หลวงพ่อธุดงค์ กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พบพระวิษณุกรรม

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 22 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หลวงพ่อธุดงค์ กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พบพระวิษณุกรรม
    [​IMG]
    ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เมื่อตอนที่แล้วมาหยุดอยู่ที่ดอนเจดีย์ ครั้นมาถึง ดอนเจดีย์คุณลุงก็เล่าความเป็นมาตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดว่า ท่านรู้ว่าพระองค์นั้นเป็น พระอรหันต์ท่านก็ประกาศด้วยว่า ท่านเป็นลูกศิษย์

    แล้วท่านก็ถามว่า พวกท่านจะอยู่ที่ดอนเจดีย์นี่ หรือว่าจะไปไหน ก็บอกว่า ใกล้บ้านเกินไป ห่างจากที่นี่ไปประมาณไม่ถึงกิโลเมตร ก็ปรากฏว่ามีบ้านอยู่ การมาธุดงค์คราวนี้เป็นการฝึกครั้งแรก ต้องการไม่พบบ้านจริง ๆ ถ้าไม่มีข้าวจะกินเพราะความดี ก็ให้มันตายไปเลย แล้วลุงก็เลย ถามว่า พวกท่านกิเลสหมดหรือยัง ก็เลยตอบท่านบอกว่า

    ถ้ากิเลสหมดก็ไม่ต้องมาธุดงค์ การมาธุดงค์ มาฝึกเพื่อทำลายกิเลส ไม่ใช่เป็นพระที่กิเลสหมดอย่างพระมหากัสสป พระมหากัสสปท่านไปธุดงค์ ก็เป็นการฝึกพระที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นอรหันต์แล้ว ก็ฝึกความเป็นอยู่ในป่า เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติของพระรุ่นหลัง

    ลุงก็เลยบอกว่า กิเลสไม่หมด อยู่ไกลคนเกินไป ถ้าเทวดาเขาไม่เมตตาจะว่าอย่างไรก็เลยบอกท่านบอกว่า เรื่องการ….เทวดานั้นไม่มี มีแต่ว่าตัวเอง พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าอัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทก์ความผิดตัวเองไว้เสมอ หรือว่า จงเตือนตนด้วยตนเองเพราะว่าการมา ก่อนที่จะมา ก็ฝึกที่ป่าช้าวัดบางนมโค ไม่มีข้าวกินมา 16 วัน ต้องอาศัยข้าวที่พระบิณฑบาตกิน

    พอวันที่ 17 ตัดสินใจคิดว่า เทวดาจะให้ หรือไม่ให้เป็นเรื่องของเทวดาท่านจะเมตตา แต่เราขอถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งจับภาพพระพุทธเจ้าไว้ให้ทรงตัว เพียงแค่นี้เทวดาก็ให้กิน เมื่อมาอยู่ในป่า ก็ใช้ตำราแบบนั้นก็ได้กินทุกวัน แต่บางวันที่ไปเที่ยวไกลเกินไป กลับมาสว่างไม่ทันจะออกบิณฑบาตก็ปรากฏว่า เทวดาท่านก็มาใส่ให้ถึงที่ ท่านเมตตาอย่างนี้ เมื่ออยู่ฝั่งตะวันออก เทวดา และนางฟ้า เมตตา มาฝั่งตะวันตก เทวดา นางฟ้าไม่เมตตา ก็ตามใจท่าน จะยอมตายในป่า

    ลุงฟังแล้วก็มองจ้องหน้า จ้องหน้าองค์โน้นที จ้องหน้าองค์นี้ที แล้วลุงก็ถามว่าทุกท่านตัดสินใจตามนี้หรือ ก็บอกว่า ตามนี้ ต่อไปท่านจ้องหน้า 2 องค์เพื่อนกัน ท่านลิงเล็ก กับลิงขาว ถามว่าท่าน 2 องค์นี่ ปรารถนาสาวกภูมิใช่ไหม ท่าน 2 องค์ก็ตอบว่า ใช่ ก็หันมาถามอาตมาว่า ท่านปรารถนาพุทธภูมิใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่

    ท่านก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านพุทธภูมิก็แสดงว่า เป็นหัวหน้า เพราะสาวกภูมิต้องตามหลัง แต่ว่าสาวกภูมิทั้ง 2 องค์นี่ ผมมีความสงสัยว่า เวลานี้สามารถตัดสังโยชน์ 3 ได้แล้วในพรรษาที่ 2 ท่านทั้ง 2 องค์ก็บอกว่า อาตมาไม่กล้าพยากรณ์ตัวเองอย่างนั้น มันเป็นความประมาท และทะนงตนเกินไป ลุงก็เลยบอกว่า ผมเป็นคนช่างสังเกต เพราะอาจารย์ของผมเป็นพระอรหันต์

    สังเกตว่า อาการอย่างนี้ เป็นพระที่ตัดสังโยชน์ 3 ได้ แต่ว่าเป็นสังโยชน์ 3 อย่างหยาบอย่างนี้เทวดาเมตตา สำหรับพระโพธิสัตว์ก็เช่นเดียวกัน ท่านปรารถนาพุทธภูมิ พระโพธิสัตว์นี่เทวดามีความเคารพ จึงคิดว่า เทวดา และนางฟ้าคงจะเมตตาต่อไป เลยบอกท่านบอกว่า ความดียังไม่พอ ความปรารถนามันมีอยู่ เหมือนกับคนที่ตั้งใจอยากจะเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าเวลานี้ ที่สักกระแบะมือหนึ่งก็ไม่มี ทุนสักไพหนึ่งก็ไม่มีจะถือว่าดีไม่ได้ ลุงก็บอกว่า ถ้าเราพูดกันมันก็ไม่จบ

    เลยถามว่า คุณลุงอยากจะทราบว่า คุณลุงบ้านอยู่ที่ไหนท่านบอกว่า บ้านของผมอยู่ที่บ้านดึง ถาม บ้านดึงที่อำเภอผักไห่มีหรือ ท่านก็ตอบว่า มี ถามว่า มันอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกว่ามันอยู่ที่บ้านผมตั้งอยู่ เขาเรียกว่า บ้านดึง และก็มี ผู้ใหญ่บ้าน ชื่อ อิน ที่ผมไปผมมาที่ไหนได้ไม่ไป ที่ผมมานี่ก็เหมือนกัน

    ผมจะมาธุระที่อำเภอศรีประจันต์ ท่านผู้ใหญ่อิน ท่านก็บอกว่าลูกชายของท่าน กับเพื่อนมาธุดงค์อยู่ที่นี่ ให้ช่วยสงเคราะห์ พาไปที่ดอนเจดีย์ด้วย และก็นอกจากที่ดอนเจดีย์นี้ให้ไปภูเขาชั่วคราว ภูเขาชั่วคราวก็หมายความว่า ช้างในมีธารน้ำใสมีเตียง มีตั่ง เป็นที่นั่ง เป็นที่นอนสบาย และก็มีสวนดอกไม้ มีสวนหย่อม มีพุ่มไม้สว่างไสวทางด้านทิศตะวันตกก็มีเงื้อมภูเขา บังแสงพระอาทิตย์ที่จะสาดมาเวลาตอนบ่าย

    เมื่อฟังท่านแล้วก็คิดในใจว่า ลุงนี่แปลก อยู่บ้านดึงผู้ใหญ่บ้านชื่ออินก็เลยไม่ถามท่านต่อไป ก็เลยบอกกับท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันลุง อาตมาอยากจะไปที่ภูเขาชั่วคราวไปพักที่นั่นให้มันมีความสุข ท่านก็บอกว่า ดูดอนเจดีย์นี่เสียก่อน ตรงนี้พระนเรศวรสร้างไว้ ข้างในมีรูปร่างลักษณะเป็นแบบนี้เป็นเจดีย์เล็ก ๆ ไม่โตนัก แต่เวลานี้รัชกาลที่ 6 ท่านสร้างคลุมไว้ทำหลักฐาน ใหญ่โตมาก แล้วก็มองตามภาพ มองไปมองมา ลุงบอกว่า ถึงภูเขาชั่วคราวแล้ว (เจอะดี เป็นการลองฝึกธุดงค์นะ ถึงภูเขาชั่วคราว)

    พอท่านพูดอย่างนั้นก็ปรากฏว่า เจดีย์ ดอนเจดีย์หายไป มาถึงถ้ำ ถ้ำมีความสวยสดงดงามมาก ไกลจากดอนเจดีย์ประมาณสัก 10 กิโล เดินดูบริเวณสนามหญ้าก็สวย ทางเดินก็ดี เป็นสถานที่จงกรม มีต้นไม้ใหญ่ ๆ ในบริเวณกลางลานประมาณสัก 30 ต้น เป็นที่บิณฑบาตอย่างสบายๆ มีเตียง มีตั่งเป็นที่นอน มีสระน้ำ

    เมื่อถึงที่นั้นเสร็จ ลุงก็บอกว่า ผมจะลากลับนะครับ ก็เลยบอกกับลุงบอกว่า เวลากลับอาตมาอยากจะให้ลุงช่วย ช่วยพากลับ เพราะไอ้ทางลัดนี่จำไม่ได้เลย มาประเดี๋ยวเดียวมันถึง มันแปลกใจ ท่านบอกว่า ไม่น่าจะแปลกใจถ้าหากว่าคนบ้านดึงนำมาจะไปที่ไหนก็ตามใกล้ทั้งหมด ถามว่าคุณลุงชื่ออะไร จำได้ไหม ท่านถามว่าทำไมจะจำได้ หรือไม่ได้ชื่อของผมน่ะถามแปลก ๆ

    ท่านก็บอกว่า ผมชื่อ วิ เป็นลูกศิษย์ของผู้ใหญ่อิน ถ้าผู้ใหญ่อินจะสร้างอะไรก็ตาม ผมเป็นช่างนะ ทำทุกอย่างได้ตามความพอใจ ผมจะทำอะไรให้ดูสักอย่างไหมล่ะก็บอกว่า อยากจะดู กลางคืนที่นี่มันมืดใช่ไหม ก็บอกว่า ใช่ ท่านมีเทียนมาหรือเปล่า บอกเทียนหมดแล้ว กลางคืนก็ใช้นั่งเดาสุ่มกัน

    ถ้าอย่างนั้นผมจะทำเทียนให้ เทียนอันนี้ถ้ามันยังไม่มืดเทียนจะไม่ติด ถ้าอากาศมืดเมื่อไรหรือแสงพระอาทิตย์หรี่ลงเมื่อไร จะมีแสงเทียนปรากฏขึ้นและสว่างทั่วบริเวณ หากว่าท่านต้องการให้เทียนดับ ท่านก็นึกว่า เทียนนี้จงดับ เทียนก็จะดับ ถ้าต้องการให้เทียนติดก็นึกว่า เทียนนี้จงติด เทียนก็จะติด ทั้ง 2 คนก็มองหน้ากันว่า ลุงวินี่ แกไม่กระพริบตาสายตาแจ่มใส แกจะทำเทียน บอกถ้าอย่างนั้นลุงทำ

    คุณลุงก็บอกว่า เทียนตั้งตรงนี้นะครับมันจะสว่างทั่วบริเวณของถ้ำ พอตกลงว่าตั้งตรงนี้ก็ดี เพียงเท่านี้เทียนปรากฏเป็นเทียนเฉย ๆ ไม่มีไฟ ลุงก็บอกว่า ลองดูซิ ท่านลองนึกว่า เอ้าเทียนจงมีไฟเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ เทียนก็มีไฟทันที เทียนจงดับ นึกว่า เทียนจงดับ เทียนก็ดับทันที แล้วท่านบอกว่า เทียนนี่เป็นอัตโนมัติ นั่นก็หมายความว่า ถ้าอากาศมันมืดจริง ๆ เทียนจะสว่างขึ้นเองโดยไม่ต้องสั่ง

    แล้วท่านลุงก็ลาไป การลาของท่านลุงก็เป็นของไม่แปลก แบบคนธรรมดา ๆ แต่ที่แปลกก็มีอยู่ว่า เวลาเดิน ลุงเดินไป 2-3 ก้าว ลุงหายไปเลย พวกเราก็หันมายิ้มกันบอกว่านี่เราถูกต้มแล้วนะ วิ นี่หมายถึง วิษณุกรรมเทพบุตร บ้านดึง ก็คือ ดาวดึงส์ ผู้ใหญ่อิน ก็คือ พระอินทร์ คือ โยมผม ท่านทั้ง 2 ก็เห็นด้วย ท่านทั้ง 2 ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเอากันให้แน่ใจกันไปเลย เวลานี้เราตัดสินใจไปดาวดึงส์กันดีกว่า ไปพิสูจน์กัน ก็ตกลง

    เมื่อวางของเสร็จเรียบร้อยแล้ว จัดที่หลับที่นอนดีแล้ว ก็ขึ้นนั่งเตียงคนละเตียงมันเป็นเตียงหิน แต่ว่าอ่อนนุ่ม คล้าย ๆ ใครเอาผ้าที่นุ่มนิ่มมาปูไว้ แล้วก็อุ่น ไม่เย็นแฉะ ขึ้นนั่งเตียงปั๊บหลับตาปุ๊บ มันก็ไม่ยาก เป็นของที่ทำจนชิน เพียงแค่นึกปั๊บ มันก็ไปปุ๊บ ถึงดาวดึงส์พอเข้าไปถึงก็ไปที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เวลานั้น บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ว่าง ไม่มีใครเลย คิดว่าจะเข้าไปในเวชยันตวิมาน ก็ไม่น่ารัก เช้ามืดเกินไป ก็พอดีเห็นเทวดาท่านหนึ่งเดินมา ก็แสดงคารวะในท่าน ทักทายปราศรัยท่าน

    ท่านบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ท้าวโกสีย์กำลังสั่งงานอยู่ ประเดี๋ยวจะออกมา ท่านทราบ ท่านให้ผมมาบอกท่านว่าให้คอยประเดี๋ยวเดียว ก็เป็นอันว่า คอยอยู่ประเดี๋ยวเดียว ปรากฏว่า ท้าวโกสียสักกเทวราช ท่านก็ออกมา เมื่อท่านออกมาแล้ว ท่านก็ถามว่า คุณมาธุระอะไรกัน ก็เลยบอกท่านบอกว่า มีคุณลุงพิเศษชื่อ วิ อยู่บ้านดึง แต่ผู้ใหญ่บ้านชื่อ อิน อาตมานี่สงสัยว่า บ้านดึง ก็คือ ดาวดึงส์ ลุงวิ ก็คือ วิษณุกรรม ใช่ไหม โยมก็เลยบอกว่า ใช่ ท่านบอกว่า โยมเห็นว่าคุณอยู่ที่นั่นมานานแล้ว มันจำเจเกินไป ก็ควรจะย้ายที่ สถานที่ ที่จะย้าย ก็ควรจะเป็นที่ศรีประจันต์ฝั่งด้านตะวันตก เพราะมีอะไรดีมากๆ

    หลังจากนั้น ท่านก็เรียก วิษณุกรรมเทพบุตร มาหา ท่านวิษณุกรรมเทพบุตรนี่ความจริงท่านสวยมาก แต่ท่านมาใน 2 รูป รูปขางหน้าก็เป็นเทวดา รูปข้างหลังก็เป็นลุง เป็นลุงวิ ท่านถามว่า จำได้ไหมครับ ก็บอกว่า จำได้ ที่มานี่ก็สงสัย

    ท่านเลยบอก ต่อนี้ไปท่านไม่ต้องวิตกกังวล หากว่าท่านจะไปอยู่ที่ไหน บอกผม นึกถึงผมก็แล้วกัน เพราะท่านท้าวโกสียสักกเทวราชท่านอนุมัติไว้ ให้ทำทุกอย่างเพื่อท่าน เพื่อความสุข ก็เลยถามว่าการมาธุดงค์มีความสุขมันจะดีหรือ ท่านบอกว่า ความสุข หรือความทุกข์มันไม่สำคัญให้กายสุขไว้ก่อน ใจจะได้มีความสบาย

    เพราะเวลานี้ยังตัดกิเลสกันไม่ได้ ถ้าร่างกายเป็นทุกข์ ความทุกข์ทางกายเกิดขึ้น กิเลสก็เลยไม่หมด มันต้องมีกายสุขพอสมควร แล้วก็ใช้ความสุขเป็นวิปัสสนาญาณ มาเจอะเทวดาสอนวิปัสสนาญาณเข้าอีกแล้ว ก็ถามว่าจะทำอย่างไร ท่านก็เลยบอกว่าอย่าลืมว่า ภูเขาลูกนั้นมันเป็นภูเขาชั่วคราว คำว่า ชั่วคราวมันเป็น อนิจจัง ถ้าพวกท่านกลับไปหมด ภูเขาลูกนั้นก็จะสลายตัว จะหายไป มันก็เป็นอนัตตา เพียงเท่านี้พอหรือยัง ก็บอกท่านบอกว่า พอแล้ว เข้าใจแล้ว

    หลังจากนั้นก็ลากลับ กลับมาถึงที่พักพวกเราก็มีความสุข เดินไปเที่ยวบริเวณ เดินจงกรมบ้าง คำว่า เดินจงกรม มันไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร ญาติโยมพุทธบริษัทก็เดินกันแบบธรรมดา ๆ เดินกันไปคุยกันไปก็ได้ แต่ปากก็คุยกันไป แต่ใจส่วนหนึ่งก็คิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็น อนิจจัง เรามาอยู่นี่ชั่วคราว มันก็เป็นของไม่เที่ยง ไม่ช้าเราก็กลับ เมื่อกลับแล้วที่นี่หายไปจากเรา ก็เป็น อนัตตา เราหายไปจากที่นี่ เราก็เป็นอนัตตา

    รวมความว่า การเกิดมาเป็นของไม่ดี มันต้องมีความลำบากอย่างนี้ เจ้านายที่มีความสำคัญ ก็คือ กิเลส ถ้ากิเลสยังท่วมหัวเราเพียงใด ความสุขก็ไม่มีกับเราเพียงนั้น เดินไปก็คุยกันไป ชี้โน่นดูนี่ ก็ดูว่าต้นไม้ทุกต้นทำเป็นระเบียบทั้งหมด นี่อาศัยกำลังใจของวิษณุกรรมเทพบุตรองค์เดียว พอถึงเวลาค่ำก็กลับเข้าที่นอน พอเข้าที่นอนปั๊บ ต่างคนต่างอยู่ทีนี้ไม่คุยกันแล้ว ค่ำแล้ว หน้าที่ของใครก็เป็นหน้าที่ของใคร ใครจะทำอย่างไรก็ทำไปตามชอบใจของตนเอง

    เวลาประมาณสักตี 2 เสียงดังโครมคราม ๆ ในธารน้ำไหลในถ้ำ ทุกองค์ตื่นจากที่นอนพอลุกจากที่นอนมาดูที่ธารน้ำไหล ปรากฏว่า มีเสือ 4-5 ตัวกำลังเล่นน้ำอยู่ ก็นึกในใจว่าเจ้าเสือนี่มันเข้ามาอย่างไร แล้วทำไมถึงมาเล่นน้ำที่นี่ มันจะเล่นแต่น้ำ หรือเล่นเราด้วยก็ยังไม่แน่ ก็มองไปมองมา ดูเสือ เสือก็ทำท่า ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เล่นน้ำกันตามสบาย ๆ เลยทุกคนก็นั่งมองดู ก็คิดในใจว่า

    การเกิดของคน การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเป็นของไม่ดีอย่างนี้ ถ้าเราพลาดจากความเป็นคนเป็นเทวดา หรือเป็นพรหมก็ยังดี ถ้าไปเกิดในอบายภูมิ ถึงแม้จะเป็นเสือ เป็นสัตว์ที่มีอำนาจมากก็มีความลำบากด้วยอาหาร เวลานี้มาเล่นน้ำกันในเวลาดึก แต่ความจริง มันไม่ใช่เวลาอาบน้ำ มันเวลานอน เป็นเวลาพักผ่อนเฉพาะคน แต่เวลากลางคืน เป็นเวลาหากินของเสือ แต่เสือนี่จะมีความสุข หรือความทุกข์

    เมื่อคิดไปแล้วก็เห็นว่า เสือมีความทุกข์ เพราะว่าเสือมีความหิว การอาบน้ำแสดงว่าเสือมี ความร้อน ความร้อนมันก็เป็นทุกข์ เมื่ออาบน้ำมีความเย็น ก็เป็นสุขชั่วคราว ถ้าขึ้นไปจากน้ำ ประเดี๋ยวก็อาจจะร้อนใหม่ แล้วก็ในที่สุด เสือนี่ก็ต้องแก่ แล้วก็ต้องตายเช่นเดียวกับเรา เราก็มีสภาพเช่นเดียวกับเสือ ถ้าเวลานี้บังเอิญเสือเห็นเราเข้าเสือจะกินเราเราก็ตามใจเสือ เราจะไม่ยอมดิ้นให้มันเจ็บ ให้มันเจ็บแค่เสือกัด ประเดี๋ยวมันก็ตายเมื่อตายเราก็มีความสุข ที่ไปของเราก็คือ พรหม

    อาตมาคิดอย่างนั้นนะ แต่ว่ามาถาม 2 องค์ทีหลัง 2 องค์ท่านก็บอกว่า ที่ตายของท่าน ท่านตายแล้ว ที่ไปของท่านก็คือ นิพพาน มีอารมณ์ต่างกัน พระโพธิสัตว์ กับสาวก มีอารมณ์ไม่เสมอกัน พระโพธิสัตว์ไม่ค่อยเข้าใจนิพพานนัก อาตมาไม่เข้าใจเลยเวลานั้น เรื่องนิพพานแล้วก็จิตหวังนิพพานไม่มีอยู่ ต้องการอย่างเดียวคือ เป็นพระพุทธเจ้า

    พอคิดอย่างนั้นเสร็จ เสือก็ยังไม่เลิกเล่นน้ำ เราก็เลยนั่งสมาธิตรงนั้นคิดในใจว่าขออุทิศร่างกายให้เป็นอาหารของเสือ เสือจะได้มีความสุข ตั้งใจจับสมาธิปั๊บ จิตหลุดออกจากกายไปโน่นไปป๋ออยู่ ดาวดึงส์เทวโลก โยมผู้หญิงท่านก็ถามว่า คุณมาทำไม ก็เลยบอกว่าปล่อยร่างกายให้เสือมันกิน ท่านบอก เสือไม่กินหรอก เสือนี่กินคนไม่ได้ ถาม ทำไมล่ะโยมก็เสือ 4 ตัวนี่ ขอโทษท่านนะ ท่านก็ยกมือไหว้ว่า เสือ 4 องค์ คือ

    เสือที่ 1 คือ เสือหลวงพ่อปาน

    เสือที่ 2 คือ เสือหลวงพ่อสุข

    เสือที่ 3 คือ เสือหลวงพ่อจง

    เสือที่ 4 คือ เสือหลวงพ่อจาด

    ทั้ง 4 องค์นี่เป็นเพื่อนกันมาพิสูจน์กำลังใจของคุณว่ามาที่ใหม่นี่คุณจะกลัวหรือไม่กลัว และว่าคุณจะทำอย่างไรในเมื่อเห็นเสือมาอยู่ใกล้ ๆ จะทำอย่างไร จะตกใจกลัววิ่งหนีแบบไหน เวลานี้คุณตั้งใจถูกแล้ว คุณจะกลับไปหรือยังเล่า ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ฉันจะลากลับ โยมก็บอก กลับก็ดี ประเดี๋ยวครูบาอาจารย์จะได้แสดงตัว

    เมื่อกลับลงมาแล้ว ก็ปรากฏว่า หลวงพ่อปานแสดงองค์ก่อน จากเสือในน้ำขึ้นมาพอขึ้นจากพื้นน้ำนั่งปั๊บ เป็นหลวงพ่อปานทันที แล้วก็ หลวงพ่อจงเป็นองค์ที่ 2 หลวงพ่อจาดเป็นองค์ที่ 3 หลวงพ่อสุข เป็นองค์ที่ 4 แล้วก็บอกว่า

    เออ..ตัดสินใจอย่างนี้ดีนะ อย่าลืมว่าเทวดาท่านสงเคราะห์ จงทำความดีที่เทวดาชอบใจ ถ้าหากว่าเธอสงสัยว่า เทวดาชอบใจอะไรบ้าง ให้ไปถามโยมเธอที่สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ถามโยมผู้ชายก็ได้ ถามโยมผู้หญิงก็ได้ พอหลวงพ่อปานพูดจบ เสียงก้องมาจากข้างนอกว่า ตามคำแนะนำที่หลวงพ่อปานสอนน่ะถูกต้องทุกอย่างแล้ว ไม่ต้องไปถามใครอีก ก็ไม่ทราบว่าเสียงใคร แล้วก็เงียบไป

    แล้วท่านก็บอกว่า ท่านก็ขอกลับ หลวงพ่อมาเท่านี้ เตือนเท่านี้ จะกลับนะ จำไว้ว่า ถ้าเสือธรรมดาจะไม่มาเล่นน้ำในเวลากลางคืน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในถ้ำ เสือถ้าจะกินคนต้องคนนอนที่แจ้ง เพราะว่าเวลาจะกินคน หรือกินสัตว์ เสือจะต้องโดดคาบ แล้วก็โดดต่อไป ในถ้ำนี้หมอบ หรือคลานเข้ามาคาบลากออกไป เสือไม่ทำอย่างนั้น เวลาเสือจะกิน จะต้องโดดพับจับได้ แล้วก็โดดออก ที่นี่ถ้ำต่ำ โดดไม่ได้ แล้วท่านก็ลากลับ

    เมื่อท่านลากลับเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเราก็กราบสถานที่ท่านนั่ง ก็จัดบริเวณที่ท่านนั่งไว้ เอาหินมาวางเรียงรายให้ล้อมรอบว่า ที่ตรงนี้เราจะไม่เหยียบ จะไม่เดินเหยียบลงไป เราจะไม่นั่ง ไม่นอนที่ตรงนั้น เพราะเป็นที่ครูบาอาจารย์ท่านนั่งสอนทั้ง 4 องค์

    หลังจากนั้นแล้ว ก็ต่างคนต่างตัดสินใจว่า เราจะนั่งกันตรงนี้ข้าง ๆ นี้ เราฟังคำสอนจากหลวงพ่อปาน หลวงพ่อ 4 องค์ ท่านมาพร้อมกันในที่ใด เราจะนั่งตรงนั้นจนกว่าจะตลอดรุ่ง เมื่อตัดสินใจเสร็จ ต่างคนต่างเข้าสมาธิ ต่างคนต่างนั่งเข้าสมาธิจิตอารมณ์สงัด เวลานั้นไม่เที่ยวแล้ว สงัดตัดสินใจจับอารมณ์ดิ่งที่สุด จิตมีอารมณ์สว่างโพลง จนไม่รู้สึกภายนอก เขาเรียกกันว่า ฌาน 4 อารมณ์เป็น เอกัคคตา ดี ตัดสินใจว่า ถ้า 6 โมงเช้าเมื่อไร เราจะมีความรู้สึกตัว

    พอถึงเวลา 6 โมงเช้า ก็รู้สึกตัวทันที ลืมตาขึ้นมาเห็นนาฬิกา 6 โมงเช้าพอดี ก็หยิบบาตรขึ้นมา จะออกบิณฑบาต จะไปแขวนต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่ง แต่ว่าพอโผล่ออกจากปากถ้ำก็เจอะเทวดา 2 ท่าน กับนางฟ้า 2 ท่าน วันนี้ท่านแต่งตัวเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าชัด สวยจริง ๆ (อย่าลืมนะ คำว่า สวย เลวานั้นนึกไม่ได้นึกแล้วอดข้าว)

    ก็นึกตามความเป็นจริงว่า เป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี ท่านไม่มีขันธ์ 5 ท่านมีความสวยสดงดงาม สวยทั้งข้างนอก และสวยทั้งข้างใน อารมณ์ใจไม่เหมือนเรา ก็รับบาตรจากท่าน ท่านใส่บาตร และท่านใส่ดอกไม้คนละดอก แล้วท่านนั่งยกมือไหว้ ท่านก็ลาไป พวกเราก็กลับมากินข้าว มากินข้าวกินปลาเสร็จแปรงฟันดีแล้ว ก็นั่งเจริญกรรมฐานไปนานแสนนาน จนกว่าจะถึงตะวันเที่ยง จึงคลายกรรมฐานออกมาพักผ่อน นอนคุยกัน
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...