หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอน ป่า อ.ศรีประจันต์ ตอนที่ ๑

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 24 มกราคม 2016.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอน ป่า อ.ศรีประจันต์ ตอนที่ ๑
    [​IMG]
    ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ วันที่บันทึกเป็น วันที่ 7 พฤษภาคม 2533 ตรงกับ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 รุ่งขึ้น คือ วันพรุ่งนี้ จะเป็น วันวิสาขบูชา

    ก็หวนคิดถึงความหลัง ในสมัยเมื่อบวชพรรษาที่ 1 ผ่านไป กำลังจะเข้าพรรษาที่ 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ วันนี้ วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ใกล้จะวิสาขบูชา วันนี้ยังอยู่ที่ ป่าศรีประจันต์ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี กำลังฝึกวิธีการธุดงค์แบบอุกฤษฏ์

    การฝึกธุดงค์เวลานั้นก็แบกเอาตำราของนักธรรมโทไปด้วยทั้งหมด นักธรรมโทมีหนังสืออะไรบ้าง แบกไปด้วย ถ้าจะถามว่าเป็นนักปฏิบัติ ทำไมต้องแบกหนังสือไป ก็ต้องขอตอบว่า ปริยัติ กับปฏิบัติมันห่างกันไม่ได้ ถ้าใช้ปริยัติอย่างเดียวไม่ใช้ปฏิบัติควบคุมอย่างนี้จะพบกับความเป็นมิจฉาทิฏฐิเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์

    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าการอ่านหนังสือ แล้วใช้อารมณ์คิด อารมณ์คิดที่คิด ก็คิดด้วยอารมณ์หยาบ อารมณ์ที่เต็มไปด้วย นิวรณ์ 5 ประการ ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดตัวปัญญา

    ฉะนั้น ความเข้าใจของนักปริยัติโดยตรงไม่ค่อยจะตรงกับความเป็นจริงในพระพุทธศาสนา ฉะนั้นเมื่อจะปฏิบัติ ก็ต้องมีปริยัติด้วย เรียนนักธรรมตรีจบไปแล้ว ที่นั่นเขาไม่มีการสอบบาลีกัน ที่ วันบางนมโค แต่เรียนจริง ๆ เรียนทีวัดบ้านแพน เป็นวัดเจ้าคณะตำบล ก็แบกตำราวิชานักธรรมโทไปหมด ท่องแบบคล่องเพราะเงียบสงัดไม่มีใครกวน อ่านหนังสือเข้าใจ

    เวลาอ่านหนังสือไม่เข้าใจตอนไหน ก็ขีดเส้นใต้ไว้ เวลาอ่าน อ่านช้า ๆ ตั้งใจอ่านคราวละ 4 ใบ อ่านไปจบ 4 ใบ เวลาอ่าน ตั้งใจจำทุกตัวอักษร ทุกถ้อยคำ แล้วก็วางหนังสือนิดหนึ่ง นึกทบทวนดู จำได้หรือยัง หรือสงสัยหรือยัง ถ้ายัง ก็ดูใหม่เป็นวาระที่ 2 ดูช้า ๆ ดูเที่ยวที่ 2 เที่ยวที่ 2 เริ่มสงสัย แล้วก็ดูเที่ยวที่ 3 แก้สงสัยไปในตัวเสร็จ

    ถ้าข้อไหนแก้สงสัยไม่ได้ข้อนั้นขีดไว้ เอาไว้ถามบรรดาครูบาอาจารย์ที่ท่านจะมาสอนในเวลากลางคืน แล้วดีไม่ดีท่านก็มาสอนในเวลากลางวัน ถ้าถามว่า ครูบาอาจารย์มาจากไหน ต้องตอบว่า ไม่ทราบครูบาอาจารย์ที่มาสอน บางทีก็เป็นฆราวาส เป็นผู้ชายก็มี เป็นผู้หญิงก็มี เป็นคนแก่ก็มี เป็นคนหนุ่ม คนสาวก็มี เป็นพระก็มี ท่านจะมาตามความจำเป็น

    ก็เป็นอันว่า ขณะวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลานั้น วันนี้ กำลังเงียบสงัด เวลาประมาณ 6 โมงเย็น (นี่ก็ 6 โมงเย็นครึ่ง เวลาที่บันทึกนี่) ก็นึกถึงความหลังขึ้นมาว่า วันนั้นเราอยู่ในป่าศรีประจันต์ ด้านทิศตะวันออก เรากำลังนั่งอ่านหนังสือ แล้วขีดเส้นใต้ตัวที่ไม่เข้าใจ ทั้งสององค์ก็ทำเช่นเดียวกัน เพราะเรียนมาด้วยกัน ทำด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกัน เมื่อขีดเส้นใต้เสร็จ รู้สึกว่าการอ่านหนังสือมันเหนื่อย บางจุดก็คิดไม่ออก ก็เริ่มเจริญกรรมฐาน ทำกรรมฐานพอจิตสบาย พอมีอารมณ์เป็นสุข

    กรรมฐานจริง ๆ ไม่ได้คิดหวังต้องการฌานสมาบัติ ต้องการอะไร ไม่มี มีความต้องการอย่างเดียวคือ จิตเป็นสุข ถ้าขณะใดจิตเป็นสุข ถือว่าเราถึงกรรมฐานกองนั้น ถ้าขณะทำไปจิตยังไม่เป็นสุข ถือว่าใช้ไม่ได้ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน แต่ว่าทำไป ๆ เมื่อจิตถึงที่สุดของอารมณ์ คำว่า ที่สุดของอารมณ์ ก็หมายถึงอารมณ์ที่จะพึงได้ จะถามว่า ฌานชั้นไหนน่ะไม่ได้ มันได้แค่ไหนก็ได้แค่นั้น อย่างนักเรียน ป.1 เขาเก่งที่สุดของ ป.1 นักเรียน ป.2 ก็เก่งที่สุดของ ป.2 เอาเก่งที่สุดก็แล้วกัน คืออารมณ์ถึงที่สุด

    เมื่ออารมณ์ถึงที่สุดแล้ว ตำราเดิมก็เกิดมาคือ ตำราตุ่มน้ำ หวังว่าท่านพุทธบริษัทคงจำตำราตุ่มน้ำได้ เมื่อจิตถึงที่สุด ตำราตุ่มน้ำก็ปรากฏขึ้น นั่นคือ มันก็ไปตามจุดที่ต้องการของมัน มันไปของมันเองไม่มีการบังคับ ไม่ได้นึกว่าจะไปมันก็ไป ไปในสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่จะไป ก็ไปสวรรค์กันบ้าง ไปพรหมกันบ้าง ไปนรกบ้าง ไปแดนเปรตบ้าง ไปแดนอสุรกายบ้าง ไปดินแดนมนุษย์บ้าง ตามเรื่องตามราว

    ถ้าไปถึงในสถานที่นั้น ถ้าพบใครคนใดคนหนึ่งหรือหลาย ๆ คน ก็ถามชื่อเขาว่า ก่อนที่ท่านจะตายนี่ ท่านอยู่ที่ไหน ท่านชื่ออะไร นามสกุลว่าอย่างไรมีลูกเต้า มีสามี มีภรรยาชื่ออะไร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ทำอะไรไว้จึงตกนรก ทำอะไรไว้จึงขึ้นสวรรค์ทำอะไรไว้จึงเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม อย่างนี้เป็นต้น

    ท่านพุทธบริษัท อย่างนี้จะหาว่าอวดอุตตริมนุสสธรรม มันก็ยังไม่ได้นะ ทั้งนี้เพราะว่าในฐานะที่เราห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ก็พยายามทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน พอไปในแดนต่าง ๆ เสร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ มีความรู้สึกว่า ชีวิตของเราล่อแหลม เนื่องจากความตายมาก เพราะอะไร เราอยู่ในป่าตามลำพังถึงแม้ว่าจะอยู่ 3 องค์ ก็เหมือนอยู่องค์เดียว ความกลัวก็คือ

    ประการที่หนึ่ง กลัวเสือจะกิน แต่ยุงจะกิน ริ้นจะกัดไม่กลัว เพราะยุงไม่กิน ริ้นไม่กัด

    ประการที่สอง อาจจะงูกัดตาย

    ประการที่สาม อาจจะป่วยตาย

    ประการที่สี่ ถ้าครองอารมณ์ไม่ดีเกิดขึ้น เทวดาไม่เลี้ยง นางฟ้าไม่เลี้ยง ก็อดข้าว ตาย แต่กำลังใจก็มีอยู่ว่า ถ้ามันจะตาย ก็ตายเถอะ เราจะตายด้วยกำลังของปีติในธรรมะ ของพระพุทธเจ้า

    ขณะเมื่อตัดสินใจอย่างนี้เวลาที่ตัดสินใจเวลานั้น นั่งอยู่ที่ชั้นดาวดึงส์ อยู่ที่มุมหนึ่งของจุฬามณีเจดียสถาน เห็นพระกับเทวดาท่านมามาก ก็นึกในใจว่า ก่อนจะเกิด เรามาจากไหนแต่ความจริงถ้าใช้ จุตูปปาตญาณ ก็ทราบ แต่มันก็ไม่แน่ อาจจะเป็นอุปาทาน นึกในใจว่ามีพระองค์ไหนบ้างที่ท่านจะเมตตาบอกเราว่า ก่อนที่เราเกิดมาจากไหน

    พอนึกเพียงเท่านี้ ก็มีพระองค์หนึ่งท่านเข้ามาใกล้ แต่พระองค์นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นพระที่ต้องเคารพอย่างสูงนั่นคือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบอกว่า สัพพเกสี ก่อนที่เธอจะไปเกิดเป็นคน เธอไปจากพรหมชั้นที่ 4 เวลานั้น หลายชาติมาแล้ว

    เธอปรารถนาพุทธภูมิ เวลานี้เธอก็ตั้งใจปรารถนาพุทธภูมิ ตามที่หลวงพ่อปานสอน อันนี้ถูกต้อง แต่ว่าการเป็นพุทธภูมิของเธอไม่ตอลดรอดฝั่ง เพียงเข้าได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ เธอก็ต้องลาพุทธภูมิ ก็ถามท่านว่า จะลาชาติไหน และชาติไหนจะได้ 99 เปอร์เซ็นต์ ท่านก็บอกว่า ชาตินี้แหละ มันเป็นชาติสุดท้าย

    ถ้าเธอเอาจริง ๆ ก็จบกันชาตินี้ พุทธภูมิ แต่ความจริงนี่เธอก็ทำจริงมาทุกอย่าง เอาจริงทุกอย่าง ทำชนิดที่เรียกว่า คนอื่นเขาไม่ค่อยจะทำกัน ไม่ใช่ไม่มีคนทำอย่างนี้ พระที่ทำอย่างนี้ มี คนที่ทำอย่างนี้ มี แต่ว่ามีจำนวนน้อย เธอมาจากพรหมชั้นที่ 4 เวลาตายแล้วต้องกลับขึ้นไปสูงกว่านั้น ความรู้สึกในเวลานั้นก็คิดว่า คงจะเป็นพรหมชั้นที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ก็ว่ากัน ตามเรื่องตามราว

    พอคิดอย่างนั้น ท่านก็บอกว่า ไม่ถูก ต้องไม่ใช่ดินแดนของพรหม แต่ว่าก่อนจะตายเธอต้องรับภาระพุทธภูมิก่อน เมื่อเธอลาจากพุทธภูมิแล้ว เธอต้องทำงานพุทธภูมิจนกว่าจะสิ้นลมปราณ ก็เลยถามท่านว่า การสิ้นลมปราณ เมื่อไรกันแน่ อายุเท่าไร ท่านก็เลยบอกว่าสุดแล้วแต่กฏของกรรม กรรมมันมี 3 อย่าง

    1. กุศลกรรม กรรมที่เป็นบุญ คือ ความดี ความดีส่งผลให้อยู่อายุเท่าไรก็อยู่อายุเท่านั้น

    2. กรรมที่เป็นอกุศล คือ ผลของความชั่ว มันจะมาลิดรอนเมื่อไร ก็ต้องอยู่ได้แค่นั้นตามคำสั่ง ถ้างานนั้นยังไม่เสร็จตามคำสั่งเพียงใด เธอก็ยังตายไม่ได้

    ก็ถามว่า ใครจะเป็นคนสั่ง ท่านก็ตอบว่า วันนั้นจะรู้เอง ถามว่า วันนั้น เวลากี่ปีพระเจ้าข้า ท่านบอกว่า การนับปี นับเดือน นับวันนั้นไม่ถูก สุดแล้วแต่กำลังใจของเธอ ถ้ากำลังใจของเธอถึงวันนั้นเมื่อไร จะทราบเรื่องนี้ แต่ก็บอกว่า ขึ้นชื่อว่า ความตาย ยังไม่มีในป่า ในป่าของอำเภอศรีประจันต์

    ตอนนั้นท่านก็นิ่ง อาตมาก็นิ่งเหมือนกัน นึกในใจว่าข้อความใดที่เราอ่านหนังสือแล้ววันนี้ ที่มีความไม่เข้าใจ เราขีดเส้นไว้ มีพระองค์ใดไหมที่จะสอนเรา หรือเทวดาองค์ไหน หรือพรหมองค์ไหน

    พอนึกอย่างนี้ ท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่าฉันนี่แหละจะเป็นคนสอน ท่านก็แนะนำให้บอกว่า ถ้าหากว่าจะสอบตามวิธีกรรม ที่เขาสอบต้องตอบอย่างนี้ ต้องมีความเข้าใจอย่างนี้ แต่ว่าถ้าจะเอาจริงตามแบบปฏิบัติในพุทธศาสนาจริง ต้องมีความเข้าใจอย่างนี้ คือมันผิดกัน รู้สึกว่ามันผิดกันมาก แล้วท่านก็ อธิบายให้ฟังจนมีความเข้าใจทุกข้อ

    หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ต่อจากนี้ไป เธอก็ไปที่เก่าของเธอก็แล้วกันนะ ฉันจะเข้า จุฬามณีเจดียสถาน เพราะพรหม เทวดา พระอริยเจ้าท่านคอยอยู่ ก็ถามท่านบอกว่าถ้าอย่างนั้น จะเข้าไปบ้างได้ไหม อยากจะเจอะพรหม เจอะเทวดามาก ๆ เจอะพระอริยเจ้า เพราะมีความเคารพในพระอริยเจ้ามาก

    ท่านบอกว่า เข้าได้ แล้วท่านก็เสด็จเข้าไป อาตมาเองก็เดินเข้าไป ก็พอดีอีก 2 องค์ก็มาพร้อมกัน เข้าไปพร้อมกัน เข้าไปก็เห็นว่า พระอริยเจ้า นั่งเป็นกลุ่ม ๆ ความจริง คำว่า พระอริยเจ้า บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่ท่านตายไปแล้ว นั่นมันเรื่องหนึ่งต่างหาก สำหรับพระอริยเจ้าที่ยังไม่ตาย ที่มีความสำคัญที่ท่านเป็นพระก็มี ท่านเป็นอุบาสก อุบาสิกา คือ ผู้หญิง ผู้ชายที่ยังไม่ได้บวชก็มี เป็น พระอริยเจ้า ท่านนั่งตามลำดับของท่าน

    ต่างคนต่างตั้งใจสดับ รับรสพุทธพจน์เทศนาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพุทธบริษัทอ่านมาถึงตอนนี้แล้วจะรู้สึกว่า อาตมาบ้าหรือเปล่าก็ไม่ทราบก็ไหน ๆ มันก็บ้ามาหลายสิบปีแล้ว ก็บ้ามันต่อไป

    หลังจากท่านเทศน์เสร็จ ท่านก็หายไป อาตมาก็หันไปมองพระอริยเจ้า ที่สนใจก็คือพระอริยเจ้าที่ยังไม่ตาย ที่ตายแล้วนมัสการท่าน ท่านก็ยิ้ม ท่านก็จับมือไม้ ท่านก็ชี้มือชี้ไม้แสดงว่ารู้จักกันมาก่อนก็เยอะแยะในชาติก่อน ๆ แต่พระอริยเจ้าที่ยังไม่ตาย นี่ก็หลาย พระอรหันต์ก็มี พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีก็มี ฆราวาสที่เป็นอนาคามี ทั้งผู้หญิง ผู้ชายก็มี พระโสดาบันก็มี สกิทาคามีก็มี

    เมื่อเห็นฆราวาสท่านเป็นพระอริยเจ้า ก็รู้สึกอายท่าน ว่าท่านนุ่งกางเกง ท่านนุ่งผ้าโจงกระเบน ท่านเป็นพระอริยเจ้าได้ แต่เรายังไม่ใช่พระอริยเจ้าเราเลวกว่าท่านมาก ที่รู้จักท่านก็มีเยอะ และพระอริยเจ้าผู้ชาย ผู้หญิงนะ แหม..ญาติโยมบางคนก็แต่งตัวรุ่งริ่ง ๆ ผ้าเก่าแล้วเก่าอีก คนแต่งตัวดี ๆ ไม่ค่อยมี มีแต่คนจน ๆ แสนจน จนน้อยบ้าง จนมากบ้าง จนจริง ๆ ดูเครื่องแต่งตัว

    แต่ถ้าดูความเป็นทิพย์ของท่าน มีความผ่องใสมาก ขอดูภาพเดิมท่านนะ ที่รู้เครื่องแต่งตัวและที่รู้จักกันก็มีที่ไม่รู้จักกันก็มี ที่รู้จักกันก็มีหลายคน ที่รู้จักกันก็รู้สึกว่า บรรดาประชาชนบางคน ดูถูกดูหมิ่นท่านว่า เป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่น

    ก็รวมความว่า วันนี้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในอดีต คือ ก่อนเข้าพรรษาที่ 2 มานั่งคิดนอนคิดถึงความหลังว่า เราอยู่ในป่าศรีประจันต์ หลังจากนั้นก็กลับก็คิดว่า อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพียงแค่พักเดียว พอกลับลงมาปรากฏว่า ได้อรุณพอดี ก็จึงหยิบบาตรขึ้นสะพายตั้งใจว่า จะอาศัยต้นไม้ต้นไหนเป็นที่บิณฑบาต เคยแขวนต้นไม้ พอสะพายบาตรเสร็จ พอหันหน้ามา จะเดินทางจากกลด ก็ปรากฏว่ามีเทวดา กับนางฟ้า เป็นอากาสเทวดาก็มี รุกขเทวดาก็มี ภุมเทวดาก็มี ท่านยืนเป็นแถวอยู่

    ท่านบอกว่า วันนี้ไม่ต้องเดินไกลเจ้าค่ะ เพราะว่าเมื่อคืนไม่ได้หลับตลอดคืน ไม่ต้องเดินไกล ฉันมาคอยแล้ว ท่านก็ใส่บาตร พอใส่บาตรแล้วท่านก็ยกมือ สาธุ ท่านบอกว่า ที่ท่านคิดว่า ท่านไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า แต่ก็จงอย่าลืมว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ก็เลยบอกว่า พระโพธิสัตว์มีบารมีไม่เท่าพระอริยเจ้าท่าน ท่านมีความบริสุทธิ์แล้ว อย่างพระโสดาบัน ท่านก็ตัดสังโยชน์ 3 ได้ พระสกิทาคามี ก็เช่นเดียวกันพระอนาคามี ท่านตัดสังโยชน์ 5 ได้

    แต่ว่าพระโพธิสัตว์ ตัดอะไรยังไม่ได้ แม้แต่นิวรณ์ ยังมีเต็มตัว แต่เทวดา กับนางฟ้าท่านก็บอกว่า ก็ไม่ใช่ของแปลก ในเมื่อทำบุญ ได้บุญก็แล้วกัน เมื่อท่านพูดเท่านั้นแล้ว ท่านก็นั่งลงยกมือไหว้ แล้วก็หายไป พวกนี้ไม่ต้องเดิน หายไปเฉย ๆ

    เป็นอันว่า วันนั้นข้าวเยอะ แต่กับข้าวไม่มี มีแต่ข้าวสีเหลืองเฉย ๆ อีก 2 องค์ก็ยิ้ม บอกวันนี้เราสบายนะ เราเที่ยวกันแบบนี้ เรามีความสดชื่น และได้รับความรุ้ คิดว่า ปีนี้เราต้องสอบนักธรรมโทได้แน่ เพราะว่าเราได้ครูใหญ่สอนวิชาถึง 2 ประเภท ทั้งด้านปริยัติ และด้านปฏิบัติ ให้มีความเข้าใจในตำราทั้ง 2 อย่าง ถ้าเขาสอบด้านปริยัติ ให้ตอบอย่างนี้ถ้าจะปฏิบัติ ให้มีความเข้าใจอย่างนี้

    นี่แหละท่านพุทธบริษัท เรื่องปริยัติ กับปฏิบัติ มันขัดกันตรงนี้แหละ เพราะว่าความเข้าใจไม่เสมอกัน แต่ปฏิบัติก็เหมือนกัน ปฏิบัติ ถ้าได้ถึงไหน มีความเข้าใจถึงนั่น อย่างคนที่เป็นพระโสดาบันจะเข้าใจเรื่องราวของสกิทาคามีนั้นไม่ได้ ความเข้าใจยังผิดมากเกือบเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ท่านได้พระสกิทาคามี จะเข้าใจเรื่องของอนาคามี ก็ยังไม่ถึงยังไม่ถูกอีก ท่านที่ได้อนาคามี จะเข้าใจเรื่องอรหันต์ก็ไม่ได้ อรหันต์ธรรมดา จะไปเข้าใจเรื่องอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา นี่ก็ไม่ได้ ต้องถึงขั้นจริง ๆ จึงจะตอบถูก เข้าใจถูก รู้ถูก

    เป็นอันว่า เมื่อฉันข้าวเสร็จก็ปรึกษากันว่า เราทั้งสามคนจะนอนหรือไม่นอนอีก 2 องค์ก็ตอบว่าเราต้องนอน ร่างกายต้องเป็นร่างกาย เมื่อคืนนี้ร่างกายมันนั่ง มันนั่งทั้งข้างล่างและก็นั่งทั้งข้างบน ไม่มีเวลาพักผ่อนให้คลายตัวมันบ้าง แต่การนอนของเรา ก็ต้องนอนอย่างพระ ตามที่หลวงพ่อปานท่านสอน อย่างไร ๆ อย่าทิ้งคำสอนของหลวงพ่อปาน เพราะ คำสอนของหลวงพ่อปานนี้ กับพระที่ท่านสอนข้างบนนั้น ช่างเหมือนกันจริง ๆ ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ต่างคนต่างก็เข้ากลดนอน

    เวลานอนทำอย่างไร บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็นอนธรรมดา ๆ ไม่ใช่วิเศษวิโสอะไรจงอย่าคิดว่า อาตมานี่เป็นผู้วิเศษวิโส ยังก่อน ต้องถามกันก่อนว่า นิวรณ์ทั้ง 5 ประการน่ะ ตัวไหนตัดขาดบ้าง (คำว่า นิวรณ์ แปลว่า กิเลส หยาบ ที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง คือเป็นคนไร้ปัญญา) ก็ต้องขอตอบว่า นิวรณ์ทั้ง 5 ประการ ครบถ้วนบริบูรณ์ ดี หรือเลว ความเลว ยังมีอยู่ทั้ง 5 อย่าง ความรักในระหว่างเพศก็มี อารมณ์ไม่พอใจก็มี ความง่วงเหงาหาวนอนก็มี ความฟุ้งซ่านคิดนอกลู่นอกทางก็มี อาการสงสัยก็มี ความเลวทั้ง 5 อย่างนี้ ยังมีครบ

    ฉะนั้น ท่านพุทธบริษัทจงอย่าคิดว่าอาตมาเป็นคนดี ยังเป็นคนเลวเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเป็นประเภทที่ เลว ค่อยๆ แคะความเลวออก แต่มันก็ไม่ออก นิวรณ์มันเหนียวเหลือเกิน ทีนี้ถ้าจะถามว่าในขณะที่อยู่ในป่า ถ้านิวรณ์กวนใจ จะทำอย่างไร ก็ต้องขอตอบสั้น ๆ ว่า ในบาลีท่านบอกว่าเหมือนกับไม้สดที่แช่น้ำ ยางมันก็สด น้ำมันก็เปียก มันก็ชุ่มทั้งยาง ยางก็ชุ่ม น้ำก็เปียก ถ้าไม้สดยกขึ้นมาจากน้ำ วางไว้บนตลิ่ง วางไว้บนคาน น้ำมันจะแห้งจากไม้สด แต่ยางยังมีอยู่ฉันใด พระที่กำลังธุดงค์อยู่ในป่า ก็เหมือนไม้สด ที่ยกขึ้นมาจากน้ำ วางไว้บนคานฉันนั้น

    ในเมื่อนิวรณ์มันจะเข้ามากวนใจก็ต้องทราบทันทีว่า เวลานี้เรากำลังหนีความชั่วกำลังแสวงหาความดี ถ้านิวรณ์ตัวนี้เข้ามาสิงใจเรา พรุ่งนี้เราจะอดข้าว เสืออาจจะกัดตายก็ได้ งูอาจจะกัดตายก็ได้ จะเป็นโรคตายก็ได้ และพรุ่งนี้เทวดานางฟ้า อาจจะไม่ให้ข้าวกินก็ได้ เราจะยอมแพ้นิวรณ์ไม่ได้ เราจะไม่ชนะนิวรณ์ แต่ว่าเราจะยันนิวรณ์ไว้

    ถ้าอารมณ์นิวรณ์เกิดขึ้นปั๊บ ก็มีความรู้สึกตัว ก็ตัดทันที นิวรณ์ตัวต้นตัดด้วย กายคตานุสสติ กับ อสุภกรรมฐาน นิวรณ์ตัวที่ 2 ตัดด้วยพรหมวิหาร 4 หรือกสิณ 4 ไม่ยาก เพราะคล่องไปแล้ว ถ้านิวรณ์ตัวที่ 5 เกิดขึ้นก็ไม่ยาก ขยับใจปั๊บเปิดเลย ไปสวรรค์โน่น สวรรค์คนมาก รื่นเริงมาก หายง่วงไปเอง พอนิวรณ์ตัวที่ 4 เกิดขึ้น ความฟุ้งซ่านรำคาญ อันนี้ไม่หนัก

    จับภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น เห็นแย้มพระโอษฐ์ปั๊บ หายฟุ้งซ่านทันที ถ้าอารมณ์สงสัยเกิดขึ้นมาเมื่อไร จับพระพุทธเจ้าทันที มองดูพระพุทธเจ้าเห็นลุงพุฒชื่นใจหมดสงสัย แค่นี้พอ นี่เป็นวิธีตัด คือ ถือว่าเป็นการฝึกขั้นต้นในการที่จะเข้าธุดงค์ในป่าแต่ก็เป็นขั้นอุกฤษฏ์

    เวลานี้ยังอยู่ที่ป่าศรีประจันต์ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นวันแรม 14 ค่ำ เดือน 6 วันรุ่งขึ้นพรุ่งนี้จะเป็น วันวิสาขบูชา เราก็จะทำพิธีวิสาขบูชาในป่า เราจะทำกันอย่างไร
    ที่มาhttp://palungjit.org/threads/ขอเชิญ...หน้าตัก๖๐นิ้วปิดทอง-ขณะนี้เหลือ50-ชุด.559915/
     
  2. นาย หวังดี

    นาย หวังดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2013
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +1,272
    กราบหลวงพ่อครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...