อัตชีวประวัติของ พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จนฺทูปโม)

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 5 มีนาคม 2012.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ภูมิลำเนาเดิมของบิดามารดา
    เดิมโยมพ่อโยมแม่เป็นคนบ้านปากซี ใกล้กับเมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมื่อ พ.ศ. 2461 ได้ชักชวนเพื่อนบ้าน 3 ครอบครัว พากันเอาเรือคนละลำหาจับปลาตามลำน้ำโขงบ้าง ตามแม่น้ำที่ไหลลงแม่น้ำโขง เช่น น้ำงึมทางฝั่งประเทศลาวล่องเรือลงมาเรื่อยๆ เมื่อจับปลาแล้วทำเป็นปลาตากแดดบ้าง ทำเป็นปลาร้าบ้าง แล้วขายให้หมู่บ้านต่างๆ ตามริมแม่น้ำโขง เมื่อขายหมดแล้วก็จับปลาอีก เมื่อเต็มลำเรือแล้วก็นำปลาไปขาย ทำอย่างนี้เรื่อยมาจนล่องถึงแม่น้ำสงคราม แล้วขึ้นตามลำน้ำสงครามจนถึงหมู่บ้านดงพระเนาว์ ต.สามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ได้อยู่ในบ้านนี้ตลอดมาเพราะตามลำน้ำนี้มีปลานานาชนิดชุกชุมมาก

    ชีวิตได้อยู่อาศัยในเรือตลอดมาจนถึง พ.ศ. 2466 ทางราชการได้มาตั้งกิ่งอำเภออากาศอำนวย ขึ้นที่บ้านดงพระเนาว์ ต.สามผง จึงได้ขึ้นไปอยู่บนแผ่นดินกับชาวบ้านตั้งแต่บัดนั้นมา เมื่อตั้งกิ่งอำเภอแล้วได้ 5 ปี เมื่อ พ.ศ. 2471 หมู่บ้านดงพระเนาว์จึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า บ้านศรีเวินชัย จนตลอดมาถึงปัจจุบัน

    ชาติภูมิ
    วันที่ 13 พ.ย. 2471 ตรงกับวันอังคาร ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 12 ปีมะโรง เวลา 06.00 น. เป็นวันเกิดของผู้เขียน โยมบิดา ชื่อพ่ออ้วน โยมมารดา ชื่อแม่ทุมมา เป็นลูกคนที่ 6 ในจำนวน 7 คน ซึ่งมีรายชื่อดังนี้
    1.นางคำมี สีแพง (เสียชีวิตแล้ว)
    2.นางบัวสี นนทจันทร์ (เสียชีวิตแล้ว)
    3.นางจันที เหมื้อนงูเหลือม (เสียชีวิตแล้ว)
    4.นายจูมศรี ปทุกมากร
    5.นายทองดี ปทุมมากร
    6.พระคำพันธ์ จนฺทูปโม (ปทุมมากร)
    7.เด็กชายสุวรรณ ปทุมมากร (เสียชีวิตแล้ว)
    คนที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เกิดอยู่ที่บ้านปากซี เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว นอกนั้น 4 คนลงมาเกิดอยู่บ้านศรีเวินชัย ต.สามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม

    เมื่อผู้เขียนอายุ 9 ปี โยมพ่อได้เสียชีวิต เหลือแต่โยมแม่กับลูกๆ โยมแม่ต้องทำงานหนักในการเลี้ยงดูลูกทุกคนต่อมา ส่วนพี่สาวทั้ง 3 คนนั้น ได้แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว ที่ยังเหลือก็อยู่ในความเลี้ยงดูของแม่ต่อไปในหมู่บ้านศรีเวินชัย สมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียน จึงเป็นเหตุให้เด็กทุกคนในบ้านไม่ได้เรียนหนังสือ

    บรรพชา
    เมื่ออายุได้ 10 ปี พ.ศ. 2481 โยมแม่ได้นำไปฝากอยู่วัดแพงศรี บ้านศรีเวินชัย กับพระอาจารย์พุฒ เมื่อท่องคำขอบวชได้แล้ว พระอาจารย์พุฒพาไปบวช ไปโดยทางเรือ ขณะนั้นน้ำสงครามขึ้นเต็มฝั่ง ไปบ้านท่าบ่อ ต.ท่าบ่อสงคราม อ.ศรีสงคราม บวชกับพระครูปริยัติสิกขกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชเป็นคู่กับสามเณรจันดี ที่อยู่วัดศรีสงคราม ปีนั้นได้จำพรรษาที่วัดแพงศรี บ้านศรีเวินชัย

    ความฝันในวันบวช
    การบวชครั้งนี้โยมมารดามุ่งหมายให้บวชแทนคุณโยมบิดา ที่ท่านเสียชีวิตจากไปแล้วนั้น เมื่อบวชในวันแรกนั้นตอนกลางคืนฝันว่าได้เข้าไปบ้าน เห็นหีบศพของโยมบิดาตั้งอยู่ใต้ถุนบ้าน จึงคิดว่าไม่สมควรตั้งที่นั่น ควรจะเอาขึ้นตั้งไว้บนบ้าน เมื่อคิดแล้วก็ลงมือดึงหีบศพโยมพ่อขึ้นมาตรงกลางบ้าน ในความฝีนดึงขึ้นคนเดียว ทะลุพื้นขึ้นมาวางไว้บนบ้านได้สำเร็จ พอตื่นจากฝันจึงคิดทบทวนความฝันว่า ทำไมเราจึงแข็งแรงขนาดนั้น ดึงหีบศพคนเดียวขึ้นได้อย่างง่ายดาย จึงคิดว่าฝันเช่นนี้คงเป็นนิมิตแสดงให้รู้ว่า การบวชครั้งนี้จะช่วยโยมบิดาให้พ้นจากนรกได้ สมความมุ่งหวังที่ว่าจะบวชเพื่อช่วยโยมพ่อให้ได้พ้นทุกข์ เมื่อพิจารณาได้ความอย่างนี้แล้ว ก็เกิดปีติยินดีเป็นอันมาก


    [​IMG]
    เรียนหนังสือธรรม

    เมื่อบวชแล้วพระอาจารย์ได้ให้เรียนหนังสือธรรมที่จารลงใบลาน ชื่อหนังสือที่ว่านี้คือ ปัญญาบารมี โดยวิธีเอาหนังสือไปนั่งหันหลังให้อาจารย์ อาจารย์ก็บอกเป็นคำๆ ให้จำเอา แล้วทบทวนหลายเที่ยว ตอนแรกเรียนทั้งวันได้ 2 แถว 3 แถว โดยให้จำเอา ไม่มีการให้เขียนเลย ตอนหลังอ่านที่เรียนมาแล้ว ก็เรียนต่อแถวใหม่ไปเรื่อยๆ จนจบหนังสือผูกนั้น เมื่อท่องได้คล่องแล้วก็ให้เรียนหนังสือผูกใหม่ต่อไป มีการเรียนการสอนอย่างนี้ไปเรื่อยตลอดพรรษา ก็สามารถอ่านหนังสือธรรมออกและเขียนได้ การเรียนการสอนแบบนี้เป็นการเรียนการสอนแบบโบราณที่ทำกันทั่วไปในสมัยนั้น

    ไปประเทศลาว
    เมื่อออกพรรษาในปีนั้น พระอาจารย์พุฒจะไปธุดงค์ทางประเทศลาว (ขอใช้คำนี้เพราะเข้าใจง่ายดี) เพราะท่านเคยไปธุดงค์แถวเมืองท่าแขกเวียงจันทน์ ขึ้นไปถึงหลวงพระบางอยู่เสมอ ท่านจึงสั่งให้โยมชาวบ้านพากันฟันไม้เสาศาลาการเปรียญคอย ท่านจะกลับมาปลูกศาลาต่อไป โยมแม่จึงขอให้สามเณรคำพันธ์ไปด้วย เพื่อจะให้ไปเยี่ยมญาติ ทางพ่อแพงศรีไปด้วยกัน ถึงที่บ้านหมูม่น อันเป็นบ้านโยมพ่อโยมแม่ของพระอาจารย์พุฒ พัก 1 คืน ตื่นขึ้นจึงเดินทางไปบ้านนาดี ขึ้นภูลังกาข้ามไปบ้านแพง พักวัดสิงห์ทอง 1 คืน แล้วข้ามน้ำโขงไปขึ้นฝั่งลาวที่พระบาทโพนแพง พักอยู่นั้น 4 คืนแล้วนั่งรถโดยสารสองแถวซึ่งมีน้อยที่สุด เพราะบางวันก็ไม่มี

    ถ้ามีก็มีสองคันสามคันเท่านั้น จากวัดพระบาทโพนแพงไปเมืองเวียงจันทน์ เจ้าของรถเห็นหนังสือสุทธิจึงไม่เก็บค่าโดยสาร พักที่วัดอูบมุง ในเวียงจันทน์นั้น 2 คืน แล้วนั่งรถโดยสารไปเมืองหลวงพระบางเมื่อไปถึงเมืองซองจึงลงรถที่นั้น จากนั้นท่านก็พาไปธุดงค์ตามหมู่บ้านต่างๆ ที่พระอาจารย์พุฒเคยไปมา จากหมู่บ้านหนึ่งไปสู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยมากก็เป็นหมู่บ้านไม่ใหญ่ ที่เป็นอยู่อย่างธรรมชาติ

    เป็นไข้มาลาเรีย
    ประมาณ 2 เดือนต่อมาได้เป็นไข้มาลาเรีย คือ ไข้ป่าหรือไข้จับสั่น บางวันก็ไข้ บางวันก็หาย จนร่างกายทรุดโทรม วันหนึ่งไข้หนักและไข้นาน พระเณรก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไม่มียา พระเณรจึงเอาขี้ผึ้งตราพระเอาใส่น้ำร้อนมาให้กิน เมื่อกินแล้วก็ไม่ได้ผลอะไร เพราะไม่ใช่ยาแก้ไข้ป่าต่อมาพระอาจารย์พุฒจึงพาไปเมืองซอง ฝากไว้กับพระในวัดนั้น (ชื่อว่าวัดอะไรจำไม่ได้) ฝากกับโยมผู้มีหลักฐานดีผู้หนึ่ง แล้วพระอาจารย์พุฒก็ออกเที่ยวไปที่หลายแห่ง แล้วกลับเยี่ยมคราวหนึ่ง เห็นว่าเป็นไข้ไม่มียากินจึงตกลงกันว่า การไปบ้านปากซี เมืองหลวงพระบางนั้น ควรงดไว้ก่อน จึงได้นำกลับไปเมืองเวียงจันทน์ทั้งๆ ที่เป็นไข้อยู่ นั่งรถตามถนนลูกรัง รถโดยสารเป็นรถแบบโบราณ คือ ตัวเรือนรถทำด้วยไม้ ที่พิงหลังก็ทำด้วยไม้ ที่นั่งก็ทำด้วยไม้ เมื่อขับมาประมาณ 1 ชั่วโมง ได้อาเจียนออก ไม่มีอาหารในท้องเลย รู้สึกเหนื่อย จนถึงเวียงจันทน์ ลงที่วัดอูบมุง ท่านจึงขอฝากกับเจ้าอาวาสวัดอูบมุง ชื่อพระมหาอ่ำ (ท่านเป็นคนบ้านพานพร้าว อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย) ท่านก็รับไว้อยู่ 2 วัน พระอาจารย์พุฒก็ออกไปจากวัดอูบมุง จากนั้นไม่รู้ท่านไปไหนเลย จึงได้อยู่กับพระมหาอ่ำ

    จำพรรษาที่เวียงจันทน์
    ในปีนั้น พ.ศ. 2481 ทางวัดมีการสอนหนังสือลาว ดังนั้นจึงตั้งใจเรียนหนังสือลาวจนอ่านออกเขียนได้ ปีต่อมาครูจะให้เรียนชั้นตรี กำลังเรียนอยู่ชั้นตรีในปี พ.ศ. 2482 ได้เกิดสงครามอินโดจีน คือประเทศไทยรบกับฝรั่งเศส ซึ่งประเทศลาวยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอยู่ ดังนั้นทางการจึงสั่งผู้อยู่เขตเมืองเวียงจันทน์ ให้ขุดหลุมหลบภัยทุกบ้านทุกวัดเพราะฝั่งไทยยิงปืนใหญ่เป็นระยะๆ ลูกปืนบางลูกตกเลยหมู่บ้านไปลงทุ่งนาก็มี ตกนอกเมืองก็มี บางลูกตกแล้วไม่ระเบิดก็มี คงจะเป็นเพราะเก็บไว้นาน เลยเสื่อมคุณภาพก็เป็นได้
    วันหนึ่งภายในวัดอูบมุง หลวงพ่อสีท่านตีเหล็กทำมีดอยู่ ประมาณบ่าย 3 โมง หรือ 15 นาฬิกาของวันนั้นได้ยินเสียงปืนใหญ่ทางฝั่งไทยยิงไปจุดไหนไม่รู้ แต่ลูกปืนผ่านตรงกับวัดพอดี เปลือกนอกลูกปืนแตกเป็นเหล็กเท่ากับด้ามมีด ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร ตกลงกลางวัด ถูกหลังคาศาลาการเปรียญ ทำให้กระเบื้องมุงหลังคาแตกกระจาย

    เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำให้พระเณรที่มุงดูการตีเหล็กตกใจ ต่างพากันวิ่งลงหลุมหลบภัย ส่วนหลวงพ่อสีก็ตกใจเหมือนกัน จึงวิ่งลงหลุมด้วย ทั้งที่มียังถือคีมคีบเหล็กแดงๆ ที่ตีอยู่นั้น ถ้าถูกใครเข้าคงไหม้ เพราะยังแดงๆ และร้อนมาก แต่ก็ปลอดภัยไม่ถูกใคร หลบอยู่ในหลุมนั้นประมาณ 40 นาที เมื่อไม่เห็นยิงมาอีกก็พากันออกมาจากหลุม

    เมื่อเห็นว่าถ้าอยู่ภายในเมืองนี้คงไม่ปลอดภัยแน่ ทุกวัดจึงพากันออกจากเมืองไปพร้อมทั้งญาติโยม ไปอยู่ให้พ้นจากลูกปืนที่จะยิงถึง ผู้เขียนก็ออกจากวัดไปอยู่ในที่ทำขึ้นเป็นที่อาศัยชั่วคราว แต่มีข่าวลือว่าทางประเทศไทยยิงปืนใหญ่และระเบิดใส่เมืองเวียงจันทน์ มีคนล้มตายเป็นอันมาก จนขนศพไปทิ้งไม่หวาดไม่ไหว เอาไปทิ้งลงบ่อจนเต็มหลายบ่อ โยมแม่ก็ได้ทราบข่าวนี้ ภายหลังเมื่อกลับมาบ้าน โยมแม่เล่าให้ฟังว่าท่านคิดว่าลูกเราคงจะเสียชีวิตในสงครามกับเขา ท่านจึงร้องไห้ ไม่รู้จะทำอย่างไร และพระอาจารย์พุฒก็ไม่ส่งข่าวให้รู้ว่าอยู่ไหน เป็นอย่างไร จึงทำให้ท่านเป็นห่วงลูกมาก

    เมื่อสงครามเลิกกันไปแล้ว คือ พ.ศ. 2482 ท่านพระอาจารย์ก็พาลูกวัดกลับเข้ามาสู่เมืองที่วัดเดิมของตน ในปีนั้นก็อยู่จำพรรษาที่วัดอูบมุงตามเดิม

    อัตตะโนประวัติของ พระจันโทปมาจารย์ - โพสต์ทูเดย์ ข่าวธรรมะ-จิตใจ
     
  2. JKV

    JKV เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +201
    ขอนอบน้อม แด่องค์ หลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าฯ
    [​IMG]
     
  3. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
  4. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    หาอุบายแก้ความกลัวผี
    ในการบำเพ็ญจิตภาวนานั้นก็ไม่ลดละ คงบำเพ็ญมาตลอดตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์ได้แนะนำสั่งสอนมา ได้รับความสงบบ้างในบางวัน วันหนึ่งเวลาประมาณ 5 ทุ่ม หลังจากเดินจงกรมแล้ว จะไปเยี่ยมที่เผาศพซึ่งกำลังเผาอยู่ เพื่อจะให้จิตสงบหายกลัวผี ซึ่งมีอยู่มากตามปกติ เมื่อเดินไปใกล้จะถึงที่ศพเผาอยู่ประมาณ 10 เมตร มีความกลัวมาก กลัวจนสุดขีด ขาแข็งก้าวเท้าเดินไม่ออก ได้ยืนกับที่นิ่งอยู่นาน จึงคิดว่ากลัวทำไม เราได้ขอฝากตัวถวายชีวิตต่อพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ในสามโลกธาตุนี้ ไม่มีใครจะเหนือพระองค์ไปได้ แม้แต่พระอินทร์ พระพรหม เทวดา ผีสางนางไม้ มนุษย์ ยอมกราบไหว้พระองค์ทั้งหมด เอ้า! ตายเป็นตาย จากนั้นก็ยืนนิ่งไปเลย นานเท่าไรไม่ได้กำหนด เมื่อถอนจากความสงบแล้ว จิตเบิกบาน หายจากกลัวผีเป็นปลิดทิ้งเลย แล้วจึงเดินต่อไปหาศพ พิจารณาถึงการตายของเราแล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ในวันหนึ่งแน่นอน ได้ธรรมะมากพอสมควร แล้วจึงเดินกลับกุฏิ

    ในกาลต่อมาเมื่อมีพระเณรมาจำพรรษาอยู่ด้วยมากขึ้น จึงซ่อมหลังคาศาลาโรงธรรมขึ้น เพราะปลวกกัดหลังคาเสียหาย ก็พาโยมจัดซ่อมขึ้นใหม่ พร้อมทั้งกุฏิก็ชำรุด และกุฏิไม่พอ จึงให้โยมชาวบ้านช่วยกันจัดสร้างและซ่อมใหม่ขึ้น
    ต่อมา พ.ศ. 2497 ได้สร้างศาลาถาวรขึ้นใหม่ ก่อด้วยอิฐต่อด้วยเสาไม้ทรงไทยกว้าง 11.15 เมตร ยาว 18.50 เมตร มุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์ ซื้อแบบ พิมพ์มาทดลองเองซื้อทั้งหมด 47,650 บาท ทำอยู่ 2 ปีเศษ จึงสำเร็จ และได้ฉลองเมื่อ พ.ศ. 2499

    กลับไปถ้ำชัยมงคล
    ต่อมาในปี 2499 นั้น ได้มีเสียงเล่าลือว่า ที่ถ้ำชัยมงคลมีผีเฝ้าถ้ำอยู่ โดยเข้าใจว่าคงเป็นพระอาจารย์วัง และพระวันดีผู้เป็นลูกศิษย์ซึ่งได้มรณภาพที่นั่น นี่เป็นคำบอกเล่าของพระอาจารย์กุล อภิชาโต บ้านโพธิ์หมากแข้ง ซึ่งเป็นพระวัดบ้าน และเป็นผู้ที่เคารพรักใคร่ท่านพระอาจารย์วังอยู่มาก จึงบอกให้เราทราบ จึงปรึกษากันว่าคำเล่าลืออย่างนี้ไม่ดีแน่ จึงตกลงกันไปกับท่าน เมื่อไปถึงบ้านโพธิ์หมากแข้งแล้วพักคืนหนึ่ง วันต่อมาได้ชักชวนญาติโยมประมาณ 15 คน ขึ้นไปสู่ถ้ำชัยมงคลได้ค้างคืนอยู่นั่น 3 คืน แต่ละวันแต่ละคืน ได้พากันทำวัตรสวดมนต์ แล้วทำบุญอุทิศไปถึงครูบาอาจารย์ เทวดาอารักษ์ สรรพสัตว์ด้วย แล้วนั่งสมาธิภาวนาสมควรแล้วหยุดพัก อธิษฐานว่าถ้ามีอะไรเป็นจริงดั่งคำเล่าลือก็ขอให้มีมาปรากฏทางใดทางหนึ่งให้ทราบ แต่แล้วทั้งสามคืนก็ไม่มีอะไรมาปรากฏให้รู้ จึงมีความเห็นว่า เป็นเพราะถ้ำไม่มีพระอยู่ประจำ ผู้ไปอาศัยก็ว้าเหว่เปล่าเปลี่ยว จึงสร้างความคิดขึ้นหลอกตัวเองไปต่างๆ นานา

    [​IMG]

    อุบัติเหตุครั้งร้ายแรงที่สุดในชีวิต
    จากนั้นก็ลงจากถ้ำจะกลับวัด แต่มีโยมบ้านดอนกลาง ต.โพธิ์หมากแข้ง เคยเป็นบ้านอุปัฏฐากถ้ำชัยมงคลเช่นกัน จะทำบุญบ้านจึงขอนิมนต์ให้อยู่ร่วมทำบุญด้วย จึงจำเป็นได้รับตามคำนิมนต์ เมื่อเสร็จจากงานบุญนั้นแล้วก็จะกลับบ้าน โยมจะหาผักหนอก (ผักใบบัวบก) ถวายที่มีอยู่ใกล้บ้าน 1 กิโลเมตร ริมน้ำบึงโขงหลง เหตุการณ์บังเอิญให้เกิดความคิดกันขึ้นในที่ชุมชนกันอยู่ เกิดความอยากสรงน้ำขึ้นมา จึงชวนกันไปสรงน้ำที่อยู่ใกล้กับที่ที่โยมไปเอาผักหนอก จึงตกลงกันไป 56 รูป

    เมื่อไปจริงๆ ผู้ชวนหมู่แล้วกลับไม่ได้ด้วยก็มี มีผู้ใหม่ไปแทนรวมได้ 4 รูป คือ 1.พระอาจารย์กุล อายุ 36 ปี เป็นคน จ.อุบลราชธานี 2.พระคำพันธ์ (ผู้เขียน) อายุ 29 ปี เกิดอยู่ จ.นครพนม 3.พระทองดี อายุ 26 ปี เกิดอยู่ จ.กาฬสินธุ์ 4.พระอุทัย อายุ 24 ปี เกิดอยู่ จ.หนองคาย ทั้งหมด 4 รูป 4 จังหวัด เรือที่เอาไปนั้นนั่งได้ 6 คน ทั้ง 4 รูป นั่งริมเรือซึ่งยังสูงจากน้ำอยู่ เรือเป็นเรือโคลงเคลงง่าย นั่งไม่แน่น เอียงซ้ายเอียงขวาอยู่เรื่อยๆ

    ความตั้งใจเดิมว่าจะไปสรงน้ำ เมื่อไปถึงที่โยมเก็บใบผักหนอกแล้ว เพราะเหตุดลใจอย่างไรไม่ทราบ จึงคิดชวนกันขณะนั้นว่า พวกเราไปดอนแก้วดอนโพธิ์ ซึ่งเป็นเกาะกลางน้ำบึงโขงหลง แล้วจึงกลับมาพบโยมแล้วก็หันหัวเรือมุ่งไปดอนทั้งสองนั้น พายเรือไปกลางน้ำมุ่งตรงไปดอนเลย ซึ่งตามปกติคนอื่นเขาไปกัน เขาจะพายเรือเทียบฝั่งไปก่อน เมื่อไปถึงตรงดอนแล้วจึงหัดเรือไปสู่ดอนภายหลัง นี้ก็ลางร้ายอีกอย่างหนึ่งซึ่งมาทราบภายหลัง กรรมของผู้ตายมาถึงจุดจบชีวิตแล้ว จึงให้พอใจทำอย่างนั้น

    ดอนทั้งสองอยู่ห่างจากจุดเริ่มต้นประมาณ 2 กิโลเมตร เมื่อพายเรือไปถึงจุดที่เรือพลิกล่ม เป็นจุดกลางพอดี ระหว่างสองฝั่งทั้งสอง เรือได้โคลงพลิกเอาน้ำเข้าเรือข้างซ้าย จากนั้นน้ำก็เข้าเรือเรื่อยๆ จนทำให้เรือจม ทั้ง 4 รูปตกใจ แต่ทุกคนอยู่กับเรือตามคำที่ผู้เขียนแนะนำ เพราะผู้เขียนเคยชำนาญทางเรือทางน้ำ เรือล่มก็ถือเป็นเรื่องสนุกไป เมื่อใดเรือล่ม ก็ช่วยกันกู้เรือได้แล้วก็ขึ้นเรือต่อไป แต่ 3 รูปท่านไม่เคยทำเช่นว่า เพราะเมื่อผู้เขียนได้ชวนให้กู้เรือทั้งๆ ที่เท้าไม่เหยียบดิน ก็ทำไม่เป็น ผู้เขียนดึงเรือกู้เรือคนเดียวก็ดึงไม่ไหว เพราะ 3 รูปเกาะติดกันแน่น เลยไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป ก็มารวมนั่งในเรือซึ่งล่มอยู่ เมื่อน้ำหนัก 4 รูปทับอยู่จึงทำให้เรือจมดิ่งลง แล้วก็เปรียบเหมือนเอาเท้าเหยียบส่งต่อ เรือจึงจมลงจนน้ำเข้าปาก ต่างคนก็ว่ายน้ำกันตามลำพัง เมื่อเห็นเรือมันโผล่ขึ้นมาไกลจากจุดที่พระ 4 รูปว่ายน้ำอยู่ประมาณ 5 วา ก็ว่ายน้ำไปรวมที่เรืออีก แต่เรือก็จมลงอีก เมื่อเรือโผล่ก็ว่ายไปหาเรือที่โผล่ขึ้นอีก ทำอย่างนี้หลายครั้ง

    คราวหนึ่งผู้เขียนคนเดียวได้มีโอกาสร้างบอกว่า เรือล่มช่วยด้วยได้เพียง 2 คราว จากนั้นต่างคนก็ลอยคออยู่ตามลำพังจนรู้สึกหมดแรง พระอาจารย์กุล ท่านมีโรคประจำตัว ส่วนพระอุทัยเป็นคนรูปร่างเล็ก ผลต่อมาคือ เมื่อว่ายน้ำไปหาเรืออีกครั้ง ปรากฏว่าไม่พบพระอาจารย์กุล และพระอุทัยแล้ว ไม่รู้จมน้ำที่ไหน เพราะต่างคนต่างก็ดิ้นรนช่วยตัวเอง ดีอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อว่ายน้ำไม่เก่งก็ไม่ไปกอดอาศัยคนที่ว่ายน้ำเก่ง เมื่อเหลือสองรูปกับพระทองดีจึงพูดกันว่า เมื่อเพื่อนตายไปแล้ว เราสองคนอย่าหนีจากเรือ

    ขณะที่เรือล่ม มาทราบภายหลังว่ามีคนเห็นอยู่ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก ฝั่งขวามีโยมสามคนกำลังแทงเหล็กแหลมเพื่อหาจับปลาไหลอยู่ ครั้งแรกนั้นเมื่อเห็นพระกำลังพายเรือมาแต่ไกล ก็พากันเข้าใจว่า เป็นพระอยู่บ้านโสกก่าม หรือไม่ก็คงเป็นพระที่ต้องกลับจากไปร่วมทำบุญบ้านตอนกลางวันแล้ว พากันกลับวัดโดยเรือ แต่เมื่อเรือล่มอยู่กลางบึงโขงหลงตรงตัวพอดี กลับเข้าใจไปว่าโยมคนหนึ่ง อยู่คนละฝั่งโขงหลงกำลังไล่ตีกวางลงน้ำอยู่ มองเห็นหัวเรือที่อยู่กลางน้ำ ที่โผล่ขึ้นๆ ลงๆ ดังที่เล่ามาแล้ว เข้าใจว่าเป็นเขากวาง จึงพากันเอาเรือข้ามบึงโขงหลงไปช่วยไล่ตีกวางด้วย เผื่อจะไปแบ่งส่วนเนื้อกวางบ้าง โยมกลุ่มนี้เองคือกลุ่มที่มาช่วยผู้เขียน ส่วนโยมกลุ่มที่ 2 อยู่อีกฝั่งหนึ่ง มองเห็นเรือที่ล่มอยู่นั้นคิดว่ามันติดกับฝั่งโน้น เข้าใจว่าเด็กเล่นเรืออยู่ จึงร้องด่าไปแก่พวกเด็กด้วย

    โยมกลุ่มที่ 3 เป็นชาวบ้านโสกโพธิ์ชวนกันมาทอดแห 8 คน มีเรือ 4 ลำ พร้อมกับทอดแหมาเรื่อยๆ แต่ยังอยู่ไกลจากจุดเรือล่มประมาณ 67 เส้น รู้กันทุกคนว่ามีเรือล่ม และมีคนว่ายน้ำลอยคออยู่ (คือได้ถามกับโยมคนหนึ่งใน 8 คนในภายหลัง) เสียงร้องให้ช่วยเหลือก็ได้ยินชัดอยู่แต่ไม่ได้คิดว่าเป็นเรือพระ ตอนแรกก็ชวนกันจะไปช่วยอยู่เหมือนกัน ซึ่งถ้าเขาพากันไปช่วยในช่วงนั้นก็คงช่วยได้ไม่ต้องมีใครตาย หรือไม่ก็ช่วยได้ 2 รูป แต่กรรมของผู้ตายดลบันดาลปิดสมองปิดหัวใจไม่ให้มีโอกาสช่วยเหลือได้ จึงพร้อมกันทั้ง 8 คน ให้เห็นพร้อมกันว่า ไม่ต้องไปช่วยพวกนั้นดีกว่า คงเป็นตำรวจเอาผู้ร้ายมาฆ่า ผลก็คือตัดสินใจไม่พากันไปช่วย ทอดแหไปตามเรื่องเฉย คิดแล้วน่าน้อยใจว่าใจดำอำมหิตกันจริงๆ แต่มาคิดในแง่กรรมของผู้ตาย มันคือจุดจบชีวิตแล้ว จึงบันดาลให้ปิดหัวใจของคนทั้งสามจุดนั้นให้แน่นหนา เพราะเมื่อกรรมจะให้ผลแล้ว ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน บนฟ้า ใต้ดิน ใต้น้ำ ไม่มีทางหลีกจากกรรมคือความตายได้เลย แต่มาคิดว่าเราผู้เขียน มีกรรมพัวพันกันมาแต่ครั้งไหน จึงติดพันกันมาร่วมเหตุการณ์เช่นนั้นได้

    คราวนี้ขอกล่าวต่อถึงเหตุการณ์พระสองรูปที่เหลือ ได้พูดกันว่าเพื่อนตายไปแล้วสองคน เราอย่าหนีจากเรือเด็ดขาด ก็ร่วมกันนั่งเรือที่ล่มจนอยู่นั้นเอง คนหนึ่งอยู่หัวเรือและอีกคนอยู่ท้ายเรือ และได้ร้องให้คนช่วยถึงสองครั้ง พระทองดีก็ร้องสองครั้ง คราวนี้โยมสองคนที่จะไปช่วยตีกวางลงน้ำ จึงสำนึกได้ว่า คงเป็นพระที่เราเห็นตอนต้น แล้วคิดว่าท่านกลับมาจากบ้านทำบุญโดยทางเรือ ต้องไปช่วยแล้ว โดยเอาเรือลำใหญ่นั่งได้ 12 คน แต่ได้ลงเรือไป 2 คน อีกคนไม่ไปด้วย มีไม้พายหนึ่งอัน คนที่สองเอาไม้ไผ่กลมๆ ใช้แทนไม้พาย จึงเป็นเหตุให้เรือไปช้า ถ้ามีไม้พายทั้งสามคนคนละอันร่วมกัน ต้องพายเรือไปทันช่วยพระทองดีแน่ ความตายของพระทองดียังจะต้องมีในระยะนี้อยู่ จึงให้เป็นทางเอื้ออำนวยตามเรื่องของกรรมบันดาล

    ขณะที่โยมสองคนกำลังมาช่วยนั้นยังอยู่อีกไกล เราสองรูปได้ว่ายน้ำไปๆ มาๆ หลายเที่ยวรู้สึกอ่อนแรง เหนื่อยมาก เรือที่มีเรานั่งอยู่ก็พยุงเราไม่ได้ ทำให้ยันเรือจมลงพื้นน้ำ น้ำก็เข้าปาก ต่างคนต่างว่ายหาเรือ ถึงขณะนี้เราผู้เขียนก็เริ่มหมดแรงจะจมน้ำลงไปด้วย จึงได้แต่พยายามพยุงตัวเองขึ้นให้พ้นน้ำ ขณะนั้นปรากฏเห็นสิ่งอัศจรรย์ คือเห็นรูปของศาลาการเปรียญที่ได้สร้างอยู่ที่วัดศรีวิชัย และเพิ่งทำบุญฉลองไปไม่นานเป็นรูปย่อส่วนยาวประมาณ 1 ศอก เป็นรูปสีทองสวยงามมากลอยอยู่ ขณะนั้นเราก็เหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะดื่มน้ำเข้าไปมาก และก็เริ่มจมลงอีก เราก็ต้องพยายามพยุงขึ้นให้พ้นน้ำอีก
    แต่กรรมไม่ถึงที่ตายมาถึงระยะนี้ จึงสามารถพยุงกายโผล่ขึ้นมาทำให้ศีรษะกระทบกับเรืออย่างแรงจนทำให้หัวโน แล้วเราก็เอามือสองข้างกอดเรือไว้ทันที แต่ก็ได้ดื่มน้ำเข้าท้องจนเต็ม ทำให้หายใจไม่สะดวก ในใจก็กลัวมือที่กอดเรืออยู่จะไหลลื่นหลุดจากเรือ แต่มีสติดีอยู่ ได้มองไปเห็นพระทองดีซึ่งอยู่ไกลจากเรือประมง

    อัตตโนประวัติของพระจันโทปมาจารย์ (จบ) - โพสต์ทูเดย์ ข่าวธรรมะ-จิตใจ-
     

แชร์หน้านี้

Loading...