ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886

    ท่านพี่พันวฤทธิ์ โอนเงินทางinternet ทำได้นานแล้วครับ สะดวกดีเหมือนเป็นธนาคารที่บ้าน สนใจลองติดต่อแบงค์ได้ ผมก็ทำไว้กับธนาคารกสิกรไทย
    โมทนากับคุณโอลีฟด้วยครับที่เห็นความสำคัญกับการสงเคราะห์สงฆ์อาพาธเพราะ เป็นบุญใหญ่ดุจดังอุปฐากพระพุทธเจ้า เดือนหน้าทางทุนนิธิฯได้มีการแจกพระซุ้มไทรย้อยเป็นพระกรุอยุธยา ถ้าสนใจpm แจ้งที่อยู่มาที่ผมได้ครับ ส่วนท่านที่ส่งเงินและที่อยู่เรื่องขอรับพระ คงต้องรอประมาณต้นเดือนตุลาคมจะจัดส่งให้ทุกๆท่านครับ
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    วันเสาร์-อาทิตย์ ตื่นแต่เช้า ใส่บาตรกันเยอะๆ น้า..;aa47
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101

    โอ๊ะ โอ๋ ไอ้โต้งวิ่งตัวเบ้อเร่อเลย คนแก่ตกยุค ขอโทษด้วยเน้อ....

    [​IMG]
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    [​IMG]


    พันวฤทธิ์

    11/9/51
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    วันนี้ได้รับรายละเอียดของหอสงฆ์ที่ รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่มาแล้วครับ โดยได้รับเป็นเมล์มา ลองอ่านดูในรายละเอียดตามโบรชัวร์ข้างล่างนี้ครับ โดยคาดว่าในราวสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนนี้ จะเริ่มทยอยส่งเงินไปช่วยตาม รพ.ในภูมิภาคทั้ง 4 ภาคได้ครบถ้วนแล้ว

    ส่วนของ รพ.สงฆ์ ที่กรุงเทพฯ กิจกรรมในเดือนี้ จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 ก.ย. 2551 นี้ รายละเอียดต่างๆ จะเริ่มทยอยลงมาให้ทราบทีหลัง
    ครับ

    1.หอสงฆ์ อาพาธรพ.สงฆ์ใน กทม.

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    2.หอสงฆ์อาพาธ ที่ รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    3.หอสงฆ์อาพาธ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    4.หอสงฆ์อาพาธ รพ. 50 พรรษาฯ จ.อุบล

    [​IMG]
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    5.หอสงฆ์อาพาธ รพ.สงขลา จ.สงขลา

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    ลองดูภาพต่างๆ ไปก่อนครับ หากทุนนิธิฯ ส่งปัจจัยบริจาคไปแล้ว จะทยอย นำใบอนุโมทนาบัตรมาลงให้ทราบกัน โดยคาดว่าจะบริจาค รพ.ละ 5000.- บาทสำหรับ รพ.ในส่วนภูมิภาคทั้ง 4 แห่งครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2008
  6. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    ท่านประธานไปอยู่ที่ไหนมา เค้ามีมาตั้งนานแล้ว...ว่าแต่ทำไงครับ....[​IMG]
     
  7. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    "ในหลวงอานันท์" ท่านยังสอนเราอยู่ทุกวัน...


    ถือและผ่านไปผ่านกับมืออยู่ทุกวัน
    แต่หลายๆคนอาจจะไม่เคยหยิบมาพิจารณาและอ่านกันเลย....<!--sizec--><!--/sizec--> <!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec--><!--fontc--><!--/fontc-->
    <!--fontTahoma--><!--/fonto--><!--fontTahoma--><!--/fonto-->ก็"ธนบัตร" ใบละ"20"บาทนั่นแหละครับ
    อยากให้<!--fontc--><!--/fontc--><!--fontc--><!--/fontc--><!--size4--><!--/sizeo--><!--colorred--><!--/coloro-->ท่านๆ<!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec--><!--size4--><!--/sizeo--><!--color#993300--><!--/coloro-->ทั้งหลายก้มมองแบ๊งค์ <!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec--><!--size4--><!--/sizeo--><!--color#993300--><!--/coloro-->20 ในมือ
    <!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec--><!--size4--><!--/sizeo--><!--colorblue--><!--/coloro-->แล้วท่านก็จะได้พบกับพระราชดำรัสของในหลวงอานันทมหิดล (ร.<!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec--><!--size4--><!--/sizeo--><!--colorblue--><!--/coloro-->8) <!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec--><!--size4--><!--/sizeo--><!--color#993300--><!--/coloro-->ของพวกเรา แล้วก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นแปลกๆ
    ก็เลยอยากจะให้พวกท่านๆทั้งหลายที่กำอนาคตของชาติบ้านเมืองเอาไว้ในมือของท่านลองควักเอาแบ๊งค์เล็กๆ ค่าเพียง <!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec--><!--size4--><!--/sizeo--><!--color#993300--><!--/coloro-->20 บาทไทยนั้นขึ้นมาพลิกดูซะบ้าง
    แบ๊งค์ 20 บาทนี้มันคงจะประเมินค่ามิได้เลยถ้าหากว่ามันสามารถทำให้การ <!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec--><!--size5--><!--/sizeo--><!--colorblue--><!--/coloro-->"ขาย"หรือ"ทำลาย"ประเทศชาติบ้านเมือง<!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec--><!--size4--><!--/sizeo--><!--color#993300--><!--/coloro-->ของเรานั้นยุติหรือบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง......
    <!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec--><!--fontCordia--><!--/fonto--><!--size5--><!--/sizeo--> <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บพุทธวงศ์
    http://www.phuttawong.net
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101


    ทราบอยู่ แต่ไม่เคยโอน เพราะกลัวโดนแฮกซ์ข้อมูล อีกอย่างโชคดีธนาคารอยู่ติดกับที่ทำงาน 5 ธนาคารใหญ่ เลยไม่ค่อยได้ใช้ฮ่ะ แบบว่า เดินไปหาน้องๆ เคาน์เตอร์ก็สะดวกดี และชัวร์ป๊าดกว่า..
     
  9. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    " ทุกคนจะต้องเข้ามหายุทธสงครามสักวันหนึ่ง คือการ ต่อสู้กับมัจจุราช เมื่อถึงเวลานั้นแต่ละคนจะต้องสู้เพื่อ ตนเอง และต้องสู้โดยลำพัง ผู้ที่สู้ได้ดีก็จะไปดี คือไปสู่ สุคติ ผู้ที่เพลี่ยงพล้ำก็จะไปร้าย คือไปสู่ทุคติ อาวุธที่ใช้ต่อสู้มีเพียงสิ่งเดียว คือ "สติ" ซึ่งจะสร้างสมได้ด้วยการ เจริญภาวนาเท่านั้น "
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    [COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][B][SIZE=6][COLOR=blue]พระพุทธเจ้าใช้คำว่า [SIZE=7][COLOR=red]"ฝึกสติ"[/COLOR][/SIZE] แสดงว่ามีสติอยู่แล้ว แต่มันไม่แข็งแรง มันไม่รอบรู้ มันไม่เชี่ยวชาญ มันไม่มีศักยภาพ ไม่มีความสามารถ เราจึงจำเป็นต้องฝึก คอนโทรลมัน หัดที่จะเป็นนายมัน จนกระทั่งมันแกร่งและกล้าแข็งขึ้น จนกลายเป็นสมาธิ เมื่อสมาธิปรากฏ ปัญญาก็เกิด จิตก็จะใสสะอาด ปราณ จิต ปัญญา สมาธิ สติ ก็จะรวมกันเป็นหนึ่ง อำนาจและพลังของเราจะเหนือฟ้าและดิน..."[/COLOR][/SIZE][/B][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][B][SIZE=6][COLOR=#0000ff][/COLOR][/SIZE][/B][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New][COLOR=#666666][FONT=Angsana New]<TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left width="70%" colSpan=2>[COLOR=red][B][SIZE=5]เขียนโดย หลวงปู่พุทธะอิสระ [/SIZE][/B][/COLOR]</TD></TR><TR><TD class=createdate vAlign=top colSpan=2>[SIZE=5][COLOR=red][B]อังคาร, 13 พฤษภาคม 2008[/B][/COLOR][/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE>[/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR]
     
  11. โอลีฟ

    โอลีฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +257
    สวัสดีค่ะ พี่พันวฤทธิ์

    อย่างที่คุณโสระบอกค่ะ โอนเงินทาง internet สะดวกดีค่ะ [​IMG] คือตอนแรกเราต้องติดต่อธนาคารที่เรามีบัญชี อาจต้องสมัครเพื่อขอใช้บริการ (รายละเอียดอาจต้องติดต่อที่ธนาคารดูค่ะ) เค้าก็จะให้ user name กับ password มา จากนั้น เราก็สามารถใช้ username และ password นั้น โอนเงินทาง internet ได้ ผ่านทางบัญชีของเราเอง คือ แทนที่เราจะต้องไปธนาคารให้เจ้าหน้าที่ธนาคารโอนเงินให้ เราก็เป็นผู้ทำเองที่บ้านได้ค่ะ นอกจานี้เรายังเห็นการเคลื่อนไหวของบัญชีของเราได้อีกด้วยค่ะ

    ยังไงต้องขออนุโมทนากับพี่และทีมงานด้วยนะคะ ที่มีความตั้งใจดี และทำให้พวกเราได้มีโอกาสได้ทำความดีด้วยค่ะ [​IMG]<O:p></O:p>
     
  12. ไชยชุมพล

    ไชยชุมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +1,873
    สวัสดีครับ วันนี้คุณแม่นำเงินฝากผ่านเคาน์เตอร์เข้าบัญชีทุนนิธิฯ จำนวน 500 บาทเมื่อเช้าแล้วครับ สำหรับค่าจัดส่งพระเข้าบัญชีพี่โสระนั้น เดี๋ยวนำเงินฝากให้อีกทีครับ พอดีเดือนนี้คุณแม่ฝากเงินเร็วกว่าปกติครับ บอกไม่ทันครับ
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๕๐ : ทรงเสวยวิมุตติสุข ณ ร่มไม้เกต
    <!-- Main -->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๕๐ : ทรงเสวยวิมุตติสุข ณ ร่มไม้เกต

    ทรงเสวยวิมุตติสุข ณ ร่มไม้เกต
    ในสัปดาห์ที่เจ็ด

    หลังจากทรงเสวยวิมุตติสุขที่สระมุจลินท์ ครบ ๗ วัน ทรงย้ายไปประทับ ณ ร่มต้นไม้เกต(ราชายตนะพฤกษ์) เป็นไม้ที่อยู่ในตระกูลพิกุล (มีอยู่ที่ชานพระทักษิณด้านนอกขององค์ปฐมเจดีย์ นครปฐม ที่ทางราชการนำมาปลูกไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลักษณะใบคล้ายใบประดู่ )

    ทรงประทับเสวยวิมุตติสุข ณ ร่มไม้เกตอันอยู่ทางทิศใต้ของไม้จิก ริมสระมุจลินท์ อีก ๗ วัน เป็นสัปดาห์สุดท้าย หลังจากตรัสรู้ และได้ทรงอดอาหารมาเป็นเวลาครบ ๔๙ วัน พอดี



    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๕๑ : ทรงรับผลสมอและทรงฉันสมอ
    <!-- Main -->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๕๑ : ทรงรับผลสมอและทรงฉันสมอ


    ทรงรับผลสมอและทรงฉันสมอ

    หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับเสวยวิมุตติสุข อยู่ใต้ร่มไม้เกต (ราชายตนะพฤกษ์) อันอยู่ในทิศทักษิณ แห่งพระศรีมหาโพธิ์ เป็นเวลาอีก ๗ วัน นับเวลาตั้งแต่วันตรัสรู้จนถึงกาลนี้ ทรงเสวยวิมุติสุขครบ ๔๙ วัน


    ทรงรับผลสมอ
    [​IMG]

    ในเวลาเช้าแห่งวาระนั้น ท้าวสักกะ (พระอินทร์) ได้ถวายไม้สีพระทนต์และผลสมอ เมื่อวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือนอาสาฬหะ พระพุทธองค์ทรงรับ ได้ทรงใช้ไม้สีพระทนต์ ทรงเสวยผลสมอ แล้วประทับอยู่ใต้ร่มไม้เกตแห่งนั้น


    ทรงฉันสมอ
    [​IMG]




     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    ผมอ่านแล้วอยากร้องไห้ และอยากให้ (ไอ้) ลูกที่เลวๆ ทั้งหลาย ได้อ่านบ้างครับ...



    วันก่อนพระท่านเทศน์เรื่องพระคุณแม่ จะเล่าให้ฟังบ้าง
    ท่านเริ่มว่ามี มีหญิงไปคลอดลูก ตอนที่พยาบาลอุ้มลูกมาให้ดู ท่าทางผิดสังเกต
    แล้วก็พูดอ้อมแอ้มว่า "ดีใจด้วยคะ คุณได้ลูกชาย" หญิงนั้นรับเด็กมาอุ้มดู
    แล้วก็ร้องวี๊ด ร้องไห้โฮ แกเสียใจที่ลูกออกมาพิการ แต่ก็ไม่มาก แค่ไม่มีใบหู 2 ข้าง
    แต่ก็รักและเลี้ยงดูเด็กนั้นอย่างดี พอเด็กเข้าโรงเรียนก็มักโดนเพื่อนล้ออยู่เรื่อยๆ
    กลับบ้านมาฟ้องแม่ประจำ จนกลายเป็นเด็กเก็บตัวไม่ค่อยไปเล่นกะพื่อนๆ
    แต่เด็กคนนี้หัวดี เก่ง มีความรับผิดชอบ เป็นที่ชื่นชอบของครูทุกคน
    ตอนสมัครหัวหน้าห้อง ก็ถูกเสนอชื่อ แต่แพ้ไปเพราะ ไม่มีหูนั้นเอง
    โตมาก็ไม่มีแฟน ใครก็รับไม่ได้ ก็มักเอาเรื่องนี้ไปคุยให้พ่อแม่ฟังเสมอ
    วันหนึ่งพ่อก็บอกว่า ไปคุยกะหมอแล้ว หมอบอกว่าแก้ไขได้ ถ้ามีใครบริจาคหูให้
    วันเวลาล่วงเลยมาพอสมควร พ่อก็มาบอกลูกว่า มีคนยินดีบริจาคหูให้แล้ว
    แต่ขอปิดเป็นความลับไม่ขอเปิดเผยตัวให้รู้ ก็ตกลง นัดวันกันไปฝ่าตัด
    นับจากวันที่ได้หูมา ชีวิตของเด็กคนนี้เปลี่ยนไปเลย เรียนจบ มีแฟน แต่งงาน
    ได้งานดี จนมาคิดได้ว่า ที่มีวันนี้ได้ก็เพราะมีหูนี้เอง ก็ไปรบเล้าพ่อว่าอยากเจอ
    คนที่บริจาคหูให้ แต่พ่อก็บ่ายเบียงเสมอว่า สัญญากันเเล้ว และเขาก็ไม่ให้พบด้วย
    แล้วก็มักพูดเสมอว่า กลัวลูกรู้แล้วจะทดแทนบุญคุณกันไม่หมด
    จนวันหนึ่งความจริงก็ปรากฏ วันที่แม่ได้ตายจากไป ก่อนที่จะเอาแม่ใสโรง
    พ่อได้หวีผมให้แม่ จังหวะที่เสยผมให้นั้น จึงได้เห็นว่าแม่ไม่มีหู จึงได้รู้ว่า
    คนที่บริจาคหูให้ก็คือแม่ของเขานั้นเอง พ่อบอกกะลูกว่า" แม่ให้พ่อสัญญาว่า
    ห้ามบอกกกับลูกเด็ดขาด กลัวลูกจะไม่รับฝ่าตัด และกลัวลูกรู้จะเสียใจ
    แต่ถ้าวันใดลูกรู้ความจริง ก็ให้บอกว่า แม่ยินดีที่สุดที่ได้ทำสิ่งนี้ ให้กับลูก"
    ตลอดเวลาที่แม่มีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยสังเกต ว่าทำไมแม่ชอบไว้ผมมาปิดใบหู
    และก็ไม่เคยคิดว่า แม่ไม่สวย แม่เป็นคนสวยเสมอในสายตาเขา
    และเมื่อยิ่งมารู้ความจริง เขายิ่งเห็นว่าแม่สวยที่สุด แม้ไม่มี หู

    ...." ความรักที่แท้จริง คือ ทำดีแล้วไม่ต้องบอกใคร และไม่ต้องการสิ่งตอบแทน "

    พระคุณแม่ เลิศฟ้า มหาสมุทร
    พระคุณแม่ สูงสุด มหาศาล
    พระคุณแม่ เลิศหล้า สุธาธาร
    ใครจะปาน แม่ฉัน นั้นไม่มี


    เมื่อล้มกลิ้ง ใครหนอวิ่ง เข้ามาช่วย
    แล้วปลอบด้วย นิทาน กล่อมขวัญให้
    หรือจูบที่ เจ็บชะมัด ปัดเป่าไป
    ผู้นั้นไซร้ ที่แท้ แม่นั้นเอง


    เมื่อแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้
    เมื่อป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา
    เมื่อยามจะ ต้องตาย วายชีวา
    หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ


    ให้ของขวัญวันแม่นับแต่นี้
    โดยทำดีต่อแม่ก่อนแก่เฒ่า
    ให้ท่านได้ประจักษ์รักของเรา
    ดีกว่าเฝ้าทำบุญให้เมื่อวายชนม์



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2008
  15. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    วิธีพิสูจน์จิต (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

    วิธีพิสูจน์จิต (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]

    การฝึกหัดเบื้องต้นโดยมากก็มักถูกกับกรรมฐาน
    บทอานาปานสติ คือ กำหนดลมหายใจเข้าออก

    โดยมีสติกำกับรักษาจิตอย่าให้เผลอในขณะที่ทำ
    ทำใจให้รู้อยู่กับลมเข้าลมออกเท่านั้น
    ไม่คาดหมายผลที่จะพึงได้รับมีความสงบเป็นต้น
    ทำความรู้สึกอยู่กับลมเข้า ลมออกธรรมดา

    อย่าเกร็งตัวเกร็งใจจนเกินไป จะเป็นการกระเทือนสุขภาพทางกายให้รู้สึกเจ็บนั้นปวดนี้
    โดยหาสาเหตุไม่เจอ ซึ่งความจริงสาเหตุก็คือการเกร็งตัวเกร็งใจจนเกินไปนั่นเอง

    ควรมีสติรับรู้อยู่ธรรมดา ใจเมื่อได้รับการรักษาด้วยสติจะค่อยๆ สงบลง ลมก็ค่อยละเอียดไปตามใจที่สงบตัวลง ยิ่งกว่านั้นใจก็สงบจริงๆ ลมหายใจขณะที่จิตละเอียดจะปรากฏว่าละเอียดอ่อนที่สุด จนบางครั้งปรากฏว่าลมหายไป คือลมไม่มีในความรู้สึกเลย ตอนนี้จะทำให้นักภาวนาตกใจกลัวจะตายเพราะลมหายใจไม่มี

    เพื่อแก้ความกลัวนั้น ควรทำความรู้สึกว่า แม้ลมจะหายไปก็ตาม เมื่อจิตคือผู้รู้ยังครองร่างอยู่ ถึงอย่างไรจะไม่ตายแน่นอน ไม่ต้องกลัว อันเป็นเหตุเขย่าใจตัวเองให้ถอนขึ้นจากความละเอียดมาเป็นจิตธรรมดา ลมหายใจธรรมดา ซึ่งทำให้เกิดความเสียใจในภายหลัง

    ถ้ากำหนดเฉพาะลมหายใจเป็นอารมณ์อย่างเดียวไม่สนิทใจ จะตามด้วยการบริกรรมพุทโธ ก็ได้ไม่ผิด ผู้ชอบบริกรรมเฉพาะธรรมบทใดบทหนึ่ง เช่น พุทโธ ก็ได้ตามอัธยาศัยชอบไม่ขัดแย้งกัน สำคัญที่ให้เหมาะกับจริต และขณะภาวนาขอให้มีสติรักษา อย่าปล่อยให้ใจส่งไปตามอารมณ์ต่างๆ ก็เป็นอันถูกต้องในการภาวนา

    คำว่า จิตใจ มโน หรือผู้รู้เป็นอันเดียวกัน คือเป็นไวพจน์ของกันและกัน ใช้แทนกันได้ เช่น กิน-รับประทานเป็นต้น เป็นความหมายอันเดียวกันใช้แทนกันได้ ตามปกติใจเป็นสิ่งละเอียดมากยากจะจับตัวจริงได้ ใจเป็นประเภทหนึ่งต่างหากจากร่างกายทุกส่วน

    แม้อาศัยกันอยู่ก็มิได้เป็นอันเดียวกัน ร่างกายที่ตั้งอยู่ได้ย่อมขึ้นอยู่กับใจเป็นผู้รับผิดชอบ ถ้าใจออกจากร่างไปเมื่อใดร่างกายก็หมดความหมายลงทันที โลกเรียกว่าตาย แต่ความรู้คือใจนี้ต้องไม่ตายไปด้วยร่างกายที่สลายตัวไป

    เมื่ออยากทราบความจริงจากใจ จำต้องมีเครื่องมือพิสูจน์ เครื่องมือพิสูจน์ใจได้แก่ธรรมเท่านั้น นอกนั้นไม่มีสิ่งใดจะสามารถพิสูจน์ได้ การภาวนาเป็นการพิสูจน์ใจโดยตรง ผู้มีสติดีมีความเพียรมาก มีทางพิสูจน์ความจริงของใจให้เห็นชัดเจนได้เร็วยิ่งขึ้นผิดธรรมดา

    คำว่าเครื่องมือคือธรรมนั้น โปรดทราบว่า ส่วนใหญ่คือสติปัฏฐาน ๔ และสัจธรรม ๔ เป็นต้น ส่วนย่อยแต่จำเป็นทั้งในขั้นเริ่มแรกและขั้นต่อไป ได้แก่อานาปานสติ หรือพุทโธ เป็นต้น เป็นบทๆ ไป ที่ผู้ภาวนานำมากำกับใจแต่ละบทละบาท เรียกว่าเครื่องมือพิสูจน์ใจทั้งสิ้น

    เมื่อใจพร้อมกับเครื่องมือคือธรรมบทต่างๆ ได้รวมกันเข้าเป็นคำภาวนา มีสติเป็นผู้ควบคุมให้ระลึกรู้อยู่กับลมหายใจ หรือธรรมบทใดก็ตามโดยสม่ำเสมอ ไม่ให้จิตเผลอออกไปสู่อารมณ์ภายนอก

    ไม่นานกระแสของใจที่เคยสร้างอยู่กับอารมณ์ต่างๆ จะค่อยรวมตัวเข้ามาสู่จุดเดียว คือที่กำลังทำงานโดยเฉพาะได้แก่คำภาวนา ความรู้จะค่อยๆ เด่นขึ้นในจุดนั้น และแสดงผลเป็นความสงบสุขขึ้นมาให้รู้เห็นได้อย่างชัดเจน

    : หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    http://www.luangta.com/thamma/thamma...D=2610&CatID=3
     
  16. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=big2 vAlign=bottom height=35>ของขลังมีเต็มหัวใจ ทำไมไม่ดู

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    [​IMG]
    ของขลังมีเต็มหัวใจ ทำไมไม่ดู


    <DD>คนหาขลังแต่ข้างนอก ๆ ตัวภายในตัวสำคัญมันไม่ได้หาไม่ได้ส่งเสริม มันจึงไม่มีอะไรขลัง ไม่ได้รับความอบอุ่นเย็นใจสบายใจเพราะความขลังของตน ขลังตรงนี้ พระพุทธเจ้าพระสาวกท่านเลิศตรงนี้ ขลังตรงนี้ ท่านไม่ได้ขลังว่าอันนั้นมีอย่างนั้น อันนี้มีอย่างนี้ อันนี้พวกที่มันแฝง ชาวพุทธกาฝากมันแฝงศาสนาอย่างนี้ ไปหาดีเอาสิ่งโน้นสิ่งนี้ ที่ท่านสอนไม่สนใจ แล้วผู้ท่านสอนอย่างนี้ก็มีน้อยอีกเหมือนกัน สอนตามหลักของพระพุทธเจ้า สอนให้เขาขลัง ๆ ละซีมันสำคัญ เพราะฉะนั้นเขาไปตรงไหนเขาจึงไปหาของขลังอย่างนี้มา นี่ศึกษาอบรมมาจากอาจารย์ขลังองค์ไหนไม่รู้จึงมาหาหลวงตาน่ะซี หลวงตาไม่ได้ขลังอย่างนั้นนี่วะ ควรดุ ๆ เอาบ้างให้รู้ตัว


    <DD>การเสาะแสวง(ของขลัง)อย่างนั้นเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ถูกตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ดูความเคลื่อนไหวของจิตนี่อันดับแรก รากศาสนาอยู่ตรงนี้มันจะเคลื่อนไหวของมันตลอดเวลาจิตดวงนี้ เพราะมีสิ่งผลักดันออกไป ๆ อยู่เฉย ๆ ไม่ได้จิตนี่ เพราะมันมีอันหนึ่งที่ผลักดันออกภายใน ให้ดีดให้ดิ้นให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่มีใครเรียนรู้วิชาอันนี้ พูดให้เต็มยศก็คือ มีพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์สาวกพระอรหันต์ท่านเท่านั้นที่รู้วิชานี้ แก้มันตกเรียบร้อยแล้วหาความยุ่งไม่มีเลย ตัวนี้ตัวสำคัญก่อกวนยุ่งเหยิง แหมมากที่สุด นี่ท่านเรียกว่ากิเลส ให้พากันจำเอานะ แล้วกิเลสมีหรือไม่มีในหัวใจเรา สิ่งดังกล่าวนี้มีไหม เอ้า จ้อเข้าไปหัวใจเจ้าของ ที่จะลบล้างศาสนา ให้ลบล้างความจริงที่ศาสนาระบุถึงนี่เสียก่อนนะ จึงไปลบล้าง ว่าสิ่งเหล่านี้มีไหม


    <DD>ความโลภมีไหมในหัวใจเรา ความโกรธ ความเคียดแค้นทำลายกันให้พินาศฉิบหาย นี่ท่านเรียกว่ากิเลส มีไหมในหัวใจของโลก เอ้า จ้อลงไปอย่างนั้นซี ราคะตัณหาเป็นบ้าดีดดิ้นทั้งหญิงทั้งชายทั้งสัตว์ทั้งบุคคล ให้หาความอยู่เย็นเป็นสุขไม่ได้ เหล่านี้มีไหม นี่พระพุทธเจ้าสอนลงจุดนี้ จุดมหาภัยอยู่จุดนี้ ท่านสอนเป็นขั้นเป็นภูมิ ผู้ที่จะถอนรากถอนโคนทีเดียวเลย พระองค์ก็สอนให้ถอนรากถอนโคนไปเลยไม่ให้มีเหลือ แล้วจะไม่เหลือเชื้อแห่งทุกข์อยู่ในหัวใจตนเอง ๆ ถ้าผู้รับทั้งหลายไม่สามารถ ท่านก็ลดลงให้ตามขั้นตามตอน


    <DD>อย่างพวกเราเป็นฆราวาสท่านสอนให้มีความพอดี อย่าให้มันผาดโผน ความโลภอย่าให้โผนเกินไป ความโกรธให้ยับยั้งไว้บ้างและยับยั้งไว้อย่างดี ราคะตัณหาให้พอดีกับผัวเดียวเมียเดียว นี่บอกแล้ว ผู้นี้ละไม่ได้ให้อยู่ในกรอบอันนี้ จะเป็นสุขตามฐานะของตน ๆ ที่เป็นฆราวาส นี่ที่ท่านว่ากิเลสมีอยู่ คืออย่างนี้ คำว่าธรรมมีอยู่ก็คือว่า เอาสติธรรม ปัญญาธรรม เข้ามาบังคับให้อยู่ในความพอดี นี่คือธรรมมาบังคับ สติปัญญาพิจารณาให้อยู่ในความเหมาะสม อย่าให้มันผาดโผนโจนทะยานไป มันจะเอาไฟเผาตนและเผาส่วนรวม เหล่านี้มีอยู่ในใจทั้งนั้น ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ตรงกันข้ามความโลภไม่มี มีแต่ความเลิศ นั่นธรรมแล้วนะ ความโลภไม่มีมีแต่ความเลิศความเลอ ความโกรธไม่มีมีแต่ความเมตตาครอบโลกธาตุ พิจารณาอย่างนั้นซี ราคะตัณหาไม่มีมีแต่ความสงสารสัตว์โลก ให้อยู่ในกรอบแห่งความพอดี อย่าให้มันกำเริบเลยขอบเลยเขตไป นั่นละธรรมเข้ามาเป็นน้ำดับไฟ ๆ อย่างนี้


    <DD>ผู้ที่ไม่สามารถจะทำได้อย่างนั้น พระองค์ก็ให้ธรรมหรือให้ยาเป็นเครื่องรักษาเป็นลำดับ ๆ ประจำตัวเอง ๆ สำหรับชาวพุทธเรา นี่มันเตลิดเปิดเปิง ๆ ถ้าไปหาวัดก็ท่านดีทางไหน ๆ ดังก็ดังแบบขลัง ๆ แล้วดีทางไหน ๆ มันเป็นอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นมาที่นี่จึงเหมือนกับว่าดีทางนี้ ทางขอเป็นบ้าอยู่เดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนั้นนะ เราสอนโลกเราก็ปฏิบัติตามธรรมพระพุทธเจ้า มาสอน ไม่หาขลังภายนอกนะ อะไร ๆ ก็ตามไม่สนใจเพราะไม่ใช่ของขลัง มีแต่ฟืนแต่ไฟ หลงมันเท่าไรยิ่งเป็นไฟเข้าไปสิ่งภายนอก รู้สิ่งภายในสำคัญมาก ต้นเหตุอยู่ภายใน นี่ท่านว่ากิเลสมี มีไหม พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนี้ เป็นฟืนเป็นไฟต่อโลก แล้วธรรมมีไหม ธรรมระงับดับสิ่งเหล่านี้ออกแล้วเลิศขึ้นเลย นั่นธรรมเป็นอย่างนั้น ให้พากันพินิจพิจารณาบ้างซิ


    <DD>มันเลอะเทอะไปหมดแล้วนะเวลานี้ จนจะหาศาสนาจริง ๆ หาพระหาเณรจริง ๆ หาวัดหาวาจริง ๆ จะไม่เจอนะ แต่ไปที่ไหนมันเกลื่อนอยู่ด้วยวัดด้วยวาด้วยพระด้วยเณร แต่ทำไมจึงหาพระไม่เจอ หาวัดวาอาวาสไม่เจอ หาศีลหาธรรมไม่เจอ เพราะไม่มีอยู่กับพระกับเณร ไม่มีอยู่กับวัดกับวา เพราะฉะนั้นจึงไม่มี มีแต่กิเลสเป็นส้วมเต็มถาน เต็มพระเต็มเณร เต็มวัดเต็มวาทั่วไปหมด นี้เอาความจริงเรียกว่าภาษาธรรม เป็นอย่างนี้ เป็นยังไงต้องพูดตามความจริง อย่างที่เราพูดนี้ เราก็เป็นพระ เราเอาธรรมพระพุทธเจ้ามาสอนเราตลอดไปหมดเลยต่างหาก เมื่อไม่มีสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้มีแล้ว ผลคือความดีงามสงบร่มเย็นจะมีมาจากไหน ความงามหูงามตามีมาจากไหน เพราะเหล่านั้นมีแต่เรื่องข้าศึกของธรรม มองไปดูใครมันก็เหมือนกัน มองดูเขาเหมือนกันดูเราเหมือนกัน แสดงเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในหัวใจทุกคน ๆ แล้วเอาความดีมาจากไหนความสุขมาจากไหน ท่านจึงสอนให้อบรมธรรม


    <DD>ให้ดูหัวใจเจ้าของบ้างซิ มันเคลื่อนอะไร ๆ ไป ตื่นนอนขึ้นมามันเคลื่อนเรื่องอะไรบ้าง พิจารณาให้ดี ร้อยทั้งร้อยมันจะออกทางผิดทางพลาด เพราะกิเลสไม่เคยถูก มีแต่ผิด ออกนิดก็ผิดนิด ออกมากผิดมาก ออกน้อยผิดน้อย ผิดไปโดยลำดับคือกิเลส เรื่องธรรมมีแต่ถูกล้วน ๆ ออกนิดออกหน่อยออกเท่าไรถูกโดยลำดับ เพราะฉะนั้นจึงต้องให้ระวัง สังเกตดูตัวเองเพื่อจะแก้ จะปัดมันออกด้วยการรักษาตัวเอง ต้องมีการระมัดระวังรักษาปัดเป่ากันออกซิอะไรไม่ดี แล้วก็จะเห็นความสุข ไม่ต้องไปหาที่ไหน


    <DD>ความทุกข์มันก็เกิดขึ้นที่เราในหัวใจของเรานั่นเอง เมื่อชำระกิเลสตัวชั่วช้าลามกซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ออกมากน้อย ความสุขคือธรรมพระพุทธเจ้า ชำระนั้นคือธรรมฝ่ายเหตุ ความสุขคือธรรมฝ่ายผล จะเกิดขึ้นภายในจิตใจของคนทุกคน ไม่ว่าพระว่าเณร เอ้า ที่นี่เมื่อต่างคนต่างสำรวมระวังเป็นศีลเป็นธรรมนี้ มองดูฆราวาส ฆราวาสก็มีธรรม มองดูพระดูเณรก็เป็นศีลเป็นธรรม มองดูวัดดูวาก็สง่างามไปหมดด้วยศีลด้วยธรรม นั่น งามอยู่ที่ผู้ทรงศีลทรงธรรมนะ ไม่ได้งามอยู่ที่อิฐ ปูน หิน ทราย ก่อขึ้นกี่ชั้นกี่ห้องกี่หับ อันนั้นเป็นอิฐเป็นปูนเป็นทราย ก่อถึงพรหมโลกก็คืออิฐ ทรายอยู่นั้นแหละ มันไม่เป็นของวิเศษวิโสอะไร มันเลวที่คน มันดีที่คนเลิศที่คน จึงปรับปรุงแก้ไขที่คนเข้าใจไหม


    <DD>นี่ศาสนาท่านสอนคน เราเป็นอะไรถามเราซิ คนอื่นถามมันสะเทือนใจ ดีไม่ดีเคียดแค้น แทนที่จะเกิดประโยชน์เกิดโทษขึ้นมา ให้เจ้าของถามเจ้าของเป็นธรรม ฝึกซ้อมเจ้าของตลอดเวลาจะเป็นศีลเป็นธรรมขึ้นมาเรื่อย ๆ นี่ละที่ว่ามองดูที่ไหนมันไม่เห็นศีลเห็นธรรม ก็เพราะไม่มีใครเสาะแสวงหาศีลหาธรรม หาตั้งแต่ฟืนแต่ไฟด้วยอำนาจของกิเลสเท่านั้น มันก็เป็นฟืนเป็นไฟทั่วโลกดินแดน แล้วเวลานี้ท่านทั้งหลายหาดูที่ว่าที่ไหนเจริญในโลกอันนี้ สามแดนโลกธาตุ คนที่มีตึกรามบ้านช่องสูง ๆ นั้นเหรอเจริญ นั่นมันอิฐมันปูนมันหินมันทรายมันเหล็กมันหลาต่างหาก ความเจริญความเสื่อมไม่มี นรกอเวจี สวรรค์ พรหมโลก ไม่มีในอิฐในปูนในหินในทราย มันมีในบุคคลเข้าใจไหม


    <DD>เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนที่บุคคล เมื่อสอนที่บุคคลแล้วไปสร้างตึกกี่ชั้นก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้น ถ้ามีธรรมพาสร้างพาอยู่ พาจับจ่ายใช้สอยดีหมด ถ้าธรรมพาไป ยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำขนาดไหน ธรรมเป็นเครื่องเสริมจะสง่างามไปหมด นั่น ถ้าตรงกันข้ามไม่มีธรรมแหลก เข้าใจเหรอ ให้พิจารณาอย่างนั้นกันบ้างซิ นี่เราทนไม่ได้นะ เป็นยังไงเวลาพูดอย่างนี้ ท่านทั้งหลายว่าหลวงตาบัวโกรธให้ท่านทั้งหลายเหรอ โกรธให้กิเลสมันอยู่กับท่านทั้งหลาย ฟาดหัวกิเลสมันก็ฟาดหัวคนละซิ เพราะกิเลสอยู่กับคน ตีหัวกิเลส แต่มันตีถูกหัวคนเข้าไป โอ๊ย.หลวงตาบัวดุ นี่เห็นไหมกิเลสมันต่อสู้ มันไม่ยอมรับนะ มันต่อสู้ มันไม่ยอมถอยออกจากเก้าอี้คือหัวใจสัตว์โลก ตีลงไป มันปีนขึ้นมาแล้วมันไล่ตีเราอีกนู่น เข้าใจเหรอ


    <DD>เพราะฉะนั้น ถ้าพูดตามความจริงที่เป็นอยู่เวลานี้ ถ้าหากว่าจะฟังหากว่าจะสนใจนะ จะไม่มีโลกอยู่นะหลวงตาบัว เขาว่าเทศน์ดุเทศน์ด่าเทศน์เผ็ดเทศน์ร้อนเทศน์สกปรกโสมม และทั้ง ๆ ที่ชำระสิ่งเหล่านี้ด้วยธรรม ๆ ตลอดเวลา เผ็ดร้อนก็เพื่อกำจัดอันนี้ที่มันรุนแรง ก็ต้องเอากันหนัก อันนี้สกปรกมากสุดใส่ลงไปชะล้างอันนี้มันก็หาว่าน้ำที่สะอาดนี้สกปรก มันหาว่ามูตรว่าคูถสะอาดไปเสีย เข้าใจไหม นี่กิเลสมันยอมผิดเมื่อไร ดูเอาซิท่านทั้งหลาย


    <DD>นี่ฟัดมาพอแล้วถึงได้เอามาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไม่ได้มาหลอกลวงนี่นะ มองไปไหนมันจะไม่เห็นแหละศาสนา ต่อไปนี้จะไม่มีแล้วนะ ค่อยหมดไป ๆ แม้ที่สุดในพระในเณรในวัดในวาก็เป็นส้วมเป็นถานเป็นที่บรรจุของกิเลสเกือบทั้งหมดแล้วเวลานี้นะ จะยังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติตามศีลตามศีลตามธรรม ไปที่ไหนท่านมีวัด อยู่ในป่าท่านก็มีวัด อยู่ในถ้ำเงื้อมผาท่านมีวัด ท่านผู้มีวัดภายในใจ ถ้าไม่มีวัดภายในใจ มีแต่เทวทัตคือฟืนคือไฟได้แก่กิเลสตัณหาภายในใจ อยู่หอปราสาทราชมณเฑียรก็คือเทวทัตเผาตัวเองอยู่บนนั้นแหละ พากันจำเอานะ มันจะฉิบหาย


    <DD>เกิดมานี้กี่ปีแล้วได้ทดสอบเจ้าของดูบ้างหรือเปล่า ความดีความชั่วมีเท่าไร ความดีความชั่วมันติดอยู่ที่ใจนะ ตายแล้วสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปเลย แต่ดีกับชั่วไม่ไปนะ ติดอยู่ในใจ ใครสร้างชั่วไว้แล้วพันกันลงไปเลย อย่าอวดเก่งกับพระพุทธเจ้านะ ศาสดาองค์เอกทุก ๆ พระองค์สอน บาปบุญ นรก สวรรค์ เป็นอันเดียวกันหมด ใครจะไปลบล้างได้ ขนาดพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นจอมปราชญ์ลบล้างไม่ได้แล้ว เราเก่งกล้าสามารถมาจากไหนจะไปลบล้าง แล้วสร้างแต่ฟืนแต่ไฟเผาหัวตัวเอง โดยที่พระพุทธเจ้าซึ่งถูกลบล้างนั้นไม่ได้มีความกระทบกระเทือนเลย เวลากระทบกระเทือนเป็นฟืนเป็นไฟเป็นเถ้าเป็นถ่านคือพวกเราตัวเก่ง ๆ นี้นะ ให้พิจารณาให้ดี


    <DD>อู๊ย.มันน่าทุเรศจริง ๆ ไปที่ไหนต้องดูแบบหูหนวกตาบอดไป พูดจริง ๆ นี่นะ หูหนวกตาบอดไปอย่างนั้นแหละ ถ้าควรจะแนะนำสั่งสอนหนักเบามากน้อยก็สอนไปเสีย ผู้ควรจะเป็นประโยชน์บ้างแย็บออก ๆ ๆ ถ้าไม่เป็นประโยชน์สอนไปทำไม เกิดประโยชน์อะไร นั่น ธรรมของมีคุณค่ามาก ไปเรี่ยราดกับสิ่งสกปรกโสมม ตามมูตรตามคูถเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์แล้วทำไปทำไม ชะล้างไปทำไม สอนไปทำไม นั่น


    <DD>มันจะไม่มีจริง ๆ นะ ไม่ได้พูดเล่น ๆ เวลานี้ศาสนา เราถืออะไรเป็นศาสนาเวลานี้นะ เหอ ถือพระถือเณรเป็นศาสนา เอาวัดวาอาวาสเป็นศาสนาอย่างนั้นเหรอ ถ้าพระเณรเป็นธรรมเราก็เป็นพระได้ พระ แปลว่าอะไร แปลว่า ประเสริฐ นั่น ยกออกมาถึงธาตุวิภัตติปัจจัยก็ได้ นี่มหารู้ไหมนี่ เวลาจะยกก็ยกออกมาบ้างซิ มันแปลได้ทั้งศัพท์ ทั้งแปลทั้งธาตุวิภัตติปัจจัยนั่นถ้าจะแปลนะ แต่อันนั้นมันไม่เกิดประโยชน์ มันไม่ใช่กิเลส ธาตุวิภัตติปัจจัยไม่ใช่กิเลส กิเลสมันอยู่กับคน แปลเข้าหาคนละซิ เข้าใจไหม จึงไม่สนใจกับศัพท์กับแสงอะไร สนใจแต่กิเลสตัวเป็นภัย ฟาดหัวกิเลสลงไปแล้วไม่ต้องตั้งวิเคราะห์ ธาตุวิภัตติปัจจัย สบายไปเลย นั่นเป็นอย่างนั้นนะ


    <DD>ให้ดูตัวของเรา อยากมีวัดมีวา อยากเป็นพระคือความประเสริฐ ธรรมประเสริฐภายในใจให้พากันสำรวมระวัง อย่าตื่นเกินไปนะตื่นโลก ตื่นไปเท่าไรยิ่งเป็นไฟ ใครอย่าว่าจะดิบจะดีจะเลิศจะเลอเพราะอำนาจของกิเลสหลอกลวงนะ จะหลอกลวงเพื่อจมโดยถ่ายเดียว มีดีดมีดิ้นมีเครื่องล่อลวงคือความหวัง ๆ ความอยากความทะเยอทะยาน อันนี้แหละมันดึงไป ๆ แล้วก็วิ่งตามความอยาก วิ่งตามความหวัง วิ่งไปเลย ให้สมหวังบ้างเพียงนิดเดียว ผิดหวังนั้นมากต่อมาก มันไม่ให้เห็นโทษนะ แล้วดึงไปเรื่อย ๆ จมไปเรื่อย ตายแล้วยังหวัง ไม่ทราบว่าหวังอะไรก็ไม่รู้นะ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้สร้างความดีงามเพื่อให้สมหวังไว้เลย แล้วจะเอาอะไรมา ดี ภพไหนก็ใจดวงนี้นะ ไปไหนมันตายเมื่อไหร่ใจดวงนี้ ไม่เคยตาย มีแต่ธาตุขันธ์ตาย เข้าไปอาศัยร่างใดก็เรียกว่าสัตว์ ว่าบุคคลขึ้นมา ใจดวงเดียวนี้ละเข้าไป เข้าไปร่างไหนก็เป็นสัตว์เป็นบุคคล เรียกว่าเกิด สัตว์เกิดสัตว์ตาย อันนี้หมดสภาพตายไป แต่ใจดวงนี้ไม่เคยตาย เรียนเข้าไปกระทั่งถึงใจดวงนี้


    <DD>
    (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี)


    <DD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=30></TD></TR></TBODY></TABLE>
    สาธุ สาธุ สาธุ

    </DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2008
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    คำสอนธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา


    กบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัว ......ธรรมมะ จากหลวงปู่ชา

    <!-- Main -->
    อาตมาเห็นโยมคนหนึ่งอยู่บ้านอาตมา (บ้านก่อ) บ้านอยู่ริมวัด แกไปไหนมาไหนก็เดินผ่านวัดทุกวัน แต่ไม่รู้จักอะไร แกเคยฟังเทศน์ก็ฟังแต่แหล่มัทรี แหล่ใส่หูจนหูจะหนวก ก็ไม่รู้จักธรรมะ ต่อมาย้ายบ้านไปอยู่อำเภอวานรนิวาส โชคดีที่ได้ไปฟังธรรม เห็นบุญ เห็นบาป เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กลับมาคราวนี้เลยบวชเป็นพระ แกบอกว่า "มันชั่วจริงๆ ครับท่านอาจารย์" นี่แหละอยู่ใกล้วัดน่าจะได้บุญได้กุศล แต่ไม่รู้เรื่อง สมกับที่ท่านว่า

    กบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัว อยู่บนหัวกลิ่นบัวบ่ต้อง
    แมงภู่ง่องบินผ่ายแอ่วมา เอาเกษาดอกบัวไปจ๊อย

    กบอยู่กอบัวแต่ไม่รู้จักบัว ดอกบัวจะบานจะตูม จะร่วงจะโรยก็ไม่รู้เรื่อง วันดีคืนดีอาจโดนด้ามเสียมเขาหรอก นี้ฉันใด ตาแก่คนนั้นก็เหมือนกัน อาตมาเคยเทศน์ให้ฟังว่า กบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัว นี่บรรพบุรุษเราท่านว่าไว้ถูก อยู่ใกล้วัดใกล้วาน่าจะรู้จักธรรมะ แต่ไม่รู้เรื่องเลย หนีจากบ้านไปอยู่ที่อำเภอวานรฯ จึงได้ไปฟังเทศน์พระกรรมฐานที่โน่น นี้ท่านว่า ธัมโม จะทุลละโภ โลเก การที่จะได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าเป็นการยาก การทำบุญจะถูกบุญนี้ก็ยาก นี้ก็ลำบาก บุญกุศลจะเกิดขึ้นกับจิตใจก็ยากลำบาก เพราะอะไร เพราะกระจกเรามันไม่สว่าง ยังไม่มีปัญญา พวกเราจงเข้าใจ

    หลวงปู่ชา สุภัทโท



    : ให้ถูกกับจริต
    โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี

    อารมณ์ของสมถกรรมฐานนี้ ถ้าไม่ถูกจริตของเรา มันก็ไม่สลด ไม่สังเวช อันใดที่ถูกกับจริต
    อันนั้นก็จะประสบบ่อยๆ มีความรู้สึกนึกคิดในอาการนั้นบ่อยๆ แต่เราไม่ค่อยจะได้สังเกต จึงควร
    สังเกตเพื่อให้ได้ประโยชน์ เปรียบเหมือนกับอาหาร ที่เขาจัดมาให้สำรับหนึ่ง มันก็มีหลายอย่าง
    เราก็ชิมไปทุกถ้วยทุกอย่าง

    นั่นแหละ แล้วก็จะรู้เองว่า อาหารอย่างไหนที่เราชอบ อย่างไหนที่เราไม่ชอบอย่างไหนชอบ
    ก็ว่ามีรสชาติอร่อยกว่าอย่างอื่น นี่พูดถึงอาหารนี่ก็เทียบให้เห็นกับจริตของคนเรา กรรมฐานที่ถูก กับจริต มันก็สบาย



    : อิทธิฤทธิ์หรือจะสู้บุญฤทธิ์:
    โ ด ย : พระราชสังวรญาณ ( พุธ ฐานิโย ) วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

    หนุมาน ทุ่มก้อนหินใส่กุมภกรรณ กุมภกรรณจับขยี้แหลกเป็นผงไป เลยเอาก้อนใหม่ทุ่มไปอีก ก็จับโยนไป พวกนี้ สำเร็จอิทธิฤทธิ์มาได้อย่างไร ? สำเร็จมาได้ด้วยการบำเพ็ญตบะ จนพระอินทร์ พระพรหม พระอิศวร เห็นใจ ประทานพรให้เป็นผู้มีฤทธิ์..แต่เสร็จแล้ว ก็มาเที่ยวฆ่ากันอยู่ เพราะฉะนั้น สิ่งที่วิเศษที่สุดก็คือศีล ถ้ามีศีลบริสุทธิ์แล้ว ไม่ต้องไปคำนึงถึงอะไร..

    สิ่งที่จะได้ประโยชน์อย่างแท้จริงในปัจจุบันนี่... ใครมีเมีย รักสงสารเมียของ ตนเองให้มากๆ ใครมีผัว รักสงสารผัวของตัวเองให้มากๆ ใครมีลูก รักเมตตาปรานีต่อลูกให้มากๆ ใครมีพ่อมีแม่รักเคารพบูชา พ่อแม่ให้มากๆ เลี้ยงดูท่านให้มีความสุข ถ้าใครทำได้ มันจะมีฤทธิ์เดช เรียกว่า บุญฤทธิ์ คนมี บุญฤทธิ์ นี่ ไปที่ไหนก็สงบเยือกเย็น ไม่ไปก่อกรรมทำเข็ญ ให้ใครเดือดร้อน มี แต่มีแต่พวกภูตผีปิศาจ ที่มันไม่นิยมชมชอบในคุณธรรมนั่นแหละ มันจะร้อนเป็นไฟ เราปฏิบัติสมาธิ จิตของเราไปถึงไหนสมาธิขั้นใด ตอนใด กี่ขั้นก็ตาม ผลลัพธ์ก็คือ เราละความชั่วได้

    นี่มันอยู่ที่ตรงนี้ เรื่องของสมาธินี่ ถึงใครจะวิเศษวิโสสักปานใด มันไม่ใช่สิ่งสำคัญหรอกมันวิเศษอยู่ตรงที่ว่า เมื่อจิตเราเป็นสมาธิแล้ว เราละบาปได้หรือเปล่า ศีล ๕ เราบริสุทธิ์หรือเปล่าเพราะฉะนั้น ใครภาวนา ไม่เป็นก็อย่าไปสนใจ รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ แค่นั้น... ปิดประตูอบายได้แล้ว




    ขอขอบคุณ
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kaoim&group=13




     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
  19. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    รูปหลวงปู่ทวดบนนิ้วมือ

    เป็นรูปหลวงปู่ทวดที่ปรากฏบนนิ้วหัวแม่มือของท่าน อ.จิตร บัวบุศย์ ซึ่งท่านเป็นจิตรกรเอกผู้หนึ่งในอดีตเพื่อใช้เสก็ตภาพสำหรับนำไปปั้นเป็นรูปปั้น โดยผู้ที่อัญเชิญภาพให้มาปรากฏคือท่าน ร.อ. ทวี ทิวแก้ว


    [​IMG]


    รูปปั้นที่ปั้นจากภาพบนนิ้วมือ

    [​IMG]



    รูปปั้นที่เปรียบเทียบจากภาพบนนิ้วมือ

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    มาอ่านเรื่องของพ่อกันบ้าง



    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER>

    แจ๊ค นั่นอะไรลูก?
    ชายแก่เลยวัย 70 คนหนึ่งคุยกับลูกชายที่เพิ่งกลับมาเยี่ยม หลังจากแต่งงานย้ายครอบครัวออกไปไม่กี่ปี

    ชายแก่ : แจ๊ค (ชื่อลูกชาย) นั่นอะไรลูก? พ่อเห็นลางๆ
    แจ๊ค : อ๋อ วัวน่ะพ่อ

    เวลาผ่านไป 2-3 นาที
    ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรลูก?
    แจ๊ค : วัวตัวเดิมนั่นแหละพ่อ ยังไม่ไปไหนเลย

    ผ่านไปอีก 2-3 นาที
    ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรอีกล่ะลูก?
    แจ๊ค : (เริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด) วัวพ่อวัว !! วัวตัวเดิมที่เพิ่งถามนั่นแหละ

    เวลาผ่านไปอีก 2-3 นาที
    ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรลูก?
    แจ๊ค : (เริ่มทนไม่ไหว) เอ๊ะ !! พ่อนี่ยังไงนะ ถามซ้ำๆ ซากๆ อยู่ได้ ผมจะบอกครั้งสุดท้าย แล้วนะว่า วัว...!!

    ผ่านไปอีก 2-3 นาที
    ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรน่ะลูก?
    แจ๊ค : โอ๊ย !!! พ่อเลอะเลือนแล้ว คุยกันไม่รู้เรื่อง ผมไม่คุยกับพ่อแล้ว

    แล้วแจ๊คก็ผละจากพ่อไปอย่างอารมณ์เสียเป็นที่สุด เวลาผ่านไป จวบจนตอนเย็น ได้เวลาอาหารค่ำ เมื่อไม่เห็นผู้ เป็นพ่อลงมา แจ๊คจึงเดินขึ้นไปตามที่ห้อง ณ ที่นั่น เขาได้พบชายแก่นั่งเหม่อลอย ข้างๆ มีไดอารีเก่าๆ เล่มหนึ่งที่เพิ่ง เขียนบันทึกในวันนี้เสร็จ แจ๊คถือวิสาสะเข้าไปอ่าน ความว่า...

    ครั้งหนึ่งเมื่อ 40 กว่าปีก่อนมาแล้ว เรามีลูกชายคนหนึ่งที่เรารักมากที่สุด เราตั้งชื่อเค้าเองว่า...แจ๊ค ในวันที่ อากาศแจ่มใสวันหนึ่ง เราพาแจ๊คออกไปเดินเล่น ตอนนั้นแจ๊คกำลังพูดได้เก่งทีเดียว เราพาเค้าไปนั่งที่สวนหลังบ้าน พอดีมีวัวผ่านมา... แจ๊คถามเราว่า พ่อ นั่นอะไร...วัวไงลูก เราตอบ เวลาผ่านไป อีกไม่ถึงนาที แจ๊คก็ถามคำถามเดิมเรา อีก เราก็ตอบเช่นเดิมอีก เป็นอย่างนี้อยู่ถึง 25 ครั้ง ....เราไม่เคยเบื่อหน่ายเลยที่จะตอบคำถามเดิมๆ เหล่านั้น เรากลับ รู้สึกดีใจอย่างที่สุดที่ลูกสนใจเราอย่างไม่เบื่อหน่าย...

    แต่ในวันนี้ ณ ที่แห่งเดิม คน 2 คน ที่เคยถามคำถามเดียวกัน หากแต่ว่าเราเป็นฝ่ายถาม แจ๊คเป็นฝ่ายตอบ... เพียง 5 ครั้งเท่านั้น ลูกก็ตวาดเสียงดังใส่เรา หาว่าเราเลอะเลือน รังเกียจแม้แต่จะคุยกับเราต่อไป...

    เมื่ออ่านจบแจ๊ครู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ พ่อเลี้ยงเขามาอย่างดี แต่วันนี้สิ่งที่เขาทำให้ท่านคือ การตวาดเสียงดัง ไม่ พูดด้วยแล้วก็เดินหนีไป เขาตระหนักว่า เขาได้ทำสิ่งผิดพลาดซึ่งเขาเองแทบไม่รู้ตัว
    แล้วคุณล่ะ วันนี้คุณได้ทำอะไรดีๆ ให้ท่านเหล่านั้นหรือยัง?..




    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER>

    ขอขอบคุณ
    www.fwdder.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...