เรื่องเด่น เทศน์วันสงกรานต์ วันจันทร์ที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 21 เมษายน 2025 at 10:20.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,719
    ค่าพลัง:
    +26,577
    เทศน์วันสงกรานต์ วันจันทร์ที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘


    เทศน์เริ่มนาทีที่ ๕๘.๒๕

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    นิมิตฺตํสาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา ติฯ

    ณ โอกาสบัดนี้ อาตมภาพรับหน้าที่วิสัชชนาในกตัญญุตกถา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา เพิ่มพูนบารมี เสริมสร้างกุศลบุญราศี แก่บรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ซึ่งพร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันมหาสงกรานต์ ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้

    ญาติโยมทั้งหลาย โดยปกติสงกรานต์นั้น เราจะกำหนดวันต่าง ๆ ด้วยกัน อย่างเช่นว่า วันมหาสงกรานต์ นั้นก็คือ วันที่พระอาทิตย์ยกย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ วันต่อมาเรียกว่า '"วันเนา" ซึ่งบางแห่งบางที่เรียกว่า 'วันเน่า' กลายเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไป

    แต่ความจริงคำว่า "เนา (หรือ เนาว์)" ก็มาจากภาษาบาลีที่เรียกว่า "นว (นะวะ)" ก็แปลว่า ใหม่ คือเป็นวันขึ้นปีใหม่ เพราะว่าข้ามจากปีเก่าไปแล้ว ถัดจากนั้นก็เป็นวันเถลิงศก ก็คือ วันฉลองปีใหม่นั่นเอง เราถึงได้กำหนดการทำบุญวันสงกรานต์เอาไว้ ๓ วันด้วยกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,719
    ค่าพลัง:
    +26,577
    แต่ถ้าหากว่าในล้านนาประเทศของเรา อย่าง เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปางนั้น เขายังมีวันพญาวัน วันปากปี วันปากเดือน วันปากวัน และวันปากยาม เหล่านี้เป็นต้น ยังมีกิจต่าง ๆ ให้กระทำกองบุญกองกุศลเสริมสร้างให้กับตนเองและผู้อื่นติดต่อกันอีกหลายวันด้วยกัน

    ประเพณีเหล่านี้นั้นเมื่อมาถึงประเทศไทยของเรา ก็ได้รับการปรับแปลงจากประเพณีพราหมณ์มาเป็นพุทธ
    ก็คือ เราเปลี่ยนจากการสาดน้ำทั่วไปมาเป็น ถวายน้ำสรงพระพุทธรูป ถวายน้ำสรงแก่พระสงฆ์ที่เราเคารพนับถือ ซึ่งถ้าหากว่าเป็นทางภาคอีสาน พระเถระที่ได้รับการ "ฮดสรง" หรือว่ารดสรงน้ำนี้ ถ้าถึง ๓ ปีต่อเนื่องกันเขามีคำนำหน้าว่า "จารย์" อย่างเช่น อาตมภาพถ้าไปอยู่ที่นั่น ได้รับการสรงน้ำ ๓ ปีติดกัน เขาจะเรียกว่า "จารย์เล็ก" เหล่านี้เป็นต้น แต่ถ้าหากว่าได้รับการสรงน้ำต่อเนื่องกันไปหลายต่อหลายปี ก็จะเปลี่ยนจากจารย์เป็น "ญาครู"

    คำว่า "ญาครู" นี้มาจากศัพท์สองคำ คำแรกก็คือ "อาชญา" คำที่สองก็คือ "พระครู" ในเมื่อเอาคำว่า "อาชญา" คือ การลงโทษ มาต่อกับ "พระครู" แล้วกร่อนลงมาเหลือแค่ "ญาครู" ก็คือ "ครูบาอาจารย์ผู้ที่สามารถลงโทษผู้อื่นได้" เพราะว่าเป็นผู้ที่ทรงศีลทรงธรรม มีความรอบรู้และยุติธรรม สามารถเป็นผู้ที่ตัดสินความต่าง ๆ ในชุมชนของตนเองได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,719
    ค่าพลัง:
    +26,577
    ส่วนทางด้านภาคกลางของเรานั้น หลังจากที่ถวายน้ำสรงพระพุทธรูปแล้ว ก็มีการถวายน้ำสรงพระสงฆ์ จากนั้นก็ยังขออนุญาตรดน้ำดำหัวต่อผู้ใหญ่ที่ตนเคารพนับถือ อย่างเช่นว่า พ่อแม่ ปู่ย่า ตาทวด ตลอดจนกระทั่งผู้บังคับบัญชา เป็นต้น

    โดยประเพณีที่ดีงามของเรานั้น เราจะมีการเคารพผู้ที่สูงด้วย "วัยวุฒิ" ก็คือ อายุมาก ผู้ที่สูงด้วย "คุณวุฒิ" ก็คือ ความรู้ความสามารถมาก จึงไม่ได้มีการที่จะไปรดน้ำโดยตรง หากแต่ว่านำเอาน้ำขมิ้น ส้มป่อย ลอยดอกไม้ที่ตนเองหาได้ ตลอดจนกระทั่งหมากพลูและผ้าใหม่ ไปกราบขอพรจากญาติพี่น้องผู้ใหญ่ของตน หรือว่าผู้บังคับบัญชา ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็แค่จะจุ่มมือ วักน้ำใส่ตนเล็กน้อย หรือว่าพรมใส่ศีรษะให้กับเราด้วย อยู่ในลักษณะที่ว่ารับการเคารพจากเราแล้ว

    ไม่เหมือนกับสมัยนี้ที่เด็กบางคนก็ไม่รู้เรื่องอะไร ถึงเวลาสรงน้ำพระพุทธรูป ก็เทราดจากพระเศียรลงไปเลย..! หรือไม่ก็สรงน้ำพระสงฆ์ก็เทลงไปทีเดียวทั้งถัง เอาแต่ความสนุกสนาน โดยที่ไม่ได้ดูว่าบางทีตนเองกระทำในสิ่งที่ดูแล้วไม่งาม กลายเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย สร้างทุกข์สร้างโทษให้กับตนเองโดยไม่รู้ตัว..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,719
    ค่าพลัง:
    +26,577
    คราวนี้ทางราชการไทยของเรา ได้กำหนดให้วันที่ ๑๔ เมษายนของทุกปีเป็น "วันครอบครัว" ซึ่งวันครอบครัวนั้น ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรจากเรา แต่ว่าเราท่านทั้งหลายควรที่จะมีจิตสำนึกเองว่า บุคคลที่ดูแลเลี้ยงดูอุ้มชูเรามาตั้งแต่เล็กแต่น้อย บัดนี้แก่เฒ่า จะไปไหนก็ลำบาก มีอะไรที่พอจะช่วยเหลือให้ท่านมีความรู้สึกชื่นใจ อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ก็ควรที่จะกระทำ ไม่ใช่ว่ารอจนสงกรานต์แล้วโผล่หน้าไปให้เห็นครั้งเดียวในหนึ่งปี เรื่องพวกนี้จึงเป็นจิตสำนึกของพวกเราเองว่า จะทำอะไรเป็นการตอบแทนท่านบ้าง ?

    กระผม/อาตมภาพเองสมัยที่เป็นฆราวาส พอถึงเวลาวันอาทิตย์ได้หยุดงาน ๑ วัน ก็จะไปวัดในช่วงเช้า ก็คือ ไปทำสิ่งที่ตนเองชอบในเรื่องของการถือศีลปฏิบัติธรรม ในเวลาช่วงบ่ายก็ให้เวลากับโยมแม่ของตนเอง เพราะว่าโยมพ่อเสียชีวิตไปตั้งแต่กระผม/อาตมภาพเพิ่งจะอายุ ๑๖ ปี แม้ว่าจะมีเวลาเพียงเล็กน้อยก็พยายามที่จะไปหา

    แล้วเมื่อมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ก็แบ่งปันกับพี่น้องของตน เพราะว่าโยมแม่ไม่ชอบอยู่ที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ กลัวว่าลูกจะอิจฉาใส่กัน ก็ไปอยู่ที่นั่นครึ่งเดือนบ้าง อยู่ที่นี่เดือนหนึ่งบ้าง ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันในหมู่พี่น้อง ๑๒ คนที่เหลืออยู่ เนื่องเพราะว่าพี่น้อง ๑๓ คนนั้น มีพี่สาวเสียชีวิตไปก่อน ๑ ราย
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,719
    ค่าพลัง:
    +26,577
    อาตมภาพเอง..แม้ว่าจะเป็นพระ ถึงเวลาก็รับโยมแม่มาอยู่ด้วย ช่วงที่มาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน หลายท่านก็เห็นอยู่ ตอนนั้นแม่ชีบัวผัด โยมแม่ของแม่ชีชื่น (อุบาสิกาชื่น ศรีสองแคว) หัวหน้าแม่ชีวัดท่าขนุนก็ยังอยู่ คนแก่ก็เลยได้คุยกันทั้งวัน แล้วก็มีคนมาตั้งข้อสงสัยว่า "พูดกันคนละภาษา ทำไมคุยกันรู้เรื่องดีมาก ?"

    เนื่องเพราะว่าโยมแม่ชีบัวผัดนั้นคุยภาษาไทยโบราณ หรือที่บางคนเรียกว่า ภาษาลาวหนองบัว ส่วนโยมแม่อาตมภาพ เอ่ยมาประโยคหนึ่งบางทีมีถึง ๕ ภาษา..! ถ้าไม่ใช่ลูกหลานตัวเองฟังไม่รู้เรื่องแน่นอน แต่คนแก่ก็คุยกันรู้เรื่องดี แถมยังเจริญอาหาร คุยกันไปกินกันไป กลายเป็นอ้วนทั้งคู่แบบไม่รู้ตัว..!

    อาตมภาพเอง..พอถึงช่วงบ่าย ๆ งานน้อยลงก็แวะหาโยมแม่ ถามเรื่องเก่า ๆ ตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ? ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ? คนแก่ถ้าได้เล่าความหลังแล้วจะมีความสุข โยมแม่ก็เล่าให้ฟังไปเรื่อย ทั้ง ๆ ที่บางเรื่องอาตมภาพฟังมาเป็น ๑๐๐ ครั้งแล้ว..!

    ดังนั้น.ในเมื่อโยมแม่อยู่วัดไป วันหนึ่งก็ถามว่า "แม่มาอยู่วัดได้ ๒ เดือนหรือยัง ? เดี๋ยวคนอื่นจะคิดถึง" อาตมภาพก็หัวเราะ บอกว่า "โยมแม่อยู่วัดมา ๘ เดือนแล้ว พี่น้องอื่นจะฆ่าพระทิ้งอยู่แล้ว..!" เมื่อคนแก่อยู่แล้วมีความสุข ก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเร็ว
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,719
    ค่าพลัง:
    +26,577
    สิ่งที่เล่ามาเพื่อยกเป็นแบบอย่างให้แก่พวกเราทั้งหลายว่า พ่อแม่เลี้ยงดูเรามาด้วยความเหนื่อยยาก

    โดยเฉพาะโยมพ่อโยมแม่ของอาตมภาพเอง อาตมภาพมีเวลาอยู่กับท่านน้อยมาก ถ้าไม่ใช่ช่วงท้ายของชีวิต ได้ดูแลโยมพ่อ ๖ ปี จนเสียชีวิตตายคามือ ดูแลโยมแม่อีก ๓ ปี ก็แทบไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดโยมพ่อโยมแม่เลย เพราะว่าเมื่อตื่นขึ้นมาพ่อแม่ก็หายออกจากบ้านไปแล้ว ไปเรียนหนังสือหนังหา กลับบ้านมาทำหน้าที่การงานทุกอย่าง จนกระทั่งได้เวลานอนสลบไสล ไม่ทราบว่าพ่อแม่กลับมาตอนไหน ? เพราะว่าในครอบครัวมีลูกถึง ๑๓ คน พ่อแม่ต้องทำงานหนักมาก ในการเลี้ยงดูพวกเรามา แค่หาให้พอปากพอท้องของลูก ๑๓ คน ก็เป็นภาระที่สาหัสแล้ว..!

    พ่อแม่ยังมีนโยบายว่า "ลูกทุกคนต้องรู้หนังสือ" โดยที่กล่าวว่า "พ่อแม่ไม่รู้หนังสือ ทำอะไรก็เสียเปรียบเขา" ในเมื่อต้องส่งลูกเรียนจึงเป็นเรื่องที่หนักขึ้นไปอีกหลายเท่า อย่างที่เมื่อคืนเล่าให้ฟังว่า อาตมภาพไปโรงเรียนมาทั้งปี ไม่เคยได้สตางค์ไปโรงเรียนเลย หากแต่ว่าพอถึงเวลาพระครูธรรมธรแสงชัย กนฺตสีโล พระน้องชายเข้าชั้นประถมปีที่ ๑ ด้วยความว่าเป็นที่รักของพ่อแม่มาก ท่านก็เลยให้สตางค์ไปโรงเรียน ๕๐ สตางค์ อาตมภาพก็ไม่รู้ว่าเงินใหญ่ขนาดก๋วยเตี๋ยวชามละสลึงเดียวเท่านั้น ก็เลยไปซื้อข้าวเหนียวทุเรียนตามที่น้องชายอยากกิน ๕๐ สตางค์ เขาให้มาเกือบกะละมังหนึ่ง..!

    พ่อแม่ดูแลเรามาด้วยความเหนื่อยยาก โอกาสที่เราจะตอบแทนท่านเพื่อให้ท่านมีความชื่นใจ ได้รู้ว่าไม่เสียทีที่ได้ส่งเสียเลี้ยงดูเรามานั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนควรที่จะกระทำ
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,719
    ค่าพลัง:
    +26,577
    ปัจจุบันนี้เพื่อนของอาตมภาพท่านหนึ่ง ก็คือ ท่านเจ้าคุณประไพ - พระสุพรรณวชิรภรณ์ , ดร. (ประไพ ปุญฺญกาโม ป.ธ. ๓) เจ้าอาวาสวัดดอนเจดีย์ เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี โยมแม่ท่านเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ ทำอะไรไม่ถนัด เจ้าคุณประไพมีหน้าที่กลับบ้านทุกวัน ไปป้อนข้าวแม่ งานคณะสงฆ์ งานเจ้าอาวาส จะหนักหนาแค่ไหนก็ตาม ต้องนั่งสามล้อบ้าง นั่งสองแถวบ้าง นั่งรถมอเตอร์ไซค์บ้าง กลับบ้านไปเพื่อที่จะป้อนข้าวแม่ตัวเองทุกวัน

    อีกท่านหนึ่งก็คือ หลวงปู่ละเอียด - พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรสิทธาจารย์ (ละเอียด สุทนฺโต) เจ้าคณะภาค ๑๕ เจ้าอาวาสวัดคลองวาฬ (พระอารามหลวง) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตอนที่โยมแม่ท่านยังอยู่ ท่านก็เอามาไว้ที่วัด พอถึงเวลาตี ๓ ตี ๔ ท่านก็เข้าครัวทำอาหาร เพื่อที่จะเอาไปให้โยมแม่ตัวเอง บรรดาพระภิกษุสามเณร ตลอดจนญาติโยมเห็นแล้วก็บอกว่า "หลวงพ่อพักเถอะ เดี๋ยวพวกผมจะทำให้เอง" ท่านบอกว่า "ไม่ได้ พวกคุณไม่รู้ว่าแม่ผมชอบกินอะไร ?" นี่คือสิ่งที่พระเถระผู้ซึ่งประกอบด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ และคุณงามความดีของคณะสงฆ์ ท่านก็ยังทำกันเป็นปกติ

    ดังนั้น..ในวันครอบครัวของวันมหาสงกรานต์ ๑๔ เมษายนนี้ ท่านใดที่มีพ่อมีแม่อยู่ ถือว่ายังมีโอกาส ขอให้ทุกท่านพยายามใช้โอกาสนี้ ในการทำสิ่งที่ท่านชอบใจ บางท่านโกรธกับพ่อกับแม่ตัวเอง บางท่านไปเคยไปหาเลย ไม่กล้าเข้าหน้าพ่อแม่ตัวเอง อาตมภาพแนะนำว่าหาผ้าใหม่ พวงมาลัย ตลอดจนกระทั่งสตางค์ ใส่ซองไปเยอะ ๆ ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนรังเกียจเงินหรอก โกรธลูกขนาดไหน ยื่นสตางค์นำไปก่อน เดี๋ยวท่านก็ยอมรับเราไปเอง แล้วเราฉวยโอกาสกราบขอขมา อะไรที่เคยล่วงเกินพ่อแม่เอาไว้ อย่าให้เป็นทุกข์เป็นโทษกับเราสืบไป

    ไม่เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่กระผม/อาตมภาพเคยเห็นมาและชัดเจนที่สุดก็คือ ใครเคยทำอะไรกับพ่อแม่ไว้ จะได้เห็นผลชัดเจนในปัจจุบันนี้แทบทุกคน เหมือนอย่างกับที่ในสมัยนี้เขาเรียกกันว่า "กรรมติดจรวด..!"

    ดังนั้น..ขออโหสิกรรมต่อพ่อแม่ รดน้ำดำหัวท่านในช่วงสงกรานต์ แล้วในระหว่างปี มีโอกาสก็แวะเวียนไปหาท่านบ้าง
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,719
    ค่าพลัง:
    +26,577
    กระผม/อาตมภาพเองแม้ว่าไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่แล้ว แต่ว่ากับพระเถระที่เคารพนับถือ แม้ว่าท่านจะเกษียณไปแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ยังแวะเวียนไปมาหาสู่อยู่เสมอ เพื่อนฝูงบางท่านพูดมาแบบไม่เข้าหูว่า "ยังจะไปมาหาสู่ทำไม ? ท่านไม่สามารถให้คุณให้โทษอะไรแล้ว..!"

    แต่กระผม/อาตมภาพไม่ได้มองในลักษณะนั้น ตอนที่ท่านยังอยู่ในหน้าที่ ในตำแหน่ง ท่านเคยช่วยเหลือเรามา ถึงเวลาท่านพ้นตำแหน่งแล้ว เราไปมาหาสู่ในลักษณะไม่ลืมบุญคุณ รู้ว่าท่านสร้างคุณงามความดีไว้กับเรา เราก็ทำสิ่งดี ๆ ตอบแทนท่านไปบ้าง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า "นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา" ความกตัญญู คือ รู้คุณท่าน กตเวทิตา คือ การตอบแทนคุณที่ท่านได้ทำเอาไว้ นั้นเป็นเครื่องหมายของคนดี

    พวกเราทั้งหลายบางทีหาโอกาสเข้าหน้าผู้ใหญ่ก็ยาก ทะเลาะเบาะแว้งกันเอาไว้ ไม่อยากจะใกล้ชิดก็ไม่เป็นไร อาศัยช่วงจังหวะของเทศกาลที่เป็นวันดีวันงามเหล่านี้ เข้าไปหาท่านตามวิธีการที่ได้แนะนำเอาไว้ให้ ขอขมา ขออโหสิกรรม ถ้ามีโอกาสก็ช่วยดูแลท่านบ้าง อย่างน้อย ๆ ถึงเวลากุศลนี้ตอบมา เราเองแก่ตัวไปก็จะไม่ยากลำบากจนเกินไปนัก
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,719
    ค่าพลัง:
    +26,577
    รับหน้าที่วิสัชชนามาในกตัญญูกตเวทิตกถาก็พอสมควรแก่เวลา

    ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะเป็นประธาน ขอได้โปรดดลบันดาลให้ญาติโยมทั้งหลายอยู่รอดปลอดภัยในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใด ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมแล้ว ขอบารมีแห่งองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย มีหลวงปู่สาย อคฺควํโส อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนเป็นที่สุด ได้โปรดดลบันดาลให้ความปรารถนาของท่าน จงสำเร็จสัมฤทธิ์ผล สมดังมโนรถจงทุกประการ

    รับหน้าที่วิสัชชนามาก็พอสมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์วันสงกรานต์ ณ วัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...