อิทธิฤทธิ์หรือความบังเอิญ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๔ ครูบาพรหมจักรสังวร

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 30 กรกฎาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    อิทธิฤทธิ์หรือความบังเอิญ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๔ ครูบาพรหมจักรสังวร
    [​IMG]
    (หรือ “พระสุพรหมยานเถระ” หรือ “ครูบาพรหมจักโก”

    แห่งวัด “พระพุทธบาทตากผ้า” จังหวัดลำพูน)

    ........ก่อนหน้านี้ผมพอทราบเลาๆ ว่า พระคุณเจ้าเป็นพระสงฆ์ที่สำรวมอย่างยิ่ง ท่าทางติ๋มๆหนิมๆ แต่ไม่ทราบว่าท่านดีกว่านั้นอย่างไร ก่อนที่ผมจะได้ไปพบ มีลูกศิษย์หลวงพ่อฯมาเล่าให้หลวงพ่อฯฟังว่าไปนมัสการท่าน แล้วมีคนถามท่านว่า เขารู้ว่าท่านทรงอภิญญาและจะไม่ต้องเกิดแล้ว (หมายถึงเป็นพระอรหันต์แล้ว) แต่ท่านไม่ยอมพูดด้วย

    .........หลวงพ่อฯ ของเราจึงยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ท่านวัดพระบาทตากผ้าทรงคุณธรรมอย่างนั้นจริงๆ ต่อมาเมื่อหลวงพ่อฯ ของพวกเราพาพวกเราไปนมัสการ ก็ได้มีการถามไถ่ไล่เลียงกันอย่างมีชั้นมีเชิง ใครอยากรู้ว่าท่านถามไถ่กันอย่างไรให้ไปหาอ่านเอาจากหนังสือ “ฤาษีทัศนาจร หรือ ล่าพระอาจารย์”

    .........เพราะการถามนั้น จะต้องระมัดระวังหน่อย ด้วยเคยมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า ครั้งหนึ่งท่าน พล.ต.ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปเรียนถาม ท่านนรรัตน์ภิกขุ (ท่านเจ้าคุณนรฯ) ดื้อๆ ว่า ได้ข่าวว่าพระเดชพระคุณสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว และท่านได้ตอบมาสั้นๆ ว่า “บ้า”

    แต่สำหรับงานนี้ก็สรุปได้ว่าหลวงพ่อฯ ของเราก็ไม่ได้ถามตรงๆ แต่ถามอย่างมีชั้นเชิงว่างั้นเถิด ท่านก็ตอบโครมๆ ผู้ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อฯ ของเราในวันนั้น ที่ได้ยินได้ฟังอยู่บ้างก็เข้าใจบ้างก็ไม่รู้เรื่องว่า ท่านทั้งสองโต้กันว่าอย่างไร แต่หลวงพ่อฯ ของเราสิครับ ถึงจะเรียกได้ว่าแน่จริง ถามประโยคหนึ่ง แล้วก็หันมาอธิบายขยายความให้ลูกศิษย์ทุกคนได้เข้าใจในทันทีทันใดนั้นเอง

    แล้วยังหันกลับไปถามท่านพระบาทตากผ้าอีกว่า จริงไหมขอรับ ถูกต้องไหมขอรับ ที่กระผมได้อรรถาธิบายให้ลูกศิษย์ของกระผมได้เข้าใจ ท่านพระบาทฯ ท่านก็คิดแล้วเอียงคอตอบว่าถูกๆ พอรับปากว่าถูกๆไปเรื่อยๆ (จนกระทั่งเรียกว่าถลำเข้ามาจนสุดตัวแล้วนั่นแหละครับจะเห็นภาพที่ชัดเจนดีกว่า) หลวงพ่อของเราก็หันขวั๊บ..กลับไปประจันหน้าทันที ถามว่า “เอ๊ะ! พระคุณก็ยอมรับสิขอรับว่า พระคุณเจ้านั้นเป็นพระอรหันต์แล้ว”

    คราวนี้สิขอรับ..ญาติโยมทั้งหลายเงียบกริ๊บ..! ตาจ้องมองไปที่ท่านพระบาทตากผ้าไม่กระพริบ ส่วนหูก็คอยเงี่ยฟังคำตอบ และในส่วนของท่านพระบาทตากผ้าฯปรากฎว่า มือไม้ของท่านไม่ได้หยุดอยู่นิ่งแล้ว จับโน่นจัดนี่ให้วุ่นวายไปทีเดียวเชียวขอรับ มองคนนั้นทีคนโน้นสองที ค้อนหลวงพ่อฯของเราอีกห้าที มองฟ้ามองดินอีกยี่สิบทีกว่าจะแสร้งทำเป็นครางพึมพำว่า “อือๆฮือๆ”

    แท้จริงก็เป็นการยอมรับยอมแพ้นั่นเอง แต่ต้องสงวนท่าทีเอาไว้ ของสวยของงามของมีสกุลมีศักดิ์ศรีจู่ๆจะมายอมกันง่ายๆได้ก็เสียเชิงพระสุปฏิปันโนหมด หลวงพ่อฯของเราสำทับไปอีกสองครั้ง ท่านก็ยังวางมาดร้อง “อือๆ” อยู่ในลำคออีกทั้งสองครั้ง หลวงพ่อฯของเราจึงกล่าวขอขมาว่า

    “ลูกศิษย์ของกระผมนั้นยังมีความสงสัยข้องใจว่าในยุคนี้ยังจะมีพระอรหันต์หลงเหลืออยู่อีกหรือ กระผมจึงจำเป็นที่จะต้องแสดงความจริงให้ปรากฎ”

    คราวนี้ก็ฮา..กันทั้งวงน่ะสิ ขอรับ ว่ากันงอหาย ชื่นอกชื่นใจกันไปทั้งหมด และเมื่อยอมเปิดแล้วดูท่านพระบาทตากผ้าสบายอกสบายใจเป็นอันมากสรวลเสเฮฮา เออออห่อหมกดีไปหมด หายเคร่งคลายเครียด กระผมเองนั้นก็บอกแล้วว่าเพิ่งจะภาวนาพุทโธเป็น แต่ก็รู้สึกสนุกสนานเป็นที่ยิ่งนัก ยิ่งได้เห็นพระคุณเจ้าทั้งสองกอดไม้กอดมือกันสนิทสนมกัน ผมงี้น้ำตาแทบร่วง ไอ้เรานึกว่าเรานี้เป็นคนใจอ่อนแล้ว หันกลับมาดูพี่ ป้า น้า อา โอ้โฮ.....ร้องไห้กันกระจองอแง อะไรกันหนักกันหนา เอาเถิด นี่มันเป็นปีติน่ะ

    หันกลับมาอีกที อ้าว! ท่านพระบาทตากผ้าเทศน์เสียแล้ว คราวนี้ว่าตั้งแต่ “พระโยคาวจร พระโสดาปฏิมรรค-ผล พระสกิทาคามีมรรค-ผล พระอนาคามีมรรค-ผล พระอรหัตตมรรค-ผล” พอจบแล้วยถาสัพพีทันที (มาทราบภายหลังจากท่านผู้รู้บางท่านได้ให้อรรถาธิบายว่าที่ท่านพระบาทตากผ้าท่านแสร้งทำเป็นจัดผ้าจัดผ่อนนั้นเป็นวิสัยประจำองค์ท่านอย่างหนึ่ง และก็เพื่อเป็นการลอบใช้เจโตปริยญาณตรวจสอบดูว่า สมควรหรือไม่ประการใดที่จะตอบ จะรับอะไรอย่างใดกับใครหรือกับกลุ่มบุคคลไหน ซึ่งใช้เวลาตรวจอย่างรวดเร็วเพียงแค่เอามือดึงสังฆาฏิให้เรียบร้อย ท่านก็ตรวจเสร็จแล้วและพร้อมที่จะตอบ)

    คราวนี้ก็จะขอเก็บเกร็ดจากการซักการถามบ้างเท่าที่จะพอจำได้และเห็นสำคัญนะครับ ท่านบิดาของท่านพระบาทตากผ้าท่านชื่อ “ครูบาพ่อเป็ง โพธิโก (พิมสาร)” ซึ่งได้บวชเมื่ออายุมากแล้ว ท่านแม่ชื่อ “บัวถา” ได้นุ่งขาวห่มขาวรักษาอุโบสถศีลทุกวันพระตลอดอายุท่าน มีพี่ชายบวชเป็นพระ ๑ องค์ชื่อท่าน “วัดบ่อน้ำหลวง” หรือ “ครูบาอินทรจักรรักษา” ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่ “พระสุธรรมยานเถระ”

    ซึ่งเมื่อท่านได้มรณภาพไปแล้ว หลวงพ่อฯของพวกเราก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์นี้ต่อมา และท่านมีน้องชายบวชเป็นพระอีกหนึ่งองค์ ชื่อ “ครูบาคัมภีระ” หรือ “พระครูสุนทรคัมภีรญาณ” วัดพระธาตุดอยน้อย อำเภอจอมทอง (ปัจจุบันอยู่ในเขต อ.ดอยหล่อ) จังหวัดเชียงใหม่ และเล่ากันว่าองค์นี้ท่านเคยครองวัดมหาวันฯมาก่อนหน้านั้น (ก็วัดที่มี "พระรอดลำพูน" อันเลื่องลือไปทั้งแผ่นดินไทยนี่แหละครับ) เรียกได้ว่าครอบครัวของท่านพระบาทตากผ้าเป็นครอบครัวของท่านผู้ทรงศีลทั้งครอบครัวทีเดียว

    ต่อมาท่านวัดพระบาทตากผ้าได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระสุพรหมยานเถระ” และท่านได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๒๗ ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯของเราได้ปรารภถึงท่านเอาไว้ในหนังสืออนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพของท่าน ดังนี้........

    ปรารภถึงท่านผู้มีความดี

    เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๐ อาจารย์ปฐม มาแจ้งให้ทราบว่า เธอมีหน้าที่จัดทำหนังสือเนื่องในงานถวายเพลิงศพหลวงพ่อวัดพระบาทตากผ้า (ขอเรียกท่านอย่างนี้เป็นปกติ) วันนั้นเป็นวันเป่ายันต์เกราะเพชร และอาตมาเองก็กำลังป่วยหนัก แต่เมื่อถึงวาระทำงานเพื่อท่านพุทธศาสนิกชนก็ทำด้วยความเต็มใจมันจะเป็นจะตายเรื่องของร่างกาย เมื่ออาจารย์ปฐมเธอมาขอให้เขียนคำปรารภ ก็ไม่รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี แต่ก็ขอเขียนตามความรู้สึกตามที่ได้พบกับท่านมาเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔ หรืออาจจะไม่ตรงนักเพราะนานมาแล้ว เวลานี้กำลังป่วยไม่แน่ใจเรื่อง พ.ศ. ที่จะพูดถึงในปีนั้น

    (หมายเหตุ อาจารย์ปฐม เรียมเมฆ คือ อดีตเจ้าของนิตยสาร "คนพ้นโลก")

    คุณแม้นเทพ ศุภนคร มาเป็นสรรพากรจังหวัดลำพูน อาตมามีโอกาสมาเยี่ยมเธอ ต่อมาวันรุ่งขึ้นได้ถามเธอว่าที่จังหวัดนี้มีพระที่ปฏิบัติธรรมชั้นดีพอมีไหม ขณะนั้นอาตมาเองยังเป็นเด็กที่เพิ่งจะลืมตาเห็นโลกได้ในระยะใกล้ มองไกลไม่เห็นเพราะยังต้วมเตี้ยมในธรรมปฏิบัติ จึงสนใจพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อขอความรู้คำแนะนำจากท่าน คุณแม้นเทพ ศุภนคร ก็บอกว่าเห็นจะมีวัดพระบาทตากผ้า

    ตามความรู้สึกว่าท่านปฏิบัติดีมาก ก็บอกเธอว่าอยากไปนมัสการท่าน ภรรยาของคุณแม้นเทพได้ยินเข้าเธอก็ค้านว่าไม่ไหวแล้ว ท่านดีแต่ท่านไม่พูด เคยเอาผ้าป่าไปถวายตั้งหมื่นบาท ท่านออกมานั่งเฉย เราพูดคำท่านก็ตอบคำไม่พูดต่อไป อาตมาก็คะนองปากพูดล้อเธอว่า ถ้าไม่พูดก็เอาไม้ทิ่มปากเสียก็แล้วกัน จะได้พูดเป็น เป็นอันว่าตกลงกันว่าวันรุ่งขึ้นไปวัดพระบาทตากผ้า

    เมื่อไปถึงแล้ว คณะที่ไปด้วยก็เข้าไปหาท่าน อาตมาก็ชมสถานที่ดูการก่อสร้างที่มีอยู่แล้ว ซึ่งคนนำทางบอกว่า ส่วนนี้ท่านครูบาศรีวิชัยท่านสร้างไว้ บ้างดูรอยเท้าที่ผู้แนะนำบอกว่าเป็นรอยพิเศษที่ท่านผู้มีฤทธิ์แสดงรอยไว้ เป็นเวลาพอดีที่คุณแม้นเทพฯ ออกมาจากที่รับแขก บอกว่ามาบอกว่านิมนต์เข้าไปได้แล้วครับ หลวงพ่อท่านออกมาแล้วครับ

    วันนี้ดีกว่าวันก่อน เพราะวันก่อนที่ผมมาผมพูดคำท่านก็ตอบคำ วันนี้ดีกว่าวันนั้นมากเพราะออกมาแล้วนั่งหลับตาปี๋เลยไม่พูดไม่จากับใครทั้งหมด อาตมาฟังแล้วก็มีความรู้สึกว่าวันนี้คงพบละครโรงใหญ่แสดงบทพิเศษแน่ ด้วยพระขนาดนั้นไม่รู้อะไรเลยไม่มี เว้นไว้แต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น

    เมื่อคุณแม้นเทพเตือนก็เดินเข้าไปและนมัสการท่านด้วยความเคารพ ด้วยความจริงใจ ไม่ใช่กายเคารพแต่ใจต่อต้าน เมื่อนมัสการท่านแล้วท่านก็ทักทายปราศรัย คราวนี้พูดเก่งมาก พูดกับคนโน้นคนนี้ไม่หยุดปากเลย ขณะที่ท่านพูดอยู่ อาตมาก็คิดในใจว่า ท่านบรรลุขั้นไหน ที่คิดอย่างนี้ไม่ใช่อวดวิเศษ คิดด้วยความชื่นชอบในปฏิปทาของท่าน เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วอารมณ์ใจที่ใช้เป็นปกติก็อยากรู้กำลังใจ

    แต่ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่านเป็นเรื่องจริงที่หาได้ยากนั่นก็คือ มองใจท่านไม่เห็น มืดตื๋อไปหมด ที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่ท่านมืด แต่เป็นเพราะอาตมาพบของจริงเข้า นั่นคือเด็กไม่สามารถเสมอผู้ใหญ่ได้ หรือคนตามัวไม่สามารถเห็นอณูเล็กๆได้ นั่นก็คืออาตมามีอารมณ์ใจเลวกว่าท่านมากจึงไม่สามารถเห็นอารมณ์ใจของท่านได้ ทันทีที่ต้องการรู้อารมณ์ใจของท่านท่านก็หันมาพูดทันทีว่า คนเรานี่แปลกนะ เห็นคนอื่นเขาได้ก็คิดว่าตนเองจะได้บ้าง ท่านพูดตรงกับอารมณ์ที่นึกอยู่พอดี จึงแน่ใจว่าท่านองค์นี้เป็นพระที่ควรบูชาอย่างยิ่งองค์หนึ่ง

    เมื่อลาท่านออกมาแล้ว ทุกคนต่างพูดถึงท่านด้วยความแปลกใจว่า ไม่ว่าเราจะคิดอะไรท่านจะหันมาพูดเรื่องนั้นตามที่เราคิดทันที เป็นอันว่าวันนี้ทุกคนพบของแข็ง แต่ของแข็งนี้เป็นความแข็งของเพชรน้ำหนึ่งในพระพุทธศาสนา

    คุยกันตามลำพัง

    เมื่อถึงเวลาพอสมควร ทุกคนก็อำลาท่านเพื่อกลับ ก่อนกลับก็ชมสถานที่ก่อน ตอนนั้นอาตมาขออนุญาตคุยกับท่านตามลำพัง เมื่อปลอดคนก็เรียนถามท่านว่า “ท่านปรารถนาพุทธภูมิ หรือตัดตรงไปเลย” ท่านตอบว่า “ตัดตรงไปเลยดีกว่า”

    เป็นอันทราบว่าท่านมุ่งอะไร จึงถามท่านต่อไปว่า (คำถามตอนนี้ฟังดูแล้วเหมือนถาม แต่พระที่ท่านปฏิบัติได้แล้วท่านจะทราบว่าไม่ได้ถามเพื่อต้องการศึกษา เป็นการถามถึงผลที่ได้แล้ว) ได้เรียนถามท่านถึงสังโยชน์สิบ บอกท่านว่าต้องการศึกษา ท่านยิ้มแล้วท่านก็อธิบายย่อสังโยชน์ถึงข้อห้าแล้วกลับต้นใหม่รวม ๓ รอบ ท่านบอกว่า “ผมเข้าใจจริงๆเท่านี้เองครับ”

    ฟังแล้วเมื่อเทียบกับตำราที่เคยรับทราบมา ถ้าตำราไม่โกหกก็ต้องยอมรับว่าท่านบรรลุพระอนาคามี เมื่อคิดว่าเวลานี้ท่านทรงอนาคามีและกำลังอยู่ในอรหัตมรรค (มองหน้าท่านไม่ได้พูดด้วยวาจา) ท่านมองหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ท่านพูดออกมาโดยที่ไม่ได้ถามว่า “ใช่แล้ว”

    เมื่อหมดความข้องใจแล้วก็คุยวิธีการปฏิบัติ ด้วยเวลานั้นอาตมาก็มีความรู้แค่งูไม่ถึงปลา ทั้งนี้หมายถึงความรู้ในด้านปฏิบัติธรรม มีความรู้กระจุ๋มกระจิ๋มจริงๆ แล้วขณะนั้นก็ไปอยู่ในสำนักของปาดที่อยู่ในถ้วยน้ำพริกครอบ จึงก้าวหน้าได้อย่างเชื่องช้าเพราะเพื่อนช่วยกันต้านทานทุกวิถีทาง แต่ก็ไปได้เรื่อยๆ เมื่อขอศึกษากับท่าน ท่านก็แนะนำสังโยชน์สิบ อธิบายสั้นแต่หมดข้อข้องใจ แล้วท่านก็บอกว่า

    “ไม่เป็นไรนะ จากนี้ไปไม่กี่ปี อาจไม่เกินสี่ปีก็เข้าใจหมดทุกอย่าง พยายามท่องจำไว้ก็แล้วกัน”

    เมื่อหมดภารกิจก็ลาท่านกลับ ก่อนจะกลับท่านจับมือสองมือไปกำแน่นแล้วท่านก็บอกว่า

    “ดีใจมากนะที่เราได้พบกันและเข้าใจในกัน อย่าลืมนะไม่เกินสี่ปีท่องจำให้ดีจะเข้าใจในสังโยชน์ทั้งสิบ” ในที่สุดก็ลาท่านกลับ

    เมื่อพบพระดี ดีทั้งปริยัติและดีทั้งปฏิบัติ ท่านมีวิริยะและอุตสาหะเป็นพิเศษ ท่านบอกว่าตั้งแต่บวชท่านธุดงค์ตลอดมา เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษาอยู่ใกล้วัดไหนก็อาศัยวัดนั้นจำพรรษา ออกพรรษาก็อำลาจากวัดนั้นอยู่ป่าอยู่เขาธุดงค์ต่อไป ต่อเมื่ออายุ ๕๕ ปี ญาติโยมอาราธนาให้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระบาทตากผ้า ท่านก็สงเคราะห์พุทธศาสนิกชนตลอด

    เวลานี้ท่านมรณะแล้ว คือกายดับประสาทดับ การท่องเที่ยวคงดับด้วย ข้อนี้ช่วยกันดูด้วยนะ ท่านดับการท่องเที่ยวด้วยหรือไม่ อาตมาไม่ทราบตามที่พูดกับท่าน แต่ตามความรู้สึกทางใจคิดว่าท่านยอมแก่ด้วยประการทั้งปวงแล้ว ท่านคงขี้เกียจเที่ยวต่อไป

    อาตมาขออนุโมทนาที่ท่านทั้งหลายพบพระดี แต่ละท่านก็เก็บความดีของท่านมาใช้มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังใจที่จะพึงรับได้ ก็ต้องถือว่าทุกคนมีโชคดี ที่พบพระสุปฏิปันโนแท้ๆ ไม่ใช่ยัดไส้หรือไม่มีอะไร ปลอมไว้ภายใน เมื่อท่านพบพระดี ได้ของดีไว้ใช้ จะมากน้อยเพียงใดนั้นไม่แปลก ต้องถือว่าทุกคนมีดี จงพยายามรักษาความดีนั้นไว้อย่าให้สลายตัว สำหรับอาตมาเอง ต้องถือว่าท่านเป็นพระอาจารย์ที่ชี้ทางตรงให้และก็ตั้งใจเคารพท่านตลอดเวลา

    ขอท่านพุทธศาสนิกชนโดยถ้วนหน้าจงบูชาความดีของท่านด้วยการปฏิบัติตาม ทุกท่านจะไม่พลาดจากผลของความดี คือความสุขตลอดกาล..

    (พระสุธรรมยานเถระ)

    ขอเพิ่มเติมจากหนังสือ "ล่าพระอาจารย์"

    โดย..ป่อง โกษา (พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์)

    "...ออกมาจาก หลวงปู่แหวน เวลามีน้อยเลยต้องลัดผ่าน หลวงปู่คำแสน ไปวัดพระบาทตากผ้าเลย พระครูองค์นี้ ท่าทางเหมือนผู้หญิง มีท่าอาย ๆ เรียบร้อย แต่อย่าเชียวนา รู้ใจคนเก่งนัก รายละเอียดเรื่องรู้ใจคนนี้ หลวงพ่อฤาษีเล่าไว้ในหนังสือ “เรื่องจริงอิงนิทาน”

    ในสมัยนั้น (ประมาณ พ.ศ.๒๕๐๔) หลวงพ่อเล่าว่าท่านเทศน์ไปถึงสังโยชน์ ๕ แล้วก็เทศน์ย้อนต้นไปถึงสังโยชน์ ๕ เป็นการแสดงว่าท่านรู้ถึงแค่นั้น (อย่าลืมนะครับ ท่านที่ตัดได้ถึงสังโยชน์ ๕ คือ พระอนาคามี) จากความจริงข้อนี้ เราอาจอนุมานได้ว่า ถ้าองค์ใดเทศน์ถึงนิพพาน องค์นั้นก็ต้องถึงนิพพานแล้ว เช่นนี้น่ากลัวจะไม่ผิด

    เราจับเอาตอนสำคัญของการสนทนากันเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลง หลวงพ่อฤาษี (ฤ) เอางี้ก็แล้วกัน เวลาเช้านี่อย่ากวนหลวงพ่อมากนัก ไม่ดีขอโอวาทก็แล้วกันสักเล็กน้อยครับ ดูเหมือนว่า ท่านจะไม่คาดว่าจะถูกไม้นี้ ท่านอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วก็ค่อย ๆ จัดแจงแต่งตัว จัดโน่นจัดนี่ให้เรียบร้อยซึ่งหลวงพ่ออธิบายในตอนหลังว่า ท่านนึกอาราธนาพระพุทธเจ้า พรหม เทวดา ซึ่งเป็นการปฏิบัติธรรมดาของพระที่ชั้นสูง ๆ แล้ว

    ท่านพระครูพรหมฯ (พ) : ขอเจริญพร แด่ท่านคณะญาติโยมทั้งหลาย ในวันที่ได้มาประชุมกัน ณ ธรรมศาลาที่นี้ทุก ๆ ท่าน วันนี้นับว่าเป็นวันดี เป็นศิริมงคลอันสูงส่งโดยที่ท่านทั้งหลายได้สละเวลาอันมีค่าพากันเดินทางมา ได้มาถึงวัดพระพุทธบาทตากผ้า ที่นี้มีจุดประสงค์มุ่งหมายที่จะมานมัสการพระพุทธบาทและชมสถานที่ พร้อมทั้งมาขอรับโอวาทคำสอนของอาตมา อาตมารู้สึกอนุโมทนา ปีติ จึงขอต้อนรับ และขอบคุณท่านทั้งหลายไว้ ณ โอกาสนี้เป็นอย่างสูง

    อันดับต่อไป อาตมาขอปราศรัยเป็นสัมโมทนียกถา และให้เป็นคำสอน ที่เรียกกันว่าเป็นโอวาทของครูบาอาจารย์ เพื่อเป็นการต้อนรับ และถ่ายเทความรู้ความจำให้แก่ท่านทั้งหลาย ขอให้ท่านทั้งหลายจงตั้งใจสดับ และกำหนดจดจำไว้ให้ดี แล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์โสตถิผลแก่ตนเอง และคนอื่นตามสมควร

    โอวาทคำสอนที่อาตมาจะได้กล่าวในวันนี้ก็คือเป็นโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเราทั้งหลายที่เป็นนักศึกษา คงจะได้ศึกษา และสดับตรับฟังมาเป็นส่วนมากแล้ว

    โอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ท่านแสดงไว้มีอยู่ ๓ ประการ คือ
    ๑. ท่านสอนให้เว้นจากทุจริต คือ การทำผิดด้วยกาย วาจา และใจ
    ๒. ท่านสอนให้ประกอบสุจริต คือ การทำดี ทำชอบด้วยกาย วาจา และใจ
    ๓. ท่านสอนให้ทำใจให้บริสุทธิ์ หลุดพ้นจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ดังนี้

    เป็นธรรมดา เป็นปกติที่จิตของเรา ชาวมนุษย์ทั้งหลายทุกคนย่อมเกลียดทุกข์ และชอบความสุขความเจริญ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราทั้งหลายจะต้องสร้างเหตุที่จะให้ห่างไกลจากความทุกข์ ความเสื่อม ความเสียหาย เราทั้งหลายควรสร้างเหตุแห่งความเจริญให้เกิดขึ้นในจิตในใจเสียก่อน เราทั้งหลายจึงจะมีความสุขความเจริญ

    เหตุแห่งความทุกข์หรือความเสื่อมที่พระพุทธองค์ได้แสดงไว้หรือชี้ช่องบอกทางไว้ก็มีหลายประการต่าง ๆ เหตุแห่งความทุกข์ที่จะเกิดทุกข์นั้น ก็คือความอยาก เรียกตามภาษาบาลีว่า "ตัณหา" คือ ความอยาก

    ความอยากนี้ ถ้าเป็นประจำธรรมดาสามัญชนทั้งหลายก็ค่อยยังชั่วหน่อย คือความเป็นอยาก อยากที่จะสร้างตน สร้างตัวให้เป็นคนมีหลักฐาน อยากจะทำคุณงามความดีตามวิสัยของคนประพฤติชอบ ก็ไม่เป็นความอยากที่รุนแรง ไม่ค่อยจะนำความทุกข์โทษมาให้สักเท่าไรนัก ถ้ามันรุนแรงเกินไป เข้าทำนองที่ว่า กามตัณหา ความอยากชนิดที่รุนแรงในกามคุณทั้งห้า นี่เป็นอาทิ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์

    ตัณหา คือ ความอยากนี้ พุทธองค์ทรงแสดงแล้วว่าเป็นตัวเหตุให้เกิดทุกข์ นอกจากนี้ก็มีอบายมุข คือ การดื่มสุรายาเมา การเล่นพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำงาน ซึ่งเป็นทางหรือปากทางแห่งความเสื่อม ความฉิบหาย พุทธองค์ได้ตรัสเหตุแห่งความเสื่อมไว้เป็นใจความย่อ ๆ มีดังนี้

    ทุกคนปรารถนาความสุข เหตุแห่งความสุขท่านก็แสดงไว้ ความสุขก็ดี ความเจริญก็ดี จะมีได้ก็ต้องอาศัยด้วยต้นเหตุ เพราะธรรมทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิดถ้ามีเหตุก็มีผล ถ้าเหตุดับ ผลก็ดับ เป็นอย่างนี้ เหตุแห่งความสุขความเจริญนั้น พระพุทธองค์ก็ได้ทรงตรัสเทศนาไว้มีหลายระยะด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในสัมปรายภพ และประโยชน์อย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน

    ประโยชน์ในปัจจุบัน พุทธองค์ทรงสอนไว้ ให้ทุกคน ถ้าต้องการความสุขความเจริญในปัจจุบันทันด่วนแล้ว ก็ให้มีความขยัน ปลุกใจของตัวให้เป็นคนตื่นขึ้นทำงานตามหน้าที่ จะเป็นการศึกษาหรือประกอบกิจการงานในหน้าที่ใด ๆ ก็ตาม จงมีความขยันขันแข็ง โลกของมนุษย์ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ท่านต้องการคนขยันขันแข็งทั้งนั้น คนเกียจคร้านท่านไม่ต้องการ

    เมื่อมีคนขยัน เอาใจใส่ต่อการงาน พร้อมไปในตัวทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ความสุขก็จะเกิดมีขึ้น โดยที่จะเห็นผลแห่งการหนักที่เราประกอบนั้น เช่น เราเป็นคนทำไร่ ทำนา ทำสวน เราขยันทำจริง ๆ ถึงเวลามันมีดอกออกผลมา หรือถึงเวลาเก็บเกี่ยว เราก็จะเห็นผลของงานที่เราทำไว้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าเป็นงาน ท่านทั้งหลายจงทำด้วยความขยัน ความขันแข็ง อย่าอ่อนแอ อย่าท้อถอย

    จากนั้นก็ให้รักษาการงานที่เราทำไว้ อย่าให้อากูลตกค้าง อย่าให้เสียการงาน อย่าท้อถอยอย่ารวบรัด ตลอดจนทรัพย์สมบัติที่บังเกิดจากผลงานของเรา ก็จงรักษาไว้ เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในอนาคตในโอกาสต่อไป

    ข้ออื่นอีก ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงคบแต่มิตรที่ดี อย่าคบคนชั่วเป็นมิตร การคบคนดีสำคัญ เพราะมนุษย์เราเหมือนกัน นิสัยใจคออะไรทุกอย่างมันละม้ายคล้ายคลึงกัน ถ้าคบกันเข้าแล้วไม่กี่วันมันจะเป็นอย่างมิตรของเรานั้น คือคบคนดี เราก็จะเป็นคนดี คบคนชั่วก็จะเป็นคนชั่ว ไม่เฉพาะแต่มนุษย์เราทั้งหลาย แม้สัตว์เดียรัจฉาน ถ้าคบกับสัตว์ชนิดไหน มันก็เป็นไปอย่างนั้น ตลอดถึงต้นไม้เครือเถา ถ้ามันผูกพันติดต่อกับสิ่งใดก็มักจะกลายเป็นอย่างนั้นไป เป็นอย่างนี้ไป ฉะนั้น เราควรคบแต่คนดี หนีจากคนชั่ว

    ข้อต่อไปซึ่งเป็นข้อสุดท้าย ท่านทั้งหลายจงรู้จักประมาณในการใช้จ่าย ให้มีการประหยัด ใช้จ่ายเฉพาะแต่ที่จำเป็น ถ้าไม่จำเป็นแล้วก็ต้องเว้นขาด เพื่อเป็นการประหยัดทรัพย์สมบัติของเรา จะได้นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง และคนอื่น ตลอดจนถึงประเทศ ชาติ ศาสนา นี่คือเหตุแห่งความสุขในปัจจุบัน ท่านกล่าวว่านี่เป็นทิฐธรรมิกถประโยชน์ คือ ประโยชน์ในปัจจุบันทันด่วน

    อันดับต่อไป ท่านทั้งหลายในฐานะที่เป็นชาวพุทธนับถือพระพุทธศาสนา มีความเชื่อ ความเข้าใจฝังแน่นอยู่ในจิตในใจแล้ว ว่า พระพุทธศาสนามีคติ เวรกรรม ถือกรรมเป็นสิ่งสำคัญ ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนเราเกิดมามีความตายเป็นที่สุด ถึงเมื่อเราตาย ถ้าเรายังไม่หมดกิเลส เราก็จะต้องเกิดอีก ทุกคนก็ย่อมปรารถนาไปเกิดที่ดี เรียกกันว่า " สวรรค์" หรือสุคติ ซึ่งเป็นโลกหน้า

    เมื่อเป็นเช่นนี้ เราทั้งหลายก็ควรทำประโยชน์ ควรทำซึ่งคุณงามความดี ที่จะเป็นประโยชน์ในปรโลก คือโลกหน้า การที่จะทำประโยชน์ไว้เพื่อโลกหน้านั้น พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสเทศนาไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 สิงหาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...