เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน นางฟ้าถวายภัตตราหาร

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 14 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน นางฟ้าถวายภัตตราหาร
    [​IMG]
    หลวงพ่อปาน ตอนที่ท่านไปเที่ยวปักษ์ใต้ถึงนครศรีธรรมราช ตอนนี้ขณะที่เดินทางไปถึงจังหวัดประจวบ ไปพักที่อำเภอทับสะแก ระยะเวลาที่ไปถึงก็ประมาณ 5 โมงเช้า ตอนนั้นรถไฟมันเป็นระยะๆ ไปนอนที่จังหวัดเพชรบุรี แล้วเช้ามืดรถไฟก็ไปต่อ สมัยนั้นมีทั้งรถโดยสารและรถสินค้าก็ไปกันแบบประเภทถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง บางสถานีก็จอดเป็นชั่วโมงๆ เพราะมีสินค้ามาก พอไปถึงอำเภอทับสะแกก็ปรากฏว่าเวลาประมาณ 4 โมงเช้า ไอ้ตลาดเตลิดมันก็ไม่มีสมัยนั้น มีโรงร้านขายอาหารประเภทที่เรียกได้ว่ากินได้ก็กินกินไม่ได้ก็กิน พระที่ไปด้วย ฆราวาสที่ไปด้วยประมาณสัก 30 คน เข้าไปพักที่วัดอะไร อำเภอทับสะแก วัดกลางหรือวัดอะไร จำชื่อไม่ได้ถนัด เวลานั้นกำลังสร้างโบสถ์ ยังค้างเติ่งอยู่ ไม่ใช่หลวงพ่อปานไปสร้าง พระอะไร พระยัง พระเฮ็งอะไรก็ไม่ทราบ ไปสร้าง ทีแรกคิดจะช่วยแกเหมือนกัน แต่แกคุยว่าปีเดียวของแกเกือบเสร็จ ถ้าสองปีก็เรียบร้อย ถ้าคนเก่งเสียแล้วก็ช่วยไม่ลง เลยไม่ช่วย นี่ค้างเติ่งมาถึงบัดนี้

    ไปนอนอยู่ที่วัดนั้น ทุกคนก็ปรึกษากันว่าวันนี้พวกเราถือเอกากันแน่ ตอนเช้าเราสมาทานอาหารมาในรถไฟ ก็ล่อข้าวฝัดประเภทที่เรียกว่า กินได้ก็กิน กินไมได้ก็กินคนละจาน แล้วเมื่อลงจากรถไฟแล้วตอนเพลงวันนี้ไม่มีทางที่จะได้กินข้าว อดแน่ จะไปดูบ้านช่องที่ไหนก็ไม่มี มีเหมือนกันก็ห่างๆ กัน ไม่คับคั่งเหมือนสมัยนี้ แล้วจะไปดูร้านอาหารแล้วก็ พุธโธ่เอ๋ย ไม่ใช่ร้านสำหรับที่พวกเราจะซื้อกินเลย ถ้าเราจะกินกันทุกคน เขาก็ไม่มีวันจะขาย มีก๋วยเตี๋ยวผัดไทยอยู่ร้านหนึ่ง ไปดูเส้นก๋วยเตี๋ยวก็นิดเดียว เพราะว่าเขาขายได้วันละไม่มาก เป็นอันว่าคิดว่าอดกัน เมื่อพวกเราปรึกษากันหลวงพ่อปานท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่าประเดี๋ยว ฉันขอโอกาสนอนสักประเดี๋ยวถามเจ้าวัดว่าห้องว่างๆ มีไหม จะขอนอนพักผ่อนสักหน่อย ท่านเจ้าวัดก็บอกว่ามี แล้วท่านก็สั่งเจ้าวัดว่าเรื่องอาหารการบริโภคทั้งพระทั้งฆราวาส ให้เป็นภาระของผมเอง ท่านก็เข้าไปจำวัดในห้องเงียบประมาณสัก 10 นาทีเศษๆ ปรากฏว่ามีสตรีคนหนึ่งอายุประมาณ 50 ปี นุ่งผ้าลายสีเหลือง ใส่เสื้อสีอะไร อ๋อใส่เสื้อสีชมพูอ่อนๆ ห่มผ้าสไบเฉียง แล้วก็ท่าทางเรียบร้อยเป็นคนสวยจริงๆ แก่มากแล้วนะ แก่แล้วแต่รู้สึกว่าท่าทางเป็นคนสวยเป็นผู้ดีมาก เข้ามาถึงก็มานั่งยกมือไหว้

    ถามว่า ได้ยินข่าวว่าหลวงพ่อปานท่านมารึ นี่ความจริงพวกเราไปถึงประมาณ 15 นาทีเท่านั้น ถามว่าคุณโยมอยู่ทีไหนละจ๊ะ แกบอกว่าฉันไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกจ้ะ อยู่ที่อื่น มาจากที่อื่น ถามว่าอยู่ที่ไหน แกก็ไม่ได้บอกว่าอยู่กรุงเทพฯ แต่ท่าทางไม่ได้อยู่บ้านนอก แกถามว่าหลวงพ่อปานมาใช่ไหม ตอบว่ามา เวลานี้กำลังจำวัด แกก็ถามว่าคนที่มาทั้งหมดทั้งพระทั้งคนประมาณเท่าไหร่ บอกว่าทั้งพระทั้งคนนี่ประมาณ 30 คนเศษๆ แกก็ถามว่าเวลาเท่าไร ก็ตอบว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็เพลโยม แกเลยบอกว่าทัน พูดเฉยๆ ว่าทัน แล้วแกก็ลากลับ พอเวลา 11 นาฬิกา พอดีมีคนลูกน้องเป็นผู้หญิงล้วนๆ ไม่มีผู้ชายเลย แล้วท่าทางก็เป็นคนบ้านนอกทำท่าเหมือนบ้านนอก แต่ว่าหน้าตาดี แจ่มใสทุกคนผิวพรรณดีมาก หาบอาหารกันมาอย่างหนัก มีขนมจีน มีกับข้าว มีข้าว มีอะไรต่ออะไรเยอะแยะ เอามาถวายหลวงพ่อปานกับพระ แล้วชาวบ้านก็กิน กินแล้วยังไม่หมด แกบอกว่าส่วนที่เหลือมากนี่เอาไว้ตอนเย็น แกบอกว่าอุ่นเลี้ยงคนตอนเย็น

    พักอยู่ที่นั่น 3 วัน โยมคนนั้นก็รับภาระธุระ เลี้ยงคนเลี้ยงพระตลอด 3 เวลา พอวันจะลากลับ หมายความว่ารุ่งขึ้นไปจะไป ตอนเย็นก็ต่างคนต่างลาแล้ว เมื่อแกกลับไปแล้ว ก็ถามเจ้าวัดว่าผู้หญิงคนนี้ บ้านเขาอยู่ที่ไหน เจ้าวัดก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยเห็นเลย ถามญาติโยมแถวนั้นที่เอาอาหารมาถวายและมาคุยด้วยก็ไม่มีใครรู้จัก แล้วถามว่าอาหารที่แกนำมานี่นะ ใครเคยสังเกตบ้างไหม ว่าแกไปเอามาจากไหน ก็ไม่มีใครรู้เหมือนกัน รสอาหารก็ไม่ใช่รสอาหารของคนมือบ้านนอกเลย เรียกว่าเป็นรสอาหารชาวตลาดหรือชาวกรุง นี่รสมันไม่เหมือนกัน อาหาร แล้วก็เป็นเรื่องน่าแปลก คุยกันไปคุยกันมา หลวงพ่อปานท่านก็ไม่บอก ท่านเฉยเสีย จนกระทั่งกลับมาถึงวัดก็กราบเรียนถามท่าน เรียนถามว่าหลวงพ่อขอรับ ผู้หญิงคนนั้นคือใคร ท่านก็เลยบอกว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน ถามว่าใคร ท่านก็บอกว่าเป็นเทวดา ถามว่าเขามาได้ยังไง ท่านก็เลยบอกว่าเขาเห็นว่าพวกเราจะอด เขาก็เลยนำอาหารมาถวาย
    ต่อจากนั้นไปท่านก็เลยสอนว่า พวกเธอน่ะ จงทำศีลให้บริสุทธิ์ ทำสมาธิให้ตั้งมั่น ทำวิปัสสนาญาณให้แจ่มใส อย่ามีความโลภ อย่ามีความโกรธ ความพยาบาทอย่าหลง คิดว่าตัวจะไม่ตาย อย่าเมาในชีวิต อย่าเมาในทรัพย์สิน อย่าเมาในกาลเวลา เท่านี้นะ เทวดาเขาสงเคราะห์ ท่านพูดเท่านี้ก็เป็นอันว่า จบเกมเรื่องนี้กัน
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...