หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอบปัญหาธรรม ตอน ปัญหาเรื่องพระนิพพาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 4 มกราคม 2016.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอบปัญหาธรรม ตอน ปัญหาเรื่องพระนิพพาน
    [​IMG]
    หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม

    ผู้ถาม :- "เกิดมาแล้วทำไมจึงต้องตายครับ…?"

    หลวงพ่อ :- "เพราะอยากตาย ไอ้คนอยากเกิดก็อยากตายด้วยใช่ไหม…เกิดแล้วมันก็ต้องตาย เพราะธรรมดาเราฝืนมันไม่ได้ ทีนี้ถ้าเราไม่ต้องการตาย เราก็ไม่ต้องเกิด"

    ผู้ถาม :- "ที่นิพพานไม่มีการเกิดใช่ไหมครับ จึงไม่มีการตาย…?"

    หลวงพ่อ :- "อันนี้เคยมีพระหรือพราหมณ์ถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานจะไม่มีการเกิดก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าเกิดก็ไม่ได้ ถ้าเรียกว่าเกิดก็ต้องเกิด ถ้าจะว่าไม่เกิด แต่สภาวะมันมีอยู่ ตอนแรกฉันอ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็เลยย่องไปถามท่าน

    ฉะนั้น "นิพพาน" ควรเรียกว่าอะไร ท่านบอกว่าควรจะเรียก "ทิพย์พิเศษ" ที่ไม่มีการเคลื่อน

    เทวดาหรือพรหมยังมีการเคลื่อน ที่เรียกว่า "จุติ" จุติ แปลว่า เคลื่อน

    ไอ้ศัพท์ที่ว่าตายนี่ พระพุทธเจ้าท่านไม่เรียก ท่านเรียก "กาลัง กัตวา" ถึงวาระแล้ว ถึงกาลเวลาแล้ว ท่านไม่เรียกว่าตาย ตาย นี่ มรณะ ตามศัพท์ของบาลีไม่มีคำว่ามรณะ ท่านเรียกว่า กาลัง กัตวา แปลว่า ถึงวาระที่จะต้องไปจากร่างกายนี้ ร่างกายนี้มันพังมันไม่ยอมทำงาน"

    ผู้ถาม :- "ขอหลวงพ่อโปรดอธิบายเรื่องนิพพาน ให้ผมเข้าใจด้วยครับ"

    หลวงพ่อ :- "คำว่า นิพพาน เหรอ…คุณต้องการรู้เรื่องนิพพานไปทำไม…?"

    ผู้ถาม :- (หัวเราะ) "เอาไว้ประดับความรู้ครับ"

    หลวงพ่อ :- "เอาไว้ประดับความรู้….ดี คำว่า นิพพานเป็นของง่าย เป็นของไม่ยาก"

    "นิพพาน นี่เขาแปลว่า ดับ นะคุณนะ ถ้าจะถามว่าดับอะไร ก็ขอตอบว่า ดับความชั่ว

    คนที่จะถึงนิพพานได้ ต้องไม่มีความชั่ว ๓ อย่าง คือ
    ๑. ไม่ชั่วทางกาย
    ๒. ไม่ชั่วทางวาจา
    ๓. ไม่ชั่วทางใจ
    ถ้าทุกคนดับความชั่วได้หมด บุคคลนั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน"

    ผู้ถาม :- "แต่ผมเคยได้ยินมาว่า นิพพาน แปลว่า ดับไปเลย ไม่เหลืออะไรเลยนี่ครับ"

    หลวงพ่อ :- "ความจริงคุณจะต้องรู้ว่าอะไรดับ

    คำว่า นิพพาน แปลว่า ดับ
    ดับทีแรก คือ ดับกิเลส
    ดับที่สอง คือ ดับขันธ์ ๕
    แต่ว่าตามพระบาลีไม่ได้บอกว่าจิตดับ

    ปัญหาของคุณที่ถามนี่ เหมือนกับปัญหาของพระที่ถามพระพุทธเจ้าเคยถามมาแล้ว คือ ท่านผู้นี้มีนามว่า พระโมกขราช ท่านถามพระพุทธเจ้าว่า "นิพพานมีสภาพสูญ ใช่ไหม…พระพุทธเจ้าข้า" หมายความว่า เมื่อถึงนิพพานแล้วก็ดับสูญ มีสภาพคล้ายกับควันไฟที่ลอยไปในอากาศ ไม่มีที่เกาะ ไม่มีที่อยู่ อย่างนั้น

    องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสว่า
    "โมกขราช เรากล่าวว่า นิพพานนั้นหมายถึงกิเลสดับ และขันธ์ ๕ ดับ"
    พระพุทธเจ้า ไม่ได้บอกว่าจิตดับ

    ทีนี้ถ้าหากว่าคุณจะศึกษาเรื่องนิพพาน ถ้าเราจะพูดกันไปกี่ร้อยปี มันก็ไม่จบ ฉะนั้น ถ้าต้องการจะรู้เรื่องพระนิพพานจริงๆ คุณจะต้อง

    เป็นคนมีศีลบริสุทธิ์ เป็นอันดับแรก
    เป็นผู้ทรงฌานสมาบัติ

    ในขณะที่ทรงฌานสมาบัติได้แล้ว คุณจะต้องทำจิตของตนให้เข้าถึง วิปัสสนาญาณ ที่เรียกกันว่า สังขารุเปกขาญาณ เมื่อจิตเข้าถึง สังขารุเปกขาญาณ แล้ว ก็ต้องชำระกิเลสด้วยการ ตัดสังโยชน์ ๓ เบื้องต้น คือ

    ๑. ทำลายสักกายทิฏฐิ
    ๒. ทำลายวิจิกิจฉา คือ ความสงสัยให้หมดไป
    ๓. สีลัพพตปรามาส ทรงศีลให้บริสุทธิ์
    ๔. มีอารมณ์จิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ที่เราเรียกกันว่า โคตรภูญาณ

    ถ้ากำลังใจของคุณทำได้อย่างนี้ เมื่อจิตเข้าถึง โคตรภูญาณ คุณจะทราบว่า คำว่า ดับของนิพพาน นั้นก็คือ
    ๑. ดับกิเลส ในขณะที่มีชีวิตอยู่
    ๒. ดับขันธ์ ๕ หรือขันธ์ ๕ ดับ
    ๓. อารมณ์จิตที่บริสุทธิ์ไม่ได้ดับไปด้วย

    คำว่าพระนิพพาน ยังมีจุดที่เป็นอยู่อันหนึ่ง ที่เขาเรียกว่าเป็นทิพย์พิเศษ พ้นจากอำนาจของวัฏฏะ คุณทำได้ไหมล่ะ…?"

    ผู้ถาม :- "ทำไม่ได้ครับ"

    หลวงพ่อ :- "ทำไม่ได้ แล้วถามทำไม"

    ผู้ถาม :- (หัวเราะ) "ถามไว้เพื่อเป็นการศึกษาครับ"

    หลวงพ่อ :- "ดี…ถามไว้เพื่อเป็นการศึกษา แต่ว่าคุณอย่าลืมนะคำว่า นิพพาน สมัยนี้เป็นของไม่ยากสำหรับประชาชนแล้วนะ บรรดาบุคคลทั้งหลายที่อยู่ในวัยเรียนขั้นเด็ก คือ ชั้นประถมก็ดี ชั้นมัธยมก็ดี และนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็ดี เขาได้ญาณประเภทนี้กันเยอะแล้ว และเข้าใจเรื่องพระนิพพานดี"

    ผู้ถาม :- "หลวงพ่อคะ ลูกอยากกราบเรียนถามว่า ผู้หญิงมีสิทธิ์จะไปพระนิพพานได้ไหมคะ…?"

    หลวงพ่อ :- "เขาไปตั้งหลายปี๊บแล้ว มีสิทธิ์สมบูรณ์ มีสิทธิ์เท่ากับผู้ชาย"

    ผู้ถาม :- "ไปทัศนาจรนี่ได้มั้ยคะ…?"

    หลวงพ่อ :- "อ้าว…ถ้าทัศนาจรนี่ก็แจ๋ว ไปอยู่ซิ ผู้หญิงกับผู้ชายมีสิทธิ์เป็นพระอริยะ มีสิทธิ์เข้าพระนิพพานได้เหมือนกัน แต่ฉันว่าผู้หญิงนี่ไปเร็วกว่าผู้ชาย นี่เป็นเรื่องจริงๆนะ ในยุคนี้ตามที่ฝึกกรรมฐานสังเกตดูแล้ว ผู้หญิงนี่รวดเร็วกว่าผู้ชายมาก จะไปเมื่อไรล่ะ…?"

    ผู้ถาม :- "ไปเร็วๆ ก็ดีค่ะ เบื่อโลกมนุษย์แล้วค่ะ"

    หลวงพ่อ :- "เบื่อแล้วเรอะ ถ้าเบื่อนี่ไม่ช้า อันนี้เป็นเรื่องจริงๆนะ เพราะว่าตั้งแต่ฝึกกรรมฐานเท่าที่สังเกตดู จะฝึกในด้านสุกขวิปัสสโกก็ดี เตวิชโชก็ดี ผู้หญิงเอาไปกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ผู้ชายตามไปแค่ ๒๐ เปอร์เซ็นต์"

    ผู้ถาม :- "แล้วที่นิพพานมีเพศไหมคะ…?"

    หลวงพ่อ :- "เพศรึ…มี…"

    ผู้ถาม :- "เขาแบ่งเหมือนกับในโลกมนุษย์ไหมคะ…?"

    หลวงพ่อ :- "ไม่ใช่ เป็นเพศพระนิพพาน ที่ว่าไม่มีเพศตั้งแต่พรหมขึ้นไปนี่ไม่มีเพศ เขาจึงเรียกว่าพระพรหม ผู้หญิงขึ้นไปผู้ชายขึ้นไป เพศไม่มี มีลักษณะคล้ายคลึงกันหมด ถึงนิพพานแล้วเหมือนกัน แต่ว่านิพพานไม่ดีอยู่อย่าง ไม่มีแป้งทาหน้า ไม่มีก๋วยเตี๋ยวกิน ไม่มีส้วมนี่ลำบาก ที่นิพพาน ผู้หญิงกับผู้ชายฐานะเท่ากัน จะเห็นว่าในสมัยพระพุทธเจ้า ผู้หญิงไปนิพพานตั้งเยอะ"

    ผู้ถาม :- "แล้วชาติที่จะไปนิพพาน จะต้องเป็นผู้ชายหรือเปล่าคะ…?"

    หลวงพ่อ :- "แหม…ถ้าผู้หญิงจะไปนิพพานจะต้องเป็นผู้ชายก็ออกฤทธิ์แล้ว ไม่ต้อง ไม่จำเป็นนะ คือเพศผู้หญิงอย่างนี้ ทำไปๆ ก็ถึงนิพพาน ตัดกิเลสไปทีละขั้น พอถึงอนาคามีก็ไม่มีความรู้สึกในเพศ ไม่โกรธ พอถึงอรหันต์ก็ตีตั๋วไปนิพพานเลย

    แต่อย่าลืมว่า การบรรลุมรรคผลไม่ได้เป็นไปตามลำดับ มันอยู่ที่กำลังใจตัวเดียว ถ้าเรามีความเบื่อโลกจริงๆ ตัวเบื่อนี่เป็นกำลังของพระอนาคามีอยู่แล้ว แล้วก็บางทีก็ไม่จำเป็นต้องไปค้างอนาคามีก่อน ถ้าเบื่อโลก คิดว่าโลกเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการโลกนี้อีก เทวโลกและพรหมโลกเราก็ไม่ต้องการ เราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน

    จุดที่มีความสำคัญจริงๆ คือ สังขารุเปกขาญาณ มีอารมณ์ไม่กลุ้ม ตามที่พูดเมื่อกี้นี้ อะไรที่จะเกิดขึ้นกับเรา ถือว่าชดใช้หนี้กรรมเก่าไป

    โรคภัยไข้เจ็บมันเกิดขึ้นกับกาย เรื่องลำบากกายทุกอย่างก็เป็นโทษจาก ปาณาติบาต เดิม ก็ใช้หนี้มันไป

    เรื่องทรัพย์สินจะต้องเสียไป ถือว่าเป็นโทษ อทินนาทาน เดิม ชำระหนี้มันไป

    เรื่องคนใต้บังคับบัญชา ว่ายากสอนยากหัวดื้อหัวด้าน ถือว่าเป็นโทษของ กาเม ใช้หนี้มันไป

    เราพูดจริงแต่บางโอกาสไม่มีใครเขาเชื่อ เป็นโทษของ มุสาวาท เดิม เราก็ชำระหนี้มันไป

    ถ้ามันปวดหัวปวดประสาท ก็เป็นโทษจาก การดื่มสุราเมรัย ก็ชำระหนี้มัน ชำระชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย

    ถ้าทรงใจไว้อย่างนี้ และ

    ๑.พยายามตัดอารมณ์ของความโลภ ไอ้ความโลภนี่ก็หมายความว่า อยากจะเอาทรัพย์สินของชาวบ้านเขามาโดยไม่ชอบธรรม การขยันหมั่นเพียรในการทำงานเขาไม่ถือว่าโลภ แต่ไม่โกงเขานะ ท่านถือว่าเป็นสัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตโดยชอบ

    ความไม่โลภจะมีขึ้นได้ คือ ใคร่ในการสงเคราะห์ ถ้าหากว่ามีคนเขายากจนเขามีความลำบาก คนก็ดีสัตว์ก็ดี จงคิดว่าถ้าเรามีเราจะสงเคราะห์ ถ้าเรามีน้อยไปเราลำบากใจ แต่จิตเราก็คิดอยากสงเคราะห์นะ แล้วก็ไม่โกรธชาวบ้าน อย่างนี้ถือว่าอารมณ์ความโลภหมด

    ความโลภหมดนี่ไม่ได้หมายความว่าเลิกหากิน เป็นแต่เพียงว่า จิตคิดจะสงเคราะห์อย่างหนึ่ง และก็ไม่โกงเขาอย่างหนึ่ง นี่จัดว่าหมดความโลภนะ

    ๒.หาทางตัดความโกรธ คือ ยับยั้งเรื่องของความโกรธ ถือว่าความโกรธมันเป็นทุกข์ เราคิดว่าเช้ามืดตื่นขึ้นมา เราจะไม่โกรธใคร เราคิดไว้อย่างนี้ทุกวัน แต่บังเอิญถ้าหากเราพลั้งเผลอไปบ้าง พอใกล้จะนอน เราก็นั่ง ถ้ามันจะหลับ นอนใคร่ครวญดูว่าวันนี้เราโกรธใครบ้าง ถ้ามีความโกรธขึ้น เราคิดว่าวันหน้าเราจะไม่โกรธ หาทางยับยั้งไว้เรื่อยไป ไม่ช้าเราก็ชิน ไม่ช้าความโกรธมันก็ตกไป

    ๓.ทีนี้ ด้านความหลง อย่างคุณนี่ไม่ต้องมี เบื่อโลกมันก็หมดหลงใช่ไหม… คิดว่าโลกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย โลกเต็มไปด้วยความทุกข์ อันนี้เป็นตัวตัดความหลงอยู่แล้ว อย่างนี้ไปนิพพานได้ง่าย"

    ผู้ถาม :- "ลูกได้ยินแต่ว่านิพพานมีแต่ความร่มเย็น ไม่ต้องประสบความเดือดร้อน ความวุ่นวายอะไรเลย เป็นความจริงอย่างที่เขาว่าไหมคะ…?"

    หลวงพ่อ :- "จริง ที่นิพพานมีแต่ความสุข อารมณ์ก็เบา คือว่าถ้าเราไปจากมนุษย์ พอถึงเทวดาจะมีความสุขมาก ทั้งๆที่เรายังไม่ตาย ถ้าเราใช้กำลังฌานไปได้นะ ถ้าเปรียบเทียบกันมันเบากว่ามาก ดีกว่ามาก ถ้าจากแดนเทวดาไปถึงพรหม จะเห็นว่าพรหมเขามีความสวยกว่า สบายกว่า เบากว่า ถ้าถึงแดนนิพพาน ไม่มีอะไรเป็นเครื่องหนักจิตแม้แต่นิดเดียว"

    ผู้ถาม :- "แล้วนิพพานมีอายุไหมคะ…?"

    หลวงพ่อ :- "มี"

    ผู้ถาม :- "นานไหมคะ...?"

    หลวงพ่อ :- "นับไม่ได้"

    ผู้ถาม :- "เป็นกัปหรือไงคะ…?"

    หลวงพ่อ :- "ไม่เป็นนะ อายุที่นั่นอยู่ตลอด ถ้ามีตายแล้วมีเกิดอีกก็แย่นะซิ ถ้าไม่มีก็ไม่ได้ เพราะมีการทรงตัวนี่ ก็ต้องถือว่ามีอายุใช่ไหม…"

    ผู้ถาม :- "เป็นสภาวะที่ต้องอยู่แบบนั้นตลอดไป ใช่ไหมคะ…?"

    หลวงพ่อ :- "ใช่ แก่ก็ไม่เป็น หิวข้าวก็ไม่เป็น ป่วยก็ไม่เป็น ปวดท้องขี้ก็ไม่เป็น แต่พูดได้"

    ผู้ถาม :- "ติดต่อมาทางโลกมนุษย์ได้ไหมคะ…?"

    หลวงพ่อ :- "อันนี้เรื่องเล็ก เหมือนกับพวกเราอยู่ในเรือนจำ เปรียบเหมือนกับวัฏฏสงสาร ยมโลก มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก หมุนกันไปหมุนกันมา เหมือนกับอยู่ในเรือนจำ แต่คนที่เขาออกจากเรือนจำไปแล้ว มีสิทธิ์จะไปเยี่ยมคนอยู่ในเรือนจำ ได้ไหม…เข้าไปเที่ยวได้ ใช่ไหม…แต่ไปกักขังเขาไม่ได้ พวกไปนิพพานก็เหมือนกัน ก็เหมือนกับคนที่พ้นจากวัฏฏสงสารแล้ว ก็มีสิทธิ์เยี่ยมคนที่อยู่ในวัฏฏะได้ วัฏฏะไม่มีอำนาจจะบังคับให้เขาอยู่ได้"

    ผู้ถาม :- "หลวงพ่อครับ นิพพานเป็นสภาวะที่เที่ยง หมายความว่า ถ้านิพพานตอนเด็ก ก็จะเด็กตลอดไป ใช่ไหมครับ…?"

    หลวงพ่อ :- "มันเด็กมีโลกนี้โลกเดียว โลกอื่นเขาไม่มีเด็ก นรกก็ไม่มีเด็ก เปรตก็ไม่มีเด็ก อสุรกายก็ไม่มีเด็ก เทวดา พรหมก็ไม่มีเด็กนะ มันมีโลกนี้โลกเดียว ใช่ไหม…อย่างคนที่เขาตายไปแล้วเป็นเด็ก ถ้าไปเห็นภาพเขาเป็นเด็ก ก็แสดงว่าเขาแสดงให้เห็นภาพเดิม แต่ว่าไปอยู่ที่นั่นไม่มีคำว่าเด็ก"

    ผู้ถาม :- "นิพพานเป็นสภาวะธรรมชาติ ไม่มีใครปรุงแต่งขึ้นใช่ไหมคะ…?"

    หลวงพ่อ :- "มีความดีปรุงแต่ง"

    ผู้ถาม :- "ยังไม่เข้าใจค่ะ"

    หลวงพ่อ :- "ก็การหมดกิเลส หมดชั่วปรุงแต่ง มีดีอย่างเดียวไม่มีชั่ว แต่ไม่ใช่พ่อแม่แต่ง ไม่ใช่พ่อแม่ช่วยกันสร้าง มีโลกนี้โลกเดียวที่พ่อแม่ช่วยกันสร้าง

    นรกก็ไม่ต้องมีพ่อแม่สร้าง เกิดเอง เทวดา นิพพาน เขาเรียกว่ามีความจำกัด เกิดด้วยกำลังของบุญส่วนสูงนะ สำหรับอบายภูมิเกิดด้วยกำลังของบาป ที่เกิดเป็นสัตว์นรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

    สัตว์เดรัจฉาน ยังอาศัยเถ้าไคลอาศัยครรภ์มารดา
    แต่ว่าเปรตอสุรกาย ก็ไม่ต้องเกิดเหมือนกัน แต่ว่าบาปสร้างสรรค์
    ถ้าเทวดา ก็บุญสร้างสรรค์
    ถ้าพรหม ก็ฌานสมาบัติสร้างสรรค์

    ถ้านิพพาน ก็หมายถึงว่าความหมดกิเลสสร้างสรรค์ สร้างหรือไม่สร้างเขาก็ไปนิพพาน ก็ต้องถือว่าความหมดกิเลส ความบริสุทธิ์เป็นผู้สร้าง แต่ไม่มีตัวไม่มีตนนะ ต้องอารมณ์บริสุทธิ์"

    ผู้ถาม :- "ไม่ต้องใช้ปัญญาบารมีหรือคะ...?"

    หลวงพ่อ :- "ต้องใช้บารมี ๑๐ อย่าง ตั้งแต่ปัญญาบารมี ถึงเมตตาบารมี หมด ๑๐ อย่าง ใช้บารมีเดียวไปไม่ได้ มันมีรูรั่วอยู่ ๑๐ ต้องอุดให้หมด"

    ผู้ถาม :- "ที่เขาเรียกบารมี ๑๐ ทัศใช่ไหมคะ…?"

    หลวงพ่อ :- "ใช่ๆ แต่บารมี ๑๐ ทัศนี่ ถ้าเอาจริงเอาจังอย่างหนึ่งอย่างใด อีก ๙ อย่างก็รวม อย่างการให้ทานอย่างเดียวด้วยความบริสุทธิ์ใจนะ บารมีอีก ๙ อย่างก็มารวมจุดเดียวกัน ถ้ากำลังอีก ๙ อย่างไม่มารวมให้ครบ ๑๐ ก็ให้ทานไม่ได้ บารมี ๑๐ อย่างไม่ใช่มาแยกทำทีละอย่าง ถ้าเราทำด้วยความจริงใจ มันต้องรวมตัวกัน

    ความจริงนิพพานเป็นของดี นิพ เขาแปลว่า ดับ ดับอารมณ์ของความชั่วทั้งหมด ถ้าจิตยังมีความชั่วอยู่ไปนิพพานไม่ได้ ความชั่วนี่มันต้องดับ ดับจริงๆ จุดสุดท้าย สมมติว่า ยังเป็นอรหันต์ไม่ได้ ก็ยังไม่มีสิทธิ์ไปนิพพาน แต่ว่าเวลาที่ใกล้จะตายจริงๆ ถ้าเวลานั้นจิตมันดับ กิเลสหมดก็ตายเลยได้ไปนิพพานทันที"

    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ หน้า ๓๒-๔๒
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
    หลวงพ่อเล่าเรื่องเมืองนิพพาน
    หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    "วันหนึ่งสมเด็จท่านพามาที่วิมานนิพพาน ที่มันกว้างลิ่ว และบ้านนี่นะ นาน ๆ จะได้ไปสักที ส่วนมากก็ไปนั่งป๋ออยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้า ถ้าเราไปอยู่ที่นั่นแล้ว เวลาเราตายมันจะไปไหน อาตมาเป็นคนเกาะ พุทธานุสสติกรรมฐาน เป็นอารมณ์ตลอดเวลา ถ้าวันไหนไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้า วันนั้นตายดีกว่า มันจะเป็นยังไงก็ตาม ยิ่งป่วยยิ่งไข้ยิ่งหนัก ป่วยนิดเดียวจิตจะไม่ยอมคลาดจากพระพุทธเจ้า เราถือว่าถ้าเราเกาะพระพุทธเจ้าอยู่ มันจะตายลงนรกก็ยอม ท่านคงไม่ยอมให้ลง

    แล้วท่านก็พาไปดูที่วิมาน ชี้ให้ดูบอกว่า "คณะของคุณมันมาก เพราะคุณใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป และเป็นฝ่ายวิริยาธิกะ"

    เป็นอันว่าคณะของเราที่ตามกันมาเป็นระยะ ไอ้ที่เขาหนีไปนิพพานแล้วนับไม่ถ้วน พวกนั้นขี้ขลาดสู้เราไม่ได้ ไอ้เราต้องมาตกระกำลำบาก ช่วยกันวิ่งโน่นวิ่งนี่ ไอ้ที่จะกินก็ยังไม่มี แต่ยังพยายามหาเลี้ยงคนอื่น ใช่ไหม...?

    วันนี้มีเวลาลองสอบดูนิดหนึ่ง ถามว่า "คณะของข้าพระพุทธเจ้ามีกี่สาย จากหลังบ้านไปนี่"

    ท่านบอกว่า "มี ๓๗ สาย"

    ถามว่า "สายหนึ่งมีระยะยาวเท่าไร...?"

    ท่านบอกว่า "สองแสนโยชน์ของนิพพาน"

    แล้วก็ไปดู เห็นทั้งหมด ๓๗ สาย สองฝั่งของถนน วิมานเต็มหมด มันไม่มีจุดพร่อง สายหนึ่งประมาณ ๒ แสนโยชน์ แต่ละสาย ๓๗ คูณด้วย ๒ วิมานมันจะตั้งสายละสองฝั่งถนน ๓๗ ถนนยาวเหยียด ถนนกลายเป็นแก้วแพรวเป็นประกายสวยสดงดงามไปหมด บอกไม่ถูก วิมานแต่ละหลังก็แพรวพราวหาที่ติไม่ได้เลย หัวหน้าทีมตั้งบ้านใหญ่อยู่ด้านหน้า ต่อไปก็มีถนนซอยเข้าไป

    ทางด้านของนิพพานนี่ เขาอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ อย่างกลุ่มของพระกกุสันโธ ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง วิมานของพระพุทธเจ้าก็ตั้งข้างหน้า บริวารก็เป็นสายอยู่ข้างหลัง พระโกนาคม ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง พระพุทธกัสสป ก็ตั้งอยู่จุดหนึ่ง ของสมเด็จพระสมณโคดม ท่านก็ตั้งอยู่จุดหนึ่ง

    ตอนนี้ของอาตมาก็เป็นจุดที่แปลก วิมานตั้งอยู่ในเกณฑ์เรียงของพระพุทธเจ้า ใหญ่คล้ายคลึงกัน แต่สวยสู้ของท่านไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่ในฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิมาสิ้นระยะเวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัปพอดี แต่ว่าต้องเกิดไปอีก ๗ ที ทนไม่ไหวไม่เอา แค่นี้พอ รอเกิดอีก ๗ ครั้ง ก็ในกัปนี้แหละ และต้องไปรอองค์ที่ ๒๒ หลังจากพระศรีอาริย์ ต้องไปนั่งรออยู่ชั้นดุสิต ไม่ไหวเปิดดีกว่า ฉะนั้นกลุ่มของพวกเราจึงมีวิมานตั้งอยู่ในระหว่างกลุ่มของพระพุทธกัสสป และกลุ่มของพระสมณโคดม

    เป็นอันว่าหาจุดพร่องไม่ได้ตามสายของพวกเรา วิมานสวยไม่เต็มที่ มีอยู่มากพอสมควร แต่ก็ไม่เต็มสาย ที่วิมานสวยไม่มากก็เพราะว่า จิตของบุคคลใดถ้ารักพระนิพพาน วิมานจะปรากฏที่นั่น แต่ถ้าจิตใจของท่านผู้นั้น ยังไม่ถึงอรหัตผลเพียงใด วิมานจะสวยไม่เต็มที่ ไอ้จิตกับวิมานมันสวยเท่ากัน เดินไปจึงรู้ เป็นอันว่าวิมานมันนั่งคอยอยู่ เป็นอันว่าคนที่ติดตามมาไม่พลาดพระนิพพาน

    สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า ทุกคนที่เอาจริง ที่ตามแกมาตั้ง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป มันมีที่อยู่กันหมดแล้ว คำว่าถอยหลังไม่มี

    ประการที่สองให้เตือนไว้ว่า ในระหว่างชีวิตที่ยังไม่ตาย ใครจะปฏิบัติดีบ้างปฏิบัติชั่วบ้าง ขณะใดที่เราสร้างความดีเพราะจิตมันดี แต่บางครั้งจิตมันจะเศร้าหมองลงไปให้มีแต่ความวุ่นวาย นั่นต้องถือว่าเป็นเรื่องของกรรมที่เป็นอกุศลของชาติก่อนเข้ามาบันดาล แต่เรื่องนี้เราจะแพ้มันในระยะต้น เวลาตายน่ะไม่มีหรอก มันจะทำร้ายได้ชั่วคราวเท่านั้น เราจะให้มันในขณะที่มีชีวิตทรงอยู่เท่านั้น ถ้าใกล้ตายจริง ๆ ไม่สามารถจะสังหารจิตเราได้

    เมื่อใกล้จะถึงความตาย พอจิตเข้าถึงจุดนั้น ไอ้กิเลสไม่สามารถเข้ามายุ่งได้เลย เพราะว่ากรรมที่เป็นกุศลใหญ่ที่บำเพ็ญมาแล้วจะเข้าไปกีดกันหมด กรรมที่เป็นอกุศลเข้าไม่ถึง

    อาตมารับรองผลว่าทุกคนไม่ไร้สติ และไม่ไร้ความดีที่ปฏิบัติ เพราะอะไร? เพราะไปตรวจบ้านมาแล้วสบายใจ หมดเรื่องหมดราวเสียที ตามธรรมดาเราจะตำหนิกัน บางคนก็เห็นว่ามานั่งกรรมฐานกัน มาศึกษากัน กลับไปก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง เอะอะโวยวาย ก็ถือว่าเป็นการชำระหนี้ชำระสินกันไป ถือว่าช่างมันไป ท่านบอกว่าไปบอกเขานะ เพื่อความมั่นใจ

    เป็นอันว่าทุกคนที่มีวิมานอยู่ที่นิพพานละก็ ควรจะภูมิใจว่าเราเข้าถึงกิจสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้ว ขึ้นชื่อว่าการถอยหลังกลับไปสู่อบายภูมิ ย่อมไม่มี ถึงแม้ว่าในชาตินี้เราจะประมาทพลาดพลั้งในด้านอกุศลกรรมเป็นธรรมดา ก็แต่ว่า จิตเราก็ต้องหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ ถือว่าขันธ์ ๕ ไม่มีความหมายสำหรับเรา ว่า ช่างมัน ช่างมัน เอาไว้ อารมณ์ดีก็ช่างมัน เวลาคันก็ช่างเผือก หมดเรื่องหมดราว อย่างนี้สลับกันไปสลับกันมา

    คำว่า ฌาน ก็คือ อารมณ์ชิน จิตมันชินอยู่อย่างนั้น จิตมันก็ตั้งอยู่ในอารมณ์พระนิพพานโดยเฉพาะ จิตก็เข้าถึงพระโสดาบัน เรื่องสกิทาคา อนาคา อรหันต์ เป็นของไม่ยาก ยากอยู่ที่พระโสดาบันเท่านั้น

    สมเด็จท่านตรัสเรื่องพระศาสนาว่า

    "การขึ้นคราวนี้ กว่าจะลงของพระพุทธศาสนา คนที่จะบรรลุมรรคผล คราวนี้นับโกฏิเหมือนกัน และจะไปโทรมเอา พ.ศ.๔๕๐๐ ช่วงนี้จะขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไปไม่ช้า คำว่าพระนิพพานจะพูดกันติดปาก ชินเป็นของธรรมดา จะเห็นเป็นเรื่องปกติ"

    ถ้าเราจะถอยหลังไปจากนี้ ๒๐ ปี จะเห็นว่าจิตใจของคนเวลานี้ต่างกันเยอะ พูดถึงด้านความดีนะ เวลานี้ฟังแล้วทุกคนอยากไปนิพพาน สังเกตที่จดหมายมาบอกอยากจะไปนิพพานทั้งนั้น

    และจากนี้ไปอีกไม่ถึง ๒๐ ปี จะมีพระอริยเจ้านับแสน ไม่ใช่ฉันสอนเป็นผู้เดียวหรอกนะ คือว่าเขาสอนกันโดยทั่ว ๆ ไป แต่ว่ากลุ่มเราจะมาก หมายถึงว่าอาจจะไม่มีตัวมา แต่มีหนังสือ มีเทป กาลเวลามันเข้ามาถึง เวลานี้คนที่เข้าถึงมุมง่ายแล้ว กำลังใจมันตีขึ้นมา ถามว่าตอนก่อนทำไมไม่ให้สอนแบบนี้ ท่านบอกว่า คนมันหาว่าง่ายเกินไป มันเลยไม่เอาเลย จะต้องยาก ๆ แต่พวกของแกไม่มีใครเหลือ ท่านชี้จุดเลย ก็เลยดีใจ

    แล้วท่านก็บอกว่า "ต่อไปภาระมันจะหนัก ต้องวางพื้นฐานไว้"

    ท่านก็บอกว่า "พระองค์อื่นเขาก็มีความสามารถ ไม่ใช่ไม่มี แต่สงสัยว่าคนที่เรียนกรรมฐาน ๔๐ กับมหาสติปัฏฐานจนครบกันนี่มีกี่องค์ หมายถึงว่าทำได้ถึงฌาน ๔ หมด"

    บอก "ไม่เคยถามชาวบ้านเขาเลย"

    ท่านบอก "ไม่มีหรอก ปัจจุบันนี้ไม่มีใครเขาจบ มันเหลืออยู่แกคนเดียว ท่านปานก็ตายเสียแล้ว"

    ท่านบอกว่า "ผู้ที่จะทรงกรรมฐาน ๔๐ นี่ ต้องเป็นฝ่ายพุทธภูมิถึงขั้นปรมัตถบารมี ถ้ายังไม่เต็มปรมัตถบารมีนี่ยังไม่ได้กรรมฐาน ๔๐ ครบ พระโพธิสัตว์ต้องเรียนวิชาครู"

    ท่านก็ถามว่า "คุณทำไมไม่หมั่นขึ้นมา"

    ก็บอกว่า "เหนื่อยเต็มที ร่างกายเพลียมากก็ต้องชำระตัว เกรงว่าจะประมาท"

    ท่านถามว่า "คนอย่างแกยังมีคำว่าประมาทหรือ....?"

    เลยบอกท่านว่า "มี"

    ท่านถามว่า "ทำไมว่ามี…?"

    ก็เลยบอกว่า "ยังไม่รู้ตัวว่าดี"

    ท่านบอกว่า "เออ ใช้ได้"

    คือว่าถ้ารู้ตัวว่าดีเมื่อไร ก็เลวเมื่อนั้น รู้ตัวว่าเราวิเศษแล้ว เราประเสริฐแล้ว เราสำเร็จแล้ว ทุกข์มันก็เกิด แต่ว่าอารมณ์จิตถึงระดับนี้แล้ว มันก็คิดยังงั้นไม่ได้แล้วนะ เรื่องตัวนี้ชำระกันอยู่ตลอดวันเป็นปกติ คำว่าชำระก็หมายความว่า พิจารณาเห็นว่า ร่างกายไม่มีความหมาย โลกนี้ไม่มีความหมาย คำว่าไม่มีความหมายมันติดอารมณ์

    สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า

    "งานสาธารณะประโยชน์ มันเป็น ปรมัตถบารมี อย่างสูงสุด อันนี้จะทำให้เร็วที่สุด ทำให้เร่งรัดพวกเราให้เร็วที่สุด ท่านบอกว่าให้คุณบอกลูกหลานไว้ จะได้รู้ว่าเป็นจุดที่มีกำลังแรงให้เข้าถึงได้เร็วที่สุด เป็นการบั่นทอนไอ้กฎของกรรมต่าง ๆ ที่มันคอยกั้นขวางเรา งานนี้มันเป็นเมตตา กฎของกรรมมันก็ดันไม่อยู่"

    ต่อไปเรื่อง "สมเด็จองค์ปฐม" ซึ่งทรงพระนามว่า พระพุทธสิกขี พระพุทธเจ้านี่มีชื่อซ้ำกันนะ อย่าง เรวัติ ก็มีชื่อซ้ำกัน พระพุทธสิกขี นี่องค์ปฐมจริงๆ วันนั้นพบท่านเข้า พบจริง ๆ สมัยที่ พล.อ.ท.อาทร โรจนวิภาต อยู่ที่นครราชสีมา

    วันนั้นไปนั่งกรรมฐานกันเห็นพระพุทธเจ้าท่านเยอะ ยืนสองแถวพนมมือ เราคิดว่าพระพุทธเจ้าไหว้ใครไม่มี ใช่ไหม... ก็เลยถามหลวงพ่อปานว่า มีเรื่องอะไรกัน ท่านบอกว่า

    "ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จ"

    องค์ปฐม หมายถึง องค์แรกสุด ไม่มีครูสำหรับท่านเลย ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างหนัก ต้องเข้มแข็ง เดี๋ยวท่านเดินมากลางพระพุทธเจ้ายืนสองข้างพนมมือตลอดสวยสว่าง จิตเราเลยสว่างเห็นอะไรชัดหมด"

    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ หน้า ๔๒-๔๗
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
    ที่มา http://palungjit.org/posts/9887488
     
  2. banchak

    banchak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +58

แชร์หน้านี้

Loading...