เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พระเจ้าพังคราชเสวยทุกข์กับประชาราษฏร์

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 5 มิถุนายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พระเจ้าพังคราชเสวยทุกข์กับประชาราษฏร์
    [​IMG]
    จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)

    เป็นอันว่า สภาพของคนไทยตอนนี้ต้องอุ้มลูกจูงหลานหอบหิ้วกันไป เดินไปนะ ยานพาหนะขอมก็ไม่ให้ใช้ มันยึดเอาไว้หมด ชักช้าประวิงเวลาเพราะเสียดายทรัพย์สินก็ไม่ได้ เพราะหวายในมือขอม มีด อาวุธในมือขอม จะถูกต้องร่างกายคนไทยขวับทันที เมื่อไปถึงที่แล้ว ก็ช่วยกันปลูกบ้านธรรมดา ๆ ให้พระเจ้าพังคราชอยู่ เพราะเขายังมีความเคารพพระองค์อยู่แบบชาวบ้านธรรมดา ๆ

    การอพยพไปเวลานั้นเป็นกลุ่ม ก็สร้างบ้านไม่ทันซีลูกเอ๋ย ก็ต้องกวาดบริเวณพื้นที่ดินตามโคนต้นไม้ แล้วก็ใช้เป็นที่นอนกัน อาหารการกินมีจำกัดคือจำกัดไม่พอ ต้องหุงข้าวด้วยกะทะใบใหญ่ ขุดหัวเผือกหัวมันมาต้มกินกัน เพราะไม่มีข้าวกิน ความยากลำบากมันสาหัสถึงเพียงนี้ แล้วเจ้าขอมดำอัปรีย์มันยังมารบกวนต่าง ๆ นานาอีก ทุกสิ่งทุกอย่างเต็มไปด้วยความเป็นทาส บางคราว ๔-๕ วัน ข้าวตกถึงท้องสักเมล็ดก็ไม่มี เพราะว่ามันไม่มีจะกิน ข้าวที่ขนไปก่อนก็น้อย เอามากินไม่พอ ก็พยายามทำทุกอย่าง ที่ไหนมีหนองน้ำ พยายามทำข้าวใกล้ ๆ วัวควายไม่พอก็ใช้ไม้กระทุ้งลงไป เอาเมล็ดข้าวหยอดลงไปเรียกว่า ข้าวหยอด โพงน้ำขึ้นมาจากสระ จากบ่อ ให้ต้นข้าวได้อาศัยเรียกว่า ข้าวพันธุ์เบา ๓ เดือน ออกรวงได้กิน แต่ก็ยังไม่พอกันกิน

    นอกจากนั้น ยังมีงานหนักคือหาที่ร่อนทองคำ แม้แต่พระเจ้าพังคราชเองก็ต้องเสด็จร่อนทองเหมือนกัน พยายามหาทองให้เขาให้ได้ปีละ ๒๐ ชั่ง ลูกหลานที่รัก มันไม่น้อยเลย ๒๐ ชั่ง นะ ไม่ใช่ ๒๐ บาท แต่ว่าคนไทยในสมัยนั้นฉลาดในการหาทอง ดูพื้นดินที่มีสีอรุณจะเป็นดินแข็งดินร่วนก็ตาม (ดินสีอรุณมี ๒ อย่าง แบบขุยปู กับแบบดินร่วน ดินแบบขุยปูนี่ไม่มีทองคำ แบบดินร่วนจึงมี) ดินสีอรุณดำมีเกล็ดอะไรระยิบระยับหน่อย ๆ เป็นเครื่องสังเกต และอีกประการหนึ่ง ถ้าทองคำมีที่ไหนดินตรงนั้นมีความอุ่นกว่าดินธรรมดานี่ท่านบอกมายั้งงี้ พ่อก็พูดตามท่าน

    การร่อนทองนี้พระเจ้าพังคราชเสด็จร่อนเอง บรรดาข้าราชบริพารก็ร่อนทองกันหมด บางคนที่มีความเคารพในพระเจ้าพังคราชก็เข้าไปกราบ แล้วทูลว่า "พระพ่อเจ้าอย่าทำเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นภาระของลูก" ท่านก็บอกว่า เวลานี้เราทุกคนอยู่ในความลำบาก อยู่ในความทุกข์ยาก จะให้ท่านปลีกตัวไปแต่ผู้เดียว นั่งคอยรับรายงาน อันนี้เป็นไปไม่ได้ เวลานี้เรารับทุกข์ร่วมกัน การกินการอยู่ก็เหมือนกัน พระองค์มีอะไรกินคนอื่นก็มีด้วย กินหัวเผือกหัวมันก็กินด้วยกัน มีแกงมีกับก็ต้องมีเหมือนกัน บางทีพระองค์มีกับข้าวดี ๆ ก็เอาไปให้ราษฎรกิน พระองค์ก็ไปกินหัวเผือกหัวมัน กินพริกเผาที่ไม่มีกะปิ กับผักหญ้าธรรมดา พระองค์ตรัสว่า กินเท่านี้ก็อิ่ม ขอให้ทุกคนอิ่มก็แล้วกัน ท่านอิ่ม ถ้าทุกคนมีความสุขท่านก็มีความสุข ถ้าทุกคนมีความทุกข์ ท่านจะสุขไม่ได้

    ลูกรักของพ่อ ฟังเรื่องที่เล่ามารู้สึกยังไงบ้างลูก ขึ้นชื่อว่าความเกิด พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ชาติปิทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ชราปิทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ โสกะปริเทวทุกขโทมนัส สุปายาส ความเศร้าโศกเสียใจ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์" นี่มันทุกข์สำหรับเรา

    แต่ทุกข์ในสมัยนั้น ลูกรัก ทุกข์จากพ่อตาย พี่ตาย ลูกตาย ผัวตายในการทำสงคราม ความตายเกิดขึ้นแต่ละคนก็เต็มไปด้วยความทุกข์ เห็นไหมลูก พ่อตายคนเดียวร้องไห้ไปตั้งหลายวัน แม่ตายคนหนึ่งร้องไห้กันไปตั้งหลายวัน เวลานั้นเรายกกองทัพไป ๓ หมื่นคนเศษ เราเสียกำลังคนไป ๒ พันคนเศษ ประเพณีคนไทย คนตายแล้วต้องทำศพนิมนต์พระมาสวด แต่เวลานั้นเราไม่มีสิทธิ์จะทำแบบนี้ได้ ความเศร้าโศกเสียใจที่คนไทยต้องตายหรือบาดเจ็บมันมีอยู่แล้ว แถมยังเจ็บใจหนักไปกว่านั้น ขอมมันไล่ที่ ลูกหลานที่รัก มันบังคับให้เราไปอยู่ที่ไหนก็ต้องไปที่นั่น ความเป็นผู้แพ้มันเป็นอย่างนี้นะ ขอลูกรักจงจำไว้ว่าไทยเราต้องไม่เป็นผู้แพ้ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วพ่อจะพูดให้ฟังว่าการเป็นผู้ไม่แพ้มันจะมีสำหรับเรา

    นี่เราแพ้เพราะอะไร เราแพ้เพราะเราไม่พร้อมในการเตรียมรบ แต่เราจะโทษใครเล่า เรามีความสุข เราเชื่อพระพุทธศาสนา เรามีความสามัคคี ๓๗ รัชกาลไม่เคยมีปฏิวัติรัฐประหาร ไม่มีใครบ้า ๆ บอ ๆ แสดงความวิเศษอวดตัวว่าถ้าฉันทำจะดีอย่างนั้น ถ้าฉันทำจะดีอย่างนี้ และสมัยก่อนไม่มีการเปลี่ยนผลัดรัฐบาลบ่อย ๆ

    การเปลี่ยนผลัดรัฐบาลบ่อย ๆ การเลือกผู้แทนบ่อย ๆ ลูกหลานที่รัก ภาษีอากรที่เราต้องเสียไปเพราะการเลือกผู้แทนราษฎรครั้งละหลายร้อยล้านบาท และเงินหลายร้อยล้านบาท นี่ถ้าเราจะนำมาใช้ในแง่เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติมันก็ดี แต่การเลือกผู้แทนเข้ามา ถ้าได้คนดีมันก็ดี แต่ส่วนมากพ่ออยากจะคิดว่าผู้แทนรษาฎรควรจะมีประวัติผ่านการงานมาแล้ว ดูประวัติส่วนตัวเขาว่า เคยโกงเคยกินมาบ้างหรือเปล่า เคยอู้งานมาบ้างรึเปล่า บางทีเคยขึ้นไปบนสำนักงานที่ว่าการอำเภอ ที่ว่าการจังหวัด เวลาข้าราชการมาทำงาน ๘ โมงครึ่ง นี่ ๑๐ โมงครึ่งคนยังมาไม่ครบ ที่มาแล้วก็ไม่สนใจงาน สนใจสรวลเสเฮฮาคนประเภทนี้เขามีไว้ทำไม นี่เขาช่วยกันทำลายชาติ นี่ต้องดูประวัติงานประเภทนี้ ถ้าไม่ดีเราก็ไม่เลือก

    การเลือกเข้าไปบางทีเอาใครต่อใครเข้าไปก็ไม่ทราบ เราก็ยังต้องเสียเงินจ้างเขาอีก ไปนั่งถ่วงเวลางาน แทนที่จะก้าวหน้าไปได้ก็ไม่ไปไม่ได้ ถ่วงกันไปถ่วงกันมา ให้เวลา ๑๕ นาที พูดไม่เป็นเรื่องแต่อยากพูด จ้างให้เขาไปถ่วงความเจริญของชาติ คนที่เป็นรัฐบาลก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าดีทุกคนและก็ไม่ใช่ว่าเลวทุกคน การเลือกบ่อย ๆ มันก็เหมือนฝูงเหลือบหิว เหลือบฝูงก่อนกินจนอิ่มแล้สมันก็เกาะเฉย ๆ เหมือนเรื่องในสุภาษิต คนที่บริหารประเทศก็เหมือนกัน พ่อเห็นว่าเป็นพวกที่มีสภาพเหลือบนี่มาก แต่ทว่าคนชั่วก็มี คนดีก็มากนะลูกนะ เราสังเกตดูก็แล้วกันว่า ก่อนที่เขาจะเป็นผู้แทน ก่อนเป็นรัฐมนตรีน่ะเขามีฐานะแบบไหน พอเป็นผู้แทนเป็นรัฐมนตรีแล้ว เขามีฐานะแบบไหน มันดีขึ้นไหม ถ้าใครดีขึ้นกว่าเก่าคนนั้นเลิกคบ มันต้องแค่เก่านั่นแหละ ถ้าฐานะมันดีขึ้นกว่าเก่านั่นเขาโกงกินกัน

    เป็นอันว่า ๑. เงินเดือนเราก็ต้องให้เขา ๒. ค่าพาหนะต่าง ๆ นี่เขาไม่ต้องเสีย เราก็ต้องให้เขา ๓. มีอภิสิทธิ์ ๔. ยกมือมีค่านิ้วมือ ๕. ก่อกวนความเจริญของชาติ ๖. ถ่วงความเจริญของชาติ ๗. ทำลายชาติ และยังมีอีกหลาย ๆ อย่างสังเกตเอาก็แล้วกัน ใจพ่อน่ะไม่อยากให้มีผู้แทนนะ แต่ถ้ามีผู้แทนเป็นคนดีอยากให้มี แต่ถ้าเป็นผู้แทนเลวประเภทนั้นละก็เอาเงินจำนวนที่จ้างเขามาบำรุงประเทศชาติดีกว่า ถนนหนทางที่ไหนไม่ดี ชลประทานที่ไหนไม่ดี เอาเงินนั้นมาทำ เงินที่เราจ่ายไปนี่เป็นหมื่น ๆ ล้านนะ ทั้งเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง เงินกิน ทั้งโกงทั้งกินน่ะ เราต้องเสียไปเป็นหมื่น ๆ ล้านบาท เอามาบำรุงเศรษฐกิจของชาติดีกว่า

    มาว่าถึงความยากลำบากของคนไทยสมัยนั้น จะทำศพคนตายก็ทำไม่ได้ ความเศร้าใจที่เกิดขึ้น ใช้อตีตังสญาณนะลูกรัก และก็ใช้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ หรือลูกจะทำง่าย ๆ เอาจิตจับพระนิพพาน กราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดูว่า พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ในสมัยนั้นไปนั่งร้องไห้กับเขาด้วยหรือเปล่า จับดาบเพื่อการรบหรือเปล่า ต้องถูกขอมดำข่มเหงทำอันตรายหรือเปล่า แล้วจำไว้ว่า ผู้แพ้ไม่ใช่ของดี
    ตอนนี้พระเจ้าพังคราชไม่เคยแต่งตัวเป็นกษัตริย์ เคยแต่นุ่งกางเกงดำอย่างเดียวบางครั้งก็ใส่เสื้อ บางครั้งก็ไม่มีเสื้อ แต่ความจริงรูปร่างท่านสวยสดงดงามมาก ผิวพรรณดีลงร่อนทองคำกับเขา และทำทุกอย่าง เช้าขึ้นตื่นแต่เช้าในฐานะผู้นำช่วยกันร่อนทองได้ ๒๐ ชั่ง ก็เก็บไว้ส่งส่วยขอม ต่อไปก็ร่อนเพื่อขายเพื่อความเป็นอยู่ของประชาชน เมื่อทุกคนได้ทองมาแล้วก็มารวมที่พระราชา ท่านก็ขายทองเหล่านั้นเอาเงินซื้อของมาแบ่งปันกันกินการแบ่งปันก็เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมตั้งหัวหมู่นายกองที่ดี ที่มีความยุติธรรมให้มารับส่วนแบ่งปันไปแบ่งกัน แต่ทว่าตอนนั้นก็ยังมีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง
    ตอนนี้ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องของธรรมศาสตร์ คือว่าท่านท้าวโกสีสักกะเทวราช คือพระอินทร์ ทนดูดีต้องรับความลำบากไม่ไหว ที่คนไทยมีความเคารพในพระพุทธศาสนาต้องมาลำบาก ตอนนี้ลูกกราบทูลถามพระองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านะ อย่าใช้ญาณส่วนตัวมันจะผิด ขอดูภาพ ท้าวโกสีสักกะเทวราชมองดูความลำบากของพระเจ้าพังคราชมาประมาณ ๔ เดือน คือว่ามันเป็นกฎของกรรมอย่างหนึ่ง ในสมัยก่อนอดีตชาติท่านเคยทำให้เขาพลัดพรากจากกัน ชาติไหนก็ไม่ทราบ กรรมมันตามทัน และคนไทยพวกนี้ก็อาศัยกรรมจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฆ่าปลาตัวหนึ่งก็อย่าลืมว่า ปลามันก็มีผัวมีเมียมีพ่อมีแม่ โทษจากการทำลายชีวิตเขา การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ พลัดพ่อพลัดแม่มันก็เป็นกรรมตามสนองส่วนหนึ่ง ที่ต้องเสียทรัพย์สินไปก็เพราะโทษทำอทินนาทาน การลักการขโมย การยื้อแย่งทรัพย์สินบุคคลอื่นเขา ที่ต้องเสียผัว เสียเมียให้แก่ขอมเพราะโทษกาเมสุมิฉาจาร และที่เราขอร้องให้ขอมเมตตาเราว่าจะเป็นทาสก็ไม่ว่าขออยู่ที่เดิม ขอมก็ไม่ยอม นี่เป็นโทษมุสาวาท บางคนถึงกลับคลุ้มคลั่งไปบ้างถึงกับเสียอกเสียใจเพราะผัวตาย ลูกตายในสนามรบก็เป็นโทษของการดื่มสุราและเมรัย เป็นอันว่ากรรมเก่าทั้งหลายเหล่านี้มันมาสนอง แต่ความดีก็มีอยู่มาก
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...