เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พรหมกุมารเตรียมกู้อิสรภาพ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 8 มิถุนายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พรหมกุมารเตรียมกู้อิสรภาพ
    [​IMG]
    ยุทธวิธีแบ่งเป็น พลม้า พลช้าง พลราบ พลหอก พลดาบ พลธนู แยกย้ายกันออกไปฝึกไม่ต้องเกณฑ์เขามาฝึกกันเองด้วยกำลังใจ

    เด็กชายพรหมก็ปรึกษาพระราชบิดาต่อหน้าประชาชนว่า ถ้าเราจะรบกับเขานี่ ถ้าเวลาฤดูแล้งเขาปิดน้ำเราตาย เราควรจะขุดสระใหญ่ ๆ ไว้ ในบริเวณของเราสัก ๑๗ สระ สมมติว่าถ้าเราจะถูกกักบริเวณสัก ๑ ปี น้ำของเราจะพอกินพอใช้ก่อนฤดูน้ำหลากมา ทำเกษตรก็ได้ และอีกประการหนึ่ง เราต้องสะสมอาหารไว้ให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีข้าวกับเนื้อสัตว์เค็ม ถ้าเกิดรบกันขึ้นมาอาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี เราจะได้ไม่ขาดอาหาร

    เมื่อชาวบ้านได้ยินลูกชายพูดกับพ่อ ก็เหมือนได้รับคำสั่ง ต่างคนต่างไปขุดสระ และเชื่อมน้ำติดต่อกันทุกสระด้วยลำรางเล็ก ๆ แล้วขุดลำรางเชื่อมจากแม่น้ำโขงกับสระใหญ่ เมื่อน้ำเต็มสระใหญ่ก็ไหลต่อไปสระเล็ก ทุกสระเต็มไปด้วยน้ำ

    เมื่อเตรียมการเสร็จ พรหมกุมารก็กราบทูลสมเด็จพระราชบิดาว่า “ต่อแต่นี้ไปไม่ต้องส่งส่วยขอมดำอีกแล้ว” พูดต่อหน้าประชาชน พระราชบิดาก็ตอบว่า ถ้าไม่ส่งส่วยเขาก็มารบซิลูกเพราะเขาหาว่าเราแข็งเมือง เด็กชายพรหมจึงว่า “เราพร้อมรบ ไม่พร้อมรับ แต่เราพร้อมรุก” พระราชบิดากก็เตือนว่า ลูกรัก พลรบคือทหารของเขามันเท่ากับพลเมืองของเราทั้งหมดนะลูกนะ เด็กชายพรหมจึงกราบบังคมทูลพระราชบิดว่า “เรื่องการรบนี่ การแพ้หรือชนะไม่ได้อยู่กำลังพล ถ้ารบด้วยกำลังคนหรือกำลังอาวุธ ก็ถือว่าเป็นการแพ้ชนะที่ไม่เด็ดขาด การรบจริง ๆ ต้องใช้กำลังคนด้วย กำลังปัญญาด้วย กำลังความสามัคคีด้วย ความเด็ดเดี่ยวด้วย ลูกมั่นใจว่าการรบคราวนี้ถ้าจะพึงมีขึ้นเราต้องชนะ แต่เราไม่ได้เป็นฝ่ายไปตีเขา ถ้าเขามาตีเรา เราก็ตีเขา ถ้าเขาไม่ตีเรา เราก็ยังไม่ตีเขา เราพร้อมรบเท่านั้น ต้องพร้อมรับและพร้อมรุก

    เป็นอันว่า พระเจ้าพังคราชก็ตามใจเพราะเชื่อโหร ท่านไปถามพระยาโหราธิบดีว่า “ว่ายังไง” โหรก็ยิ้มและตอบว่า “เห็นชอบด้วยกับพรหมกุมารพระเจ้าค่ะ และเวลานี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ไทยจะเป็นอิสรภาพ” แล้วโหรก็ลงเลขฉับ ๆ ตอบว่า “เรื่องการรบ แพ้สงครามไม่มี” เท่านั้นเองประชาชนลุกขึ้นไปกระจายข่าวว่า “ไทยเตรียมรบ ไทยจะไม่เป็นทาสขอม ไทยจะไม่ให้ทองคำแก่ขอม เราพร้อมรบ” คนไทยทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส รื่นเริงคอยเวลานี้มา ๑๖ ปี แล้วว่าเมื่อไรจะลั่นกลองรบด้วยวาจาของพรหมกุมาร

    เจ้าขอมดำมันรู้ว่าแข็งเมืองเพราะไม่ส่งส่วย ก็จัดแจงยกกองทัพมาปราบเราหวังเผด็จศึกให้สิ้นซากไป ฝ่ายคนไทยพร้อมอยู่แล้วนี่ ก็จัดกองทัพยกออกไปทันที

    การยกกองทัพไปคราวนั้นมีช้างพลายประการแก้วนำทัพ พรหมกุมารประทับนั่งทรงเครื่องแม่ทัพสวยงามสง่าผ่าเผยมาก สำหรับพระราชบิดาประทับบนหลังช้างอีกเชือกหนึ่งมีเศวตฉัตรกั้นเป็นจอมทัพ มีแม่ทัพนายกองแต่งตัวสวย ๆ เพราะพรหมกุมารได้กราบทูลพระราชบิดา และพระราชมารดาว่า “นักรบทุกคนต้องแต่งตัว สวยเป็นการตัดไม้ข่มนาม” ข่มกำลังใจกันไปในตัวเสร็จ พลทหารใช้เกราะเงินแกมทอง นายทหารใช้เกราะทอง แม่ทัพใช้เกราะทองประดับเพชร มันเป็นการสง่าผ่าเผย ทำให้ข้าศึกครั่นคร้ามเป็นจิตวิทยาอันหนึ่ง แม้จะมีการรบเราก็พร้อมรบพร้อมรุกแต่งตัวสวยสะโอดสะอง

    ขอมยกทัพมามีกำลังมากว่าเรา ๔ เท่า แม่ทัพยิ้ม สหชาติ ๒๕๐ ก็ยิ้ม ชี้ให้กันดูว่า พวกนี้ไม่มีชีวิต เจ้าพวกขอมที่มากันนี่มันเป็นผีหมด เป็นการปลุกใจกัน ดูซิว่าเครื่องแต่งกายมันก็สู้เราไม่ได้ เหมือนอสุรกายแท้ ๆ และมาอย่างเกณฑ์กันมา ของเราไม่มีการเกณฑ์เรามาด้วยกำลังใจ การรบแพ้ชนะอยู่ที่กำลังใจเป็นสำคัญ เรามีความสามัคคีกันมีความหวังดีกัน

    นี่แหละลูกหลานที่รัก การที่เราจะอยู่ร่วมกันด้วยดี ก็ต้องอาศัยชนะกำลังใจกันเป็นสำคัญ การชนะแต่กายมันชนะไม่จริง โดยเฉพาะพวกที่อยู่ด้วยกันต้องมีความสามัคคีกัน

    พรหมกุมารจึงประกาศกับบรรดาประชาชนว่า ถ้าคนไทยจะพึงแพ้แล้วก็ควรจะตายกันทั้งชาติ เพราะว่าผืนแผ่นดินแห่งโยนกนครทั้งหมดตั้งแต่เชียงแสนมาถึงพะเยาเป็นของเราเดิม เวลานี้เราถูกจำกัดเขตให้อยู่ในแดนทุรกันดารมีเนื้อที่นิดหน่อยประมาณแสนไร่เศษ แล้วคนของเรามีเท่าไร ขอมดำไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ แต่กลับมาเป็นเจ้าของพื้นที่ อิสรภาพของเราก็หมดไป และนอกจากนั้นเราต้องส่งส่วยทองคำให้เขาปีละ ๑๐ ชั่ง คิดเป็นเงินเท่าไร ถ้าเราจะเอาทองนั้นมาขายเลี้ยงคนของเราเองก็จะมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนของเราเกิดขึ้นมาทุกวันจำนวนคนมากขึ้น เนื้อที่ก็ดูเหมือนว่าจะแคบลง เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่มากขึ้นเพราะเนื้อที่มันเท่าเดิม การทำมาหากินก็ลำบาก ต้องไปหากินในแดนไกลออกไป

    ดังนั้น การรบคราวนี้ เรารบเพื่อหวังประโยชน์สองอย่าง

    ๑. รบเพื่อหวังอิสรภาพ ไทยต้องเป็นไท

    ๒. เพื่อขับไล่ขอมให้ออกไปจากเขตของประเทศไทย

    การรบคราวนี้ถ้าเพลี่งพล้ำ แพ้เขาแล้ว ไทยทั้งชาติจงอย่ามีชีวิตอยู่เลย และถ้าเราจะตายก็ควรจะตายจากอาวุธของข้าศึก ไม่ใช่ตายด้วยการฆ่าตัวตาย เพราะการฆ่าตัวตายหนีภัยจากข้าศึกเป็นความขลาดของบุคคลที่ไม่ใช่คนไทย เราต้องต่อสู้กับข้าศึกและต้องตายเป็นคนสุดท้าย ถ้าเราขืนมีชีวิตอยู่ ขอมจะไม่ปรานีเรา เพราะอะไร?

    "เพราะอันดับแรก เขายึดพื้นที่ของเรา อันดับต่อมาเขากักบริเวณให้เราอยู่เป็นการทรมานเราให้หนีไปจากแผ่นดินที่เขาต้องการ หรือให้เราตายไปเพราะความลำบาก เขายื่นโยนความตายให้เราทีละน้อย ๆ"

    "คนไทยทุกคนเคยมีบ้านสวยสดงดงามในโยนกนคร เคยมีอิสรภาพ เคยอยู่เป็นสุข จะกินก็มีความสุข จะนอนก็มีความสุข เป็นพื้นเพที่มีความสบาย"

    "แต่หลังจากขอมยึดพื้นที่เราไปแล้วขับไล่เรามาอยู่ที่ วังสีทอง หรือเวียงสีทอง มีขอบเขตจำกัด เรามีความรู้สึกยังไงบ้าง ขอบรรดาพ่อแม่ พี่น้องทั้งหลายนึกถึงความหลังว่าเดิมทีเราเคยมีที่อยู่ขนาดไหน มีบ้านโตหรือบ้านเล็ก อิสรภาพในการทำมาหากินของเราเป็นไปโดยสะดวกหรือลำบาก พระราชาของเราเคยกดขี่ข่มเหงบรรดาประชาชนชาวไทยเหมือนขอมดำหรือไม่ ลูกเขาเมียใครที่มีเจ้าของอยู่ ขอมต้องการเมื่อไรเราต้องยื่นโยนให้เขา แต่สมัยที่เราปกครองกันเองเป็นยังงั้นหรือเปล่า เมื่อพรหมกุมารพูดอย่างนี้ คนไทยทุกคนมีความรู้สึกนึกถึงความหลังว่าเดิมเราเคยมีนา ๑๐๐ ไร่ ๒๐๐ ไร่ เราจะไปไหนก็ได้ เราจะนอนเมื่อไรก็ได้ ไม่มีใครบังคับบัญชา ใครอยากค้าขายก็ค้า ใครอยากทำไร่ทำนาก็ทำได้ทุกอย่าง เรามีอิสรภาพ มีบริเวณกว้างขวาง แต่เวลานี้เรามาอยู่ในแคว้นจำกัด คนยัดเยียดกันเราเคยมีบ้าน ๑ หลัง คน ๑๐ คน อยู่ก็ไม่คับแคบ แต่เวลานี้เราต้องมาปลูกกระต๊อบอยู่โคนต้นไม้ ต้องขุดหัวเผือกหัวมันกิน ข้าวที่ทำขึ้นมาแต่ละปีก็ไม่พอจะกิน ต้องหาพืชพันธุ์ธัญญาหารจากป่ามากินกัน บางทีข้าวปลาไม่มีจริง ๆ ๔-๕ วัน เราจึงจะได้กินข้าว กินผล หมากรากไม้ไปตามที่หาได้ ร่างกายก็ทรุดโทรม"

    "แต่ความอุดมสมบูรณ์ก็เกิดขึ้นมาได้เพราะพรหมกุมารเกิดขึ้นมา นี่คนโบราณเขาถือโชคลาง จะว่าเขาถือผิดก็ไม่ได้ เพราะเขาถืออยู่คนที่ว่านับแต่พรหมกุมารเกิดขึ้นมาแล้วทุกคนมีความสุขกัน ลืมตา อ้าปากได้ มีความสุขมีความอุดมสมบูรณ์ แต่ว่านี่มันเป็นพื้นที่แคบ ๆ ถ้าเรากลับยึดเอาโยนกนครคืนมาให้ได้หมด มันมากกว่าที่เราอยู่ปัจจุบันหลายร้อยเท่า ชีวิตความสุขจะกลับคืนมา และก็จะมีความสุขไปยิ่งกว่านี้ ทุกคนก็เห็นด้วย"
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...