หลวงพ่อธุดงค์ กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน หลวงพ่อโหน่งแนะกรรมฐาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 29 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หลวงพ่อธุดงค์ กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน หลวงพ่อโหน่งแนะกรรมฐาน
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่ 23 มิถุนายน 2533 ก็ขอคุยเรื่องวัดคลองมะดัน กันต่อไป ไปวัดคลองมะดันครั้งที่ 2 คือ วัดหลวงพ่อโหน่ง ไปศึกษาวิชาการที่นั่น

    เมื่อไปถึงท่าน ท่านให้นั่งหลับตา เราหลับตา ท่านก็หลับ ท่านสั่งให้เข้าสมาธิตั้งแต่ต้นยันปลาย พวกเราก็หลับตากัน เมือเราลืมตาขึ้น ท่านก็ลืมตา ท่านก็ถามว่า อาจารย์ปานสอนขนาดนี้แล้ว คุณต้องการอะไรอีก

    จึงได้ถามท่านบอกว่า การทำได้แค่นี้ ถึงที่สุดความรู้ในพุทธศาสนาแล้วหรือยัง ท่านก็ตอบว่า ยังไกลมาก ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องศึกษาต่อ ถ้าจะไม่จบ ก็ให้มันใกล้จบเข้าไป ค่อย ๆ ทำตามกำลังที่จะพึงทำได้ ท่านก็พอใจ ท่านถามว่า สิ่งที่ต้องการจริง ๆ คืออะไร

    ก็เลยกราบเรียนท่านตรง ๆ บอกว่า ตามที่หลวงพ่อปานบอกว่า หลวงพ่อจะทำอะไรต้องถามพระก่อน เมือพระอนุญาตให้ทำ ก็ทำ พระแนะนำทางไหน ทำตามนั้น ถ้าพระสั่งว่า สิ่งนี้ไม่ควรทำ หลวงพ่อจะไม่ทำ ผมอยากจะศึกษาวิชานี้ขอรับ

    ท่านก็บอกว่า เธอต้องการในสิ่งที่ง่ายเกินไปเสียแล้ว ก็กราบเรียนถามท่านว่า ทำไมจึงง่าย ท่านก็บอกว่า ตามธรรมดานี่ เธอเจริญกรรมฐานใช้อารมณ์พุทธานุสสติใช่ไหม ก็กราบเรียนว่า ใช่ ท่านถามว่าเคยเห็นภาพพระพุทธรูปไหม ก็ตอบว่า เคยเห็น

    ท่านถามว่า เคยเห็นภาพพระใหญ่แล้วครั้งหนึ่งใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ แล้วทุกวันนี้ เวลานี้ก็เห็นพระพุทธเจ้าทุกวันใช่ไหม ก็ตอบว่าใช่ การเห็นพระ เธอทำไมจึงไม่ถามท่าน ถามในสิ่งที่ควร ท่านจะบอก ถ้าสิ่งใดที่ไม่ควรเราก็อย่าถาม ถ้าถาม ท่านไม่บอก

    กราบเรียนบอกว่า ตามตำราไม่มีขอรับ ท่านเลยบอกว่า จริง ตำราเขาไม่มี แต่ว่าเราทำกันได้ ตำราท่านคงจะไม่เขียน เพราะเขียนแล้วก็เกรงว่า คนจะคิดว่าเป็นสิ่งเกินวิสัย เพราะเขาเข้าใจว่า พระนิพพานมีสภาพสูญ เมื่อสูญแล้วก็ไม่มีอะไรหมด

    และคนเขียนตำราในปัจจุบันส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่สูญจากนิพพาน คำว่าสูญจากนิพพาน ก็เพราะว่า เขาถือว่า นิพพานสูญ เขาก็เลยไปนิพพานกันไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเข้าใจว่า นิพพานสูญอย่างเดียว ทุกสิ่งก็เจ๊ง

    เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในเมื่อเธอเห็นพระท่าน ถ้าเธอต้องการจะถามอะไร แต่สิ่งที่จะถามต้องเป็นประโยชน์นะ ต้องเป็นคุณ ต้องเป็นประโยชน์ มีเหตุมีผลพอ ก็กราบเรียนท่านบอกว่า จะยอมรับปฏิบัติตามนั้นขอรับ

    ท่านถามว่า จะอยู่พักสักกี่คืน ตอนนี้ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ไม่แน่นอนนักครับก็คิดว่า อย่างน้อยก็ 7 วัน หรือ 15 วัน ท่านก็บอกว่า ตามใจ 7 วันก็ได้ 15 วันก็ได้ พอใจเมื่อไรก็บอกฉัน กลับได้ หลังจากนั้นท่านก็แนะนำกรรมฐาน

    การแนะนำกรรมฐานบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไม่ต่างกับหลวงพ่อปานเลย เหมือนกันทุกอย่าง เว้นไว้แต่ถ้อยคำที่พูดบางคำ จะต่างกันนิดหน่อย แต่ใจความเหมือนกันหมดแนะนำสิ้น ๆ ทีนี้ถ้าจะไม่กล่าวเสียเลย คนก็จะสงสัย ท่านแนะนำก็คือ

    1. จงละนิวรณ์ 5 ประการ นิวรณ์ 5 ประการนี่ ขออย่าได้ยึดถือมัน เราหลีกมันไม่ได้มันกวนใจเราเสมอ เป็นของธรรมดา ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ถึงอย่างไรก็ดี เราก็ต้องระงับมันได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ขณะที่เธอทำสมาธิ นิวรณ์มันไม่กวน กำลังใจดีพอแล้ว

    ประการที่ 2 ศีลบริสุทธิ์

    ประการที่ 3 รักษาไตรสรณคมน์ให้ดี ด้วยความเคารพ

    ประการที่ 4 กายคตาสติ ต้องมีความรู้สึกว่า ร่างกายของเราดูตามความเป็นจริงว่าในร่างกาย ตรงไหนมันดีบ้าง จะดูผิดหนัง นึกถึงไส้ ถึงปอด ถึงตับ ถึงไต อุจจาระ ปัสสาวะ ที่มันอยู่ข้างในว่า อะไรมันดีบ้าง ดูคนอื่น ก็ดูเหมือนกับดูตัวเรา เห็นผิวพรรณปั๊บก็ดูข้างในว่าตับไต ไส้ปอด อยู่ตรงไหนบ้าง มีน้ำเหลือง น้ำหนอง มีอุจจาระ ปัสสาวะ

    และอีกประการหนึ่ง สิ่งที่เราต้องทำกันจริง ๆ เอาแน่นอนละไม่ได้จริง ๆ นั้นคือบานมี 10 บารมี 10 ประกานี้ต้องท่องจำให้ได้ เขียนเอาไว้ข้างที่นอน (เหมือนหลวงพ่อปานเปี๊ยบเลย เขียนไว้ข้างที่นอน) พอตื่นขึ้นมาแล้วคิดว่าวันนี้ บารมี 10 จะไม่เคลื่อนไปจากเรา

    ประการที่สอง สังโยชน์ 10 สังโยชน์ 10 ประการนี่ ท่านหันหน้ามาทางอาตมาท่านบอกว่า ถึงแม้ว่าเธอจะปรารถนาพุทธภูมิเธอก็จงอย่าลืมว่า คำว่า พุทธภูมิ หมายถึงว่าเรียนวิชาครู การที่จะเป็นครูเขา ถ้าเราไม่มีความเข้าใจ เราจะสอนเขาได้อย่างไร

    มันต้องฝึกสังโยชน์ 10 ด้วย ค่อย ๆ ทำ ทำสังโยชน์ 3 ก่อน ให้ได้แน่นอน เมื่อได้สังโยชน์ 3 แล้ว ค่อย ๆ คลำสังโยชน์ 5 ไปอีก 2 แล้วต่อ ๆ ไปคลำไปถึง 10

    ก็ถามท่านว่า ถ้าคลำไปถึง 10 ไม่ได้เป็นพระอรหันต์หรือขอรับ เพราะผมปรารถนาพุทธภูมิ ท่านบอกว่า เธอต้องทำ จะเป็นหรือไม่เป็น ต้องทำ ทำให้ช่ำชอง แล้วตัดให้ได้เพราะถึงอย่างไรก็ดี เธอมีความจำเป็นจะต้องใช้ เพราะถ้าเราไม่ตัดสังโยชน์ 10 ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังโยชน์ 3 ประการตัดไม่ได้ เราไม่สามรถจะพ้นอบายภูมิได้ อย่างน้อย ๆ การปรารถนาพุทธภูมิ ไม่ควรจะลงนรก (ความจริงที่ท่านสอนนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเราฟังกันจริง ๆ ท่านสอนให้เป็นพระอรหันต์นั่นเอง)

    ก็เป็นอันว่า ท่านสอน และแนะนำให้ปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้ว ก็กราบท่าน ท่านก็บอกว่า ต่อนี้ไปปฏิบัติตามความพอใจนะ จะเอาตรงไหนก่อนก็ได้ ดีทั้งหมด ก็กราบท่าน

    กลับเข้าที่พัก ก็นั่งคุยกัน คุยกันถึงการที่ท่านแนะนำ บรรดาเพื่อนทั้งหลายก็บอกว่าอันดับแรก เราต้องถามพระให้ได้ เพราะว่าการถามพระ พระทุกองค์ที่เป็นผู้ใหญ่เหมือนกันหมด

    หลวงพ่อปานมีอะไรสำคัญที่เกิดขึ้น ท่านบอกว่า พระบอกท่านพระครูอุดมสมาจารย์ เป็นพระกรรมฐานที่มีความสำคัญ ถ้ามีอะไรท่านก็บอกว่าพระบอกว่าอย่างนี้ หลวงพ่อจงก็บอกว่า พระบอกว่าอย่างนี้ ถ้าพวกเราไม่สามารถจะถามพระได้ แล้วก็ไม่สามารถจะให้พระบอกได้กรรมฐานเบื้องต้น เราก็ยังใช้ไม่ได้ก็รวมความว่า เรายังไม่ได้กรรมฐานเบื้องต้น

    ทีนี้ก็มีปัญหาว่า การถามพระ จะพูดกันรู้เรื่องไหม เห็นหลวงพ่อโหน่งท่านกำลังนั่งว่าง ๆ ก็เข้าไปกราบใหม่ ถามว่า หลวงพ่อขอรับการถามพระนี่ ผมสงสัยว่า กำลังใจของพวกผมยังไม่แน่นอนนัก การถาม ถามด้วยวาจา หรือถามด้วยกำลังใจ

    ท่านบอกว่า ถ้ากำลังใจเวลานั้น สมาธิวิปัสสนาญาณเข้มแข็ง ก็ถามด้วยกำลังใจนั่นแหละแต่มันจะมีคล้ายๆ เสียง มันจะมีความรู้สึกเหมือนกับเสียงออกมาแล้วก็รับฟังตามนั้น ถามตามนั้น ถ้ากำลังใจเวลานั้น อ่อนไปหน่อยหนึ่ง มันจะเกิดความรู้สึก เจอะพระเข้าปั๊บ นึกถามท่าน ความรู้สึกเกิดขึ้น ให้เชื่อความรู้สึกครั้งแรกทันที นี่อย่างอ่อน

    แล้วก็ต้องสังเกตตัวเองด้วยว่าการรับฟังมาแล้วนั่น ผิดหรือถูก ผลจะมีตามนั้นไหม อันนี้ต้องสังเกตให้ได้ จำให้ได้อย่าถามแล้วก็เชื่อเลย ถามแล้วต้องสังเกตว่า วันพรุ่งนี้จะมีอะไรบ้าง อย่างนี้ต้องถามบ่อย ๆ จะมีคนมาหา หรือจะมีภาระกิจ หรือจะมีอะไรสำคัญ เอาจุดใดจุดหนึ่งอย่างเดียว อย่าไปถามเรื่องลาภสักการะ เพียงเท่านี้ ถ้ามันตรงทุกวัน ก็ใช้ได้ อย่างอื่นก็ตรงหมด เข้าใจแล้วก็กราบลาท่านมา

    ต่อมาถึงเวลากลางคืน ท่านก็เข้าไปเจริญกรรมฐานในโบสถ์ พวกอาตมาก็ไปที่กอไผ่มีกอไผ่อยู่กลุ่มหนึ่ง ไปนั่งที่กอไผ่ เอาผ้าอาบปู แล้วก็เอาย่ามทำหมอน นอนที่นั่นสบาย ๆ ทำกรรมฐานแบบเป็นสุข อันดับแรก ก็จับ พุทธานุสสติ กับอานาปานสติ ก่อน

    การจับพุทธานุสสติ บรรดาท่านพุทธบริษัท คำว่า พุทธานุสสติ หมายถึงว่า นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ อันนี้ก็ขอบอกกันไว้ก่อนเลยว่า การนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ทำเป็นปกติ ทุกวัน และทุกเวลา แม้จะนั่งคุยกับเพื่อน ก็นึกถึงภาพพระพุทธเจ้า เห็นภาพพระพุทธเจ้าในอกบ้าง ถ้าคุยกับใคร จะนึกเห็นภาพพระพุทธเจ้าในอก กับในสมอง

    แต่ว่าในอกเห็นภาพเป็น 2 องค์คือ พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ในสมองจะเห็นภาพพระพุทธเจ้า 2 องค์คือ สมเด็จพระพุทธทีปังกร กับสมเด็จพระพุทธกัสสป ตามความรู้สึกของจิตมันเห็นตามนั้นนะ

    ถ้าถามว่า เห็นกี่วัน ก็ต้องขอตอบว่าเห็นมาตลอด ทั้งเวลานี้ ก็ยังเห็นอยู่เหมือนกัน แล้วก็เวลาเดินไปไหนมาไหนก็ตาม เรื่องภาพพระพุทธเจ้านี่ จะไม่ห่างกันเด็ดขาด จะเห็นทั้งข้างใน และเห็นทั้งข้างนอก แต่ว่าการจะถามท่าน ถามไม่เป็น วันนั้นก็ไม่ลองกัน

    วิธีลองทำอย่างไรทำกรรมฐานตั้งแต่เริ่มต้น จับอานาปานสติให้ทรงตัว แล้วก็ใช้พุทธานุสสติ คือ ภาวนาว่า พุทโธ จนกระทั้งจิตเป็นฌานเต็มกำลัง ฌาน 1, ฌาน 2, ฌาน 3, ฌาน 4, ฌาน 5, ฌาน 6, ฌาน 7, ฌาน 8 พอถึงฌาน 8 แล้วก็ลองถอยหลังมาฌาน 7, ฌาน 6, ฌาน 5 มาหยุดอยู่ฌาน 4 พอถึงฌาน 4 ก็หย่อนอารมณ์มานิดหนึ่ง ถึง อุปจารสมาธิ

    (คำว่า อุปจารสมาธิ ก็เหมือนกับที่เขาฝึกมโนมยิทธินี่แหละ ถ้าคนสมัยนี้ที่เขาได้มโนมยิทธิ เขาทำตามที่เล่ามานี่ เขาจะดีกว่าอาตมามาก เพราะเวลานั้น อาตมามีความรู้ยังไม่เท่ากับพวกที่ฝึกมโนมยิทธิในเวลาปัจจุบัน เวลาปัจจุบันนี้ ลูกศิษย์ที่ได้มโนมยิทธินี่เก่งกว่าเยอะเห็นภาพพระชัดเจนแจ่มใส ไปนิพพานก็ได้ เขาเก่งกว่า แต่การเก่งกว่า ทะนงว่าเก่งกว่าไม่ช้าก็เจ๊ง แต่ว่าคนใดไม่ทะนง ใช้ให้ถูก ก็ใช้ได้)

    ก็รวมความว่า หลังจากนั้นแล้ว เมื่อเอาจิตลดลงมาถึงอุปจารสมาธิ กำลังฌาน 4 คุมจิต มีอารมณ์ทรงตัว นิวรณ์ไม่กวนใจ ก็กราบทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระพุทธเจ้า เห็นท่านนั่งงามสง่าอยู่ข้างหน้าสวยงามมาก แล้วก็แย้มพระโอษฐ์ ท่านถามว่าอยากจะคุยกับพระใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่าอยากจะคุยกับพระขอรับ

    ท่านบอกได้เลยตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป มีอะไรถามฉันได้ แต่ว่าจงทิ้งอุปาทาน นะ (คำว่า อุปาทาน คือ อารมณ์จิตที่คิดไว้ก่อนว่า ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างโน้น ระวัง)

    และประการที่สอง การที่จะพบพระพุทธเจ้าได้จริง ๆ ต้องใช้กำลังวิปัสสนาญาณให้มีความเข้มข้น มีความเบื่อหน่ายในร่างกายจริง ๆ เห็นทุกข์ในร่างกายจริง ๆ แล้วก็มีความต้องการละร่างกายจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นจะพบพระพุทธเจ้าอย่างดี (คำว่า อย่างดี ก็หมายความว่า ของแท้)

    ถ้าหากว่ายังมีอุปาทานครอบงำอยู่ ระวัง กิเลสมารจะเข้าครอบงำ มารจะแปลงตัวเป็นพระพุทธเจ้า มีสภาพแจ่มใส แล้วก็จะพูดคล่องกว่าพระพุทธเจ้า เขาจะบอกทุกอย่างแต่มันไม่ถูก มันถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง จงจำอารมณ์ไว้ว่า อารมณ์วันไหนมีสภาพอย่างไรถามแล้วได้รับคำตอบตรงตามความเป็นจริงทุกอย่าง วันต่อไป ถ้าอารมณ์ไม่ดีถึงขนาดนั้น จงอย่าเชื่อ จงอย่าถาม จะถามต่อเมื่ออารมณ์ดีถึงที่สุดก่อน

    ก็เป็นอันว่า เป็นการฝึกการถามพระ ท่านพุทธบริษัทคงคิดว่า ถามอะไรในวันนั้นก็ถามท่านว่า วันนี้หลวงพ่อโหน่งสอนแปลก ในเมื่อข้าพระพุทธเจ้าเองปรารถนาพุทธภูมิ แต่ว่าท่านสอนให้ปฏิบัติในสังโยชน์ 10 ประการ ตัดสังโยชน์ 10 ประการให้ได้ พระท่านก็ยิ้ม ท่านก็บอกว่า มีความจำเป็น ถ้าเราไม่ทรงบารมี 10 ให้ครบถ้วน ไม่สามรถชำระสังโยชน์ 10 ประการให้สะอาดจากใจ ความปรารถนาใดใดในเรื่องนิพพาน ของเราจะไม่มี

    ก็ถามท่านว่า ตามธรรมดา คนที่ปรารถนาพุทธภูมิ ก็ยังจะไม่เป็นพระอริยเจ้าใช่ไหม ท่านบอกว่า ใช่ ก็ถามท่านว่า ถ้าบังเอิญตัดสังโยชน์ขาด เป็นพระอริยเจ้าไป จะไม่ผิดสัจจะหรือท่านบอก ก็ไม่มีอะไรผิด การเป็นพระพุทธเจ้าก็ไปนิพพาน การเป็นพระอริยสาวกก็ไปนิพพาน

    ขอให้สรุปตัวเองว่า เราต้องการนิพพานดีกว่า ถ้าเราเป็นพระพุทธเจ้าได้ เราก็จะสอนคนให้ไปนิพพาน และวิชาที่จะสอนคนให้ไปนิพพานคือ บารมี 10 กับสังโยชน์ 10 ปฏิบัติในบารมี 10 ให้ได้ครบถ้วน ละสังโยชน์ 10 ให้ได้ครบถ้วน อันนี้เราต้องรู้ไปก่อน นั่นหมายความว่า จิตเราสามารถจะระงับสังโยชน์ได้ แต่มันไม่เด็ดขาด นั่นคือ พุทธภูมิถ้าตัดได้เด็ดขาด ก็เป็นพระอริยเจ้า เรียกว่า บรรลุความเป็นพระอริยเจ้ากัน

    ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม ๆ ท่านก็บอกว่า เธอจงสนใจในสังโยชน์ 10 และสนใจในบารมี 10 ให้ครบถ้วน เพราะว่าสัญญาใดที่มีมาในกาลก่อนที่จะเกิด สัญญานั้นยังไม่ขาด ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามสัญญา ก็ถามท่านว่า สัญญามีอะไรขอรับ ท่านบอกว่า มันไม่ใช่จะรู้เวลานี้ เวลานี้ไม่ใช่เป็นเวลารู้สัญญา เป็นการรู้การฝึกปฏิบัติให้มันถูกต้อง ปฏิบัติให้มันตรงตามความเป็นจริง

    หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ต่อนี้ไปจงตั้งใจรักษาสัจจะ คือ

    1. บารมี 10 จะปฏิบัติให้ครบถ้วนจริง ๆ

    ประการที่ 2 จะค่อย ๆ ตัดสังโยชน์ สังโยชน์ 3 ข้อ จะตัดให้ได้ทรงตัว

    ต่อไปก็สังโยชน์ 5 ข้อ จะตัดให้ได้ทรงตัว

    สังโยชน์ 10 ข้อ จะตัดให้ได้ทรงตัว

    ก็ถามว่า จะตัดให้ได้ทรงตัวจะใช้เวลานานไหมขอรับ ท่านบอกว่า ก็ต้องใช้กำลังกันเป็นเวลา 10 ปี ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ ไม่ใช่ปีหน้า ไม่ใช่ปีโน้น สำหรับเธอ ตัวเธอนี่จริง ๆ จะต้องใช้เวลาเกิน 20 ปี

    เวลานั้นก็บวชเข้ามา 2 พรรษาแล้วจะเข้าพรรษาที่ 2 เป็นพรรษาที่ 1 คือ ออกจากพรรษาที่ 1 แล้ว ถึงเดือน 3 ยังไม่เข้าพรรษาที่ 2 แต่ต้องว่าไปอีก 20 ปี ถามท่านว่า เมื่อเวลานานแบบนั้น ไม่ต้องการได้ไหม เอาเฉพาะด้านพุทธภูมิ

    ท่านบอกนี่แหละเป็นหลักการของพุทธภูมิ พุทธภูมิก็ต้องมีบารมี 10 ครบถ้วน และก็มีจิตละเอียดในสังโยชน์ 3 ประการ, 5 ประการ,10 ประการ จะต้องเข้าใจในสังโยชน์ทุกประการจึงจะเป็นได้ หลังจากนั้นท่านก็ลากลับ หายไปเลย

    เมื่อพระพุทธเจ้าที่ท่านลอยมาหายไป ท่านสวยมาก ท่านมาใหญ่เท่าเดิม หน้าตักประมาณ 8 ศอกเศษ ๆ สวยมาก พูดจาไพเราะ ยิ้มแย้มแจ่มใสที่ใครเขาว่า พระพุทธเจ้าไม่ยิ้มนี่ไม่จริงหรอก ทรงแย้มพระโอษฐ์สวยมาก หลังจากพระพุทธเจ้าไปแล้ว จิตก็ชุ่มชื่น ไม่อยากหลับ จิตใจชุ่มชื่นที่ได้คุยกับพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก หมายความว่า ครั้งก่อน ๆ อาจจะพูดบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ไม่เป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่หลักวิชาการ
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...