เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พ่อขุนศรีเมืองมานออกธุดงค์รวมชาติ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 10 มิถุนายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พ่อขุนศรีเมืองมานออกธุดงค์รวมชาติ
    [​IMG]
    เป็นอันว่าสมัยนั้นก็ฝึกปรือลูกหลานในการรบ รู้จักรักคือรักความสามัคคีในชาติขึ้นชื่อว่าไทยด้วยกันอย่าโกงกัน อย่าข่มเหงกัน อย่าทำลายกัน แม้จะโกรธกันก็ควรให้อภัยกัน ทั้งผู้หญิงผู้ชายควรจะฝึกอาวุธ หาแหล่งทรัพยากร สอนวิธีทำทองขุดทองด้วยมีความร่ำรวย ขอมเห็นว่าไทยร่ำรวยก็มาขอให้ไทยส่งส่วยมากกว่าเดิม พ่อขุนศรีเมืองมานจึงไปสัมพันธ์กับขอม (คือติดต่อพูดกับเขา) ว่า “จะเอาส่วยมากกว่าเดิมหรือจะไม่เอาเลย ไอ้ที่ให้อยู่นี่ก็เบียดเบียนกันมากเกินไปอยู่แล้ว ถ้าต้องการมากกว่านี้ ก็จะไม่ให้เลย” ขอมทำตาปริบ ๆ เจอะคนบ้าเข้า ขอมเห็นท่าไม่ดีก็เลยบอก “งั้นขอเท่าเดิม” ท่านพ่อขุนศรีเมืองมานก็บอกว่า “เท่าเดิมจะให้ แต่จะให้ไปนานเท่าใดนั้นไม่แน่ อย่าใช้อำนาจให้มันมากเกินไปนะ เราเป็นคนเหมือนกันที่ให้ส่วยไปนี่ก็เอาเปรียบกันเกินไปอยู่แล้วผืนแผ่นดินนี่ขอมไม่ได้สร้างไว้นะ โลกนี้ขอมไม่ได้เป็นจ้าวโลกนะ ขอมไม่ได้เอาดินมาถมให้เป็นโลก อย่าใช้อำนาจให้มันมากเกินไปที่ยอมอ่อนย้อมกันอยู่นี้ก็ถือว่าเป็นประเพณีนะ ถ้าไม่รักประเพณีเสียอย่างเดียวขอมจะไม่มีที่อยู่”
    ความจริงเวลานั้น เราพร้อมรบ แต่เรายังไม่รบ เพราะพวกเราอายุมากไปแล้วให้ลูกหลานรบ สั่งสอนลูกหลานคือ พ่อขุนผาเมือง กับพ่อขุนบางกลางท่าว ให้รับประเพณีนี้ไว้

    เวลานั้นพ่อขุนศรีเมืองมานอายุ ๓๐–๔๐ ปี ช่วงนี้ ภรรยาคือแม่ศรีตาย “แม่ศรีไหนล่ะท่านปู่ ท่านบอกก็พรรณวดีศรีโสภาค เธอตาย ท่านพ่อขุนศรีเมืองมานจึงบวชหน้าไฟให้เมีย แล้วไม่สึกอีกเลย เวลานั้นมีเมียหลวงคนเดียวคือแม่ศรี และมีเมียราษฎร์อีก ๒๙ คน ไม่ไหว บวชแล้วไม่สึก มอบหน้าที่ให้พ่อขุนน้าวนำถมทีมฝ่ายฆราวาส ฝ่ายพระก็ตั้งมหาวิทยาลัยการรบ การปกครอง การเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ การคลัง สอนให้เด็กรู้จักความสามัคคี รักในธรรม ประพฤติในธรรม

    แล้วหลังจากนั้นพระศรีเมืองมานก็ออกเดินธุดงค์ตั้งแต่เหนือยันนครศรีธรรมราช เพราะท่านทราบดีว่าคนไทยอยู่เกลื่อนกลาดตลอดไปหมด เป็นกลุ่มย่อย ๆ เวลาธุดงค์ไปก็เป็นคนเก่ง ใครอยากได้คาถาอาคม ค้าขายดี เมตตามหานิยม คงกระพัน หนังเหนียว มีทุกอย่าง คนไทยชอบ มาทำบุญใส่บาตรกันเป็นกลุ่ม ๆ ใหญ่ ๆ ในเวลาเดียวกันท่านก็ปลุกระดมไปในตัว ให้รู้จักว่า “เราเป็นคนไทยนะ คนไทยด้วยกันต้องรักความสามัคคี ต่อไปคนไทยต้องเป็นเอกราช ไม่เป็นทาสขอม ให้ทุกคนกลมเกลียวสามัคคีกันไว้ ฝึกปรือการรบไว้ฝึกปรือการสร้างสรรค์ด้านเศรษฐกิจให้เจริญรุ่งเรืองเข้าไว้ด้วย ทำมาหากินได้เก็บเข้าไว้ ถ้าเกิดสงครามเราจะต้องจับจ่ายใช้สอยมาก จะได้ไม่ลำบากในการอุปโภค บริโภค” นี่พระธุดงค์สมัยนั้น นี่ถ้าจะไม่ใช่พระ เขาเรียกเดินดง ไม่ใช่ธุดงค์ เดินไปถึงนครศรีธรรมราช และไปยันสิงค์โปร์ ใช้เวลาเป็นปี

    พอย้อนกลับมาอีกทีคนไทยดีขึ้นมาก งานขั้นต่อมาก็ส่งหน้าที่ให้พ่อขุนบางกลางท่าวกับพ่อขุนผาเมือง กลับมาถึงเมืองบอกลูกหลานว่า “งานเสร็จแล้ว ลงมือได้”

    พระพ่อขุนศรีเมืองมานมาเกิดเป็นวาระที่ ๕ นี้ก็สร้างสรรค์ความสามัคคีกันในความเป็นไทย แล้วก็ไปอยู่ที่วัดต้นจันทร์ ซึ่งอยู่ในป่าลึก ท่านก็เจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน แล้วก็ตายในระหว่างฌานกลับไปเป็นพรหมตามเดิม สบาย

    เกิด ๆ ตาย ๆ แบบนี้ไม่เป็นเรื่องลูกรัก เป็นอันว่าบุคคลคนเดียวกันคือพระเจ้ามังรายมหาราชมาเกิดวาระที่ ๕ เป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน ลูกหลานก็ทำสงครามขับไล่ขอมไปจากแผ่นดินไทย จนกระทั่งพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขึ้นครองราชย์และแก่แล้ว พระพ่อขุนศรีเมืองมานจึงตาย การตายคราวนี้ ก่อนหน้าจะตายท่านละภารกิจทั้งหมดปล่อยให้เป็นเรื่องของคนหนุ่ม ท่านเจริญพระกรรมฐานทรงฌานสมาบัติตายไปเป็นพรหม หนีบาปไป

    จำไว้นะลูกว่า “คนเราเกิดมาในโลกที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี ถ้าเราจะชดใช้บาปมันก็ชดใช้กันไม่ไหว มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ หนีบาป การภาวนาให้จิตทรงตัว การคิดถึงคุณพระรัตนตรัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกรักของพ่อทั้งหมดต่างคนต่างได้อภิญญาสมาบัติ การทรงอภิญญาสมาบัตินี่ถือว่าเป็นคุณธรรมอันเลิศ ยากที่บุคคลอื่นจะพึ่งทำได้ (คำว่าบุคคลอื่นหมายถึงบุคคลภายนอก แต่พราหมณ์เขาก็ทำได้)

    เมื่อได้อภิญญาสมาบัติแล้ว จงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ให้ทรงตัว พยายามรวบรวมบารมี ๑๐ ประการไว้ให้ครบถ้วน พยายามตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการให้หมด จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน มีพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน ทรงศีลให้บริสุทธิ์ มีอิทธิบาท ๔ ทรงตัว เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมานี้ ลูกรักของพ่อจะไม่ต้องเกิดอีกต่อไป การเกิดอย่างพระเจ้ามังรายที่เล่ามานี้ไม่เป็นเรื่อง

    ตอนนี้ไปนอนสบายอยู่ที่พรหม มองดูคนไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหงยาวเหยียด ไทยด้านเหนือพ่อขุนรามคำแหงก็วางแผนดีเป็นมิตรกับพ่อขุนเม็งราย เป็นเพื่อนกันดี ฝ่ายใต้ตีไปจนถึงสิงค์โปร์ การตีคราวนั้นไม่ยากเพราะเป็นการรวมไทยที่พระพ่อขุนศรีเมืองมานไปวางรากฐานแห่งความสามัคคีไว้แล้ว รวมกันก็ง่ายเพราะคนไทยด้วยกันที่ขัดคอก็มีที่กระบี่เท่านั้นที่เขาสู้หนัก นอกนั้นไม่เสียเลือดเนื้อ ท่านก็นอนดูสบาย

    ต่อมาไม่ช้าไม่นานคนไทยเกิดแบ่งเป็น ๒ พวกซะแล้ว ไทยเชียงแสนก็ยังอยู่ดี แต่เกิดไทยอู่ทองขึ้นมาอีกแล้ว ท่านพรหมมังรายเห็นไทยแยกเป็น ๒ พวกแบบนี้มันก็จะกลายเป็นไม้เรียวหนามเป็นอัน ๆ ไม่ช้าไม่นานนักเขาก็จะหักทีละซี่ ๒ ซี่ ตอนนี้เห็นท่าจะไม่ดีซะแล้ว ลูกหลานไทยนี่มันไม่รู้จักประสานกัน ไม่มีความสามัคคี การบ้าลาภ บ้ายศนี่ มันเป็นของไม่ดี บ้าความเป็นใหญ่ มองมามองไปเกิดความรำคาญใจถ้าจะอยู่ไม่ได้ พอดีท่านท้าวผกาพรหมก็มาบอกว่า (นี่ท่านปู่ท่านบอกนะ เล่าเรื่องของพระเจ้ามังรายมหาราชนะไม่ใช่ประวัติหลวงพ่อ พระเจ้ามังรายนี่ท่านเป็นคนขยันเกิดแต่คนอื่นก็อาจจะขยันเกิดอย่างพระเจ้ามังรายเหมือนกัน)
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...