที่เกิดขึ้นนี้เอง ทำให้ท่านพ่อมีความมั่นใจว่าหนทางที่ท่านได้เดินเข้ามาถูกต้องแล้ว
    ท่านพ่อบอกว่า สิ่งที่น่ายินดีคือการที่มีชาวบ้านออกมาทำบุญ เพราะนั่นหมายถึง การก้าวรุกไปข้างหน้าของท่าน นอกจากนี้ท่านพ่อยังมีความเห็นว่า วัดสันติธรรมคีรี (เขาหินโค่ง) ต้องเป็นเสมือนแหล่งน้ำชั้นดีที่สามารถหล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่งภายในอาณาเขตและจะต้องไหลซึมออกไปข้างนอกเพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้กับผืนแผ่นดินรอบๆ อีกด้วย ครับ น้ำเสียง ท่าทางและเรื่องเล่าจากท่านพ่อทำให้ฟังดูแล้วเหมือนมันจะเป็นเรื่องง่ายๆ ท่านก็ย้ำว่า มันเป็นจะที่ง่าย ถ้ามีการร่วมแรงร่วมใจกันทำ ผลสำเร็จมันเลยปรากฏผลให้เห็นคาตา “หัวใจของความสำเร็จ ในหลวงท่านทรงตรัสไว้แล้วว่า เราต้องช่วยเหลือตัวเราก่อน เราต้องพึ่งตัวเองให้ได้ก่อนที่จะออกไปช่วยเหลือคนอื่น ทุกคนต้องสนใจสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว เอาความจริงมาคุยกัน
    เรื่องนี้พระพุทธเจ้าท่านก็สอนไว้แล้วว่าให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จงพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ หากทำได้อย่างนี้ เท่ากับเป็นการกำจัดกิเลสในใจ คือความอยากได้ อยากมี ออกไป นั่นแหละคือความพอเพียง” ท่านว่าสมัยก่อนท่านเคยถูกคัดเลือก รับราชการทหาร รบเพื่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ดังนั้นตอนนั้นท่านคือ
    “ทหารของพระราชา” มาตอนนี้ เป็นพระ เป็นนักรบพิทักษ์พระพุทธศาสนา ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะเอกอัครศาสนูปถัมภก
    “ท่านพ่อก็ต้องเป็นพระของพระราชาด้วยเหมือนกัน” “ชีวิตไม่มีอะไรหรอก การทำงานคือชีวิต ชีวิตคือการทำงาน การทำงานคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือการทำงาน ชีวิตคือการมาคนเดียวแล้วก็ไปคนเดียว กลัวอะไรกับความตาย อยู่ก็ต้องอยู่ให้มีประโยชน์ ทำก็ให้ทำเพื่อผู้อื่น นั่นแหละคือการดำรงอยู่อย่างมีคุณค่าของชีวิต”ครับ การทำความรู้จัก การทำความเข้าใจ ไม่ว่าจะเรื่องของชีวิต วัฒนธรรม วิถีแห่งผู้คน จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลยหากเราไม่ออกไปพบปะกับผู้อื่น ทั้งหมดนี้ทำให้ความหมายในการเดินทางของพวกเราครั้งนี้เพิ่มพูนมากขึ้น
    รักจะเดินทางบนถนนเส้นนี้อยากถึงใจต้องไปให้ถึงที่ครับ ถ้ามั่นใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มีประโยชน์ต่อสังคมและคนหมู่มาก ก็ต้องมุมานะทำต่อไป ปรับปรุงแก้ไขได้แต่อย่าล้มเลิก เพราะที่สุดแล้วจะต้องมีคนเห็นความตั้งใจดีและตั้งใจจริงของเราแน่นอน
    สมดุลของธรรมชาติทั้งภายนอกและภายในเป็นสิ่งที่เรียกคืนได้ เพียงแต่ต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้และชัดเจน
    “อยู่ก็ต้องอยู่ให้มีประโยชน์ ทำก็ให้ทำเพื่อผู้อื่น นั่นแหละคือการดำรงอยู่อย่างมีคุณค่าของชีวิต”

    อ้างอิงจากเฟสบุค Pornchai Saengmaung 11/2/2559
     
  4. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    "ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม" เจ้าอาวาสวัดสันติธรรมคีรี (เขาหินโค่ง) บ้านชำตาเรือง ต.คลองพลู อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทรบุรี ตอน เหรียญท้าวเวสสุวรรณ ผู้ประพฤติธรรม ย่อมมีผู้คุ้มครอง ....อรหันต์เป็นเลิศในทางพหูสูตร ก็ทรงเข้านิพพานแล้ว หากจะมีแต่พระสั่งสอนฝ่ายเดียว พระปฏิบัติก็ย่อมหมดไปอีก หากมีแต่พระปฏิบัติแต่ขาดพระเทศนา ศาสนาก็มีวันจะหมดตัวเข้า มีแต่พระเทศนาฝ่ายเดียว หากไม่มีอิทธิฤทธิ์ ประชาชนที่ยังไม่เห็นธรรมจะหันมาเคารพนับถือพระพุทธศาสนาอย่างไรได้ ธรรมกับโลกต้องเชื่อมโยงกัน เช่นเดียวพุทธกับพราหมณ์ย่อมเป็นของคู่กัน...เมื่อครั้งยังเด็ก ผมมีความฝันเกี่ยวกับเรื่องของการแขวนพระอยู่สองอย่าง หนึ่งคือพระที่แขวนจะต้องทำให้เราหนังเหนียว คงกระพันชาตรี สองคือเมื่อแขวนพระแล้วผีไม่สามารถหลอกได้ บ่อยครั้งครับที่ผมมักจะแอบหยิบหนังสือพระตามแผงขึ้นมาอ่านเพื่อตามหาประวัติของ...ท้าวเวสสุวรรณ ผมเชื่อว่า หลายๆ ท่านอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของ “เหรียญท้าวเวสสุวรรณมาบ้าง เช่นอาจรู้จักในฐานะเหรียญยอดนิยมเหรียญหนึ่งของวงการพระเครื่อง ...แต่ไม่ว่าเหรียญนี้จะเป็นอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ท่านๆ ควรทราบไว้เบื้องต้นก็คือ ความเชื่อตามพระพุทธศาสนา

    ในพระสูตรที่ชื่อว่า “อาฏานาฏิยะ” กล่าวว่า ท้าวกุเวร ตั้งเมืองอยู่ในอากาศ ข้างทิศที่อุตรกุรุทวีป (เหนือ) และ เขาพระสุเมรุ ยอดสุทัศน์ (ที่เป็นผาทอง) ตั้งอยู่ มีราชธานี 2 ชื่อ คือ อาลกมันทา และ วิสาณา มีนครอีก 8 นคร

    ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ยังมีชื่ออีกหลายชื่อ เช่น ธนบดี หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์ ธเนศวร หมายถึง ผู้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์ อิจฉาวสุ หมายถึง มั่งมีได้ตามใจ ยักษ์ราชหมายถึง เจ้าแห่งยักษ์ มยุราช หมายถึง เป็นเจ้าแห่ง กินนร รากษเสนทร์ หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในพวกรากษส ส่วนในเรื่องรามเกียรติ์ เรียกท้าวเวสสุวรรณว่า ท้าวกุเรปัน .ในทางพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงอดีตชาติของท้าวกุเวร เอาไว้ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม 3 ภาค 2 - หน้าที่ 151 ว่า ในสมัยที่โลกยังว่าง จากพระพุทธศาสนา ไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัตินั้น มีพราหมณ์ ผู้หนึ่ง นามว่า กุเวร เป็นคนใจดีมีเมตตากรุณา ประกอบสัมมาชีพ ด้วยการทำไร่อ้อย นำต้นอ้อย ตัดใส่ลงไปในหีบยนต์ แล้วบีบน้ำอ้อยขายเลี้ยงชีวิตตน และบุตรภรรยา ต่อมากิจการ เจริญขึ้น จนเป็นเจ้าของ หีบยนต์สำหรับบีบน้ำอ้อยถึง 7 เครื่อง จึงสร้างที่พักสำหรับ คนเดินทาง และบริจาคน้ำอ้อย จากหีบยนต์เครื่องหนึ่ง ซึ่งมีปริมาณน้ำอ้อยมากกว่าหีบยนต์เครื่องอื่น ๆ ให้เป็นทาน แก่คนเดินผ่านไปมา จนตลอดอายุขัย ด้วยอำนาจ แห่งบุญกุศลที่บริจาคน้ำอ้อยให้เป็นทานนั้น ทำให้กุเวรได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตร บนสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา มีนามว่า"กุเวรเทพบุตร" ต่อมากุเวรเทพบุตร ได้เทวาภิเษกเป็นผู้ปกครองดูแล พระนครด้านทิศเหนือ จึงได้มีพระนามว่า "ท้าวเวสสุวรรณ" ตามหลักฐานในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ยืนยันว่า "ท้าวกุเวร" หรือ "ท้าวเวสสุวรรณ" เทวราชพระองค์นี้ ได้สำเร็จเป็น พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันเมื่อครั้ง "จุลสุภัททะ ปริพาชก" เกิดความสงสัยในความเป็นมาแห่ง องค์สมเด็จ พระพุทธเจ้า ท่าน "ท้าวเวสสุวรรณ" องค์นี้แหละ ที่ได้เสด็จไปร่วมต้อนรับด้วย และ ยังเป็นประจักษ์พยาน เรื่องพระมหาโมคคัลลานะ ใช้เท้าจิกพื้นไพชยนตวิมาน ของพระอินทร์จนเกิดการ สั่นสะเทือนไป ทั้งดาวดึงส์ เทวโลก อันเป็นการเตือนสติสักกะเทวราชอีกด้วย และก็เชื่อกันตาม ฎีกามาลัยเทวสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 2 - หน้าที่ 435 ว่า "คทาวุธ" ของ "ท้าวเวสสุวรรณ" นั้น เป็นยอดศัสตราวุธ มีอานุภาพสามารถทำลายโลกใบนี้ให้เป็น จุณวิจุณภายในพริบตา

    จะเห็นได้ว่า ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ท่านเป็นเทพที่สำคัญยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง ที่พิทักษ์รักษา พระพุทธศาสนา ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ท่านท้าวสักกะเทวราช หรือ พระอินทร์เลยทีเดียว ตามวัดวาอารามต่าง ๆ จะมีรูปปั้นยักษ์ 1 ตน บ้าง 2 ตนบ้าง ยืนถือกระบองค้ำพื้น ส่วนมากจะมี 2 ตน เฝ้าอยู่หน้า ประตูโบสถ์ หรือ วิหารที่เก็บของมีค่า มีพระพุทธรูป และโบราณสมบัติล้ำค่าของทางวัดบรรจุอยู่ ด้านละ 1 ตน หรือไม่ก็บริเวณลานวัด หรือที่ที่มีคนผ่านไปมาแล้วเห็นโดยง่าย บ้างก็สร้างเอาไว้ในวิหาร หรือ ศาลาโดยเฉพาะก็มี ซึ่งยักษ์เหล่านั้น ถ้าเป็น ตนเดียว ก็จะหมายถึง รูปเคารพของท้าวเวสสุวรรณ แต่ถ้าเป็น 2 ตนก็จะเป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณ คอยทำหน้าที่ ปกปักรักษา ดูแลบริเวณวัด

    ท้าวเวสสุวรรณ เป็นอธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งผี เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุ ทรงอิทธิฤทธิ์อานุภาพมากประทับ ณ โลกบาลทิศเหนือมียักษ์เป็นบริวาร คนไทยโบราณนิยมนำผ้ายันต์รูปยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็ก เพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควาญแก่เด็กว ท้าวกุเวรองค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจตุมหา ราชิกา มาเฝ้าพระพุทธเจ้าและได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวก ไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่นๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาญ
    ท้าวเวสสุวรรณ เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งมีท้าวมหาราชทั้งสี่ปกครอง คือ ท้าวธตรัฏฐะ ท้าววิรุฬหกะ ท้าววิรูปักชะ และท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) ประจำทิศต่างๆ ทั้งสี่ทิศโดยเฉพาะท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) เป็นใหญ่ปกครองบริวารทางทิศเหนือ ว่ากันว่าอาณาเขตที่ท้าวเธอดูแลปกครองรับผิดชอบมีอาณาเขตใหญ่โตมหาศาล กว้างขวาง และเป็นใหญ่ (หัวหน้าท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ) กว่าท้าวมหาราชองค์อื่น

    ท้าวเวสสุวรรณ เป็น เทพแห่งขุมทรัพย์ เป็น มหาเทพแห่งความร่ำรวย มั่งคั่ง รักษาสมบัติของเทวโลก ทั้งเป็นเจ้านายปกครองดูแลพวกยักษ์ ภูตผีปีศาจทั้งปวง (ในคัมภีร์เทวภูมิ กล่าวไว้ว่า ท้าวเวสสุวรรณได้บำเพ็ญบารมี มาหลายพันปี รับพรจาก พระอิศวร พระพรหม ให้เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ) นอกจากนี้หน้าที่ของท้าวเวสสุวรรณมีมากมาย เช่น การดูแลปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา, ปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระกรรมฐาน เป็นต้น

    ในคัมภีร์โบราณ ได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวัง ความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ให้บูชารูป ท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวร..การสร้างเหรียญท้าวเวสสุวรรณของท่านพ่อโสต ในครั้งนี้ เป็นการปรากฏตัวของความหวังใหม่

    เป็นความหวังที่ค่อนข้างถูกใจผู้คนทั่วไป เนื่องจากท่านพ่อโสต สิริธมโม ได้ใช้วิชาอาคมที่เล่าเรียนมา ช่วยเหลือแก่สาธุชนทั่วไป โดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ทั้งลง ทั้งเสก ทั้งเป่า หลายคนที่รอดตายจากอุบัติเหตุ และหลายคนที่มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นจากการที่ท่านได้ช่วยขจัดปัดเป่าให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี จะว่าไปแล้วในสังคมของไสยศาสตร์ ร่วมยุคร่วมสมัยนี้ ท่านพ่อโสต สิริธมโม ก็เป็นอีกท่านหนึ่งครับ ที่สามารถนำเอาเรื่องของไสยศาสตร์มาแสดงให้ผู้คนได้เห็นเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ท่านยังได้ทำการสั่งสอนและเผยแพร่ องค์ธรรม” อันเป็น “หัวใจธรรมะ” หรือ “ธรรมแห่งธรรมชาติอันแท้จริง” ซึ่งมีนัยยะคือ ความจริงที่นำไปสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริงของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกนี้ ในส่วนของประสบการณ์ของวัตถุมงคล ของท่านพ่อโสต สิริธมโม นั้น ต้องบอกว่าเชื่อถือได้เลยครับ โดยเฉพาะเรื่องหนังเหนียวคงกระพันต้องถือเป็นที่สุด เพราะโดนกันมาเยอะ มีคนไปเจอประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร อย่างเช่นเพื่อนร่วมอุดมคติหลายๆท่านเคยพูดเล่าสู่กันฟัง ในบ้างครั้งใครบางคนสัพยอกว่า สาเหตุที่หนังเหนียวมีหลายเหตุผลที่รองรับซึ่งก็ต้องยอมรับและก็เชื่อว่ามีหลายเหตุผล แต่ถ้าจะต้องคิดและเลือกระหว่างคำว่า “เหตุผลกับศรัทธา” ละก็ ขอเลือก”ศรัทธา”ดีกว่า เพราะที่เขามีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ มันก็เพราะเขามีศรัทธาในองค์ท่านพ่อโสต “เหตุผลไม่ได้ช่วยให้คนหนังเหนียว”

    ผมมานั่งคิดดู ก็ต้องว่าตามนั้นครับเพราะเมื่อถามใจตัวเอง ผมว่าเอาเข้าจริงๆ ผมก็ต้องเลือกอย่างที่เขาเลือกครับ...เหตุผลไม่ได้ช่วยให้หนังเหนียว....ขอขอบคุณรูปถ่ายสวยๆ อาจารย์กร จันทบุรี สวัสดีครับ....

    อ้างอิงจากเฟสบุค Pornchai Saengmaung 16/4/2559
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pic1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.1 MB
      เปิดดู:
      231
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2016
  5. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    "ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม" เจ้าอาวาสวัดสันติธรรมคีรี (เขาหินโค่ง) บ้านชำตาเรือง ต.คลองพลู อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทรบุรี ตอน เหรียญนาคปรกใบมะขาม เมื่อพุทธศิลป์ คู่กับพุทธคุณ ........ หลายครั้งครับที่ผมและเพื่อนๆ ร่วมอุดมคติมีการเดินทางพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายว่าจะไปที่ใด แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเช่นเคยๆครับ ท่ามกลางแดดร้อนระอุ เหมือนไปอยู่ใกล้ภูเขาไฟก็ไม่ปาน....สายสืบประจำวัดเขาหินโค่งให้ข่าวมาว่า ท่านพ่อโสตกำลังจะปลุกเสกเหรียญรุ่นใหม่ ของท่าน "เหตุผลที่ใครๆสนใจเหรอครับ เพราะ ท่านพ่อโสต สิริธมโม ท่านเป็นพระที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องแบบนี้ การปลุกเสกของท่านล้วนมีพิธีกรรมที่แน่นอน ประเภทที่ว่า “หย่อนบะหมี่สำเร็จรูปลงในหม้อ” อย่าได้ใช้กับท่านพ่อ เสกพระนะครับ ไม่ใช่ การปรุงบะหมี่สำเร็จรูป เรื่องแบบนี้มันต้องใช้สมาธิที่ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างเชี่ยวชาญครับ
    โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าในโลกที่หมุนรอบตัวเองใบนี้ ประกอบไปด้วยเรื่องของความดีที่งดงามและความเลวร้ายที่แอบซ่อนอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกัน หากเราเลือกเอาแต่สิ่งที่ดีๆ มาเป็นพลังขับเคลื่อนโลกให้หมุนแล้ว เชื่อมั่นเถอะครับจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในโลกนี้อีกมาก ครับ คนไทยและสังคมไทยมีความศรัทธาและสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง คำสอนของพระพุทธเจ้าจึงเป็นสิ่งที่คนไทยนับถือและยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาอย่างยาวนาน เช่น การเชื่อในพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งสูงสุด การเชื่อในเรื่องของการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
    นอกจากนี้ในเรื่องลักษณะพื้นฐานของสังคมไทย เราคงปฏิเสธไม่ได้ครับว่า ความเชื่อในเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเรื่องของอภินิหาริย์ต่างๆ ก็ยังมีปรากฏให้เห็นกันอยู่โดยทั่วไป “วัตถุมงคล” จึงเป็นรูปแบบหนึ่งของวัตถุที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองแทนความเชื่อในเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม
    และก็อย่างที่ทราบกันทั่วไปครับว่า โดยส่วนตัวของวัตถุสิ่งของแล้ว มันไม่ได้มีค่าหรือมีความหมายในตัวของมันเอง ด้วยเหตุฉะนี้การที่วัตถุสิ่งของจะมีค่าหรือมีความหมายอย่างไร จึงขึ้นอยู่กับว่า
    “เรา” จะ “มอง” และ “ให้ความหมายกับมันอย่างไร”
    มองว่าดีก็ดี
    มองว่าไม่ดีก็ไม่ดี
    หรือถ้าจะพูดกันง่ายๆ ก็ต้องบอกว่า
    “ค่าของมันอยู่ที่มุมมองของแต่ละคน” ประมาณนั้นครับ นิยามที่ว่า “ลักษณะของสิ่งใดๆ ที่กำหนดนิยมทำกันขึ้นเอง ให้ใช้ความหมายแทนอีกสิ่งหนึ่ง” ในพจนานุกรมภาษาไทย คือความหมายของคำว่า “สัญญลักษณ์” ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกครับที่สัญญลักษณ์จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อความหมาย เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ของกลุ่มชน
    กล่าวกันว่าความหมายของสัญญลักษณ์ในเชิงลึกที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของความเป็นจริงตามธรรมชาติ หรือ เหนือธรรมชาติ มักจะถูกถ่ายทอดผ่านหลักของศาสนา
    ในเรื่องนี้มีนักวิชาการชาวตะวันตกบางท่านเคยสรุปนิยามของคำว่า “สัญญลักษณ์ในเชิงพระพุทธศาสนา” ไว้ชวนคิดครับ
    “สัญญลักษณ์ทำหน้าที่เป็นสะพานทางปัญญา ที่เชื่อมสิ่งที่เรามองเห็นกับสิ่งที่เรามองไม่เห็น เชื่อมตัวตนกับสิ่งที่ไร้รูปแบบ เชื่อมสิ่งที่เราอธิบายได้กับสิ่งที่เราอธิบายไม่ได้”
    อักขระเลขยันต์ ถือเป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งที่คนทั่วไปเห็นแล้วสามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร แต่ถ้าให้ว่ากันในเรื่องของความเข้าใจมันต้องใช้อ้างอิงจากคติความเชื่อของแต่ละศาสนาครับ "ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม" วัดสันติธรรมคีรี (เขาหินโค่ง)ท่านได้ชื่อว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของภาคตะวันออก ความมีชื่อเสียงของท่านเกิดจากวัตรปฏิบัติของท่านที่เรียบง่าย สมถะ สันโดษและเชี่ยวชาญในเชิงเวทย์
    เชื่อกันว่าวัตถุมงคลประเภทใดก็แล้วแต่ที่ ท่านสร้างและเสก ล้วนมีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่ต้องการของหลายๆ คน
    ความเก่งกาจของท่านสามารถสรุปได้ง่ายๆ ว่า วัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสกล้วนมีชีวิต มีฤทธิ์ มีเดช สามารถคุ้มครองชีวิตคนที่บูชาได้ ไม่ว่าวัตถุมงคลนั้นจะสร้างขึ้นจากวัตถุดิบชนิดใดก็ตาม ใครบางคนที่เคยมีประสบการณ์จากการใช้วัตถุมงคลของท่าน ถึงกับให้นิยามสั้นๆ ว่า
    “ความขลังของวัตถุมงคลกับความเก่งของท่านพ่อโสต เป็นแบบไม่จำกัด” กล่าวกันว่าการถ่ายทอดเรื่องราวของพระพุทธศาสนามีหลายวิธีการครับ การวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังอุโบสถ ก็คือการถ่ายทอดประเภทหนึ่งซึ่งผู้วาดสามารถจินตนาการสร้างสรรค์ได้อย่างไร้ขีดจำกัดขอเพียงแต่ว่าให้อยู่ในบริบทที่พึงจะเป็น
    ครับ..หลังจากที่พระพุทธศาสนาได้ลงรากลึกในดินแดนสุวรรณภูมิ ศิลปะแขนงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาล้วนเจริญงอกงามไปด้วย ดังนั้นต้นแบบของงานศิลปะไทยจึงมักจะไปรวมตัวกันอยู่ที่วัด เพราะศิลปะเหล่านั้นต่างมีพื้นฐานมาจากพระพุทธศาสนานั่นเอง
    ในแง่มุมของการเป็นพุทธมามกะ สารัตถะของความเป็นพุทธทำให้ช่างศิลปะเมื่อได้รับมอบหมายให้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา มักจะทำอย่างถวายชีวิต เรียกได้ว่ามีฝีมือเท่าไร ต่างประเคนลงมาบนเนื้องานจนหมดสิ้น เพราะมีความเชื่อว่าการทำงานรับใช้พระพุทธศาสนา จะทำให้เขาเหล่านั้นได้บุญ ด้วยเหตุนี้ศิลปะทุกอย่างที่สร้างขึ้นมารองรับในพระพุทธศาสนา เราจึงเรียกว่า “พุทธศิลป์” ว่ากันว่าลึกลงไปใต้คำว่า “พุทธศิลป์” ล้วนสอดแทรกไปด้วยปรัชญา ความหมายในเชิงธรรมและที่มาที่ไปของเรื่องราว
    อักขระเลขยันต์ สัญญลักษณ์ต่างๆ ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ถ่ายทอดคติความเชื่อในพระพุทธศาสนา ภายใต้เงื่อนไขว่าผู้ที่สนใจจะต้องใช้ความเข้าใจในระดับที่ลึกกว่าการนั่งชื่นชมแบบธรรมดา อาจกล่าวได้ว่า พระนาคปรกนับเป็นการแสดงถึงพุทธภาวะที่มีอยู่เหนือสัตว์สำคัญ เช่น พญานาค นอกเหนือไปจากการแสดงพุทธภาวะเหนือเหล่าอสูร ตามที่ปรากฏในพุทธประวัติจนเหล่าอสูรยอมศิโรราบถวายตนเป็นผู้ปกป้องศาสนา อาทิ อาฬาวกยักษ์ และท้าวเวสสุวัณ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นการแสดงให้เห็นถึงอำนาจ บุญบารมี และพระเมตตาของพระพุทธองค์ที่มีเหนือสามโลก เหนือทั้งเทพเทวะ มนุษย์ ยักษ์ สัตว์ ภูตผีปีศาจต่างๆ
    ในวงการพระเครื่องพระบูชา จึงมีความนิยมสร้างพระพุทธรูป พระเครื่อง และพระพิมพ์ ปางนาคปรก กันมากมาย .... เหรียญพระนาคปรกใบมะขาม ของท่านพ่อโสต สิริธมโม ก็ไม่แตกต่างครับ พุทธศิลป์ของเหรียญที่อวดโฉมด้วยการออกแบบลวดลาย การกำหนดมิติสูงต่ำและการสอดใส่รายละเอียดต่างๆ เช่น รูปของ พระปางนาคปรก ตัวหนังสือ อักขระเลขยันต์ ได้ถูกจัดวางลงใน “พื้นที่ใช้สอยของเหรียญ” ที่ค่อนข้างมีจำกัด
    ซึ่งรายละเอียดต่างๆ ตามที่ว่า ล้วนถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นเหรียญนาคปรกใบมะขาม ของท่านพ่อโสต ได้อย่างถึงใจ “ผู้เฝ้ารอ”
    เห็นแล้วก็อดคิดไม่ได้ครับว่า
    “ความเหมาะสมและลงตัว” นี่แหละครับคือ “ความงามที่ซ้อนกันอยู่ในความงาม” อย่างไรก็ตามถึง”พุทธศิลป์ของเหรียญ”จะถูกจำกัดด้วยขนาดของพื้นที่ แต่ขนาดของพื้นที่ไม่สามารถจำกัด”พุทธคุณของเหรียญ”ได้ เชื่อว่ามีปัจจัยหลายประการครับที่สนับสนุนคำกล่าวเช่นนี้ เช่นวัตรปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ ความขลังในวิชา พิธีกรรม ประสบการณ์ ฯลฯ ซึ่งปัจจัยในเรื่องเหล่านี้นอกจากเราไม่ควรจะมองข้ามแล้วยังไม่ต้องนำมาฉายซ้ำด้วยครับ เพราะเป็นเรื่องที่พอจะรู้ๆ กันอยู่ .. ท่านพ่อโสตเคยเอ่ยคำๆหนึ่ง กับผู้เขียนว่า “วิชาอาคมก็เหมือนมีด ต้องหมั่นฝึก หมั่นลับ ทำให้มีสติ มีความคิด หากนำไปใช้อย่างถูกต้องก็จะเกิดประโยชน์ ซึ่งเราก็ใช้มันในการพัฒนาวัด
    เวลาเสกพระ คนอื่นจะเสกกันอย่างไร เราไม่รู้ และก็ไม่ได้สนใจ เพราะเราตั้งใจอยู่กับการทำของๆ เราให้ดีเท่านั้น มันเป็นสำนึกของครูบาอาจารย์ ที่ต้องทำแต่สิ่งดีๆ ให้กับเขา” นี่คือเหตุผลครับว่าทำไม ท่านพ่อโสต จึงได้ชื่อว่า “ท่านพ่อในดวงใจเรา”
    พุทธศิลป์กับพุทธคุณ
    ถึงความหมายของทั้งสองคำนี้จะแตกต่างกัน แต่ก็สามารถนำมารวมกันได้ภายใต้บริบทของศาสนา
    ฝ่ายหนึ่งใช้ความศรัทธาเป็นแรงจูงใจให้บังเกิด
    ฝ่ายหนึ่งทำสิ่งที่บังเกิดขึ้นแล้วเป็นแรงจูงใจให้คนเข้าสู่ศรัทธา…. .สวัสดีครับ...

    อ้างอิงจากเฟสบุค Pornchai Saengmaung 16/5/2559
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pic2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.2 MB
      เปิดดู:
      310
    • pic4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.2 MB
      เปิดดู:
      121
  6. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    แม็ค มิชลิน

    # อีกหนึ่งประสบการณ์ ของขุนแผนสามพรายกุมาร#
    เพื่อนรักของผมคนนี้ คือ ร้อยตรี บุญเกื้อ สังวาลย์เพชร ผู้หมวดรูปหล่อแห่งหน่วยศูนย์สงครามพิเศษ ลพบุรี อดีตนักโดดร่มนานาชาติ ได้โทรศัพท์มาเล่าให่ฟังว่า จากที่ได้บูชาขุนแผนสามพรายกุมารไปเมื่อต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ก็นำมาคล้องติดตัวตลอด เจอประสบการณ์กับตัวเองซะแล้ว
    - เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อ วันที่ 19 พ.ค.59 หมวดเกื้อได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปกดเงินที่ตู้ ATM เมื่อกดเสร็จขณะที่กำลังจะขี่รถออกมา ได้มีเด็กวัยรุ่นขับขี่รถจักรยานยนต์วิ่งสวนทางมาด้วยความเร็ว ใครเห็นก็ต้องบอกว่าชนกันชัวร์ๆ แต่พอรถที่เด็กวัยรุ่นขี่มาจะถึงรถของหมวด อยู่ๆรถคันนั้นก็ปัดออกไปเฉยๆเลย ล้มไถลไปเป็น 10 เมตร หมวดบอกว่าถ้าชนกันทั้งสองฝ่ายต้องเจ็บหนักมาก เพราะมาเร็วมาก หมวดเกื้อบอกว่า เป็นทหารมา 28 ปี เจอเรื่องหนักๆมาเยอะ ยังไม่เสียวเท่านี้เลย...เลยบอกว่าต้องหาโอกาสมาหาหลวงพ่อให้ได้...‪#‎ขอบคุณ‬ ร้อยตรี บุญเกื้อ สังวาลย์เพ็ชร สำหรับข้อมูล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...