ความหมายของการดูจิต

เท่าที่ทราบมา พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่สิม ไม่เคยรับรองภูมิธรรมให้ใครแม้แต่คนเดียว

แม้แต่องค์หลวงปู่แว่น วัดถ้ำพระสบาย และหลวงปู่หลวง ที่เป็นญาติผู้น้องของหลวงปู่สิม

หลวงปู่ทองอินทร์ วัดสันติธรรม ศิษย์เอกผู้ใกล้ชิดหลวงปู่สิม

พระอาจารย์ประสิทธิ วัดป่าหมู่ใหม่ ผู้เผาสรีระหลวงปู่สิม

หรือแม้แต่พระอาจารย์เมธา เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันของวัดถ้ำผาปล่อง

พระอาจารย์ไชยา ศิษย์เอกของหลวงปู่หลวงและหลวงปู่แว่น เจ้าอาวาสวัดถ้ำพระสบาย

จนกระทั่งโยมถนอมขวัญ โยมอุปัฐฐากเอกคู่บารมีผู้ใกล้ชิดหลวงปู่สิมเอง

หรือแม้แต่พระเณรในวัดถ้ำผาปล่อง

เท่าที่เคยสนทนาธรรมกับท่านฯเหล่านี้ ..

หลวงปู่สิมไม่เคยพยากรณ์ภูมิธรรมท่านใด

เพราะผิดธรรมวินัยข้ออวดอุตริมนุสธรรม

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่สิมท่านเป็นพระสุปฏิปันโน

ไม่มีเด็ดขาดที่องค์ท่านจะล่วงสิกขาบทธรรมวินัยข้อปราชิกอวดอุตริมนุสธรรม

เพราะผู้ที่พยากรณ์ภูมิธรรมได้ มีแต่พระพุทธองค์เท่านั้น

ไม่ใช่ฐานะของพระสาวกที่จะทำการพยากรณ์ภูมิธรรมใคร

 

พ่อแม่ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานทุกองค์

ไม่มีการรับรองภูมิธรรมหรือพยากรณ์ให้ใครแม้แต่คนเดียว

มันผิดข้อวินัยพระ อวดอุตริมนุสธรรม

สิ่งที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานมีแต่พูดชมเชยหรือพูดอ้อมๆ เท่านั้น เช่น

-องค์นี้ ท่านเป็นกรรมฐานใหญ่
-ท่านนี้ เป็นพระทองคำ
-องค์นี้ เป็นที่พึ่งของหมู่ฯคณะ
-ท่านฯ เอาตัวรอดได้แล้ว
-องค์ท่านมีหลักใจ
-ท่านฯ มีกำลังใจไม่คลอนแคลน

เรื่องจะไปพยากรณ์รับรองใครไม่มีเด็ดขาด

นอกจากคนที่ฟังนำสิ่งที่ท่านเอ่ยถึงตนเอง

ไปรับรองตนเองแบบโดยเข้าข้างตน

 

• <LI class=last style="FLOAT: right; WIDTH: 115px"><SCRIPT type=text/javascript> GA_googleFillSlot("slideview_sponsorship");</SCRIPT>
• <!-- 300x250 ad ends here-->

รวมพระอรหันต์ที่อยู่ในประเทศไทยเวลานี้ - Presentation Transcript

<!-- disable_ad_section_start(weight=0.5) -->.... อ่านต่อได้ที่นี่ [ame="http://www.slideshare.net/tanprasert/ss-1922517"]??????????????????????????????????????[/ame]

 

นี้หรือครับคนที่อ้างว่ามีสติปัญญา พูดได้คำเดียวว่าอายแทน อะไรกันธรรมต้นๆ
ที่ชาวพุทธควรนำไปใช้ ในกิจวัตรหรือสิ่งที่ตัวกำลังกระทำ ยังบอกมาได้
ว่าเป็นความฟุ้งซ่าน อริยสัจจ์สี่แก่นของพระธรรม ธรรมที่อธิบายถึงเหตุและผล
เชื่อถือได้ แม้แต่นักวิทยาสตร์ยังยอมรับ ดันพูดมาได้เต็มปากเต็มคำว่าฟุ้งซ่าน
สิ่งที่ท่านกล่าวมานี้ เป็นคำกล่าวของคนไร้ซึ่งสติปัญญา ต้องการเพียง
เพื่อบ่ายเบียง เพราะไม่สามารถใช้สมองคิดหาเหตุผล ในการตอบโต้คู่
สนทนาได้ คนมีปัญญาจริงเขาไม่ย้ำคิดย้ำทำ เหมือนอึ่งอ่างในกะลา
หรอกครับ เวลาจะตอบโต้ใครซักที่ต้องพองลมแล้วจึงพูดได้ แต่สิ่งที่พูด
ก็คือ "อึ่งอ่างๆๆ" ซ้ำๆซากๆ

อ๋อชื่อเก่งรึ ตอนแรกสุดนึกว่าชื่อเข่ง แต่ดูน่าเกลียดไปเลยเรียกเค็งแทน
ท่านรู้มั้ย เวลาคนไทยเขาอ่านตัวเค เขาจะออกเสียงเป็น ค กับ ข
เออหรือมาคิดอีกที่เรียกเข่งก็ดีนะ ความรู้ใส่ตะกร้า ขยะใส่เข่ง
......แล้วที่บอกไม่รู้สึกสนใจ แล้วทำไมพูดถึงท่านจินนี่แบบไม่รู้จบละครับ
แบบนี้เรียกว่าไม่มีสติ หรือสติไม่มาเพราะหมกมุ่นกับอกุศล
ผมจะบอกให้เลยนะว่า จิตท่านตอนนี้เป็นอย่างไร
โกรธ...เพราะผมดันไปอ้างชื่อคนอื่น แล้วบอกว่าดีกว่าท่าน
หลง... ความโกรธทำให้ท่านหลงไปว่า ได้กล่าวคำว่าไม่สนใจจะอ่านข้อ
ความของผม แต่ก็เอาชื่อท่านจินนี่มาย้ำคิดย้ำทำอยู่นั้นแหละ
โลภ...อยากเอาชนะโดยที่ตัวเองไม่มีสมอง ทำให้ลืมคำพูดตัวเองว่าไม่
สนใจ แต่ก็นำกลับมาแก้ตัวแบบเด็กๆ

......ท่านเค็งครับ ผมขอบอกท่านเอาเป็นว่าสอนเลยดีกว่า ท่านก็
กล่าวเองไม่ใช่หรือว่า ท่านไม่ยึดตำราไม่ยึดบัญญัติ ท่านปัญญาอ่อน
หรือเปล่าครับ ที่เที่ยวมาคาดคั้นเอาคำตอบจากผม ทั้งๆที่ผม
ก็ได้บอกคำตอบนั้นไปแล้วว่า "ให้อยู่กับปัจจุบัน"
.....ผมว่าคำตอบที่ผมให้ท่านไป มันก็ตรงกับสิ่งที่ท่านกล่าวมา
ทุกอย่างว่า ไม่ยึดบัญญัติและตำรา นี้แสดงให้เห็นแล้วว่า ตัวท่านเองนั้น
แหละ ต้องการคำตอบที่ตรงกับสิ่งที่ท่านไปรู้หรืออ่านมา แบบนี้เขาเรียก
ว่า ยึดบัญญัติหรือตำราครับ
......จะบอกให้นะว่าท่าน พูดเพ้อเจ้อไร้สติ พูดแบบไม่รู้และเข้าใจ
ความหมายในสิ่งที่ตัวเองพูดหรือทำ เพียงเพื่อเอาคำไหนก็ได้ขอให้ได้
ตอบโต้คู่สนทนา แต่ไม่รู้เลยว่ามันมีเหตุมีผลมั้ย หรือสิ่งที่ตัวกล่าวมันจะ
วกกลับมาประจานตัวเองมั้ย

......ถ้าท่านจะให้มองท่านว่า เป็นคนไม่ยึดตำราหรือบัญญัติจริง ท่าน
ต้องตอบหรือโต้กับผม ในเนื้อหาที่เป็นปัจจุบัน ซึ่งทุกสิ่งอย่างในโลก
ล้วนเป็นธรรมะ ไม่ใช้ตอบไม่ได้ก็ว่าคู่สนทนาเพ้อเจ้อออกทะเล
คนที่รู้ธรรมและสามารถตีความธรรมะออก เขามองทุกอย่างเป็นธรรม
ทั้งนั้น และนี้แหละคือปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติ

 

ผมจะตอบคำถามให้เป็นหนสุดท้าย แล้วอย่าโชว์โง่มาถามซ้ำนะ รำคาญ
ที่ถามว่า แบบไหนเรียกว่าสติ ผมจะตอบแบบไม่ยึดตำราและบัญญัติ และ
เหตุผลที่ผมกล่าวอย่างนั้นเพราะ คนที่รู้ธรรมจริงๆสามารถตีความได้เอง
โดยไม่ยึดตำราหรือบัญญัติ คำตอบก็คือ "อยู่กับปัจจุบัน"


........ส่วนเรื่องที่ถามว่าอะไรคือ ความฟุ้งซ่านปรุงแต่งไป ผมไม่ตอบแต่มี
ตัวอย่างให้ดูเลย ท่านจะได้เข้าใจและมันเหมาะสำหรับปัญญาอย่างท่าน
......ความฟุ้งซ่าน มันเป็นอย่างนี้ครับเชิญดูข้างล่าง.....

 

น่าขำจริงๆเลยบุญพิชิต ตัวหนังสือภาษาไทยใครเขาก็อ่านได้เขียนได้หรอกครับ และก็เข้าใจได้ด้วยครับ อยู่กับปัจจุบัน อะไรคือสิ่งที่ทำให้เรารู้ นั่นคือหัวใจที่แท้จริงต่างหาก เพราะฝึกแค่การจำเอามาเถียงยังมีหน้ามาสั่งสอนผมอีกหรือครับ บอกแล้วไงว่า ไปหาสติให้เจอก่อนไงครับ อายกิเลสมันบ้าง เถียงไปก้ออกมาเป็นตัวหนังสือ ความรู้พวกนี้ทำอะไรกิเลสไม่ได้หรอก ความฝันคือความฝัน เมื่อไม่มีสติรู้อยู่ก็ไม่ใช่ปัจจุบันครับ บุญพิชิต

 

ถูกต้องครับ ใครๆเขาก็ไม่ทำกันหรอกครับ นอกจาก...

 

พระอริยะสาวก เช่น หลวงปู่สิม ท่านไม่เคยล่วงทำผิดสิกขาบทน้อยใหญ่ในพระธรรมวินัย

เฉกเช่นเดียวกันกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานทุกองค์

ที่องค์หลวงปู่ใหญ่มั่นพาดำเนินตามข้อวัตรปฏิปทาสายธุดงคกรรมฐาน

การก้าวล่วงทำผิดพระธรรมวินัยในสิกขาบทน้อยใหญ่ไม่ใช่วิสัยของพระอริยะสาวก

โดยเฉพาะข้อพระวินัยอวดอุตริมนุสธรรม ที่เป็นสิกขาบทใหญ่

แม้แต่สิกขาบทเล็กน้อย หลวงปู่สิมท่านก็ไม่เคยล่วงทำผิดในพระธรรมวินัย

องค์หลวงปู่สิมท่านเป็นพ่อแม่ครูบาจารย์ของพระป่าสายกรรมฐาน

ท่านฯต้องเป็นแบบฉบับแบบอย่างแก่พระป่าสายกรรมฐานที่เป็นศิษย์ท่านฯ

พระป่ากรรมฐานทุกองค์ล้วนมาพึ่งบุญบารมีองค์ท่านฯ

มาขอเป็นศิษย์เพื่อฝากเป็นฝากตายฝากชีวิตในพระศาสนา

สละบ้านสละเรือนทิ้งครอบครัวจากพ่อแม่เพื่อพรหมจรรย์ในพระธรรมวินัยนี้

องค์ท่านฯ จึงเป็นทั้งพ่อแม่และครูบาอาจารย์ในคนๆเดียวกัน

ท่านฯจึงต้องเป็นต้นแบบทั้งในเรื่องการสำรวมศีลพระปาฏิโมกข์

และข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ต่อครูต่ออาจารย์และข้อสมาทานธุดงควัตร

ตลอดจนขัดเกลาอุปนิสัยใจคอให้อยู่ในสมณสารูป

ดังนั้น เรื่องการกล่าวอวดอ้างอุตริมนุสธรรมรับรองคุณธรรมใคร

โดยเฉพาะหลวงปู่สิมท่านไม่มีทางก้าวล่วงทำผิดพระธรรมวินัยเด็ดขาด

แม้แต่พระป่ากรรมฐานที่เป็นลูกศิษย์ท่านฯก็ไม่มีทางทำเด็ดขาด

หากมีท่านหนึ่งท่านใดในสายพระป่ากรรมฐานกระทำกล่าวอวดอุตริมนุสธรรม

หมู่สงฆ์ที่เป็นพระลูกศิษย์จะไม่คบค้าสมาคมด้วยการลงพรหมทัณฑ์

ไม่พูดไม่จาไม่อบรมสั่งสอนและไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย

เพราะไม่ปฏิบัติตามข้อวัตรปฏิบัติและศีลพระปาฏิโมกข์

จึงเป็นที่รังเกียจของหมู่คณะสงฆ์พระป่าพระกรรมฐาน

 

อ้าวตอนนี้ผักบุ้งไม่มี น้ำก็ติดขอบบ่อแล้วรึ ทำไมไม่ร่ายยาวมาอีกละ
หรือกลัวโชว์ngo แล้วไอ้คำว่าหัวใจที่แท้จริง ไม่ใช่ภาษาไทย ไม่ใช่ตัว
หนังสือ มันเป็นภาษาเทวดาหรือครับ
......ความหมายของคำว่าไม่ให้ยึดตำรา ไม่ให้ยึดบัญญัติเป็นยังงัยก็
ไม่รู้ แค่นจะเอามาใช้โต้ชาวบ้านเค้า น่ายิ้มเยาะนัก
......การสื่อสารกับผู้อื่นมันต้องใช้บัญญัติบ้าง เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจ

........แล้วไอ้ที่ว่าไม่ให้ยึดบัญญัตินะ มันหมายถึงแนวทางปฏิบัติ
บอกแล้วเล็กๆให้เรียนหนังสือไม่เรียน แถมมาพร่ามอวดชาวบ้านอีก
ถามจิงกำลังฝันว่าอยู่บนสวรรค์หรือเปล่า ตื่นๆได้แล้ว

 

แฮ่ะๆๆๆๆท่านเค็งครับ แบบนี้ท่านต้องกล่าวใหม่แล้วละครับ
ท่านต้องพูดแบบนี้ "ผมไม่อ้างตำรา ไม่ยึดบัญญัติ แต่อ้างชาวบ้าน"
แบบนี้ใช่ไหมครับที่เรียกว่า หน้าไม่อาย

 

แล้วที่ท่านกล่าวมาว่า"เท่าที่ทราบ" ถ้าท่านพูดในฐานะปุถุชน
ผมขอถามว่า ท่านอวดอุตริหรือเปล่าครับ

.....ก็ท่านทราบในสิ่งที่ไม่ทราบแล้วจะมาคุย ให้เหล่าลูกศิษย์ของ
ครูบาอาจารย์ ที่ท่านยกมากับที่ท่านกระทบกระเทียบถึง เกิดความแค้นเคืองทำไมครับ
.....วันหลังเอาเรื่องที่ทราบในสิ่งที่ทราบ แล้วค่อยเอามาคุยนะครับ

.....หวังว่าท่านคงเข้าใจความหมาย ถ้าไม่เข้าใจผมจะอธิบายให้ฟังสั้นๆว่า
ท่านรู้แต่เฉพาะสิ่งที่ท่านยกมา แต่ไม่รู้ในสิ่งที่ท่านกระทบกระเทียบ

....สิ่งที่ผมกล่าวไม่เกี่ยวกับครูบาอาจารย์และหลวงปู่ เพียงแต่จะบอก
ท่านเจ้าของความเห็น ควรใช้วิจารณญานในการนำเสนอความเห็น
ว่ามันแย้งกันเองมั้ย กรุณาอย่าพูดขึ้นมาลอยๆ

 

วางความยึดถือ กาย ยึดถือใจซะนะครับ อย่าให้อารมณ์มันไปสะสมในดวงจิตท่านเลย ..โมทนาบุญด้วย ที่ท่านวางมันลงได้

 

พูดดีนิ! เดี่ยวไปแคสหน้ากล้องหน่อย เอาบทพระเอกไปเลย
เดี่ยวได้เล่นหนังแล้ว อินกับบทให้ได้แบบนี้เลยนะ

......ป้าดถิโถ! นี้เป็นเว็บบอร์ดเขาลองภูมิปัญญากัน คิดมากไปได้
ผมว่าท่านนั้นแหละควรจะวางนะครับ เกิดผัสสะนิดผัสสะหน่อยก็เอามาปรุง
แบบนี้หนทางยังอีกไกลนะครับ มันไม่ใช่เรื่องครับ