แด่เธอผู้มาใหม่ : เรื่องเรียบง่ายและธรรมดาที่เรียกว่า ธรรมะ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 18 ตุลาคม 2008.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    <TABLE width="100%" bgColor=#bbddff border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>เนื้อความ :
    เป็นการยากที่เราจะเห็นได้ว่า
    ธรรมะเป็นเรื่องเรียบง่ายและธรรมดาที่สุด
    เพราะภาพลักษณ์ของศาสนา หรือของธรรมะ ที่เรารู้จักนั้น
    ดูอย่างไรก็ไม่ธรรมดาเลย
    เริ่มตั้งแต่ภาษาที่ใช้ เต็มไปด้วยภาษาบาลี มีศัพท์ที่มีความหมายเฉพาะมากมาย
    แค่ทำความเข้าใจศัพท์ก็ยากนักหนาแล้ว

    พอรู้ศัพท์แล้วลงมือศึกษาตำราจริงๆ
    ก็พบความยากอีก คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มีมากเหลือเกิน
    และตำราที่พระรุ่นหลังลงมาท่านเขียนไว้ ก็มีอีกมากมาย

    บางท่านพอใจที่จะลงมือปฏิบัติ ก็มีปัญหาอีกว่า
    สำนักปฏิบัติมีมากมาย ทุกสำนักบอกว่าแนวทางของตน
    ถูกตรงที่สุดตามหลักมหาสติปัฏฐาน
    บางทีก็ทับถมสำนักอื่นหน่อยๆ ว่า สอนไม่ตรงทาง

    ความยากลำบากนี้ พบกันทุกคนครับ
    ทำให้ผมต้องนั่งถามตนเองว่า เป็นไปได้หรือไม่
    ที่เราจะศึกษาธรรมได้อย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องรู้ศัพท์บาลี
    หรือไม่ต้องอ่านหนังสือ หรือเข้าสำนักปฏิบัติใดๆ เลย

    *****************************************************

    ความจริงธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ เป็นเรื่องง่าย ๆ ธรรมดาๆ
    ดังที่ผู้ได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ มักจะอุทานว่า
    "แจ่มแจ้งนักพระเจ้าข้า ธรรมที่ทรงแสดงเหมือนดังเปิดของคว่ำให้หงาย"
    ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไรนัก ที่ผู้ฟังจะรู้สึกเช่นนั้น
    ก็เพราะผู้ฟังเอง เกิดมากับธรรม อยู่กับธรรม จนตายไปกับธรรม
    เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
    เพียงแต่มองไม่เห็นว่า ธรรมได้แสดงตัวอยู่ที่ไหน
    เมื่อพระพุทธเจ้าทรงชี้แนะ ก็สามารถรู้เห็นตามได้โดยง่าย

    อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถึงพร้อมด้วยความรอบรู้
    สามารถอธิบายธรรมอันยุ่งยากซับซ้อนให้ย่นย่อเข้าใจง่าย
    สามารถขยายความธรรมอันย่นย่อให้กว้างขวางพอเหมาะแก่ผู้ฟัง
    ทรงปราศจากอุปสรรคทางภาษา
    คือสามารถสื่อธรรมด้วยภาษาที่ผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายๆ

    ไม่เหมือนผู้ศึกษาและสอนธรรมจำนวนมากในรุ่นหลัง
    ที่ทำธรรมะซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวและแสนธรรมดา
    ให้กลายเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อน และไกลตัวเสียเหลือประมาณ
    จนเกินความจำเป็นเพื่อความพ้นทุกข์
    และสั่งสอนด้วยภาษา ที่ผู้ฟังไม่สามารถเข้าใจได้โดยง่าย

    ***********************************************

    แท้จริงแล้ว ธรรมเป็นเรื่องใกล้ตัว ใกล้จนถึงขนาดที่เรียกว่า
    เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ตัวเราเอง
    และขอบเขตของธรรมะก็มีเพียงนิดเดียวคือ
    ทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดความทุกข์

    ถ้าจะศึกษาธรรมะ ก็ศึกษาลงไปเลยว่า
    "ความทุกข์อยู่ที่ไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร และดับไปได้อย่างไร"
    และความสำเร็จของการศึกษาธรรมะ
    อยู่ที่ปฏิบัติจนเข้าถึงความพ้นทุกข์
    ไม่ใช่เพื่อความรอบรู้รกสมอง
    หรือเพื่อความสามารถในการอธิบายแจกแจงธรรมได้อย่างวิจิตรพิสดาร


    แท้จริงแล้ว ความทุกข์ของคนเราอยู่ในกายในจิตของตนนั่นเอง
    สนามศึกษาธรรมะของเรา จึงอยู่ที่กายที่จิตนี้แหละ
    แทนที่เราจะเที่ยวเรียนรู้ออกไปภายนอก
    ก็ให้เราย้อนเข้ามาศึกษาอยู่ในกายในจิตของเรานี้แหละ

    วิธีการก็ไม่มีอะไรมาก ขอเพียงให้หัดสังเกตกายและจิตของเราเองให้ดี
    เริ่มต้นง่ายๆ จากการสังเกตร่างกายก่อนก็ได้

    ขั้นแรก ทำใจให้สบายๆ อย่าเคร่งเครียด
    อย่าไปคิดว่าเราจะปฏิบัติธรรม แต่ให้คิดเพียงว่า
    เราจะสังเกตดูร่างกายของเราเองเท่านั้น
    สังเกตแล้วจะรู้ได้แค่ไหนก็ไม่เป็นไร
    เอาแค่ว่าจะเฝ้าสังเกตให้ได้เท่าที่ทำได้ก็พอ

    เมื่อทำใจสบายๆ แล้ว ลองนึกถึงร่างกายของเรา
    นึกถึงให้รู้พร้อมทั้งตัวเลยก็ได้
    เหมือนเรากำลังดูหุ่นยนต์อยู่สักตัวหนึ่ง
    ที่มันเดินได้ เคลื่อนไหวได้ ขยับปากได้
    กลืนอาหารอันเป็นวัตถุเข้าไปในร่างกาย
    ขับถ่ายกากอาหารออกจากร่างกาย

    ถ้าเราเห็นหุ่นยนต์ที่ชื่อว่าตัวเรา มันทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยๆ
    เราเป็นคนดูเฉยๆ
    ถึงจุดหนึ่งก็จะเห็นแจ้งประจักษ์ใจเองว่า
    ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นวัตถุก้อนหนึ่งเท่านั้น
    มีความไม่หยุดนิ่ง ไม่คงที่ แม้แต่วัตถุที่ประกอบเป็นเจ้าหุ่นตัวนี้
    ก็ยังมีความเปลี่ยนแปลงไหลเข้าไหลออกอยู่ตลอดเวลา
    เช่นหายใจเข้าแล้วก็หายใจออก กินอาหารและน้ำแล้วขับถ่ายออก
    ไม่ใช่สิ่งที่เป็นก้อนธาตุที่คงที่ถาวร
    ความยึดถือด้วยความหลงผิดว่า กายเป็นเรา ก็จะบรรเทาเบาบางลงได้
    แล้วก็จะเห็นอีกว่า
    ยังมีธรรมชาติที่เป็นผู้รู้ร่างกาย อาศัยอยู่ในร่างกายนี้เอง

    เมื่อเห็นชัดแล้วว่า กายนี้เป็นแค่ก้อนธาตุ ไม่คงที่ ไม่ใช่ตัวเรา
    คราวนี้ก็ลองมาสังเกตสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายนี้ต่อไป
    เป็นการเรียนรู้เรื่องของเราเองให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก

    สิ่งที่แฝงอยู่ในร่างกายที่เห็นได้ง่ายๆ
    คือความรู้สึกเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เฉยๆ บ้าง
    เช่นเมื่อเราเห็นหุ่นยนต์ตัวนี้เคลื่อนไหวไปมา
    ไม่นานก็จะเห็นความเมื่อยปวด ความหิวกระหาย
    หรือความทุกข์อย่างนั้นอย่างนี้แทรกเข้ามาเป็นระยะๆ
    พอความทุกข์นั้นผ่านไปทีหนึ่ง
    ก็จะรู้สึกสบายไปอีกช่วงหนึ่ง(รู้สึกเป็นสุข)
    เช่นกระหายน้ำ เกิดเป็นความทุกข์ขึ้น
    พอได้ดื่มน้ำ ความทุกข์เพราะความกระหายน้ำก็ดับไป
    หรือนั่งนานๆ เกิดความปวดเมื่อย รู้สึกเป็นทุกข์
    พอขยับตัวเสีย ก็หายปวดเมื่อย รู้สึกว่าทุกข์หายไป(รู้สึกเป็นสุข)

    บางคราวมีความเจ็บไข้ได้ป่วย
    ก็จะรู้ความทุกข์ทางกายได้ต่อเนื่องยาวนานขึ้น
    เช่นเกิดปวดฟันติดต่อกันนานๆ เป็นวันๆ
    ถ้าคอยสังเกตรู้ความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น
    ก็จะเห็นชัดว่า ความปวดนั้นเป็น สิ่งที่แทรก อยู่กับเหงือกและฟัน
    แต่ตัวเหงือกและฟัน มันไม่ได้เจ็บปวดด้วยเลย
    กายเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีความเจ็บปวด
    เพียงแต่มีความเจ็บปวด เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แฝงอยู่ในกาย

    เราก็จะรู้ชัดว่า ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ หรือรู้สึกเฉยๆ
    ไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นสิ่งอีกสิ่งหนึ่งที่แทรกอยู่ในร่างกาย
    และที่สำคัญ เจ้าความรู้สึกเหล่านั้น
    ก็เป็นสิ่งที่กำลังถูกรู้ ถูกดูอยู่ เช่นเดียวกับร่างกายนั้นเอง

    ถัดจากนั้น เรามาเรียนรู้เรื่องราวของตัวเองให้ละเอียดมากขึ้น
    คือคอยสังเกตให้ดีว่า เวลาที่เกิดความทุกข์ขึ้นนั้น
    จิตใจของเรามันจะเกิดความหงุดหงิดรำคาญใจตามมาด้วย
    เช่นหิวข้าวแล้วจะโมโหง่าย เหนื่อยก็โมโหง่าย
    เจ็บไข้ก็โมโหง่าย เกิดความใคร่แล้วไม่ได้รับการตอบสนองก็โมโหง่าย
    ให้เราหัดรู้ให้เท่าทันความโกรธที่เกิดขึ้น ในเวลาที่เผชิญกับความทุกข์

    ในทางกลับกัน เมื่อเราได้เห็นของสวยงาม ได้ยินเสียงที่ถูกใจ
    ได้กลิ่นหอมถูกใจ ได้ลิ้มรสที่อร่อย
    ได้รับสิ่งสัมผัสร่างกายที่นุ่มนวล
    มีอุณหภูมิพอเหมาะ ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป
    ได้คิดถึงสิ่งที่พอใจ
    เราจะเกิดความรักใคร่พึงพอใจในสิ่งที่
    ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส และได้คิดนึกนั้น
    ก็ให้เรารู้เท่าทันความรักใคร่พอใจที่เกิดขึ้นนั้น

    พอเรารู้จักความโกรธ หรือความรักใคร่พอใจแล้ว
    เราก็สามารถรู้จักกับอารมณ์อย่างอื่นๆ ได้ด้วย
    เช่นความลังเลสงสัย ความอาฆาตพยาบาท ความหดหู่ใจ
    ความอิจฉาริษยา ความคิดลบหลู่ผู้อื่น
    ความผ่องใสอิ่มเอิบของจิตใจ ความสงบในจิตใจ ฯลฯ

    เมื่อเราเรียนรู้อารมณ์หรือความรู้สึกเหล่านี้มากขึ้นๆ
    เราก็จะเริ่มรู้ว่า ความจริงแล้วอารมณ์ทุกอย่างนั้นไม่คงที่
    เช่นเมื่อโกรธ และเราก็รู้อยู่ที่ความโกรธนั้น
    ก็จะเห็นระดับของความโกรธเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
    อยู่ไปๆ ความโกรธก็ดับไปเอง
    และไม่ว่าความโกรธจะดับหรือไม่ก็ตาม
    ความโกรธก็เป็นแค่สิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่มีเราอยู่ในความโกรธ
    แม้อารมณ์อื่นๆ ก็จะเห็นในลักษณะเดียวกับความโกรธนี้ด้วย

    ถึงตอนนี้ เราจะรู้ชัดว่า ร่างกายก็เป็นแค่หุ่นยนต์ตัวหนึ่ง
    ความรู้สึกสุขทุกข์ และอารมณ์ทั้งหลาย ก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่ตัวเรา
    เมื่อหัดสังเกตเรียนรู้จิตใจตนเองมากขึ้น
    คราวนี้ก็จะเห็นการทำงานของจิตใจได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
    จนรู้ความจริงว่า ความทุกข์เป็นเพียงสิ่งที่มีเหตุทำให้เกิดขึ้นเป็นคราวๆ เท่านั้น

    เราจะพบพลังงานหรือแรงผลักดันบางอย่างในจิตใจของเรา
    เช่นพอเห็นผู้หญิงสวยถูกใจ
    พอจิตใจเกิดความรู้สึกรักใคร่พอใจแล้ว
    มันจะเกิดแรงผลักดันจิตใจของเรา
    ให้เคลื่อนออกไปยึดเกาะที่ผู้หญิงคนนั้น
    ทำให้เราลืมดูตัวเอง เห็นแต่ผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น

    (เรื่องจิตเคลื่อนไปได้นี่ ถ้าเป็นคนที่เรียนตำราอาจจะงงๆ
    แต่ถ้าลงมือปฏิบัติจริง จะเห็นว่า ความรับรู้มันเคลื่อนไปได้จริงๆ
    ตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านพูดเรื่องจิตเที่ยวไปได้ไกล
    ไม่มีคลาดเคลื่อนแม้แต่คำเดียว)


    หรือเมื่อเราเกิดความสงสัยในธรรม ว่าเราควรปฏิบัติอย่างไร
    ก็จะเห็นแรงผลักดันที่บังคับให้เราคิดหาคำตอบ
    จิตใจของเราเคลื่อนเข้าไปอยู่ในโลกของความคิด
    ตอนนั้น เราลืมดูตัวเราเอง
    เจ้าหุ่นยนต์นั้นก็ยังอยู่ แต่เราลืมนึกถึงมันก็เหมือนกับว่ามันหายไปจากโลก
    ความรู้สึกต่างๆ ในจิตใจเราเป็นอย่างไร เราก็ไม่รู้
    เพราะมัวแต่คิดหาคำตอบในเรื่องที่สงสัยอยู่นั่นเอง

    หัดรู้ทันจิตใจตนเองมากเข้า ไม่นานก็จะทราบด้วยตนเองว่า
    ความทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร
    ความพ้นทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร
    สภาพที่ไม่ทุกข์ เป็นอย่างไร
    สภาพจิตใจมันจะพัฒนาของมันไปเองทุกอย่าง
    ไม่ต้องไปคิดเรื่องฌาน เรื่องญาณ หรือเรื่องมรรคผลนิพพานใดๆ ทั้งสิ้น

    ถึงตรงนี้ อาจจะพูดธรรมะไม่ได้สักคำ แปลศัพท์บาลีไม่ได้สักตัว
    แต่จิตใจพ้นจากความทุกข์ หรือมีความทุกข์ ก็ทุกข์ไม่มากและไม่นาน


    *******************************************************************

    ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นเป็นของฝากสำหรับผู้เริ่มสนใจจะศึกษาธรรมะ
    เพื่อบอกว่า ธรรมะ เป็นเรื่องธรรมดาๆ เป็นเรื่องของตัวเราเอง
    และสามารถเรียนรู้ได้ไม่ยากนัก ด้วยตนเอง
    อย่าพากันท้อถอยเสีย เมื่อได้ยินคนอื่นพูดธรรมะแล้วเราฟังเขาไม่รู้เรื่อง
    เราไม่ต้องรู้อะไรเลยก็ได้
    รู้แค่ว่า
    ทำอย่างไรเราจะไม่ทุกข์ ก็พอแล้ว
    เพราะนั่นคือใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา
    ซึ่งจำเป็นที่คนๆ หนึ่งควรจะเรียนรู้ไว้
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>จากคุณ : สันตินันท์ [ 31 ส.ค. 2542 / 14:07:29 น. ]
    [ IP Address : 203.151.110.171 ]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://board.agalico.com/showthread.php?t=9769
     
  2. AddWassana

    AddWassana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    11,698
    ค่าพลัง:
    +21,186
    "...ขอบเขตของธรรมะก็มีเพียงนิดเดียวคือ
    ทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดความทุกข์..."
     

แชร์หน้านี้

Loading...