อันตรายของจิตวิญญาณแฝงและการแก้ไข

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย dogsman, 13 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    อันตรายของจิตวิญญาณแฝงและการแก้ไข


    กายสังขารหนึ่งๆ ไม่จำเป็นต้องมีจิตวิญญาณดวงเดียว


    หลายท่านคิดว่ากายสังขารหนึ่งกายต้องมีจิตดวงเดียว แต่ความเป็นจริง กายสังขารแต่ละกายอาจมีดวงจิตหนึ่งดวง หรือไม่ใช่หนึ่งดวงก็ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต่างๆ อาทิเช่น คนที่มีจิตวิญญาณสิงหรือแทรกอยู่ ก็มีจิตมากกว่าหนึ่งดวงในกาย เช่น คนที่มีปอบหรือกระสือ จะมีจิตวิญญาณที่เป็นปอบหรือกระสืออาศัยในกายนั้นด้วย จิตที่สิงหรือแทรกอยู่นี้ มีเหตุปัจจัยให้มาอยู่ร่วมกับจิตเจ้าของกายสังขารนั้นๆ บางดวงจิตจรมาครั้งคราว บางดวงจิตมาอยู่จนกระทั่งตายจากกัน อาจด้วยความอาฆาตแค้นที่มีต่อกันจึงไม่ยอมปล่อยเจ้าของร่าง บางดวงมาสร้างบุญบารมีร่วมกัน แต่บางดวงจิตก็มาชำระสะสางกรรมต่อกัน ทำให้มีการกระทบกระทั่งทำร้ายกัน แตกต่างกันออกไป จะยึดมั่นถือมั่นเอาสุดโต่งทางใดทางเดียวไม่ได้ การจะทราบได้ว่าในกายสังขารของแต่ละท่านมีจิตวิญญาณกี่ดวง และเข้ามาแบบจรเป็นครั้งคราวหรือถาวร และเข้ามาร่วมบุญบารมีหรือชำระกรรมได้นั้น จำต้องมีการศึกษา มีความชำนาญในการพิจารณาดูจิตในจิต และดูกายในกาย



    แม้มีตาทิพย์ก็อาจวินิจฉัยจิตวิญญาณทั้งหมดที่อาศัยในกาย พลาดได้

    สำหรับท่านที่มีตาทิพย์จะมองได้ไม่ยาก แต่บางครั้งจิตที่จรไปมาก็ทำให้ตาทิพย์วินิจฉัยพลาดได้ นอกจากนี้ บางจิตวิญญาณไม่ได้เข้ามาอาศัยในร่างกาย เพียงแค่พลังบางส่วนก็สามารถทำให้เจ้าของร่างมีลักษณะเป็นไปตามพลังนั้นๆ ได้ เช่น ในกลุ่มคนทรงเจ้า เป็นต้น ทำให้การใช้ตาทิพย์วินิจฉัยผิดพลาดไปใหญ่ อาจด้วยเพราะจิตวิญญาณนั้นๆ ไม่ต้องการให้ผู้มีตาทิพย์ทราบนั่นเอง เช่น การใช้ตาทิพย์ดูคนทรงเจ้า บางครั้ง ก็อาจมองไม่เห็นกายทิพย์หรือจิตวิญญาณของเทพที่เข้าทรง ทำให้เกิดการปรามาสว่าหลอกลวงกัน แท้แล้ว อาจหลอกลวงจริง หรือหลอกลวงบางส่วน หรือไม่ลอกลวงเลยก็ได้ อธิบายอย่างนี้ ที่หลอกลวงจริงเพราะไม่มีเทพนั้นเกี่ยวข้องในการเข้าทรงเลยก็มี, ที่หลอกลวงบางส่วนเพราะเทพองค์นั้นๆ อาจส่งพลังมาให้จริง แต่คนทรงได้แต่งเสริมเติมข้อความไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนก็ได้, ที่ไม่หลอกลวงเลย เพราะเทพองค์นั้นๆ ส่งพลังมาจริงๆ แต่ตาทิพย์มองไม่เห็นเพราะพลังละเอียดมาก อีกทั้งคนทรงก็ไม่ได้แต่งเสริมใดๆ ทำหน้าที่ไปตามตรง อันนี้ เป็นไปได้ทั้งสามกรณี ต้องพิจารณาด้วยปัญญาและญาณไปเป็นกรณีๆ ไป ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นข้อสรุปไปใช้ได้กับทุกกรณี ในการวินิจฉัยเรื่องจิตวิญญาณในกายสังขาร จึงต้องวินิจฉัยให้ชัดว่ามีจิต, วิญญาณ หรือเพียงพลังบางส่วนอยู่บ้าง



    จิตวิญญาณมากกว่าหนึ่งดวง จะแย่งกันครองความเป็นใหญ่ในกายสังขาร

    อันธรรมทั้งหลายล้วนมีใจเป็นประธาน กายสังขารหนึ่งๆ ถ้ามีจิตมากกว่าหนึ่งดวงแล้ว ก็จะมีใจเป็นประธานของจิตทุกดวง ถ้าใจเราอยากให้จิตดวงใดเป็นใหญ่ หรือให้ออกจากร่างไปก็สามารถทำได้ กรณีที่ใจมีพลังมากพอหรือฝึกฤทธิ์ทางใจ ( มโนมยิทธิ) มาระดับหนึ่ง แต่ถ้าพลังใจน้อยกว่าพลังจิตบางดวง ก็อาจถูกจิตดวงนั้นๆ ครอบงำได้เหมือนกัน เช่น ในคนที่มีจิตวิญญาณปอบหรือกระสืออาศัยอยู่ หากใจห่อเหี่ยวไม่มีกำลังใจแล้ว ยิ่งทำให้จิตวิญญาณของปอบหรือกระสือยิ่งครอบงำร่างกายนั้นได้มากขึ้น จิตวิญญาณแต่ละดวงล้วนมีจิต คิดได้ ชอบและเกลียดได้เหมือนเทพเทวดาหรือกายทิพย์ที่มีจิตทั่วไป ดังนั้น เมื่อมาอาศัยในกายสังขารเดียวกันแล้ว จึงแตกแยก ไม่สามัคคีกัน ทั้งยังแย่งกันเป็นใหญ่ในกายสังขารนั้นๆ ก็ได้ เช่น ในคนที่มีจิตวิญญาณปอบอาศัย ปอบจะครอบงำร่างกายและจิตวิญญาณเดิมของเจ้าของร่าง เพื่อเป็นใหญ่ในกายสังขารนั้นๆ ในคนที่มีจิตวิญญาณอื่นๆ ที่ไม่ใช่ปอบหรือกระสือก็สามารถพบเหตุการณ์เดียวกันนี้ได้ เช่น ในคนที่เลี้ยงผีพราย, ยักษ์, กุมารทอง, มังกรทอง ฯลฯ จิตวิญญาณเหล่านี้ ล้วนอาศัยแทรกอยู่ในกายสังขารของผู้เลี้ยงทั้งสิ้น และรอคอยวันที่ใจอ่อนกำลังลง ขาดกำลังใจ หรือจิตวิญญาณเดิมอ่อนล้าหมดพลัง ก็จะทำการยึดครองร่างนั้นๆ ในที่สุด เช่น ในกลุ่มหมอผีที่เลี้ยงผีพราย หากหมดสิ้นวิชชาอาคม ผีพรายก็สามารถยึดครองกายสังขารนั้นได้



    จิตวิญญาณปอบทำอย่างไรกับจิตวิญญาณเจ้าของร่าง?

    คนที่มีปอบอาศัยในกายสังขาร ถ้าปอบครอบงำเต็มที่ ปอบจะรอคอยเวลาเจ้าของร่างตาย เมื่อตายลงปอบจะรอจังหวะสับเปลี่ยนจิตวิญญาณ กล่าวคือ กายทิพย์หรือวิญญาณจะมีสองวิญญาณ วิญญาณหนึ่งเป็นของเจ้าของร่าง วิญญาณหนึ่งเป็นปอบ วิญญาณทั้งสองจะดับสลายไม่พร้อมกัน ถ้าวิญญาณของเจ้าของร่างมีบุญมากกว่าปอบ ปอบจะรอให้วิญญาณนี้ดับสลายลง แล้วจิตของปอบจึงจะจุติออกไปจากร่าง ปอบก็หลุดพ้นจากความเป็นปอบแล้วจุติใหม่ได้วิญญาณเท่ากับบุญที่กายทิพย์ที่สลายนั้นมีอยู่ ส่วนเจ้าของร่างจะถูกปอบกักขังดวงจิตไว้ก่อน จนกระทั่งวิญญาณที่ปอบทิ้งไว้ดับสลายลง ดวงจิตของเจ้าของร่างก็จะจุติโดยออกไปขณะวิญญาณปอบสลาย แล้วเกิดใหม่เป็นปอบ แทนปอบตัวเก่า นี่คือ วิธีที่ปอบจะพ้นจากความเป็นปอบ ปอบบางตนเดิมได้ร่างที่มีบุญน้อย ก็จะหาร่างใหม่ที่มีบุญพอให้ตนหลุดพ้นความเป็นปอบ แล้วถ่ายทอดความเป็นปอบให้เจ้าของร่างรับช่วงแทน อย่างนี้อาจเรียกได้ง่ายๆ ว่า “ปอบช่วง” คือ ให้เจ้าของร่างรับช่วงความเป็นปอบแทน แล้วตนก็พ้นจากความเป็นปอบไป ปอบช่วงจะหาร่างที่มีบุญสักหน่อยแต่จิตมีกำลังน้อยพอที่จะควบคุมได้ และใกล้จะตาย เพื่อให้ตนหลุดพ้นจากความเป็นปอบ ปอบประเภทนี้ จึงเลือกร่าง เปลี่ยนร่างไปเรื่อยๆ บางท่านจึงสับสนว่าใครเป็นปอบกันแน่ หรือปอบตนนี้อยู่ในกายสังขารของใครกันแน่ เพราะเปลี่ยนร่างเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ เราจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “ปอบแลกหน้า” เพราะเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนร่างไปเรื่อยๆ ปอบอีกชนิดหนึ่ง จะยังไม่อยากหลุดพ้นจากความเป็นปอบ เป็นปอบที่มีกรรมมาก มีอิทธิฤทธิ์มาก และมีความหลงผิดมาก เป็นปอบที่นิยมสร้างบริวาร เป็นปอบที่หลงในลาภสักการะ เช่น ปอบที่ยามเป็นคน อาจเป็นหมอผี, คนทรง หรือพระสงฆ์ที่เล่นคุณไสย แล้วผิดครู พลาดพลั้งไปจนต้องเกิดเป็นปอบ ปอบแบบนี้จะสร้างบริวาร ด้วยการเข้าไปครอบงำจิตวิญญาณของเจ้าของร่างที่ตนอาศัยก่อน ตกกลางคืน จะบังคับจิตวิญญาณนั้นๆ ให้ออกไปหากินร่วมกับตน จนจิตวิญญาณเจ้าของร่างมีกรรมมาก กายทิพย์ที่เคยดีเปลี่ยนกลายเป็นปอบโดยสมบูรณ์ ในกรณีนี้ กายทิพย์ในกายสังขารนั้นจะเป็นปอบทั้งสองกายทิพย์ และจิตทั้งสองดวงจะเป็นปอบโดยสมบูรณ์ เรียกว่าเจ้าของร่างถูกครอบงำโดยสมบูรณ์ เมื่อครอบงำให้เจ้าของร่างกลายเป็นปอบด้วยแล้ว ปอบตนนี้จึงจะหาร่างกายใหม่อาศัย จากนั้นไม่นาน เจ้าของร่างจะตายและจิตวิญญาณจะจุติเป็น “ปอบบริวาร” ปอบตัวพญาก็จะทำอย่างนี้กับกายสังขารใหม่ที่เข้าไปอาศัย ทำให้คนตายไปเรื่อยๆ และเป็นปอบเพิ่มมากขึ้น ปอบแบบนี้ร้ายกาจกว่าแบบแรก เรียกว่า “ปอบพญา” หรือ “ปอบเชื้อ” คือ สามารถแพร่เชื้อปอบให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นได้นั่นเอง ปอบเชื้อหรือปอบพญา จะทำให้สัตว์และคนตายไปเรื่อยๆ จึงดูคล้ายกับว่าปอบนั้นกินคนไปด้วย



    ตัวอย่างการสับเลี่ยนจิตวิญญาณของพระสงฆ์กับหงส์ทิพย์

    สมมุติ พระสงฆ์รูปหนึ่งบำเพ็ญบารมีได้มาก จนหงส์ทิพย์มาขอเป็นบริวาร จิตพระสงฆ์นั้นก็ยินดีที่จะได้บริวารเป็นหงส์ทิพย์ หงส์ทิพย์ก็ใช้เล่ห์เหลี่ยม ดลจิตดลใจพระสงฆ์รูปนั้นว่า พระสงฆ์รูปนี้มีบุญบารมีมาก บุญญาธิการสูง หงส์ทิพย์ผู้น้อยนี้ จะคอยดูแลปรนนิบัติรับใช้ จะดลจิตดลใจผู้คนให้เข้ามาทำบุญสุนทานกับท่านมากๆ ขอให้ท่านที่ชราภาพมากแล้วได้อยู่อย่างสุขสบายมีสาธุชนมาปรนนิบัติรับใช้ เพื่อให้เหล่าสาธุชนได้บุญบ้างเถิด จิตของพระสงฆ์หลงกลยินดีในการนั้น จิตวิญญาณหงส์ทิพย์จึงออกไปดลจิตดลใจคนให้หลั่งไหลมาทำบุญปรนนิบัติดูแลพระสงฆ์รูปนั้นมากมาย หงส์ทิพย์รอให้บุญของพระสงฆ์ค่อยๆ ลดลงๆ ด้วยการเสวยบุญในปัจจุบันมากๆ แล้วหงส์ทิพย์ก็หลอกล่อให้พระสงฆ์ทำเครื่องรางของขลังบ้าง ทำกรรมที่พระสงฆ์ไม่ทราบว่าเป็นเครื่องลดทอนบุญบารมีตนเองบ้าง ในขณะเดียวกัน หงส์ทิพย์ก็ได้บุญบารมีมากขึ้นๆ จากการปรนนิบัติรับใช้พระสงฆ์รูปนี้ ตัวพระสงฆ์เองก็หลงตัวเอง เพลินไป ไม่เอะใจว่าทำไมมีคนมาทำบุญให้คนมากมายนักหนา แต่ยินดีกับลาภสักการะจำนวนมากนั้น จนในที่สุด เมื่อละสังขารตายลง หงส์ทิพย์ก็สับเปลี่ยนจิตวิญญาณเอาบุญบารมีพระสงฆ์รูปนั้นไป พระสงฆ์รูปนั้นต้องจุติเป็น “หงส์ทิพย์” แล้วไปเกิดใหม่เพื่อชดใช้กรรม สูญเสียบุญบารมีไปหมด



    เมื่อจิตวิญญาณดวงอื่น ยึดครองกายสังขารแล้วเจ้าของร่างจะเป็นอย่างไร

    เมื่อเจ้าของร่างถูกจิตวิญญาณดวงอื่น ยึดครองกายสังขารและจิตเดิมของตนเองแล้ว เจ้าของร่างก็ตกเป็นทาสของจิตวิญญาณดวงนั้นๆ และส่งผลให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องทำสิ่งที่ไม่คาดคิด อีกทั้งท้ายที่สุด แม้แต่จิตเดิมแท้ของตนก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ จิตไม่ใช่ตัวกูของกู แม้จิตดวงแรกมีบุญบารมีมาก แต่หากเจ้าของร่างพลาดท่าถูกจิตวิญญาณที่เข้ามาแทรกนั้นครอบงำแล้ว ก็สามารถสูญเสียจิตวิญญาณที่มีบุญบารมีมากนั้นได้ ทำให้ตนต้องเหลือเพียงจิตวิญญาณที่มีบุญบารมีน้อยกว่า หรือกล่าวง่ายๆ คือ จิตวิญญาณถูกสับเปลี่ยนกันนั่นเอง อันตรายของการที่จิตวิญญาณอื่นๆ ยึดครองร่างกายนั้นมีโทษมากขนาดนี้ ผู้ที่ทราบว่าตนมีจิตวิญญาณมากกว่าหนึ่งดวงจึงต้องระมัดระวังมาก สมมุติ ตนเองบำเพ็ญบารมีได้จิตวิญญาณถึงโพธิสัตว์ แต่มีจิตวิญญาณของมังกรมาเป็นพาหนะช่วยงานอยู่ มังกรสามารถครอบงำเอาร่างกายนั้นได้ ทำให้จิตวิญญาณสับเปลี่ยนกันได้ เจ้าของร่างอาจต้องจุติกลายเป็นมังกร ในขณะที่มังกรอาจได้จุติไปเป็นโพธิสัตว์ได้ ด้วยวิธีต่างๆ เช่น การที่มังกรดลจิตดลใจให้เจ้าของร่างไปเสวยบุญเป็นฮ่องเต้ พอเจ้าของร่างเสวยบุญมาก หมดบุญตายลงก็ต้องจุติเป็นมังกร ส่วนมังกรที่รับใช้ในกายสังขารนั้นได้บุญมากเพราะรับใช้งานเจ้าของร่างก็จุติเป็นโพธิสัตว์แทน อย่างนี้ก็มี อนึ่ง จิตวิญญาณหรือแม้แต่บุญบารมี ก็ไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้ ถ้าเราบำเพ็ญบารมีได้จนถึงโพธิสัตว์แล้ว แต่พลาดท่าหลงกลการดลจิตดลใจของมังกร กลายเป็นถูกมังกรนำ แทนที่จะนำมังกร สอนมังกร สุดท้าย มังกรได้บุญบารมีไป เราต้องกลายเป็นมังกรแทน เพราะความหลงในลาภสักการะหรือบัลลังก์กษัตริย์นั่นเอง ในบางกรณี จิตของโพธิสัตว์อาศัยในกายสังขารนั้นๆ รู้ตัว ท่านก็จุติออกพร้อมบุญบารมีระดับโพธิสัตว์ออกไปเลย ทิ้งร่างให้มังกรครองแทน มังกรตนนั้นก็จะได้รับกายสังขารนั้นไป จิตโพธิสัตว์ก็ได้บุญบารมีได้กายโพธิสัตว์นั้นไป ส่วนเจ้าของร่างผู้มีใจใฝ่เชื่อไปตามการดลจิตดลใจของมังกร ก็ต้องกลายเป็นมังกรไป แทนที่จะได้บุญบารมีถึงโพธิสัตว์แล้วแท้ๆ อย่างนี้ก็เกิดได้ ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นจิต หรือวิญญาณ หรือกายทิพย์ หรือบุญบารมีอะไรได้เลย



    ทำไมปฏิบัติธรรมขั้นสูงได้บุญบารมีมากแล้วถูกสับเปลี่ยนวิญญาณและบุญบารมี

    เพราะกรรมของคนผู้นั้นมีมาก ใช้ไม่หมดในชาติเดียว ยังนิพพานไม่ได้ และจิตมีบารมีถึงโพธิสัตว์ จึงมีจิตวิญญาณอื่นๆ มาอาศัย มาเป็นบริวาร และมาให้โปรด หากจิตเดิมแท้ เบื่อหน่ายวิถีโพธิสัตว์ แล้วยินดีกับการเสวยบุญ สุดท้าย จิตก็ต้องจุติไปเป็นสัตว์บริวารแทนที่จะได้เป็นโพธิสัตว์ สิ่งนี้ไม่เที่ยง สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ บุญบารมีที่สร้างสมไว้ ยังไม่เที่ยง เพราะยังชดใช้กรรมไม่หมด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเสวยบุญเป็นพระราชาในชาตินี้ จะไปเกิดเป็นมังกร แล้วจากมังกรจึงได้เป็นโพธิสัตว์ แล้วจะเกิดอีกชาติจึงนิพพาน ถ้าไม่เสวยบุญ ก็จะได้เป็นโพธิสัตว์เลย โดยไม่ต้องไปเกิดเป็นมังกรอีกชาติภพหนึ่ง อนึ่ง ในชาติที่ได้กายทิพย์โพธิสัตว์นั้น ต้องโปรดมังกรให้หลุดพ้นด้วย ก็จะไม่ต้องไปชำระกรรมกับมังกร ที่มังกรจะเกิดเป็นฮ่องเต้ และโพธิสัตว์จะต้องไปโปรดฮ่องเต้ ชาติภพนี้จะไม่มี หมดไปเพราะได้โปรดมังกรในกายสังขารของตนแล้ว นี่จึงจะหมดกรรมที่พ่วงกันมา นี่เพราะจิตวิญญาณในกายสังขารหนึ่งๆ มีมากกว่าหนึ่งดวง เมื่อตายลงจากชาติหนึ่งแล้ว จิตแต่ละดวงจะจุติไปยังภพภูมิต่างกัน เมื่อจิตดวงใดดวงหนึ่งได้โอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์ จิตดวงอื่นๆ ที่อยู่ในภพภูมิอื่นๆ ก็จะได้อาศัยบุญบารมีของจิตวิญญาณที่มีกายสังขารเป็นมนุษย์นั้น เพื่อบำเพ็ญบารมีสร้างบุญให้ดีขึ้นไป เพราะจิตวิญญาณทุกดวงในกายเดียวกัน ต้องรับผิดชอบกันเสมอ มีบุญกรรมพ่วงกันมาก จนไม่อาจสละละทิ้งความรับผิดชอบต่อกันได้ จิตแต่ละดวงต้องมาฉุดช่วยกัน แม้จะต้องอาศัยในกายสังขารเดียวกันก็ตาม จิตวิญญาณดวงหนึ่งเมื่อได้มาเกิดในพุทธศาสนาแล้วจะเอาตัวเองรอดไปโดยไม่สนใจจิตดวงอื่นๆ เหล่านี้ไม่ได้ จะคิดว่าตนได้บวชพระ ได้บุญบารมี ได้ธรรมขั้นสูงแล้วจะหลุดพ้นไปนั้นหาได้ไม่ จิตวิญญาณเหล่านี้จะเป็นเจ้ากรรมนายเวร มาคอยชดใช้ชำระกรรมกับจิตที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าจิตดวงใดที่ได้เกิดเป็นมนุษย์หลงลืมและทอดทิ้งกัน ก็อาจถูกแลกเปลี่ยนวิญญาณและบุญบารมีกันได้ในที่สุด เพราะกรรมยังชำระไม่หมด อันนี้ขอเตือนไว้ให้ระวัง



    จิตวิญญาณแฝงล้วนมีเล่ห์เหลี่ยมและอิทธิฤทธิ์ต่างกัน

    จิตวิญญาณที่มนุษย์นำมาเลี้ยงดู จะอาศัยร่วมในกายสังขารของผู้เลี้ยงดูนั่นเอง และออกไปทำกิจต่างๆ ได้ตามต้องการ จิตวิญญาณเหล่านี้มีหลายแบบหลายลักษณะ เช่น ผีพราย, กุมารทอง, รักยม, ลูกกรอก, อสูรจำพวกมังกร, กิเลน, หงส์, เต่ามังกร, พยัคฆ์ ฯลฯ จิตวิญญาณเหล่านี้ มีจิตอาศัย จึงจุติได้ เกิดได้ และคิดการณ์ต่างๆ ได้ ต่างกับในกลุ่มเทพพรหม ที่จะไม่นำจิตวิญญาณเข้ามาแฝงหรืออาศัยในกายสังขารมนุษย์ แต่จะถอดกายทิพย์ หรือวิญญาณมาครอบให้เท่านั้นเอง จึงไม่มีปัญหาเรื่องการยึดครองร่าง หรือการอาศัยจังหวะตอนละสังขารเพื่อเปลี่ยนสลับวิญญาณและบุญบารมีของเจ้าของร่างไป จิตวิญญาณเหล่านี้มีเล่ห์เหลี่ยมที่แตกต่างกันออกไป แต่ขอให้มี “สติ” ระลึกไว้เสมอว่า “ทำดีให้เสมอต้นเสมอปลาย” และ “อะไรที่ไม่เคย ก็ไม่ต้องไปรับมา” ก็จะปลอดภัย ถ้าอยู่ๆ มีคนเอาลาภสักการะมาให้มากผิดปกติ ก็รู้จักปฏิเสธไปเสียบ้าง ปกติ แล้วอิทธิฤทธิ์ของเจ้าของร่างจะมีมากพอควบคุมจิตวิญญาณที่แฝงในกายได้ เจ้าของร่างจึงปลอดภัย แต่จิตวิญญาณเหล่านี้จะอาศัยเล่ห์เหลี่ยมเพื่อบั่นทอนอิทธิฤทธิ์ของเจ้าของร่างลงไปเรื่อยๆ รวมทั้งบั่นทอนบุญบารมีของเจ้าของร่างด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การดลจิตดลใจให้ลบหลู่ปรามาสผู้มีธรรมสูงกว่า จิตวิญญาณเจ้าของร่างก็ค่อยๆ รับกรรมสะสมไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ต้องไปเสวยกรรมเป็นอสูรตนนั้นๆ แทนในที่สุด



    ผู้บำเพ็ญบารมีต้องระวังเล่ห์เหลี่ยมของจิตวิญญาณแฝง

    พระสงฆ์ไทยหลายรูป บำเพ็ญบารมีแล้วโด่งดัง มีสานุศิษย์มากมาย มีลาภสักการะมากมาย หลายรูปมีกุฏิยิ่งใหญ่บ้าง, มีอาสนะสวยงามพิเศษเฉพาะตัวบ้าง, มีคนคอยปรนนิบัติบ้าง, มีลาภสักการะจำนวนมากเกินกว่าพระสิวลี (พระอรหันต์ผู้มีบุญมากในสมัยพุทธกาล) บ้าง ฯลฯ พระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมแม้ได้อรหันต์แล้วก็ตาม แต่กรรมยังไม่หมด เพราะที่ผ่านมาไม่ได้บำเพ็ญบุญบารมีแล้วปรารถนาเป็น “อรหันตสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน” จึงยังไม่ถึงวาระที่จะนิพพานในพุทธศาสนานี้ พวกเขาปรารถนาพุทธภูมิ จึงได้ก่อกรรมและบุญบารมีสืบชาติภพต่อไป เมื่อเกิดในพุทธศาสนาแล้ว บารมีที่มากมายนั้นส่งผลให้บรรลุอรหันต์ แต่ยังไม่หมดกรรม ยังเหลือกิเลสบางส่วน เป็นอรหันต์แบบ “ปัญญาวิมุติ” และหลายท่านได้บารมีถึง “อรหันตโพธิสัตว์” แต่ด้วยที่ปัญญาถึงใบไม้ในกำมือรู้วิธีนิพพาน แต่ปัญญาล่วงรู้ไม่หมดถึงกรรมที่ตนมี จึงคิดว่าตนหมดกรรมแล้ว เพราะครองผ้าเหลืองแล้วก็อยู่อย่างสงบสุขดี จึงไม่รู้ว่ามีอสูรและมารที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรรอแก้แค้นและชำระชดใช้มากมายอยู่ แม้จะทำอันตรายโดยตรงไม่ได้เพราะเกรงบารมีธรรมผ้าเหลือง ก็ใช้วิธีมาเป็นบริวารรับใช้แล้วคอยยุยงส่งเสริมให้ผิดทางจนสูญเสียบุญบารมีดังที่ได้อธิบายมานั้น บางรูปถูกแทรกก็ต่อสู้และยื้อกันไปมาในร่างกายอยู่ก็มี อนึ่ง ขอเตือนว่าผู้ปฏิบัติธรรมขั้นสูงทุกท่านล้วนมีจิตวิญญาณที่เป็นมารและอสูรแทรกได้ทั้งสิ้น และการจะได้ถึงนิพพานจริงๆ จะต้องผ่านด่านอสูรและมารเหล่านี้ให้ได้ทั้งหมดแต่จะมีสักกี่ท่านที่รู้ทันเล่ห์กลมารที่แทรกในกายสังขารนี้และรอดพ้นภัยมารและอสูรเหล่านั้นไปได้ ยกตัวอย่างกรณีวัดดังวัดหนึ่ง ที่เป็นข่าวบ่อยๆ ช่วงหนึ่งว่าสอนผิดทาง เหตุแท้จริงเพราะเป็นธรรมดาของผู้ปฏิบัติธรรมที่จะมีมารและอสูรแทรก และท่านผู้นั้นก็รู้ตัวแล้วว่าถูกแทรก และต้องต่อสู่กับมารตนนั้น เมื่อทำกิจศาสนาก็ทำถูกบ้างเพี้ยนบ้างสลับกันไป และผลการต่อสู้ทางจิตภายใน ทำให้มีปัญหาโรคภายในที่รักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบันไม่ได้ เช่น เดี๋ยวร้อนมากผิดปกติ, เดี๋ยวหนาวมากผิดปกติ เป็นต้น แต่ในขณะอีกหลายท่าน ถูกมารหรืออสูรแทรกได้เนียนมาก จิตเจ้าของร่างไม่รู้ตัวเลยว่าถูกแทรกอยู่ ทั้งมารหรืออสูรนั้นก็ทำได้แนบเนียน เช่น ให้ไปสร้างวัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการเกินกว่าพุทธบัญญัติ ดลใจให้ทำเพื่อพระพุทธศาสนาโดยใช้เงินมากมาย ผลาญบุญเจ้าของร่างมากมาย จากบารมีเดิมถึงโพธิสัตว์ เมื่อใช้บุญหมด บารมีถูกบั่นทอนลง ทั้งยังสร้างบุญใหม่ๆ คือ สร้างวัดวามากมาย ก็จะต้องไปเสวยบุญเกิดเป็นมารในสวรรค์ชั้นหกไป มารที่แทรกกายอยู่ก็อาศัยบารมีของพระรูปนั้นไปเกิดยังภพภูมิที่ดีกว่าแทน



    การแก้ไข ปัญหาจิตวิญญาณแฝงในกายสับเปลี่ยนบุญบารมี

    การแก้ไขจิตวิญญาณแฝงที่อาฆาตเจ้าของร่างหรือมาปรนนิบัติแล้วคอยสับเปลี่ยนบุญบารมี มีทางเดียว คือ “การโปรดจนกว่าหลุดพ้น” โดยบทสวด “โอม มณี เป เม โฮง” ช่วยคุมจิตอสูรได้ดีมาก ควรเปิดกรอกหูฟังบ่อยๆ เพื่อกล่อมดวงจิตอสูร เช่น หากมังกรมาช่วยงานเรา เราก็ต้องโปรดเขาจนพ้นกรรม ให้เขาหลุดจากภพอสูรไปให้ได้ เขาก็จะพอใจในสิ่งที่เขาได้ จำไว้ว่า จิตวิญญาณทุกดวงรู้เรื่องกรรม และต้องการไปยังภพภูมิที่ดีขึ้นทั้งสิ้น แม้เขาจะดูอยากได้สิ่งต่างๆ ทางโลก แต่เขารู้เรื่องกรรมดีมากกว่ามนุษย์ และยอมละทิ้งของทางโลกเอาบุญบารมีได้มากกว่ามนุษย์ เพราะว่าเขามาจากโลกทิพย์ โลกของจิตวิญญาณที่บุญกรรมแสดงผลให้เห็นชัดเจนนั่นเอง เราเป็นมนุษย์ที่ยังไม่เข็ดหลาบในเรื่องกรรมได้เท่ากับจิตวิญญาณเหล่านั้น และเราไม่มีสัพพัญญูญาณ ไม่รู้มากพอที่จะล่วงรู้ถึงได้ทุกอย่าง ธรรมวินัยใดที่พระพุทธองค์ทรงให้ไว้ดีแล้ว ด้วยพระเมตตาและพระปัญญานั้น ย่อมช่วยเราได้จากเล่ห์กลมารและอสูรนี้ ขอท่านทั้งหลายจงเห็นคุณค่าของพระธรรมวินัยเหล่านั้นเถิด ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัด แต่อย่าเผลอตัวมากเกินไป จนลืมดูสถานภาพตนเองในปัจจุบันว่าปฏิบัติย่อหย่อน เอาแต่เสวยผลบุญลาภสักการะมากไปถึงไหนแล้ว สิ่งนี้ขอเตือนท่านทั้งหลายไว้ จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด



    ข้อสังเกตเรื่องบุญบารมีและอิทธิฤทธิ์ของจิตวิญญาณที่มองไม่เห็น

    บุคคลมีบุญบารมีไม่เท่ากัน แม้แต่พระพุทธองค์ยังทรงดำรงชีพอย่างเรียบง่ายไม่ยึดติดสถานที่ แต่ปัจจุบันพระสงฆ์ไทยคิดเอาเองว่าตนบรรลุธรรมแล้ว ไม่ยึดติดอะไรแล้ว จึงรับเงินรับทองลาภสักการะเท่าไรก็ได้ เป็นบุญบารมีของตนเอง อันนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่มารดลจิตดลใจหลอกทั้งสิ้น การคิดแบบนี้เป็นมิจฉาทิฐิและยังไม่ผ่านด่านมาร การคิดที่เป็นสัมมาทิฐิก็คือ “ต่อให้เรามีบุญบารมีมาก แต่การใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่เด่นดังนั้น เป็นความสงบสุขมากกว่า” ทว่า พระสงฆ์ดังทั้งหลายไม่คิดเช่นนี้ ต่างแข่งขันกันอวดบารมีด้วยการรับเงินทองลาภสักการะและสานุศิษย์จำนวนมาก เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเป็นผู้มีบารมีมาก อันที่จริง การเสวยผลบุญมากในปัจจุบันจะเป็นเครื่องบั่นทอนบุญบารมีของเราได้ ทำให้ต้องไปเกิดใหม่เหลือบุญบารมีต่ำกว่าที่ตนเคยได้บำเพ็ญมา ยกตัวอย่างเช่น เมื่อบำเพ็ญบารมีได้กายโพธิสัตว์และสิงห์เป็นพาหนะแล้ว เมื่อไปสร้างวัดใหญ่โต สร้างถาวรวัตถุมากมาย สุดท้ายจะจุติเป็นสิงห์ และสิงห์ที่ช่วยงานให้เรานั้นจะจุติเป็นโพธิสัตว์แทน กล่าวคือ สิงห์มาบำเพ็ญช่วยเราจนได้บุญบารมีเป็นโพธิสัตว์ ส่วนเรามัวแต่เสวยผลบุญไม่โปรดสัตว์ แค่ออกปากก็มีคนเอามาให้ตามต้องการ บุญก็หมดหายหมด กรรมที่ตนมีก็ไม่ชดใช้ ไม่ชำระให้หมด สุดท้ายเหลือเพียงแค่สิงห์เท่านั้นเอง ลองสังเกตง่ายๆ อย่างนี้ พระราชาถ้าทำความดีมากๆ ก็จะได้บุญบารมีพอถึงโพธิสัตว์ได้ เช่น ร.๑ หลังกอบกู้ประเทศสร้างอาณาจักรทำนุบำรุงศาสนามั่นคงแล้ว ทรงจุติเป็นโพธิสัตว์ในกายมัญชูศรี, ร.๕ หลังทรงพัฒนาประเทศร่มเย็นเลิกทาสแล้ว ทรงจุติเป็นโพธิสัตว์ในกายสมันตภัทร ในขณะที่สมเด็จพระนเรศวร มีจิตอาฆาตกับพม่า เมื่อละสังขารลงแล้วจุติเป็นมารดี เพราะจิตที่อาฆาตมากนั่นเอง ทำให้ท่านต้องจุติลงมาบำเพ็ญบารมีใหม่เพื่อกลับคืนสู่ดุสิตตามเดิม สำหรับพระสงฆ์ที่ได้บำเพ็ญถึงโพธิสัตว์ เช่น ท่านอิกคิวซัง จุติแล้วได้กายโพธิสัตว์แต่ความเป็นอยู่ลำบากแค่พออยู่ได้ ไม่ได้มีลาภสักการะและบริวารมากเหมือนพระสงฆ์ดังในสมัยนี้ ที่กล่าวมานี้ ให้ท่านลองประเมินบุญบารมีเก่าของท่านเอง เทียบกับ ร.๑, ร.๕, สมเด็จพระนเรศวร, ท่านอิกคิวซัง ดูเล่นๆ ว่าท่านมีมากหรือน้อยกว่าท่านเหล่านี้ และสิ่งที่ท่านได้รับอยู่ปัจจุบัน ยังทำให้ท่านยังได้โพธิสัตว์ไหม หรือว่าท่านเสวยบุญบารมีเกินตัวและติดหนี้จิตวิญญาณที่มองไม่เห็นอยู่ การจะได้โพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญโปรดสัตว์มาก หากไม่ทำอะไรเป็นผลงานชัดเจนแบบ ร.๑, ร.๕ ก็ต้องอยู่อย่างสมถะ แล้วบำเพ็ญฝึกฝนเฉพาะตัวแบบท่านอิกคิวซัง อย่างนี้พอได้บารมีถึงโพธิสัตว์ แต่หลายท่านเป็นพระสงฆ์ดังที่มีชีวิตความเป็นอยู่แบบพระราชา เช่น มีลาภสักการะเยอะมาก, มีบริวารสานุศิษย์มาก แล้วคิดว่านี่คงเป็นเพราะบุญบารมีเรา แต่พิจารณาดูแล้วจะมากกว่าท่านอิกคิวซังเสียอีก และผลงานโปรดสัตว์ก็น้อยกว่า ร.๑, ร.๕ อย่างนี้ คิดว่ายังจะได้ถึงโพธิสัตว์ไหม สิ่งทีได้มานั้นเพราะบารมีหรืออิทธิฤทธิ์ของจิตวิญญาณที่มองไม่เห็นกันแน่



    ผลของบุญบารมีจะออกดอกผลอย่างสมเหตุสมผล ไม่มากมายล้นจนผิดสังเกต เช่น พระสิวลี เป็นพระอรหันต์ผู้มีบุญมาก ท่านก็บิณฑบาตได้ลาภมรรคผลมาก แต่ไม่ได้เป็นเงินทองและสานุศิษย์มารับใช้ราวกับบริวารของพระราชาแบบพระสงฆ์ดังในสมัยนี้ หากเรามีบุญบารมีมากเท่าพระสิวลีจริง เราก็น่าจะมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เราเชื่อยึดมั่นอยู่ในใจว่าเราคืออรหันต์ที่มีบุญบารมีมากนั้น มันก็ไม่น่าจะเกินพระสิวลี แต่ในความเป็นจริงสมัยนี้มันไม่ใช่แบบพระสิวลีเลย หากเราสังเกตดูดีๆ พระสงฆ์ดังหลายรูปกำลังมีชีวิตอยู่แบบ “พระราชา” เพราะเหตุหรือ ก็เพราะพระสงฆ์ดังๆ เหล่านี้ มีอดีตชาติเคยเป็นพระราชามาก่อน มีบริวารเก่าที่จงรักภักดีตามมาเกิดเป็นสานุศิษย์ และยังชำระกรรมชดใช้ไม่หมด จึงต้องมีวิถีชีวิตแบบพระราชาให้เห็นในปัจจุบัน คือ มีลาภสักการะมามากมาย เงินทองล้นหลาม สานุศิษย์ห้อมล้อมเต็มไปหมด อยากได้อะไรแค่ออกปากเขาก็น้อมมาถวายให้ ลักษณะนี้แตกต่างจากวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพระอรหันต์ในพุทธกาลมาก แม้พระสิวลีผู้มีบุญมาก หรือพระมหากัจจายนะ, พระอชิตะ ที่หลายท่านเชื่อว่าเป็นพระศรีอาริยเมตตรัยผู้มีบุญบารมี ๑๖ อสงไขย ก็ยังไม่ได้อย่างนี้เลย สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ทั้งหมด เกิดเพราะจิตวิญญาณแฝงที่เข้ามาบำเพ็ญบารมีในกายสังขารของพระสงฆ์ดังหลายรูป เช่น จิตวิญญาณแฝงที่มีกายเป็นกษัตริย์ทั้งหลาย เมื่อจิตวิญญาณแฝงเหล่านี้มาอาศัยและช่วยเหลือพระสงฆ์ที่ได้ธรรมถึงอริยสงฆ์แล้ว พวกจิตวิญญาณแฝงเหล่านี้จะได้บุญบารมีมาก เพราะทำงานอย่างหนัก เช่น กลางคืนออกไปดลจิตดลใจบริวารเก่าในอดีตชาติให้มาหาสู่และทำบุญทำนุบำรุงศาสนาอย่างมากล้นหลาม โดยที่พระสงฆ์รูปนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วจะมานับเป็นบุญบารมีอะไรกัน จิตวิญญาณดวงอื่นทำให้ประเคนให้ทั้งสิ้น จิตวิญญาณเหล่านี้บำเพ็ญเป็นผู้ช่วยจิตวิญญาณของพระสงฆ์รูปนั้นอย่างมากแล้ว เมื่อสังขารที่ใช้ร่วมกันนั้นตายลง ก็จะจุติเปลี่ยนกายทิพย์จากกายกษัตริย์เป็นกายโพธิสัตว์ ส่วนพระสงฆ์ที่เคยมีกายทิพย์เป็นโพธิสัตว์อยู่เดิม เมื่อตายลงบุญบารมีถูกผลาญใช้หมดก็จะเหลือแต่กายทิพย์กษัตริย์จุติในชั้นยามาเท่านั้น เพราะเหตุว่ายึดมั่นถือมั่นในความดีของตนเกินไป จึงเสวยผลบุญมากมายด้วยทิฐิว่าเราเป็นผู้มีบุญบารมีมาก แล้ววันๆ ไม่ทำอะไรเลย แทบไม่โปรดสัตว์อะไร เทศนาก็เทศน์ไปตามแต่ใจอยากจะพูด ใครจะบรรลุหรือไม่อะไร หรือเข้าใจจริงหรือไม่ก็ไม่สนใจ อย่างนี้ บุญบารมีจะมาแต่ไหน สุดท้ายก็ได้แค่กายกษัตริย์เพราะจิตเริ่มเข้าใจไขว้เขวในความเป็นพระสงฆ์, ความเป็นโพธิสัตว์ เอาว่า การได้รับเงินทอง, ลาภสักการะ, มีบริวารสานุศิษย์จำนวนมาก นี่น่าจะเป็นสิ่งที่แสดงถึงบุญบารมีของเราแล้ว เมื่อตายลงจิตเพลินอยู่กับสิ่งเหล่านี้ก็จะจุติเป็นกายกษัตริย์ได้ จิตวิญญาณที่เดิมเป็นกายกษัตริย์ตั้งใจมาทำงานรับใช้พระรูปนี้อย่างหนัก สุดท้ายได้จุติเป็นโพธิสัตว์ นี่ยังดี ที่กายแฝงที่เข้ามาช่วยพระสงฆ์นั้นมีกายเป็นกษัตริย์จึงมีหัวพัฒนาสร้างวัดวาทำผลงานมากมายอย่างต่ำตายไปยังได้กษัตริย์ชั้นยามา และจะได้จุติลงมาบำเพ็ญบารมีใหม่ช่วยค้ำจุนพระศาสนาในรูปพระราชาต่อไป บางท่านแย่กว่านั้น เพราะต้องจุติในกายอสูรก็มี ในกรณีที่อสูรมารับใช้งานให้อย่างหนักจนจิตอสูรตนนั้นเปลี่ยนถึงโพธิสัตว์ ในขณะที่พระสงฆ์จิตเสื่อมลงเอาแต่ความสบาย หลงตัวเองคิดว่าตนเป็นผู้มีบุญบารมีมาก ทุกสิ่งทุกอย่างมาเองทั้งสิ้น ไม่ได้ตรวจตราดูเลยว่ามีจิตวิญญาณแฝงเข้ามาช่วยประเคนให้เราทั้งนั้น เราไม่ได้บำเพ็ญบารมีอะไรเลย ได้แต่เสวยผลบุญหมดไป หมดไป ผลาญอยู่อย่างนั้นเอง จนไม่เหลือบุญบารมีเก่า เหลือแต่กรรมปัจจุบันที่สร้างทำวัดวาพัฒนามากมาย ก็ได้เป็นเทวดาชั้นยามามีกายเป็นกษัตริย์บ้าง เป็นมังกรที่พร้อมเกิดเป็นพระราชาในยุคที่มีอสูรจำนวนมากบ้าง นี่คือ การบำเพ็ญบารมีที่ผิดพลาดผิดระดับ การปฏิบัติจิตจนได้บารมีเก่าส่งผลบรรลุถึงอริยโพธิสัตว์แล้ว ไม่ถือวิถีโพธิสัตว์ ไม่ทำตัวโปรดสัตว์สืบต่อไป เมื่อตายลงก็ไมได้จิตโพธิสัตว์ หากมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบพระราชาเสวยบุญมีบริวารมากพัฒนาประเทศมาก ก็จะจุติเป็นเทวดาชั้นยามามีกายกษัตริย์ตรงไปตรงมาตามผลกรรมทีทำนั้น แม้ปฏิบัติจิตขั้นสูงได้จิตระดับนั้นแล้วก็ตาม เมื่อจิตเสื่อมถอยลงจากสภาวะเก่าที่ตนเคยได้ลำบากลำบนฝึกฝนมา ก็ต้องรับผลบุญตามนั้น การบำเพ็ญบารมีอยู่อย่างวิถีโพธิสัตว์นั้น มีรูปแบบอยู่ สามารถทำตามท่านที่ได้บรรลุโพธิญาณทั้งหลายในอดีตแต่ก่อนมาได้ทั้งสิ้น เช่น ท่านตั๊กม้อ, เจ้าแม่กวนอิม ฯลฯ


    ที่มา

    http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2009/03/27/entry-2
     
  2. OLDMAN AND A CAR

    OLDMAN AND A CAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    823
    ค่าพลัง:
    +2,752
    ...เข้ามากดปุ่ม อนุโมทนาให้ครับ...

    ...รอบทความแบบนี้ มานานแสน นาน...แม้ว้่า...บางส่วน อาจไม่เห็นด้วย..เช่น

    ....บารมีที่มากมายนั้นส่งผลให้บรรลุอรหันต์ แต่ยังไม่หมดกรรม ยังเหลือกิเลสบางส่วน เป็นอรหันต์แบบ “ปัญญาวิมุติ” ....

    ข้างบนนี้...ไม่เชื่อว่า ระดับ ปัญญาวิมุติ แล้ว ยัง ไม่สามารถ รู้ทัน หรือ เอาชนะ กิเลส ตนเองได้..เพราะ ตามความเข้าใจของผม...ระดับ อรหันต์ นี้ สมบรูณ์ พร้อมแล้ว ไม่มี เชื้อ ของ กิเลส เด็ดขาด...

    ...แต่ หาก จะตีความ ตามพุทธศานาในนิกาย อื่นๆ.. ตรงนี้ ก็ เป็นอีก เรื่องหนึ่ง....

    ...ผม..ไม่ได้ มุ่งแต่จะคัดค้าน ร่ำไป... แต่ อยาก ให้มอง ในอีกแง่มุมหนึ่ง ว่า บางที ที่ว่า บรรลุแล้ว ซึ่ง อรหันผล นั้น ต้องนำมาทบทวนใหม่ หลายๆ ครั้ง ...ว่า บรรลุจริงๆ หรือ เปล่าต่างหาก...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2010
  3. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    อนุตรธรรม เรื่อง จิตวิญญาณที่แทรกเข้าตัวเรา มาจากไหนกันบ้าง




    กายสังขารของมนุษย์สามารถถูกจิตวิญญาณเข้าแทรกได้มากมาย จิตวิญญาณเหล่านั้น มีที่มาจากไหนบ้าง เป็นจิตวิญญาณของเราทั้งหมดเลยหรือ หรือมีจิตวิญญาณที่ไม่ใช่ของเราเก่าก่อนด้วย บทความนี้ จะขออธิบายเรื่องจิตวิญญาณที่เข้าแทรกในตัวมนุษย์ ซึ่งมักพบมากในนักปฏิบัติธรรม คนทั่วไปมักไม่ค่อยมีปัญหาหรือสับสนนัก ดังต่อไปนี้



    ๑) จิตวิญญาณเก่าของตนเองที่ตกค้างอยู่

    ในกายสังขารของมนุษย์หนึ่งกายมีจิตวิญญาณมากกว่าหนึ่งดวง ในชาติเก่าๆ เมื่อเราละสังขารไปแล้ว เราจะไปจุติด้วยจิตเพียงหนึ่งดวง จิตดวงอื่นๆ จะไม่ได้ไปด้วย จะกระจายไปตามบุญกรรมของจิตวิญญาณดวงนั้นๆ เมื่อเรามาเกิดมีกายสังขารใหม่ จิตวิญญาณเก่าๆ ของเราเหล่านั้น ก็จะมาร่วมอยู่ในกายสังขารเราอีก วนเวียนซ้ำๆ อย่างนี้ หลายต่อหลายชาติ จวบจนกว่าจะโปรดจิตวิญญาณของตนได้หมด ก็จะนิพพานได้ในชาติสุดท้าย



    ๒) จิตวิญญาณเบื้องบนที่เข้ามาร่วมบารมี

    เรียกว่า “เทพประจำตัว” หรือ องค์รักษ์ก็ได้ ท่านเหล่านี้ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาทำหน้าที่ดูแล และชักจูงเราไปทำบุญบารมีร่วมกับเขา เขาอาจเป็นบริวารเก่าๆ ของเราในอดีต หรือเป็นเทพเทวดาที่เกี่ยวข้องกับเรามาในชาติไหนก็ได้ หรืออาจเป็นเจ้านายเราในบางชาติภพมาช่วยโปรดเราก็ได้ อย่างนี้ เรียกว่าไม่ใช่จิตวิญญาณของเราแท้จริงแต่มาจากจิตวิญญาณของผู้อื่น ซึ่งจะไม่ได้อยู่กับเรานาน ทำหน้าที่สั้นๆ แล้วก็เปลี่ยนไป เช่น ผู้บำเพ็ญบุญบารมี ได้กายทิพย์อวโลกิเตศวร จะมีเหล่ากุมาร มาอยู่ด้วย และอาจแทรกเข้ามาในกายสังขารเลย อันนี้ เป็นบุญบารมีประจำกายทิพย์นั้นๆ และจะถูกจัดสรรโดยเบื้องบนอย่างมีระบบระเบียบชัดเจน ไม่มีออกนอกกรอบ นอกลู่นอกทางไปเอง



    ๓) จิตวิญญาณที่เราได้มาโดยบุญบารมีเราเอง

    อันนี้แตกต่างจากข้อเมื่อกี้ เพราะมาโดยเราเองไปโปรดเขา ช่วยเหลือเขา ไม่ได้มาเองโดยบุญกรรม ไม่ได้มาโดยบัญชีสวรรค์ หรือเทวดาจัดเวรมาดูแลมนุษย์ แต่เราเองไปทำกรรม สร้างบุญสร้างบารมี เขาก็มาอาศัยร่วมบุญบารมีกับเราได้เช่น เราไปช่วยคนที่กำลังทุกข์ใจมากๆ เพราะจิตวิญญาณบางดวงอยู่กับเขา และพากันไปทุกข์ ต่างช่วยกันไม่ได้ อันนี้ ถ้าเราโปรดคนๆ นั้น จิตวิญญาณดวงนั้นๆ ก็จะมาอาศัยร่วมในกายสังขารเราได้ เขาจะมาช่วยเหลือกิจของเรา ช่วยเราสร้างบุญบารมีร่วมกับเรา นี่เรียกว่าได้มาโดยบารมี นี่ต่างจากแบบที่เบื้องบนส่งมาร่วมบารมี เพราะแบบนี้ ไม่ใช่ของเก่า เป็นของใหม่ เราทำเอง ในปัจจุบันชาติ ไม่มีเบื้องบนจัดสรรให้ เราทำเอง ได้เองเลย อันนี้ ถ้าทำไม่ดีก็เป็นกรรมเข้าตัวเอง เช่น คนที่ไปปลุกเสกกุมาร, ไปเรียกกุมาร เอามาเลี้ยงหรือช่วงใช้ อันนี้ เป็นกรรม แต่ถ้าเห็นคนถูกผีเข้า แล้วสงสารไปดึงออกมาโปรดเอง อันนี้เป็นบารมีเราเอง



    ๔) จิตวิญญาณของเจ้ากรรมนายเวรมาเล่นงาน

    กรณีนี้ มาแบบไม่ดี เมื่อเรามีกรรม วิบากซัดเข้ามา จิตวิญญาณที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรบางดวง จะแทรกเข้าในร่างกายเราเลยก็มี บางดวงไม่แทรกเข้า แต่ใช้การถอดกายทิพย์ครอบขันธ์เราก็มี เพราะเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรเหนือเราในช่วงที่เรารับวิบากกรรมอยู่นั้นๆ เขาอาจนำพาวิบากกรรมของเขาเข้ามาในตัวเราด้วย เช่น ถ้าเขาเคยตายเพราะเราฆ่าเขาไว้ เขามาแทรกในกายสังขารเราเมื่อไร เราอาจตายได้ด้วยการถูกฆ่าเช่นเดียวกับเขา ที่ถูกเราฆ่าตายมาก่อน อันนี้ โดยการที่เขาแทรกเข้าในกายเรา เราก็ต้องรับกรรมเช่นเดียวกับเขานั่นเอง ส่วนเขาเอง มีวิบากกรรมอยู่ อาจต้องตายแบบนั้น หลายชาติกว่าจะหมดกรรม ยังไม่ต้องเกิด ก็อาศัยกายสังขารของเรา มาตายพร้อมกับเรา เขาก็จะปลดกรรมตัวเองได้หนึ่งชาติเหมือนกัน อันนี้อันตรายให้ระวังมากๆ เพราะเขาจะมาพร้อมกับการบังตา ไม่ให้เรารู้ตัว ว่าเขานำพากรรมมาถึงตัวเราแล้ว เขาจะทำให้เราหลงเผลอก่อน



    ในคนทั่วไป จิตวิญญาณที่เข้ามาอาศัยร่วมในกายสังขาร จะมาจากทางที่หนึ่ง คือ มาจากจิตวิญญาณเก่าๆ ของตนเองที่ตกค้างอยู่ อันนี้ ทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเอง ต้องโปรดให้หมดด้วยตัวเอง เกิดกี่ชาติ เราก็ต้องโปรดจิตวิญญาณทั้งหลายของเราเอง บ้างเราเองไม่ได้เกิด ก็ต้องอาศัยในกายสังขารของจิตวิญญาณดวงอื่นที่ไปเกิดมีกายสังขารก่อนก็ได้เช่นกัน เรียกการเกิดแบบนี้ว่า “โอปปาติกะ” แม้ในตัวผู้เขียนเอง จิตวิญญาณในกายก็ไม่ใช่ดวงเดิม ดวงที่มาจุติเป็นผู้เขียนนั้น ได้จากไปดีแล้ว ผู้เขียนได้มีจิตวิญญาณดวงใหม่ เหมือนคนเกิดใหม่ สิ่งนี้ไม่ใช่ของแปลกเลย เจ้าชายสิทธัตถะเองก็ตายไปแล้ว และพระพุทธเจ้าก็ได้เกิดขึ้นจากการตายลงนั้นเหมือนกัน อันนี้ ไม่ใช่เรื่องปรัชญาที่พูดเชิงอุปมาอุปมัย เปรียบเปรยให้ดูสวยหรูแต่อย่างใด แต่เป็น “สัจธรรม” ความจริงแท้ทีเดียวที่กล่าวอย่างนั้นว่าเจ้าชายสิทธัตถะได้ตายลงแล้ว และพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นเมื่อการตรัสรู้ครั้งนั้นนั่นเอง อันนี้ เป็นแบบปกติ คือ จิตวิญญาณของเราเองทั้งหมดทั้งสิ้น



    ในคนที่ปฏิบัติธรรมขั้นสูง หรือในคนที่มีกรรมมาก การถูกจิตวิญญาณอื่นๆ เข้าแทรกที่ไม่ใช่จิตวิญญาณเก่าๆ ของเราเองนั้นมีเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น คนที่มีกรรมมาก บางคนถูกกระทำด้วยคุณไสย ทำให้ผีเข้าตัวก็มี บางคนโชคร้ายถูกผีสิง ผีเข้า อันนี้ เมื่อก่อนเห็นได้ชัด แต่เดี๋ยวนี้ผีฉลาด เข้าแล้วจะไม่แสดงตัว ไม่แสดงอาการ จะมีระยะฟักตัว และรอให้เหยื่อทำกรรมมากๆ ก่อน พอได้ที่แล้วก็ฉกฉวยโอกาส เล่นงานเหยื่อได้ชนิดที่ช่วยได้ยากจริงๆ ผีพวกนี้เป็นผีชั้นสูง ผีฉลาด เช่น ผีมาร เป็นต้น มีเยอะมาก พวกผีมารนี่ เข้ามาไม่ให้เราได้รู้ตัวเลย (ผีมาร ก็คือ จิตวิญญาณมารนั่นเอง) ในคนที่ปฏิบัติธรรมขั้นสูง ก็มีจิตวิญญาณแทรกกันมาก เพราะบุญบารมีเก่า กรรมเก่า ก็ดี เหล่านี้ นำพาจิตวิญญาณเข้ามาแทรกขณะกำลังปฏิบัติธรรมขั้นสูง อันนี้ เกิดขึ้นได้เสมอ ท่านเหล่านี้ถ้ามีจิตสัมผัสก็จะทราบได้ว่ามีจิตวิญญาณแปลกปลอมเข้ามาสู่ร่างกายแล้ว แต่ถ้าไม่ไวพอ ก็จะถูกจิตวิญญาณนั้นๆ ครอบงำ และนำพาไปผิดทางได้ อันนี้ เกิดขึ้นมากในนักปฏิบัติปัจจุบัน



    จิตวิญญาณจรเข้าออกเปลี่ยนกายสังขารได้

    จิตวิญญาณ ไม่เหมือนจิตสังขาร เพราะจิตสังขารนั้น จะประจำอยู่ในกายสังขารจรเข้าออกไม่ได้ หากจรจุติออกจากร่างกาย จะถือว่าตายทันที ดังนั้น จิตสังขารจึงไปไหนไม่ได้ แต่จิตวิญญาณในกายสังขารของเรา เขาจรจุติเข้าออกจากกายสังขารได้ และสามารถเลือกกายสังขารใหม่ๆ เพื่อให้ได้สมความปรารถนาของตนได้ ผู้เขียนจะเล่าเรื่องการเดินทางของจิตวิญญาณดวงหนึ่งให้ฟัง เป็นจิตวิญญาณของผู้เขียนเอง แต่เขาถือสิทธิ์เป็นเจ้ากรรมนายเวรของคนที่ทำกรรมกับผู้เขียนไว้ วันหนึ่ง เขาก็จรไปประจำอยู่ในกายสังขารของคนที่ทำกรรมกับผู้เขียนไว้นั้น และทำให้คนผู้นั้นต้องรับกรรมบางประการ ผู้เขียนแปลกใจว่าทำไม เขาคนนี้ จึงมีกรรมเหมือนเราในอดีตชาตินั้น เมื่อพิจารณาด้วยจิตก็สัมผัสได้ว่าเป็นจิตวิญญาณของเราเอง ที่เวียนว่ายอยู่ในสามภพ แต่แทรกเข้าไปในกายสังขารของเขา ไม่มาอยู่ในกายสังขารของเรา ชดใช้กรรมแล้วในกายสังขารของคนที่เคยทำร้ายเราแทน จากนั้น ได้สื่อสารกับเขา ใจเราก็ละความอาฆาตมาตรร้าย เหลือแต่ความสงสารเขาเท่านั้น จิตวิญญาณดวงนั้นเคยเป็นอสูร ต้องกรรมลำบาก ก็พ้นจากความเป็นอสูร และเกิดใหม่เป็นกุมาร จากนั้น เขาชวนเราคุยแบบเด็กๆ ชวนเราเล่น เราก็ทำไป จิตวิญญาณที่เป็นกุมารก็กลับมาอยู่กับเราแทน ส่วนเขาเองกลับได้จิตวิญญาณอีกดวงที่เหมาะสมกับตนเองไป ไม่นาน ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งปัจจุบันเป็นเพื่อนของผู้เขียน และผู้เขียนระลึกชาติได้ว่าเคยเกิดเป็นแม่เรามาชาติหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่น เขาคุยด้วย แล้วจิตวิญญาณกุมารที่อยู่ในตัวเรา (ในชาตินั้น เราอยากจะไปอยู่กับแม่คนนี้มาก แต่ถูกจับตัวไปให้บวชอยู่วัดตั้งแต่เด็ก) จิตวิญญาณกุมารดวงนั้น ก็ย้ายไปอยู่กับเขาแทน ส่วนจิตวิญญาณอีกดวงที่ดุแต่ปัญญาทึบ ซึ่งอยู่ในกายสังขารของผู้หญิงคนนั้นมาอยู่กับเราแทน อันนี้ งงไหม น่าเวียนหัวจริงๆ ย้ายไปย้ายมา สับสนวุ่นวาย เอาเป็นว่าถือว่าไม่ได้เล่านะ



    เรื่องจิตวิญญาณนี้ ถือเป็นนิทานก็แล้วกัน อันไหนที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติของท่านก็นำไป อันไหนที่ไปเพิ่มความสับสนคลางแคลงใจก็ตัดทิ้งไป ขอจบลงเพียงเท่านี้

    -จบ-


    อนุตรธรรม เรื่อง นักรบดำกับซาตานทั้งห้า




    ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าซาตานในคัมภีร์พระคริสต์นั้น คือ อะไรในทางพุทธศาสนา พระเยซูเล่าว่าซาตานเดิมทีเป็นทูตสวรรค์แต่ทำผิดกฎสวรรค์จึงต้องโทษแต่ไม่ยอมรับ แล้วหนีลงไปอยู่ในนรกแทน ซาตานห้าตนก็คือมารทั้งห้าที่หลบมาอยู่ในนรก รอทดสอบใจคนนั่นเอง อนึ่ง ทูตสวรรค์ที่ทำผิดแล้วต้องตกจากสวรรค์ไปรับทัณฑ์สวรรค์มีมาก แต่มีบางส่วนไม่ยอมรับทัณฑ์สวรรค์เพราะทัณฑ์สวรรค์โหดร้ายเกินไป เช่น ถูกกักตัวนานเป็นหมื่นปีก็มี, ต้องลงไปเกิดเป็นหมูให้เขาฆ่าตายเป็นร้อยชาติก็มี ฯลฯ ทัณฑ์สวรรค์เหล่านี้รุนแรง แต่ที่รุนแรงก็มาจากกรรมของทูตสวรรค์ตนนั้นทำมาแต่เก่าก่อนนั่นเอง เช่น ซุนหงอคง เทพวานร ก็ต้องทัณฑ์สวรรค์ถูกกักตนในภูเขายาวนานเป็นร้อยปี พันปี, ตือโป้ยก่ายก็ต้องลงไปเกิดรับกรรมเป็นหมูถูกฆ่ากินหลายชาติ ฯลฯ เหล่านี้ เขาได้ผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์จนหมดสิ้นกรรมแล้ว แต่มีพวกหนึ่งที่รับทัณฑ์สวรรค์ด้วยการลงไปเกิดเป็นมนุษย์เพื่อปราบซาตานอีกที เช่น อดัม ที่ถูกซาตานหลอกให้ทำผิดกฎสวรรค์จึงต้องตกสวรรค์ เขาได้เกิดเป็นมนุษย์ยุคที่เริ่มมีชายและหญิงปรากฏบนโลก และได้ชำระวิบากกรรม รับการลงทัณฑ์จนหมดสิ้นแล้ว แต่ก็มีทูตสวรรค์อีกบางส่วน ที่ไม่ยอมรับทัณฑ์สวรรค์ หนีลงไปอาศัยอยู่กับมนุษย์ เช่น ไปแฝงตัวแทรกอยู่ในกายมนุษย์ก็มี, อยู่กับคนทรงก็มี, ไปรับใช้จิตวิญญาณเหล่าอื่นที่มีบารมีมีฤทธิ์มากก็มี ฯลฯ ทูตสวรรค์เหล่านี้ ต้องรับทัณฑ์ตกเป็นเครื่องสังเวยของซาตาน คือ ต้องตายด้วยมือซาตานหลายชาติกว่าจะหมดสิ้นกรรม ยกเว้นมีพระโพธิสัตว์ช่วยไว้ก็จะได้อาศัยบารมีของพระโพธิสัตว์องค์นั้น ทำคุณงามความดีไปด้วยกัน จึงจะหลุดพ้นได้ เช่น เทพไส้ตะเกียง ทำตะเกียงสวรรค์ดับแล้วหนีลงไปอยู่กับเผ่ามังกร ภายหลังก็ต้องถึงแก่ความตายด้วยมือของมังกร



    นักรบดำ คือ ทูตสวรรค์ที่ทำผิดกฎสวรรค์จนต้องโทษลงมาเกิดในโลกมนุษย์ และต้องรับความยากลำบากนานัปการ ต้องยอมเกลือกกลั้วกับโคลนตมและกิเลส ต้องยอมรับพลังดำแห่งความเคียดแค้น เพื่อปราบซาตานทั้งห้าตนนั้น เมื่อเขาทำกิจสำเร็จก็จะได้กลับคืนสู่สวรรค์ ซึ่งก็คือ พระโพธิสัตว์ที่ลงมาบำเพ็ญบารมีผ่านด่านมารทั้งห้านั่นเอง อนึ่ง นักรบดำถ้าบำเพ็ญบารมีถึงที่สุด มักจะมีกายทิพย์เป็น “พระสมันตภัทรโพธิสัตว์” ซึ่งกายทิพย์ของท่านสามารถดูดซับพลังมาร พลังอสูร พลังภาคดำเอามาใช้เป็นพลังของตัวเองได้ ทำให้ท่านกายทิพย์ดำลง และมีลักษณะคล้ายมาร แต่ไม่ใช่มารที่แท้จริง ยกตัวอย่างเช่น สมเด็จพระนเรศวร ก็ทรงเป็นนักรบดำ บำเพ็ญบารมีให้ความเป็นไทแก่ประเทศสยามในเวลานั้น ท่านต้องต่อสู้กับซาตานลูซิเฟอร์ที่แฝงเข้ามาอยู่ในกายสังขารมนุษย์ อนึ่ง ลูซิเฟอร์ชอบเอาคนไปเป็นข้าทาสบริวาร แต่นักรบดำชอบความมีอิสระ รักอิสรภาพ ทั้งสองเป็นปรปักษ์กันมายาวนานมาก และทำสงครามผ่านการแทรกเจ้าร่างมนุษย์นับครั้งไม่ถ้วน หากทั้งสองไม่หลุดพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่เดิม โลกมนุษย์จะยังคงมีสงครามต่อไปไม่สิ้นสุด ทางเดียวที่จะทำให้โลกพ้นจากภัยสงครามได้คือการโปรดพวกเขาเหล่านี้ให้หลุดพ้นไป เพราะการต่อสู้เพื่อเอาชนะ จะนำไปสู่สงครามได้



    ปกติแล้วทูตสวรรค์มีถึงวาระต้องมาโปรดสัตว์ก่อนเวลาจุติ จะถูกเบื้องบนหาวิธีให้ลงมาโปรดมนุษย์ เช่น พระเจ้าหรือพระยูไล จะออกกฎใหม่ๆ แล้วทูตสวรรค์ก็ทำผิดกฎนั้นๆ จนต้องลงมาเกิดเพื่อรับทัณฑ์สวรรค์ แต่จะมีทูตสวรรค์บางส่วนยอมรับโทษแต่โดยดี และบางส่วนที่ไม่ยอมรับโทษ พวกที่ยอมรับโทษก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเทพองค์ต่างๆ ทำงานรับใช้พระเจ้าหรือพระยูไลต่อไป แต่พวกที่ไม่ยอมรับโทษ หนีไปอยู่ที่อื่นนั้น จะถูกวิบากกรรมของตนเองเล่นงานในแบบต่างๆ ส่วนใหญ่ต้องถูกสังเวยและต้องตายในชาติแรกๆ จากนั้นเมื่อตายอยู่หลายชาติ ก็จะค่อยๆ ดีขึ้น คนที่ถูกสังเวยมีหลายแบบเช่น ถ้าถูกลูซิเฟอร์เอาไปเป็นเครื่องสังเวย เขาจะเอาไปเป็นภรรยา ซึ่งอาจถูกข่มขืน ขืนใจอย่างโหดร้ายทารุณ เพราะลูซิเฟอร์ซาดิส แต่ก็นับว่าเบามากแล้ว สำหรับโทษนี้ เพราะไม่ต้องถึงขั้นตายนั่นเอง แต่ส่วนใหญ่จะเสียสติหรือเป็นบ้า มีผู้หญิงส่วนหนึ่งเป็นแบบนี้



    ซาตานนักก่อสร้าง (ลูซิเฟอร์) มีศูนย์กลางพลังที่ประเทศไทย (ขันธมาร)

    เขาจะคิดว่าตนเองเป็นพระเจ้า เพราะเขาก่อสร้างวัตถุต่างๆ ในโลกได้ จึงคิดว่าตนเองเป็นผู้สร้างโลกเสียเอง ซาตานนี้มักแทรกแฝงตัวในนักธุรกิจกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เขามีฤทธิ์มาก และมักปรากฏในสัญลักษณ์ “มือกำมีด” คือ กุมอิทธิพลมืด เช่น กลุ่มธุรกิจก่อสร้างที่ชอบโกง และมีอิทธิพลมืดหนุนหลัง มักมีซาตานตนนี้แทรกแฝงตัวอยู่ แต่เมื่อซาตานจากไปแล้ว คนพวกนั้นก็ย่ำแย่ และธุรกิจซบเซา ซาตานตนนี้เคยแทรกอยู่กับคนไทย แต่เขาพ้นสภาพไปแล้ว ทำให้คนไทยประมูลธุรกิจก่อสร้างใหญ่ๆ ไม่ได้ เช่น งานก่อสร้างรัฐสภา ก็ตกเป็นของประเทศจีน เพราะที่นั่นมี... ที่มีอำนาจพอๆ กับซาตานตนนี้อยู่นั่นเอง ซาตานตนนี้ มักปรากฏให้คนเห็นเมื่อคนใกล้ตายหรือกลัวตาย และเขาใช้ความตายเป็นเครื่องต่อรอง ให้คนกลัวและร้องขอชีวิต เขาจะให้ชีวิตยืนยาวขึ้นได้ แต่ต้องแลกด้วยจิตวิญญาณ เมื่อคนยอมแลกแล้ว คนผู้นั้น จะตกเป็นกายสังขารหนึ่งของซาตานโดยง่าย แต่ถ้าคนไม่ยอมแต่ซาตานแทรกจะทำการได้ไม่เต็มที่ และต้องพ่ายไป ลูซิเฟอร์ทำตัวเหมือนพระเจ้า เลียนแบบพระเจ้า ทั้งการพิพากษาคน การให้อำนาจและเงินทองแก่คน บันดาลให้ทุกอย่างที่คนปรารถนาได้ เขาจึงคล้ายพระเจ้าแต่ไม่ใช่พระเจ้า เพราะเขาไม่ได้ให้เปล่า เขาต้องการจิตวิญญาณของคนเป็นการแลกเปลี่ยนนั่นเอง



    ซาตานพ่อมดการเงิน มีศูนย์กลางพลังที่ประเทศอเมริกา (กิเลสมาร)

    เขาคิดว่าเงินคือพระเจ้า และบันดาลได้ทุกอย่าง เขาจึงใช้เงินเป็นเครื่องมือเล่นงานคนอื่น และอาศัยการติดหนี้ของคนอื่นมาเป็นเครื่องพันธนาการให้คนผู้นั้นต้องตกเป็นทาสของเขา ซาตานพ่อมดการเงินจะสอนให้คนถือเงินเป็นพระเจ้าและเชี่ยวชาญเรื่องการเงิน บางคนมีปัญญาแต่เรียนเรื่องการเงินไม่ได้เลย เพราะซาตานพ่อมดการเงินไม่ยอมให้เขาได้เข้าใจเรื่องการเงินนั่นเอง ซาตานพ่อมดการเงิน นับได้ว่าเป็น “บิดาแห่งการเงินยุคเฟื่องฟู” แต่เขาไม่ใช่ผู้สร้างระบบการเงินเริ่มแรก เริ่มแรกนั้นทูตสวรรค์ลงมาทำไว้ แต่ภายหลังซาตานพ่อมดการเงินเข้ายึด แล้วอาศัยกิเลสของคน ทำให้การเงินเฟื่องฟู แต่มันไม่มั่นคง ไม่แท้จริง ไม่เที่ยงแท้ จึงเป็นเพียง “การเล่น” เท่านั้น เช่น เล่นหุ้น, เล่นค่าเงิน, เล่นกำหนดราคาในตลาดต่างๆ ฯลฯ ทำให้ราคาสินค้าต่างๆ ผันผวนไปตามที่ตนต้องการ เล่นงานศัตรู แล้วทำให้ตนเองได้เปรียบด้วยกลไกลการเงินนี้ สัญลักษณ์ของซาตานตนนี้ คือ “มือกำเงิน” เขาเปรียบตนเองเป็นพระเจ้า เป็น “มือที่มองไม่เห็น” คอยบงการโลกให้เป็นไปตามที่เขาปรารถนา ได้ด้วยอำนาจ “เงิน” ในมือของเขานั่นเอง



    ซาตานแห่งโลกมายา มีศูนย์กลางพลังที่ประเทศอเมริกา (อภิสังขารมาร)

    ซาตานตนนี้ สร้างโลกให้กลายเป็นโลกแห่งความฝัน เช่น สร้างภาพยนตร์, สื่อต่างๆ ให้คนหลงใหล ในโลกแห่งความฝัน เมื่อคนทุกข์ใจ ไม่ยอมที่จะสู้กับสัจธรรมความจริงตรงๆ ก็หนีไปดูหนังเพื่อให้ตนได้รับความสุข หนีทุกข์ไปเรื่อยๆ คนตกอยู่ในโลกแห่งความฝันแล้ว ก็จะตกอยู่ภายใต้การครอบงำของซาตานแห่งโลกฝัน ซาตานตนนี้ คล้ายมารฝันมาก แต่มารฝันไม่ใช่ซาตาน มารฝันเป็นมาร ยังไม่ตกสวรรค์ อยู่บนสวรรค์ และคอยใช้ความฝันของคนเป็นเครื่องมือครอบงำผู้คน มารฝันเป็นมารที่ชอบไปเดี่ยวๆ ไม่มีบริวาร แต่ซาตานแห่งโลกฝันมีบริวารมาก จึงมีอำนาจที่จะสร้างโลกแห่งความฝันให้กลายเป็นเหมือนความจริงได้ ซาตานแห่งโลกฝันสร้างโลกมายาขึ้น และทำให้คนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโลกมายานั้น คือ โลกแห่งการแสดงร้องรำทำฟ้อนต่างๆ ฯลฯ พระพุทธเจ้าทรงไม่สรรเสริญการชมระบำรำฟ้อนและภาพยนตร์ต่างๆ จึงได้ทรงบัญญัติศีลไว้ป้องกันพระสาวกไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานตนนี้ แต่พระสาวกอาจไม่เข้าใจความปรารถนาดีของท่าน เมื่อเราตกอยู่ใต้อิทธิพลของความฝัน ให้เราพิจารณาอย่างนี้ว่าความฝันสวยงามดีก็จริง แต่ในความเป็นจริงเราไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนในความฝัน เราสามารถเลือกที่จะเดินทางในแบบของเราเองได้ เลือกเส้นทางชีวิตให้เราเองได้ที่ไม่เหมือนในความฝัน หรือในความเป็นจริง เราอาจได้พบกับความท้าทายใหม่ๆ ที่ความฝันไม่มีให้ เราไม่ได้ปฏิเสธความสวยงามของโลกแห่งฝัน เพียงแต่เราไม่ได้ยึดเป็นสรณะ



    ซาตานพ่อค้าอาวุธ มีศูนย์กลางพลังที่ประเทศแถบอาหรับ (มัจจุราชมาร)

    ซาตานตนนี้ ต้องการสร้างโลกให้เป็น “โลกแห่งสงคราม” เพราะเขากระหายเลือด และต้องการเห็นมนุษย์เข่นฆ่ากันตายมากๆ ชอบทำสงคราม บ้าสงคราม และชอบผลิตอาวุธแปลกๆ ออกมามากมาย ซาตานตนนี้จะแทรกแฝงตัวในคนที่มีอาชีพผลิตอาวุธขาย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการก่อสงครามให้เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ มันเป็นซาตานที่โหดร้าย แต่ไม่มีสมอง ทำอะไรไม่คิดไกล เอาแต่ใช้กำลัง มีอิทธิฤทธิ์มากกว่าลูซิเฟอร์ แต่ไม่มีความฉลาดแบบลูซิเฟอร์เลย คือ คิดแต่จะเข่นฆ่าทำลายล้างอย่างเดียว ไม่สนใจว่าจะเกิดผลอย่างไรตามมา เรียกได้ว่าถ้าโลกอยู่ในสภาพที่คล้ายนรก เต็มไปด้วยสงครามละก็ สมใจของมันมาก ดังนั้น มันจึงไม่ได้ต้องการเงิน หรือสิ่งใดๆ เลย ต้องการแก้แค้นและทำลายล้างอย่างเดียวเท่านั้น มันบ้าระห่ำ และพร้อมทำลายล้างทุกอย่าง แม้แต่ตัวเองก็ตาม



    ซาตานจอมบงการ มีศูนย์กลางพลังที่ประเทศจีน (เทวบุตรมาร)

    ซาตานตนนี้ มีความฉลาดมากที่สุด มันเป็นนักวางแผน และจอมบงการ ชอบโยงใย ชักใยเบื้องหลังคนอื่น ให้กระทำตามแผนการของมัน มันบ้าลัทธิและนิกายประหลาด บ้าในเรื่องปรัชญาการปกครองแบบของมันเอง ที่มันคิดขึ้น และต้องการให้โลกเป็นไปอย่างที่มันคิด ซาตานตนนี้ จึงเข้าแทรกกับคนที่ศึกษาการเมืองการปกครองมากๆ และทำให้เขาเบี่ยงเบนผิดเพี้ยนไป เช่น การคิดว่าคนที่มีกรรมพันธุดีความได้รับการขยายพันธุ์ ส่วนคนที่มีกรรมพันธุ์ต่ำ ควรทำลายทิ้ง เป็นต้น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ก็มีสาเหตุมาจากซาตานตนนี้ ซาตานตนนี้เคยอยู่ในกายของฮิตเลอร์มาก่อน เมื่อฮิตเลอร์ตายแล้ว มันก็หาร่างคนอื่นอยู่ใหม่ ซาตานตนนี้ ชอบสร้างคนแบบใหม่ๆ ขึ้นมา เช่น การตัดต่อพันธุกรรม เพื่อให้ได้คนแบบใหม่ตามที่มันต้องการ เพราะมันคิดว่ามันคือพระเจ้าผู้สร้างมนุษย์บนโลกนี้นั่นเอง นอกจากนี้ มันชอบเอาคนไปฝึกอะไรมากมาย ให้ดูมีระเบียบ มีรูปแบบตามที่มันต้องการ และสามารถทำได้อย่างน่าอัศจรรย์ เช่น กองทัพของฮิตเล่อร์ เป็นต้น ซาตานตนนี้ยังทำสิ่งต่างๆ มากมาย เพื่อแสดงว่าตนเองคือพระเจ้า ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ เช่น การจัดระเบียบโลก



    เมื่อโลกตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานทั้งห้า

    เราจะเห็นพวกบริโภคนิยมและวัตถุนิยม ที่ร้องขอจะบริโภคนั่นนี่ แล้วก็ได้ตามที่ต้องการ อันเป็นผลมาจาก ซาตานลูซิเฟอร์ เราได้เห็นพวกนับถือเงินเป็นพระเจ้า คือ พวกทุนนิยม อันเป็นผลมาจากซาตานพ่อมดการเงิน เราจะได้เห็นพวกที่นับถือความสุขแห่งมายาภาพเป็นดั่งพระเจ้า คือ พวกมายานิยม อันเป็นผลมาจากซาตานแห่งโลกมายา เราจะได้เห็นพวกที่นับถืออำนาจเป็นพระเจ้าคือพวกอำนาจนิยม อันเป็นผลมาจากซาตานพ่อค้าอาวุธ เราจะได้เห็นพวกที่นับถือความฉลาดเหนือคนอื่น และการบงการควบคุมคนอื่น เป็นพระเจ้า คือ พวกเผด็จการนิยม สิ่งเหล่านี้ ได้เกิดขึ้นแล้วพร้อมๆ กัน เพราะซาตานทั้งห้า



    ซาตานทั้งห้าร่วมมือกันกลายเป็น “มือที่มองไม่เห็น” คอยบงการโลกใบนี้ให้เป็นไปตาม ที่เขาต้องการ ดุจมือที่มีนิ้วห้านิ้วกำโลกใบนี้อยู่ เราทั้งหลายล้วนเคยตกอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานทั้งห้านี้ แต่เมื่อเรารู้แล้ว เราพยายามเอาตัวเองออกมาเสียจากซาตานเหล่านี้ ก็จะพ้นภัย รอดพ้นจากซาตานทั้งห้านี้ได้ อนึ่ง พระพุทธเจ้าเอาชนะซาตานทั้งห้านี้ โดยการไม่เอาชนะ เพราะทรงชนะตนเองแล้ว ไม่มีกิเลสเหลือแล้ว จึงเอาชนะซาตานเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องต่อสู้ ซาตานทั้งห้าไม่อาจครอบงำพระองค์ได้ และถูกพระแม่ธรณีจัดการหมดสิ้น โดยปกติแล้วพระโพธิสัตว์และพระยูไลจะพบซาตานทั้งห้านี้ได้ เมื่อท่านบำเพ็ญบารมี เมื่อท่านสามารถผ่านด่านการทดสอบของซาตาน (มาร) ทั้งห้านี้ได้ ก็จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเต็มตัว แต่สำหรับพระยูไลจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะบางด่าน ท่านจะไม่ได้เอาชนะด้วยปัญญา แต่ท่านจะใช้การลงมือ “ปราบ” ชนะด้วยการฆ่าเลย แบบนี้ท่านจึงไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ส่วนพระโพธิสัตว์จะไม่อาจผ่านด่านมารหรือซาตานเหล่านี้ได้ ท่านจะตกอยู่ในการบงการของซาตานบางตนได้เช่นกัน จึงยังไม่สำเร็จเป็นพุทธะนั่นเอง พระพุทธเจ้าไม่ทรงเน้นบอกการมีตัวตนของซาตาน แต่ทรงสอนวิธีละที่ใจของเรา จึงเรียกว่ามารทั้งห้าเช่น ขันธมาร คือ ขันธ์ทั้งห้าแทนเพื่อให้เราละที่ใจเรานั่นเอง

    -จบ-



    อนุตรธรรม เรื่อง มนุษย์เป็นสัตว์สังคม สามารถแบ่งปันช่วยกันรับกรรมได้




    การรับกรรม, ชำระกรรมนั้น เราไม่จำเป็นต้องรับคนเดียวทั้งหมดก็ได้ สมมุติ บางคนฆ่าคนตายในสังคม มีกรรม ๑๐๐ หน่วย ไม่จำเป็นว่าเขาต้องรับชำระหมดทั้ง ๑๐๐ หน่วย เขาสามารถขอให้คนอื่นที่มีกำลัง มีบุญบารมี ช่วยเขา เพื่อรับชำระกรรมแทนเขาก็ได้ ซึ่ง พลังกรรมนั้น เมื่อออกมาแล้ว เกิดพลังกระแสกรรม และพลังกระแสวิบากกรรม ต้องครบจบวงจร ถึงหมดได้ และไม่กระทบต่อสามภพ ไม่กระทบใคร ถ้าใครทำกรรม พลังกรรมกระทบสามภพแล้ว เขาผู้นั้นแหละจึงต้องรับผิดชอบพลังกรรมที่สะท้อนกลับจากระบบนั้นๆ สามภพมีระบบสะท้อนกรรมทุกกรรมกลับคืน แต่ถ้ามีผู้ช่วยรับแทน ก็สามารถทำได้ ทำให้กรรมที่สะท้อนกลับมานั้น หมดไป ไม่กระทบ ไม่รบกวนสามภพอีกต่อไป จริงๆ แล้วไม่มีใครคำนวณกรรม และพลังกรรมของดวงจิตหนึ่งๆ ได้อย่างชัดเจน เพราะเราเกิดกันมาหลายชาติมากเกินกว่าจะคำนวณพลังกรรมที่ปลดปล่อยออกมา และต้องชำระได้หมด ดังนั้น จึงไม่ได้มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เป็นกฎระเบียบคร่าวๆ ของเทวดาผู้ดูแลเรื่องกรรม ซึ่งสามารถยืดหยุ่นได้ เช่น คนหนึ่งคน ถ้าทำกรรมมามาก และมีบุญมากเช่นกัน แล้วเหนื่อยล้าอยากหลุดพ้น อยากนิพพานแล้ว หากเร่งกระทำบุญบารมีสัมพันธ์กับพระพุทธเจ้าในพุทธกาลนั้นๆ แล้วตั้งความปรารถนาลัดตรงสู่นิพพานเลย ก็ได้ แต่ท่านใดที่มีกำลังมาก ฉุดช่วยสรรพสัตว์ได้อีกมาก เขาก็จะจัดคิวให้ได้นิพพานไกลออกไปอีกตามกำลังที่พอจะเวียนว่ายตายเกิดต่อไปได้ แต่การจัดคิวนี้ เขาจะทดสอบใจเราก่อนว่าเราจะเลือกทางนั้นไหม เขาไม่ได้บังคับเรา เช่น ให้พลังวิเศษเรา พาคนมาหาเรา ให้เราช่วยมากมาย มานับถือศรัทธาเรา ถ้าเรายอมรับ กรรมเหล่านั้น ที่เรานั่งช่วยให้เขา นั่งแก้ให้เรา ก็สะสมมาเป็นของเรา เราจะได้ห่างไกลนิพพานออกไปอีก แต่เราจะได้บำเพ็ญบารมีช่วยสรรพสัตว์แทน เพราะเบื้องบนเห็นว่าเราน่าจะมีกำลังเวียนว่ายตายเกิดได้อีกมาก น่าจะยืดเวลาออกไป แม้เราปฏิบัติจิตจนใกล้นิพพานแล้ว แต่เขาไม่ได้บังคับเรา เขาทดสอบใจเรา เราเลือกทางเอง ทางเดินของเราก็ยืดยาวออกไปได้อีก ส่วนสัตว์อื่นๆ ที่ไม่ไหวแล้ว ทุกข์มากแล้ว ขอนิพพานในพุทธกาลนี้ ถ้าเร่งปฏิบัติ แม้มีกรรมมาก เดิมทีไม่สามารถนิพพานในศาสนาพุทธกาลนี้ได้ แต่ถ้าพยายาม เขาก็จัดคิวให้ได้ อันนี้ ไม่ได้เคร่งรัดมากไป ช่วงกึ่งกลางพุทธกาลนี้ เขายืดหยุ่นให้ เลือกได้ กล่าวคือ ช่วงแรกพระพุทธศาสนาก่อนกึ่งกลางพุทธกาลนั้น เบื้องบนจะกันไว้ ให้สำหรับพุทธบริษัทสี่ของพระพุทธเจ้า คือ บริวารสาวกเก่าๆ ของท่านเท่านั้น แต่ครึ่งหลัง หลังกึ่งพุทธกาลนี้ เขาเปิดให้กับสัตว์เหล่าอื่นได้แก่ ยักษ์อสูร, เทพ, มาร, พรหม เหล่านี้ หากปรารถนานิพพานในพุทธกาลนี้ก็ได้เลย ขอให้พยายามปฏิบัติทำให้เต็มที่ ได้แน่นอน เขาเปิดให้แล้ว




    แต่สำหรับท่านที่มีกำลังบำเพ็ญบารมีต่อไปได้ เขาจะให้สาวกมาห้อมล้อมมากมาย เช่น กุมารที่เกิดในยุคของพระกวนอิม เคยเคาะหัวพระกวนอิมทำให้ท่านบรรลุธรรมมานั้น ก็อาจมาเกิดเป็นพระ เคาะหัวคนไทยมากมาย เอาบริวารไปมากมาย นี่เขาเห็นว่าท่านยังมีกำลังบำเพ็ญบารมีได้มาก ยังไปได้อีกไกล ยังไม่ต้องรีบนิพพานก็ได้ ช่วยเหลือมวลสัตว์ไปก่อน เขาจะนำพาคนมามากมาย ห้อมล้อมไว้ หากท่านไปช่วย ไปพัวพัน เขาจะพัวพันทันที และไม่ได้นิพพาน แม้จะอรหันต์แบบอรหันตโพธิสัตว์แล้วก็ตาม เบื้องบนเขามีวิธีดึงเราไว้ แต่เขาไม่ได้บังคับเรา เขาเอามาทดสอบเรา เราเลือกเอง ทำเอง กรรมเกิดเอง ก็ต้องดำเนินไปเองตามผลกรรมที่เราเองกระทำนั้นๆ อันนี้ ก็เป็นการ “แบ่งเบากรรมกัน” กล่าวคือ คนที่มาห้อมล้อมขอให้ช่วยนั้นมีกรรมมาก แต่คนให้การช่วยเหลือมีกรรมน้อย จิตบริสุทธิ์มาก ใกล้นิพพานแล้ว เบื้องบนยังไม่ให้นิพพาน ให้ช่วยเหลือสัตว์ไปก่อน เขาจะเอากรรมมาไว้ที่คนช่วยแทนส่วนหนึ่ง ส่วนคนที่ไปขอให้ช่วย จะตกกรรมอีกแบบ เป็นบริวาร เป็นสาวกของเขา ใช้หนี้แทนแบบนี้ เช่น กองโจรกองหนึ่ง ฆ่าคนตายมา มีกรรม แล้วเกิดใหม่ กรรมเล่นงาน ไปหาพระให้ช่วย พระช่วยแล้ว พระต้องรับกรรมนั้นไป เช่น ต้องเกิดเป็นแม่ทัพไปฆ่าคนมากมาย ดีกว่าโจรหน่อย แต่โจรเหล่านั้น จะไม่ต้องเป็นโจรซ้ำรอยอีก จะกลายเป็นทหารรับใช้แทน ซึ่งมักจะได้บำเพ็ญร่วมกันแบบนี้ และช่วยกันค้ำจุนประเทศชาติ เป็นต้น อนึ่ง คนเหล่านี้ หาที่พึ่งอาศัย เพราะหลุดพ้นไม่ได้ด้วยตนเอง




    จิตวิญญาณจำนวนมาก ปรารถนาจะได้เกิดและนิพพานในยุคพระศรีอาริยเมตตรัย แต่ตอนนี้ จำนวนดวงจิตที่ได้เกิดในยุคนั้นมีมากเหลือเกิน และรออยู่บนสวรรค์ ส่วนดวงจิตที่ลงมาเกิดในกึ่งกลางพุทธกาลนี้ เป็นส่วนที่บำเพ็ญบารมียังไม่ดีเท่าที่ควรเป็นส่วนใหญ่ จึงต้องลงมากอบโกยเอาบุญใหญ่ เผื่อจะได้เข้าวิน ได้เกิดในยุคนั้นบ้าง ซึ่งยังพอมีที่เหลือไม่มากนัก ดังนั้น ส่วนที่เหลือ คือ “สอบตก” ก็จะต้องหาไม้ทำรัง หาร่มโพธิ์ร่มไทรอาศัย เป็นโพธิสัตว์องค์อื่น เช่น หลวงปู่, หลวงพ่อ, อาจารย์สอนธรรม, คนทรง, คนมีฤทธิ์เดช ฯลฯ กันวุ่นวาย ที่เราเห็นคนวิ่งไปหา ไปล้อม ไปรุม ไปเกาะ ไปยึดเขาเหล่านี้ เพราะคนเหล่านี้ “สอบตก” กันส่วนใหญ่ และกำลังใกล้จะตาย ถ้าไม่มีบุญบารมีร่วมกับท่านผู้มีบารมีไว้ ตนก็จะไม่มีที่พึ่งอาศัยในชาติข้างหน้า ไม่รู้จะอาศัยใครเป็นหัวหน้าตนนั่นเอง พวกที่สอบผ่าน คือ ได้เกิดในยุคศรีอาริยเมตตรัย ก็มีบ้าง แต่น้อยมาก เหมือนคนโชคดี ได้ทำบุญสัมพันธ์กับภาคแบ่งของท่านที่มาเกิดเป็นคน มากกว่า ๑ คน กระจายกันอยู่ แต่ละคน บำเพ็ญบารมีแล้วได้ไม่เท่ากัน ถ้าได้อาศัยภาคแบ่งใดภาคแบ่งหนึ่งก็ได้ผลเหมือนกัน แต่ถ้าเจอภาคแบ่งใหญ่ที่มีบารมีมากที่สุดที่เป็นคนของท่าน ก็จะได้บุญบารมีมากที่สุด ในชาตินั้นๆ มีโอกาสได้พบท่าน ได้เป็นสาวกของท่าน ไม่ต้องเสียดายว่าเกิดมาไม่ทันท่าน ท่านดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็หาไม่ อันนี้ บอกไว้ก่อน อย่ามาเสียใจ เสียดายกันข้างหน้า เพราะความไม่ใส่ใจในชาติปัจจุบัน ทำให้เสียโอกาสทองไปนั่นเอง ส่วนผู้ที่สอบตก วิ่งเข้ารุมเกาะผู้มีฤทธิ์มีบารมีนั้น ก็จะได้อาศัยนิพพานกับเขาผู้นั้น ซึ่งอาจไกลออกไปอีก เพราะพระศรอาริยเมตตรัยจะลงมาตรัสรู้ต่อองค์หน้าแล้ว ท่านที่สอบตกจึงต้องไปขอนิพพานเอากับพระนิตยโพธิสัตว์องค์อื่นแทน เพราะบำเพ็ญบารมีไม่ผ่าน ท่านไม่รับ ท่านเห็นแล้วว่าโปรดไม่ไหว หลงมากเกิน ก็ไปเกิดซ้ำๆ อีกยาวหน่อย จะได้หลงเบาลงบ้าง คือ รอศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเลย ท่านไม่รับแล้วนั่นเอง




    ถ้าสรรพสัตว์ใดปรารถนานิพพานแบบพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ท่านต้องรับวิบากกรรมที่ตนก่อเองทั้งหมด ขอให้ผู้อื่นช่วยแบ่งเบาภาระกรรมของตนไม่ได้เลย ปกติ จะต้องเวียนว่ายตายเกิดประมาณอย่างน้อย ๒ อสงไขย จึงจะชำระวิบากกรรมหมด พร้อมที่จะนิพพานได้ แต่ถ้าสรรพสัตว์ใดบำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขย ไม่ไหว ขอลัดตรง ขอสั้นลงหน่อยก็ได้ แต่จะไม่ได้นิพพานแบบพระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องอาศัยผู้อื่นจึงจะนิพพานได้ คือ อยู่ในฐานะพระสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง แบบนี้ ไม่ต้องชำระกรรมของตัวเองทั้งหมดในรูปตรงไปตรงมาอย่างผู้ปรารถนาพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ได้ กล่าวคือ สามารถชำระกรรมร่วมกันเป็นหมู่คณะได้ เรียกว่า “กรรมร่วม” เช่น โจรป่ากลุ่มหนึ่งฆ่าคนมากมาย เพราะไม่มีหัวหน้าที่ดีแนะนำ พอมาเกิดเป็นคน เข้าหาพระดีๆ พระรูปนั้นอาจต้องกลายเป็นหัวหน้าพวกเขา และพาเขาไปชำระกรรมร่วมกัน ซึ่งพระไม่จำเป็นต้องฆ่าคนอีกก็ได้ จะลัดเข้านิพพานก็ได้ แต่พอรับคนพวกนี้เข้าเป็นพวกแล้ว ยอมให้เป็นศิษย์แล้ว ให้เขามาพัวพันกรรมด้วยแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบคนพวกนี้ไป ต้องพาเขาออกจากกรรมที่ร่วมกับฆ่าคนทีละน้อย คือ จากฆ่าคนปล้นชิงทรัพย์ ค่อยๆ ปรับมาฆ่าคนเพื่อทำสงครามช่วยประเทศของตน ซึ่งอาจเป็นประเทศที่มีพระราชาโหดร้าย และต้องพ่ายสงครามตายกันไปก่อน แบบนี้ซ้ำๆ จนกรรมเบาบาง ก็จะได้เป็นทหารของพระราชาที่ดี และตายในสงครามซ้ำๆ จากนั้น จึงมาเป็นทหารของประเทศที่มีพระราชาดีที่สนับสนุนพระพุทธศาสนา คือ พระธรรมราชานั่นเอง อันนี้ แสดงว่ากรรมเบาบางใกล้จบแล้ว ถ้าได้สละชีพในชาตินี้ กรรมที่ต้องฆ่าคนไปมาก็จบเลย หลังจากชาตินี้ ก็จะได้ผลบุญเกิดเป็นพระหรือนักบวชได้หมด



    นี่คือ ตัวอย่างการร่วมกันแบกรับภาระกรรมของมวลสัตว์ที่ไม่จำเป็นต้องรับคนเดียวโดดๆ ทั้งหมด สามารถรับเป็นกลุ่มร่วมกันได้ คือ “กรรมร่วม” ของสัตว์ที่เป็นสัตว์สังคมนั่นเอง ผลกรรมร่วม ทำให้เวลารับกรรมดีก็ได้รับร่วมกัน เช่น ฝนฟ้าดี ทำการเกษตรได้ผลผลิตมากมายเหมือนๆ กัน หรือเวลารับผลกรรมชั่วก็รับพร้อมๆ กันเช่น รถยนต์ชนตายพร้อมกัน, ไฟไหม้ตายหมู่, แผ่นดินไหวตายหมู่ ฯลฯ อันนี้ เป็นผลจากการรับกรรมร่วมกัน แบ่งเบากรรมร่วมกัน เฉลี่ยกันไป เมื่อร่วมกันมากๆ เข้าจะเป็น “กรรมประเทศ” ในที่สุด


    -จบ-

    ที่มา
    http://www.oknation.net/blog/outofreason/2010/01/29/entry-2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2010
  4. somsannannom

    somsannannom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +1,626
    น่าสนใจครับ ขอบคุณที่เก็บมาฝาก
    บุญรักษาครับ
     
  5. ไม่กินผัก

    ไม่กินผัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +597
    ชอบๆ
    ขอบคุณค่ะ
    [​IMG]
     
  6. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    ขอขอบคุณ และอนุโมทนา บทความนี้ชอบแล้ว ถูกต้องแล้ว

    เหล่าจิตวิญญาณแฝงเอ๋ย สิ้นแล้วสุดแล้วซึ่งภพ ซึ่งชาติเก่า จงหยุดกระทำการ แทรกแซง แฝงจิตวิญญาณเจ้าของร่าง

    เพื่อยกระดับจิตวิญญาณแห่งเจ้า ไปยังภพภูมิที่ดีกว่า

    ในหนึ่งกาย ต้องมีเพียงจิตวิญญาณเดียว คือจิตวิญญาณเอก แห่งเจ้าของร่าง ปัจจุบันชาติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 กุมภาพันธ์ 2010
  7. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    โอม มณี เปง เม ฮง


    [​IMG]




    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD>คำว่า โอม มณี เปง เม ฮง เป็นมหามนต์ 5 คำที่ศักดิ์สิทธิ์

    สามารถชำระล้างกาย วาจา ใจของผู้ที่สวดมนต์ ท่องบ่นภาวนา
    และปฏิบัติสมาธิด้วยเสียงมหามนต์ 5 คำนี้

    ทั้งกาย ใจ จิตวิญญาณ
    ที่มีความเป็นสัตว์นรก เปรต เดรัจฉาน อสูร หรือแม้กระทั่งความเป็นเทพในตัวเรา
    ให้หมดสิ้น

    ให้เป็นกาย วาจา ใจ ที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ ประดุจหนึ่งเดียว
    กับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์

    มณี - คือ เสียงอันศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขจัดความเป็นอสูร คือ
    ความอิจฉาริษยา อาฆาต ปองร้าย พยาบาท และ ความเป็น
    สัตว์โลก รัก โกรธ เกลียด ให้หมดสิ้นไปจากใจของเราได้

    เปง - คือเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขจัดความเป็นเดรัจฉาน
    สภาพที่เป็นสัตว์ให้หมดสิ้นไปจากใจของเราได้


    เม - คือเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขจัดความเป็นเปรต
    ความโลภให้หมดไปจากใจ

    ฮง - คือเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขจัดความเป็นสัตว์นรก ดุ
    ร้าย ป่าเถื่อน ไร้ศีลธรรมให้หมดไปจากใจเราได้




    [​IMG]




    ฟังมหามนต์จาก link นี้

    http://www.dannipparn.com/songtum/manepehong.php


    [​IMG]




    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.864857/[/MUSIC]​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กุมภาพันธ์ 2010
  8. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    อนุตรธรรม เรื่อง กิจที่ต้องชำระนั้น เบื้องบนจะมีมาตรฐานให้ในแต่ละยุคสมัย




    อายุขัยมนุษย์ในแต่ละยุคไม่เท่ากัน ยุคนี้ไม่เกินร้อยปี แต่ยุคสมัยอื่นๆ มีเป็นพันปี หมื่นปี ดังนั้น จำนวนดวงจิตที่จรเข้าออกในกายสังขารหนึ่งๆ จึงไม่เท่ากันในแต่ละยุค เช่นในยุคนี้ มีดวงจิตจรอยู่ ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวง ดังนั้น เราจึงมีเวรกรรมต้องรับ ต้องชำระกรรม เท่ากับจิตทั้งหมดนั้นแต่ถ้าเราเกิดในยุคที่มีอายุยืนมาก ดวงจิตเราจะมาก ก็ต้องรับชำระกรรมมากด้วยเช่นกัน ดังนั้น กิจของเราในยุคที่มีอายุเป็นพันปีอาจรวมแล้วมากกว่าตอนอายุร้อยปี อนึ่ง ในยุคนี้ เรามีอายุขัยสั้นลง เราทำกิจกันมาก วุ่นวายมาก เพราะเราต้องเร่งชำระกรรม ชำระกิจด้วย กายสังขารและจำนวนดวงจิต ตลอดจนอายุขัย และปริมาณกรรมที่เราต้องรับ จะต้องพอดี สมดุลกัน ในแต่ละยุคจึงไม่เท่ากันตามเหตุปัจจัยดังกล่าว




    อนึ่ง กรรมหนึ่งกรรมนั้นเราไม่อาจชดใช้ได้หมดในชาติเดียว ระบบการชำระกรรมจึงคล้ายกับระบบผ่อนส่งของมนุษย์คือ ผ่อนเป็นงวดๆ หรือเป็นชาติๆ ไป รวมประมาณ ๕๐๐ ชาติต่อหนึ่งกรรม ถ้ากรรมหนักก็มากกว่านี้ ถ้ากรรมน้อยก็น้อยกว่านี้ ยืดหยุ่นปรับไปตามเหตุปัจจัย เมื่อเรารับกรรมหนึ่งชาติ จิตวิญญาณของเราจะเรียนรู้และพัฒนาขึ้นเล็กน้อย เป็นเช่นนี้หลายต่อหลายชาติ เราก็จะเข้าสู่ครรลองของนิพพาน โดยในชาติสุดท้าย เราก็จะเหลือหนี้กรรมบางส่วนให้ชำระชดใช้ ส่วนที่เหลือนี่เอง ที่เป็น “กิจ” ของผู้บรรลุธรรม อันต่างกันไปตามกรรมของแต่ละท่าน แต่สำหรับพระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้าทั่วๆ ไปแล้ว มักชำระกรรมมามากดีแล้ว จนเหลือกิจไม่มากเลยคือกิจเพียงแค่เป็นเนื้อนาบุญของโลกเท่านั้น ทว่า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ดวงจิตอื่นๆ ที่มีกรรมมากขึ้นก็ได้มาเกิด อาศัยพระพุทธศาสนาเพื่อนิพพานต่อไป ช่วงนี้เองที่มีดวงจิตที่มีกรรมมากกว่าแค่กิจเนื้อนาบุญของโลก คือ ไม่ใช่แค่ทำกิจบิณฑบาตเท่านั้น บางองค์ต้องรอคอยโปรดศิษย์ของตนนานมากกว่าจะนิพพานได้ บางองค์ต้องรออีกนานมากเพื่อปราบพญามารกว่าจะนิพพานได้ นี่เรียกว่า “กิจค้างชำระของพระอรหันต์” ซึ่งหลังกึ่งพุทธกาลนี้ มีกันหมดทุกรูป รูปใดไม่มี เขาจะจัดให้มาเกิดยุคเดียวกับพระพุทธเจ้าและได้นิพพานไปหมดแล้ว ที่เหลือมาเกิดกันนี้ กรรมมากทั้งนั้น ต้องมีกิจชดใช้กันทั้งนั้น ดังนั้น ชาติหนึ่งๆ ของเราจะมีกิจเฉพาะทั้งหมดสำหรับผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว แม้จะยังไม่เอานิพพานก็ตาม แต่ละท่านจะรับกิจมากน้อยแตกต่างกันไปทั้งสิ้น บางท่านก็หลงทาง ไม่ทำกิจของตน อันนี้ พอตายแล้วเบื้องบนลงโทษหนัก ต้องลงมาทำกิจใหม่ จนกว่าจะสำเร็จ เพราะไม่รู้จักหน้าที่ ทำผิดหน้าที่นั่นเอง การโดนสวรรค์ลงทัณฑ์นั้นมีบ่อยๆ ไม่ใช่ของแปลกแต่อย่างใด ความผิดพลาดมีได้เสมอๆ ดังนั้น พระโพธิสัตว์ทุกองค์พึงระวัง รับกิจใดมาก็ทำกิจนั้นให้สำเร็จ




    ในยุคนี้ มนุษย์มีอายุขัยไม่ถึงร้อยปี มาตรฐานในการชำระกรรมคือ การชำระกรรมกับดวงจิต ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวง สำหรับท่านที่พร้อมจะนิพพาน แต่สำหรับท่านที่ยังไม่เอานิพพาน สามารถโปรดจิตวิญญาณได้มากกว่านี้ก็ได้เท่าที่กำลังจะมีได้ หรือบางท่านอาจละกิจการโปรดจิตวิญญาณไปโปรดสัตว์อื่นแทนก็ได้ เช่น การโปรดมนุษย์ เป็นต้น ทั้งนี้ ต้องมีปัญญาแจ้งก่อนจริงๆ ว่าเราเกิดมาเพื่อทำกิจใด กิจที่เราต้องทำเสร็จหมดหรือยัง หรือยังเหลืออยู่ยังนิพพานไม่ได้ หรือหมดแล้วเตรียมรอนิพพานได้จริงๆ อันนี้ จะต้องมีปัญญาญาณจึงจะหยั่งถึงได้ ซึ่งพระอรหันตสาวกบางองค์อาจมักไม่มีญาณระดับนี้ แม้แต่พระอรหันตสาวกบางรูปยังถูกรูปอื่นๆ ที่มีญาณหยั่งได้ท้วงติงว่าไม่ทำกิจใดเลย จึงให้ไปทำกิจเสียก่อนนิพพาน เป็นต้น อันนี้ก็มีมาแล้ว เช่น พระอาจารย์
    ของพระนาคเสน เป็นต้น</PERSONNAME>



    การรับกิจรับกรรมมากเกินไป ทำให้กายสังขารเสื่อมโทรมมากเกินควร ในขณะเดียวกันการรับกิจรับกรรมน้อยเกินไป ก็ทำให้ชาติภพยาวออกไปมากเพราะทำให้ชำระหนี้กรรมได้น้อยนั่นเอง (บุคคลที่เอาแต่ชดใช้กรรมจะไม่ได้ทำกิจอันควร แต่บุคคลที่เอาแต่เสวยบุญก็จะมีหนี้กรรมติดมาก) ดังนั้นการรับกิจและรับกรรมจึงต้องมีความพอดีต่อกายสังขารหนึ่งๆ ต่ออายุขัยที่ได้รับในชาติหนึ่งๆ ดังนั้น แต่ละชาติที่เกิด บางครั้งถ้าเสวยอายุมนุษย์ยาวนานก็จะมีดวงจิตจรเข้ามาสู่ร่างกายได้มากกว่าชาติที่เสวยอายุขัยมนุษย์น้อยๆ

    –จบ-


    อนุตรธรรม เรื่อง พระโพธิสัตว์และพระพุทธเจ้าจะร่วมกันโปรดสัตว์อย่างไร



    พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าหายไป สูญไป ท่านเข้าถึงนิพพานด้วยอาการสูญ แต่นิพพานที่แปลว่าสูญนั้น จริงๆ ไม่ใช่ความว่างสูญ ความว่าง ก็คือ ปริเฉทรูป หรือถ้าพิจารณาธาตุอยู่ก็คือ อากาสธาตุ อุปมาเหมือนคนวิ่งเข้าหาเป้าหมาย ย่อมต้องมีเส้นทางวิ่งไป แต่เส้นทางนั้นไม่ใช่เป้าหมาย และเป้าหมายก็ไม่ใช่เส้นทาง เพียงแต่ต้องอาศัยเส้นทางเข้าไปถึงเป้าหมายเท่านั้น ความหมายของนิพพานที่แปลว่าสูญ ก็เป็นเพียงป้ายบอกทางตรงนิพพาน แต่นิพพานจริงๆ ไม่ใช่ความสูญ นิพพานคือธรรมชาติเดิมแท้ ที่อยู่ในสภาวะก่อนเกิด ก่อนดับ ก่อนการเวียนว่ายตายเกิด บริสุทธิ์จากการปรุงแต่งใดๆ เมื่อมีการปรุงแต่งใดๆ ขึ้น การเกิด และการดับจึงเกิดขึ้น สังสารวัฏจึงเกิดขึ้น นิพพานจึงไม่ใช่ความสูญ เป็นสัจธรรม เป็นธรรมะ เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่หลุดพ้นแล้วจากการเวียนว่ายตายเกิด และความทุกข์ความสุข (โลกียสุข) นั่นเอง ดังนี้ พระพุทธเจ้าจึงเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเดิมแท้ คือ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ คือ สัจธรรมหนึ่ง จึงไม่ผิดเลยที่กล่าวว่า “ผู้ใดพบธรรม ผู้นั้นพบเรา ตถาคต” เพราะเหตุนี้ แม้แต่พระอรหันตสาวก พระสงฆ์ผู้นิพพานแล้ว ก็มีสภาวะเช่นเดียวกัน ดังนั้น พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์ (ผู้นิพพานแล้ว) ก็คือ สัจธรรมหนึ่งเดียวกัน ไม่ใช่ความสูญ ไม่ใช่ไม่มี ถ้าสัจธรรมไม่มีอยู่จริง เราจะเพียรค้นหาสัจธรรมนั้นทำไม ดังนั้น สัจธรรมมีอยู่จริง พระรัตนตรัยก็มีอยู่จริง เป็นสัจธรรมหนึ่งเดียวกัน ไม่สูญ ไม่หายไปไหน ไม่เกิด ไม่ดับ เป็นเช่นนั้นเอง (ตถาตา) ในเมื่อพระรัตนตรัยยังอยู่ พ้นแล้วจากการเกิด และการดับ ดังนี้ พระพุทธศาสนา ก็ไม่เคยเสื่อมสลายไปไหนเลย สิ่งที่เราเห็นว่าเสื่อมอยู่บนโลกที่เราเรียกว่าพระพุทธศาสนานั้น เป็นเพียงสมมุติทางโลก ที่พระโพธิสัตว์ก็ดี พุทธบริษัทก็ดี ช่วยกันสร้างกันขึ้นมา ที่เรียกว่าลัทธิ, นิกาย ต่างๆ เพื่อให้คนรุ่นหลัง ได้เห็น เป็นเพียงสมมุติ เป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้น เมื่อบุคคลปฏิบัติถึงที่สุดแห่งธรรมแล้ว ย่อมเข้าถึงได้ซึ่งพุทธอาณาจักรอันแท้จริง เขาย่อมเห็นแจ้งจริงแท้ว่า พระพุทธศาสนาไม่มีเสื่อมเลย เพราะพระรัตนตรัยทั้งสามนั้น พ้นแล้ว หลุดแล้ว เสียจากการเกิดและดับ ดังนั้น จะมีความเสื่อมเกิดขึ้นแก่พระรัตนตรัย พระพุทธศาสนาที่แท้จริงได้อย่างไร เพียงแต่บุคคลที่อยู่ทางโลก จะได้อาศัยสมมุติพุทธศาสนา เพื่อปฏิบัติตนให้เข้าถึงพุทธอาณาจักรอันแท้จริงนี้ได้หรือไม่ เท่านั้นเอง ดังนั้น พระพุทธศาสนา จึงไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา เพราะพ้นแล้วจากความเสื่อม เป็นวัชระธาตุวัชระธรรมที่ไม่มีสิ่งใดทำลายได้อยู่แล้ว การรักษาพระพุทธศาสนาที่เราทำกันบนโลกนั้น ส่วนใหญ่เป็นการรักษาสมมุติพุทธศาสนาเท่านั้น การรักษาพระพุทธศาสนาแท้จริง คือ การปฏิบัติตนเองให้เข้าถึงพระรัตนตรัยอันแท้จริงต่างหาก เมื่อนั้น บุคคลย่อมพบความจริงเช่นกันว่าพระรัตนตรัยทั้งหลาย หลุดพ้นแล้วจากความเสื่อม หรือการเวียนว่ายตายเกิด จึงไม่มีดับไม่มีเกิดอีก เพียงแต่เราเท่านั้น ที่ยังไม่หลุดพ้นจากความเสื่อม และการเวียนเกิด เวียนดับนี้ ดังนี้ เราไม่จำเป็นต้องรักษาพระพุทธศาสนาเลย เราเพียงแต่ปฏิบัติตามพระพุทธศาสนาให้เกิดมรรคผลอันแท้จริง ก็เห็นแจ้งจริงดังนี้ได้เช่นกัน และสามารถชี้ทางตรงแก่มวลสัตว์อื่นให้เห็นเช่นนี้ได้ด้วย




    อนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่าพระพุทธศาสนาของท่านจะมีอายุ ๕,๐๐๐ ปี และหลังกึ่งพุทธกาล ผู้ดูแลพระพุทธศาสนาจะเปลี่ยนชุดจากพุทธบริษัทเดิม ไปสู่ สัตว์เหล่าอื่นที่ไม่ใช่สาวกเก่าของพระพุทธเจ้า เป็นสาวกของผู้มีบุญบารมีคนอื่น เช่น สาวกของพระโพธิสัตว์องค์ต่างๆ ได้แก่ เหล่าเทพ, พรหม, อสูร, และมาร เป็นต้น ที่ท่านตรัสไว้เช่นนี้ หมายความว่าท่านทรงรับรองให้ว่าจะมีผู้ที่ปฏิบัติได้ถึงนิพพานได้แน่ ยาวไปอีกห้าพันปี โดยท่านจะรับรองธรรมให้ และคอยช่วยเมื่อถึงวาระใกล้นิพพาน หรือบรรลุธรรมนั่นเอง คำตรัสของท่านนั้น ไม่ได้แปลว่าเราช่วยศาสนาของท่านให้ยาวออกไปเลย แต่หมายถึงท่านช่วยเรายาวออกไปต่างหาก โดยกึ่งห้าพันปีแรก ท่านจะรับรองธรรมแก่พุทธบริษัทสาวกเก่าๆ ของท่านก่อน หลังจากกึ่งพุทธกาลแล้ว ท่านจึงรับรองธรรมให้แก่สัตว์เหล่าอื่นทั้งสี่เหล่านั้น คือ จะได้นิพพานกันได้ยาวไปอีกถึงห้าพันปี ถ้าปฏิบัติให้ถึงที่สุดนั่นเอง




    ดังนั้น การรักษาพระพุทธศาสนาที่แท้ จึงเป็นการปฏิบัติให้ถึงเป้าหมายคืออรหันต์ก่อน จากนั้น จึงวกกลับไปรออยู่ตามเส้นทางสู่นิพพานต่างๆ บางท่านไปรอชี้บอกทางคนอื่นๆ ที่ต้นทาง บางท่านไปรอชี้ทางที่กลางทาง บางท่านไปรอชี้ทางที่ปลายทางใกล้นิพพานก็มี นี่เพราะพระพุทธศาสนาสมบูรณ์แล้ว ไม่มีสิ่งใดทำลายได้อีกแล้ว หลุดพ้นจากความเสื่อม และการเกิดและดับแล้ว รอเราอยู่ปลายทางแห่งการปฏิบัติธรรมอันยิ่งยวดแล้ว เราเพียงไปให้ถึงก็พอ เมื่อเราถึงแล้ว จึงช่วยคนอื่นๆ ที่ยังไม่ถึงให้ตามไปให้ถึงเท่านั้นเอง




    พระโพธิสัตว์และพระพุทธเจ้าจะช่วยกันโปรดสัตว์ได้ โดยการที่พระพุทธเจ้าทรงรออยู่ปลายทาง ส่วนพระโพธิสัตว์คือผู้ยอมวกกลับไปต้นทางบ้าง, กลางทางบ้าง เพื่อคอยบอกทาง ชี้ทาง ให้แก่ผู้ที่กำลังเดินตามมาทั้งหลาย ดังนี้ พระพุทธศาสนาโดยสมมุติ จึงเกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ เพราะเป็น “ป้ายบอกต้นทาง” นั่นเอง และมีการปฏิบัติที่ถูกต้องตรงทาง เป็น “ป้ายบอกกลางทาง” และมีพระรัตนตรัยอันแท้จริง รอบอกชี้แนะทางเราอยู่ปลายทาง ดังนี้ พระพุทธศาสนาบนโลก จึงเป็นเพียง “สมมุติ” เมื่อเป็นเพียงสมมุติ ก็ไม่จำเป็นต้องจริงจังอะไรกับของที่ไม่แท้จริงนัก ก็ปล่อยไปตามสมมุติ แล้วแต่สมมุติทางโลกจะอยู่กันได้ ก็อยู่กันไป พระโพธิสัตว์ไม่ได้ทำลายสมมุตินั้น เพียงแต่เล็งดูว่าจะเป็นป้ายบอกกลางทาง ให้คนเดินต่อตรงไปยังพระพุทธศาสนาที่แท้จริงได้อย่างไรเท่านั้น




    ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทะเลาะกับสมมุติ

    ไม่มีประโยชน์อะไรที่พระโพธิสัตว์จะปะทะกับของสมมุติ แม้เห็นว่าพระพุทธศาสนาจะดูแตกต่างไปจากเดิม ออกนอกลู่นอกทาง ผิดเพี้ยนไป ก็เป็นธรรมดาของของทางโลก ของสมมุติก็เป็นได้แค่สมมุติเท่านี้ ไม่ใช่ของแท้ ไม่จำเป็นต้องไปทำลายของสมมุติไว้ดูต่างหน้า ดูเล่นๆ ไป หน้าที่ของพระโพธิสัตว์ คือ คอยชี้ทางแนะนำ บอกคนอื่นๆ ที่กำลังเดินทางมา บางท่านยังหลงติดอยู่กับสมมุติ ก็ช่วยชี้แนะให้เดินต่อตรงไปยังเส้นทางตรงนิพพาน อันเป็นทางสู่พระพุทธศาสนาที่แท้จริง ซึ่งไม่มีสิ่งใดทำลายได้ ไม่เกิด และไม่ดับ จึงไม่ต้องมีการรักษา ไม่มีการสร้าง ไม่มีใครทำลายได้อีก เราไม่ได้ทำหน้าที่รักษาสิ่งเก่าๆ ไม่ได้ทำหน้าที่สร้างขึ้นใหม่ และไม่ได้ทำลายล้างสิ่งชั่วร้ายหรืออะไรเลย เพียงแค่ชี้ทาง แก่ผู้เดินทางตามมาเมื่อถึงวาระอันเหมาะสมของเขา ก็เพียงเท่านั้นเอง




    ของแท้ไม่มีเสื่อม ไม่ต้องรักษา และชี้ทางให้พิสูจน์ได้

    พระพุทธศาสนาของแท้พ้นแล้ว หลุดแล้ว จากการเกิดและดับ จึงไม่มีเสื่อมอีก สิ่งนี้ จึงไม่ต้องได้รับการรักษา, สร้างใหม่ หรือทำลายล้างสิ่งชั่วร้ายแต่อย่างใด เพียงแต่ทำการพิสูจน์ให้เห็นแจ้งประจักษ์จริงด้วยตนเอง ด้วยการปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุดแห่งธรรมอย่างแท้จริงก็เท่านั้น บุคคลผู้หลงในสมมุติ ย่อมไม่เคยเห็นของแท้ ไม่เคยเห็นสิ่งที่หลุดพ้นแล้วจากการเกิดและดับ เขาย่อมมีความกังวลต่างๆ นานาว่าของสมมุติทั้งหลายของเขานั้น วันใดจะสลาย เสื่อมไป เขาย่อมนอนไม่หลับ ตายไม่ได้ ตายตาไม่หลับด้วยเหตุฉะนี้




    ของสมมุติย่อมมีความเสื่อม จึงต้องระวังรักษา ของแท้ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องกังวล
    พระพุทธศาสนาเทียมนั้น เป็นแค่ของสมมุติ จึงอยู่ภายใต้กฎอนิจจัง มีความเสื่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สร้างวัตถุไว้สวยงามไม่ถึงปี ขี้นกขี้กาก็แปดเปื้อนเต็มไปหมด ข้าวของก็ถูกลักขโมยไปเรื่อยๆ เป็นธรรมดา นี่แหละธรรมดาของ “ของสมมุติ” ไม่ใช่ของแท้ ไม่ใช่ของวิมุติ ไม่ใช่ของที่หลุดพ้นแล้วจากโลก หลุดพ้นแล้วจากการเกิดและดับ บุคคลผู้เข้าถึงธรรมแท้ เห็นพระรัตนตรัยไม่เสื่อมคลาย ไม่มีสิ่งใดทำลายได้ ดุจวัชระธาตุฉะนั้น บุคคลนั้นจึงคลายใจเสียจากความกังวลใดๆ ทั้งปวง ย่อมวางลงเสียได้ซึ่งการรักษา การสร้าง และการทำลายล้าง ย่อมหมดกิจ หมดความสงสัยคลางแคลงใจใดๆ ทั้งปวง ดังนี้ จึงกินข้าวได้ อะไรก็กินได้ง่ายๆ นอนหลับเป็นปกติสุข อยู่ในที่ใดก็ได้ หลับได้สบาย มีชีวิตแบบสมถะเรียบง่ายไร้กังวล ไม่ต้องระวัง ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องสืบทอด ไม่ต้องต่ออายุ แต่อย่างใด เพราะเหนือจากการมีหรือไม่มีอายุแล้วนั่นเอง พ้นแล้วจากใดๆ ไรๆ ทั้งปวงนั่นเอง ดังนี้ เขานอนหลับสบาย นอนตายก็ตาหลับสนิท ไร้กังวลดังนี้เอง

    –จบ-


    อนุตรธรรม เรื่อง เรื่องเล่าจากโลกแห่งมาร




    จริงๆ เรื่องนี้ก็ไม่ค่อยเหมาะที่จะเล่าให้ฟังนัก เอาเป็นว่าใครมีบุญมีกรรมได้อ่านก็เป็นไปตามแต่เวรกรรมของแต่ละท่านก็แล้วกัน ด้วยเพราะเรื่องของมาร อาจไปเปิดใจผู้อ่าน ทำให้รับพลังมาร, จิตวิญญาณมารแทรกเข้าได้ง่ายๆ ดังนี้ ท่านผู้รู้จึงไม่นิยมเล่านัก แต่ที่ทำไปก็เพราะมารได้รับอนุญาตให้มาดูแลพระพุทธศาสนาร่วมกับเราๆ ท่านๆ และบางส่วนก็คือเราๆ ท่านๆ เองนั่นแหละ ซึ่งผู้เขียนก็เคยเกิดเป็นมาร หลังจากชาติที่เป็นมารเพราะความอาฆาตแค้นเป็นเหตุ ก็เวียนว่ายมาเกิดใหม่ และหลุดพ้นจากภพมารไป เลยเล่าเรื่องของภพมารไว้ ให้เราทำความเข้าใจกัน อย่าไปนึกชอบ หรือหลงเพลินเขา เอาแค่ให้รู้เขารู้เรา เข้าใจกัน อยู่ร่วมโลกกันได้ก็พอแล้ว เขาเป็นเขา เราเป็นเราไป ธรรมชาติของใครก็ดำเนินไปตามนั้น แตกต่างกันแต่อยู่ร่วมโลกกันได้ ก็แล้วกัน ดังจะเล่าต่อไปนี้




    พญามารสองพวกใหญ่

    ขึ้นชื่อว่ามารแล้ว ล้วนมีจิตมิจฉาทิฐิทั้งสิ้น แต่มารก็ยังแบ่งพวกออกได้เป็นสองพวกใหญ่ คือ พวกที่ชอบสนับสนุนพระพุทธศาสนา โดยไม่คิดหวังเอานิพพาน แต่เพราะหวังเอาผลบุญนั้นมาเลี้ยงตัว ทำบุญหวังผล อย่างที่เราเห็นในประเทศของเราโดยมากนั่นเอง อีกส่วนหนึ่งคือ พวกที่ไม่เอาพระพุทธศาสนา มีศาสนาของตัวเอง มีความคิด มีเหตุผลของตนเอง มีปรัชญาของตนเอง ก็ได้แก่พวกฝรั่ง พวกคนไทยที่เรียนเก่งๆ และไม่เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะเชื่อในวิทยาศาสตร์มากเกินไป พวกหลังนี้มีผู้นำคือพญามาราธิราช เป็นตำแหน่งสูงสุดหนึ่งในสองของโลกมาร สมัยหลังพุทธกาลยาวมาได้ประมาณ ๒๐๐ ปี พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งได้จุติลงไปบำเพ็ญเป็นมาร และได้ตำแหน่งนี้ คือ พระยามาราธิราชโพธิสัตว์ แต่หลังจากนั้น ก็ปลดระวาง แล้วลงมาเกิดใหม่ เพื่อชำระตนออกจากความเป็นมาร ขึ้นสู่ความเป็นโพธิสัตว์เต็มตัว กรรมที่เคยได้ขวางพระพุทธเจ้าขณะกำลังตรัสรู้ ด้วยการเอากาม เอาผู้หญิงยั่วนั้นแรงมาก เป็นกรรมหนัก ไม่ถึงตกนรก แต่ก็ต้องเกิดเป็นผู้หญิง อกหัก และเจ็บปวดใจหลายต่อหลายชาติ พญามาราธิราชองค์ปัจจุบัน จึงเป็นจิตวิญญาณดวงอื่นที่บำเพ็ญได้ตำแหน่งนี้มาแทนที่พระยามาราธิราชโพธิสัตว์องค์เก่า องค์นี้คุยกันไม่ได้ มาขวางอย่างเดียว ส่วนพญามารอีกตน ทำบุญมาก สนับสนุนพระพุทธศาสนาเต็มที่ แต่เอาบุญขวางนิพพานไว้เสีย ทำให้คนหลงบุญ หลงสวรรค์ ไม่ได้นิพพานมากมาย อันนี้ ก็ลงมาประจำอยู่ประเทศเราแล้ว แทรกอยู่ในพระสงฆ์ดังรูปหนึ่ง อันนี้ เราไปเคลียร์เขาไม่ได้ เขาได้รับอาญาสิทธิ์ อาญาธรรมจากพระพุทธเจ้ามาดูแลพระพุทธศาสนาของเรา อนึ่ง พญามารทั้งสองตน ถือว่ามีอำนาจมาก มีบริวารมาก เมื่อลงมาประเทศเราแล้ว จะนำพาบริวารมารมามากมาย แทรกอยู่ในกายสังขารของคนในประเทศ และนำพาคนเหล่านั้นไปหาตัวพญา และจะนับถือตัวพญามากๆ ตัวพญาก็นำพาไปค้ำจุนพระพุทธศาสนาไปตามความเข้าใจของมาร




    มารจำพวกที่เป็นปัจเจกมาร

    มารแบบที่ไม่มีพรรคพวก อยู่โดดเดี่ยวเป็นเอกเทศ และไม่ยอมเป็นบริวารใคร อยากได้บริวารแต่ก็ไม่มีใครนับถือก็มีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ปัจเจกมารนี้ มีความสามารถในตัวเองสูงมาก เรียกว่าเอาตัวรอดพ้นจากพญามารทั้งสองฝ่ายได้ ตัวอย่างที่เรารู้จักกันดีคือ มารเทวทัต หลังพระเทวทัตตายไปแล้ว จุติลงนรก จิตวิญญาณดวงอื่นๆ ที่ทำบุญกรรมมาแบบชูชก ก็ได้รั้งตำแหน่งมารเทวทัตต่อไป มารตนนี้นับว่าเหนือชั้น และเขาก็ลงมาทำหน้าที่อยู่ที่ประเทศจีน เขาเก่งมาก ในเรื่องทำให้คนแตกแยกกัน คนในประเทศที่สามัคคีกันดี ก็แตกกันเหมือนที่เขาทำให้พระพุทธศาสนาแตกแยกเป็นนิกายต่างๆ นั่นแหละ ไม่มีมารตนไหนทำได้ขนาดนี้ นอกจากมารเทวทัต นอกจากนี้ ยังมีมารตนอื่นๆ อีก ชื่อเขาแปลก เหมือนคนเรารู้จักชื่อกัน แต่ไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าจะพยายามอธิบายเท่าที่พอทำได้ เช่น มารอังคะ ตนนี้เล่นงานผู้เขียนมาแล้ว ทำให้ผู้เขียนเข็ดขยาดไม่อยากเจออีกเลย เขามีวิชชามาร สับเปลี่ยนเวรกรรมกับเราได้ ทำให้เราตกกรรมเป็นมาร และเขาเอาบารมีเราไปได้โดยที่เขาไม่ได้บำเพ็ญเลย อันนี้ มันไม่มีในวิชชาพุทธ เพราะมันเป็นวิชชามาร ไม่รู้เขาไปคิดค้น ฝึกได้อย่างไร เป็นวิชชาเฉพาะตัวของเขา นั่นแหละ เขาถึงได้เรียกว่าวิชชามาร เขาทำได้ชั่วคราว แต่กรรมก็สนองผลทันตา ก็ไปยังที่ๆ ควรไปแล้ว อันนี้มาเล่าให้ฟัง ตอนนั้น ผู้เขียนประมาท เพิ่งโปรดพญามารตนหนึ่ง เป็นพญามารที่มีบริวารอยู่บ้าง ไม่ถึงขั้นพญามารสองตนใหญ่ และมีกายทิพย์เหมือนพระพุทธเจ้า แต่เป็นมาร เขาคิดว่าตนเองเป็นพระพุทธเจ้าแห่งโลกมาร มาแทรกเข้าตัวผู้เขียนเลย ไม่ใช่แค่ผู้เขียน เขาแทรกเข้าหลายคนมาแล้ว ทำให้คนที่ถูกแทรก คิดว่าตนเองเป็นพระพุทธเจ้าทีเดียว อันนี้โดนมาแล้ว พอโปรดผ่านได้ เลยประมาท มารอังคะเลยแทรกเข้า เขาก็บอกว่าเขาเป็นมารเล็กๆ เลยประมาทเผลอไป เสียทีเขา แต่โชคดีพระยูไลช่วย ไม่เช่นนั้นผู้เขียนก็แย่ไปแล้ว อันนี้ มาเล่าให้ฟังว่ามารมีจริง แทรกเข้ากายเราได้จริง ถ้าประมาทก็พลาดได้ เขียนไว้เป็นอุทาหรณ์ ปัจเจกมารนั้นมีมากมายหลายท่าน จะขอนำเสนอให้รู้จักดังนี้




    ๑) มารสุรา

    มารสุรา ในการใช้อุปมาเปรียบเปรย ก็คือ อุปมาเปรียบเปรย แต่คนที่มีจิตมิจฉาทิฐิคิดว่าสุราเป็นความสุขแท้ เที่ยง พึ่งพาได้ และมีบุญมาก มีฤทธิ์มาก มีเล่ห์เหลี่ยมมาก ตายไปต้องไปจุติเป็นมารสุรานั้นก็มีอยู่จริง มารสุรา จะไปคู่กับมารนารี ประสานพลังคู่กันแล้วมักทำให้ผู้ชายเสียคนไปเลย คือ หลงสุรานารี ว่าเป็นสุขแท้ เป็นโลกียสุขอันเปรียบค่ามิได้ฉะนั้น มารสุราจะทำให้คนเมาแล้วอาระวาดกับภรรยาและลูกที่บ้าน เป้าหมายของเขาคือทำลายคนที่จะยับยั้งการดื่นสุราของเขาก่อน ซึ่งก็คือ ลูกและเมียที่บ้าน มารสุราจะป่าเถื่อน และทำให้คนอาระวาด ด่าเมีย ทำร้ายเมีย และลูก กดขี่คนในบ้าน เอาความเคียดแค้นลงกับลูกและเมียที่บ้าน และทำตัวเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในบ้าน ไม่มีใครว่าได้เลยสักคน




    ๒) มารนารี

    มารนารี จะใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องหลอกล่อให้คนลุ่มหลง และตัวเขาเองก็ลุ่มหลงนารีเป็นอย่างยิ่ง ติดกามอยางมาก และชอบผิดลูกเมียผู้อื่น คือ ชอบเป็นชู้ หรือชวนหญิงอื่นมาเป็นชู้กับตน มารสุราและนารี จะประสานกับทำงาน ทำให้ปราบได้ยาก ทั้งสุราและนารี จะผูกมัดชายผู้โง่เขลา ให้หลงจมปลักอยู่จนกระทั่งพบหายนะในชีวิตในท้ายที่สุด มารนารีไม่มุ่งเน้นใช้กำลังและความป่าเถื่อนอย่างมารสุรา แต่มันเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องมือได้เก่งมาก ทำให้ผู้ชายที่ตกเป็นทาสของมัน ไม่อาจถอนตัวได้ มารนารี จะใช้โลกียสุข จากนารี เป็นเครื่องผูกมัดให้คนหลง ผู้มีบุญ ได้นารีทั้งหลายเมื่อตกอยู่ใต้อำนาจมารนารีแล้ว จะสูญบุญ มันจะผลาญบุญไปจนหมดตัว และต้องพบความวิบัติในท้ายที่สุด มารนารีนี้ สามารถทำให้เมืองล่มได้ทั้งเมืองทีเดียว หรือพยายามสร้างบริวาร แต่สุดท้าย ก็ไม่ได้รับความนับถือจากใคร เพราะความหลงในนารีเกินไป จึงไม่มีใครนับถือเป็นผู้นำ จึงได้แต่นำหายนะมาเท่านั้น ผู้ชายที่มีบุญมาถึง มักพ่ายมารตนนี้




    ๓) มารพุทธะ

    เป็นมารที่มีกายทิพย์เหมือนพระพุทธเจ้า ชอบแสดงตัวว่าเป็นพระพุทธเจ้าให้คนที่ปฏิบัติธรรมเห็น เมื่อเราหลงในกายนอกนั้น เขาก็จะเทศน์ธรรมแปลกๆ ฟังแล้วเหมือนจะเข้าใจ แต่ไม่เข้าใจ ทำเหมือนธรรมะมันสูงส่งมาก เราไม่เข้าใจเอง เราโง่เอง ดังนั้น เขาจึงเก่งมากและมีปัญญามากว่าอย่างนั้นเถอะ พอเราหลงในธรรมที่เขาเทศน์เข้า เราก็คิดว่าเขาเป็นพระพุทธเจ้าไปจริงๆ มารตนนี้สามารถปรากฏตัวให้คนเห็นในรูปถ่ายได้ เหมือนกับพระพุทธเจ้าจริงๆ เมื่อเราหลงในรูปภายนอก เราก็หลงมารพุทธะเข้าแล้ว มารพุทธะชอบนำพาเราไปหลงในวัตถุ หรือสิ่งที่จับต้องได้เพียงเปลือกนอก เช่น ชอบพาไปที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย แต่ไม่เข้าถึงแก่นแท้จริง และยังเทศน์ธรรมสอนเราได้อีก แต่จะเป็นเพียงเปลือกๆ เท่านั้น ไม่เข้าถึงธรรมแท้จริง เวลามารทำงานร่วมกัน จะเอามารพุทธะนี้มาเป็นหุ่นเชิด เพื่อเรียกศรัทธาคน แล้วยังมีมารตนอื่นๆ ประสานกันทำงาน ทำให้คนลุ่มหลงมากมาย ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงสอนว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต” เพราะทรงเตือนเราไม่ให้หลงในรูปกายภายนอกแม้จะเห็นเป็นพุทธะก็ตาม อันนี้ ท่านเตือนเราไม่ให้หลงกลมารพุทธะตนนี้เป็นสำคัญ มารพุทธะมักร่วมมือกับมารเทวทัต




    ๔) มารอังคะ

    เป็นมารที่มีวิชชาสับเปลี่ยนบุญกรรม กับผู้อื่นได้ ทำให้ผู้บำเพ็ญบารมี ไม่ได้บารมีเสียที เพราะเขาจะเอากรรมความเป็นมารมาใส่ให้เรา ให้เรายอมรับเวรรับกรรมที่ไม่ควรรับ แล้วเขาก็จะเอาบุญบารมีของเราไปใช้ได้ อันนี้ มันไม่ควรมีในความเป็นจริง แต่ก็ดันมีผู้ไปฝึกวิชชาแบบนี้มาได้จนสำเร็จ เลยกลายเป็นมาร และสำเร็จวิชชามารไป มารอังคะเป็นมารที่มีวิชชาของตัวเอง ผู้บำเพ็ญบุญบารมีต้องระวังอย่าพลาดท่า บางที เราจะถูกหลอกให้คิดว่าเราเป็นผู้มีบุญบารมีน้อย เพราะกลัวจะหลงตัวเองว่าตนมีบุญบารมีมาก มารตนนี้ก็จะเล่นงานเราได้ ให้ทรงจิตกลางๆ ไม่ต้องไปสนใจว่าบุญบารมีเราจะมากหรือน้อย มากก็ไม่ใช่ น้อยก็ไม่ใช่ ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ปล่อยไปตามธรรมชาติ ก็จะไม่เสียท่ามารอังคะตนนี้ มารอังคะมักรอให้มารพุทธะลงมือก่อน คือ คนเราที่บำเพ็ญบุญบารมี มักได้บุญบารมีมากแล้วหลงตัวเองเล็กๆ ก่อน มารพุทธะก็จะลงมือ หลอกให้เราหลงในบุญบารมี ว่าเราเป็นคนมีบุญล้นพ้น เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ไม่เท่านั้น ถ้ามารพุทธะ หลอกเราไม่สำเร็จ มารอังคะ จะเล่นงานต่อ คือ หลอกเราว่าเราเป็นผู้น้อย ไม่มีบุญบารมีอะไร ต้องอยู่อย่างเจียมตน และมารอังคะนี้จะเข้ามาหาเราอย่างเจียมตน อย่างเป็นผู้น้อยด้วย เขาทำให้เราตายใจ แล้วใช้วิชชาสลับบุญบารมีดังกล่าว เราต้องใช้หลัก เชื่อมั่นในธรรมชาติ ไม่ต้องไปเชื่อใคร บุญจะมาก จะน้อยไม่สำคัญ บารมีจะมาก จะน้อยไม่สำคัญ เราก็เป็นธรรมชาติของเรา ไม่มาก ไม่น้อย ดำเนินไปตามธรรมชาติ การเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นสมมุติเราก็ทำไปตามสมมุติคือทำตัวเป็นสาวกผู้น้อย แต่เราไม่จำเป็นต้องคิดว่าตนมีบุญน้อยก็ได้ คือคิดว่าไม่น้อย และไม่มาก เป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง จะมากจะน้อยช่างมัน อนึ่ง มารอังคะจะบีบให้เราคิดว่าเราด้อย เราเป็นผู้น้อย โดยการทำให้เราอยู่ในที่ๆ เหมือนเป็นผู้น้อย ไม่มีลาภสักการะเลยก็ได้ เมื่อใดที่เราตกในสภาพเช่นนั้น จงทะนงองอาจ และอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี อย่าปล่อยให้มารอังคะหลอกเรา กดให้เราต่ำลงๆ ไปได้ จะเสียท่ามัน




    ๕) มารฝัน

    เป็นมารที่มีวิชชาสร้างโลกแห่งความฝันแล้วกักขังจิตใจผู้คนให้หลงอยู่ในโลกแห่งความฝันนั้น ทำให้ไม่อยู่ในความเป็นจริง มีความสุขเลื่อนลอย จนท้ายที่สุด ต้องกลายเป็นคนบ้าไป มารฝันเข้าหาคนที่สิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยาก แล้วหล่อเลี้ยงจิตใจให้มีความสุข หลอกเอาอกเอาใจ ให้กำลังใจด้วยความฝัน ที่ไม่ได้อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง เช่น หลอกว่าอย่าเสียดายเลย เสียแล้วเสียไป แต่วันหน้าฟ้าใหม่ต้องได้ดีแน่ๆ นี่ก็ดูน่าจะดีแต่มันไม่จริง เพราะ “ความสูญ” เป็นของเที่ยง “ความอนิจจัง” เป็นของแท้ ตราบใด ที่เรายังหลงอยู่กับคำปลอบใจ ไม่ยอมเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา เราจะเสียทีมารฝันได้ มารฝันหลอกให้เราฝันกลางวัน ลมๆ แล้งๆ หล่อเลี้ยงเราด้วยความหวัง ความฝันต่างๆ นานา อันสวยหรู มารฝันรู้ว่าเราต้องการอะไร มันจะสร้างให้เราทุกอย่างตามเราฝันนั้น จนกว่าจิตของเราจะหลงเข้าไปสู่โลกแห่งความฝันเต็มตัว เมื่อนั้น ความบ้า และโรคประสาท จะเกิดขึ้นแก่เรา ทำให้เรามีความสุขในโลกแห่งความไม่จริงนั้น




    ๖) มารมัจจุราช (มัจจุราชมาร)

    เป็นมารที่มีวิชชาดึงเอาเจ้ากรรมนายเวรมาเล่นงานเราได้ เขาจะหลอกเรา บีบให้เรากลัว เมื่อเรากลัวมากๆ กำลังจิตเราจะตก เจ้ากรรมนายเวรมากมายของเราจะเข้ามารุมทำร้ายเราได้ ถ้าเรากลัวและมีกำลังจิตตกลง มารมัจจุราช หรือมัจจุราชมารนี้ ไม่ใช่มัจจุราชตัวจริง แต่จะมาเล่นงานเราก่อนที่ตัวจริงจะมา เมื่อเรายังมีบุญเหลืออยู่ต่อบนโลก ยังไม่ถึงวาระที่พญามัจจุราชจะเล่นงานเรา มารมัจจุราช จะหลอกให้เราเสียบุญบารมีก้อนนั้นไป โดยเอาเจ้ากรรมนายเวรมาเล่นงานเราจนกว่าจะตาย มันจะหลอกเราว่าถึงวาระตายของเราแล้ว ทำให้เราเจ็บปวดทรมานเหมือนตาย เช่น เมื่อทำสมาธิกรรมฐาน ทำให้เราเกิดเวทนาที่เจ็บปวดมากเหมือนจะตาย มัจจุราชมารจะเล่นงานตอนนั้น ถ้ากำลังจิตตก เราจะถูกเจ้ากรรมนายเวรเล่นงาน ทำให้เราป่วยและตายได้ไม่ยาก มัจจุราชมาร มักทดสอบเราหลังเราเอาชนะมารฝันได้แล้ว ก็ต้องเรียนรู้ความจริงอันเที่ยงแท้ คือ ความตายนั่นเอง




    อนึ่ง ปัจเจกมารนี้ มักมาเล่นงานผู้ปฏิบัติธรรมเป็นคู่ คือ ถ้าจิตของผู้ปฏิบัติธรรมไม่ตรงกลาง เอนซ้ายก็โดนเล่นงานแบบหนึ่ง เอนขวาก็โดนเล่นงานแบบหนึ่ง เมื่อหนีจากมารแบบหนึ่ง ก็เจอกับมารอีกแบบหนึ่ง ปัจเจกมารนี้ จะเล่นงานผู้ปฏิบัติธรรมด้วยความคิดที่เป็นมิจฉาทิฐิแบบต่างๆ มากมาย เพียงหลงไปสู่ความคิดที่เป็นมิจฉาทิฐิ ก็จะถูกวิชชามารเล่นงานและสูญเสียมากกว่าได้ เรียกว่าคิดว่าจะได้มากกว่าเสียกลายเป็นเสียมากกว่าได้ ผู้เขียนมีเพื่อนนักปฏิบัติธรรมท่านหนึ่ง ซึ่งถูกมารคุมจำนวนมาก เนื่องจากได้เคยทำสัญญาบางอย่างกับมารไว้ (ผู้เขียนเองก็เคยทำสัญญายุติกรรมเหมือนกัน คือ ให้เขาอยู่ได้ และเราอยู่ได้ ร่วมโลกกันได้ ตอนนั้นทำไปโดยไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไร เลยจำไม่ค่อยได้) เพื่อนผู้นี้ ถูกพญามารคุมเอานางมารมาบำเรอ และพาไปดูโลกของมารที่มีการเลียนแบบสุขาวดีไว้ด้วย เท่านั้นยังไม่พอ มารฝันก็มาหลอกล่อให้เขาหลงในความฝัน ฝันเฟื่อง ไม่นานนักเขาก็เริ่มตื่นมาดูโลกแห่งความเป็นจริง แล้วทันใดนั้นเอง แฟนของเขาก็พบมารมัจจุราช คือ ป่วยหนักอาการน่าเป็นห่วงมาก ทำให้เขาปฏิบัติธรรมไม่ได้เลย เพราะมีแต่สิ่งรบกวนใจ ทำให้ใจสับสนอยู่ตลอด ผู้เขียนทราบว่าเขาต้องการฝึกฝนและเรียนรู้เอง ก็ไม่ได้บอกเขามาก นอกจากจำเป็นจริงๆ ก็จะมีโอกาสได้พูดคุยและช่วยบ้างเล็กน้อย




    มารมัจจุราชนี้ เป็นด่านสำคัญของผู้ที่จะได้บรรลุธรรมทีเดียว ส่วนใหญ่ มักมาพร้อมกับการเจ็บป่วยและอาการหนักแทบตายทีเดียว แต่บุญบารมียังมี ยังเหลือชีวิตไปได้อยู่ เมื่อมารมัจจุราชปรากฏ แสดงว่าท่านปฏิบัติธรรมเข้าขั้นแล้ว แต่ถ้าขนาดมารมัจจุราชยังไม่สนใจเลย แสดงว่าท่านยังอ่อนหัดหรือยังเสวยบุญอยู่ ยังไม่ถึงวาระที่จะได้พบธรรมแท้ จริงเลย การปรากฏตัวของมารมัจจุราช เป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกแก่ท่านว่าการปฏิบัติธรรมของท่านเข้าขั้นแล้วจริงแท้ เขาจะทำให้ท่านกลัวตายอย่างยิ่งก่อน และดึงเอาเจ้ากรรมนายเวรเข้ามาแทรกในตัวท่าน ทำให้ท่านเสวยผลกรรมร่วมไปกับเจ้ากรรมนายเวรนั้น เช่น สมมุติ นาย ก เป็นเมตตรัยโพธิสัตว์มาเกิด ในชาติหนึ่งได้หลงตัวเองเพราะได้เป็นเจ้าสำนักธรรมใหญ่ มีจิตสองดวง ดวงหนึ่งเป็นเมตตรัย ดวงหนึ่งเป็นเต่ามังกร ต้องกรรมถูกทรมาน นอนอยู่ไม่ตาย นานแสนนาน พอหายแล้วก็ลุกขึ้นมาแก้แค้น ต่อมาก็ตายไป จิตที่เป็นเมตตรัยมาเกิดเป็นพระราชา และถูกน้องชายฆ่าตายโดยไม่เจตนา ซึ่งน้องชายเคยมีเจตนาฆ่ามาก่อนแต่ชาติเก่าๆ มาชาตินี้ สำนึกผิดแล้ว ก็ไม่มีเจตนาจะฆ่าอีก ทว่า เมื่อกรรมมาถึง ทำให้มารมัจจุราช หลอกให้น้องชายตกอยู่ในความกลัวตายและอยากมีชีวิตยืนยาว เต่ามังกรที่มีอายุยืนยาวก็แทรกเข้ามาทันที ทำให้ต้องนอนป่วยยาวเหมือนกรรมเก่าที่เต่ามังกรถูกทรมานมานั่นเอง นี่คือ กลวิธี การชดใช้กรรม พอเข้าใจไหม อันนี้ ถ้าเอาชนะมารมัจจุราชได้ คือ ปล่อยวางได้ จะตายหรืออยู่ก็ช่าง ไม่มีสาระอะไร ศัตรูก็ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องคิดไปจัดการ ก็จะได้พบธรรม บรรลุธรรมได้ แต่ถ้าปล่อยวางไม่ได้ คิดจัดการศัตรูอยู่ ก็จะพ่ายแพ้แก่มารมัจจุราช และไม่บรรลุธรรมในที่สุด




    มารมัจจุราชมักเล่นงานผู้ยิ่งใหญ่สำคัญๆ ของโลกมามากมายแล้ว ไม่ต่างจากมารสุรานารีที่เล่นงานพระราชาจนเมืองล่มไป มารมัจจุราช เคยเล่นงาน จิ๋นซีฮ่องเต้ ทำให้กลัวตายและหายาอายุวัฒนะ ซึ่งมีคนหลอกให้เอาหญิงชายจำนวนมากไปฆ่าเซ่นสรวงก่อนจึงจะได้ยาอายุวัฒนะนั้น จิ๋นซีฮ่องเต้ก็หลงกล ภายหลัง คนที่หลอกได้นำพาชายและหญิงเหล่านั้นไปสร้างเมืองใหม่ได้สำเร็จ ในที่สุด จิ๋นซีฮ่องเต้ จึงยอมรับว่าไม่มีทางที่จะหายาอายุวัฒนะที่ไม่แก่ไม่ตายได้ สิ่งนี้เคยได้เกิดแก่พระนางบูเช็คเทียนได้เช่นกัน เมื่อได้เข้าใจสัจธรรมความจริงว่าชีวิตย่อมต้องสูญสิ้นในวันหนึ่ง พระนางก็คิดได้ก่อนตาย



    เรื่องเล่าจากโลกแห่งมารนี้ ขอเล่ากันพอสังเขป เพราะแค่เจอหนึ่งตัวก็ถือว่าหนักโขแล้ว บางท่านทั้งชาติเจอมารตนเดียวเล่นงาน ทำกิจทำงานอะไรไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเลย อยู่กันทั้งชาติกับมารตนนั้นแหละ สำหรับการสัมผัสจิตมารนี้ มันก็ไม่ได้ยากอะไร เพราะมารมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด แต่เราจะดูออกหรือเปล่าว่าเขาเป็นมารก็เท่านั้นเอง และการเป็นมารก็ไม่ได้เลวหรือดีนะ มันก็เป็นแค่หน้าที่ตามธรรมชาติเท่านั้นเอง

    –จบ-

    อนุตรธรรม เรื่อง พวกผีเจ้าที่ผูกมัดคนให้ยึดติดสถานที่ได้อย่างไร




    ภัยที่มองไม่เห็นของท่านนักปฏิบัติอย่างหนึ่งคือ “ผีเจ้าที่” ซึ่งคอยผูกมัดให้ผู้มีบุญบารมี อยู่แทนที่ตน และรอวันที่ไปจุติยังภพภูมิใหม่ที่ดีกว่า ผีเจ้าที่จะต้องเฝ้าอยู่ที่นั้นๆ ไปไหนไม่ได้นานแสนนาน เที่ยวก็ไม่ได้ เบื่อแสนเบื่อ เฝ้าอยู่อย่างนั้น แต่ผู้ปฏิบัติธรรม มีบุญมีบารมีมากกว่าการเป็นผีเจ้าที่ หลายท่านได้ถึงสวรรค์ชั้นที่สองขึ้นไปถึงชั้นที่หกก็มี ดังนั้น การที่ยึดติดสถานที่ จนตายแล้วต้องกลายเป็น “ผีเจ้าที่” จึงเป็น “ความโง่” สิ้นดี เสียท่าผีเจ้าที่ ทั้งๆ ที่ตนเองจะได้สวรรค์ชั้นบนๆ กลับต้องมาเป็นผีเฝ้าที่อยู่บนโลกมนุษย์




    อนึ่ง ผีเจ้าที่มีหลากหลายรูปแบบ แบบที่เป็นพระภูมินั้น ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรนัก อยู่ตามบ้านคนทั่วไป ไม่ค่อยมีฤทธิ์มากนัก แต่ที่บางที่เจ้าที่แรงมากเช่น ในป่าที่มีพระไปพัฒนาสร้างวัดใหม่ๆ ผีเจ้าที่จะเยอะมาก และมีอยู่หลายชนิด อยู่รวมๆ กัน ในป่าบางที่ มีทั้งเจ้าที่ที่เป็นพญานาค, รุกขเทวดา, คนธรรพ์ และผีพรายน้ำก็มี ผีเหล่านี้ มีทั้งอิทธิฤทธิ์ และเล่ห์เหลี่ยมมาก มีวิธีผูกมัดนักปฏิบัติธรรมขั้นสูงไว้ให้ตายกลายเป็นผีเฝ้าที่ได้ง่ายๆ เช่น ในวัดสวยๆ ผีเจ้าที่คือ ผีเสื้อวัด จะเบื่อที่ต้องเฝ้าวัด อยากหลุดพ้นไปอยู่สวรรค์กับเขาบ้าง ก็จะเลือกเจ้าอาวาส คุมจิตเจ้าอาวาสไว้ให้ยึดมั่นถือมั่นในวัดสวยๆ นั้น เมื่อตายไป แทนที่จะนิพพานก็ไม่ได้ สวรรค์ก็ไม่ได้ พรหมก็ไม่ได้ ได้แค่เป็นผีเฝ้าวัด หรือมองเห็นภาพง่ายๆ ก็คือ “ยาม” นั่นแหละ ผีเจ้าที่นี้มีรูปแบบและลักษณะต่างๆ กันไป ดังจะเล่านี้




    ผู้เขียนมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีเจ้าที่มาก ที่เล่นงานนักปฏิบัติธรรมในแบบต่างๆ เช่น แถวถ้ำทางเหนือ จะมีผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์มาก ทรัพย์คนโบราณที่ขนย้ายหนีภัยสงครามเอามาซ่อนไว้มีมากมาย ผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์ รอพระสงฆ์ไปถึงถ้ำนั้น แล้วเปิดให้เห็นทางนิมิต พระสงฆ์ก็คิดว่าถ้ำนี้ดี มีความวิเศษ น่าพัฒนา เราค้นพบของดีเข้าให้แล้ว หลายรูปเฝ้าถ้ำอยู่จนตายไปเลยก็มี อาจารย์ของผู้เขียนเคยพบมาหลายราย ท่านพยายามช่วยแต่ไม่สำเร็จ ผู้เขียนเองเคยพบพระรูปหนึ่ง เคยเป็นศิษย์ของท่านพุทธทาส ย้ายไปจำที่ถ้ำแห่งหนึ่งทางเหนือ ก็เฝ้าถ้ำเหมือนกัน เพราะคิดว่าถ้ำนี้ดีวิเศษหาได้ยาก แต่ก็ช่วยท่านไม่ได้




    อีกครั้งหนึ่ง ผู้เขียนพบพระสงฆ์รูปหนึ่ง ในกายของท่านมีจิ้งจอกเก้าหางอยู่ ท่านมีพระธาตุอยู่มาก พลังพระธาตุหลอมเป็นรูปพระพุทธเจ้า (คงด้วยอำนาจฤทธิ์ทางใจของท่าน) ทำให้คนมองผิวเผินภายนอกท่านเหมือนพระดี แต่ชาวบ้านได้เคยเล่าเรื่องราวของท่านที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมจนไม่มีใครใส่บาตรให้ท่านเลย ผู้เขียนไม่ทราบในช่วงแรก ท่านก็มาทำดีกับผู้เขียนและสอนว่าต้องกตัญญู ท่านให้ผู้เขียนกินข้าวก้นบาตร ทำเช่นผู้เขียนคือผู้ด้อยโอกาส อนาถามาก และต้องยอมจำนนเป็นทาสตลอดไป ทว่า แม่ของผู้เขียนเกิดลางไม่ดี ถูกฝากระป๋องบาด บวกกับอยู่ๆ ไฟไหม้ข้างกุฏิ ผิดสังเกต ผู้เขียนจึงนึกได้ว่าถ้าเราจะกตัญญู ก็ต้องไปตอบแทนคุณพ่อแม่ก่อน ดังนี้ จึงลาท่านไป และได้ช่วยให้ท่านที่มีตาทิพย์เพ่งดูภายในของพระรูปนั้น ทำไมชาวบ้านจึงไม่ยอมใส่บาตรให้ ปรากฏว่าเป็นจิ้งจอกเก้าหาง ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว อันนี้ ผู้เขียนเกือบพลาดท่าเป็นทาสเขาแล้ว




    อีกครั้งหนึ่ง ผู้เขียนพบพระสงฆ์รูปหนึ่ง แรกๆ ก็ปกติดีอยู่ แต่ไม่นานนัก ท่านไปเที่ยวริมแม่น้ำโขง ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าเขาอยู่มานานแล้วพบว่าแต่ละปีจะมีคนตกน้ำตายสองคน เพราะมีผีพรายเอาตัวไปเป็นบริวาร ไม่นานนักพระรูปนี้กลับมา แล้วรีบสร้างสระน้ำตกข้างกุฏิทันที เสร็จภายในสามวัน (โดยประมาณ) และไม่เท่านั้น มีวิธีผูกมัดผู้เขียน ด้วยการให้ผู้เขียนต้องอุ้มบาตรไปให้ทุกๆ วัน ก่อนหน้านี้ ท่านพยายามช่วงใช้ผู้เขียน แต่ผู้เขียนพักอยู่กับพระอีกรูปหนึ่ง ท่านใช้ได้ไม่ถนัด (ความจริง พระไม่ควรใช้ใคร ถ้าเขาเต็มใจทำให้ก็ค่อยให้เขาทำ พระไม่ควรยินดีกับการมีบริวารเลย เพราะเป็นพระ ไม่ใช่ราชา) ก่อนหน้านี้มีชาวบ้านคนหนึ่งมาพูดประมาณว่าไม่ต้องใช้ใคร ทำเป็นตัวอย่าง เขาก็จะทำตามเอง ให้พระรูปนี้ได้ยิน แต่เขาพูดได้อ้อมๆ และแนบเนียนดี ผู้เขียนก็คิดว่าใช่ แต่หลังๆ ท่านก็ยินดีกับการช่วงใช้ เช่น ใช้ให้สีกาไปนวด เป็นต้น (ท่านไม่ยึด ไม่ถือ ท่านว่างั้น)




    ผู้เขียนหาวิธีปลีกตัวออกมาจนได้ และได้พิจารณาดู ในช่วงที่อยู่ที่นั่น มีพระเข้ามารุมมากมาย จนท่านเจ้าอาวาสแปลกใจ พูดฝากบอกพระรูปหนึ่งมาว่า “ซ่องสุมอะไรกัน” ผู้เขียนจึงนึกภาพออกว่าผีพรายคงเล่นงานเสียแล้ว คือ มันได้ผูกมัดคนนั้นมีคนนี้ที ให้เขามาเป็นบริวารเต็มไปหมด ตอนนั้น ผู้เขียนเองก็โดนเล่นงาน มีจิตวิญญาณดวงหนึ่ง เข้ามาแทรกด้วยไม่ทันรู้ตัวนัก ตนเองไม่ต้องการให้เกิดเรื่องกามในวัด ก็พยายามห่าง แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด สีกามากมายเข้ามารุมๆ เยอะขึ้นเรื่อยๆ ถึงได้ทราบภายหลังว่าในตัวผู้เขียนเองก็มีจิตวิญญาณแทรกและก่อเรื่องเหมือนกัน เมื่อออกจากที่นั่นแล้วจึงได้โปรดจิตวิญญาณที่เป็นเสือผู้หญิงตนนั้นเสีย จบเรื่องไป ไม่เช่นนั้น คงสนุกสนานกันอยู่ในวัด ทั้งสีกามากมาย และพระเยอะแยะ รุมมะตุ้ม ไม่ยึด ไม่ถือ มั่วกันไปนานแล้ว




    ผู้เขียนไปปฏิบัติธรรมอีกที่หนึ่ง เจ้าที่เป็นฤษีฝ่ายมิจฉาทิฐิ มีทิฐิแรงมาก และแทรกอยู่ในตัวคนในสถานที่นั้นๆ ทำให้คนหลงสถานที่และยึดมั่นสถานที่นั้นๆ มาก ตอนแรกที่เข้าไป ผู้เขียนก็ทำตัวปกติ คนต้อนรับก็ทำตัวปกติดี แต่พอคืนแรกที่ฝึกสมาธิ เจ้าอาวาสก็มีอาการแปลกๆ หาเรื่องเราได้ทุกประการ และชี้ผิดชี้ถูกได้หมดทุกอย่าง เรากลายเป็นตัวประหลาด ตัวโง่ ตัวบ้า ไปเลย เนื่องจากท่านนั่งสมาธินาน และไม่มีสัญญาณบอกการออกจากสมาธิ พอท่านออกสมาธิแล้ว ก็เห็นผู้เขียนยังไม่ออก ท่านก็ด่าผู้เขียน ท่านถามว่าเราจะบวชพราหมณ์ไหม ผู้เขียนยังไม่อยากรีบตัดสินใจเลยบอกว่า “ยังไม่ทราบครับ” ท่านก็ด่าว่าโง่ สอนไม่ได้ (ผู้เขียนจบปริญญาตรีเคยสอบเรียนต่อปริญญาโท แต่ลาออกก่อน แต่เจ้าอาวาสรู้สึกจะเป็นลูกชาวบ้านยากจนเดินธุดงค์มาสายหลวงปู่มั่น ไม่ได้ร่ำได้เรียนอะไร) จากนั้น ก็เริ่มพยายามสร้างเรื่องกันว่าผู้เขียนบ้า พยายามชักจูง หาพยานกัน อะไรไม่รู้ ผู้เขียนก็งงๆ เรามาแค่ปฏิบัติธรรมเอง ทำไมเรื่องมันถึงเลยเถิดยุ่งไปขนาดนั้น เพราะผู้เขียนไม่ได้ทำอะไรเลย แค่นั่งนิ่งๆ ก็หาว่าเราเครียด เรามีอาการทางจิตเสียอย่างนั้น เราก็เข้าใจ คนเรามีหลากหลาย คิดว่าถ้าเกิดเรื่อง ก็ให้มันจบเรียบๆ ง่ายๆ ดีกว่า เราไปเสียดีกว่า ก็ลามาจากที่นั่น พอกลับมาขอให้ผู้มีตาทิพย์ช่วยดูให้ ก็พบว่ากายทิพย์ของพระสงฆ์ศิษย์สายหลวงปู่มั่นนั้น เป็นอสูร มีของทิพย์ เป็นเสี้ยวจันทร์ซ่อนอยู่ใต้ลิ้น เวลาด่าคนมันจะออกมาทำร้ายคน ทำให้คนทั้งหลายยอมสยบพระรูปนี้หมด ยังไม่ทันจะคิดการณ์อะไรต่อ เพื่อนผู้มีตาทิพย์ของข้าพเจ้าก็ถอดกายทิพย์ไปตัดแขนทิพย์ท่านมาข้างหนึ่ง (พระรูปนี้เป็นอสูรมีหลายกร) พวกฤษีเจ้าที่ที่อยู่ในสถานที่นั้น ก็กรูกันออกมาจะหาเรื่อง ผู้เขียนเลยขอให้องค์ศิวะช่วยเจรจาหย่าสึกบอกให้เลิกๆ หยุดเรื่องกันไป




    อันนี้แหละที่มาของการมีเรื่อง ที่กายสังขารของเราทั้งสองก็ไม่เคยล่วงเกินอะไรกันเลย ทำไมท่านจึงหาเรื่องเราได้ทั้งๆ ที่เรายังไม่ทันทำอะไรเลย ปกติ ไปสถานธรรมที่อื่นก็ไม่เห็นมากเรื่อง หรือมีปัญหาอะไรอย่างนี้เลย แต่ละที่ก็มีมาตรฐานที่ความธรรมดาเป็นพื้น คือ เราทำตัวธรรมดาก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว นี่แหละ เพราะ “เจ้าที่แรง” และไม่ถูกกัน



    มีอีกที่หนึ่ง ผู้เขียนพบพระรูปหนึ่ง ท่านไปถ่ายออร่ามาให้ดู ผู้เขียนเห็นออร่าครึ่งหนึ่งสีทอง ก็ปกติ แต่ครึ่งหนึ่งสีชมพู แสดงว่ามีความรัก แรกๆ ก็ไม่แน่ใจนัก แต่พอนานเข้าก็เห็นท่านกับชีรูปหนึ่ง มักไปไหนมาไหนคู่กันเสมอ เดินคู่กันสองต่อสองบ้าง อยู่ในบ้านหลังเดียวกันไม่มีคนอื่นอยู่บ้าง ฯลฯ อนึ่ง ผู้เขียนรู้จักพระรูปนี้ดี ท่านเป็นพระดี แต่เป็นพระหนุ่ม จึงอาจยังมีวิบากกรรมเรื่องคู่อยู่ ผู้เขียนจึงปล่อยตามธรรมชาติ ไม่เข้าไปข้องแวะ เพราะเชื่อใจว่าท่านจะหาทางหลุดพ้นได้ด้วยตัวของท่านเอง ปกติ ท่านมีจิตใจดี มีเมตตา และเข้าใจคน แต่พอมีจิตวิญญาณบางดวงมาอยู่ด้วย ท่านก็จะมีลับลมคมนัย ทำอะไรนอกทางไม่ให้ใครรู้ (แต่ผู้เขียนก็ดันเห็นโดยบังเอิญจนได้) ผู้เขียนก็ทราบว่าจิตวิญญาณดวงนั้น แทรกอยู่ และท่านยังโปรดไม่สำเร็จ จิตวิญญาณดวงนั้น ผูกพระหนุ่มและแม่ชีสาวไว้ด้วยกัน ทำให้พระหนุ่มไม่อยากไปไหน อยู่ที่นั่นตลอดไม่ออกโปรดสัตว์ที่อื่นเลย ซึ่งไม่เหมาะแก่สมณะวิสัย (อนึ่ง สถานที่นั้นเป็นที่ฝึกสมาธิ แต่ไม่ใช่วัด)

    -จบ-

    อนุตรธรรม เรื่อง การโปรดจิตวิญญาณสัมภเวสี




    สัมภเวสี คือ จิตวิญญาณที่เร่ร่อนอยู่ในภพโลกของเรานี้ ไม่ได้ไปสู่ภพภูมิที่ถูกที่ควรของตน สัมภเวสี จึงเหมือนคนเร่ร่อน ที่มีความหลากหลายมากแตกต่างกันไป ทั้งที่มีบุญและมีกรรมมาก เพราะยังไม่ได้ถูกคัดจัดสรรไปยังภพภูมิต่างๆ ตามวาระกรรมเลย ทั้งยังไม่ได้ถูกลบเลือนความทรงจำเก่าทิ้งไป ทำให้ยังวนเวียนอยู่กับความทรงจำเดิมๆ ผูกติดอยู่กับความทรงจำเก่าๆ แม้เวลาจะผ่านไปนานแสนนาน และคนที่เกี่ยวข้องจะตายแล้วตายอีกกี่ชาติผ่านไป สัมภเวสีก็ยังวนเวียนอยู่ในความทรงจำเดิมๆ ไม่สามารถหลุดพ้นออกมาได้ สัมภเวสีจะจำจดคนที่เกี่ยวข้องกับตนได้ แม้ว่าจะเวียนว่ายตายเกิดไปกี่ชาติ เปลี่ยนกาย สังขารไปขนาดไหนก็ตาม แต่จิตวิญญาณจะจดจำจิตวิญญาณที่เกี่ยวข้องกันได้ และรอคอยอยู่ในสถานที่บางแห่งเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ไปพบและทำสิ่งเดิมๆ ที่เคยทำกันนั้น ซ้ำๆ วนเวียน ไม่หลุดพ้นออกมาได้เสียที ถ้าผู้โปรดไม่สามารถทำให้เขาปล่อยวางได้เขาก็จะยังเหมือนเดิมไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติก็ตาม หรืออีกวิธีหนึ่ง คือ ต้องอาศัยผู้มีบุญบารมีเชิญเทพที่เกี่ยวข้องมาแล้วนำพาจิตวิญญาณดวงนั้นไปสู่ที่ที่ควรไป ซึ่งก็คือสถานที่คัดแยกดวงวิญญาณและทำให้ดวงวิญญาณลืมเรื่องในอดีตเสีย การโปรดเหล่าสัมภเวสีจึงไม่เหมือนการโปรดสัตว์เหล่าอื่น เพราะนอกจากจะหลบเลี่ยงได้เก่ง วนเวียนอยู่กับมนุษย์แล้วยังจดจำสิ่งเดิมๆ ได้อย่างเหนียวแน่น ไม่เหมือนจิตวิญญาณเหล่าอื่นที่ได้ถูกคัดแยก และลบล้างความทรงจำแล้ว พวกที่ถูกลบล้างความจำนี้จะเหมือนเกิดใหม่โดยสมบูรณ์ แต่สำหรับสัมภเวสีนั้น แม้มีวิญญาณใหม่แล้ว แต่เขาเหมือนยังเกิดใหม่ไม่สมบูรณ์เพราะยังจดจำเรื่องเดิมๆ ติดค้างอยู่นั่นเอง การโปรดจึงจะใช้วิธีเหมือนสัตว์เหล่าอื่นไม่ได้ แต่ต้องมีความเข้าใจชนิดเฉพาะรายจิตวิญญาณเลยทีเดียว อนึ่ง จิตวิญญาณที่เร่ร่อนเป็นสัมภเวสีนี้มีมากมาย ในกายสังขารของคนหนึ่งคน มีจิตวิญญาณหลายดวง มีบางดวงที่ตกค้างและไม่ไปไหน ยึดติดและกลายเป็นสัมภเวสี ทำให้สถานที่บางแห่งมีอาถรรพ์แรงมาก และทำให้มนุษย์ต้องได้รับความเดือดร้อนจากวิญญาณเหล่านี้ด้วย




    จิตวิญญาณสัมภเวสีนี้ มีมากทีเดียวที่ส่งผลต่อเมือง เช่น จิตวิญญาณปลาไหลเผือกที่ว่าตามตำนานของเชียงแสนว่าโยนกนครได้ล่มจมหายไปและกลายเป็นทะเลสาบเชียงแสนเพราะปลาไหลเผือกที่ถูกฆ่ากิน แม้แต่อาณาจักรสุโขทัยเองก็มีตำนานเรื่องหนึ่ง คือ ลูกสาวขอมขมาดโขลญลำโพง ถูกพ่อขุนผาเมืองหลอกใช้ จนเสียเมือง ได้แค้นใจจึงได้ทำการสาปแช่งแล้วกระโดดน้ำตาย ทำให้ผู้คนในเมืองสุโขทัยกลัวกันมาก ในที่สุดจึงได้คิดทำกระทงเชิญดวงวิญญาณของผู้ตายทั้งหมดทั้งมวลที่เกี่ยวข้องกับเมืองสุโขทัยไปลอยน้ำ โดยในสมัยโบราณนั้น การลอยกระทงจะเริ่มจากจุดประทีปหน้าบ้านเพื่ออัญเชิญดวงวิญญาณในบริเวณบ้านของตนไปอยู่ที่ประทีป หรือดวงไฟก่อน เมื่อจิตวิญญาณได้อาศัยดวงไฟนำทางก็จะนำดวงไฟนั้นลงไปใส่ในกระทงอีกทีแล้วปล่อยลอยไปไม่ได้ทำกระทงพร้อมจุดธูปเทียนจุดใส่กระทงทีหลังเหมือนในสมัยนี้ (อันนี้ ผู้เขียนเห็นในจิตสัมผัส) ซึ่งประเพณีนี้ คล้ายประเพณีของจีนในสมัยพระนางบูเช็คเทียน ก็มีประเพณี จุดเทียนแล้วเอาเทียนลงลอยใส่เรือลำเล็กๆ ลอยตามน้ำไป ปัจจุบัน ประเทศจีนมณฑลยูนาน หรือที่เรารู้จักกันดีในนามสิบสองปันนา ก็มีประเพณีลอยกระทงเหมือนประเทศไทยเหมือนกัน




    จิตวิญญาณสัมภเวสียังมีอีกมากที่ตกค้างอยู่เช่น วิญญาณของพระนางสร้อยดอกหมาก สมัยเด็กๆ ผู้เขียนเคยอ่านพบว่าพระนางสร้อยดอกหมาก รอพระสวามีบนเรืออยู่นานจนน้อยใจ จึงเจาะเรือล่มลงตายทั้งหมด แต่พอโตขึ้น ก็มีนักประวัติศาสตร์การเมืองนิยม เขียนเรื่องให้ใหม่ ทำหลักฐานขึ้นใหม่ ไว้ในที่ต่างๆ และเรื่องราวแตกต่างไปจากเดิมที่ผู้เขียนเคยได้ค้นคว้าเจอสมัยยังเด็กมาก เรียกว่าคนละตำรากันเลย อนึ่ง วิญญาณดวงนี้ ผู้เขียนสัมผัสได้ว่า ท่านเกี่ยวข้องกับการตายของพระนางเรือล่มในสมัยรัชการที่ห้าด้วย นอกนั้นยังมีจิตวิญญาณอีกมากมายที่พบว่าเข้าสู่ภาวะความเป็น “สัมภเวสี” คือ ไม่ได้ผ่านการทำให้ลืม ยังจดจำเรื่องเก่าๆ วนเวียนอยู่ เช่น แม่นาคพระโขนง ที่เรารู้จักกันดี แต่โชคดีที่หลวงพ่อโต ได้โปรดไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้ไม่เดือดร้อนมนุษย์อีกต่อไป




    สัมภเวสีนั้น เรียกง่ายๆ ว่า “ผี” นั่นแหละ ส่วนจิตวิญญาณอื่นๆ ที่ผ่านด่านคัดจำแนกและถูกล้างความทรงจำแล้ว จะไม่เรียกว่าผีอีกต่อไป จะถือว่าได้กำเนิดใหม่ ในภพภูมิใหม่โดยสมบูรณ์ เป็นสัตว์ต่างๆ กันไป เช่น สัตว์นรก, เปรต, อสูร, เทวดาก็ว่ากันไป ทั้งนี้ด่านคัดเลือกจิตวิญญาณนี้ จะไม่มีจิตวิญญาณชั้นสูง เพราะจิตวิญญาณชั้นสูงนั้น เวลาตายจะเกิดนิมิตดีก่อนแล้วเทวทูตจะนำตัวไปเองเลย โปรดเข้าใจว่าจิตวิญญาณที่มีบุญมาก เทวทูตจะมารับ แต่จิตวิญญาณที่มีกรรมมาก ยมทูตจะมารับ แตกต่างกันมากนะครับ โดยจิตวิญญาณที่ถูกยมทูตมารับนั้น จะต้องไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในโลกทิพย์คาบเกี่ยวสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง แต่ไม่ใช่สวรรค์ชั้นที่หนึ่งโดยตรง เป็นสถานที่กลางๆ ไว้คัดแยกกรองวิญญาณทั้งหลาย วิญญาณจะหลงทางและไม่เข้าใจอะไรเลย เหมือนเวลาเราถูกตีหัวใหม่ๆ ฟื้นมาใหม่ๆ เราก็จำอะไรไม่ค่อยได้ หลงๆ ลืมๆ วิญญาณก็เหมือนกัน เมื่อตายแล้วจะจำอะไรไม่ได้ทั้งหมด จำได้นิดหน่อย วนเวียนไปมากับความทรงจำน้อยนิดเพียงเท่านั้น และจะวนไปวนมาซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น แต่ถ้ามีจิตใจคิดได้ สงสัยได้ ทำอะไรได้มากๆ จะไม่ใช่สัมภเวสีแล้ว เช่น ถ้ามนุษย์ถอดกายทิพย์ หรือใช้จิตวิญญาณบางดวงลงไปยังที่แห่งนี้ มนุษย์จะรู้และเข้าใจหรือคิดอะไรได้มากกว่า ยกตัวอย่างเช่น คนที่ตายขณะกำลังกินข้าวพอดี แล้วจิตวนเวียนอยู่แต่เรื่องนั้น ก็จะนั่งกินข้าวอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหนเสียที จะหลงลืมจดจำอะไรไม่ได้ จำได้แค่นั้น ถ้าเราถอดจิตไปพบสถานที่ไหนมีวิญญาณจำนวนมากวนเวียนวุ่นวายกับอะไรอยู่ไม่รู้ ดูคล้ายคนอยู่ร่วมกัน แต่เหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลยถามอะไรก็ตอบไม่ได้ วนอยู่กับเรื่องของตน เหมือนคนบ้าอย่างนั้น ให้ทราบเลยว่านั่นคือที่ที่แยกออกมาจากสถานที่คัดกรองจิตวิญญาณ สถานที่นี้ ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎยมทูตแต่ก็มีได้ เพราะจิตวิญญาณมีจำนวนมาก และยมทูตทำงานไม่ทัน อันนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะ แม้แต่เมืองมนุษย์ก็ยังมีสัมภเวสีได้มากมาย ระหว่างดินแดนคัดแยกจิตวิญญาณนี้ จึงมีที่ที่แปลกแยกออกมาสำหรับสัมภเวสีโดยเฉพาะด้วย ให้ทราบว่าอันนี้ ไม่ใช่ภพปกติ




    ในคนที่ถูกสัมภเวสีเข้าแทรกในตัว ก็จะมีอาการวนเวียนๆ อยู่กับความคิดเดิมๆ ไม่มากไปกว่าเดิม เหมือนคนจะบ้าฉะนั้น จิตวิญญาณสัมภเวสีจะทำให้คนบ้าได้ โดยทำให้หลงอยู่กับความคิดเดิมๆ อันนั้นไม่ไปไหน หาทางออกไม่ได้ แต่ถ้าจิตวิญญาณนั้นไม่ใช่สัมภเวสีจะไม่วนแต่เรื่องเดิมๆ แบบนั้น จะมีเรื่องราวมากมาย มีหน้าที่ มีภาระเยอะแยะ เหมือนคนเกิดใหม่แล้ว เติบโตในภพภูมิใหม่ก็จะมีหน้าที่มีเรื่องราวของตนมากมายเช่น จิตวิญญาณที่เป็นเทพเทวดาแบบนี้ถ้ามาแทรกอยู่ในกายสังขารมนุษย์จะไม่ทำให้เป็นบ้าแต่จะคล้ายล้นบาตรเกินบาตรทำอะไรเกินๆ ขาดๆ ไป แต่ก็พูดคุยได้ปกติ แถมมีความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้นมาด้วย อันนี้ คือ ข้อแตกต่างของจิตวิญญาณที่แทรกในร่างที่ไม่ใช่สัมภเวสี การโปรดสัมภเวสีนั้นคล้ายกับการพยายามพูดคุยกับคนบ้า คนเสียสติมาก โปรดได้ยากมาก



    สำหรับการรับจิตวิญญาณที่ดีนั้นไม่ค่อยมีปัญหาเพราะมีน้อย เทวดาเยอะกว่าคนมาก แต่คนที่จะได้ขึ้นสวรรค์มีน้อยกว่าตกนรกดังนั้นเทวทูตจึงไม่ค่อยมีปัญหาเหมือนยมทูต อนึ่ง จิตวิญญาณที่ถูกยมทูตพาตัวไปนั้น ไม่จำเป็นต้องตกนรกทั้งหมด มีบางส่วนได้ขึ้นสวรรค์ด้วย โดยจะขึ้นสวรรค์ชั้นสูงสุดได้คือชั้นที่สอง หรือชั้นดาวดึงส์ อันที่จริง ด่านนี้ เป็นด่านคัดกรองของท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ หนึ่งในสี่ท้าวจตุโลกบาลก็คือพระอินทร์ผู้ครองสวรรค์ชั้นที่สอง พระอินทร์ปกครองสวรรค์ชั้นที่สองในฐานะพระอินทร์ แต่ยังมีพื้นที่บางส่วนที่ท่านปกครองอยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่งด้วย คือ ส่วนที่อยู่บนท้องฟ้า ส่วนนี้จะมีคนธรรพ์อยู่มาก ท่านจะปกครองในนิรมาณกายอีกแบบหนึ่ง เป็นหนึ่งในสี่ท้าวจตุโลกบาล ดังนั้น ท่านจึงทำหน้าที่สองหน้าที่เช่นเดียวกันกับพญามัจจุราช เมื่อท่านลงนรก จะทำหน้าที่เป็นพญามัจจุราช แต่เวลาท่านออกจากนรก จะแปลงกายเป็นพวกยักษ์ไปปกครองพวกยักษ์ กายท่านก็จะเปลี่ยนไปอีก คือ ทรงเครื่องงดงามอลังการมากขึ้นกว่าตอนลงนรก ดังนั้น ด่านคัดแยกนี้ จึงจำแนกดวงจิตตั้งแต่นรกถึงสวรรค์ชั้นที่สอง เมื่อดวงจิตได้พบพญามัจจุราช ท่านจะพยายามถามให้ดวงจิตระลึกถึงผลบุญ เพื่อช่วยให้จิตนั้นผ่องใสขึ้น ก็จะได้ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้านึกถึงผลบุญไม่ออกเลย ก็จะต้องตกนรกสถานเดียวเท่านั้น

    –จบ-

    อนุตรธรรม เรื่อง การใช้พลังภาคดำเพื่อทำกิจของพระโพธิสัตว์




    พระโพธิสัตว์เมื่อปฏิบัติธรรมขั้นสูงจิตจะบริสุทธิ์มาก และหยุดกิจทั้งหมด ท่านจะละวางหมดไม่ทำกิจใดเลย ปล่อยวางหมด เมื่อถึงจุดนี้ จำต้องหาวิธีทำให้ทำกิจต่อให้ได้ ทางตันตระได้ค้นพบวิธีหนึ่ง คือ การดูดซับพลังภาคดำ เช่น พลังมาร, พลังอสูร เข้าตัวแล้วนำไปใช้ทำกิจ ซึ่งพลังเหล่านี้ จะใช้จนหมดไป ก็กลับเข้าสู่ภาวะเดิมอีก จึงมีรอบของการดูดซับพลังดำเป็นรอบๆ คือ เมื่อหมดไปก็ดูดซับเข้ามาใหม่ ดังจะได้กล่าวต่อไป




    ๑) พระอวโลกิเตศวร

    ท่านจะดูดซับพลังดำของพระกาลี ซึ่งเป็นภาคหนึ่ง ชาติหนึ่ง ในการเวียนว่ายตายเกิดของท่าน ทำให้มีลักษณะคล้ายคนห่มผ้าคลุมสีดำ (เมื่อเพ่งด้วยตาทิพย์) และสามารถทำกิจต่อไปได้ โดยไม่ละวางไปเสียทั้งหมด พลังนี้ ทำให้มีความโกรธแค้นและหึงหวง ถ้าดูดซับมามากต้องระวังกรรม แต่ถ้าใช้ไปหมดถูกวิธีก็จะไม่มีปัญหาอื่นตามมา




    ๒) พระเมตตรัย

    ท่านจะดูดซับพลังดำของอสูรที่มีกามมาก ซึ่งท่านเคยเกิดเป็นอสูรจึงสามารถเข้ากับพลังอสูรนั้นได้ ส่งผลให้ลัทธิตันตระมีการใช้กาม เสพกาม เพื่อบำเพ็ญบารมี วิธีนี้ค่อนข้างไม่เหมาะสมในวงกว้าง และมักต้องทำลับๆ จึงกลายเป็นที่มาของลัทธินิกายลับ แต่ได้ผลดีเมื่อจิตมีความบริสุทธิ์มากจนเกือบจะละสังขารนิพพานไปก็ดี หรือไม่ยอมทำกิจทำกรรมใดๆ อีกก็ดี พลังกามนี้ มีช่วงระยะสั้น ทำกิจได้ระยะสั้นจะหมดเร็ว ระหว่างนั้นต้องระวัง




    ๓) พระสมันตภัทร

    ท่านจะดูดซับพลังดำของมารต่างๆ ซึ่งท่านเองก็เคยบำเพ็ญบารมีมาทางมาร ทำให้รัศมีกายชั้นนอกสุดของท่านมีสีดำได้ และพลังนี้เองทำให้ท่านสามารถทำกิจทางโลกได้มาก เช่น การสร้างวัด, สร้างสถานธรรม ฯลฯ พลังนี้ ทำให้ท่านมีจิตอาฆาตได้แบบชั่วคราว เช่น พระนเรศวร ก็ทรงมีจิตเป็นโพธิสัตว์ แต่ใช้พลังภาคมารเป็นพลังในการกอบกู้เอกราช พลังนี้ ต้องใช้อย่างระวัง ถ้าไม่เคยบำเพ็ญบารมีผ่านการเป็นมารมาก่อนจะทำไม่ได้




    วิธีนี้เป็นหลักการของลัทธิตันตระ เพื่อแก้ไขภาวะจิตที่บริสุทธิ์มากเกินไปของโพธิสัตว์ ซึ่งมีหลายวิธีด้วยกัน เช่น การรับจิตวิญญาณอสูรพาหนะทรงเข้ามาร่วมอยู่ในกายสังขาร ก็เป็นทางแก้อย่างหนึ่ง แต่จะส่งผลให้กายสังขารนั้นต้องรับกรรมตามแบบอสูรด้วย คือ อาจขาดแคลนปัจจัย อยู่อย่างยากลำบากหน่อย ทำให้ทำกิจยากไปกว่าเดิม ดังนั้น การใช้เพียงพลังดำบางส่วนของภาคมารและอสูร จึงดีกว่าการรับจิตวิญญาณเข้าสู่ร่างกาย เพราะไม่กระทบต่อระดับบุญบารมีที่มีแต่เดิม (ได้กายบารมีไหนก็ยังเหมือนเดิม) เพียงกระทบแต่พลังภายนอกที่คลุมอยู่เท่านั้นเอง ซึ่งจะอยู่ไม่นานนัก ก็จะค่อยๆ หมดลงไป



    วิธีนี้ ไม่ค่อยมีคนเชื่อ หรือใช้เท่าไร เพราะการจะฝึกจิตให้บริสุทธิ์มากจนถึงขั้นนี้เป็นของยาก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้ และจำเป็นต้องใช้วิธีนี้ ซึ่งจะเป็นไปเองตามธรรมชาติ เช่น พระสมันตภัทร เมื่อรู้สึกไม่อยากอะไร ใดๆ แล้ว แต่จะมีที่สิ่งกระตุ้นให้ลุกขึ้นสู้ หรือเกิดความอาฆาตแค้นได้อีก อันนี้ให้ทราบว่าอาจไม่ได้เกิดจากมารแทรกหรือจิตวิญญาณภายในเป็นมาร แต่อาจเป็นด้วยพลังมารบางส่วนเข้ามาปกคลุมเพื่อให้ทำกิจเท่านั้นเอง ทำให้เกิดอารมณ์เพียงชั่วครู่ชั่วขณะ พระโพธิสัตว์จะระบายอารมณ์หรือพลังไปกับการทำกิจบางประการไม่นานนักก็จะค่อยๆ หมดลงไป เพราะไม่ได้เกิดจากจิตวิญญาณนั่นเอง ในกรณีนี้บางท่านอาจไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ปฏิบัติธรรมขั้นสูงบางท่านจึงมีนิสัยแปลกๆ เช่น ทำไมยังมีโกรธมีแค้นได้อีก, มีกามได้อีก ขอให้ทราบตามที่อธิบายมานี้ และหากท่านพบว่าพระโพธิสัตว์กำลังมีพลังดำปกคลุมอยู่ ก็ให้ท่านระบายพลังดำนั้นไปกับกิจต่างๆ ก่อน ค่อยเข้าหาเมื่อพลังดำจางลงแล้ว ก็จะสามารถพูดคุยกันได้รู้เรื่อง จะไม่ต้องมีเรื่องกระทบกระทั่งกัน ขอให้เข้าใจกันด้วย สำหรับบทความฉบับนี้ ขอจบลงเพียงเท่านี้

    –จบ-

    อนุตรธรรม เรื่อง การแปลงพลังภาคดำเป็นขาวของพระโพธิสัตว์




    พระโพธิสัตว์เมื่อปฏิบัติธรรมขั้นสูงจิตจะบริสุทธิ์มาก ทำให้ไม่ทำกิจใดๆ เลย ปล่อยวางทั้งหมด จากนั้นท่านจะฝึกดูดซับพลังภาคดำมาใช้เป็นพลังในการทำกิจ แต่เมื่อมากๆ เข้า ท่านจะคุ้นเคยกับพลังดำจนสามารถซักฟอกพลังดำให้เป็นขาวได้ เหมือนการขจัดกิเลสทั่วๆ ไปนั่นเอง ในขั้นนี้ พลังดำจะค่อยๆ สลายเปลี่ยนแปลงไปเป็นขาวเอง เรียกว่า “ทองเลน” ซึ่งเหมาะสมที่จะใช้ดูดซับพลังดำแห่งภาคมารและอสูรให้ค่อยๆ หมดฤทธิ์ลง แล้วทำการโปรดต่อไป ผู้ที่ฝึกทองเลนได้ จะมีบารมีได้ “สังข์ทิพย์” อยู่ในกายทิพย์ ถ้าผู้ใดมีสังข์ทิพย์ก็ทราบได้เลยว่าเขาสำเร็จพลังทองเลนแล้ว ดังจะได้กล่าวต่อไป




    การฝึกพลังทองเลน

    ให้ฝึกดูดซับพลังดำจากภาคมารหรืออสูร แล้วนำมาซักฟอกทีละน้อย อนึ่ง การจะฝึกได้ต้องสำเร็จอรหันต์ก่อน คือ รู้วิธีขจัดกิเลสหรือพลังดำทุกชนิดก่อน ไม่มีทางอื่นเลยที่ผู้ฝึกจะชำระพลังดำเป็นขาวได้โดยไม่สำเร็จอรหันต์ก่อน เมื่อสำเร็จอรหันต์แล้ว จึงค่อยฝึกดูดซับพลังดำเข้าตัว ลดทอนพลังดำของผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นมีความโกรธแค้น, อาฆาต และความมืดบอดน้อยลง จากนั้น ค่อยๆ ชำระซักฟอก ให้ขาวขึ้น จึงค่อยๆ ถ่ายระบายกลับเข้าไปยังคนเดิม สำหรับผู้ชำนาญแล้ว จะทำสองอย่างคู่กัน คือ ดูดซับพลังดำ พร้อมถ่ายพลังขาวที่ตนมีสะสมไว้ในตัวให้ผู้ที่ต้องการโปรด เมื่อพักสักครู่ ชำระพลังดำแล้ว ก็จะโปรดสอนธรรม พูดไม่มาก เขาก็จะปล่อยวางได้ง่ายๆ แต่ถ้าไม่ใช้การดูดซับพลังดำออกก่อน ก็จะสอนได้ยาก จิตมีมิจฉาทิฐิมาก ไม่ปล่อยวางได้ง่ายๆ นี่คือ หลักการของทองเลน สำหรับผู้ที่ฝึกทองเลนได้สำเร็จจริงๆ จะรู้สึกทันทีว่ามีพลังดำเข้าตัวเช่น รู้สึกเครียด, รู้สึกมีกิเลสมากขึ้น เมื่อพลังดำเข้าตัว และความรู้สึกนี้จะค่อยๆ ลดลงไป พร้อมปัญญาความเข้าใจในกิเลสตัวนั้นๆ หรือความคิดของคนนั้นๆ เหมือนได้รับปริศนาเข้าไปศึกษา เมื่อคลี่คลายได้แล้วจึงเข้าใจปมปริศนาของคนที่มีพลังดำ ที่ยึดมั่นถือมั่นนั้น




    บางท่านฝึกพลังทองเลน ทั้งๆ ที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ และดูดซับพลังดำจากคนที่มีจิตหม่นหมอง ซึ่งไม่ใช่พลังดี กรณีนี้ จะสำเร็จได้ก็ต้องมีบารมีเก่ามาก เมื่อสำเร็จ จะทำให้จิตแบ่งภาคออกเป็น “โพธิสัตว์กษิติครรภ์” และ “มังกรดำ” อยู่ด้วยกัน ส่วนที่เป็นพลังดำจะหลอมรวมตัวกำเนิดเป็นมังกรดำที่ดุร้ายและมีความคับแค้นใจ รวมพลังความคับแค้นใจของผู้คนเข้าเป็นพลังของตน ส่วนที่เบื่อหน่ายและมีใจเมตตา จะให้กำเนิดโพธิสัตว์กษิติครรภ์ เมื่อถึงจุดนี้ จะรู้สึกได้ชัดเจนว่ามีความแปลกแยกภายในตนเอง มีสองความ คิด ความรู้สึก ต่อต้านและขัดแย้งกันเอง จิตหนึ่งดีงามบริสุทธิ์แน่วแน่ เงียบนิ่ง มีเหมือนไม่มี แต่จิตหนึ่งจะเคลื่อนไหวและพยายามทำกิจมาก ซึ่งเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ นี่สามารถสำเร็จเป็น “อรหันตโพธิสัตว์” พร้อมทรง “มังกรดำ” ได้ด้วยบารมีเก่านั่นเอง




    สำหรับผู้ที่ไม่มีบารมีเก่ามากพอไม่ควรฝึกทองเลนทั้งๆ ที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ นอกจากว่าท่านจะฝึกเล่นๆ ไม่มีผลจริง ทำกันเล่นๆ ไม่เกิดอะไรขึ้นจริงๆ แต่สำหรับท่านที่ฝึกจริงได้ผลจริงนั้น จะส่งผลให้จิตใจดุร้าย, เครียด, อาฆาต, หม่นหมอง ได้มากมาย ท่านไปช่วยคนที่มีจิตหม่นหมองแบบใด ท่านก็ต้องรับความรู้สึกแบบนั้นเข้าไป และท่านก็ต้องเป็นเช่นนั้นด้วย ก็ต่อเมื่อท่านแก้ไขความรู้สึกภายในของท่านได้แล้ว ก็จะพบวิธีโปรดคนอื่นด้วยเช่นกัน ดังนี้ ท่านจึงโปรดคนได้มากมายไม่มีขีดจำกัด ปรับตามผู้คนได้เรื่อยๆ



    ดังนั้น ท่านอาจพบได้ว่าพระโพธิสัตว์ทำไมจึงมีจิตดุร้ายขึ้น หม่นหมองขึ้น มีกิเลสมากขึ้น ในบางช่วง และกลับมาใสบริสุทธิ์เหมือนเดิมได้ เมื่อท่านไปพูดคุยกับเขา จะรู้สึกหายความทุกข์ ความเครียด กิเลสเบาบางลงได้เร็ว ทั้งๆ ที่ตนเองไมได้ทำอะไรเลย แค่คุยระบายความรู้สึกเท่านั้น นี่เพราะพระโพธิสัตว์นั้น สำเร็จพลังทองเลน ดูดซับพลังดำในตัวท่านไปชำระซักฟอกให้นั่นเอง แต่นี่ยังไม่ทำให้ท่านบรรลุธรรม การจะบรรลุธรรม ต้องอาศัยธรรมช่วยต่อด้วยอีกนิดหน่อย ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นแล้ว ก็ไม่ยากเกินไปนัก

    –จบ-


    อนุตรธรรม การบำเพ็ญเซียนสายดำและสายขาว




    เซียน คือ เทวดาชั้นดุสิต ที่มีบุญน้อย แต่บารมีมากพอที่จะตรัสรู้เองเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ เพราะบุญน้อยจึงไม่มีกำลังพอจะเวียนว่ายตายเกิดมาก เซียนจำนวนหนึ่งจึงไม่คิดสะสมบารมีเป็นพระพุทธเจ้า แต่ยังมีเซียนอีกพวกหนึ่งที่พร้อมยอมเวียนว่ายตายเกิดต่อไปเพื่อสะสมบารมีหวังตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เซียนแบบหลังนี้ จะต้องลงมาเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมีจากเซียนขึ้นเป็นโพธิสัตว์ด้วย แต่เซียนแบบแรกไม่ต้องก็ได้




    เซียนสายขาว

    คือ เซียนที่บำเพ็ญบารมีมาจาก “กุมาร” คำว่ากุมาร คือ วัยเรียนรู้นั่นเอง พวกเขาจะมีลักษณะที่พร้อมยอมให้ผู้อื่นสอน แต่จะซุกซนตามวิสัยเด็ก ทั้งนี้จะเรียนวิชชาใดวิชชาหนึ่งก็ได้ แต่ต้องเรียนจนบรรลุถึงสุดยอดของวิชชานั้นๆ แม้จะไม่หลุดพ้นนิพพาน แต่ให้ไม่ละเลย ไม่หยุดกลางคัน และค้นคว้าต่อไป จนไม่เหลืออะไรอีกในวิชชานั้น เพื่อเป็นรากฐานของผู้ตรัสรู้ ผู้ที่จะตรัสรู้เองได้นั้น ถ้าหยุดกลางคัน ไม่สำรวจวิชชาตนเอง ไม่อาจทราบว่าตนยังไม่ถึงสุดยอดของวิชชาแล้ว ก็จะไม่มีทางตรัสรู้เองได้เลย ดังนั้น การบำเพ็ญเซียนอย่างหนึ่งเพื่อตรัสรู้ โดยการฝึกตนให้ร่ำเรียนให้ถึงที่สุดของวิชชา ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ครูบาอาจารย์ก็ไม่อาจช่วยเราได้เลย เราต้องพลิกแพลงหรือคิดค้นด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นวิชชาอะไรก็ได้ทั้งสิ้น เช่น วิชชาทำอาหาร, วิชชาเย็บผ้า, วิชชาปลูกพืช ฯลฯ ล้วนใช้เป็นฐานในการบำเพ็ญเซียนได้ทั้งสิ้น อนึ่ง เซียนสายขาวนี้แบ่งได้อีกคือ




    § เซียนอิทธิฤทธิ์

    เช่น เซียนนาจา จะบำเพ็ญวิชชาสายอิทธิฤทธิ์ เช่น กีฬา, การต่อสู้, การทหาร, วิชชาทางจิต ฯลฯ เหล่านี้ ฝึกแล้วจะสำเร็จได้สูงสุดเป็นเซียนอิทธิฤทธิ์ การบำเพ็ญเซียนสายอิทธิฤทธิ์นี้ ค่อนข้างยาก แต่สำหรับบางท่านที่มีพรสวรรค์ก็สำเร็จเร็วก็มี เช่น บางท่านฝึกตาทิพย์สิบปียี่สิบปีก็ไม่สำเร็จก็มี แต่บางท่านกลับฝึกไม่กี่เดือน สำเร็จได้ก็มีเช่นกัน ดังนั้น การแบ่งเหล่ากุมารให้บำเพ็ญถูกต้องตามสายต่างๆ จึงมีความจำเป็นอย่างมาก




    § เซียนปัญญา

    เช่น เซียนเหอเซียวหวิน ซึ่งเป็นเซียนองค์ที่สามในแปดเซียน ซึ่งร่ำเรียนวิชชาแพทย์ อนึ่ง เราทั้งหลายสามารถบำเพ็ญบารมีจนถึงขั้นเซียนได้ ด้วยการตั้งใจเรียนอะไรก็ได้ เช่น เรียนวิชชาต่างๆ ในห้องเรียนก็ดี, นอกห้องเรียนก็ดี แม้กระทั่งการเล่นต่างๆ การฟ้อนรำ, การร้องเพลง ฯลฯ ถ้าบำเพ็ญฝึกฝนถึงที่สุด ทะลุทะลวงได้แล้ว ก็กลายเป็นเซียนได้ทั้งสิ้น เมื่อสำเร็จเซียนแล้ว ย่อมมีความเชี่ยวชาญชำนาญพิเศษในเรื่องนั้นๆ




    เซียนสายดำ
    คือ เซียนที่บำเพ็ญบารมีจากเทพกึ่งสัตว์, เทพอสูร เช่น เทพวานร, เทพไก่ เหล่านี้จะมีวิชชาที่ไม่ตรงทางอยู่ก่อน แล้วมาปรับใหม่ให้ถูกต้อง ก็จะสำเร็จเป็นเซียนได้ แต่สำหรับเทพอสูรนั้น ไม่อาจแก้ไขได้ อสูรมีกรรม ต้องรับกรรมตามนั้น คือ ต้องบำเพ็ญวิชชาอสูรให้ถึงจุดสูงสุดของวิชชาก่อน จึงจะสำเร็จเป็นเซียนได้ โดยมากจะสำเร็จสุดยอดวิชชาก็ต่อเมื่อ “ตาย” เป็นส่วนใหญ่ คือ ยอมตายเพื่อสำเร็จสุดยอดวิชชา แล้วช่วงใกล้ตายนั้นคิดได้ ก็จะสำเร็จวิชชาเป็นเซียนได้ อสูรมีกรรมอย่างนี้ แต่สำหรับเทพกึ่งสัตว์ จะไม่มีแบบนี้ เพราะเทพกึ่งสัตว์ไม่ใช่อสูร มีบุญมากกว่ากรรม บุญไม่มาก แต่มากพอหนุนตัวให้ได้รับการศึกษาได้ แต่อสูร และเหล่าอบายภูมิสี่ จะไม่มีบุญมากพอที่จะได้รับการศึกษา ไม่ได้รับวิชชาจากครูบาอาจารย์ อย่างไรก็ตาม เทพอสูรหากเดินวิชชาอสูรของตนเองถึงขั้นสูงสุดจนถึงขั้นตายได้ ก็สามารถบรรลุเซียนได้เช่นกัน ดังนั้นจึงเกิดมิจฉาทิฐิกันว่าการบรรลุเซียนคือการหลอกให้อสูรไปตายก็มี เหล่าอสูรทั้งหลายถูกหลอกอย่างนี้ จึงไม่มีอสูรไปบำเพ็ญเซียนอีก แต่อย่างไรก็ตาม การบำเพ็ญเซียนนี้ ก็สามารถเดินได้ทั้งสองสาย คือ สายขาวและสายดำ แต่การบำเพ็ญเพื่อโสดาบันขึ้นไป ต้องเดินสายขาวเท่านั้น

    -จบ-

    อนุตรธรรม การฝึกจิตจนเหลือจิตวิญญาณเพียงสองดวง




    จิตในกายสังขารของมนุษย์ไม่เที่ยง ในพุทธกาลของพระสมณโคดม อายุขัยมนุษย์มีประมาณได้ร้อยปี กายสังขารหนึ่งๆ จะสูงไม่เกินสี่ศอก และมีดวงจิตได้ ๘๙ ดวง สูงสุดไม่เกิน ๑๒๑ ดวง แต่ในบางยุคสมัยมนุษย์มีอายุขัยมาก ดวงจิตในกายสังขารจะมากกว่านี้ อนึ่ง พระมหาโพธิสัตว์ ซึ่งเข้าถึงความมหาโพธิสัตว์ใหม่ๆ จะเริ่มแบ่งภาคจิต และจะคุ้นเคยกับภาวะแบ่งภาคจิต ไม่คุ้นเคยกับภาวะรวมจิต ดังนั้น จึงไม่ชำนาญในการรวมบารมีเพื่อไปสู่สภาวธรรมเดิมแท้ ท่านจึงกลายเป็นธรรมะภาคก่อเกิด คือ ให้กำเนิดดวงจิตใหม่ๆ มากมาย แต่พระพุทธเจ้า ผ่านภาวะนั้นมาแล้ว ท่านรวมดวงจิตเป็นแล้ว โดยการฝึกรวมบารมี และเริ่มดึงดวงจิตเก่าๆ เข้ามาโปรดในกายสังขาร จนได้ประมาณ ๑๒๑ ดวง จึงมีความแตกต่างจากธรรมของพระโพธิสัตว์ สภาวะภายในก็ต่างกัน กล่าวคือ ดวงจิตในกายสังขารของพระโพธิสัตว์ที่รวมจิตรวมบารมีไม่เป็น มักมีดวงจิตน้อย แต่ดวงจิตในกายสังขารของพระพุทธเจ้าจะมีมากกว่า และสามารถมีมากไปได้เรื่อยๆ เพื่อสืบอายุ ขัยยาวออกไปอีกถึงหนึ่งกัปก็ได้ ดังที่พระพุทธองค์ได้เคยกล่าวไว้นั่นเอง




    จิตในกายสังขารของพระมหาโพธิสัตว์มักมีสองดวง คือ จิตหลัก (หรือจิตสังขารที่จะประจำสังขาร จุติออกไปไหนไม่ได้) และจิตรอง (ที่จะทำหน้าที่เหมือนเทพประจำตัว เป็นเจตภูต หรือองค์รักษ์ หรือม้าทรง) มีเพียงสองดวงจิตเป็นสำคัญ จิตหลักมักจะบรรลุอรหันต์ มีกายทิพย์เป็นโพธิสัตว์ เรียกว่า “อรหันตโพธิสัตว์” และจิตรองจะเป็นอย่างอื่น เช่น เทพ, พรหม, อสูร, มาร ถ้าพระสงฆ์รูปใดมีจิตรองเป็นเทพจะสร้างวัดพัฒนาท้องถิ่นทุรกันดารมาก ถ้ารูปใดมีจิตรองเป็นพรหม จะนิยมนั่งสมาธิบ่อยๆ และนาน มักเปิดเป็นสถานสอนทำสมาธิ และมักติดฌาน บ้างก็ทำนายทายทักด้วยก็มี แต่ถ้ารูปใดมีจิตรองเป็นอสูร ก็จะปราบ ทำหน้าที่ปราบมาร ด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งทางจิตและทางสังขารก็มี และถ้ารูปใดมีจิตรองเป็นมาร ก็จะทำบุญมากมาย สร้างถาวรวัตถุยิ่งใหญ่อลังการ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีใครผิดเลย เป็นยุคสมัยของธรรมกึ่งหลังพุทธกาลทั้งสิ้น ที่จะมีเหล่า เทพ, พรหม, อสูร, มาร เข้ามาค้ำพระพุทธศาสนา ดังนั้น พระรูปใดได้อรหันตโพธิสัตว์แล้ว จะมีดวงจิตทั้งสี่เหล่านี้อยู่ อย่าได้เพ่งโทษโกรธกัน คนเราจะให้สมบูรณ์แบบ คงไม่ได้ ขอให้ยอมรับจุดบกพร่องของกันและกัน เราคงห้ามเทพกับมาร ไม่ให้ตีกัน คงไม่ได้ ห้ามอสูรกับพรหมตีกัน ก็ไม่ได้ แต่ขอให้เข้าใจเถิดว่านี่คือยุคสมัยของธรรมหลังกึ่งพุทธกาล




    อนึ่ง พระอรหันต์ที่มีจิตดวงเดียวได้อรหันต์แล้ว จึงคิดว่าเราเป็น “อเสขบุคคล” คือ ไม่ต้องปฏิบัติธรรมต่อไปอีกแล้ว จะมีจิตดวงเดียวรอจุติ เป็นคน “ชะตาขาด” ใครเห็นจะทักว่าไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้นานอีกแล้ว แต่บุญผ้าเหลืองที่ห่อหุ้มไว้ จะเป็นเครื่องต่อชะตา ดังนั้น เมื่อใครคนหนึ่งฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า มีจิตแน่วแน่หนึ่งเดียวมากในนิพพาน ทำให้จิตดวงอื่นๆ ไม่สามารถอยู่ในกายได้ จุติออกไปหมด สุดท้ายเหลือจิตดวงเดียว คนแบบนี้ จะบรรลุอรหันต์ พร้อม “ชะตาขาด” ต้องบวชทันที เมื่อได้ครองผ้าเหลืองก็จะต่ออายุขัยต่อไปได้ เพราะเจ้ากรรมนายเวรจะละเว้น เห็นอยู่ในผ้าเหลือง ชีวิตก็จะยืดยาวต่อไปอีกสักระยะ จนกว่าจะไม่เหลืออะไรอีก ก็ถึงวาระละสังขารไป พระอรหันตสาวกจำนวนมาก มีจิตแบบนี้ คือ ดวงเดียวเป็นอรหันต์ และจะอยู่คล้ายพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก คือ นิยมความวิเวกสันโดษ เนื่องจากไม่มีจิตดวงอื่นสัมพันธ์อะไรกับทางโลกเลย แต่ท่านเหล่านี้ไม่ได้มีญาณหยั่งรู้เองถึงระดับพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงต้องอาศัยพระธรรมวินัยปกป้องตนเองไว้ จึงก่อเกิดเป็นพุทธศาสนาในที่สุด แต่พระอรหันต์อีกประเภทหนึ่ง ในสมัยพุทธกาลไม่ใช่อย่างนี้ จะมีดวงจิตเพิ่มเติมในกายสังขารมากขึ้น เพื่อโปรดจิตเหล่านั้นต่อไป ตามรอยพระพุทธเจ้า จนกว่าจะครบ ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวง ก็จะละสังขารไป เนื่องจากท่านเหล่านี้เป็นพระอรหันตโพธิสัตว์ เช่น พระมหากัจจายนะ ที่อรหันต์แล้ว ถูกผู้ชายนึกอยากเอาไปเป็นภรรยา ท่านยังแช่งให้ผู้ชายคนนั้นกลายเป็นผู้หญิงได้ นี่ถ้ามีแต่จิตอรหันต์ดวงเดียว มีหรือที่พระอรหันต์จะแช่งใครอย่างนั้น




    การบรรลุอรหันต์แล้วนิพพานไปโดยมีจิตในกายสังขารเพียงสองดวง จะมีสถานะเป็น “ปัจเจกอรหันต์” คือ ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะปัญญาญาณไม่ถึง ได้เพียงอรหันต์ แต่มีลักษณะการดำรงอยู่และดำเนินไปอย่างเช่นพระปัจเจกพุทธเจ้า ตัวอย่างพระปัจเจกอรหันต์มีมากมาย เช่น หลวงปู่เทพโลกอุดร ซึ่งไม่นิยมจะเข้ากับหมู่สงฆ์เหล่าใดๆ เลยในประเทศของเรานี้ไม่ว่านิกายใด มีบ้างที่มาบิณฑบาตโปรดสัตว์ แต่ไปมา ราวกับพระปัจเจกพุทธเจ้าฉะนั้น แต่พระอรหันต์ที่เราเห็นกันอยู่คุ้นตา เช่น หลวงพ่อฤษีลิงดำ, หลวงพ่อสด ฯลฯ นี้ เป็น “อรหันตโพธิสัตว์” คือ อรหันต์แล้วโปรดสัตว์ต่อ ไม่หยุดกิจเสีย ก็ดูเอาเถิดว่าท่านเหล่านี้ทำอะไรให้ประเทศบ้าง มากมายนักหนาไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ลักษณะของ “อรหันตสาวก” เลย มีความเป็นผู้นำชัดเจน ชัดแจ้ง มากกว่าความเป็นผู้ตาม มีความเป็นสาวกน้อย มีความเป็นเจ้ามาก มีบริวาร สานุศิษย์ให้ช่วงใช้มากมาย นับไม่ถ้วน นี่เขาอรหันต์จริง แต่เขามีวิถีอยู่แบบโพธิสัตว์ จึงได้ธรรมแบบอรหันตโพธิสัตว์ ถ้าเขาอรหันต์แล้วมีวิถีอยู่แบบพระสาวก เป็นผู้น้อยเจียมตน ปลีกตัวไม่ยุ่งสังคม ไม่ทำบุญ ไม่ทำกิจใดๆ ต่ออีก มีวินัยครองตัวเคร่งครัด เขาถึงเรียกได้ว่า “อรหันตสาวก” นี่ท่านคงเห็นความแตกต่างหรือยัง น่าจะชัดเจนนะ จะขอสรุปให้ชัดเจนง่ายๆ ดังนี้




    พระอรหันต์มีหลายแบบ ดังนี้




    ๑) พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    คือ พระอรหันต์ผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองแล้วสร้างศาสนาพุทธ ไม่อยู่แบบปัจเจก เมื่อละสังขารแล้วนิพพาน อันนี้ทราบกับดีอยู่แล้ว จะไม่อธิบายอะไรให้มากความอีก




    ๒) พระอรหันตสาวก

    คือ พระอรหันต์ที่บรรลุธรรมได้ด้วยการช่วยเหลือของท่านผู้อื่น ตรัสรู้เองไม่ได้ ไม่ได้อยู่แบบปัจเจกพุทธะ อยู่แบบมีหมู่คณะ จึงมีธรรมวินัยครองอยู่ เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยของหมู่คณะ ละสังขารแล้วจะนิพพานไป ไม่มีจิตมาโปรดสัตว์ทำกิจอะไรวุ่นวายมากมาย ตนเองเอาตัวเองรอดได้ ประคองตนอยู่ในธรรมวินัย บิณฑบาตเป็นเนื้อนาบุญไปก็พอ ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น พระภิกษุณีโกกิลา อันนี้ เป็นรูปแบบแท้ๆ ของอรหันตสาวก




    ๓) พระยูไล

    คือ พระอรหันต์ที่มีญาณหยั่งรู้ได้เอง เรียกว่าตรัสรู้เอง แม้มีธรรมะของผู้อื่นอยู่ แต่ท่านไม่เข้าใจ และหาทางของตัวเองจนบรรลุด้วยมรรควิธีของตนเองนั้น จึงไม่ได้บรรลุด้วยธรรมของผู้อื่น แม้มีธรรมของผู้อื่นก็ไม่อาจทำให้ตนบรรลุได้ ท่านมีบารมีมาก แต่ได้ทำกรรมมากและบุญมากเป็นอนันต์ไว้พร้อมกัน เมื่อละสังขารแล้วจึงไม่นิพพาน ต้องจุติที่สุขาวดี และมีอายุขัยยืนยาวนานมาก เพื่อชำระกรรม เสวยบุญ อันเป็นอนันต์นั้น ส่วนใหญ่มักทำกรรมด้วยการสร้างลัทธินิกายใหม่ๆ เพื่อโปรดสัตว์ในแบบที่แตกต่างออกไป เช่น พระตั๊กม้อ ผู้สร้างนิกายมหายานในประเทศจีน, หลวงปู่มั่น ต้นสายธรรมยุติใหม่




    ๔) พระอรหันตโพธิสัตว์

    คือ พระอรหันต์ที่บรรลุธรรมได้ด้วยครูบาอาจารย์สายพระยูไลก็ดี หรือสายพระพุทธเจ้าก็ดี แล้วไม่หยุดกิจ ทำกิจต่อกรรมทั้งส่วนบุญหรือส่วนกรรมต่อไปก็ดี เพื่อโปรดสัตว์ ละสังขารแล้วจึงไม่นิพพาน ยอมไม่นิพพาน เพื่อทำกิจโปรดสัตว์ให้นิพพานไปก่อนตน ก็จะได้อรหันตโพธิสัตว์ เช่น หลวงตามหาบัว ลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่น อย่างนี้ ท่านอกบุญรับทองคำไปช่วยชาติ จึงมีบุญมาก เสวยวิบากไม่หมดในชาติเดียว นิพพานไม่ได้ ต้องจุติไปเสวยบุญอนันต์นั้นก่อนที่สุขาวดี จึงจะนิพพานได้ในภายหลัง นับเป็นอรหันตโพธิสัตว์ อนึ่ง อรหันตโพธิสัตว์ เป็นสาวกแท้ของพระยูไล ส่วนอรหันตสาวก เป็นสาวกแท้ของพระพุทธเจ้า ทั้งสองแบบมีเจ้าต่างนายกัน เมื่อประชุมสงฆ์บนสวรรค์ จะมีหมู่คณะต่างกันไป คนละหมู่คณะกัน ไม่เข้าร่วมประชุมพร้อมกัน ขอให้เข้าใจผลความแตกต่างอันนี้ด้วย




    ๕) พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า

    คือ พระอรหันต์ที่ตรัสรู้เอง แล้วไม่สร้างศาสนา แต่มีบริวารมาก ปกครองได้ นิพพานไปก่อนที่จะสร้างศาสนา บุญกรรมกับบริวารยังไม่ขาดกัน ทำให้บริวารก็บรรลุแล้วนิพพานตามๆ ไปด้วยในลักษณะเดียวกัน ซึ่งบริวารบรรลุแล้วมีธรรมไม่ถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงอยู่ด้วยตนเองไม่ได้เต็มที่ จะส่งผลให้ธรรมระดับนิพพาน เกิดความวุ่นวายได้ จึงต้องมีพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า คอยปกครองดูแล ในระดับนิพพาน ไม่มีไม่ได้ จะวุ่นวาย อนึ่ง พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกลางกึ่งพุทธกาลนี้เอง อันเป็นผลมาจาก พระพุทธศาสนาสิ้นสายธรรมลงต่อไม่ได้ จากสัจจะวาจาของพระพุทธเจ้าที่ให้ไว้ไม่อาจกลับคำคือ “พระพุทธศาสนาจะหมดยุคของพุทธบริษัทแล้วเป็นยุคของเทพ, พรหม, อสูร, มาร มาค้ำต่อแทน” ดังนี้ ไม่อาจหาพุทธบริษัทไหนต่อสายธรรมเก่าได้อีก ดังนี้ สายธรรมของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก ก็หมดลง พร้อมกับสายธรรมของพระยูไล และพระอรหันตโพธิสัตว์ ยังคงอยู่ต่อไป ด้วยเหตุที่พระพุทธเจ้าอนุญาตแล้วให้มาค้ำศาสนาท่านได้ ดังนี้ การกระทำใดๆ อันแตกต่างไป ก่อให้เกิดนิกายใหม่ ก็ไม่นับเป็น “อนันตริยกรรม” อีกต่อไป เพราะพุทธานุญาติที่ให้ไว้แล้วนั่นเอง ดังนั้น จึงมีโอกาสที่จะนิพพานได้เร็ว แต่ถ้าพระอรหันตโพธิสัตว์องค์ใด ทำบุญมากไป เกิด “อนันตริยบุญ” ก็จะไม่ได้นิพพาน ดังนี้ โอกาสที่สรรพสัตว์จะได้นิพพานหลังกึ่งพุทธกาลจึงมีมาก เพราะไม่มีอนันตริยกรรมที่เกิดจากการที่เราไปบวชในลัทธินิกายต่างๆ อีกต่อไป เราไม่ได้เป็นผู้แย่งพุทธศาสนามาแตกกอเป็นนิกายใหม่ แต่เราคือผู้ได้รับพุทธนุญาติแล้วโดยสมบูรณ์




    ๖) พระปัจเจกอรหันต์

    คือ พระอรหันต์ที่บรรลุธรรมได้ด้วยคนอื่นสอนให้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเทวดา แล้วมีความเป็นอยู่ และดำเนินไปแบบพระปัจเจกพุทธเจ้าฉะนั้น คือ ปลีกวิเวกหลบกรรมจากคนในสังคม แม้ไม่มีศีลมาก ก็ไม่มีกรรมมากพอ เพราะไม่มีคนให้มาก่อกรรมด้วยนั่นเอง อย่างนี้เมื่อละสังขารลง โอกาสนิพพานก็มีสูงมาก และมักนิพพานโดยทั้งหมด ซึ่งหลายท่านนิพพานก่อนทั้งๆ ที่กายสังขารยังไม่แตกดับไปคือ ดวงจิตนิพพานไปเป็นดวงๆ แล้วเหลือดวงจิตอื่นอยู่ในกายสังขาร ทำให้สังขารนั้นยังไม่ตาย แต่เหมือนเกิดเป็นคนใหม่ จึงมักพบว่าจิตมีความบริสุทธิ์มากขึ้นช่วงหนึ่ง แล้วอยู่ๆ ก็ลดลงกลายเป็นเหมือนคนไม่ดี ไปเลยก็มี โดยจิตดวงที่เหลือในกายสังขารมักเป็นอสูรพาหนะทรง ที่ต้องอยู่ชำระชดใช้กรรมต่อไป เมื่อจิตเป็นอสูรแล้ว บุญก็น้อย กรรมก็มาก โหมเข้ามาอีก ต้องบำเพ็ญธรรมต่อไปอีก เพื่อเอาตัวเองรอดพ้นทุกข์นั้นๆ ไม่อาจเป็นอเสขบุคคลได้ เพราะกรรมมากไป ยังหยุดทันทีที่บรรลุอรหันต์ไม่ได้ เป็นกระจกที่แม้ใสแล้ว ฝุ่นยังเกาะ ยังต้องเช็ดอีก แบบนี้ จะชำระกรรมหมดเร็วกว่าพระอรหันตโพธิสัตว์ และมีโอกาสได้จุติที่ดุสิต ซึ่งไม่ต้องอยู่ชำระกรรมนานแบบอนันต์อย่างชาวสุขาวดี สามารถลงมาเกิดในศาสนาของพระศรีอาริยเมตตรัยแล้วนิพพานได้ในชาตินั้นๆ เลย (แต่พระอรหันตโพธิสัตว์ยังทำไม่ได้ เพราะมีบุญกรรมมาก ลงมาเกิดได้อรหันต์แล้ว ยังต้องจุติไปสุขาวดีเพื่อชำระกรรมต่อ)




    ๗) พระปัจเจกอรหันตโพธิสัตว์

    คือ พระอรหันต์ที่บรรลุธรรมได้ด้วยการสอนของพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไม่เอานิพพาน แต่ปรารถนาพุทธภูมิ จิตตรงต่อนิพพานคือนำพาสรรพสัตว์สู่นิพพานอย่างเดียว อย่างอื่นล้วนไม่ใช่ แต่ตนยอมก่อกรรม ก่อบุญ สืบชาติต่อภพต่อไป จึงเป็นโพธิสัตว์และบรรลุธรรมระดับอรหันต์ แต่จะมีวิถีความเป็นอยู่และดำเนินไปคล้ายพระปัจเจกพุทธเจ้า ความเป็นอยู่ของท่านนี้ จะคล้ายพระปัจเจกอรหันต์ แต่ต่างกันตรงที่ทำบุญทำกรรมต่อยอดสะสมบารมีต่อไปเพื่อพุทธภูมินั่นเอง ท่านจึงไม่คลุกคลีกับคนในสังคมมากแบบพระอรหันตโพธิสัตว์ชอบวิเวกปลีกเร้นกาย เผยแพร่ธรรมะราวกับท่านเหล่าจื้อที่ทิ้งธรรมแล้วหลบหายไปฉะนั้น ท่านจะมีวิธีโปรดสัตว์ในแบบตนเอง ที่จะทำให้เกิดบุญกรรมต่อยอดต่อไป แต่ไม่มากพอที่จะเป็นอรหันตโพธิสัตว์ ซึ่งจุติที่สุขาวดีสวรรค์ได้ จะจุติที่ดุสิตแทน ซึ่งผู้บำเพ็ญได้แบบนี้ มักจะได้เป็น “นิตยโพธิสัตว์” ที่จุติที่ดุสิต แล้วรอลงมาตรัสรู้ต่อไป




    การบำเพ็ญบารมีโดยมีสองดวงจิต

    คือ จิตหลักได้อรหันต์ ส่วนจิตรองจะเป็นจิต เทพ, พรหม, อสูร, มาร อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ จิตรองจะเป็นเทพประจำตัวคุ้มครองเราแต่อาจจะดื้อบ้างไม่เชื่อฟังเพราะมีสภาวธรรมต่างกัน แบบนี้ เป็นแบบปกติของคนยุคนี้ เมื่อบำเพ็ญแล้ว มีทางไปสองทางคือ




    ๑) นิพพาน คือ ต้องทำกรรมน้อยๆ รับกรรมมากๆ ชำระวิบากให้หมด จนเบื่อหน่ายกรรมอย่างเต็มที่ ก็จะพร้อมที่จะนิพพานได้ แบบนี้มีน้อย เพราะน้อยคนที่ไม่ทำกิจ รับวิบากกรรมอย่างเดียว แล้วจะนิพพานได้ในยุคนี้ ส่วนใหญ่จะต้องชำระกรรมด้วยการทำกิจโปรดสัตว์จำนวนมาก เพราะมีหนี้กรรมกับเจ้าหนี้มาก



    ๒) สุขาวดี คือ ต้องทำกรรมมากหน่อย เช่น สร้างสถานธรรม สร้างศาลเจ้า, โรงเจ ช่วยคนในมูลนิธิต่างๆ แบบนี้จะได้บุญเป็นอนันต์ได้กรรมอนันต์ด้วย เพราะที่มาของเงินในสมัยไม่ค่อยมีแบบบริสุทธิ์สักเท่าไร เงินก้อนใหญ่ ก็จะมีกรรมก้อนใหญ่ติดมาด้วย ใครบริจาคเป็นหลักแสนหลักล้านให้ระวัง เขาจะฟอกเงิน เอาเงินที่ได้จากธุรกิจผิดศีลธรรม มาทำบุญชดใช้กรรม อย่างนี้มีมาก อย่าได้หลงเชียว




    การบำเพ็ญบารมีแบบนี้ จิตหลักจะตรงต่อนิพพานมากแต่จิตรองจะไม่ตรงเลย จะขัดแย้งกัน ถ้าใครปัญญาไม่เท่าทันจิตรอง ก็จะหลงเพลิน เช่น ไปสร้างถาวรวัตถุมากมาย แล้วหลงเพลินคิดว่าตนก็ได้อรหันต์แน่ เพราะทำไปโดยไม่ยึด อันนี้ ให้ทราบเลยว่าโดนจิตรองหลอกเข้าให้แล้ว พลาดท่าเสียทีจิตรองเขาให้แล้ว ไม่ได้ฉลาดเท่าทันจิตรองของตน อย่าได้หลงเพลินคิดว่าจะนิพพานได้ด้วยอาการหลงไปเอง ไม่เชื่อฟังพระธรรมวินัยอย่างนั้น จากเดิมไม่มีศีลพรตปรามาส เพราะเคยถึงโสดาบัน เคยปฏิบัติเคร่งครัดดี พอได้อรหันต์แล้วหลงในความเป็นอรหันต์ว่าอรหันต์แล้วไม่ยึดติด คงไม่มีกรรมดอก อย่างนี้ ก็กลายเป็น “ศีลพรตปรามาส” เป็นศิษย์ของท่าน “สุภัททะ” ไม่ใช่ศิษย์ของพระพุทธเจ้า เพราะแปลงพันธุ์ กลายพันธุ์ไปโดยไม่รู้ตัว อย่างนี้ ไม่ต้องหวังนิพพาน สุขาวดีแน่นอน




    แต่ถ้าท่านใดเท่าทันจิตรองและคุมจิตรองได้ ก็มีโอกาสได้นิพพาน แต่เมื่อนิพพานจะมีสภาวธรรมเป็น “ปัจเจกอรหันต์” ไม่ได้ถึง “พระปัจเจกพุทธเจ้า” เพราะไม่ได้ตรัสรู้เอง และจะมีจิตรองเป็นพาหนะทรง ที่ต้องลงมาโปรดจนได้นิพพานตามตนเองไปในที่สุด




    การบำเพ็ญบารมีโดยมีดวงจิตมากกว่าสองดวงขึ้นไป

    คือ จิตหลักได้อรหันต์แล้ว จิตรองไม่ได้อรหันต์ ก็มี “วิริยะ” พยายามชำระปรกโปรดจิตรองต่อไป จนได้อรหันต์หรือหลุดพ้นอบายภูมิ จิตดวงต่อๆ ไปก็เข้ามาอาศัยร่างกายอีก ไม่สิ้นสุด ทำให้จิตเพิ่มขึ้นมากมายมากกว่า ๒ ดวง มีจิตหลักหนึ่งดวง นอกนั้นเป็นจิตรองๆ ไปทั้งหมด เมื่อถึงสภาวะนี้แล้ว จึงน่าจะเรียกว่า “จิตศูนย์กลาง” และ “จิตบริวาร” มากกว่าจิตหลักและจิตรอง เพราะมีจิตรองหลายดวง เหมือนดวงอาทิตย์มีบริวารเป็นดาวเคราะห์มากมาย สภาวธรรม ไม่เพียง หยินหยาง อีกต่อไป แต่พัฒนากลายเป็นเหมือนดังจักรวาลที่แผ่ขยายออกไปไม่มีที่สิ้นสุด การบำเพ็ญแบบนี้จะได้บุญกรรมน้อย ไม่อาจจุติที่สุขาวดีได้ แต่จะได้นิพพานเร็ว โดยจะนิพพานในยุคพระศรีอาร์ และได้จุติที่วิมานของพระศรีอาริยเมตตรัย ในสวรรค์ชั้นดุสิต ไม่ได้นิพพาน ไม่ได้สุขาวดี มีวิธีฝึกจิตดังต่อไปนี้




    ๑) การฝึกจิตหลักจิตรองแบบ “หยินหยาง” คือ การฝึกจิตให้ได้ดวงจิตเหลือเพียงดวงเดียว เอาดวงนั้นให้แจ้งในนิพพาน ก็จะบรรลุอรหันต์ แล้วเอาดวงจิตเพิ่มเข้ามาด้วยวิธี “รับขันธ์” แล้วแบ่งภาคจิตออกเป็นจิตวิญญาณอีกดวง หรือรับองค์ใน ซึ่งเป็นเทพประจำตัว ที่มาทั้งจิตและวิญญาณ ไม่ใช่วิญญาณขันธ์ แบบรับขันธ์

    ๒) การฝึกจิตแบบดาวเทพนพเคราะห์ คือ มีจิตศูนย์กลางเป็นอรหันตโพธิสัตว์ที่มีบารมีมาก และมีดวงจิตรองๆ ลงไปอีกมากมายนับไม่ถ้วน โปรดต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ให้ได้หลุดพ้นจากอบายภูมิขึ้นสุคติภูมิ หรือได้ธรรมตั้งแต้โสดาบันขึ้นไปยิ่งดี



    -จบ-



    อนุตรธรรม เรื่อง ความเข้าใจผิดของอนุตรธรรมในการกินเจ




    สถานธรรม ที่เรียกว่า “อนุตรธรรม” ทุกๆ แห่งจะเน้นเรื่องการกินเจ และอ้างว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทว่า หากท่านได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างชัดแจ้งดีแล้ว จะพบว่าการกินเจนี้ พระเทวทัต เคยได้ขอให้พระพุทธเจ้ากำหนดเหมือนกันว่าให้เป็นศีล ห้ามกินเนื้อสัตว์ แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงบัญญัติ เนื่องเพราะทรงต้องการให้พระสงฆ์อยู่ง่ายกินง่ายกินอาหารให้เหมือนชาวบ้านกิน ไม่เลือกมากเกินไป แล้วปลงก่อนกินเท่านั้นเอง คือ ไม่ได้เจาะจงว่าจะกินอะไรไม่กินอะไรให้มากเรื่อง มีอะไรกินก็กินๆ ผ่านไป เท่านั้น แต่ก็ทรงให้ละเว้นเนื้อบางชนิดไว้ เช่น เนื้อคน, เนื้อเสือ, เนื้อสุนัข เป็นต้น ซึ่งสิ่งนี้มีเหตุมาก่อน คือ หญิงคนหนึ่งได้เคยตัดเนื้อตนเองถวายแก่พระสงฆ์ที่อยากฉันเนื้อ ท่านไม่ต้องการให้พระสงฆ์เบียดเบียนผู้อื่นจึงได้ให้ละเว้นไว้ แต่ไม่ทรงบัญญัติเรื่องกินเจ การกินเจ ไม่ใช่การปฏิบัติแบบเถรตรงไม่มีนิกายในแบบดั้งเดิมในสมัยพุทธกาล แต่เป็นการปฏิบัติแบบมีนิกาย คือ นิกาย “มหายาน” ปฏิบัติเพื่อบำเพ็ญเมตตาบารมีนั่นเอง อันที่จริง การละเว้นเนื้อสัตว์ก็ดี แต่ไม่ควรกำหนดเป็นบทบัญญัติ เนื่องเพราะพระพุทธเจ้าเองก็ไม่ได้ทรงกำหนดไว้ให้ เราจะไปบัญญัติใหม่ขึ้นมาเอง ก็จะส่งผลให้เกิด “นิกาย” ใหม่ๆ กลายเป็นอนันตริยกรรม อนันตริยบุญ และยิ่งขวางการนิพพานต่อไป ใครจะละเว้นเนื้อสัตว์ก็แล้วแต่เขาไม่ว่ากัน ทำได้ แต่ไม่จำเป็นต้องบังคับหรือออกกฎว่าต้องให้ละเว้นเนื้อสัตว์ที่นอกเหนือไปจากที่พระพุทธเจ้าเคยกำหนด ไม่เช่นนั้น จะกลายเป็นลัทธิ, นิกายใหม่ ได้ในที่สุด




    ในการเผยแพร่ธรรมนั้น ผู้เผยแพร่ธรรมทุกคนจะได้รับการทดสอบ และแบบทดสอบหนึ่งนั้นคือ เรื่อง “นิกายใหม่” จะมีสิ่งต่างๆ มาดลใจให้ผู้เผยแพร่ธรรมสร้างนิกาย ลัทธิใหม่อยู่เสมอ ด้วยอาการต่างๆ เช่น ชุดแต่งกายที่แตกต่างไปจากเดิม (จีวรพระ) ก็ดี, การมีศีลข้อกำหนดใหม่ๆ ที่พระพุทธเจ้าไม่เคยบัญญัติไว้ก็ดี, การสร้างสัญลักษณ์เฉพาะแบบใหม่ก็ดี ฯลฯ เหล่านี้ เป็นเครื่องนำไปสู่การสร้างลัทธินิกายใหม่ทั้งสิ้น ซึ่งท่านผู้ดูแลการทดสอบนี้คือ “พระศรีอาริยเมตตรัย” ท่านเคยผ่านการเป็นเจ้าลัทธิ เจ้านิกาย เจ้าสำนัก มามากมาย ท่านเคยหลง และพบจุดจบที่หลงตัวเองเป็นเจ้าสำนักเจ้านิกายนั้น ต้องพบจุดจบที่อนาถ จนได้ละจากความเป็นเจ้านั้นเสีย จึงได้เป็นอาจารย์บนสวรรค์ ผู้ดูแลการเผยแพร่ธรรม และคอยดูว่าใครจะสอบผ่าน คือ การเผยแพร่ธรรมได้โดยไม่แตกแยกเป็นนิกายใหม่ ซึ่งน้อยมากที่จะสอบผ่านด่านนี้ได้ มักเผยสร้างลัทธิ นิกายใหม่ๆ ขึ้นเสมอ




    อนึ่ง การเผยแพร่ศาสนาไม่จำเป็นต้องมีลัทธิหรือนิกายใหม่เลย แม้การปฏิบัติจะไม่เน้นนิพพานก็ตาม ตัวอย่างเช่น พระมหากัจจายนะ, พระอชิตะ ทั้งสองรูปก็เชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ทั้งสองไม่เคยตั้งนิกายหรือลัทธิใดๆ ก็ปฏิบัติเป็นพระสงฆ์สาวกธรรมดาของพระพุทธเจ้าไป ไม่เกิดปัญหา ไม่เกิดความแตกต่าง ไม่เกิดความแตกแยก อยู่ร่วมกันได้เหมือนกันตามปกติ แต่ปัจจุบัน เรามักเผลอสร้างลัทธิและนิกายใหม่ๆ ขึ้นมา กำหนดรูปแบบใหม่ๆ ขึ้นมา และผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เกือบจะได้หลุดพ้นแล้ว กลับติดรูปแบบใหม่ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นเอง ทำให้ไม่ได้นิพพาน เพราะลัทธิหรือนิกายนั้นเป็นเครื่องขวางนิพพาน เป็นรูปแบบ เป็นกรอบ ให้ยึดตัวใหม่ๆ ไม่อาจทำให้นิพพานได้แท้จริง



    อันสิ่งใดๆ ทั้งหลายทั้งปวงที่พระพุทธองค์ ไม่เคยบัญญัตินั้น เราเป็นสาวก ไม่ควรที่จะไปตั้งตนเป็นเจ้ากำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ หลายแห่งก็ใช้การโฆษณาชวนเชื่อ เช่น ไปรับธรรม คำว่ารับธรรม คนทั่วไปก็ต้องคิดว่าคือ ธรรมะของพระพุทธเจ้า และคาดหวังว่าคงหมายถึงนิพพาน บางแห่งก็เอาคำว่านิพพานไปโฆษณาว่าได้นิพพานแน่ ถ้ามาศึกษาที่นั่นที่นี่ อย่างนี้ก็มี ถ้าไม่ได้นิพพานจริงตามที่ประกาศขึ้นมา ถามว่าใครรับผิดชอบ ก็ต้องทุกคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งครูผู้เผยแพร่ธรรม ทั้งลูกศิษย์ที่ช่วยกันโฆษณาชวนเชื่อทั้งหลาย อันนี้ บุญก็มีมาก แต่กรรมก็มากด้วย ส่งผลให้ตนเองนั้นไม่ได้นิพพาน แต่ได้เสวยสุขบนสวรรค์อันแสนนาน คือ สุขาวดี นั่นเอง อันสุขาวดีไม่เลวดอก แต่ไม่ใช่นิพพาน เราปฏิบัติเพื่อนิพพานกันไม่ใช่ดอกหรือ แล้วทำไมจึงไปติดกับอย่างอื่นที่ไม่ใช่นิพพานเล่า


    –จบ-
    ที่มา
    http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2010/01/09/entry-3/comment#read
     
  9. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    ยังอ่านไม่จบเรยค่ะ ยาววม๊ากๆ
    ขอบคุณมากๆนะค่ะ เป็นความรู้ที่ดียิ่งค่ะ ^^
    ขอให้มีความสุขยิ่งๆขึ้นไป ๆ นะค่ะ สุขสันต์วันแห่งความรัก

    โอม มณี เปง เม ฮง ^^ ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2010
  10. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    มหาธรรม เรื่อง วัชระตันตระ วิถีเข้าสู่ธรรมเร็วลัดแบบจอมยุทธ์




    ยานทั้งสามที่ถูกจำแนกตามหลักธรรมของลามะทิเบต คือ มหายาน เน้นบรรลุธรรมแบบรวดเร็วฉับพลัน เน้นเรื่องสุญตา จะอบรมอินทรีย์ห้าให้พร้อมก่อน ไม่มีการสอนธรรม เมื่อถึงวาระพร้อมก็ถ่ายทอดแบบจิตสู่จิตบรรลุทันทีไม่ทันเตรียมตัวเลย ยานต่อมาคือ ตันตระยาน ที่มุ่นเน้นมรรควิธีอันหลากหลาย เน้นวิธีการฝึกจิตแบบต่างๆ อันเหมาะสมกับจริตคนที่แตกต่างกันไป ทำให้โปรดสัตว์ได้มากขึ้น เพราะมหายานนั้น ช่วยคนได้น้อยคือเฉพาะคนที่มีบุญบารมีมากจริงๆ จึงจะบรรลุแบบฉับพลันได้ สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ล้วนต้องอาศัยมรรควิธีมาเป็นพื้นฐานก่อนทั้งสิ้น ดังนั้น ตันตระยานจึงเข้ามาเสริม, แก้จุดอ่อนของมหายาน ยานต่อมาคือ วัชระยาน ซึ่งเป็นยานที่ไม่อาจทำลายได้ เนื่องจากตันตระยานมีข้อเสียคือ คนมักไม่เข้าใจกลวิธีอันแยบคายนั้น และมักถูกต่อต้านได้ง่าย แต่เมื่อบำเพ็ญวัชระยานแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดทำลายได้อีก ในการบำเพ็ญนี้ จะต้องพบ, ผ่านอุปสรรคต่างๆ นานา เช่น การธุดงค์, การอพยพจากที่เดิม, การท่องยุทธจักร เป็นต้น ในบทความฉบับนี้ จะกล่าวคือ วัชระตันตระ อันเป็นวิถีผสมผสานของวัชระยานและตันตระยาน ดังนี้




    วัชระตันตระ ฝึกยุทธ์แล้วตะลุยโลกแห่งความเป็นจริง

    การบำเพ็ญธรรมแบบวัชระตันตระยาน คือ การอาศัยมรรควิธีของตันตระยาน ซึ่งง่ายและเหมาะสมกับคนหลายประเภท แตกต่างกันออกไป ทำให้โปรดคนได้จำนวนมาก ไม่แคบเหมือนมหายาน ผสมกับการใช้โลกแห่งความเป็นจริง เป็นเครื่องขัดเกลาเจียระไนบุคคลให้แข็งแกร่งประดุจเพชร คือ ใช้โลกแห่งความเป็นจริงนั้น เป็นโจทย์ในการฝึกจิตนั่นเอง โดยผู้ฝึกจะมาฝึกลมปราณก่อนเป็นพื้นฐาน (เริ่มจากตันตระยาน) เมื่อได้พื้นฐานแล้ว ก็ใช้ชีวิตจริงเป็นเครื่องขัดเกลาตน เป็นโจทย์ในการฝึกตน ผู้ฝึกปราณ จะพบปัญหาและอุปสรรคในชีวิตจริงมากมาย และนำเอาอุปสรรคเหล่านั้นมาเป็นเครื่องฝึกตน ทำให้ธรรมในตนพัฒนาก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ เหมาะสมกับการบำเพ็ญธรรมของฆราวาส เมื่อผู้ฝึกเกิดทุกข์ขึ้น กำลังหาทางหลุดพ้นจากทุกข์นั้น ชนิดที่หาทางแก้ในทางโลกไม่ได้แล้ว กำลังยอมจำนนในปัญหานั้นแล้ว ทุกข์อยู่ และอยากหลุดพ้นทุกข์ เชื่อแล้วว่าทุกข์มีจริง ที่เราไม่อาจเอาชนะได้ กำลังยอมจำนนอยู่นั้นเอง อาจารย์สามารถใช้วิธีทางมหายาน คือ ใช้ภาวะสุญตาช่วยในการบรรลุธรรมเสียก็ได้ แบบนี้ จึงเป็นการผสมผสานได้เหมาะสม




    การฝึกวัชระตันตระนั้นจะต้องทำอย่างไร

    ๑) การฝึกลมปราณพื้นฐานเป็นเครื่องพัฒนากายและจิตใจ (ขั้นตันตระ)

    ในขั้นนี้อาจารย์จะถ่ายทอดวิธีฝึกลมปราณแบบต่างๆ ให้ศิษย์เป็นพื้นฐาน เวลาทุกข์ หรือหมดแรงกายแรงใจก็สามารถดึงพลังลมปราณมาใช้ในการสู้ชีวิตต่อไปได้ ลมปราณที่ควรฝึกได้แก่ ลมปราณธรรมจักร, ลมปราณเก้าเอี๊ยง, ลมปราณไท่จี๋ (ไทเก๊ก) เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งจะผสมธรรมะของพระพุทธเจ้าไว้ เพื่อให้ตรงต่อนิโรธ เช่น ลมปราณธรรมจักร จะใช้เคล็ดการหมุนเหวี่ยงทิ้งไปสู่ความว่าง, ลมปราณเก้าเอี๊ยงจะใช้เคล็ด คือ หายใจเข้าเผาผลาญทุกข์ หายใจออกระบายทุกอย่างออกให้ว่างหมด, ลมปราณไท่จี๋ จะใช้เคล็ด คือ ย่อยสลายทุกสิ่งให้ไม่มีตัวตนของตน ไร้ตัวไร้ตน ไปสู่ความว่างเปล่า จึงตรงต่อนิโรธ




    ๒) การพบอุปสรรคในชีวิตแล้วนำมาพัฒนาจิตวิญญาณ (ขั้นวัชระ)

    ในขั้นนี้อาจารย์จะให้ลูกศิษย์พัฒนาธรรมไปสู่ขั้นปฏิเวธด้วย ควบคู่กับการปฏิบัติ คือ ให้นำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง ในขั้นตอนนี้ อินทรีย์ห้าของศิษย์จะพัฒนาขึ้น และจิตวิญญาณก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปด้วย บุญบารมีก็เพิ่มพูนขึ้นด้วยเป็นลำดับไป




    ๓) การพบทางตันพบทุกข์จนยอมจำนนและพร้อมบรรลุธรรม (ขั้นมหายาน)
    เมื่อศิษย์พัฒนาตนเองโดยการเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง เอาการงานเป็นเครื่องพัฒนาจิตใจแล้ว ทำให้อินทรีย์ห้าแข็งแกร่งขึ้น, จิตวิญญาณพัฒนาขึ้น, จนถึงที่สุด ศิษย์อับจนหนทาง, พบทุกข์, ยอมจำนนแล้ว ก็ใช้การถ่ายทอดธรรมแบบจิตสูจิตจนบรรลุ

    –จบ-


    มหายาน เรื่อง การฝึกลมปราณพัฒนาจิตวิญญาณได้อย่างไร




    ลมปราณกับจิตวิญญาณ (หรือกายทิพย์) นั้นสัมพันธ์กัน ลมปราณชนิดเทพก็อยู่ในกายทิพย์เทพ, ลมปราณชนิดอสูรก็อยู่ในกายทิพย์อสูร ในสังขารมนุษย์นั้น มีกายทิพย์หลายกาย หลายชนิดซ้อนๆ กันอยู่ สังขารมนุษย์จึงมีลมปราณอยู่หลายชนิด การฝึกลมปราณ จึงเป็นการพัฒนาจิตวิญญาณ กล่าวคือ เมื่อลมปราณเปลี่ยนแปลง เช่น จากดำเป็นขาว ก็ส่งผลให้กายทิพย์เปลี่ยนแปลงได้ ก่อนกายทิพย์จะเปลี่ยนได้นั้นกายทิพย์เดิมจะสลายก่อน เรียกว่า “จิตวิญญาณสลาย” หรือ การ “ตายก่อนตาย” คือ จิตวิญญาณตาย แต่กายสังขารยังอยู่ คนจะไม่เป็นอะไร แต่จิตวิญญาณเปลี่ยนแปลง คิดและทำสิ่งใหม่ๆ เป็นต้น จากนั้น กายทิพย์หรือจิตวิญญาณใหม่จะเกิดขึ้น คือ เกิดแบบ “โอปปาติกะ” คือ กำเนิดเองโดยไม่ต้องจุติลงในครรภ์มารดา เป็นลักษณะเดียวกับการเกิดของพระพุทธเจ้า จากสังขารเจ้าชายสิทธัตถะ (ส่วนเจ้าชายสิทธัตถะกำเนิดจากครรภ์มารดา) ด้วย ลมปราณเป็นพื้นฐานของจิตวิญญาณ จึงเป็นพื้นฐานของการพัฒนาจิตวิญญาณ ดังจะอธิบายนี้




    ลมปราณกลุ่มที่มีวิวัฒนาการสูง

    เป็นลมปราณที่มีเฉพาะจิตวิญญาณขั้นสูง เช่น ลมปราณธรรมจักร, ลมปราณไท่จี๋ เป็นต้น การฝึกลมปราณแบบนี้ จะไม่มีทางสำเร็จ ถ้ามีจิตวิญญาณชั้นต่ำ แต่เมื่อใดก็ตามที่อดทน และยอมฝึกจนจิตวิญญาณภายในสลาย เกิดใหม่ เป็นจิตวิญญาณขั้นสูง ก็นับว่าสำเร็จได้ การฝึกลมปราณนั้น ไม่ได้มีเป้าหมายไปที่กายสังขาร กล่าวคือ ไม่ได้เน้นไปที่ให้กายนั้น เหาะได้ เก่งวรยุทธ์ก็หาไม่ เพราะแบบนั้นทำให้หลงทาง นักพรตเต๋าโบราณฝึกลมปราณ ก็เพื่อการบรรลุธรรม แต่ภายหลังลูกศิษย์ ไม่อาจบรรลุธรรมได้ จึงนำการฝึกลมปราณไปสนองประโยชน์ทางโลกแทน เช่น เพิ่มพูนอิทธิฤทธิ์ เพิ่มกำลังภายใน แล้วใช้ลมปราณประหัตประหารกัน อย่างนี้ไม่ตรงทาง ในการฝึกลมปราณที่จะกล่าวต่อไปนี้ ไม่มุ่งเน้นให้เกิดอิทธิฤทธิ์ทางกายเนื้อ ซึ่งจะใช้การฝึกเร็วลัดสั้นกว่าเพราะมุ่งตรงสู่การบรรลุธรรมเป็นสำคัญ โดยจะใช้ลมปราณสลายกายทิพย์ ให้เกิดใหม่ จนจิตวิญญาณดีขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง




    ลมปราณเก้าเอี๊ยง

    สามารถพัฒนาจิตวิญญาณชั้นต่ำให้ขึ้นชั้นเทพได้ ทำให้จิตวิญญาณเป็นเทพ หรือสำเร็จการฝึกลมปราณเก้าเอี๊ยงในชั้นเทพนั่นเอง จากนั้น หากพัฒนาต่อไปก็ถึงชั้นโพธิสัตว์ ซึ่งสูงขึ้นไปอีก เมื่อพัฒนาต่อไปอีกก็ถึงชั้นยูไล คือ สำเร็จยูไลได้ด้วยการฝึกเก้าเอี๊ยงก็ได้ ทำให้มีพลังภายในมาก เป็นพลังสายร้อน ดังนั้น ลมปราณนี้จึงฝึกง่ายเหมาะกับทุกคน

    ลมปราณไท่จี๋

    สามารถพัฒนาจิตวิญญาณชั้นกลางให้ขึ้นชั้นเซียนได้ ข้อดีคือ ช่วยได้ทั้งมารและเทพ คือ ฝึกได้ทั้งสายดำและขาว แต่ต้องมีบุญบารมีมากหน่อย คือ ถ้าจิตวิญญาณอยู่ระดับอบายภูมิสี่ไม่อาจฝึกได้ (แต่เก้าเอี๊ยงฝึกได้ แม้นอนป่วยทรมานเหมือนตกนรกอยู่ก็ฝึกได้) การฝึกไท่จี๋ทำให้บรรลุอย่างต่ำเซียน อย่างกลางโพธิสัตว์ และสูงสุดคือพระยูไล

    ลมปราณธรรมจักร

    สามารถพัฒนาจิตวิญญาณชั้นสูงให้ขึ้นขั้นมหาโพธิสัตว์ได้ สูงสุดคือยูไล ข้อดีคือรวดเร็ว กว่าการฝึกแบบอื่น พลังธรรมจักรรุนแรงและรวดเร็ว สำเร็จเร็ว บรรลุเร็วแต่อันตรายในคนที่อินทรีย์อ่อน จึงเหมาะสมกับคนที่มีบุญบารมีมากพอควร โดยเฉพาะคนที่จุติมาจากชั้นสุขาวดี ลมปราณชนิดนี้ จึงเหมาะสมกับคนที่มีบารมี จึงโปรดคนได้น้อยกว่าชนิดอื่น



    การฝึกลมปราณทุกชนิด มุ่งเน้นไปที่สลายกายทิพย์ภายใน ให้เกิดใหม่ เป็นเคล็ดลับการฝึกจิต บำเพ็ญธรรมแบบ “ไหมฟ้าปาฏิหาริย์” คือ ใช้การลอกคราบเปลี่ยนกายทิพย์ใหม่ไปเรื่อยๆ บารมีก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวตาย แต่ก็ควรรู้จักการพอประมาณ คือ ไม่สลายกายทิพย์ให้มากเกินไป จะทำให้ล้นเกินกำลังสังขารจะรับได้ และอาจส่งผลให้ป่วยตายได้ อนึ่ง จิตวิญญาณทั้งหลายมีที่สุดแห่งชาติ คือ ชรา, มรณะ การทำให้จิตวิญญาณภายในตนเองไปถึงที่สุดแห่งชาติ ไปสู่ชราและมรณะ เพื่อตายก่อนตาย จึงเป็นการทำให้หลุดพ้นจากชาติ ให้สุดชาติ ให้จบชาติ สิ้นชาติ พ้นการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง

    -จบ-


    มหาธรรม เรื่อง การดึงจิตวิญญาณเข้าออกและสลับจิตวิญญาณ




    จิตในกายสังขารของคนมีมากกว่าหนึ่งดวง แตกต่างจากเทวดาที่จะมีจิตเพียงดวงเดียว ในคนมีจิตหลักๆ ๑ ดวงประจำกายสังขาร จึงเรียกว่าจิตสังขาร จิตดวงนี้จุติเข้าออกจากร่างกายไม่ได้ ถ้าจุติออกจากตำแหน่งเดิมเมื่อไรจะตายทันที ตำแหน่งที่จิตดวงนี้อยู่คือดวงแก้วธรรมกายประจำกายทิพย์นั่นเอง ส่วนจิตดวงอื่นๆ จะประสานเข้ากับวิญญาณขันธ์ เรียกว่า “จิตวิญญาณ” โดยจิตวิญญาณนี้ จะประสานเข้ากับการสังขารของเราอีกที หรือจรจุติออกไปทำกิจในโลกทิพย์ก็ได้ ที่เราเรียกว่า “มโมยิทธิ” ซึ่งหากจิตวิญญาณจรออกไปทั้งจิตวิญญาณ ไม่ได้ถอดกายทิพย์ไป จะถือเป็นมโนมยิทธิขั้นกลาง มีกำลังมาก ทำกิจได้มากกว่าการถอดกายทิพย์ไปเฉยๆ เพราะมีจิตตัวรับรู้ไปด้วย ดังจะเล่าต่อไปนี้




    จิตวิญญาณซึ่งไม่ใช่จิตหลัก ซึ่งไม่ใช่จิตสังขารนี้ จะจรจุติไปมาในโลกทิพย์ก็ดี ทั้งยังสามารถแทรกเข้าในกายสังขารผู้อื่นได้ด้วย ในคนที่มีจิตหลักเป็นอวโลกิเตศวร จะมีจิตวิญญาณบริวารเป็นกุมารมากมาย กุมารเหล่านี้ จะแทรกเข้ากายสังขารของผู้คน แล้วคุมร่างกายมาหาอวโลกิเตศวรนั้น คนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยสามารถยอมรับนับถือกันได้เหมือนพ่อแม่ทีเดียว คือ ชาวบ้านคนใด หากถูกกุมารแทรก กุมารอาจคุมกายไปหาเจ้านายของเขา ซึ่งอาจเป็นพระที่มีจิตสังขารเป็นอวโลกิเตศวร นั่งทำน้ำมนต์ เรียกลูกๆ อยู่ก็ได้ เมื่อชาวบ้านเข้าไปก็เหมือนเด็ก พึ่งพาตนเองไม่ได้ เรียกหลวงพ่อๆ ช่วยหนูหน่อยเรื่อยไป อย่างนี้ มีเกิดขึ้นบ่อยๆ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเพราะเป็นธรรมดาของสัตว์สังคมที่ต้องมีจ่าฝูง แต่ไม่ใช่เรื่องดีที่ควรหลงแต่อย่างใด เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจและยอมรับความจริง




    จิตวิญญาณบริวารบางอย่างแรงมาก เช่น จิตวิญญาณที่เป็นสัตว์นรก เป็นบริวารขององค์กษิติครรภ์ พวกเขาจะขึ้นมาจากนรกได้ด้วยบารมีของพระกษิติครรภ์ เมื่อผู้ใดบำเพ็ญบารมีได้กษิติครรภ์แล้ว พวกเขาจะได้รับการปลดปล่อยให้ขึ้นมา สัตว์นรกจะแทรกเข้ากายสังขารของมนุษย์ และนำพาโรคภัยต่างๆ มาให้แก่มนุษย์ ทำให้มนุษย์ต้องทรมานด้วยโรคต่างๆ ไม่ต่างจากสัตว์นรกที่ถูกทัณฑ์ทรมาน เมื่อนั้น พวกเขาจะหาที่พึ่งทางใจ ก็จะไปหาคนที่มีจิตเป็นกษิติครรภ์ในที่สุด สำหรับจิตวิญญาณที่นำโรคภัยมานี้ แก้ไม่ยาก แต่ไม่ได้หมายถึงจะหายจากโรคนะ เพราะคนเราทุกคนมีกรรมต้องรับทั้งนั้น โรคมีได้ แต่ไม่จำเป็นต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับสัตว์นรก โรคมีก็มีไป แต่ชีวิตก็ดำเนินอยู่ได้เหมือนปกติ โดยเราโปรดจิตวิญญาณดวงนี้ ให้พ้นนรก คือ การถือศีล และทำบุญอุทิศให้เขา




    ในพระลามะ จะมีดวงจิตมากมายจรไปมาในกายสังขารของท่าน เมื่อท่านละสังขาร ถ้าเป็นพระลามะองค์สำคัญ จิตดวงสุดท้ายจะจรไปจุติเป็นเด็กใหม่ (สำหรับท่านที่ฝึกวิชชาเฒ่าทารก) พวกลามะด้วยกันจะตามหาว่าจิตวิญญาณดวงนั้นไปเกิดเป็นใคร ก็สามารถตามพบได้ แท้แล้ว จิตวิญญาณนั้น จรจุติออกทั้งก่อนตายและเมื่อตายแล้ว ดังนั้น ลามะ บางท่านโปรดจิตวิญญาณของตนบางดวงแล้ว จิตดวงนั้นจรจุติไปเป็นคนก่อน ทั้งๆ ที่ท่านยังไม่ตาย ทำให้มีกายสังขารมากกว่าหนึ่งกาย จากนั้น จิตดวงอื่นๆ ยังจรจุติไปมาระหว่างกายสังขารทั้งสองกายได้อีกด้วย คือ สลับจิตวิญญาณไปมานั่นเอง แต่ปกติไม่ค่อยทำกัน นอกจากมีความจำเป็นจริงๆ สิ่งนี้เกิดได้ในลามะที่ฝึกวิชชาขั้นสูงขึ้นไปอีก ท่านจะให้จิตบางดวงของท่านไปเกิดเป็นคนใหม่ มีกายสังขารรอไว้ก่อน แล้วโปรดจิตวิญญาณอีกดวงให้มีปัญญามากๆ จรจุติเข้าไปเสริมอีก ก่อนที่จะละสังขาร ก็จะสามารถถ่ายทอดกิจสำคัญต่างๆ ให้เด็กคนนั้นได้ เช่นนี้ สายธรรมของท่านก็ไม่ขาดสายไป



    ในพระลามะที่มีวิชชาสายตันตระที่สูงมากๆ ทำได้ถึงขนาด สลับปรับเปลี่ยนจิตวิญญาณในกายสังขารของคนอื่นๆ เช่น พระราชาที่โหดร้าย สามารถถูกวิชชาสลับจิตวิญญาณทำให้กลายเป็นคนใหม่ได้ อนึ่ง ผลจากการทำสิ่งนี้ ทำให้เกิดกรรมมาก พระลามะที่มีวิชชานี้จะไม่ค่อยนิยมทำกัน นอกจากจำเป็นจริงๆ และจะเก็บวิชชานี้ไว้เป็น “วิชชาลับ” ด้วย ที่เขียนไว้เพื่อเตือนท่านว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดมีอยู่จริง ขอไม่เล่ามากเกินไปมากกว่านี้

    –จบ-


    มหาธรรม เรื่อง การโปรดสัตว์ของผู้มีบุญบารมีไม่จำเป็นต้องทำอะไร




    ผู้มีบุญบารมีไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าจักรพรรดิ ไม่จำเป็นต้องมีพระสังฆราช ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย เขาเพียงทำให้จิตวิญญาณภายในของเขาคงสภาพที่เหมาะสมก็พอแล้ว เช่น ให้จิตวิญญาณชั้นนอกสุดของเขาคงสภาพอยู่ที่กายเมตตรัยโพธิสัตว์เท่านี้ กรรมก็จะดึงเหล่าเทพลงมาช่วยเหลือทำกิจต่างๆ เอง แต่ถ้าวันใดการปฏิบัติธรรมของเขาย่อหย่อนลง มีจิตวิญญาณดวงอื่นมาครอบทับภายนอกสุดได้ เช่น กุมารเข้ามาแทรกแล้วกลายเป็นกายทิพย์ชั้นนอกสุด พลังในการดึงเทพเข้ามาช่วยประเทศก็จะลดลงทันที ทำให้เกิดระลอกกรรมของกุมารแทน (วิบากกรรมจะเข้ามาตามกายทิพย์ชั้นนอกสุด)




    เหตุที่ผู้มีบุญบารมีไม่ต้องทำอะไรนั้น เพราะท่านทำมามากแล้ว มีบุญบารมีมากแล้ว และถ้าทำไปอีก บริวารจะไม่มีบุญบารมีมากพอที่จะเอื้อมถึงท่านและท่านจะต้องห่างไกลจากบริวาร ทำให้โดเดี่ยว ไม่สามารถทำกิจได้ เพราะขาดทีมงาน ดังนั้น งานของท่านคือการอยู่เฉยๆ แล้วรักษาธรรมภายในไว้ให้คงที่ก็พอ พยายามไม่ให้ศัตรูทางโลกทิพย์ นำพาจิตวิญญาณดวงอื่นๆ เข้ามาแทรกเข้า ทับสวมรอย หรือครอบขันธ์ของท่านได้ก็พอ แค่นี้ ท่านก็มีพลังบุญบารมีดึงเอาจิตวิญญาณที่เป็นบริวารในโลกทิพย์มากมายเข้ามาช่วยโลกแล้ว หากผู้มีบุญบารมีผู้นั้นคิดจะทำอะไรมากไป ก็จะถูกขัดขวาง ยิ่งช่วย คนที่ช่วยยิ่งถูกทำร้ายจากเจ้ากรรมนายเวร เพราะพวกเขามีกรรมอยู่ ต้องรับนั่นเอง นอกจากนี้ ผู้ให้การช่วยเหลือก็จะโดนเล่นงานไปด้วย เพราะฝืนธรรมชาติของการบำเพ็ญ จะทำสำเร็จไม่ได้เลย ถ้าสำเร็จเป็นบุญบารมี ก็ไกลจากบริวารทั้งหลายไปอีก ดังนั้น จึงอยู่เฉยๆ ก็พอ




    มีคำทำนายของพระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า “พระศรีอาริยเมตตรัย จะทรงกระทำ โดยไม่กระทำ” นี่คือ คำอธิบายว่าทำไมท่านต้องไม่ทำอะไร ทำอะไรไม่ได้ จะต้องไม่กระทำ เพราะเหตุนี้เอง ยิ่งท่านทำ ท่านยิ่งโดดเดี่ยว ไม่มีใครเอื้อมถึงท่านได้เลย ถ้าท่านทำดี ท่านสูงขึ้น บริวารเอื้อมไม่ถึง ถ้าท่านทำเลว กรรมเลวดึงท่านต่ำลง ท่านก็จะดึงบริวารในภพภูมิต่ำๆ ขึ้นมา โลกก็มีภัยอีก ดังนั้น ท่านจึงทำเพียงชำระธรรมภายในของตนเองให้คงที่เป็นอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ให้ถูกอะไรครอบหรือแทรกเข้ามาได้ เพียงเท่านั้นเอง



    ในประเทศไทยนั้นมีระลอกกรรมต่างๆ เข้ามาอยู่มากมาย ให้ท่านสังเกตดู บางช่วงโรคระบาดจะเข้ามา คนจะป่วยกันจำนวนมาก ให้ทราบว่าอาจมีผู้มีบุญบารมี บำเพ็ญบารมีได้กายทิพย์กษิติครรภ์อยู่ชั้นนอกสุด ทำให้บริวารต้องเสวยวิบากกรรมเช่นนั้น แต่บางช่วง โรคระบาดก็หายไปเสียเฉยๆ เสียอย่างนั้น อนึ่ง สัตว์ทั้งสามภพนี้เท่าเทียมกันและสมควรได้รับการโปรดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์นรก หรือเทพเทวดา แต่จิตวิญญาณแต่ละดวงมีกิจมีหน้าที่ของตน บางครั้ง จิตของพระศรีอาริยเมตตรัย ถูกจิตของพระกษิติครรภ์ครอบไว้ ให้บำเพ็ญเป็นกษิติครรภ์ ช่วยบริวารขององค์กษิติครรภ์ก็มี เรียกว่าหลอกใช้งานกันดื้อๆ เลยก็มี ในโลกทิพย์นั้นก็มีแต่ผี ขึ้นชื่อว่าผีไม่ว่าอยู่สวรรค์ชั้นไหน ก็หลอกเก่งทั้งนั้น ผีชั้นต่ำรูปร่างน่าเกลียดอาจหลอกให้ตกใจกลัว แต่ผีชั้นสูงอยู่สวรรค์ชั้นบน ก็หลอกใช้งานมนุษย์ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่งาน ไม่ใช่กิจของมนุษย์เลย แต่ท่านทั้งหลายนั้นก็อ้างว่าเป็นเพราะกรรมของมนุษย์เอง (ซึ่งก็ใช่) ที่ต้องถูกหลอกให้ไปทำกิจชดใช้กรรม ชำระอย่างไม่ใช่ตนเองอย่างนั้น มีคนทรงมากมาย ถูกครอบ ถูกหลอก ให้คิดว่าตนเองเป็นนั่นเป็นนี่ เช่น เป็นพระอดีตราชาที่ยิ่งใหญ่ เป็นต้น ล้วนถูกหลอกทั้งสิ้น การเสวยวิบากกรรมนั้น เราไม่จำเป็นต้องเสวยไปตลอดทั้งชีวิต กรรมแต่ละอย่าง เราเสวยแบบผ่อนส่งก็ได้ คือ ชาตินี้เราเกิดมามีอายุขัยไม่ถึงร้อยปี เขารับกรรมบางส่วนแล้ว เจรจากับเจ้ากรรมนายเวร ว่าเราสำนึกผิดแล้ว ขอรับวิบากกรรมเท่านี้ก่อน เพื่อผ่อนชำระชดใช้กรรมให้กับเจ้ากรรมนายเวรท่านอื่นๆ บ้าง ก็สามารถทำได้ ดังนั้น เราควรรู้ประมาณตน ว่าอะไรที่พอดี กลางกับตน ไม่มากไม่น้อยไปสำหรับตน ไม่ใช่ถูกผีหลอกให้รับวิบากกรรมหนึ่งๆ ไปทั้งชาติ อย่างนี้ก็ไม่ได้ทำกิจอันควรทำของตนแล้วต้องนั่งนอนทรมาทรกรรม กับวิบากกรรมต่างๆ ที่เขาอัดเข้าใส่เราไม่จบไม่สิ้นได้ อันนี้เราต้องฉลาดในการผ่อนชำระรับกรรมด้วย

    –จบ-

    ที่มา
    http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2010/01/04/entry-2
     
  11. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    อนุตรธรรม “ยุคพลังงานใหม่” เมื่อจิตวิญญาณเข้าแย่งกายสังขารมนุษย์




    จิตดวงแรกที่จุติในกายสังขารของเรา จะเรียกว่า “จุติจิต” และจิตดวงนี้ จะมีดวงแก้วธรรมกายคุ้มกันอยู่ จะอยู่ชั้นในสุดของจิตทุกดวง ลึกที่สุด เป็น “จิตเดิมแท้” ของเรา จากนั้น จิตดวงอื่นๆ จะเข้ามาร่วมเสริมในกายสังขารของเรา ทำให้เรามีจิตมากขึ้นในภายหลัง เคยสังเกตตนเองบ้างหรือไม่ว่าเรามีอะไรเพิ่มขึ้น เหมือนเป็นคนอีกคน คนใหม่ ความคิดความรู้สึกใหม่ๆ เข้ามาในตัวเรา บางคน เคยใสซื่อ แต่ต่อมาก็เปลี่ยนไป เขาเองก็รู้ตัวว่าตนเองเปลี่ยนไป ถามว่าความคิดความรู้สึกเดิมของเขาหายไปหรือ หรือหายไปไหน ความจริงแล้ว ไม่ได้หายไปไหนเลย เขาก็ยังสัมผัสรู้สึกได้ว่าเขาคนเดิมก็มีอยู่ในส่วนลึกที่สุด คนที่ใสซื่อไม่ได้หายไปไหน แต่ถูกเก็บกดเอาไว้ในส่วนลึกสุด คนส่วนใหญ่ ลึกๆ แล้วเป็นคนใสซื่อเหมือนเด็ก แต่เปลือกนอกกลับไม่ใสซื่อเพื่อปกปิด และปกป้องตนเองไว้จากภัยต่างๆ เรารู้สึกถึงความแตกต่างภายในของเราเช่นนี้บ้างหรือไม่ นั่นแหละ คือ ลักษณะธรรมชาติ ของการมีจิตวิญญาณหลายดวง ซ้อนกันอยู่ในกายสังขาร โดยจิตวิญญาณที่ลึกที่สุด คือ จิตที่ดีงาม มีความใสซื่อ และยังเหมือนเราคนเดิมเมื่อยังเด็ก




    ปกติแล้ว จิตวิญญาณทุกดวงมีพลังดวงแก้วคุ้มกายทิพย์ตนเองทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อเพ่งดูด้วยหลักวิชชาธรรมกาย จะเห็นดวงแก้วธรรมกายก่อน เมื่อเพ่งลึกเข้าไปจะเห็นกายทิพย์ เมื่อเพ่งเข้าไปในกายทิพย์นั้นอีก จะเห็นดวงแก้วอีกดวง เพ่งเข้าไปอีก ก็เห็นกายอีกกาย ซ้อนกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เท่ากับจำนวนจิตวิญญาณที่ตนมี ถ้ามี ๕ ดวง ก็จะมี ๕ กายซ้อนกันอยู่ แต่ละท่านไม่เท่ากัน แม้ท่านเดียวกันก็ไม่เท่าเดิมในแต่ละช่วงเวลา เมื่อเด็กจะมีจิตวิญญาณน้อย จึงใสซื่อและไม่ซับซ้อน เมื่อโตขึ้นจะมีจิตมากขึ้น ก็จะมีความคิดซับซ้อนมากขึ้น ไม่ใสซื่อเท่าเดิม และเมื่อใกล้ตาย จิตวิญญาณจะลดลงไปเรื่อยๆ จนเหลือจิตดวงเดียวในกายสังขาร ก็จะ “ชะตาขาด” และเตรียมตัวเตรียมใจละสังขารได้ ถ้ามีกำลังจิตมาก อาจได้จิตวิญญาณเพิ่มเติมขึ้นหลังชะตาขาด ทำให้จิตเพิ่มขึ้นเป็นสองดวงได้ ก็จะต่ออายุขัยยาวออกไปได้ จิตดวงแรกคือ “จิตหลักหรือจิตสังขาร” จะประจำอยู่ในกายสังขารออกไปไม่ได้ ถ้าจุติออกไปจะนับว่า “ตาย” ทันที ส่วนจิตรองจะจุติออกไปได้ ด้วย “มโนมยิทธิ” ถ้ามโนมยิทธิมีกำลังน้อย จะแบ่งพลังบางส่วนไปเป็นรูปกายทิพย์ ที่เราเรียกภาษาง่ายๆ ว่า “ถอดกายทิพย์” แต่ถ้ามโนมยิทธิมีกำลังมาก ก็จะเอาทั้งจิตวิญญาณออกไปได้ด้วย เรียกว่า “เจตภูต” คือ มีจิต มีความรู้สึกนึกคิดได้เอง ไม่ต้องถูกจิตอื่นบงการหรือสั่งการ มีสถานะเป็นเหมือน “เทพประจำตัว” หรือที่เรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่า “องค์ใน” ซึ่งอาจมีมากมายหลายองค์ แรกๆ ที่จิตมีสองดวง ก็จะมีเทพประจำตัวหนึ่งองค์ (จิตอีกดวงเป็นเราเอง) หากบำเพ็ญบารมีไปเรื่อยๆ มีจิตวิญญาณมาอาศัยอยู่ในกายสังขารเรา เราโปรดเขาให้หลุดพ้นจากอบายภูมิได้ จนเขามีกายทิพย์เป็นเทพเทวดา ก็จะกลายเป็น “เทพประจำตัว” โดยสมฐานะ แต่ถ้ายังเป็นอสูร เป็นปีศาจอยู่ ก็ยังไม่เรียกว่าเป็นเทพประจำตัวได้เต็มปากเต็มคำ จะเรียกแค่ว่า “เจตภูต” ก็พอ




    คนเราสามารถถูกสลับจิตวิญญาณกันได้ ถ้าจิตสังขารถูกสลับออกจากดวงแก้วธรรมกายชั้นในสุด จะนับว่า “ตาย” ทันที แต่กายสังขารอาจยังมีชีวิตอยู่ได้ด้วยจิตดวงอื่นเข้าไปอยู่ในดวงแก้วธรรมกายดวงนั้นแทน คนหลายคนเป็นแบบนี้ได้ คือ เหล่าคนที่มีอดีตชาติบำเพ็ญบารมีมาถึงขั้น “สละชีพเพื่อคนอื่น” เช่น ทหารมากมายที่ยอมสละชีพเพื่อชาติ เมื่อมาเกิดเป็นคน รอยกรรมเมื่อเคยตายมาถึง ก็จะตายในลักษณะนี้แทนการตายจริงๆ คือ กายสังขารยังมีลมหายใจอยู่ แพทย์ยังไม่เห็นว่าตายตรงไหน แต่จิตวิญญาณของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เช่น เด็กที่ชอบเล่นเกมมากๆ เพราะอดีตชาติเป็นทหารรบเพื่อชาติมา ติดนิสัยต่อสู้ในเกม เมื่อเดินรอยกรรมซ้ำรอยเกวียนถึงจุดหนึ่ง จะถึงวาระ “ตาย” ก็จะมีจิตวิญญาณเข้ามาเปลี่ยนไปประจำเป็นจิตสังขารแทน ส่วนจิตสังขารเดิมจะจุติออก บ้างออกจากร่างไปเลย บ้างก็ออกมาเป็นจิตรองแทน เมื่อถึงจุดนี้ บัญชีสวรรค์จะลงบันทึกว่าตายแล้ว และได้บุญบารมีเก่ามาต่ออายุขัย ทำให้ดำรงชีวิตได้เหมือนคนปกติต่อไป แต่อาจมีนิสัยเปลี่ยนไปเหมือนคนละคนเช่นเคยติดเกม กลายเป็นคนธรรมะ ธรรมโม ไปเลย




    สิ่งที่กล่าวนี้ กำลังเริ่มเกิดขึ้นทีละน้อยๆ ทว่า หลายท่านยังจับสังเกตไม่ได้ แต่มันคือกระบวนการอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติบางอย่าง พลังงานเก่า (จิตวิญญาณดวงเก่า) ถูกชำระกรรมออกไปตามกรรมนั้น และพลังงานใหม่ (จิตวิญญาณดวงใหม่) เข้ามาอยู่ในกายสังขารของเขาแทน ที่เรียกว่า “มนุษย์ยุคพลังงานใหม่” นั่นเอง การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นชัดขึ้นๆ ในภายหลัง ในอีกไม่นานนี้ แล้ววันหนึ่ง ท่านผู้อ่านจะสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า และ “อ๋อ” ขึ้นมาทันที ที่ได้เห็นใครคนหนึ่ง เปลี่ยนแปลงไป ราวกับคนละคน เหมือนไม่ใช่คนเดิม ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นพอจะอธิบายได้ คนเราอยู่ๆ จะเปลี่ยนแปลงไปได้จากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างนั้นเชียวหรือ แต่มันจะเกิดขึ้นจริงๆ ท่านรอเวลานั้น ไม่นานนัก เพราะคนจำนวนมากที่ลงมาเกิดนี้ ได้ทำบุญบารมีไว้มาก ถ้าไม่มาก ไม่ได้มาเกิด บุญบารมีที่เขาทำคือ “พลีชีพเพื่อชาติ” เป็นทหารในยุคต่างๆ เช่น ยุคพระนเรศวร, ยุคพระเจ้าตากสิน, ยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ฯลฯ มากมาย พวกเขาทำสงครามด้วยจิตที่ไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรมก็จะกลายเป็น “อสูร” หากทำด้วยจิตที่เคียดแค้นคนเลว ทำลายคนเลวเพื่อผดุงความดี ก็จะเป็น “จิตมาร” แต่ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ไม่ใช่คนเลวร้าย เขาทำคุณงามความดีมา แต่จิตไม่ได้ฝึกให้ตรงนิพพาน จะแตกต่างไปจากพระอรหันต์ก็เป็นธรรมดา ไม่ผิดแต่อย่างใด ดังนั้น เทพ, พรหม, มาร, อสูร จึงมาพร้อมหน้ากันครบดังกล่าว มีแต่ท่านที่มีฤทธิ์มีเดช มีบุญบารมีมาทั้งนั้น ไม่ใช่ลูกกระจอก ไม่ใช่ยุคของสาวก, ยุคของผู้น้อย, ยุคของข้าทาสบริวารอีกต่อไป ดังนั้น มนุษย์ยุคนี้จึงไม่ค่อยเชื่อใคร ไม่ศรัทธาใครจริง ไม่ค่อยนับถือหรือฟังกัน แต่ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ขอให้เชื่อเถิดว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า” มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จะต้องมี “จ่าฝูง” ของมัน วันหนึ่งข้างหน้า บรรดาจ่าฝูงทั้งหลาย ก็จะมารวบรวมไพล่พล บริวารของตนเป็นกลุ่มก้อนองค์กร และดำเนินชีวิตไปตามธรรมชาติที่ควรจะเป็นต่อไป




    จิตวิญญาณเทพ, พรหม, อสูร, มาร เข้ามาแย่งกายสังขารมนุษย์ได้อย่างไร

    เบื้องบนจะจัดสรรดวงจิตที่มารับบุญก่อน จิตที่จุติมาแรกๆ จะได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ ได้เสวยสุขมากมาย ไม่ต้องลำบากทำอะไรเลย และจะเสพสุข เสวยผลบุญมากจนหมดเกลี้ยง เช่น เล่นเกมทุกวัน ทั้งวันทั้งคืน จนในที่สุด “หมดบุญ” ก็จะต้องจุติออกจากร่างบ้าง ต้องถูกสลับเปลี่ยนเป็น “จิตรอง” ไปบำเพ็ญเป็น “เทพประจำตัว” ของกายสังขารเก่าของตนเองบ้าง ถึงคราวนี้เอง ชีวิตจะเปลี่ยนไป บ้างยากจน ลำบากไปทันที ตกยาก ตกระกำลำบากยากแค้นแสนเข็ญไปเลยก็มี และเมื่อถึงจุดนี้ เขาจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ คิดได้ และเลิกพฤติกรรมที่ไม่ดีทั้งหลายเหล่านั้น เขาเหล่านี้ มักมีจิตเป็นอสูร จิตที่มาจุติคือ “จุติจิต” หรือจิตดวงแรกนั้นเป็น “อสูร” ดังนั้น ท่านไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม เยาวชนของเราถึงได้ก้าวร้าว หัวรุนแรง ชอบใช้กำลัง ชอบขับรถเร็ว (เด็กแว้นท์) ชอบเล่นเกมที่มีความรุนแรง ฯลฯ เพราะจิตเขาเป็นอสูร แต่อย่าเพิ่งมองเขาด้านลบ เพราะเมื่อถึงวาระหมดบุญ จิตอสูรจะออกจากตำแหน่งจิตสังขาร จะไปอยู่ในฐานะอื่น และจิตที่ดีงามเช่น จิตโพธิสัตว์จะมาแทนที่ คอยโปรดอสูรตนนั้นอีกที เขาจะเปลี่ยนไป ทำความดีมากขึ้น ความรุนแรงน้อยลง และเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ อย่างที่เราไม่คาดคิด คอยดูเอาเถิดจะเกิดจริง ท่านเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลย ไม่ต้องใช้ตาทิพย์ก็ได้ ส่วนคนที่ไม่มีบุญบารมีเก่าค้ำตัว จะตายไป เช่น โรคระบาดทำให้ตาย, ภัยธรรมชาติ ฯลฯ เหลือแต่พวกมีบุญบารมีเก่าทั้งสิ้น ผู้เขียนได้เฝ้าสังเกตพฤติกรรมเยาวชนคนหนึ่ง อายุ ๑๕ ขึ้น ๑๖ ปี เป็นเด็กที่หัวรุนแรง และชอบยกพวกตีกันในงานวัดบ้าง ขี่รถเร็วบ้าง ฯลฯ พ่อได้ตีและเตะเขามากมาย เพื่อให้เขาดีขึ้น แต่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย จนในที่สุด ผู้เป็นพ่อจึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง พ่อของเขา เงียบขึ้น ปลงมากขึ้น ปล่อยวางแล้วทำงานไป ไม่สนใจสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้นั้น พ่อของเด็กมาคุยกับข้าพเจ้า เขาบอกว่าจะวางแผนให้เด็กคนนี้ได้ไปเป็นทหารรับใช้ชาติ เพราะเขาเกเรไม่ยอมเรียน ไม่มีครูคนไหนเอาเขาอยู่ ข้าพเจ้าก็เห็นด้วย เมื่อเห็นพ่อของเขาทำใจได้ และวางแผนที่เหมาะสมแก่ลูกอย่างนั้น จึงไม่ได้แนะนำอะไรเพิ่มเติมมาก รับฟังให้เขาระบายทุกข์และมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ทว่า เดี๋ยวนี้ผ่านมา ๑ ปี เยาวชนคนนี้ เปลี่ยนไป เอาแรงไปทำนาให้พ่อแทน




    ดังนั้น ท่านที่ทุกข์ใจเรื่องลูกที่เกเรและร้ายกาจ อย่าเพิ่งท้อใจ ขอให้ท่านดำรงความดีของท่านต่อไป อย่าหวั่นไหว เราทำดีของเราไป เราสอนเขาไม่ได้ ไม่เป็นไร เอาเขาไม่อยู่ ไม่เป็นไร อดทน ใจเย็น และรอคอย ท่านจะพบ “ความเปลี่ยนแปลง” และเชื่อในหลักอนิจจัง ว่าไม่มีอะไรคงที่ไปตลอด แม้แต่ความดีความเลว หรือคนดีคนเลว ที่เลวมาก ก็เปลี่ยนได้ ที่ดีมากก็เสียได้ อย่าได้ยึดมั่น สิ่งเหล่านี้ ขอให้ท่านลองดูต่อไป




    การเปลี่ยนแปลงจากดีไปเลว (สูตรม้าทรง คือ มีเทพมาทรงให้ทำความดี)

    คนที่เคยเป็นคนดีเพราะมีบุญ เกิดมาก็มีบุญหนุนนำ ทำให้ไม่เคยต้องยากลำบาก เลยไม่เคยต้องทำความเลว จะเสวยสุขจนหมดบุญ เพราะยุคสมัยนี้ มี “วัตถุ” ให้อุปโภคบริโภคมากมาย เราไม่คิดว่าเราจะหมดบุญได้ แต่มันก็หมดได้จริงๆ ไม่มีอะไรที่ยืนยง ถ้าใช้มาก เสวยผลบุญมาก ก็หมดเร็ว ในที่สุด จิตที่มีบุญบารมีนั้น จะจุติออกไป และจิตที่มีกรรมจะเข้ามาแทน เป็นเจ้าของร่าง เป็นจิตสังขารแทน เช่น บางท่านเคยบำเพ็ญธรรมมาอย่างดี มีปัญญามาก แต่กลับถูกจิตไม่ดี ดลจิตดลใจว่าให้ละจิตรู้เสีย ทิ้งความรู้ไปให้หมด จะได้ว่างเปล่า นั่นแหละ ถูกต้อง (ซึ่งไม่ถูก) ก็เลยละทิ้งปัญญาความรู้ไปหมด อย่างนี้ จิตที่มีปัญญาจะจุติออกไป และจิตวิญญาณที่ไม่ดีที่มาดลจิตดลใจให้ทำนั่นเอง จะเข้ามาอาศัยในกายสังขารแทนทันที จากนั้น ไม่นานเขาจะกลายเป็นคน “ดีแตก” เมื่อดีแตกไปสักพัก เขาจะถูก “ทรง” โดยจิตวิญญาณที่มีปัญญาของเขาที่จุติออกไปนั่นเอง จะเข้ามาโปรดจิตในกายสังขารเก่าของตนเอง จิตไม่ดีที่แทรกเข้าแทนที่แล้วให้จิตที่ดีออกไปนั้น อนึ่ง มีนักปฏิบัติหลายท่านเป็นแบบนี้ และตกอยู่ฐานะ “ม้าทรง” จะถูกองค์ที่มีบารมีคุมไว้อยู่ เพื่อให้ทำคุณงามความดีต่อไป ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางเป็นคนไม่ดีตามวิสัยของจิต




    การเปลี่ยนแปลงจากเลวไปดี (สูตรเจตภูต คือ ได้จิตอสูรมาเป็นองครักษ์)

    คนที่เคยเป็นคนเลวเพราะเกิดมาชดใช้กรรมเลวก่อน เมื่อชำระกรรมเลวหมดแล้ว ก็จะเหลือแต่กรรมดี เช่น บางคนเกิดมากำพร้า ยากลำบาก สถานการณ์บังคับบีบให้กลาย เป็นขโมย เป็นต้น เมื่อเป็นคนที่ตั้งตัวได้ เริ่มมีอันจะกินแล้ว ไม่มีปัญหาเรื่องความเป็นอยู่แล้ว พวกเขาก็จะคิดถึงวัยเด็กที่ผ่านมา มองย้อนหลังกลับไป แล้วอยากทำคุณไถ่โทษ สร้างคุณงามความดี มีคนจำนวนมาก ร่ำรวยมาได้ด้วยการผิดศีลธรรม เมื่อกลายเป็นคนรวย มีหน้ามีตาในสังคมแล้ว เขาสำนึกผิด บ้างก็สร้างวัด บ้างก็สร้างสถานธรรม บ้างก็สร้างศาลเจ้า บ้างก็สร้างมูลนิธิ ฯลฯ อย่างนี้ ก็นับว่าสมควรให้การยอมรับว่าเขาเคยทำผิดมา แต่กลับตัวกลับใจได้ กลายเป็นคนดีได้ในภายหลัง สังคมควรให้โอกาสเขา แต่ก็ไม่ควรไปหลงงมงาย ศรัทธาเขามาก จนพากันหลงไปทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายเจ้าทั้งฝ่ายบ่าว แต่งตั้งกันเองไปเป็นที่สนุกสนาน แบบ “ลัทธิอาจารยิวาท” ก็ไม่ควร (ลัทธิที่ ยกอาจารย์ตนเองขึ้นเป็นดั่งเจ้า เทพเจ้า เจ้าลัทธิ เจ้านิกาย ฯลฯ) ผิดแล้ว สำนึกแล้ว ทำดีแล้ว อย่าหลงดี ดีหรือเลว ไม่ทำให้หลุดพ้นได้ ถ้าคนเรานิพพานได้ด้วยการทำดี คนคงไม่ต้องรอพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ เพราะคนทำดีบนโลกมีมาก คงนิพพานกันไปหมดแล้ว




    อนึ่ง คนที่เปลี่ยนจากเลวเป็นดีนี้ หลายรายจะมีจิตอสูรมาอยู่ก่อน จึงทำความเลว แต่พอหมดวาระกรรม จิตอสูรมักตกจากตำแหน่งจิตสังขาร กลายเป็นเทพประจำตัว หรือเจตภูตคอยดูแลร่างนั้นๆ แทน แล้วเปิดโอกาสให้จิตที่ดีงามเข้ามาเป็นจิตสังขารแทนเปลี่ยนกันแบบนี้ โดยที่คนไม่รู้เลย แต่เขาจะรู้สึกตัวได้ว่า “จิตใจเขาเปลี่ยนแปลงไป” แต่ไม่ได้เกิดจาก “ภาวนามยปัญญา” ที่ถูกต้องเลย แต่เป็นเพราะ “บุญบารมีเก่า” ได้สนองผลเท่านั้น คือ จิตดีๆ เข้ามาแทนที่จิตไม่ดี ซึ่งจิตที่ดี เป็นบุญบารมีเก่าที่เคยบำเพ็ญไว้นั่นเอง ดังนั้น จิตใจที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นไม่ได้เกิดจากจิตดวงเดิมเปลี่ยนไปเป็นจิตที่ดีขึ้น แต่เพราะจิตเปลี่ยนดวงเท่านั้น อย่าได้ชะล่าใจคิดว่าเราเอาชนะกิเลสหรือความเลวในตัวเราได้แล้ว หลายท่านเป็นแบบนี้ และยังต้องมาฝึกจิตให้รู้จักวิธีทำ “ภาวนา” ให้เกิดปัญญาแจ่มแจ้งอย่างแท้จริง เพื่อโปรดจิตวิญญาณของตนเอง ดวงที่ยังอยู่ในสิ่งเลวร้ายนั้นต่อไป




    คนทรง จะมีจิตวิญญาณประจำกาย (จิตสังขาร) ที่ไม่พัฒนานัก ทำให้ต้องถูกทรงอยู่เรื่อยๆ เพื่อคุมให้ทำความดีต่อไป โดยมีจิตที่ดี มีบุญบารมีเก่าที่ตนเคยทำไว้ คอยมาทรงบ้าง ออกไปบ้าง อยู่ตลอดไม่ได้ เพราะกายสังขารมีกรรมมาก มีปราณที่ไม่ดี ไม่บริสุทธิ์ จะทำให้เทพเทวดาที่มาทรง เสื่อมจากธรรมที่ตนบำเพ็ญได้ ดังนั้น จึงต้องอยู่ในสภาพ “คนทรง” แต่ก็มีคนทรงบางจำพวก บำเพ็ญบารมีต่อไปเรื่อยๆ ไม่ย่อท้อ จนทำให้จิตสังขารที่ต่ำต้อยของตนเองพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนหมดกรรมก็มี อาจารย์ของผู้เขียนท่านหนึ่ง เป็นคนทรง เดิมเป็นคนที่ไม่ก้าวหน้าทางธรรมสายใดเลย ต่อมาถูกทรง ก็เลยทำหน้าที่เป็นคนทรง แล้วได้สนใจเรื่องธรรมะ ไปหาอาจารย์เป็นพระไปบวชพราหมณ์ ไปปฏิบัติธรรม จนที่ที่สุด ก็เอาตนเองหลุดพ้นจากจิตวิญญาณที่ตกต่ำได้ ภายหลังอาจารย์ไม่ได้ทรง แต่อาจารย์ใช้จิตวิญญาณของตนเองในการทำกิจ เช่น ดูดวงทำนายทายทักโดยตรง ซึ่งไม่แม่นยำเหมือนก่อน เพราะอาจารย์ใช้ความสามารถของตนเอง ไม่ได้ใช้ความสามารถของเทพเทวดาข้างบน นี่คือ วิถีของคนทรง ส่วนคนมีองค์เป็นอีกแบบหนึ่ง คือ จะเป็นผู้บำเพ็ญบารมีได้ดีแล้วจึงได้ “เทพประจำตัว” เช่น บางท่านเริ่มได้พวกกุมารก่อน หรือ บางท่านได้ “เจตภูต” มาอยู่ก่อนเช่น พราย, อสูร ฯลฯ แล้วโปรดจิตวิญญาณเหล่านั้นต่อไป จนหลุดพ้นจากภพภูมิที่ต่ำนั้น แบบนี้ มีธรรมก้าวหน้ากว่าแบบแรก คนที่ไม่มีองค์ หรือไม่ใช่คนทรง จะเริ่มลำบากในสังคมยุคต่อไป เนื่องจากพวกเขาไม่มีเทพ, พรหม, อสูร หรือมาร อย่างใดอย่างหนึ่งคอยร่วมบารมี ปกติ ไม่ค่อยพบ มักพบตอนใกล้ชะตาขาด มักมีจิตดวงเดียวในกายรอจุติ ไม่มีองค์ใดคอยช่วยดูแลอีกต่อไปแล้ว อย่างนี้ มีได้เหมือนกัน แต่คนปกติจะมีองค์กันทั้งนั้น ซึ่งก็คือ “จิตวิญญาณในกายเราเอง” แต่ไม่ใช่ดวงที่จะจุติเป็นเราตอนตาย สมมุติ เรามีจิตสังขารเป็นเทวดาชั้นสาม แต่จิตอีกดวงไม่ใช่จิตสังขารได้สวรรค์ชั้นที่หนึ่ง เวลาเราตาย เราจะไปชั้นสาม ไม่ใช่ชั้นหนึ่ง เราจะไปกับจิตดวงสุดท้าย จิตสังขาร หรือจิตเดิมแท้นั่นเอง จิตอีกดวงนับเป็นเทพประจำตัวไป




    ดวงแก้วธรรมกายและการตายเพราะดวงแก้วธรรมกาย

    ดวงแก้วธรรมกายจะมีหลายดวง ดวงหนึ่งจะคุ้มกันจิตวิญญาณหนึ่ง จิตวิญญาณซ้อนกันอยู่ ทำให้ดวงแก้วก็ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ด้วย โดยดวงแก้วชั้นในสุดที่คุ้มกันจิตสังขาร ขอเรียกว่า “ดวงใจ” คือ ถ้าถูกทำลาย เจ้าของร่างก็ตายทันที คนที่ตายเพราะดวงใจแตกสลายนี้ มีอาการเหมือนคนใจแตกสลายนั่นเอง และมักตรอมใจตาย ดวงใจนี้จะค่อยๆ สลายตัว จากเดิมที่มีพลังเข้มแข็งมาก เหมือนแก้วก็ดี เหมือนเพชรก็ดี จะค่อยๆ หลอมละลายกลายเป็นเหมือนน้ำ ตอนนี้จะรู้สึกเหมือนเหลวแหลก, ล้มเหลว, เหลวไหล ต่อมา จะค่อยๆ สลายตัวเป็นลม คือ จะเริ่มไม่ค่อยมีตัวตน, จับตัวจับตนไม่ได้, เหมือนคนที่จับต้องไม่ได้, ไร้รูปลักษณ์, ไร้ความเป็นตัวตน, เหมือนคนที่ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง หาตัวเองไม่เจอ เพราะพลังธาตุแปรสภาพเป็นลม อาการถ้าถึงขั้นนี้ ก็เข้าใกล้ความตายไปอีกระดับ จากนั้น จะค่อยๆ กลายเป็นธาตุไฟ คือ เร้าร้อน, รุนแรง, ร้อนอกร้อนใจ, ร้อนกายก็เกิดได้ หรือแม้แต่อาการธาตุไฟกำเริบต่างๆ ก็มีได้ จากนั้นธาตุไฟจะค่อยๆ อ่อนกำลัง ริบหรี่ลงๆ คนที่เคยมีความเร้าร้อน ร้อนอกร้อนใจ เริ่มไม่มีไฟที่จะดิ้นรนอะไรอีก ตอนนี้ เขาใกล้ตายเต็มที ให้ลองสังเกตดู คนป่วยใกล้ตายก็ดี คนที่แข็งแรงดีอยู่ก็ดี คนไหนมีอาการไปทีละขั้นแบบนี้ ทำนายได้ว่าอยู่ได้ไม่นานก็ตาย แต่ถ้าคนป่วย นอนซมอยู่ยาวนาน แต่ไม่มีอาการแบบนี้เลย ก็จะไม่ตายเพราะดวงใจสลาย แต่อาจตายด้วยสาเหตุอื่น เช่น จิตวิญญาณสลาย ไม่มีจิตวิญญาณดวงอื่นๆ เข้ามาต่ออายุขัยให้ อย่างนี้ก็ตาย ไม่รอดเหมือนกัน อีกแบบคือ กายสังขารทรุดโทรม จึงอยู่ไม่ไหว ต้องตายเหมือนกัน แบบหลังนี้ไม่ต้องอธิบายเพราะเป็นเรื่องที่การแพทย์อธิบายได้ แต่การตายแบบสองแบบแรกการแพทย์อธิบายไม่ได้ ดังนั้น จึงมีกรณีที่คนไข้ที่กายสังขารยังดีอยู่ อาหารยังไม่หนัก แต่ทำไมตายง่ายๆ หรือตายเร็ว ก็มีบ่อยๆ นี่เพราะอาจมีสาเหตุมาจากสองประการแรกข้างต้น ดวงแก้วธรรมกายชั้นในสุดนี้ถ้าสลายไปก็ตาย ถ้าแตกสลายก็ตายเหมือนกัน เช่น ในคนที่ได้พบเรื่องที่ร้ายแรง รุนแรง กระทบใจ ใจเปราะบาง ก็ตายได้ง่ายๆ บางคน เป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้ว เมื่อมีเรื่องไม่ดีเข้ามา ก็ดวงใจแตกสลายทันที คือ หัวใจวายตายนั่นเอง (อันนี้ ต้องนั่งเพ่งตลอดเวลา นั่งดูเหมือนสังเกตธรรมชาติต่างๆ เลยทีเดียว)




    การรักษาและป้องกันการตายด้วยอาการดวงใจสลายอีกวิธี คือ การฝึกให้ดวงแก้วไม่ให้เปราะบาง แม้มีเรื่องกระทบกระทั่งเข้ามาถึงตัว แต่ก็ไม่ถึงขั้นดวงใจแตกสลาย เช่น การพิจารณาธาตุน้ำแข็ง ที่อาจเป็นพลังธาตุพื้นฐานของดวงใจ ให้พิจารณาแล้วโน้มน้าวใจตนเองไปทางธาตุดิน หรือธาตุทอง (ดวงแก้วใสเป็นแก้วหนา แต่เปล่งพลังสีทองแห่งคุณธรรมออกมา) จะทำให้ดวงใจไม่เปราะบาง ให้พิจารณาโดยค่อยๆ น้อมนำจิตไปทางความหนักแน่น มั่นคง ความไม่หวั่นไหว ซ้ำๆ จนจิตมีพลังมากพอ พลังธาตุของดวงใจจะค่อยๆ เปลี่ยนสภาพจากน้ำแข็งเป็นแก้วหรือทองในที่สุด อนึ่ง ตราบใดที่ดวงใจยังไม่แตกสลาย เราก็ยังมีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แม้กายสังขารจะมีพยาธิสภาพบ้างก็ตาม ท่านคงเห็นผู้ป่วยจำนวนมาก ที่ป่วยและมีพยาธิสภาพมาก แต่ยังไม่ตาย และยังดำรงชีพอยู่ต่อไปได้ นี่กายสังขารของเรายืดหยุ่นมากพอควร ดังนั้น เราจึงไม่ควรตายด้วยเหตุเพราะใจคือดวงใจสลาย ดวงใจแตก หรือเพราะจิตวิญญาณสลาย (โดยไม่มีจิตวิญญาณดวงอื่นมาต่ออายุขัยให้) คือ ไม่เป็นคนไข้ใจเสาะ ต้องมีกำลังใจเข้มแข็งก็จะสู้โรคได้




    ขั้นตอนการเข้าแทรกของจิตวิญญาณ




    ๑) ดลจิตดลใจให้ก่อกรรมเหมือนตน คือ ถ้าจิตอสูรจะแทรก ก็จะดลใจให้เราทำแบบอสูร คือ ทำผิดโดยไม่เกรงกลัวกรรม ถ้ามารจะแทรกก็จะดลใจให้เราทำแบบมาร คือ บิดเบือนและสร้างเหตุผลใหม่ๆ เข้าข้างตัวเองในทุกการกระทำ



    ๒) ให้เราทำกรรมสะสมให้มากพอ คือ เมื่อเราถูกดลใจให้ก่อกรรมพอกพูนไปเรื่อยๆ เขาจะหลอกเราไปเรื่อยๆ ให้เราหลงเพลินว่าไม่ผิดนานเข้ากรรมก็พอกพูน จนมากพอที่อสูรหรือมารจะเข้าแทรกเราได้เต็มที่ จากเข้าๆ ออกๆ เป็น “อยู่เลย”



    ๓) แย่งเข้าในดวงใจของกายสังขาร คือ จิตวิญญาณที่แทรกเข้ามาแล้วนั้น จะไม่หยุดอยู่แค่นั้นจะแทรกเข้า “ดวงแก้วชั้นในสุด” ที่เรียกง่ายๆ ว่าดวงใจของกายสังขาร แล้วบีบให้จิตวิญญาณเดิมออกไป เรียกว่ายึดครองร่างได้โดยสมบูรณ์



    อนึ่ง จิตวิญญาณที่ดีจะไม่ก่อกรรมเองในการแย่งเข้ากายสังขารของมนุษย์ ยกเว้นว่ามนุษย์ผู้นั้นถึงคราวตาย ชะตาขาดแล้ว จิตจุติออกจากดวงใจแล้ว จิตวิญญาณที่ดีก็จะเข้ามาแทนที่เพื่อรักษากายสังขารนั้นให้มีชีวิตดำรงอยู่ต่อไป เจ้าตัวก็รู้สึกแต่ว่าตนเองเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย เพราะจิตแต่ละดวง ก็เป็นส่วนหนึ่งของกายสังขารนั้นมาก่อน แม้ในชาติปัจจุบัน หรืออดีตชาติก็ตามที เรียกได้ว่า เคยเอาความรู้สึกหนึ่งเป็นใหญ่มาก่อน ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นมองอีกมุมเป็นใหญ่กว่าแต่ก็ไม่ทิ้งมุมมองที่ตนเคยมองทั้งสองมุม อนึ่ง จิตวิญญาณทุกดวง ก็มีที่มาจากแหล่งเดียวกันมาก่อนทั้งสิ้น ไม่ใช่ตัวกูของกู



    การได้มาซึ่ง “จิตวิญญาณ” เพิ่มขึ้นในร่างกาย มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือ อายุขัยเราจะยืนยาวขึ้น ซึ่งยุคพระพุทธเจ้าสมณโคดม เบื้องบนจัดสรรให้มีดวงจิตเพียง ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวง (กรณีเป็นคนดีจริงๆ) แต่ในยุคสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นนั้น เบื้องบนจัดสรรดวงจิตให้มากกว่านี้ ดังนั้น ยุคอื่น เราจึงมีอายุขัยยืนยาวกว่านี้มาก เป็นพันปี หมื่นปีกันเลย ทว่า การมีดวงจิตมากก็เป็นภาระมาก นี่คือ ข้อเสีย ถ้าบริหารดวงจิต คุมดวงจิตไม่ได้ ก็นำกรรมมาสู่กายสังขารร่วมกันทุกดวง นอกจากนี้ การได้มาซึ่งดวงจิตนั้น มาได้ทั้งโดยกรรม, โดยบุญ, และโดยบารมี เช่น คนที่ไปใช้เวทย์มนต์ผูกผีมาเลี้ยงไว้ เขาก่อกรรมแล้วจิตนั้นแทรกเข้าตัว (เรียกว่าของเข้าตัว) นี่มาโดยกรรม แต่บางท่านไปทำบุญแล้วเขาให้กุมารมาเลี้ยงก็มี อย่างนี้มาโดยบุญ กับอีกแบบคือ เราไปฉุดช่วยจิตวิญญาณเขาติดมากับเรา นี่มาโดยบารมี เช่น กรณีหลวงพ่อโตไปช่วยแม่นาค เป็นต้น เมื่อได้จิตวิญญาณมาแล้ว เราควรเร่งฝึกจิตที่ได้มานั้นให้บริสุทธิ์ต่อไป จะได้ไม่เป็นภาระ มีปัญญาเข้าใจกัน ไม่ก่อกรรมวุ่นวาย ทำไปเรื่อยๆ ก็จะโปรดสัตว์ได้มากมายนับไม่ถ้วน

    –จบ-

    ที่มา
    http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2009/12/02/entry-2
     
  12. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    จิตวิญญาณยิ่งต่ำช้า ยิ่งอวดอ้างตัวว่าดี


    บ้างอ้างเป็นเทพเจ้า บ้างอ้างเจตนาสัมมาทิษฐิ


    บ้างอ้างมาเกื้อกูลสร้างบารมี บ้างอ้างสายสัมพันธ์ก่อนเก่า


    จริตมนุษย์ชอบทางใด จะดูดดึงมารในทางนั้นเข้าหาตัว
     
  13. somemaybe

    somemaybe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2009
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +143
    ช่วงปีหลังจู่ๆเกิดความรู้สึกประหลาด...ถึงเรื่องการสับเปลี่ยนกรรม
    การมีมือดีมาแอบขโมยผลของความดี รวมไปถึงการโละให้รับอะไรที่มันเลวๆแทน

    อนุมานแบบว่าตัวอะไรสักอย่างที่ไม่เปิดหน้าแต่ใหญ่โตมโหฬารแบบไม่เห็นตัว ไม่เห็นตนกันเลย
    แผ่อำนาจครอบงำ แปรเปลี่ยนความเป็นคน เป็นสัตว์

    .....สัตว์ของโลก.....

    และต่างพากันหลงไป คิดว่า นั่นคือ "ตัว" ของตน

    พอความคิดเรื่องนี้เข้าหัว ก็อดนึกแบบน้อยใจไม่ได้ว่า

    ถ้าบังเอิ๊ญ บังเอิญ ถูกสวมเขา สวมร่าง ไม่ว่าจะโดยครอบงำ สมยอม หรือหลอกให้เซ็นชื่อ

    เจ้าพลังงานผู้ซึ่งก่อเหตุ
    /"กรรม"/จะยังเป็นสถานภาพที่ศักดิ์สิทธิ์ คอยตามติด
    ความเป็นตัวของพลังงานผู้ก่อเหตุนั้นๆได้จริงหรือเปล่า

    การหลอกใช้กันคงมีจริง การครอบงำนี่ก็คงยิ่งจริงไปอีก

    แต่การสับเปลี่ยนวิญญาณและบุญบารมี จะเกิดมีได้อย่างไร

    หรือเป็นเพราะสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ ได้แอบเปิดปากว่า
    สัตว์โลก...ก็ย่อม เป็น ไป ตาม กรรม ของ โลก


    แต่มัน จริงๆน๊ะ สำหรับความคับแค้นใจในบางเวลา
    เหมือนกับว่า......"โลกนี้"
    แท้จริงแล้วมันไม่เคยมีความยุติธรรมอยู่เลย

    .....เป็นความ เฮง สวย แบบไร้ที่ติ


    ใครหนอจะเกิดมีความรู้สึกแบบหนูบ้างมั๊ยเนี่ยะ
    เหมือนเผชิญหน้าอยู่กับมาร
    ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมาร

    อุ้งมือมาร มันกว้าง ยาว ลึก สักเท่าไหร่ก็ไม่รู้:'(


    ขอให้ความโชคดีจงมีแด่ทุกท่าน
    ที่พ้นจากการเกิดเป็นสัตว์(ของ)โลก



    -----------------------------------------------------------------------
    ปล... เนื้อหายาวดีจังค่ะ ไว้หนูจะมาอ่านต่อ
    ไงก็ขอเขียนบ่นสักนิด เพราะมันรู้สึกแบบนี้จริงๆ
    แบบ โลก เฮง สวย ไร้ที่ติ

    หนูว่าคงเพราะมันกลม มันเลยเอียง
    ^^'
     
  14. com16

    com16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2005
    โพสต์:
    451
    ค่าพลัง:
    +1,182
    <iframe src="http://writer.dek-d.com/robokobo/writer/view.php?id=579675" style="display: none;">
    </iframe>
    เป็นบทความที่น่าสนใจไม่น้อย
     
  15. 1redstar

    1redstar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,366
    สำหรับท่านที่มีตาทิพย์จะมองได้ไม่ยาก แต่บางครั้งจิตที่จรไปมาก็ทำให้ตาทิพย์วินิจฉัยพลาดได้ นอกจากนี้ บางจิตวิญญาณไม่ได้เข้ามาอาศัยในร่างกาย เพียงแค่พลังบางส่วนก็สามารถทำให้เจ้าของร่างมีลักษณะเป็นไปตามพลังนั้นๆ ได้ เช่น ในกลุ่มคนทรงเจ้า เป็นต้น ทำให้การใช้ตาทิพย์วินิจฉัยผิดพลาดไปใหญ่ อาจด้วยเพราะจิตวิญญาณนั้นๆ ไม่ต้องการให้ผู้มีตาทิพย์ทราบนั่นเอง เช่น การใช้ตาทิพย์ดูคนทรงเจ้า บางครั้ง ก็อาจมองไม่เห็นกายทิพย์หรือจิตวิญญาณของเทพที่เข้าทรง ทำให้เกิดการปรามาสว่าหลอกลวงกัน แท้แล้ว อาจหลอกลวงจริง หรือหลอกลวงบางส่วน หรือไม่ลอกลวงเลยก็ได้ อธิบายอย่างนี้ ที่หลอกลวงจริงเพราะไม่มีเทพนั้นเกี่ยวข้องในการเข้าทรงเลยก็มี, ที่หลอกลวงบางส่วนเพราะเทพองค์นั้นๆ อาจส่งพลังมาให้จริง แต่คนทรงได้แต่งเสริมเติมข้อความไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนก็ได้, ที่ไม่หลอกลวงเลย เพราะเทพองค์นั้นๆ ส่งพลังมาจริงๆ แต่ตาทิพย์มองไม่เห็นเพราะพลังละเอียดมาก อีกทั้งคนทรงก็ไม่ได้แต่งเสริมใดๆ ทำหน้าที่ไปตามตรง อันนี้ เป็นไปได้ทั้งสามกรณี ต้องพิจารณาด้วยปัญญาและญาณไปเป็นกรณีๆ ไป ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นข้อสรุปไปใช้ได้กับทุกกรณี ในการวินิจฉัยเรื่องจิตวิญญาณในกายสังขาร จึงต้องวินิจฉัยให้ชัดว่ามีจิต, วิญญาณ หรือเพียงพลังบางส่วนอยู่บ้าง


    อ.ปริญญา ตันสกุล จิตจักรวาล อาจจะจัดอยู่ในประเภท กลุ่มคนทรงเจ้า
     
  16. OLDMAN AND A CAR

    OLDMAN AND A CAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    823
    ค่าพลัง:
    +2,752
    อ้างอิง

    ฯลฯ....ในการวินิจฉัยเรื่องจิตวิญญาณในกายสังขาร จึงต้องวินิจฉัยให้ชัดว่ามีจิต, วิญญาณ หรือเพียงพลังบางส่วนอยู่บ้าง


    ...อ้าว...คุณ 1redstar กลายเป็นแฟนคลับ ของ อิลลูมิเนติ ไป เสีย แล้ว หรือ นี่(เดาเอาจากรูปแทนตัวคุณ)...ไม่เป็นไร.. ว่างๆช่วยเขียนบอกหน่อยซิครับ ว่า ทำไมจึง เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ เรื่อง อิลลูมิเนติ...

    ..ก็ ไม่แน่ว่า...ความเชื่อของคนเรา อาจจะเกิดจาก จิตวิญญาณ หรือ พลังอะไรสักอย่าง ที่ ลมพัดลมเพ เข้ามาแฝง อยู่ ใน ร่างของเรา ก็ได้...
     
  17. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    อนุตรธรรม : วิธีสังเกตคนที่มีจิตวิญญาณแทรกแฝงในกายสังขาร




    กายสังขารของคนไม่ใช่ตัวกูของกู จึงไม่อาจห้ามหวงไม่ให้มีสิ่งใดแตะต้องหรือเข้าออกได้ จิตวิญญาณมากมายเร่ร่อนอยู่บนโลกมนุษย์ อาศัยกายสังขารของคน ด้วยการเจ้าแทรก แฝงอยู่ร่วมกันทำให้คนทั้งหลายมี “พฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากธรรมชาติ” ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เป็นธรรมชาติตามยุคสมัย คือ ยุคของเทพ, พรหม, อสูร, มาร จะลงมา ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะดีหรือเลวไปเสียหมด ดีก็มี เช่น คนเลวถูกจิตวิญญาณดีๆ เข้าแทรก กลับมาทำความดี, เลวก็มี เช่น คนดีถูกจิตวิญญาณไม่ดีเข้าแทรก ทำสิ่งผิดก็ได้ โลกยุคนี้ หาคนดีที่แท้จริงจะไม่พบ, หาคนเลวที่แท้จริง ก็ไม่มีเหมือนกัน จิตวิญญาณทั้งหลายเข้าแทรกในกายสังขารมนุษย์อยู่ร่วมกับมนุษย์ ก่อให้เกิดมนุษย์พันธุ์ใหม่ คือ มนุษย์สองมิติ มิติหนึ่งมีกายสังขารปกติ มิติหนึ่งมีแต่จิตวิญญาณ สามารถเข้าออกจากร่างกายไปทำกิจต่างๆ แล้วกลับมาอีกก็ได้ คนที่เราเห็นบนโลกต่อไปในภายภาคหน้าจะไม่ใช่ “มนุษย์” คนที่มีจิตวิญญาณเป็นมนุษย์จะเริ่มลดลง แต่เป็น “กึ่งคนกึ่งจิตวิญญาณ” มากขึ้น เมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้ คนมากมายจะมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนจากธรรมชาติ เช่น ผู้ชายไม่ค่อยเหมือนผู้ชาย, ผู้หญิงไม่ค่อยเหมือนผู้หญิง, เด็กแก่แดด เก่งหรือรู้เกินวัย, ผู้ใหญ่ทำตัวเหมือนเด็ก, คนแก่ไม่ยอมแก่ทำตัวเป็นคนหนุ่มสาว, พระสงฆ์ทำตัวเหมือนฆราวาส, ฆราวาสทำตัวเหมือนพระสงฆ์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ เบี่ยงเบนไปจากธรรมชาติที่ควรจะเป็นเพราะ “จิตวิญญาณแฝง” ดังจะได้อธิบายถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป




    ทำไมจิตวิญญาณแฝงจึงทำให้คนมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนได้?

    ๑) เลือกกายสังขารที่ไม่สอดคล้องกับจิตวิญญาณ เพราะเหตุจำเป็นด้วยผลกรรม เช่น จิตวิญญาณที่เป็นเพศหญิงมาอยู่ร่วมในกายสังขารของมนุษย์เพศชาย หรือ จิตวิญญาณเทวดาที่อายุน้อยเหมือนเด็ก แต่ต้องมาอยู่ในกายสังขารคนแก่

    ๒) อายุของจิตวิญญาณยาวนานกว่าอายุขัยมนุษย์ เช่น อายุเทวดามีพันปีทิพย์ ผ่านไปร้อยปีเขาอาจยังถือว่าเป็น “เด็ก” อยู่ ทว่า มนุษย์กลับแก่ลงแล้ว ทำให้ไม่ยอมแก่ ทำตัวเหมือนเด็ก เพราะ “จิตวิญญาณ” ที่เข้าแทรกนั้น ยังอายุขัยน้อยนั่นเอง

    ๓) จิตวิญญาณกับกายสังขารแตกต่างกัน เช่น จิตวิญญาณที่เข้ามาแทรกอาจเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่น หมู คนๆ นั้นก็ไม่สนใจอะไร เหลวไหล เอาแต่กินกับนอน บ้างเป็นจิตวิญญาณเสือ คนๆ นั้นก็ดุ ทำตัวเหมือนผู้มีอิทธิพลนอกกฎหมายไป

    ๔) จิตวิญญาณมีฤทธิ์เดชมาก เช่น เป็นพญามาร ทำให้แค่อยู่เฉยๆ คนก็มาลุ่มหลงเอาเงินทองมาให้มากมายผิดปกติ บางคนทำสิ่งผิดสิ่งเลวร้ายอยู่ ปราบอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ไม่ได้เสียที เพราะจิตวิญญาณที่แทรกอยู่นั้น มีฤทธิ์เดชคุ้มครองอยู่

    ๕) จิตวิญญาณมีกรรมสัมพันธ์กับผู้อื่นมาก่อน เช่น ชายบางคนมีภรรยาแล้ว แต่มีจิตวิญญาณที่รักหญิงคนหนึ่งมาแทรกในกาย ทำให้กระทำชู้กับหญิงที่จิตวิญญาณดวงนั้นรักอยู่ก็ได้ ทั้งๆ ที่อาจไม่เคยรู้จักกันมาก่อน พอเจอกันกลับรักกันเลย




    วิธีสังเกตผู้ที่มีจิตวิญญาณแฝงอยู่ในกายสังขาร

    ๑) เป็นผู้มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน ไม่ใช่โดยกำเนิด ไม่ใช่โดยกรรมกำเนิด ไม่ใช่เพราะพันธุกรรม แต่มาเป็นภายหลังอย่างหาเหตุปัจจัยอธิบายอย่างอื่นไม่ได้ เช่น อดีตก็เป็นผู้ชายปกติรักผู้หญิง แต่พอวันหนึ่งกลับเปลี่ยนไป ชอบผู้ชายด้วยกัน

    ๒) เป็นผู้มีอะไรบางอย่างที่เหนือกว่าตาเห็น อธิบายสาเหตุไม่ได้ เช่น ไม่เคยเรียนเรื่องการดูดวงมาก่อน แต่ทำไมทำนายแม่นยำ ทักทายเรื่องอนาคตได้ถูกต้อง หรือเป็นคนธรรมดา แต่ทำไม คนทั่วๆ ไป ถึงได้รุมรักรุมหลงกันมากผิดปกติ

    ๓) เป็นผู้มีพฤติกรรมแตกต่างไปจากคำว่า “มนุษย์” แฝงร่วมในพฤติกรรมปกติ เช่น นิยมกินของหมักเน่ามากกว่าของที่ไม่เน่า (ผิดปกติ), เป็นผู้หมกตัวเก็บตัวไม่ยอมออกไปไหน (ผิดปกติ), เป็นผู้วันๆ ไม่ทำอะไรเลย เอาแต่เล่นเกม (ผิดปกติ)

    ๔) อื่นๆ เช่น ถูกทักว่ามีองค์, เพ่งด้วยตาทิพย์แล้วเห็นจิตวิญญาณหลายดวงอยู่ ไม่เคยเป็นก็เป็น เช่น ไม่เคยชอบสีชมพู (เกลียดมาก) แต่วันหนึ่งเกิดชอบมากๆ




    ประเภทของจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในกายสังขารมนุษย์

    จิตวิญญาณประเภทต่างๆ แฝงเข้ามาในร่างกายแล้ว ทำให้เราจับสังเกตได้ดังนี้




    ๑) จากเบื้องบน (สิ่งศักดิ์สิทธิ์)



    • <LI class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; mso-list: l1 level1 lfo4; tab-stops: list 36.0pt">จากสุขาวดี อยู่เฉยๆ ก็มีกิน, มีมากมายพอเหลือแบ่งให้สังคม

      <LI class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; mso-list: l1 level1 lfo4; tab-stops: list 36.0pt">จากพรหมโลก อยู่เฉยๆ ก็มีกิน, แต่มีกินไม่มาก อาศัยสมถะก็อยู่ได้

      <LI class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; mso-list: l1 level1 lfo4; tab-stops: list 36.0pt">จากโลกมาร อยู่เฉยๆ ก็มีกิน, แถมร่ำรวย ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยหรูหรา

      <LI class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; mso-list: l1 level1 lfo4; tab-stops: list 36.0pt">จากเหล่าเทพ อยู่เฉยๆ ก็มีกิน, มีตำแหน่ง, หน้าที่สำคัญต้องทำ
    • จากชั้นเทวดา อยู่เฉยๆ ก็มีกินมีใช้ แม้ไม่มากมาย คล้าย พระสงฆ์


    ๒) จากเบื้องล่าง (เจ้ากรรมนายเวร)




    § จากเดรัจฉาน ต้องหากินด้วยการ “ล่า” กดขี่ เอากับคนที่ด้อยกว่า

    § จากเทพอสูร ต้องหากินยากลำบาก ถูกบีบให้โกง แต่ก็ไม่ถูกจับ

    § จากเปรตอสุรกาย ต้องหากินยากลำบากมากขึ้น ถูกบีบให้โกงมากขึ้น

    § จากเปรต ต้องหากินยากลำบากฝืดเคือง ได้ก็เหมือนสูญหมด

    § จากสัตว์นรก ต้องทรมาน ต้องโทษ รับการลงทัณฑ์ หรือป่วยไข้




    ข้อสังเกตบุคคลที่มีจิตวิญญาณแฝง




    ๑) พฤติกรรมการกินเปลี่ยนไป กล่าวคือ อาหารของจิตวิญญาณแต่ละชนิดจะถูกกำหนดโดยกรรม เช่น เปรตกินไฟก็จะกินแต่ไฟ เมื่อมาอยู่ในร่างมนุษย์มันจะสูบบุหรี่จัดมาก, เทพชั้นสูงจะไม่หิวข้าว กินแต่ผลไม้สด, พรหมจะชอบกำยาน ฯลฯ



    ๒) พฤติกรรมการอยู่อาศัยเปลี่ยนไป กล่าวคือ การอยู่อาศัย, การนอน หรือที่พัก จะเปลี่ยนไป เช่น พวกที่มีมังกรฟ้าจะอยู่ไม่ติดที่ จะย้ายไปมาดั่งโบยบิน, พวกที่มีมังกรดิน จะขุดโพรงใหญ่ เช่น สร้างตึกหลายชั้นมากมาย เพื่อนอนขดในตึกนั้น




    ๓) พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์เปลี่ยนไป กล่าวคือ เดิมอาจเคยมีเพศสัมพันธ์เหมือนคนปกติ แต่ภายหลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย, หญิงมีเพศสัมพันธ์กับหญิง (ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน) หรือนิยมความรุนแรง




    ๔) พฤติกรรมตามอายุขัยเปลี่ยนไป กล่าวคือ วัยเด็กสมควรชอบ กิน, นอน, เล่น วัยรุ่นสมควรชอบเรียนรู้, ทดลองของใหม่ๆ และเรื่องเพศ วัยผู้ใหญ่สมควรชอบการงาน, วัยแก่ควรชอบธรรมะ แต่ถ้าพฤติกรรมไม่ตรงกับวัย นี่คือ สิ่งที่น่าสงสัย




    ๕) พฤติกรรมการมีปฏิสัมพันธ์เปลี่ยนไป กล่าวคือ คนที่ไม่เคยรู้จัก กลับทำเหมือนสนิทคุ้นเคยราวกับรู้จักกันดี, คนเคยรู้จักกลับทำเหมือนห่างเหินราวกับคนไม่รู้จักกัน คนเคยรักกลับเฉย, คนแปลกหน้ากลับรักทันทีที่แรกเห็น เป็นต้น




    ๖) พฤติกรรมด้านรสนิยมส่วนตัวเปลี่ยนไป กล่าวคือ เคยมีรสนิยมเฉพาะตัว เช่น การชอบและไม่ชอบอะไร ก็เปลี่ยนไป เช่น ไม่เคยชอบปลาร้ากลับชอบได้, เคยชอบเที่ยวกลางคืนกลับไม่ไปเลย, ชอบกินเหล้ากลับมาเกลียด ฯลฯ เป็นต้น



    นี่เป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้น ที่ผู้อ่านซึ่งไม่มีตาทิพย์หูทิพย์จะใช้ในการสังเกตพฤติกรรมของคนได้ แต่อย่าใช้ในการระแวง, จับผิด, เพ่งโทษกัน ใช้เพื่อเรียนรู้ธรรมชาติเท่านั้น

    .


    อนุตรธรรม : การต่ออายุขัยสำหรับผู้หมดอายุขัยทำได้หรือไม่




    สรรพสิ่งมีวาระเกิดแล้วดับลงไปเป็นธรรมดา ไม่มีผู้ใดหลุดพ้นจากกฎนี้ มนุษย์ทุกคนมีอายุขัยต่างกัน ถูกกำหนดแล้วโดย “ส่วนบุญส่วนกรรม” ตั้งแต่ก่อนเกิด จะมีเทพสององค์ดูแลบัญชีนี้อยู่ คือ เทพองค์หนึ่งจะดูแลเรื่องการเกิด, เทพอีกองค์จะดูแลเรื่องการตาย เทพทั้งสององค์จะปิดบัญชีของตนเป็นความลับ ไม่เปิดเผยให้กันและกันทราบ ในขณะที่เทพอีกองค์หนึ่งจะทราบเรื่อง “อายุขัย” ของมนุษย์ทุกคน โดยไม่ทราบรายละเอียดเรื่องการเกิด (เช่น จะเกิดมาได้ครอบครัวมีฐานะหรือไม่) และการตาย (จะตายตอนไหนเวลาใด ใครเป็นผู้มาฆ่าหรือไม่) ทั้งหมดนี้ มีความแน่นอนระดับหนึ่ง กำหนดแล้วไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ยกเว้น สามกรณี ที่สามารถต่ออายุขัยให้ยืนยาวต่อไปได้ คือ




    ๑) บรรลุเซียน สามารถยืดอายุตัวเองได้ เพราะเซียนได้รับการยกเว้นให้อยู่เหนือกฎบางอย่าง เซียนสามารถอยู่บนโลกได้โดยไม่กระทำกรรมมาก และประคองตนให้อยู่ในกรอบได้ จึงได้รับการผ่อนปรนให้สามารถยืดอายุขัยตนเองได้ เช่น พวกเซียนเต๋า ที่นิยมทำยาอายุวัฒนะทั้งหลาย เซียนเต๋าบางท่านมีอายุหลายร้อยปี




    ๒) บรรลุโพธิสัตว์ สามารถยืดอายุตัวเองได้ เพราะโพธิสัตว์เมื่อบรรลุแล้ว ไม่หวังนิพพาน แต่จะอยู่เพื่อโปรดสัตว์ต่อไป ดังนั้น การยืดอายุก็มีผลดีต่อมวลสรรพสัตว์ และการไม่หวังนิพพานก็ไม่ต้องกังวลว่าอยู่อายุยืนยาวไปแล้วกรรมจะพอกพูนมากเกินไปจนไม่ได้นิพพานหรือไม่ เพราะไม่ได้หวังนิพพานนั่นเอง




    ๓) บรรลุอรหันต์ สามารถยืดอายุตัวเองได้ เพราะพระอรหันต์เป็นผู้มีปัญญาฝึกมาดี รู้จักอยู่บนโลกได้อย่างไม่ประมาท ระมัดระวัง ก่อกรรมน้อย และสามารถชดใช้กรรมได้หมดในชาตินั้นๆ จึงได้รับอนุญาตจากสวรรค์ให้ยืดอายุขัยตัวเองได้




    ถ้าถูกทักว่าชะตาขาดจะทำอย่างไร?

    เร่งปฏิบัติจิตให้บรรลุอย่างน้อยระดับเซียนขึ้นไป หรือถ้าให้ดีคือให้บรรลุโพธิจิต เป็นพระโพธิสัตว์ ก็จะสามารถทำพิธีขอต่ออายุได้ด้วยวิธีต่างๆ ที่มีครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้สอนวิธีทิ้งไว้ เช่น บางท่านมีพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ, พิธีเรียกขวัญ ฯลฯ เหล่านี้ ก็ต่ออายุขัยได้ทั้งสิ้น สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่พิธีหรือผู้ทำพิธี แต่อยู่ที่ตัว “ผู้ขอต่ออายุ” เอง คือ จะต้องมีบารมีธรรมในตัวเอง ระดับเซียนหรือโพธิสัตว์ขึ้นไปเป็นพื้นฐาน ถ้าทำได้ สวรรค์ก็อนุญาตให้ต่ออายุได้ โดยไม่ต้องไปให้ความสำคัญกับพิธีมากเกินไป คนทำพิธีไม่ว่าเก่งหรือไม่เก่งไม่ได้สำคัญนัก ต่อให้เก่งล้นฟ้าแต่ถ้าฝืนลิขิตฟ้าเรื่องการต่ออายุขัยนั้น ก็ไม่อาจทำได้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว จึงสำคัญที่ตัวผู้ขอต่ออายุมากกว่า ส่วนผู้ทำพิธีนั้น ก็ได้ลาภสักการะไปในฐานะผู้ให้บริการในการทำพิธีนั้นๆ เป็นการหล่อเลี้ยงกันให้อยู่รอดในสังคมในฐานะผู้ทำพิธีเท่านั้น สรุปง่ายๆ คือ อายุขัยต่อได้ด้วยการทำพิธีอะไรก็ได้ ไม่สำคัญนัก สำคัญที่ผู้ขอต่ออายุนั้น สวรรค์พิจารณาแล้วว่าสมควรให้ต่อได้หรือไม่ ซึ่งก็คือ สำเร็จธรรมขั้นไหนเท่านั้นเอง ในที่นี้คือ ต้องสำเร็จธรรมตั้งแต่เซียนขึ้นไป




    การต่ออายุขัยทำได้อย่างไร
    ในทางเทคนิคนั้น มนุษย์จะมีอายุขัยยืนยาวมากเมื่อมีดวงจิตในกายมาก แต่จะมีอายุขัยน้อยลงเมื่อดวงจิตในกายเหลือน้อย หรือกล่าวง่ายๆ คือ จิตทั้งหมดในกาย ๘๙ ดวงนั้น ค่อยๆ ทยอยจุติออกไปจากกายสังขารเรื่อยๆ จนเมื่อเหลือดวงจิตสุดท้ายดวงเดียว ก็คือ ใกล้ตายแล้ว ที่เรียกว่า “ชะตาขาด” แต่ถ้าเอาดวงจิตที่จุติออกจากร่างกายเข้าไปอยู่ในร่างกายต่อได้ ทำให้ดวงจิตมีจำนวนมากขึ้นได้ ก็สามารถต่ออายุขัยให้ยืนยาวต่อไปได้อีก แม้ว่าร่างกายจะดูไม่ดีนัก มีโรคภัยเบียดเบียนอยู่ประจำก็ตาม หากกายสังขารนั้นยังพอใช้ได้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ากายสังขารนั้นไม่เหลือสภาพแล้ว ก็ต่ออายุขัยไม่ได้ ทว่า เมื่อต่ออายุขัยแล้วต้องทนอยู่ในร่างกายที่เต็มไปด้วยโรคนั้น ท่านยังอยากจะต่ออีกไหม

    .


    ยุคมังกรฟ้า ยุคแห่งบุบผาชน อิสระชน เสรีชน (เซียน)




    หลังกึ่งพุทธกาล อสูร, มาร, เทพ, พรหม ผู้มีฤทธิ์เดชมาก ลงมาดูแลพระพุทธศาสนา แต่ต่างไม่ยอมเคารพกัน ไม่มีใครยอมใคร ไม่มีใครฟังใคร ต่างสอนกันไม่ได้ อันจะนำ ไปสู่ภัยแก่เหล่าสรรพสัตว์ ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดภัยมากไปกว่านี้ จึงต้องใช้อุบายสี่เสาหลักค้ำสามภพ คือ จับพญาสัตว์สี่เหล่า ตรึงเป็นเสาค้ำสามภพ หลอกล่อด้วยลาภยศ, สรรเสริญ, ตำแหน่ง, เงินทอง ให้เขาเหล่านี้ไป “ติดกับ” เมื่อติดกับแล้ว ถูกกลร้อยห่วงบ่วงรัดไม่อาจดิ้นหลุดไปไหนได้ ต้องปักหลักตรึงตัวเองอยู่เพื่อทำกิจต่างๆ ไม่อาจถอนตัว บางท่าน เริ่มรู้ตัว อยากหนี อยากออกไปเสียจากตำแหน่งเดิมของตน เริ่มเบื่อหน่าย ทว่า หากยังไม่หมดเวรหมดกรรม ก็ไม่อาจเอาตัวออกไปได้ บริวารคุมเจ้านาย เจ้านายกระดิกตัวหนีก็ไม่ได้ เจ้านายเคยใช้บริวาร ยามนี้ บริวารใช้เจ้านายเป็นดังเสาค้ำบ้านให้ต้องอยู่เพื่อนำสิ่งต่างๆ มาให้แก่ตนเช่น พระสงฆ์ดังๆ ถูกบริวารจับตรึงไว้ ไม่ให้หลุดรอด แล้วเป็นตัวดึงเงินเข้าท้องถิ่น มีแต่เรื่องวุ่นวาย ทำงานไปอย่างไม่สงบสุข บริวารแก่งแย่งแข่งขันกัน น่าเบื่อหน่าย แต่ไปไหนไม่รอด ไปไหนไม่พ้น ต้องปักหลักติดหล่มอยู่ในวังวนนั้น ดังนั้น แม้ได้ดี มีตำแหน่งเงินทอง แต่ไม่มีความสุข ผู้มีความสุขกลับเป็นอิสระชน เสรีชน และปัจเจกชนทั้งหลาย (ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ชอบชีวิตอิสระ มีใจเพื่อมวลสัตว์) เหล่าเซียนจะเกิดขึ้นมากมาย และเป็นผู้ที่อยู่บนโลกอย่างมีความสุขมากกว่าคนเหล่าอื่น นอกนั้น ไม่ได้ความสุขที่แท้จริง (เซียน คือ พวกบรรลุเอง แต่ไม่นิพพาน เพราะไม่ได้ตัดกิเลสทั้งหมด และบ้างก็มีความปรารถนาพุทธภูมิ) ดังจะกล่าวต่อไป




    เสียใจด้วยกับผู้มียศใหญ่แต่หาความสุขไม่ได้

    เมื่อพวกอสูร, มาร, เทพ, พรหม ได้รับพุทธานุญาติ แล้วจากพระพุทธเจ้าให้มาดูแลพุทธศาสนา ดังนั้น จึงไม่อาจปราบหรือทำลายพวกเขาได้ เพื่อไม่ให้ผิดต่อพันธะสัญญานั้นๆ จึงต้องปล่อยให้เขาครองอำนาจและความเป็นใหญ่ในสังคม แต่พวกเขานั้นต่างไม่ถูกกัน ต่างแก่งแย่งแข่งขันกันไม่สิ้น วิธีเดียว คือ “ตรึงกำลัง สร้างค่ายกลร้อยห่วง” มัดตรึงเอาพวกเขาไว้ ให้อยู่ในสภาพ “สมดุล” ต่อให้มีเรื่องราว กระทบกระทั่งกัน แต่ก็ไม่ล่มสลาย พวกเขาจึงตกอยู่ในสภาพ “มีอำนาจ แต่หาความสุขไม่ได้” เพราะไม่อาจจะแก้ “กลร้อยห่วง” นี้ได้ พวกมีหน้าที่สร้าง ก็มาสร้างความเจริญในถิ่นที่ขาดแคลน พวกมีหน้าที่รักษา ก็รักษาสิ่งสำคัญจำเป็น พวกมีหน้าที่ทำลาย ก็คอยเป็นบ่อนทำลายกระตุ้นให้เกิดสภาพแช่แข็ง เป็นบ่วงผูกรัดกัน ตรึงกำลังกันเอง ไม่มีแพ้ ไม่มีชนะ แต่คนที่แข่งขัน ล้วนแพ้ทุกคน ผู้ชนะกลับเป็นผู้ “ไม่แข่งขัน” นี่คือ “บ่วงกลร้อยห่วง” ที่ไม่มีแพ้ ไม่มีชนะ ไม่มีจบสิ้น ผู้ที่ต้องการปลดตัวเอง ต้องยอมแพ้ออกมาเอง จึงออกมาอยู่อย่างอิสรเสรีได้




    เพื่อตรึงอำนาจของอสูร, มาร, เทพ, พรหม ให้อยู่ร่วมกันอย่างเหมาะควร และพระพุทธ ศาสนาที่แท้จริงไม่ถูกทำลาย เดินหน้าต่อไปได้ จำต้องใช้กลอุบายนี้ บ่วงมัดผูกเขาไว้ แล้วใช้การกระทบกระทั่งกันเองของพวกเขา บีบให้ “ผู้ที่พร้อม” เอาตัวออกมาจากบ่วงนี้ เมื่อเขาออกมาแล้ว เหล่าผู้มีธรรมก็จะโปรดให้เขาหลุดพ้น เหล่าผู้บ้าอำนาจนั้น กลับถูกอำนาจผูกมัดและต้องทำกิจต่างๆ ไป ไม่อาจหลุดออกมาได้ จนกว่าเขาจะต้องการอยากหลุดพ้นจริงๆ ก็จะ “ยอมจำนน” และพร้อมที่จะรับธรรม ออกมาจากกลร้อยห่วงแล้ว ก็ได้ธรรมในที่สุด นี่คือวิธีเดียวที่จะรักษาสมดุลสามภพ และรักษาพระพุทธศาสนาพร้อมกัน

    ที่มา
    http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2009/11/13/entry-3
     
  18. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    พรรคมารอิลูมินาติและพรรคอสูรฟรีเมสัน เอาคนเข้าขบวนการบิดเบือนพุทธศาสนาได้อย่างไร




    ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าพรรคมารอิลูมินาติและพรรคอสูรฟรีเมสันนั้น เป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันขึ้นเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ร่วมกันอย่างลับๆ โดยมุ่งเน้นเข้าสู่การควบคุมกุมอำนาจทางการเมืองในทุกประเทศ ซึ่งมีอยู่จริง และมีนักวิชาการได้ศึกษาไว้เช่น ดร. นิติภูมิ ซึ่งขบวนการเหล่านี้เข้ามาแผ่อำนาจโดยยึดศูนย์รวมใจคน เช่น ศาสนา ทำให้เกิดปัญหาขึ้น ในบทความฉบับนี้ จะกล่าวถึงวิธีการที่พวกเขาเข้ามาแทรกแซงประเทศอื่นๆ ดังต่อไปนี้




    พรรคมารอิลูมินาติ

    โดยพรรคมารอิลูมินาติ มีศูนย์กลางอยู่ที่ฝ่ายทุนนิยม พวกเขาคิดจัดการโลกให้อเมริกาเป็นศูนย์กลาง และถือว่าประเทศอื่นๆ ในโลกนี้เป็นเพียงรัฐเล็กๆ รัฐหนึ่งของเขาเท่านั้น เช่น การที่เข้าไปแทรกแซงพม่า พม่าก็เป็นประเทศที่มีเอกราชของตนเอง การที่เขาจะทำอะไรนั้น ไม่จำเป็นที่ต้องให้ประเทศอื่นมาตีค่าว่าถูกหรือผิด เพราะพวกเขาจะเลือกทางเดินของตนเองได้ แต่อเมริกากลับพยายามเข้าแทรกแซง โดยกล่าวว่าจะทำให้พม่าเป็นประชาธิปไตย แต่นั่นเท่ากับละเมิดอธิปไตยของพม่า พม่าย่อมมีสิทธิ์ที่จะเลือกเป็นประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์ก็ได้ แล้วแต่ประชาชนของพวกเขาจะดำเนินการกันเอง ไม่ใช่สิทธิ์อำนาจของประเทศอื่นใดในโลกที่จะเข้าไปแทรกแซง การเป็นประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์นั้นไม่ผิด แต่การใช้อำนาจเข้าแทรกแซงเพื่อให้ผู้อื่นเป็นไปอย่างที่เราต้องการนั้น “ผิด” ฐาน “ล่วงละเมิดอธิปไตยของประเทศอื่น” แต่อเมริกาก็ยังทำ ซึ่งมันก็คือการแผ่ขยายอิทธิพลที่ส่งผลให้โลกเข้าสู่สงครามเย็น ก่อนที่จะเริ่มระอุเป็นโลกร้อนอีกครั้ง พวกอเมริกันยังใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม มาสั่งให้นายกไทย เข้าจัดการกับพม่าอีก ในประเด็นของอองซาน ซูจี ซึ่งไทยนั้นเป็นมีฐานะเป็นผู้นำอาเซียน มีสิทธิ์ที่จะให้การช่วยเหลือเพื่อนบ้านได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ละเมิดกิจการภายในของประเทศอื่น ไม่ว่าเขาจะเป็นประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์ก็ตาม อเมริกันกำลังจับเสือมือเปล่า สั่งงานให้ไทยทำแต่ตนเองไม่ออกค่าจ้างแม้แต่แดงเดียว ซึ่งนายกไทยเราก็ทำตามคำสั่งนั้นเสียด้วย




    พรรคอสูรฟรีเมสัน

    ส่วนพรรคฟรีเมสัน มีศูนย์กลางอยู่ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ พวกเขาวางแผนที่จะให้เกิดการปฏิวัติทั่วโลกขึ้นพร้อมๆ กันเพื่อเปลี่ยนโลกให้กลับขั้วไปเป็น “คอมมิวนิสต์” เหมือนกันหมด ตอนแรกพวกนี้มีกำลังน้อย แต่ภายหลังได้ร่วมมือกับพวกแขกอิสลาม ซึ่งแขกอิสลามเองก็ยึดมั่นในศาสนา มีเครือข่ายของตนเอง จึงไม่นิยมเข้ากับพวกนี้เพราะพวกคอมมิวนิสต์จะไม่ให้นับถือศาสนาอะไรเลย นอกจากนับถือคอมมิวนิสต์ แต่ภายหลังมีศัตรูร่วมกันคือ “อเมริกา” พวกเขาจึงได้ร่วมมือกันเมื่อหลังจากผลงานการถล่มตึดเวิร์ลเทรดสำฤทธิ์ผล และมีผู้วางแผนสำคัญเป็นเจ๊ก โดยวางแผนว่าจะโจมตีเศรษฐกิจโลกก่อน เมื่อเศรษฐกิจล่มแล้ว ก็จะนำไปสู่การขาดแคลน เดือดร้อน และประชาชนในประเทศนั้นๆ ก็จะทำการลุกขึ้นปฏิวัติได้อย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้กำลังทหารของประเทศคอมมิวนิสต์เลย นับว่าเป็นการทำกำไรฐานศูนย์จริงๆ ดังนั้น จึงชวนพวกแขกที่มีเงินมากไปซื้อน้ำมันล่วงหน้าเก็งกำไรไปมา ให้ราคาสูงๆ ตลาดผันผวนเศรษฐกิจซบ จากนั้น พอพวกนักการเงินเริ่มจะสงสัย ทำท่าจะจับได้ ก็ย้ายไปเล่นในตลาดอื่นเช่น ตลาดทองคำ, ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า โปรดสังเกตดีๆ ราคาสินค้าที่เก็งกำไรได้เหล่านี้ จะผลัดกันผันผวน พอราคาน้ำมันขึ้นมากๆ ไปถึงจุดหนึ่งก็จบลง ไปโผล่ราคาทองคำสูงขึ้นแทน เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตลาดสินค้าทั่วโลกผันผวนอย่างนี้ จนในที่สุด อเมริกาต้องตัดสินใจ “ผ่าตัดตลาดหุ้น” และ “ลงดาบ” ผู้ดูแลตลาดหุ้นไปคนหนึ่ง เพื่อปกป้องตนจากภัยสงครามเศรษฐกิจนี้ ไม่เท่านั้น พวกนี้เล่นกับ “ศูนย์รวมศรัทธา” ของประเทศอื่นๆ ก่อน เช่น คราวยึดทิเบต ก็จัดการพระลามะ ฆ่าตายไปมากมายเพื่อล้างขั้วอำนาจเก่า ในไทยศูนย์รวมใจสั่นคลอนนั้นก็เพราะฝีมือพวกเขา แม้แต่ในวงการพุทธศาสนา พวกเขาเข้ามาแทรกแซง ได้อย่างแนบเนียนและใช้คนไทยด้วยกันเองทรยศประเทศ ซึ่งจะเล่ารายละเอียดต่อไป




    กลยุทธ์ให้ก่อนกุมอำนาจทีหลัง

    กลยุทธ์นี้เป็นกลยุทธ์ที่ฝ่ายทุนนิยมใช้กับประเทศด้อยพัฒนาเพื่อลงทุนแต่น้อย แต่เอากำไรโกยกลับมากๆ พร้อมทิ้งมลพิษไว้ในประเทศด้อยพัฒนา (เมื่อโลกรอให้อเมริกัน เซ็นลงนามในการลดคาร์บอนร่วมกัน แต่อเมริกันกลับไม่ทำ) แต่ภายหลังฝ่ายฟรีเมสันก็ทำบ้าง โดยการเข้ามาสร้างสถานธรรม, วัด, มูลนิธิ ฯลฯ ในประเทศด้อยพัฒนา แล้วอาศัยสถานที่เหล่านี้ในการเผยแพร่แนวคิดทางความเชื่อและศาสนาที่บิดเบือนไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เช่น “การทำบุญเป็นสิ่งที่ดีนะ” แค่นี้เอง แต่ทำให้คนวนเวียนยึดติดอยู่กับบุญ และไม่มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ ปัญญาไม่เกิด แม้ไม่ได้โกหก พูดจริง แต่ไม่ทำให้คนหลุดพ้นเกิดปัญญา ตรงกันข้าม ทำให้คนหลงยึดติดว่าช่างเป็นที่ๆ ดีจริงๆ ทำบุญมากมาย เป็นคนดีจริงๆ เพื่อรอเวลาให้ประเทศล่มจม ผู้คนก็จะขาดที่พึ่งทางใจและหันมาพึ่งพาสถานธรรมเหล่านั้นเป็นที่ยึดเหนี่ยว เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะทำตัวเป็น “วีรบุรุษ” ออกมาช่วยเหลือผู้คน ซึ่งจริงๆ แล้ว ที่เกิดวิกฤติ, ภัยต่างๆ ก็มาจากการกระทำของพวกเขาเองที่กระทำลับหลังทั้งสิ้น เบื้องหน้าพวกเขาทำแต่ความดีแต่เป็นเรื่องพื้นๆ ให้คนยึดมากๆ และโง่ลงไปเรื่อยๆ ไม่ให้มีปัญญาเท่าทันใครได้ เพื่อให้ปกครองง่าย ยึดง่าย แต่เบื้องหลังก็ก่อการเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย




    การทำบุญเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่เครื่องถ่วงให้บุรุษยึดติด จนธรรมไม่ก้าวหน้า ปัญญาไม่เกิด และหลงเชื่อว่าเขาคนนั้นคนนี้เป็นที่พึ่งของเราได้ เป็นสรณะของเราได้ นั้นใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง การเห็นสิ่งดีก็ทำเสีย แล้วก็วางเฉยเสีย แต่ไม่ใช่ไปหลง หลงเอาว่าเขาดีจริง พระรูปนั้นน่าศรัทธาแท้ รักเขามาก หลงเขามาก ศรัทธาเหลือหลาย โดยไม่เคยรู้รอบครอบด้านเลย ว่าใครมีเบื้องหลังเป็นมาอย่างไรบ้าง อย่างนี้ โง่งมงาย พระพุทธเจ้าไม่สอนให้เป็นแบบนี้ ฝึกทำบุญเพื่อละความยึดติดในทรัพย์ ไม่ใช่ทำบุญแล้วยึดทั้งบุญ ยึดทั้งสถานธรรม อาจารย์สอนธรรม และพระที่รับของจากเราไป ทำเพื่อละวาง ไม่ใช่ทำเพื่อฝึกการยึดเกาะ แต่หลายท่าน ทำแล้วยึด ทำแล้วเกาะเหนียวแน่น มีมากนัก ที่ขบวนการเหล่านี้ เบื้องหลังไปวางแผนกันทำลายสถาบันกษัตริย์ไทย แต่เบื้องหน้าทำเป็นเคารพสักการะจัดงานให้ใหญ่โต ฉลองกันมโหฬาร ราวกับศรัทธาสุดใจขาดดิ้นเสียอย่างนั้น ประชาชนตาดำๆ รู้ไม่เท่าทันก็หลงว่าคนเหล่านี้ช่างเป็นคนดีแท้เพราะไม่มีปัญญาพิจารณาเท่าทันเล่ห์เหลี่ยมเขาได้เลย จึงทำให้หลงเขาไปนั่นเอง



    กลยุทธ์ให้ก่อนเรียกใช้งานทีหลัง

    แบบนี้มีมาก ตอนแรกเข้ามาให้อะไรเรามากมาย เช่น เงินทอง บางคนเอามาทำบุญให้วัดเป็นล้านๆ หลวงพ่อ, หลวงปู่ไม่รู้เท่าทัน ก็อนุโมทนาว่าเป็นคนดีแท้หนอ ที่ไหนได้เป็นเงินค้ายาบ้า เอามาเพื่อสร้างวัดแล้วคอยกุมอำนาจในวัด คอยบงการให้คนในวัดต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อไม่ให้พระดีๆ ที่มีพลังจิตดีๆ ปกป้องประเทศอยู่นั้น ได้ทำหน้าที่ได้ราบรื่น บางคนเอาคำว่า “อรหันต์” มาครอบใส่หัวพระอรหันต์ แล้วทำว่าท่านอรหันต์แล้ว อย่าตอบโต้ฉันสิ อย่าขัดขืนฉันสิ ท่านทำกรรมต่อฉันไม่ได้ ต้องยอมฉันเท่านั้น แล้วคนพวกนี้ก็ยึดทั้งวัดและพระอรหันต์รูปนั้นไปด้วย เหมือนสร้างวัดขังพระอรหันต์ เมื่อพระอรหันต์จะไปโปรดสัตว์ก็มีวิธีขวาง จะไปช่วยชาติก็มีวิธีขวาง เช่น “หลวงพ่อเจ้าขาหนูแย่แล้ว หนูเคยช่วยทำบุญมากมาย ตอนนี้ขอให้หลวงพ่อช่วยด้วยเจ้าค่ะ” พอหลวงพ่อไปช่วย คนอีกพวกก็แอบทำการลับทำร้ายประเทศไทย หลวงพ่อมัวช่วยคนๆ นี้ เลยลืมทำกิจปกป้องประเทศไทย แค่นี้เอง แนบเนียนมาก แทบจะไม่มีพระรูปไหนรู้เท่าทันเล่ห์กลแบบนี้เลย ก็คิดว่ามีคนมาขอร้องให้ช่วยต่อหน้าก็ช่วยไป แต่ไม่ทันคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้น หลายวัดจะถูกเอา “งาน” มาสุมหัวให้พระ ทำให้พระทำงานเยอะๆ จนไม่มีเวลาทำกิจ ปฏิบัติธรรมให้บรรลุมรรคผลที่แท้จริง เช่น สร้างวัดให้ใหญ่มากๆ เข้าไว้ ทำไปเรื่อยๆ จนสมบัติของชาติถ่วงคอพระไปหมด ตอนกลางคืนต้องเปิดไฟกลัวของหาย พอสิ้นเดือนจ่ายค่าไฟเป็นหมื่น ก็ต้องเร่ออกหาเงินมาจ่ายค่าไฟ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปปฏิบัติให้ได้มรรคผลทางธรรม ก็ยังโง่บริสุทธิ์เหมือนเดิม ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเลย






    กลยุทธ์ให้ก่อนทวงหนี้ทีหลัง

    คนเลวมากมายเข้าสู่กระบวนการค้ายาบ้าด้วยวิธีนี้ เช่น เขาให้ยืมเงินแล้วชวนไปเล่นพนันปอยเป็ด ตอนแรกเป็นเสี่ยลูกชิ้นอยู่ดีๆ พอหมดตัวเขาก็ทวงหนี้จะเอาชีวิต เลยต้องไปค้ายาบ้า ตอนนี้ขบวนการบาปนั้นเชื่อมโยงใยกันหมด เช่น เริ่มจากโต๊ะพนันบอล ที่ชวนเด็กวัยรุ่นไปเล่นให้ติดหนี้มากๆ พอไม่มีเงินจ่ายก็ต้องไปค้ายาเสพติด พอค้ายาแล้ว ก็มึนเมาบางคนก็ก่ออาชญากรรม เมื่อก่ออาชญากรรมมากๆ ก็ไล่คนดีออกจากที่ โจรใต้ก็ยึดครอง เป็นต้น เหล่านี้ล้วนโยงใยเป็นเครือข่ายกันไปแล้ว คนพวกนี้จะมาจับเด็กวัยรุ่นที่ชอบใช้เงินมากๆ เที่ยวเก่งๆ ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เพื่อชวนไปกินไปเที่ยวให้สนุก แล้วก็ทำเป็นใจดี ออกเงินให้ก่อน พอเป็นหนี้มากๆ ก็ทวงหนี้โหด ทำให้ต้องไปค้ายาบ้าดังกล่าว บางคนก็ให้ยืมก่อน ถึงเวลาใช้ให้ไปทำงานที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ




    กลยุทธ์ให้ก่อนทวงบุญคุณทีหลัง

    คนดีจำนวนมากตกหลุมพรางนี้ เพราะยึดมั่นใน “บุญคุณต้องตอบแทน” ดังเช่น การซื้อเสียง เป็นต้น กลยุทธ์ให้ก่อนทวงบุญคุณทีหลังนี้ สามารถพลิกแพลงไปได้หลายรูปแบบยิ่งกว่าการซื้อเสียงเสียอีก เพราะวัฒนธรรมไทยเรา ยึดติดในเรื่องบุญคุณต้องทดแทน ข้าพเจ้าได้รับการสอนจากชาวคริสต์ท่านหนึ่งว่า “ที่ให้นี้ไม่ได้ต้องการการตอบแทน แต่ต้องการให้ข้าพเจ้าเข้มแข็งและช่วยคนที่อ่อนแอต่อไป” ทำให้ข้าพเจ้าหลุดจากการจองจำด้วยการเอาคำว่า “บุญคุณ” มาครอบหัว แล้วช่วงใช้ให้เรากลายเป็นทาสรับใช้นั่นเอง




    กลยุทธ์การเจรจาแลกเปลี่ยน

    แบบนี้เป็นแบบแฟร์ๆ ใช้ได้กับคนที่ไม่ค่อยเข้ากับใคร เป็นตัวของตัวเอง สนใจแต่ผลประโยชน์แลกเปลี่ยนไปเท่านั้น การเจรจาแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย และเป็นเรื่องสากลมากๆ หลายท่านไม่เคยคำนึงถึงเลยว่าผลประโยชน์ที่เขาให้ตอบแทนมานั้น ไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับการที่ประเทศชาติเสียหาย เช่น เขาเอาเงินมาให้แลกกับโครงการอุตสาหกรรมริมทะเล เรายอมให้เขาตั้ง แต่เรากลับสูญเสียทรัพยากรมากมายไม่คุ้มเลย




    กลยุทธ์การซื้อตัว

    คนที่ทำงานในบริษัทฝรั่ง และปรับตัวเข้ากับระบบย้ายงานเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือนได้ พวกเขาจะรู้ว่าทำอย่างไรจะได้เงินมากๆ ต้องไม่ภักดี และย้ายไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มขั้นเงินเดือนให้ตัวเอง พวกเขาจะถูกซื้อตัวได้ด้วยเงิน และเป็นกลุ่มที่ง่ายมากที่จะจ้างมาใช้งานต่างๆ




    บทสรุปท้ายบทความ

    มารและอสูรก็คือมนุษย์ แม้จิตใจจะเป็นมารเป็นอสูร แต่หากเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนจิตใจ จิตวิญญาณภายในก็เปลี่ยนได้ พ้นจากความเป็นมารและอสูรได้ ดังนั้น ที่เขียนบทความนี้ไม่ได้ต้องการให้เกลียดกัน แต่ทำให้เกิดความเข้าใจไม่หลงกลทั้งมารและอสูรเท่านั้น ต้องการให้อยู่ร่วมโลกกันได้ไม่ทำร้ายกัน แต่ไม่หลงกันเกินไป เพราะทั้งมารและอสูรก็มีหน้าที่ของตน โลกนี้จะไม่มีความเจริญทางวัตถุขนาดนี้ถ้าไม่มีมาร ถ้ามารไม่หลงวัตถุมาสร้างทำไว้ ก็จะไม่มีความเจริญทางวัตถุ และโลกนี้คงไม่ตื่นขึ้นจากความหลง ถ้าไม่มีการดับสลายให้เห็นเป็น “อุทาหรณ์” ซึ่งเป็นหน้าที่ของอสูร อสูรทำหน้าที่ภาคทำลายล้าง ส่วนมารทำหน้าที่สร้างวัตถุให้คนได้ใช้เพื่อความเป็นอยู่ที่ดี แต่ก็ทำให้คนหลงยึดติด ดังนั้น ทั้งสองส่วนล้วนเป็นส่วนที่สำคัญต่อสมดุลของสามภพนี้ ไม่มีใครเลว ไม่มีใครดี แต่ทุกคนมีหน้าที่ของตนที่แตกต่างกันออกไปที่ต้องกระทำ ไม่ทำไม่ได้ โลกจะต้องเดินไปข้างหน้า หากเราหลงมัน ก็วนไปกับมันไม่สิ้นสุด ถ้าปล่อยโลกออกเสียได้ ก็จะหลุดออกจากโลกเองตามแรงหมุนเหวี่ยงของโลก เมื่อนั้น ก็ได้พ้นจากการจมปลักอยู่กับโลก ได้อยู่เหนือโลกมองเห็นโลกทั่วอย่างแท้จริงเพราะโลกทุกวันนี้ ไม่ได้สวยงามดังในทีวีที่เราดูกันทุกวัน แต่ละคนแต่ละฝ่ายต่างจ้องที่จะยึดครองโลกนี้ไปเป็นของฝ่ายเขาเพียงฝ่ายเดียวในวันใดวันหนึ่ง เราเป็นผู้น้อยจำต้องเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างสงบ


    ที่มา
    http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2009/10/05/entry-2
     
  19. somemaybe

    somemaybe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2009
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +143
    อ่านแล้วเกิดสงสัย ตกลง เจ้าอิลูมินาติ คือ คนหรือเปล่าอ่ะ


     
  20. greenice

    greenice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    760
    ค่าพลัง:
    +1,390
    ได้ความรู้ดีนะครับ แต่โอ้โหยาวจัง ขออนุโมทนาบุญกุศลด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...