เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน กรมหลวงชุมพรฯ ช่วยตำรวจ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 19 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน กรมหลวงชุมพรฯ ช่วยตำรวจ
    [​IMG]
    ท่านผู้ฟังทั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็พบกันอีก มาพบกันตอนต้นฉบับของ หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๕ ตอนที่ ๘ เป็นตอนจบ หนังสืออ่านเล่น เล่ม ๕ ใช้บันทึกเสียงเป็นต้นฉบับ ๘ ตอน

    และตอนที่แล้วก็ตาม ตอนนี้ก็ตาม ก็เป็น วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๓๑ ก็เป็นอันว่า ตอนนี้ก็ให้ชื่อว่าตอน กรมหลวงชุมพรฯ ช่วยตำรวจ เรื่องราวของท่านมีการช่วยมาก แต่ก็จะนำมาพูดเฉพาะบางตอน เพื่อเป็นตัวอย่าง

    มีปีหนึ่ง อาตมาก็จำ พ.ศ. ไม่ได้ เวลานั้นกำลังอยู่กระต๊อบ การที่มาอยู่วัดท่าซุงนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าเห็นว่าวัดใหญ่โต อย่าคิดว่าพื้นฐานของเขาดี เนื้อที่วัดเดิมจริง ๆ มีอยู่ ๖ ไร่ และกุฏิที่จะมาอยู่ มีกุฏิอยู่ ๓ หลัง

    หลังที่ดีที่สุดก็คือ หลังที่เจ้าอาวาสอยู่ อีก ๒ หลังที่อาตมาจะอยู่ได้ก็เป็น กุฏิทิพย์ ก็หมายความว่า นอนในกุฏิกลางคืน เห็นดาวได้โดยไม่ต้องออกมานอนนอกชาน เห็นเดือนเห็นดาวได้ กลางวันนกบินมาในอากาศก็สามารถจะเห็นได้ เป็นกุฏิทิพย์จริง ๆ

    คนเดินผ่านไปผ่านมาด้านนอก สามารถมองเห็นได้โดยไม่ต้องเปิดหน้าตา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าหลังคามันโปร่ง ฝาก็โปร่ง คุ้มแดดก็ไม่ไหว คุ้มลมก็ไม่ได้ คุ้มฝนก็ไม่ได้ สภาพของวัดท่าซุงเดิมจริง ๆ เป็นอย่างนี้

    อาตมาที่มานี่ เจ้าอาวาสไปนิมนต์มาเพื่อช่วยวัด ช่วยสร้างหอสวดมนต์ และช่วยสร้างวัด เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องปลูกกระต๊อบอยู่ ประวัติเรื่องนี้ก็ขอผ่านไป ให้ทราบว่าอาตมามาแล้ว มาอยู่กระต๊อบและก็มีทุนจริง ๆ มาร้อยบาท เงินร้อยบาทนี้ก็ไม่ได้สร้างวัด มาต้องซื้อข้าวสาร ซื้ออาหารกิน

    ต้องอาศัย บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจังหวัดชัยนาทบ้าง อำเภอมโนรมย์บ้าง วังเคียนบ้าง แล้วก็คุณชุบ คุณฉอ้อนบ้าง และญาติโยมที่กรุงเทพฯ บ้าง ช่วยเลี้ยง จึงมีชีวิตมาได้ ใครมาใครไปเขาก็ให้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีกำลังสำคัญในตอนต้น ก็คือ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต และสิริรัตน์ โรจนวิภาต ภรรยาของคุณอาทร ฉลวย ปิณินทรีย์และพิมพา คุณากร รวมทั้งคณะของท่านทั้งหมด ไม่ใช่เท่านี้นะ ท่านเป็นคณะ ช่วยสงเคราะห์ให้มีชีวิตขึ้นมาได้

    ในระยะนั้น ก็มีตำรวจมาจากกรุงเทพฯ ท่านหนึ่ง มีทุกข์มา มากับภรรยา กับเพื่อน แต่นายตำรวจท่านนี้จะชื่อว่าอะไร อยู่ที่ไหน มีงานประเภทไหน งานอาจจะบอกกันได้ แต่ชื่อขอปกปิด ที่อยู่ขอปกปิด แต่ว่าท่านผู้นี้มีความรู้ในด้านขีดเขียน ออกแบบ

    ก็เป็นอันว่า ท่านมาปรารภ มาถึงท่านก็ปรารภบอกว่า ผมมีเรื่องเกิดขึ้นอยากจะให้หลวงพ่อช่วย
    ก็ถามท่านว่าจะให้ช่วยอย่างไร
    ท่านก็บอกว่าเขาจะขังผม ผมก็บอกกับเจ้านาย กับผู้บังคับบัญชาว่า ขอให้ขังแต่ชื่อก็แล้วกัน ไม่ขังตัว แต่เจ้านายเขายืนยันว่าจะขังตัว เป็นอันว่าพูดกัน ๒-๓ คราวไม่รู้เรื่อง ท่านจะขังแน่ ผมเห็นท่าว่าจะไปไม่รอด ถ้าขังผมก็แย่ อยากให้หลวงพ่อช่วย

    อาตมาก็มานั่งนึกในใจว่า ตัวเองก็ช่วยตัวเองไม่ค่อยจะไหว ที่มีชีวิตอยู่ได้อยู่นี่ก็เพราะอาศัยลูกหลานช่วยสงเคราะห์ มีกินไปวันหนึ่ง ๆ ใครเขามาทำบุญ ก็นำเงินไปก่อสร้าง เวลานั้นก็มีเล็ก ๆ น้อย ๆ

    แล้วก็เงินที่คณะที่กล่าวมาแล้วให้มันเหลือกินเหลือใช้ก็นำไปสร้าง ที่อุทัยธานีก็มี นนทา อนันตวงษ์ อีกคนหนึ่ง เป็นกำลังใหญ่ เป็นเจ้าของโป๊ะ ก็ช่วยให้เงินให้ทองอยู่เสมอ ประคองชีวิตขึ้นมาได้ และก็สามารถมีทุนเล็ก ๆ น้อย ๆ สร้างขึ้นมาได้ตามลำดับ

    เป็นอันว่านายตำรวจผู้นั้นท่านบอกให้ช่วย อาตมาก็งง คิดว่า เราจะช่วยอย่างไรนะ วิชาความรู้ด้านนี้เราก็ไม่มีกับเขา เรียนมาโดยเฉพาะก็คือ เรียนนักธรรม เรียนบาลี นักธรรมเรียนจบชั้นเอก (นักธรรมเอก) แต่ว่าบาลีนี่เรียนเตาะแตะเต็มที ถ้าเวลานี้ ใครจะนำไปสอบบาลีก็ตกแหง ๆ ลืมเกือบหมดแล้ว บาลีก็เรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม

    ความรู้ไม่มาก แต่วิชาความรู้พิเศษ การรักษาโรคก็ดี การช่วยสงเคราะห์คนที่รักกันจะให้เขาเกลียดกัน เขาเกลียดกันจะให้เขารักกัน เขามีทุกข์ให้มีสุข มีสุขให้มีทุกข์ ประเภทนี้หลวงพ่อปานไม่ได้สอนมา

    ความจริงวิชาหมอท่านต้องการจะสอน แต่ไม่เรียนคาถาต่าง ๆ ท่านก็ต้องการจะสอน แต่ไม่เรียน ไม่ชอบเรียน ในเมื่อถูกขอร้องแบบนี้ก็จนใจนั่งนึกอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็นั่งเฉย อาตมาก็นั่งเฉย แต่ความจริงการนั่งเฉย ไม่ใช่ว่าเฉยอะไร คิดว่าจะหาทางใดเป็นที่ช่วยเหลือได้

    ก็เป็นการบังเอิญอย่างยิ่ง เวลานั้นปรากฏว่า เทวดา ๕-๖ ท่าน เข้ามาพอดี มาถึงท่านก็ยืน แล้วก็ยกมือไหว้ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ผู้รับฟังและผู้อ่านได้โปรดทราบว่า นี่เป็นเรื่องนิทานนะ ท่านผู้อ่านทุกคนอย่าลืมว่านิทาน นิทานเราจะพบเทวดา พบพรหมพบใครก็ได้ทั้งหมด นิทานเสียอย่าง พบในสิ่งที่ชาวบ้านเขาพบไม่ได้ ก็พบได้ เพราะมันเป็นนิทาน

    ก็บังเอิญมีเทวดา ๕ ท่านมาถึงยกมือไหว้ ๕ ท่านนี้เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชทั้งหมด คือ ท่านธตรฐ ท่านวิรุฬหก ท่านวิรูปักข์ ท่านเวสสุวัณ และกรมหลวงชุมพรฯ เวลานั้น กรมหลวงชุมพรฯ ยังเป็นอินทกะ ยังไม่ได้เป็นท้าววิรุฬหก

    ท่านมายกมือไหว้ก็เลยถามท่านเวสสุวัณว่า เขาต้องการให้ช่วยเหลือแบบนี้ จะมีทางช่วยเหลือไหม
    ท่านเวสสุวัณท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่าผมขอตอบแทนอีก ๔ คน ๕ คนทั้งผม ท่านบอกว่าช่วยเหลือได้

    เมื่อถามว่าจะช่วยเหลืออย่างไร มีทางขอให้แนะนำด้วย
    ท่านก็ชี้ไปที่กรมหลวงชุมพรฯ เวลานั้น กรมหลวงชุมพรฯ ท่านมาใหม่ ๆ ท่านแต่งตัวเป็นเทวดา มีชฎาแหลมเปี๊ยบแพรวพราวเป็นระยับ

    พอท่านเวสสุวัณชี้บอกว่านี่คือกรมหลวงชุมพรฯ เท่านั้นแหละ ภาพเทวดาก็หายไป ภาพยศพลเรือเอกก็ปรากฏขึ้น เป็นพลเรือเอกแห่งราชนาวีไทย
    ท่านยิ้ม ท่านก็ยกมือไหว้ ถามท่านว่า จะเมตตาช่วยได้ไหม

    ท่านบอกว่าได้ขอรับ ที่มานี้ตั้งใจจะมาช่วยก็เห็นว่าพระคุณเจ้าหมดทางแล้ว อึดอัดเต็มที จึงได้ขอร้องท่านมหาราชทั้ง ๔ ให้มาด้วยกัน เป็นพยานกัน แล้วก็ช่วยกัน ท่านเวสสุวัณก็บอกว่า ทั้ง ๔ องค์นี้ ผมก็พร้อมช่วยขอรับ แต่หน้าที่เด่นจริง ๆ โดยเฉพาะให้เป็นหน้าที่ของกรมหลวงชุมพรฯ

    ก็ถามท่านว่า วิธีจะช่วยทำอย่างไร
    ท่านบอกว่า วิธีช่วยผมก็แบบธรรมดา ๆ แหละครับ แต่ว่าคนนี้เป็นนายตำรวจ และก็มีเงินเดือน ต้องขอเต็มอัตรา
    ถามว่าท่านจะขออะไร คิดว่าจะขอเงินขอทองเขา

    ท่านบอกว่า ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ทอง ไม่ใช่ของวิเศษ คือ
    ๑) ข้าวปากหม้อ ๑ ถ้วย
    ๒) หัวหมู ๑ หัว (เป็นนายตำรวจ เป็นข้าราชการ อย่าลืมนะ และเป็นคนชั้นดี มีสตางค์ ตั้งแต่คหบดีขึ้นไป ต้องใช้ตามนี้นะ หลังจากนั้น เวลานั้น ท่านยังเป็นอินทกะอยู่ ท่านยังชอบ ไอ้เป้ แต่เวลานี้เลิกแล้วนะ)

    ท่านก็บอกต่อไปก็มี ไอ้เป้ ๑ ไห ท่านผู้ฟังทราบไหม ไอ้เป้คืออะไร บางท่านจะสงสัยว่าไอ้เป้คืออะไร ถ้าไอ้เป้มี แล้วอีเป้มีไหม ก็ขอตอบว่า ไอ้เป้คือน้ำตาลเมา ถ้าผู้ชายดื่มเซ เขาเรียกว่าไอ้เป้ ถ้าผู้หญิงดื่มเข้าไปเซ ก็เรียกว่าอีเป้ ต้องมีทั้งอีและไอ้ ไม่เช่นนั้นก็คอนกัน

    ก็รวมความว่าต้องการ ไอ้เป้ ๑ ไห แล้วก็ปลาหมึกปิ้งสัก ๑ ตัวกับไอ้เป้ ท่านก็หยุด ว่าตามปกติจริง เขาบนกันเท่านี้ บางคนก็บนด้วย ไอ้เป้ อย่างเดียว
    ท่านก็บอกว่าอีก ๒ อย่างนี่ผมก็ชอบ แต่ไม่มีคนเขาให้
    ถามท่านว่าอะไร

    ท่านบอกว่าของหวาน คือทองหยิบ ฝอยทอง และของคาวอีกอย่างหนึ่งนั่นคือขนมจีน ที่เขามีใส่หัวปลีหั่นและก็มีพริกเผา ก็ได้ความว่า นั่นคือขนมจีนน้ำพริก
    ท่านก็บอก ขอแถมเขาเท่านี้จะได้ไหม

    ก็เลยถามเขา ถามว่าคุณ เวลานี้เทวดาท่าน ๕ องค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านกรมหลวงชุมพรฯ ท่านรับอาสาว่าจะช่วย ท่านมหาราชทั้ง ๔ ก็รับช่วย แต่ให้เป็นหน้าที่ของกรมหลวงชุมพรฯ ท่านขอตามนี้

    ก็เป็นอันว่า นายตำรวจที่มานั้นท่านก็ได้ทิพจักขุญาณ (ไม่ใช่เล่นนะ) ทิพจักขุญาณของท่าน แจ่มใสดีมาก
    ท่านก็บอกว่า ได้ขอรับ แล้วท่านก็นั่งนิ่งประเดี๋ยว
    ท่านบอกว่า ท่านเห็นแล้ว เห็นเทวดาที่มาทั้ง ๕ ท่านแล้ว และผมก็ขอร้องแล้ว

    วิธีขอร้องบรรดาท่านพุทธบริษัท เขาไม่ต้องใช้เสียงกัน ใช้พูดด้วยใจ การพูดกับผี การพูดกับเทวดาไม่ต้องใช้ปาก ไม่ต้องเสียงออกจากปาก ใช้ความรู้สึกของใจใช้ได้เลย
    ท่านบอกว่าขอร้องท่านแล้ว เวลานี้ท่านรับ ผมจะจัดการตามนั้นครับ

    และท่านก็ถามว่าจะไปบนที่ไหน
    ก็บอกว่าตามใจเถิด รูปปั้นกรมหลวงชุมพรฯ ก็มี รูปหล่อก็มี ที่ไหนก็ได้ ตามใจคุณ คุณจะบนที่ไหนเป็นหน้าที่ของคุณ ให้หาของง่าย ๆ ก็แล้วกัน
    เธอก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นผมก็กลับไปบนที่กรุงเทพฯ ในที่สุดก็ไปบน

    เวลาบน อย่าลืม บรรดาท่านพุทธบริษัทต้องมีของครบ ถวายก่อน แล้วก็กราบเรียนท่านบอกว่า ถ้าสำเร็จตามความประสงค์ ตามที่ต้องการ ก็จะถวายอีกครั้งหนึ่งเป็นการแก้บน ก็รวมความว่า นายตำรวจคนนั้นก็รีบกลับ วันรุ่งขึ้นตอนเช้าของก็ครบ เพราะในกรุงเทพฯ หาของง่าย บนทันที และก็ถวายทันที

    ต่อมาได้ทราบจากนายตำรวจท่านนี้ ท่านมาหา ท่านบอกว่า เป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นพิเศษขอรับ เมื่อบนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็ไปที่ทำงาน ไปพบหน้าผู้บังคับบัญชาเท่านั้น ก็คิดว่า วันนี้ท่านคงสั่งขังแน่ เพราะเป็นกำหนดวัน พอขึ้นไปแล้วก็ทำความเคารพตามปกติ

    แต่ก็เป็นเรื่องแปลก ที่ฟังเสียงท่านพูดออกมาครั้งแรก ท่านเรียกชื่อ (แต่อาตมาจะไม่พูดถึงชื่อ) ว่าเอ็งจงกลับบ้านได้ ฉันขังแกตามกำหนดเท่านี้ แต่ว่าจะไม่ขังตัว จะขังแต่ชื่อ ภายในกำหนดเท่านี้ เอ็งจงอย่ามาที่ทำงานนะ ถือว่าถูกขังไปแล้ว ประเดี๋ยวฉันจะถูกด่า

    มาทราบจากนายตำรวจทีหลัง พ.ต.ท.ไพโรจน์ ท่านมาบอกว่า การขังนายตำรวจขอรับ โดยมากเขาไม่ค่อยขังกัน เขาให้เกียรติ เขามักจะให้เป็นการขังอยู่ที่บ้าน ขังแต่ชื่อกัน ถ้าไม่เต็มที่จริง ๆ เขาไม่ขัง (มาทราบทีหลังนะ)
    เป็นอันว่า ท่านผู้นี้ก็ไม่ต้องถูกขัง และในที่สุดของวัน เมื่อครบกำหนดแล้วปรากฏว่าท่านก็แก้บน การแก้บนของท่านก็เลยบอกว่า ขอให้แก้บนที่สัตหีบ

    ท่านก็ว่าขนมจีนเป็นหาบ ๆ ไปเลย หัวหมูหลายหัว ไก่หลายตัว องค์เป้ ว่ากันเป็นหลาย ๆ ไห และก็ขนมจีนน้ำพริก โอ้ย! ทุกอย่าง เป็นอันว่า ว่ากันเต็มที่ ถวายเต็มศักดิ์ศรีหรือเต็มความดีของกรมหลวงชุมพรฯ ก็อิ่มกันเป็นแถว ๆ

    นี่แหละบรรดาท่านผู้ฟัง แต่ว่านายตำรวจคนนี้ ท่านเป็นช่างเขียน เขียนออกแบบ ระหว่างที่ถูกขังชื่อก็ไม่มีสิทธิ์ไปทำงาน ก็เป็นคนว่างงาน แต่ว่างจากงานราชการ แต่งานส่วนตัวของท่านไม่ว่าง ท่านเขียนออกแบบรวยไปเลย มันเป็นงานส่วนตัวโดยเฉพาะ

    เป็นอันว่า นี่การช่วยตำรวจนะ เหลือเวลาอีก ๑๐ นาที ขอต่ออีกนิดหนึ่ง จะได้จบเรื่องกรมหลวงชุมพรฯ เรื่องกรมหลวงชุมพรฯ มีมาก แต่ว่าขอยับยั้งไว้เพียงเท่านี้นะ เอาอีกนิดหนึ่ง ตอนนี้มาก็เป็นตอนที่ กรมหลวงชุมพรฯ ถูกโกง
    รูปภาพของ John Lawman
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...