เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พรหมกุมารลงมาเกิด

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 5 มิถุนายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พรหมกุมารลงมาเกิด
    [​IMG]
    จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)

    พอไปเกิดเป็นพรหมได้ชั่วครู่เดียว ก็มีพรหมชั้นผู้ใหญ่ทรงความเป็นพระอนาคามีมีนามว่า “ผกาพรหม” เข้ามาหาแล้วเรียกชื่อว่า “สัพเกศีพรหม” เป็นพรหมมีนามว่าสัพเกศี ตอนนี้ใครจะหาว่า มหาวีระอวดฤทธิ์อวดเดชก็เชิญนะ เชิญตามสบาย ตอนนี้เปิดกรุละ

    ท่านท้าวผกาพรหมบอกว่า ก่อนที่ท่านจะมาเป็นพรหม ท่านตั้งใจว่าจะให้คนไทยมีความสุข ท่านเป็นไทย เวลานี้ท่านจะมาเสวยความสุขอยู่เฉพาะผู้เดียว โดยไม่เหลียวแลคนไทยที่อยู่ข้างหลังนั้นไม่เป็นการสมควร เวลานี้ถ้าจะนับเวลาตั้งแต่ท่านออกจากกายสามเณรมาเป็นพรหมก็จะเป็นเวลาล่วงไปปีเศษ พระเจ้าพังคราชมีราชโอรสองค์แรกไปแล้วชื่อ ทุกภิกขะกุมาร เกิดในท่ามกลางความทุกข์มาได้ ๓ ปี แล้ว พระราชมารดาก็มีความสุข สมควรที่ท่านจะลงไปเกิดเป็นลูกชายพระเจ้าพังคราช แล้วช่วยกู้ชาติไทยให้ปลอดภัยจากความเป็นทาส

    หลังจากนั้น ท่านผกาพรหมก็ประกาศถามว่า พรหมองค์ใดบ้างที่นับถือพระพุทธศาสนา เคยเกิดเป็นคนไทยมาก่อน จะลงไปช่วยคนไทยที่มีความเร่าร้อนให้มีความสุข ก็มีพรหมอีก ๒๕๐ องค์ บอกว่าจะไปเกิดพร้อม ๆ กันเป็นสหชาติ จะเคลื่อนคลาดจากการคลอดบ้างก็ก่อนหลังกัน ๓ วัน

    เป็นอันว่า สัพเกศีพรหมไปเสวยสุขวิหารบนพรหมชั้นที่ ๑๑ เพียงครู่เดียว เวลาในเมืองมนุษย์ก็ผ่านไป ๑ ปีเศษ เมื่อท่านผกาพรหมมาเตือนแบบนั้น และมีพรหมอีก ๒๕๐ ท่าน รับจะลงมาช่วยกัน และมีพรหมอีก ๓ ท่าน บอกว่าจะมาช่วยเกิดเป็นช้างคู่บารมี

    เมื่อตกลงกันแล้ว ต่างคนต่างอธิษฐาน “ขอจุติละจากอัตภาพการเป็นพรหมลงมาเกิดเป็นลูกคนไทย”ในวันนั้นพระราชมารดา คือ พระมเหสีของพระเจ้าพังคราช ประทับนอนตอนใกล้รุ่งทรงนิมิต ( ฝัน) ไปว่า มีช้างเผือกเนื้อใสเป็นแก้วมีกำลังมาก เข้ามาในเขตพระราชฐาน นอกจากนั้นก็มีช้างเผือกขนาดย่อมกว่าหน่อยอีกประมาณ ๒๕๐ เชือก เข้าบ้านโน้นบ้านนี้บ้างถือวิสาสะขึ้นไปบนบ้านเขา

    แต่ช้างเผือกที่เป็นผู้นำมาใหญ่ และใสสะอาดมาก เป็นแก้วใสรัศมีกายสว่างเป็นพิเศษ มานั่งบนตักของพระองค์ ช้างตัวใหญ่แต่ก็รู้สึกเบา พระองค์ก็ทรงประคับประคองช้างเชือกนั้นไว้ พระองค์มีความรักคล้ายกับลูก แล้วก็ตื่นเช้ามืดใกล้เวลาหุงอาหารพอดี จึงกราบทูลพระราชสวามีให้ทรงทราบว่าวันนี้ฝันประหลาด เวลาเช้าพระเจ้าพังคราชก็เรียกพระยาโหาราธิบดีเข้ามาเฝ้า เล่าความฝันของภรรยาว่าฝันแบบนี้จะเป็นยังไง พระยาโหราธิบดีก็ลงเลขฉบับ ๆๆ แล้วทำนายว่า เด็กคนนี้มาจากพรหม ต่อไปจะมีอำนาจมาก จะนำไทยทั้งชาติให้เป็นสุข จะมีปัญญาดี จะมีความสามารถ และมีสหชาติ ๒๕๐ คน คือ ช้างแก้วที่เข้าไปเกิดตามบ้าน ขอพระจอมภูบาลได้โปรดให้การอารักขาเด็กในครรภ์ชองพระเมหสี ให้การอภิบาลเด็ก ๆ ในครรภ์ให้มีความสุข ทั้งนี้ เพราะจะเป็นกำลังใหญ่ของชาติ จะหมดจากความเป็นทาสของขอมต่อไป
    ลูกคงจะสงสัยว่าพระยาโหราธิบดีของพระเจ้าพังคราชรู้ได้ยังไงว่าเด็กที่มาเกิดในครรภ์มเหสีมาจากพรหม เลขตัวไหวมันบอกได้

    เรื่องวิชาหมอดูนี่มีจริง และที่เก่งจริงมีอยู่ ในสมัยพ่อยังหนุ่มอยู่พ่อชอบเล่นวิชาหมอดู ซึ่งเขาเก็บสถิติมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ พ่อเล่นตั้งแต่วิชาเลข ๗ ตัว วิชาผีกระด้ง ผีถ้วยแก้ว ผีเบี้ย ผีตะไกร และเล่นยาม ๓ ตา วิชาดูลายมือ เลข ๗ ตัว นี่ดู ๓ ชั้น ๕ ชั้น ๗ ชั้น และ ๙ ชั้น และก็เล่นวิชากราฟ เวลาพ่อจะดู พ่อจะเอาทุก ๆ วิชาเข้ามาประสานกัน พยากรณ์ด้วยวิธีนี้แล้วก็ดูด้วยวิธีนั้นมันจะตรงกันไหม ถ้ามันตรงกันทุกวิชา การพยากรณ์ไม่ผิดว่าใครจะมาจากเทวดา ใครมาจากพรหม อันนี้ไม่ผิดลูกรัก

    แต่ว่าพระยาโหราธิบดีของพระเจ้าพังคราชนี้ท่านเก่งจริง ๆ ความรู้ของโหนห้อยแขวนสมัยนี้ที่ว่าเก่งจริง ๆ ยังไม่เท่า ๑ ใน ๑๐ ของโหรสมัยนั้น เพราะโหรสมัยนั้นดูทั้งเลข ดูทั้งใจ อย่าลืมว่าสมัยนั้นมีพระอรหันต์มาก คนเขาเป็นนักบุญ จึงได้มีความดี ความเยือกเย็น เป็นสุขกันมาก ในเมื่อจิตใจเขาเป็นนักบุญลูกรัก อะไรล่ะที่จะว่าไม่ดีน่ะมันไม่มี

    ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทานเขาทำ ศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีลเขาทำ ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการภาวนาเขาทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโหร จะต้องสนใจวิชาการต่าง ๆ ที่จะพึงทำได้ ถ้าจะให้พ่อเดานะ พ่อไม่เดาดีกว่า เพราะเวลานี้ พ่อได้อะไรน่ะไม่สำคัญ แต่ลูกของพ่อทุกคนได้วิชชามโนมยิทธิซึ่งคลุมวิชชา ๘ ด้วย อย่าลืมนะว่าวิชชา ๘ อย่างนี่ สามารถเห็นผี เห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ รู้ว่าคนและสัตว์ที่มาเกิดที่นี่เดิมทีเดียวมาจากไหน ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน สามารถระลึกชาติได้ สามารถรู้ความรู้สึกของจิตคนได้ สามารถรู้เรื่องราวในอดีต อนาคต ปัจจุบันได้ สามารถรู้กฎของกรรมได้ ความดี ความชั่วที่จะมีขึ้นมาได้นี่มีอะไรเป็นเหตุก็สามารถรู้ได้ หรือว่าใครที่มานั่งอยู่นี่จะคิดคดทรยศยังไงก็รู้ได้ เรื่องราวที่ผ่านมาแล้วกี่แสนอสงไขยกัปก็สามารถรู้ได้

    เวลานี้พ่อพูดกับลูกซึ่งมีความรู้คล้ายคลึงพ่อ และสามารถจะจับผิดพ่อได้ด้วย ถ้าพ่อพูดผิด อย่าลืมว่า เวลาที่พ่อพูดพ่อไม่ได้ใช้ตำรา ไม่ได้ใช้ความรู้ของพ่อ พ่ออาศัยรับเสียงเสียงหนึ่งซึ่งบอกมาตามลำดับ นี่พ่อจึงพูดโดยไม่ต้องมีหนังสือ เวลานี้พ่อพูดตามคำบอกหรือพูดตามพากย์ เหมือนกับละครวิทยุมีคนบอกบท แต่ลีลาการแสดงตั้งใช้สมองของผู้แสดงเอง เพียงแต่คำพูด ต้องพูดตามคำบอกบทเท่านั้น ถ้าไม่ฉลาดก็พูดส่งเดชไปไม่มีความหมาย เป็นอันว่าเรื่องที่เราพูดอยู่นี่พ่อพูดตามพากย์ และพ่อเห็นตัวนะ พ่อก็เลยกลายเป็นคนดูหนัง รับพากย์มาจากข้างหลัง พ่อก็พายก์หนังต่อไป

    เป็นอันว่าพระยาโหราธิบดีของพระเจ้าพังคราช นอกจากจะเป็นโหรเลยแล้วยังเป็นโหรตาทิพย์อีกด้วยช่วยให้เกิดประโยชน์มาก เมื่อพระเจ้าพังคราชได้รับคำพยากรณ์จากโหรแล้วก็ดีใจ คนไทยซึ่งมีความทุกข์ทรมาน แล้วอาศัยเด็กปลอม คือ พระอินทร์มาบอกวิธีทำทองคำให้ก็มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ใครอยากทำทองคำบ้างล่ะ เวลานี้ไปหาแร่เพรียงไฟกับสารปากนกแก้วที่แถวหลังสุโขทัยออกไปแถวบ้านนาสารนั่นแหละ จุดนั้นถ้าเราไปนั่งอยู่ที่น้ำตกที่มีเกาะน้อย ๆ แยกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือห่างออกไปจากจุดนั้น ๒ กิโลเมตรเศษ จะมีแร่เพรียงไฟ และไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะมีสารปากนกแก้ว

    ถ้าได้ ๒ อย่างนี้มาแล้ว การทำทองคำเป็นเรื่องธรรมดา ๆ นี่บอกไว้ให้แต่อย่าให้ไปชี้นะ ชี้ไม่ได้ เพราะให้สัญญากับเขาไว้แล้วว่า “ขึ้นชื่อว่าทรัพย์ใต้ดิน ไม่ต้องการอยากได้ หนึ่ง และสองจะไม่เอาเล็กจิกพื้นที่นั้น สาม จะไม่บอกให้ใคร แต่ที่บอกไว้อย่างนี้เพราะแร่เพรียงไฟกับสารปากนกแก้วของเรามีเยอะ ถ้าเราไม่นั่งโง่กันเสียอย่างเดียว เราก็มีทองคำอุดมสมบูรณ์นี่เป็นประการแรก ประการที่ ๒ เรายังมีแหล่งทองคำที่ยังพอหาได้ใช้แรงงาน นี่นักธรณีวิทยาหรือนักหาของใต้ดินควรจะศึกษาและหาของอย่างนี้ คนไทยจะได้มีอาชีพ คือ อาชีพการร่อนทองคำ อย่างจังหวัดเพชรบูรณ์นี่ยังมีอยู่ จังหวัดกาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ลพบุรี นี่มีเยอะแยะทั่วประเทศไทย เป็นแหลมทองจริง ๆ ให้ร่อนด้วยแรงคนได้พอ ถ้าใช้โรงงานนี่ไม่ควร ทำไมจึงว่าไม่ควร เพราะลงทุนมากเกิน คนอาจจะต้องล่มจม ถ้าเราใช้แรงคนวันหนึ่งได้ ๑ สลึง อีก ๒ วัน ไม่ได้ก็พอกินแล้ว บางวันอาจจะได้บาท ๒ บาท ก็ได้

    เวลานี้ทองคำบาทละเท่าไร ทำไมไม่คิดกันล่ะเรื่องนี้ ปล่อยให้ของดีสูญไปเปล่า ๆ แต่ระวังนะจะเสียท่านายทุน รัฐบาลอาจจะดีแต่ผู้รับสนองบางคนอาจจะไม่ดีเหมือนกัน ลืมตัวลืมตนประเภทนี้อย่าลืมนะ ตาย ถ้าบังเอิญคนไทยสมัยโน้นมาเกิดสมัยนี้ละก็ตาย เก็บเงียบเหมือนเก็บขอมนั่นแหละ เวลานี้อาการเก็บเงียบแบบนี้มันจะเกิดมีในประเทศแล้ว สำหรับคนขายชาติจะถูกเก็บเงียบ ลัทธินี้จะมีแล้วในอนาคตอันใกล้ที่พูดนี่เป็นเดือนธันวาคม ๒๕๒๑ ไม่ใช่ผู้พูดต้องการให้มีนะ เหตุการณ์มันบังคับให้มีขึ้น วิธีเก็บนี่ถ้าพูดตามเสียงเขาว่า จะเก็บทั้งเล็กทั้งใหญ่เก็บให้หมด เพราะคนทรยศก็คือขอมดำมาเกิด จะเก็บมันไว้ทำไม ลูกรักของพ่อใช้ญาณตามไปด้วยนะ ทางที่ดีทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั่งอยู่ตรงนั้นแหละเวลาพ่อพูดไปละก็ดูภาพ

    ต่อมาอีก ๗ เดือน แม่ตั้งท้องได้ ๗ เดือน ชาวบ้านก็มีท้อง ๗ เดือน เหมือนกัน พระเจ้าพังคราชก็ให้การอารักขาท้องทั้งหมดเป็นอันดี เลยรวมท้องทั้งหมดจะเท่าไรก็ตามอารักขาหมด ไม่อย่างนั้นเขาหาว่าอคติ อารักขาเด็กในครรภ์ทั้งหมดถือว่าเป็นสหชาติ ๒๕๐ นั่นส่วนหนึ่ง เลยไปว่านี้ก็ให้ด้วย และถือเป็นประเพณีว่า คนที่เกิดในสมัยนั้นถือว่าเป็นลูกของพระมหากษัตริย์ แล้วพระองค์ก็ประชุมมุขอำมาตย์ทั้งหลายว่า เราจะออกกฎแบบนี้ดีไหม มุขอำมาตย์บอก ฮ้อ ดีแน่ พระองค์ก็ตกลง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปใครจะต้องท้องที่ไหนก็ตาม ถ้าเป็นลูกคนไทยแล้ว ถือว่าเป็นลูกพระมหากษัตริย์ทั้งหมด การบำรุงรักษาพระองค์จัดสิ่งของไปสงเคราะห์ พอ ๗ เดือน ผ่านไปลูกในท้องเริ่มแล้ว พระมเหสีนอนตื่นเช้าไม่ลุกจากที่นอนซะแล้ว ร้องไห้ เศร้าโศก เสียใจไม่รู้เรื่องอะไร พระเจ้าพังคราชพระราชบิดาก็ถามว่า เธอต้องการอะไรจ๊ะ บอกพี่ ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เกินวิสัยพี่จะหาได้เธอก็บอกว่าอยากทรงเครื่องกษัตริย์ เอาแล้วซิ พระเจ้าพังคราชก็บอกว่าสิ่งที่เธอต้องการน่ะมี เพราะก่อนขอมเข้ามา พี่ได้สั่งให้เก็บของทั้งหมดนี้ไปซุกซ่อนไว้ ตอนเช้าพระองค์จึงได้ให้คนไปเอาเครื่องกษัตริย์มาให้ท่านแม่แต่ง ท่านแม่สดชื่นไปหลายวัน

    สักพักเอาอีกแล้ว ร้องไห้อีก บอกว่าอยากมีอาวุธ นี่ แต่โหรทำนายไว้แล้ว กำลังใจของคนไทยจึงมุ่งอยู่ที่เด็กในครรภ์ พอบอกอยากมีอาวุธ คนก็ฮือฮา ๆ กันดีอกดีใจคราวนี้ไทยจะเป็นไทเสียที จะได้ฆ่าขอมให้สมกับความเจ็บแค้น ทำให้คนขยันมากขึ้นเดิมเขาก็ขยันกันอยู่แล้ว ก็เพิ่มความขยันมากขึ้นเพราะมีกำลังใจ ตอนนี้อยากทำอาวุธของ้าวหอกซัด เครื่องอาวุธต่าง ๆ พระเจ้าพังคราชก็บอกคนมาช่วย (ไม่ได้เกณฑ์ บอกกันเขาก็มา) ทำอาวุธกันคึกคักกันใหญ่ โหรก็ทำนายว่าลูกชายคนนี้จะมีอำนาจมาก จะขยายเขตประเทศออกไปอีกหลายเท่าทุกทิศ พอข่าวอนี้ออกมาเท่านั้นแหละคนวางงานในมือวิ่งมากราบเด็กในท้อง เอ๋อ ต่างคนก็ฮึดฮัดๆ เก่งขึ้นมาทันที แม้แต่คนแก่ก็ยังลุกขึ้นเอากะเขาด้วย ว่านี่คนไทยนะเว้ย ไอ้ขอมดำหัวจะขาดหมด เจอหน้าขอมจะฆ่าให้เรียบ พระราชาท่านบอก ยังก่อน ๆ ลูกยังไม่เกิด ตอนนี้ก็ไปหาแร่เหล็กอย่างดีมาทำอาวุธกันใหญ่ แต่ไปทำในถ้ำที่เวลานี้กองพล ๙๓ ของจีนอยู่น่ะ นั่นแหละที่ทำอาวุธละ และที่หลังสุโขทัยไปทางบ้านนาสารบริเวณนั้นเป็นที่ฝึกอาวุธ ตอนนี้ท่านแม่ดีใจมาก

    ต่อมาไม่นานท่านแม่ก็ซูบซีดไปอีกแล้ว ท่านบอก อยากกินเลือดขอมติดอาวุธ เอาแล้วซิ พระเจ้าพังคราชเรียกพระโหราธิบดีเข้ามาทำนาย โหรบอกเด็กคนนี้เกิดมาแล้วเมื่อไร ขอมตายเรียบ ก็ไม่ยากเรื่องท่านแม่อยากกินเลือดขอมติดอาวุธ เจ้าขอมดำดินเกะกะเจ้าชู้มีมาก ขอมชอบเจ้าชู้ บางคนก็เกี้ยวดี บางคนก็ใช้อำนาจบอกไปกับฉันเดี๋ยวนี้ ฉันต้องการเอาไปเป็นเมีย ถ้าไม่ไปตายหมด พ่อแม่พี่น้องในบ้านนี้ตายหมด แหมอำนาจเขาแน่ ดังนั้น ไอ้พวกเจ้าชู้มา ๑๐ ตาย ๑๐ มา ๒๐ ตาย ๒๐ เอาเลือดขอมมาละลายน้ำให้แม่กิน กินแล้วท่านสวยเปล่งปลั่งผ่องใส ดูแล้วคล้าย ๆ จะมีแสงสว่างออกน้อย ๆ พระเจ้าพังคราชเองก็แปลกใจว่า เมียเราตอนมีลูกชายคนแรกไม่สวยแบบนี้เลย นี่สวยมาก สดชื่น อิ่มเอมเปรมใจโอบอ้อมอารีจิตใจดี

    ต่อมาท่านแม่ก็อยากทรงช้าง ทรงม้า พระเจ้าพังคราชก็ทำหน้าที่นั่งบนหลังช้างอย่างดีให้มเหสีนั่งออกเยี่ยมเยียนราษฎร ไปที่ไหนคนเขาเห็นเขาก็นึกถึงเด็กในครรภ์ก็เข้ามาหมอบกราบ พวกท้องสหชาติ ๒๕๐ ก็ไปด้วย และท้องที่เกิน ๒๕๐ ก็ตามไปด้วย เป็นกองทัพคนท้องไปเยี่ยมราษฎร

    พอถึงกำหนดทศมาส คือ ๑๐ เดือน เกิดคลอด การคลอดแปลก ก่อนหน้าคลอด ๑ วัน ท่านแม่มีความรู้สึกว่า อยากทำบุญ และต้องการเครื่องบายศรี และเครื่องของผู้หญิงอีกเยอะแยะ และต้องมีกระพังช้าง กูบช้าง เครื่องแต่งช้างทั้งหมด พระเจ้าพังคราชจึงจัดให้ทำกระพังทองคำไว้ ทำร่างแหทองคำสำหรับคลุมหน้าช้าง ทำกูบทองคำ ทุกอย่างเป็นทองคำหมด เพราะเรามีทองคำมาก ชาวบ้านดีใจกันมากเมื่อรู้ว่าเด็กจะคลอด เหมือนกับชาวนาคอยฝน คนคอยน้ำ ช่วยกันทำทุกอย่างเรียบร้อยสวยสดงดงาม

    พอถึงเวลาคลอด วันนั้นเวลาเช้า ท่านแม่ตื่นขึ้นล้างหน้าล้างตาแล้วมีความรู้สึกอยากจะบูชาพระ เห็นพระชื่นใจเข้าไปนั่งเจริญพระกรรมฐานจิตเป็นสุข พอถึงเวลา ๖ นาฬิกาเศษ ๆ มีความรู้สึกว่า อยากคลอดพระราชโอรส จึงกราบทูลให้พระราชสวามีทรงทราบว่ารู้สึกจะคลอด แต่ท้องยังไม่ปวด พระเจ้าพังคราชจึงสั่งคนไปตามหมอตำแย ปรากฏว่าหมอตำแยยังไม่ทันมา ท่านแม่เข้าไปบูชาพระอยู่ การคลอดก็เกิดขึ้นในห้องพระนั่นเอง คลอดแบบประเภทท่านแม่ไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ ทั้งสิ้น พระราชโอรสมีผิวพรรณตามหนังสือเขาบอกว่า สดใสงดงามหาที่ติไม่ได้ ตามคติของชาวโลก แต่ชาวธรรมนี้ติได้แน่นอนเพราะขันธ์ ๕ มันเป็นของสกปรก

    ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันนั่นเอง สหชาติ ๒๕๐ คนก็คลอดออกมา แต่ละคนก็มีผิวพรรณสวยสดงดงามคล้ายคลึงกันหมด

    คราวนี้เองประชาชนทราบว่า พระราชโอรสคลอดแล้ว การคลอดน่าอัศจรรย์และทุกบ้านที่มีท้องใกล้ ๆ กันก็มีจริยาการคลอดเหมือน ๆ กัน เพราะมาจากพรหมเหมือนกัน ของขวัญต่าง ๆ เกิดขึ้น สำหรับลูกชายของพระเจ้าพังคราชได้ทองคำตั้งพันชั่ง เด็กสหชาติได้ทองคำคนละ ๑๐๐ ชั่ง ๒๐๐ ชั่ง ถ้าจะถามว่าเอามาจากไหนกันล่ะทองคำ ก็บอกแล้วว่าร่อนก็ได้ ขุดก็ได้ เวลานี้ในประเทศไทยก็มีอยู่ ทำไมมานอนหลับคุดคู้ทับทองคำกันอยู่ อะไร ๆ ก็ต้องตั้งโรงงาน ต้องต่างประเทศ เอาเงินไปให้ต่างประเทศเขาทำไม ให้คนไทยนี่แหละ ใช้มือขุด ใช้มือร่อน ทองน่ะมีมาก ยิ่งขุดลึกลงไปก็ยิ่งมีมาก สมมติว่า ๓ วันได้ ๑ สลึง แค่นี้คนไทยที่ยากจนก็มีความอุดมสมบูรณ์แล้ว ขออย่างเดียวให้ความอารักขาคนขุด คนร่อน จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ปกครอง อย่าถืออภิสิทธิ์มากเกินไป จะนั่งกินนอนกินเงินอย่างเดียว ให้การอารักขาเขา ดีไม่ดีอย่างแร่ที่เขาศูนย์น่ะ กินกันไปกินกันมาตายหมด อย่างนี้มันต้อง ปู้ด ๆๆๆ เสียให้มันเสร็จสิ้นกันไป ไอ้ปู๊ด ๆๆ น่ะไม่ใช่ยิงหรอกนะ คือ เป่าคาถาให้ออกจากงานไปก็หมดเรื่อง

    เป็นอันว่าเด็กชายออกมามีรูปร่างงดงามมาก ท่านจึงให้นามว่า “พรหมกุมาร” สำหรับเด็กสหชาติทั้งหลายก็มีชื่อลงท้ายว่าพรหมเหมือนกัน เช่น ศิริพรหม กาญจนาพรหม มโนพรหม ฯลฯ

    นับตั้งแต่พรหมกุมารอยู่ในครรภ์ เริ่มต้นความอุดมสมบูรณ์ก็ปรากฏแก่บรรดาประชาชนชาวไทย และพวกขอมดำก็ลดตัวในการข่มเหงคนไทยลง เพราะคนไทยเกิดความแข็งแกร่งในจิต

    สำหรับเรื่องราวของพระเจ้าพรหมมหาราช นี่ถ้าจะพลาดพลั้งไปบ้าง ขอลูกจงให้อภัยแก่พ่อ เพระพ่อเป็นคนแก่ ตอนนี้ลูกอย่าลืมนะว่า เรากำลังพูดถึงอดีตของบรรดาบรรพบุรุษไทย ซึ่งท่านที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด และท่านที่เกิดมาเบื้องหลังของท่านทั้งหมดเวลานี้ ชีวิตของท่านไม่มีอยู่แล้ว ในช่วงนี้เราคุยกันถึงแดนของพระธาตุจอมกิตติ ซึ่งเป็นโยนกนครเก่า กำแพงเมืองยังมีอยู่ แต่ทว่ากำแพงก็ไม่เป็นกำแพง เมืองที่เต็มไปด้วยความสวยสดงดงามก็ไม่มีอยู่แล้ว และในที่สุดคนทั้งหมดก็ตายหมด แต่พ่อก็ไม่แน่ใจนักว่า คนทั้งหลายที่ตายในเวลานั้น มานั่งร่วมวงคุยกับพวกเราอยู่ด้วยก็ไม่ทราบ ขอบรรดาลูกรักทั้งหมด จงอย่าเอาจิตไปติดในวัตถุ “วัตถุที่มีความสำคัญที่สุดก็คือร่างกายของเรา ที่เราเห็นว่าร่างกายมันเป็นเรา เป็นของเราน่ะ ความจริงมันไม่ใช่”

    พ่อมองดูหน้าลูกรักทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ พ่อคิดว่า ลูกทุกคนคงจะเกิดในสมัยนั้นแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลง คือ ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย มีความสุขบ้าง มีความทุกข์บ้าง ในที่สุดก็ตาย แล้วก็เกิด แล้วก็ตาย มาเป็นคนสมัยนี้ นี่เป็นความรู้สึกของพ่ออย่างเดียว พ่อไม่ยืนยัน แต่ถึงอย่างไรก็ดี เราก็คงเกิดหลายวาระ การเกิดแล้วตาย ตายแล้วก็เกิด เกิดแต่ละชาติมันก็มีแต่ความทุกข์ มีภาระในการปกครอง มีภาระในการบริหาร ในการเกิดทุกครั้ง เราก็หวังในความรุ่งเรืองของชีวิต แต่แล้วในที่สุดสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็หมดไป

    ฉะนั้น ขอบรรดาลูกรักทั้งหลายที่ได้อภิญญาสมาบัติ และวิชชาสาม จงใช้อภิญญาสมาบัติ และวิชชาสามที่ได้มุ่งพระนิพพานอย่างเดียว การที่จะท่องเที่ยวไปดูภพดูชาติต่าง ๆ เป็นของดี แต่ก็อย่าเอาจิตไปยุ่งกับโลกีย์วิสัย คือ ความโลภ และความโกรธ คิดว่าชนชาตินั้นเคยเป็นศัตรูของเรา ชนชาตินี้เคยเป็นมิตรของเรา นี่เป็นทรัพย์สินของเรา อย่างกับคนที่มีอุปาทานกินใจ บอกว่าคนนั้น เมื่อชาตินั้นเคยเป็นภรรยาของฉัน ชาตินั้นเคยเป็นพระราชา เธอเคยเป็นภรรยาของฉันมาก่อน เธอเคยเป็นสามีของฉันมาก่อน เธอจะไปไหนไม่ได้ พ่อคิดว่านั่นเป็นอารมณ์ของความบ้ามากว่า เรื่องของคนละชาติมันก็เป็นคนละชาติ จะเอามาบวกกับชาตินี้ไม่ได้ ขอลูกจงอย่าติดอาการอย่างนั้น เป็นการแสดงถึงการติดด้วยอำนาจกิเลส คือ ตัณหาเป็นสำคัญ มีอวิชชาเป็นเบื้องหน้า “ควรจะคิดอย่างเดียวว่า เราจะทำอย่างไรจึงจะไม่เกิด”

    วิธีการไม่เกิด พ่อสอนลูกอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชชาสามกับอภิญญาที่ลูกได้นี่แหละเป็นจุดหมายชี้แนวทางแห่งการไม่เกิด ควรศึกษาความไม่เกิดเข้าไว้ การไม่เกิดเราต้องเสียสละ คือ

    ประการแรก เราต้องเสียสละเวลาการงานที่มีประโยชน์ของเราไปทำงานสาธารณประโยชน์ เพื่อทอดทิ้งความห่วงใย อาลัยในชีวิต แต่ก็ต้องเป็นบางจุด บางเวลา อย่าถึงกับเคร่งเครียดเกินไป

    ประการที่สอง สละทรัพย์สมบัติที่มีอยู่เป็นส่วนสาธารณประโยชน์บ้างตามสมควรเพื่อเป็นการตัดความโลภ และเพื่อไม่เป็นการยึดเหนี่ยวชีวิตเกินไป เห็นว่าทรัพย์สินทั้งหลายที่เราเคยมีในกาลก่อนมากกว่านี้ เราก็แบกไปไม่ได้

    ประการที่สาม เราให้อภัยแก่คนผิดจัดเป็นอภัยทาน เป็นการตัดโทสะ
    ประการที่สี่ เห็นว่าร่างกายนี่ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสาร มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ไม่ยึดถือร่างกาย ไม่ต้องการมี

    ร่างกายต่อไป มีความต้องการอย่างเดียว คือ พระนิพพาน เป็นการตัดโมหะ คือ ความหลง
    เท่านี้พอแล้วลูกรัก ตั้งอารมณ์หยั่งไว้เฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์
    การสอบสวนสืบเรื่องนรกมีจริง การระลึกชาติได้ถอยหลังเข้าไปหาความเบื่อนี่เป็นของดีพ่อไม่ห้าม แต่ว่าไปอวดวิเศษพ่อไม่เห็นชอบด้วย

    มาคุยกันต่อไปถึงเรื่องพระเจ้าพรหมมหาราช อาศัยที่เคยเป็นเณรมาก่อน มีเมตตาบารมี และอาศัยอำนาจฌานสมาบัติที่เคยได้นี้ไปเป็นพรหม กลับมาเกิดเป็นลูกชายของพระเจ้าพังคราช ลูกจะเห็นอำนาจของทานบารมี คือ พระเจ้าพรหมเป็นผู้มีเมตตาจริง เป็นผู้ให้อภัยทาน คิดเผื่อแผ่ให้คนไทยทั้งชาติมีความสุข ประการหนึ่ง

    ประการที่สอง เคยเกิดเป็นเณรมีศีลบริสุทธิ์ อดกลั้นความโกรธ ตอนเป็นเณรมีฌานสมาบัติ พ่อคิดว่าจะมีวิปัสสนาญาณด้วย

    อานิสงส์ของทาน ท่านบอกว่า “ทานัง สัคคะโส ทานัง” ทานเป็นบันไดให้เกิดบนสวรรค์
    อานิสงส์ของศีล “สีเลนะ สุขะติง ยันติ” ศีลเป็นปัจจัยให้เกิดความสุข “สีเลนะโภคะสัมปะทา” ศีลเป็นปัจจัยให้มีโภคสมบัติมาก “สีเลนะ นิพพุติง ยันติ” ศีลเป็นปัจจัยให้ดับความทุกข์

    เราจะมองเห็นอานิสงส์ของศีลของทานกันในตอนนี้ ตอนเป็นสามเณรมีศีลบริสุทธิ์ มีอภัยทานทำไว้แล้วด้วยดี มีเมตตาปรานี มีฌานสมาบัติ มีวิปัสสนาญาณ ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นสำคัญ เป็นสมาธิ แล้วก็ตายไปเป็นพรหมมีความสุข

    ลงมาเกิดพร้อมด้วยสหชาติ พอเข้าท้องแม่ก็ปรากฏว่า ทรัพย์สินทั้งหลายปรากฏแก่บรรดาประชาชน ของที่เคยหายากก็หาได้ง่าย ของที่เคยหาได้น้อยก็หาได้มาก จิตใจของคนไทยทั้งชาติกลายเป็นไทยนักสู้รวมกำลังใจกัน นี่เป็นเรื่องของบุญบารมีที่สั่งสมไว้ ใครเขาจะว่ายังไงก็ช่างเขาเถอะ เราเห็นผลของเราก็แล้วกัน อาศัยที่ท่านมีจิตเมตตาอารีต้องการให้คนไทยรักกัน สามัคคีกัน มีความสุข ฉะนั้น ตั้งแต่เริ่มอยู่ในครรภ์มารดาก็ปรากฏว่าคนไทยมีความสมัครสมานสามัคคีกัน ความไม่สิ้นอาลัยในชีวิตที่คิดว่า คนไทยทั้งชาติจะต้องตายเพราะถูกขอมทำลายก็หมดสิ้นไป กลับเป็นคนไทยที่มีกำลังใจเพื่อสู้ คนไทยมีนิสัยตามผู้นำ ถ้าผู้นำดีไทยทั้งชาติก็สามารถจะเป็นเอกราชได้ ถ้าผู้นำชั่วไทยทั้งชาติก็จะมีแต่ความมัวหมอง เราจะดูได้ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา บางครั้งเราได้ผู้นำดีเราก็มีความสุข หน้าชื่นตาบาน บางครั้งที่มีผู้นำระยำก็หน้าเศร้าไปตาม ๆ กัน สิ่งที่ไม่ควรเสียก็เสีย สิ่งที่ควรจะได้ก็ไม่ได้

    มาตอนนี้ เมื่อพระเจ้าพรหมเกิดแล้ว พระยาโหราธิบดีพยากรณ์ไว้ว่า เด็กคนนี้มาจากพรหม จะมาทำให้ไทยทั้งชาติเป็นอิสรภาพ ไทยจะเป็นเอกราช จะชนะขอม กำลังใจของคนไทยก็เข้ามารวมกัน มีความสุข พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ขึ้น คนไทยตั้งหน้าตั้งตารออยู่อย่างเดียวว่า “เมื่อไรหนอ พรหมกุมารจึงจะโตพอที่จะเป็นผู้นำเกี่ยวกับการรบได้”

    ที่ลูกทุกคนเห็นแล้วว่า สมัยนั้นพระเจ้าพังคราชทรงแต่งตัวแบบชาวบ้านธรรมดาไปไหนก็จูงลูกชายคนโต คือ ทุกภิกขะ หรือทุกขิตะกุมา และอุ้มลูกชายคนเล็ก คือ พรหมกุมารเป็นเด็กสวย
    น่ารัก ไว้ผมจุกมีเครื่องล้อมจุก แลมีปิ่นปักเป็นทองคำประดับด้วยทับทิม ท่านเดินไปไหนคนไทยเห็นแล้วก็มีความสุข นี่ลูกรัก ไอ้ความสุข ความทุกข์จริง ๆ น่ะมันอยู่ที่ใจ ท่านจะไปไหนก็มีคนกราบไหว้บูชา เห็นรึยังลูกว่าค่าของความดีของคนมีศีลมีธรรมน่ะ มีประโยชน์อย่างนี้

    ขอเล่าลัดตัดความมาถึงเด็กชายพรหมโตเป็นเด็ก ชอบเล่นยุทธวิธี เอาสหชาติ ๒๕๐ คน มาเล่นรวมกัน ชอบการรบ เอาไม้มาทำเป็นอาวุธบ้าง ทำม้าขี่บ้าง ทำหน้าไม้บ้าง สมมติขึ้นเล่นกองทัพช้าง กองทัพม้า กองทัพราบ เล่นขนเสบียงอาหาร เล่นการเกษตร ทำโรงงานสร้างอาวุธบ้าง สมมติเอา สมมติว่านี่เป็นเหล็ก เป็นทองคำ นี่เป็นเงิน เป็นอะไรก็ตาม บรรดาผู้ใหญ่เห็นเด็กเล่นแบบนี้ ก็ชื่นใจในยุทธวิธีของเด็กอย่างคาดไม่ถึง ก็เป็นเรื่องแปลก อย่างเล่นสมมติว่า ถ้าข้าศึกมีฝีมือดีกว่า หนังเหนียว เราจะรบกับข้าศึกอย่างนี้เราจะทำยังไง นั่นคือ การฝึกกระโดดสูง กระโดดข้ามรั้ว และให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระโดดข้ามหัวคนได้แบบสบาย ๆ แล้วฝึกตีข้าศึกด้านท้ายทอยด้วยสันดาบ เวลารบยั่วข้าศึกเปิดจังหวะให้ข้าศึกฟัน พอข้าศึกโถมตัวเข้าฟันก็หลบแล้วโดดขึ้นสูงตีท้ายทอยด้วยสันดาบ วิธีนี้เขาก็เล่นกัน

    พออายุเกือบ ๑๐ ปี เริ่มใช้มันสมอง คือเมื่อติดตามพระราชบิดาไปไหนก็มักจะถามว่านี่เขาทำอะไรกัน ตอนนั้นการทำพืชพันธุ์ธัญญาหารก็ดี แร่ก็มีมาก ทองคำก็ได้มากการทำพืชพันธุ์ธัญญาหารเวลานั้น ทำในพื้นที่แคบ ๆ พรหมกุมาจึงได้กราบทูลสมเด็จพระราชบิดาว่า “การปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารจะหวังแต่น้ำฝนอย่างเดียวก็ไม่พอ ถ้าจะให้อุดมสมบูรณ์กว่านี้ก็น่าจะขุดบ่อเป็นที่เก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งจะได้ปลูกพืชได้ ควรขุดบ่อใหญ่ ๆ เวลาที่เด็กคนนี้พูดกับพ่อคือพระเจ้าพังคราช คนเขาก็นั่งล้อมเขาก็ได้ฟังด้วย ทุกคนก็เห็นชอบด้วยนี่เป็นประชาธิปไตยแท้ไม่ใช่คณาธิปไตย

    บรรดาประชาชนฟังแล้วก็เข้าใจและเห็นชอบด้วย ก็ส่งข่าวกันออกไปว่า พวกเรา เด็กชายที่จะมาทำให้เรามีความสุข ให้ขุดบ่อใหญ่ ๆ ไว้ เก็บกักน้ำไว้จะได้ใช้ในฤดูแล้งปลูกผักได้ วัวควายจะได้กินน้ำได้ คนก็ใช้น้ำได้ด้วย ทำไร่ทำนาได้ ประชาชนทุกกลุ่มทุกหมู่บ้าน พากันขุดบ่อไว้ เวลาฝนตกน้ำหลากมา น้ำก็เต็มบ่อ เวลาฝนหมดไปแล้วน้ำก็ยังมีอยู่ใช้สะดวก ปลูกผักสวนครัว เลี้ยงสัตว์กัน ตอนนี้อุ่นหนาฝาคั่ง
    ที่มา https://www.facebook.com/groups/1448182172142345/1456129444680951/?notif_t=group_comment
     

แชร์หน้านี้

Loading...