หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอบปัญหาธรรม ตอน อานิสงส์ถวายข้าวพระพุทธรูป

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 28 ธันวาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอบปัญหาธรรม ตอน อานิสงส์ถวายข้าวพระพุทธรูป
    [​IMG]
    โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

    ผู้ถาม :- "กระผมไม่กล้าถวายข้าวพระข้าวเจ้า ถวายผลไม้แทนได้ไหมครับ...?"

    หลวงพ่อ :- "ถ้าบังเอิญชาตินี้ไปนิพพานไม่ได้ ชาติหน้ามีแต่ลูกไม้กิน"

    ผู้ถาม :- "อย่างนั้นถวายข้าวด้วยดีกว่าครับ แต่บางทียังถวายไม่เสร็จเลย แมวกินเสียก่อนแล้ว อย่างนี้จะว่ายังไงครับหลวงพ่อ"

    หลวงพ่อ :- "อ๋อ...นั่นเป็นลูกศิษย์พระ ลูกศิษย์พระมีทั้งแมว มีทั้งหนู มีทั้งมด มีทั้งจิ้งจก นั่นลูกศิษย์ของท่านนะ"

    ผู้ถาม :- "อ้อ...ต้องให้โอกาสเขาบ้างนะ"

    หลวงพ่อ :- "ใช่ เรานี่ไปแย่งเขากินนะ แต่ความจริงการถวายข้าวพระ จะเป็นอาหารหรือว่าเป็นลูกไม้ก็ตาม พระพุทธรูปท่านไม่ได้ฉัน แต่เป็น การบูชาความดีของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นกรรมฐาน เขาเรียก พุทธานุสสติกรรมฐาน สูงมาก ไม่ใช่ต่ำ

    ถ้าเวลาเราถวายบางทีเราควบทั้ง ๓ เลย ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เขาว่า อิมัง สูปะพยัญชนะ สัมปันนัง แล้วก็ลงท้ายด้วย พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ ใช่ไหม

    ที่ลงตอนท้ายนี่ เป็นทั้ง พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ถือว่าเป็นกรรมฐาน และถือว่าเป็นฌานด้วย เพราะจิตเราห่วงอยู่เสมอว่า วันพรุ่งนี้เราจะเอาอะไรถวาย ตัวคิดตัวนี้เป็นฌานก็ทรงตัว อันนี้เป็นการปฏิบัติกรรมฐานใน พุทธานุสสติกรรมฐาน โดยไม่รู้สึกตัว

    ฉะนั้น ทุกคนทุก ๆ วัน ควรจะถวายข้าวพระ และก็กับข้าวมาก ๆ อย่าใช้ถ้วยเล็ก ๆ นะ ถ้วยโต ๆ มีกับประเภทไหนที่เราชอบใจมาก ก็บอก นี่เอาถวายพระพุทธ กันคนอื่นไว้"

    ผู้ถาม :- "ทีนี้ญาติโยมเอาถ้วยตะไลเล็ก ๆ ถวายล่ะครับ...?"

    หลวงพ่อ :- "อันนี้ไม่เป็นไร อยู่ที่จิตใจ จิตตั้งใจจะถวาย ตัวที่นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆ์ ตัวนี้สำคัญเป็นฌาน"

    ผู้ถาม :- "คือ คงคิดว่า องค์หล่อท่านเล็ก ๆ ก็เลยถวายถ้วยเล็ก ถ้าถ้วยใหญ่กลัวจะตกใจ ดีไม่ดีหล่นไปในขันน้ำ ว่ายไม่ได้ตาย เดี๋ยวพระพุทธรูปตาย เลยต้องเอาถ้วยเล็ก ๆ"

    หลวงพ่อ :- "เล็กหรือใหญ่ไม่สำคัญ สำคัญที่นึกอยู่เสมอว่า ตอนเช้าเราจะถวายข้าวพระพุทธรูป ตัวนี้สำคัญมาก การนึกถึงพระพุทธรูป เป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน เมื่อถึงเวลา จิตมันคิด ก็เป็นฌาน ฌานัง แปลว่า การเพ่ง ตัวเพ่งนี้ตัวตั้งใจ

    ถ้านึกถึงพระธรรมด้วย พระสงฆ์ด้วย เป็น ธัมมานุสสติ ด้วย สังฆานุสสติ ด้วย ถ้าทำอย่างนี้เสมอ ๆ ตายแล้วตกนรกไม่เป็น"

    ผู้ถาม :- "ถวายข้าวพระพุทธรูป กับถวายข้าวพระสงฆ์ อย่างไหนอานิสงส์มากกว่ากันคะ...?"

    หลวงพ่อ "การถวายข้าวพระพุทธรูป ถ้าเป็นเจตนาเพื่อเป็นพุทธบูชาจริง ก็เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ตั้งใจถวายพระสงฆ์และตั้งใจถวายจริง ๆ เป็นวัตถุทานด้วย เป็นสังฆานุสสติกรรมฐานด้วย

    แต่อย่าลืมว่าถวายแก่พระพุทธเจ้ามีอานิสงส์มากกว่าถวายพระสงฆ์เยอะ แต่ว่าเวลานี้ถ้าไม่ถวายพระสงฆ์ เกิดไปชาติหน้าอดข้าว เดี๋ยวหนูเกิดไปชาติหน้า ถ้าพูดเขาไม่ให้กิน ต้องนั่งเฉย ๆ เดี๋ยวเขาก็ให้กิน"

    ผู้ถาม :- (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ :- "ถวายพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชาเฉย ๆ ยังไม่ถือเป็นทาน เราจะมีทรัพย์สิน มีเสื้อสวม มีผ้านุ่ง มีบ้านอยู่ นั่นเป็นอานิสงส์ของทาน การให้ ถ้าเราบูชาพระพุทธเจ้าจัดเป็นพุทธบูชาเฉย ๆ นึกถึงความดีของท่าน ไม่ถือว่าเป็นทาน อานิสงส์ได้คนละอย่าง

    พุทธบูชา มหาเตชะวันโต การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดชมีอำนาจมาก นั่นหมายความว่า ถ้าเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม มีรัศมีกายสว่างไสวมาก เทวดาหรือพรหมนี่เขาไม่ดูเครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างออกจากกาย

    ธัมมบูชา มหาปัญโญ การบูชาพระธรรม มีปัญญามาก คือใคร่ครวญในพระธรรมจนเกิดปัญญา จิตเป็นสมาธิ

    สังฆบูชา มหาโภคะวะโห สงเคราะห์พระสงฆ์ เกิดไปรวยมาก เพราะเราใช้วัตถุเป็นเครื่องหมาย

    อานิสงส์ต่างกัน แต่ต้องทำ ๓ อย่าง ไม่งั้นหลวงพ่ออด"

    ผู้ถาม :- (หัวเราะ) "หลังเพลก็ถวายได้ใช่ไหมคะ...?"

    หลวงพ่อ :- "ได้ ถือเป็นการบูชานะ ไม่ใช่ถวายทาน ไม่จำกัดเวลานะ"

    ผู้ถาม :- "จัดอาหารไปเลี้ยงพระที่วัด และได้จัดอาหารถวายพระพุทธรูป ลาแล้วก็เอาให้ลูกกิน รวมทั้งครอบครัวด้วย เอามากินที่บ้าน จะมีบาปหรือไม่คะ...?"

    หลวงพ่อ :- "ชักสงสัยนะ ความจริงถวายพระพุทธรูปแล้ว อย่าเอามาดีกว่า เวลาที่วางไปแล้ว เรากล่าวเป็นสังฆทานนี่ ใช่ไหม...ทีหลังถวายพระพุทธรูปที่บ้านดีกว่าไม่มีเรื่องดี หรือว่าถ้าถวายพระพุทธรูปแล้ว ก็เก็บถวายพระในตอนเพล จะได้อานิสงส์อีก"

    ผู้ถาม :- "ที่บ้านหนูทำบุญบ้าน นิมนต์พระ ๙ องค์ แล้วถวายข้าวพระพุทธด้วย เสร็จแล้วก็เอามาทาน จะได้ไหมคะ...?"

    หลวงพ่อ :- "สาธุ...ทีหลังอย่าทำก็แล้วกันนะ"

    ผู้ถาม :- "ต้องชำระหนี้สงฆ์ใช่ไหมคะ...?"

    หลวงพ่อ :- "พระยายมท่านตอบว่า หมิ่นไป ท่านบอกว่า ควรจะถวายพระเอาไปวัด"

    ผู้ถาม :- "แล้วในเวลาเพลแล้วเล่าคะ...?"

    หลวงพ่อ :- "เพลแล้วก็เป็นเรื่องของพระไป ถ้าถวายพระแล้วท่านไม่เอา ก็ใช้ได้เลย"

    ผู้ถาม :- "เอาหญ้าที่วัดไปทำยาที่บ้าน จะเป็นไรไหมคะ...?"

    หลวงพ่อ :- "ไม่เป็นไร เจ้าของพระศาสนาบอกเองนะ พระก็สงเคราะห์คนได้เหมือนกัน"

    ผู้ถาม :- "ถ้าชำระหนี้สงฆ์แทนคนอื่นได้ไหมคะ คือพี่ชายหนูบวชแล้ว พอสึกก็เอาของวัดมาบ้าน"

    หลวงพ่อ :- "ตอนที่ชำระให้เขารู้ไหม...?"

    ผู้ถาม :- "ก็ไม่ทราบค่ะ คือหนูจ่ายแทนแล้วไปบอกเขาได้ไหมคะ...?"

    หลวงพ่อ :- "ได้เลย...ต้องให้เขารู้ด้วยนะ"

    ผู้ถาม :- "กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพ ลูกมีความไม่สบายใจเกี่ยวกับของใส่บาตรหลายประการ วันหนึ่งแม่ทำกับข้าวเสร็จก็ใส่บาตร แต่ไม่บอกลูก ลูกก็เลยกินก่อนพระ วันที่สองแม่แบ่งไว้ถวายพระ ลูกไม่รู้นึกว่าแบ่งให้หนู หนูก็เลยกินไปอีก แม่เจี๊ยวจ๊าวเป็นการใหญ่ หาว่ากินก่อนพระ ก็เกิดความไม่สบายใจขึ้นมา อยากจะขอโทษ แม่จะให้อภัยหรือเปล่าเจ้าคะ เพราะไม่รู้และไม่เจตนา...?"

    หลวงพ่อ :- "ไม่เจตนามันกินยังไงนะ ต้องหลับกิน ไม่เจตนา เราก็หาของมาแทนซิ ไม่มีอะไร พระท่านไม่ได้ว่า แม่จะได้ไม่สะดุดใจ กินอะไรเข้าไปบ้างจำได้ไหม...ไปซื้อของอย่างนั้นมาให้แม่เพื่อถวายพระ หมดเรื่องกัน แม่จะได้ถวายพระต่อไป"

    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๓๖-๔๑
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงถวายวัดกุฏีทอง-รับพระผงกริ่งนาคราช.557837/
     

แชร์หน้านี้

Loading...