เทคนิคการรวม ธรรม เทพ จักรวาล ครั้งที่ 1

ธรรมะ ขององค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า เป็นที่สุดในการพัฒนาจิตให้หลุดออกมาจาก สังสาวัฎ สุดแต่ท่านจะค้นพบด้วยวิธีการใด

พระพุทธเจ้า ทรงเดินนำ ครูบาอาจารย์ ได้ทำให้ดู และให้เราแค่เดินตามเท่านั้น เดินตามด้วยสติ สติปัญญา และ ความมุ่งมั่นที่จะเดินตาม

แต่ในขณะที่เดินตาม ท่านจะพบกับ ความเป็นเทพ และ จักรวาล ท่านจะหยุด หรือจะไปต่อ มีหลายท่านที่หยุด และถูกฉุดให้หยุด ด้วยกรรมวิธี หลอกล่อ หลอกลวง หลงเชื่อ และ ศรัทธา ถามว่า ผิดไหม ไม่ผิดเลย แต่ทำให้ท่านไม่พัฒนา เพื่อสิ่งที่สูงขึ้นไปอีกได้

การพัฒนา องค์รวมทั้งสาม มารวมเป็นหนึ่งนั้น ท่านต้องหยุด ยึด ครอบครอง ในสิ่งที่มีทั้งสาม การยึด ไว้ ไม่ทำให้ สิ่งทั้งสามนี้ อิสระ

และ หนทาง การเดินทาง ก็จะถูกหยุด ไว้เพียงแค่นี้

การรวมผสม จะถูกถ่ายทอดจากผู้รู้ที่แวะเวียนเข้ามา จากหลายสาขา
ในสิ่งที่ท่านเห็นจากตัวอักษร และจากพลังงาน

และ เราขอภาวนาให้ท่าน ได้เจอ บานประตู ของท่านเอง ที่มีเฉพาะตัว

ไม่มีการสับเปลี่ยน ไม่มีการถูกแย่ง มีแต่ประตู จะเปิดทุก ๆครั้งที่ท่านค้นพบมัน
ใครมี สิ่งนี้ ยกมือขึ้น
เดมีดี

 

ธรรม คือธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
เทพ คือสิ่งที่มนุษย์ในสมัยก่อนสมมุติขึ้นหรือตั้งชื่อขึ้นแทนความดีและความชั่วในอดีตกาล
จักรวาลคือสิ่งที่มีอยู่แล้วและยังมีอยู่เป็นตัวสอนให้คนเราเข้าใจหลักการของการพึ่งพาซึ่งกันและกัน เชื่อมโยงกันอย่างไร
สั้นๆง่ายๆ เข้าใจไหมหนอ

 

เราไม่ได้บอกว่าเราคือผู้รู้ แต่เราคือผู้เรียน ในสิ่งนี้ การเรียนมีหลายวิธี การสื่อสารมีหลายแบบ และ เราเองก็เรียนจากท่าน เช่นกัน

ทุก ๆ ท่าน มี คุณค่าแห่งการเป็น คุรุ หลาย ๆที่บอกว่า คุรุ คือผู้รู้
แต่สำหรับเรา คุรุ คือ บุคคล คนหนึ่ง ที่ผ่านประสบการณ์ การรู้แจ้งแห่งตน ไม่ใช่การเรียนจากตำรา มันเป็นสิ่งที่ได้บังเกิดขึ้นกับ คุรุ ทางจิตวิญญาณ สุดแต่ทางเข้าใจถึงหรือไม่

หากท่าน ใช้แค่เพียง เปลือก ในการจ้องมองดู และ แค่เข้าใจเปลือก ท่านก็ไม่เข้าใจแก่นเลย ธรรมชาติ มีแก่นแท้ และธรรมชาติคือบ่อเกิดสรรพสิ่ง ที่ เรียกว่า จักรวาล
และ มีผู้อาศัยอยู่ มากมายในจักรวาลใบนี้ รวมทั้ง โลก เราด้วย

เรา ยังต้องเรียนอีกมาก จาก คุรุ และ ต้องฝึกอย่างหนัก กับสิ่งนี้ ทุก ๆวัน จนกว่าความเป็นธรรมชาติของทั้งสามจะเกิดขึ้น

เราเป็นเพียง คนธรรมดา เท่านั้น และ เราก็คิดว่า ท่านเองก็ทำได้ เช่นเดียวกับเรา

จะมาเป็นหนูทดลองกันไหม มาไหม.....ตามมา

 

เรา มีคำถาม มาถาม ท่านทั้งหลาย

การเรียนรู้ของท่าน อยู่บนพื้นฐานของอะไร อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากได้รับการยอมรับ อยากเก่ง หรือ อยากมีเรื่องเล่ากับเค้าบ้างว่าท่านรู้

เราจะบอกว่า เราเริ่มเรียนอย่างไร
ตั้งแต่เด็กจนโต มันขึ้นจากความรู้สึก สังหรณ์ และ เกิดขึ้น เราไม่รู้ว่าเค้าเรียกว่าอะไร
แค่รู้สึก เราก็ทำบุญเหมือนคนทั่ว ๆ ไป และ ชอบมาก ที่ไปหาหมอดู คนทรง เราชอบไปดูว่าเค้าทำอะไรกัน ไม่ใช่ไปขอความช่วยเหลืออะไร มันเป็นความช่วยเหลือที่คนอื่น ๆ เห็นว่าเราควรขอความช่วยเหลือด้านนี้ เราก็ไป

สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา มันไม่ใช่สิ่งที่เราเข้าไปแบบนี้หรอก
มันเกิดขึ้นกับการใช้ชีวิต ในปกติ ยามทำงาน กิน อยู่หลับนอน และปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อันนี้คือเปลือก ของการเดินทาง

ส่วนที่เป็นแก่น คือ สภาพจิตใจ ที่เราเริ่มผิดสังเกต ตนเองมากขึ้น เห็นแปลกขึ้น ได้ยินแปลกขึ้น มันไม่ต่างจากพวกท่านเลย เราเกิดความกลัว มากกว่าการเรียนรู้ และ ปฎิเสธ ทุกอย่างที่มี กลับการเป็นการเร่งรัดไปเสียอีก และก็ทำลืม ๆ มันไปซะ ใช้ชีวิตปกติ

จนมาเมื่อเข้ามาบวช 3 วัน ไปเป็นเพื่อนแม่ และหลังจากนั้น ชีวิตถูกทดสอบตลอดเวลา
ถึง คุณค่าแห่งจิตวิญญาณ ที่บอกว่าดีหรือไม่ดี และที่หนักสุด คือการเข้าถึงสภาวะแห่งเทพ ที่คุณจะเลือกหรือไม่เลือก เราเลือกที่จะตายมากกว่าที่จะเลือก ก็นอนป่วย 3 ปี คือการทดสอบทางจิตที่ยิ่งใหญ่ในเวลานั้น และหลังจากนั้น 3 ปีหลายสำนักตอนนั้นเค้าทักว่า เรามีองค์ มีองค์ แล้วทำไม องค์อยู่ส่วนองค์ไม่เกี่ยวกัน เราคือ คนธรรมดา สวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญ และทำสมาธิ

นั่นคือที่มาของการเรียนสมาธิครั้งแรก แบบปฎิบัติ ซึ่งทุกท่านมีอยู่แล้ว
เทคนิค ไม่มีอะไร ธรรมชาติแห่งการเคลื่อนที่ของจิตและกาย ในสายต่าง ๆ สามารถหาอ่านได้ในเว็บนี้ และผู้รู้ทางจิตเทพ และจิตธรรม ทุกท่าน

และต่อไป เราจะพูดถึง จักรวาลและพลังจักรวาลรวมทั้งมนุษย์ต่างดาว ที่ไปเรียนรู้มาใน ความรู้สึกนึกคิดของเรา การเรียนจริง ๆ ตอนนี้ก็ยังเรียนอยู่ และได้ถูกพัฒนาไปบ้างแล้ว

 

หลายคนบอกว่า เป็นมนุษย์ต่างดาว เป็น เทพ และเป็นผู้มีอภิญญา

แต่ที่เรา รู้สึกได้ ไม่ใช่ภาพที่เห็นด้วยตา มันเป็นความรู้สึกของจิต และก็เริ่มสังเกต ถึงความแตกต่าง ของสามสิ่งนี้ รวมทั้ง คุรุได้แนะนำ ชี้แนะ ทำให้ดู สารพัดข่มขู่ เพื่ออะไร เพื่อให้เห็นเข้าไปในจิตของตน คุรุที่ว่า เราบอกได้ว่า คุรุของทั้งสามสายนี้เลย
เราไม่รู้หรอกว่าท่านสูงส่งแค่ไหน ท่านมีภูมิธรรมแค่ไหน รู้แต่ว่า มาบอกมาสอนก็เรียนไป

ต่างคนต่างสอน เหมือนเราคือ ถังขยะ แวะเวียนมา ทิ้งขยะทางความรู้ที่ท่านไม่ใช้แล้วและ ให้ลองเล่นดู

เมื่อร่างกายต้องรับ ภาระ ที่ไม่ได้อยากเลย ทำอย่างไรละ ก็หาหนทางหนีซิ ใครจะเรียน การเรียนมันค่อมกับความอยาก และมันก็คือกิเลส ตัวหนึ่งเช่นกัน เรียนไปแลกข้าวได้ไหม ถามหน่อย.......

เปิดหัวใจ ใส ใส แล้วส่ายเข้ามา นะจ๊ะ......

 

การเรียนรู้มีหลายอย่างเรียนให้เกิดปํญญาความรู้ให้ทันต่อโลก เรียนเพื่อเอาไปใช้ประโยชน์ต่อหน้าที่การงาน การพัฒนา ทุกอย่างเรียนเพื่อตัวเองทั้งนั้นแต่ในทางจิตวิญญาณยิ่งอยากก็ยิ่งไม่ได้ ตัวรู้ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันตัวกระตุ้นของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน การรู้ก็มีรู้จากการเรียน จากตำรา จากอดีต จากคำสอนและก็จากเขาว่ามา รู้ต้องรู้ให้จริงรู้ด้วยใจไม่ใช่จำคนอื่นมาหรือท่องจำมา เรียนมาแล้วต้องปฐิบัติได้ มีผลได้
มีบทสัมพุทเธ แปลมาให้อ่านกัน
๑. (ยุคที่หนึ่ง) ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ห้าแสน หนึ่งหมื่น สองพัน ยี่สิบแปดพระองค์ (๕๑๒,o๒๘) ด้วยเศรียรเกล้า ขอนมัสการพระธรรมและพระสงฆ์ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ด้วยความเคารพ ด้วยอานุภาพแห่งการ นอบน้อมนี้ ขออุปัทวะและอันตรายทั้งปวง จงระงับดับไป โดยไม่มีส่วนเหลือ ฯ
๒. (ยุคที่สอง) ข้าพเจ้าขอนอมน้อมแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลายหนึ่งล้านสองหมื่น สี่พันห้าสิบห้าพระองค์(๑,o๒๔,o๕๕) ด้วยเศรียรเกล้า ขอนมัสการพระธรรมและพระสงฆ์ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นโดยเคารพ ด้วยอำนาจแห่งการนมัสการนี้ ขออุปัทวะและอันตรายทั้งปวง จงพินาศสูญหายไปโดยไม่มีส่วนเหลือ ฯ
๓. (ยุคที่สาม) ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย สองล้าน สี่หมื่น แปดพัน หนึ่งร้อย เก้าพระองค์ (๒.o๔๘.๑o๙) ด้วยเศรียรเกล้า ขอนมัสการพระธรรมและพระสงฆ์ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น โดยเคารพด้วยอานุภาพแห่งการนมัสการนี้ ขอให้อุปัทวะและอันตรายทั้งปวง จงพินาศสูญหายไป โดยไม่มีส่วนเหลือ เทอญ ฯ
รวมทั้งสิ้นมี(๓.๕๘๔,๑๙๒) สามล้าน ห้าแสน แปดหมื่น สี่พัน หนึ่งร้อย เก้าสิบสอง พระองค์
รวบรวมและเรียบเรียง แปลโดย พระ ดร.ปรีชา มหาภิงสนากร
นี่ก็เป็นความรู้เป็นยุคสมัยแตกแยกกันเป็นรุ่นๆไป จริงไหมหนอ

 

เมื่อถูกยัดเยียดให้เรียน เด็กนักเรียนอย่างเรา มีหรือ จะเชื่อครู ตอบ ยากค่ะ
เราต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง จนชัดแจ้งว่า สิ่งที่คุรุพูด นั้นเป็นจริง การเห็นแจ้งจะเกิดขึ้นได้ ในสภาวะหนึ่ง ที่มิได้ปรุงแต่ง มันจะแตกต่างจากหลายท่านที่ปรุง ปรุงมันจริง ๆ และก็ไม่รู้จะปรุงไปทำไม แต่เมื่อเรามีสภาวะถูกปรุงเช่นกัน เราต้องเอาปัจจุบันของจิตตรวจสอบ เป็นไปไม่ได้ ความละเอียดที่ต้องตรวจสอบจะพัฒนาขึ้น ถ้าท่านไม่มีความเชื่อเป็นพื้นฐาน ไม่มีความศรัทธาครูอาจารย์จนมากเกินกว่าความถูกต้อง ดูอย่างไร ก็ดูใจท่านเองซิ ดูเข้าไปลึก ๆ ดูมันบ่อย ๆ

เราไม่ได้ว่าครูอาจารย์ท่านผิดนะ คนละประเด็น แต่เราบอกว่า ครูอาจารย์นั่นแหละที่เป็นผู้ พยายามชี้นำให้ออกนอกทาง และท่านจะต้องเป็นผู้นำตนเองกลับมาให้ถูกทาง งงไหม
ไปฝึกแล้วจะรู้

เอ๋ ท่านรู้จัก ออร่าไหม จักระ และ สภาวะธรรม หรือเปล่า เปิดหรือยัง

 

ท่านที่สนใจ ในสิ่งนี้ สามารถแสดงความจำนงค์ว่าต้องการเรียนรู้ได้ค่ะ

เรามาเป็น มนุษย์ คลื่นพิเศษกัน

มนุษย์คลื่นพลังสะอาด แถมน้ำยาล้างให้หนึ่งขวด ....555+++

 

หนทางการเรียนระดับที่ 1 (การเรียนหลักเร่งรัด จากการปฎิบัติ มาอธิบายให้แค่พอเข้าใจ)
1.สมาธิ ทั้งสายสมถะ วิปัสสนา กสิน และอภิญญา
เป็นสิ่งที่ท่านต้อง ปฎิบัติ เป็นฐานแรก ของการก้าวเข้าสู้การผสมรวม หากท่านไม่แน่น พื้นฐานไม่ดี และ ชอบคิดว่าตนมีตนเป็น สอบตกค่ะ
เราจะเรียนรู้เอาเฉพาะ การรู้สึกแห่งจิต และสติ ที่ถูกขัดเกลาจนเชี่ยวชาญแล้ว คำว่าเชี่ยวชาญในที่นี้ ไม่ได้บอกให้ท่านไปบวช สัก 10 ปี หรอกนะ

หลักพื้นฐานคือ การหายใจ ร่างกาย และ สติ

ถ้าหากในระหว่างทำสมาธิ และเกิดการรู้เห็น เห็นแจ้ง สุดแต่จิตจะหลอกล่อ ก็ทิ้งให้หมด
ไม่ว่า มันจะคือของจริงหรือไม่ จริงก็ทิ้ง ไม่จริงก็ทิ้ง สติแค่เพียง รู้สึกว่าท่านหายใจอยู่ นั่งอยู่ และ ท่านกำลังสบาย ไร้การยึดใด ๆ ไร้ตัวตน

ไม่ได้หายตัวนะ อย่าหายตัว ตัวยังอยู่ ไม่ไปไหน

 

พรุ่งนี้มาใหม่ ไปวอร์มสมาธิกันก่อนนะ.......บายจ๊ะ

มีโทรด่วนมาบอก ลงเพิ่มให้หน่อย คุรุโดดอัด 555+++

เห็นมั้ย เราไม่รู้เรื่องพลัง ไปอัดเค้าเสียแล้ว

คำถามมาบอก ใครเห็นสี แสงสี ที่วิ่งในสมอง ตอนสมาธิ มาเริ่มเรียนได้เลย นะ นะ

 

เวลาทำสมาธิ ผมชอบเหนทั้งที่หลับตานะคับ มีสีม่วงบ้าง สีน้ำเงินบ้าง สีเขียว บ้าง

มันเปนอะไรเหรอคับ

 

ตอบแบบเรานะ ไม่รู้ หนูไม่รู้ .....
แต่ คุรุบอกว่า ดีแล้ว ดีแล้ว เชื่อมแล้วเบาสบาย ปล่อย ปล่อย ยินดีด้วยนะสำเร็จแล้ว งง ..........แฮ่ไม่บอกว่าใคร
คุรุอีกท่านบอกว่า ดี จับให้มันไล่ไปแต่ละจักระ และฝึกเปลี่ยนสีให้ได้ การเปลี่ยนคือการใช้สภาพของจิต ที่ไม่ปรุง ไม่ตั้ง ไม่คิด เบาสบาย ๆ หรือการนึก อันนี้ประเด็นปรุงนะ ถึงแหล่งที่มาของสี และผสมรวมกัน แต่เมื่อปรุง พลังมันมีสิทธิ์เดี่ยงได้ และวิธีปรุงทำให้หลายท่านเดี้ยงแบบไม่รู้ตัว

คุรุอีกท่านบอกว่า ข้าพเจ้ามาแล้ว จงเปิดทางของเจ้าให้เราผ่าน เสียตอนนี้ และเปิดการไหลของพลัง ไม่ต้องรู้ ไม่ต้องดู ข้าพเจ้าทำเอง (ถ้ามาแบบนี้นะ เรานอนเลย ทำไป จัดให้ เพราะขี้เกียจต้านทานแรง เคยลองต้านปวดหัวไปสามวัน พอรู้วิธีลดอาการบาดเจ็บนะ เลยขี้เกียจเลย นอนสบาย ตื่นมาสดชื่น)

ลองผ่อน ๆ แบบ แอ๊บ ๆ ๆ ไม่ต้องไปจ้องดู ผ่านไป ๆๆ

พลังธรรมชาติ จะสังเกตเห็นได้เมื่อ พระอาทิตย์ระเบิดแรง ๆ พลังมันก็มาแรงไปด้วย ไม่มีแต่พลังของพระอาทิตย์หรอก มาหมด

พูดแบบตลก ๆ นะ เปิดกระโหลกให้มันเข้าเถอะ จะดีเอง.........

อันนี้ความรู้ของเดมีดี ที่มีเล็กน้อย จากการฝึก

 

?......................................?

 

โธ่ นึกว่ามีคำถาม แป๋ว ๆ ๆ ๆ

 

ชอบสไตล์ การเขียน ของเดมีเด ใสๆซื่อๆตรงๆมันๆดี

 

เอ๊าะโทษทีจ๊ะ ไปเปลี่ยนชื่อเค้าใหม่อีกเรา เดมีดี จ๊ะ

 

เเลัวถ้าเห็นสีนํ้าตาลละค่ะ เเลัวต้องรอไห้ตอนเที่ยงคืนด้วยถึงจะนั่งสมาธิสงบค่ะ อิอิ ขอถามบ้าง อิอิ ไห้ไหลผ่านมาเเลัวผ่านไปใช่ไหมค่ะ เเลัวพลังธรรมชาตินี้จะไหลผ่านร่างกายของเราอย่างง่ายเเลัวอย่ายึดติดใช่ไหมค่ะ (ไม่ใช่ผู้รู้นะค่ะ)เเลัวจะสงบเอง เคยมีใครมาสอนเเลัวมาเปิดอระไรไม่รุ้ไห้(ไม่ใช่คนนะค่ะ)เลยเข้าใจอระไรบางอย่าง อ่านเเลัวน่าฟังต่อ เคยมีประสบการณ์เเบบนี้เหมือนกันค่ะ อิอิ เเต่จะไปถามใครได้ละ ไอ้เราเด็กนอก เหมือนมีใครมายัดความรู้ใส่สมอง อิอิ

 

สุดยอด ๆ

มาสอนต่อนะ กะลังเพลินเลย

 

ประเด็นคำถาม ตอบแบบรวม กวน ๆๆ นะ

แต่ละคนไม่เหมือนกันเลย ห้ามไปคาดเดา เหมือนกัน เหมือนเค้า แล้วบอกว่าถูก อันนี้ไม่ใช่ สังเกตจากอาการหลายท่านที่ฝึกพร้อมกัน

ให้ดูที่เราเป็นหลัก มีหลายแง่ให้ศึกษา
1. แง่ พระธรรมและสมาธิ จิตปรุง หรือไม่ แน่ใจไหมว่าไม่ปรุง แน่ใจไหมว่าไม่นำ แน่ใจไหมว่าไม่ตั้ง ความเป็นธรรมชาติขององค์รวม ทั้งสาม เกิดขึ้นได้ดีหรือยัง คือ ร่างกายเบาสบาย ไร้การเกร็ง แข็ง ทื่อ สบาย ๆ ไม่อึดอัด การหายใจ สม่ำเสมอยาว ต้องเน้น ยาวเท่านั้น สั้น ๆ หยุด ๆ กระฉอกเป็นน้ำท่อที่ออกมาแล้วมีลมออกมาด้วย ไม่เอา เอาแบบน้ำไหลต่อเนื่องเป็นสายยาวเลย เรียวเล็กเบาบาง สม่ำเสมอ เมื่อสองสิ่งแรกเข้าที่ สมาธิจะค่อยเกิดขึ้นอย่างมีสติ และรวมทั้งสามเป็นหนึ่ง และให้มันไหลลื่นเป็นธรรมชาติของจิต มีเพียงสติประคองอยู่ เมื่อถึงเวลาเหมาะ อันนี้ต้องหาเอง จะรู้ว่า กำลัง เกิดขึ้น
2.บางท่านที่เห็นแสงสีต่าง ๆ ตามความเข้าใจคือ จักระได้เปิดแล้วและกำลังทำงานอยู่ มันจะเป็นเหมือนคลื่นเบา ๆ ม้วนตัว หรือจะเป็นลำ หรือจะอะไร ให้รู้สึกตัวเท่านั้น ใหม่ ๆ ขอให้ดูและทำความรู้จักมันก่อน ว่ามันเปลี่ยนไปแบบไหน อยู่นานแค่ไหน เปลี่ยนลักษณะและเคลื่อนที่หรือไม่ เพราะ มันหมายถึงการเกิด การเดินของคลื่นพลัง (ในที่นี้ยังไม่พูดถึงจุดแก้ไขนะ เก็บไว้ก่อน) แค่สังเกต

 

<TABLE class=tborder id=post5096536 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ทิวลิปขาว<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5096536", true); </SCRIPT> มาช่วยกัน อย่าเก็บความรู้ไว้คนเดียวเลย นะ นะ

เทคนิคของแต่ละคน มันมีดี น่าศึกษาออก

อย่าเกรงใจถ้าจะช่วยสอนช่วยเล่า

เราชอบอ่าน และหลาย ๆ ท่านก็ต้องการข้อเปรียบเทียบ

มาเลยนะ พลังสะอาด 55555+++
</TD></TR></TBODY></TABLE>