หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระโพธิสัตว์แห่งอยุธยา ตอน อวสาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 13 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระโพธิสัตว์แห่งอยุธยา ตอน อวสาน
    [​IMG]
    ต่อมาถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ ตอนเช้าท่านพูดว่า นับตั้งแต่เที่ยงวันนี้ไปฉันจะไม่พูดกับใครเลยนะ ใครมีอะไรจะพูดกับฉันเชิญพูดเสียเลย เมื่อไม่มีใครพูดก็เลยถามว่า หลวงพ่อขอรับ หลวงพ่อจะสั่งอะไรศิษย์เป็นครั้งสุดท้ายบ้างขอรับ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของหลวงพ่อแล้ว ถือว่าเป็นปัจฉิมวาจา

    ท่านบอกว่า ขอให้สั่งพระกับสั่งชาวบ้านทั้งหมดนะ ขอให้ทุกคนตั้งใจทำความดี คนไหนที่ทำความดีอย่างอื่นมากนักไม่ได้ ก็ให้สร้างความดีทั้งสองอย่างที่ฉันต้องการ ความดีทั้งสองคือ

    ๑ อย่าดื่มสุราเมรัย และประการที่ ๒ อย่าลักอย่าขโมย อย่าประพฤติตนเป็นโจร นี่เป็นปัจฉิมวาจา

    แล้วท่านก็เงียบ ฉันก็ไม่มีเรื่องจะพูด เพราะกลัวจะรบกวนท่าน หลังจากนั้นมา หลังจากเที่ยงไปแล้ว มีฉันคนหนึ่งไอ้ ๒ ลิงนั่นด้วย กับท่านผู้ใหญ่ยง ฉันนั่งอยู่ด้านขวามือของท่าน เอามือจับชีพจรท่านไว้ ผู้ใหญ่ยงนั่งอยู่ทางเท้าข้างขวา เอามือจับชีพจรไว้ ไอ้ลิงเล็ก ไอ้ลิงเล็กนั่งเท้าข้างซ้ายจับชีพจรซ้าย ไอ้ลิงขาวจับมือซ้าย จับชีพจรซ้าย ตรวจดูว่าเมื่อไหร่หลวงพ่อจะตาย

    ดูชีพจรของท่านเต้นเป็นปกติ ชีพจรเต้นแบบนั้นมันไม่ใช่อาการของคนตายนี่ แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าชีพจรอ่อนมาก สังเกตดูอาการของหลวงพ่อท่านเข้าฌานอยู่ตลอดเวลา แล้วก็มีพระอีกองค์หนึ่ง พระครูอุดมสมาจารย์ เจ้าอาวาสวัดน้ำเต้า เป็นเจ้าคณะอำเภอบางบาลเป็นลูกศิษย์ องค์นี้เข้าฌานอยู่ปลายเท้า นั่งหลับตาปี๋ บางครั้งก็ปรากฏว่าชีพจรของท่านไม่เต้น ตอนนี้เป็นเข้าสมาธิ ๘ ตอนเข้าสมาธิ ๘ น่ะมีอาการเหมือนคนตาย

    ท่านนอนแบบสงบ นิ่งสงัด เวลาจะปรากฏลมหายใจก็ระรวยน้อยๆ แต่บางครั้งดูเหมือนว่าไม่มีลมหายใจ เมื่อนานๆ เข้าฉันสงสัย ฉันนึกว่าหลวงพ่อตายซี ก็หันไปถามพระครูอุดมสมาจารย์ มองดูนาฬิกามันยังไม่ถึง ๖ โมงเย็น ถามว่า หลวงพี่ หลวงพ่อไปไหน

    ท่านก็บอกว่าเวลานี้ยังอยู่ในสมาบัติ ๕ เวลานี้ยังอยู่ใน ฌาน ๔ ฌาน ๓ ฌาน ๒ ฌาน ๑ ท่านก็ว่าไปตามลำดับ ทีหลังท่านเห็นฉันสงสัย เวลาหลวงพ่อไปพักอยู่ในฌานไหนละก็ ท่านก็บอกฉัน ท่านลืมตาบอกว่า เอ้อ เวลานี้หลวงพ่อพักอยู่ฌานชั้นโน้นฌานชั้นนี้นะ ในที่สุดบางครั้งท่านก็บอกว่าหลวงพ่อย่องไปดูบ้าน แล้วท่านบอกว่าเวลานี้เทวดากับพรหมมามาก พระมามาก

    ฉันเลยสงสัยขึ้นมามั่งซี กับไอ้ลิง ๒ ลิงนะ

    พอเวลาใกล้จะ ๖ โมง เหลืออีกประมาณสัก ๕ นาที พระนั่งประชุมกันเต็มวัด ข้างในมีแต่พระ ก็มีผู้ใหญ่อยู่ ๒-๓ คน คือมี พระยาประเสริฐ พระยาศรยุทธเสนี มีนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร หลวงพินิจมาตรา ก็นั่งอยู่ข้างๆ แล้วนอกจากนั้นฆราวาสก็อยู่ข้างนอกกันเต็มอัดหมด คอยฟังเครื่องขยายเสียงว่าพวกเราจะให้สัญญาณอะไรบ้าง เวลาเหลือประมาณสัก ๑๐ นาที ท่านลืมตาขึ้นมา ท่านถามว่า ใคร

    ท่านมองหน้าฉันนะ ถามว่าใคร

    บอกว่า ผมครับหลวงพ่อ เจ้าลิงดำขอรับ

    ลิงดำเรอะ เออ ดีแล้วนะลูกนะ ถ้าพ่อตายละก็ เอ๊งช่วยไปสร้างโบสถ์วัดเสาธง ตำบลสารี อำเภอบางปลาม้า ให้เสร็จด้วยนะ

    ก็ตอนนั้นอายุฉันนิดเดียว ฉันก็ตอบว่า ถ้าหากว่าเขามาขอร้องนะขอรับหลวงพ่อ เพราะผมเป็นเด็กอยู่ จะไปรับอาสาเขาทำจะไม่มีใครเขาเชื่อ

    ท่านบอกเออ ถูกแล้วๆ ลูก

    เลยถามท่านว่า หลวงพ่อขอรับ เวลานี้พระมานั่งกันอยู่เต็มประมาณ ๒๐๐ รูป แล้วหลวงพ่อจะต้องการให้พระสงเคราะห์อะไรบ้างครับ

    ท่านเลยบอกว่า ถ้าพระจะสงเคราะห์นะลูกนะ ให้ท่านสวด อิติปิโสนะ แล้วลูกจุดธูปหอมๆ ให้พ่อได้กลิ่นด้วยนะ

    ฉันก็ลุกไปจุดธูป ให้สัญญาณพระสวดอิติปิโส

    เจ้าลิงขาวลงไปกระซิบที่ข้างหูท่าน บอกว่าหลวงพ่อขอรับ เวลานี้พระสวดอิติปิโสแล้วครับ ท่านทำหัวผงกนิดๆ แสดงความเคารพในพระรัตนตรัย

    พอพระสวดไปได้พักหนึ่ง เวลาเหลืออีกนิดจะ ๖ โมง ท่านลืมตาขึ้นมา ท่านบอกว่า

    ลิงดำเอ๋ย บอกพระกับพวกชาวบ้านนะ บอกพ่อลานะ แล้วขอให้ทุกคนเขามีความสุขนะ ทุกคนตายแล้วจงไปสวรรค์ จงไปพรหมโลก จงไปนิพพาน

    ก็รับคำท่านว่าผมจะบอกให้ ท่านก็หลับตา พอหลับตาอีกทีนาฬิกาตีเป๋งแรก ๖ โมง เอากันเป๋งแรกนะ ท่านลืมตาแล้วก็หลับปั๊บ ปรากฏว่าชีพจรดับพร้อมกัน พระครูอุดมสมาจารย์ที่นั่งหลับตาอยู่ห่างๆ ลืมตาขึ้นมาบอกว่าหลวงพ่อไปแล้ว หลวงพ่อไปแล้วอย่างสบาย ออกไปสวยเหลือเกิน บอกว่ารูปร่างท่านสวยเหลือเกิน ไปชั้นดุสิต ท่านบอกว่าเทวดาพรหมห้อมล้อมไปส่งถึงชั้นดุสิต

    ฉันก็ส่งข่าวให้สัญญาณกับพระ พระท่านสวดอยู่ท่านไม่รู้ว่าหลวงพ่อปานไปแล้ว ฉันยกมือขึ้น บอกว่าเวลานี้หลวงพ่อมรณภาพแล้ว

    พระหลายองค์แกเลิกสวดอิติปิโส แต่แกสวดใหม่ สวดร้องไห้โฮขึ้นมาเลย พ่อเจ้าประคุณ พระแกนี่สำคัญ มีพระแก่หลายองค์ เลิกสวดอิติปิโสกัน สวดร้องไห้ขึ้นมา เมื่อพระร้องไห้นี่ ชาวบ้านที่อยากจะร้องอยู่ก็เยอะ แล้วเลยช่วยกันเป็นการใหญ่ ล่อกันเสียพัก ฉันกับไอ้ ๒ ลิงนั่งยิ้มๆ ท่านพระครูอุดมสมาจารย์ หลวงพ่อเล็ก อาจารย์ฉัตร พวกนี้กรรมฐานหนักทั้งนั้นนะที่ออกชื่อมา แต่ก็นั่งยิ้มๆ ว่าเจ้าพวกนี้มันโห่อะไรกันนะ

    หลวงพ่อเล็กบอก เอ๊ะ นี่เขาโห่แปลกนะ พอท่านใหญ่ไปสวรรค์เขาโห่ส่งท้าย แต่ไอ้โห่แบบนี้ขี้มูกขี้ลายมันโป่งเต็มหน้าไปหมด มันโห่อะไรของมัน

    ท่านพูดยิ้มๆ พวกเราไม่ใคร่ตกใจก็เฉยๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าหลวงพ่อไปสบายกว่าเรา

    ท่านตายในกุฏิของท่าน คนจะเข้ามาเยี่ยมศพก็แสนจะลำบาก เลยต้องเคลื่อนศพมาไว้ที่ศาลา ทีแรกดำริกันว่าจะใส่หีบศพ จะใส่โลงผีน่ะ เอาว่ากันอย่างนั้นนะ ก็มาปรึกษากันว่าถ้าใส่หีบศพเข้าแล้ว คนเขามาไหว้ก็ลำบาก เพราะลูกศิษย์ลูกหาท่านมาก เอาไว้ข้างนอกสัก ๓ วันเป็นยังไง ก็เลยปรึกษากันว่า ๓ วัน หลวงพ่อคงยังไม่เป็นไร ก็ช่างเถอะ ถ้าเป็น ก็ค่อยเอาใส่หีบศพกัน ก็ทำเตียงเข้าไว้ เอาท่านนอนลงไป คนทุกคนที่มาก็ให้มีโอกาสสรงน้ำ สรงน้ำก็อนุญาตให้รดแต่เพียงแค่เท้า ไม่มีอะไรเป็นเครื่องประทังความเหม็นและความเน่า

    ท่านนอนอยู่ ๓ วันบนที่นั้น ก็ปรากฏว่ามีอาการเหมือนคนหลับ กลิ่นสางสักนิดหนึ่งก็ไม่มี เนื้อหนังที่จะผิดปกติอย่างคนตายก็ไม่มี เขาก็เกิดสงสัยว่า คนเราถ้าตายเอาไว้ในที่แจ้งๆ นี่มันไม่ค่อยเน่า เขาก็ว่ายังงั้นนะ เขาไม่ว่าเป็นเหตุอัศจรรย์หรอก เขาลือกันว่ายังงั้น วันนั้นเป็นวันที่ ๓

    หลังจากวันที่ ๓ ไปแล้วเป็นวันที่ ๔ ตาเก๊าที่ตลาดบ้านแพนตาย เขาเห็นหลวงพ่อปานเอาไว้ยังงั้นไม่เน่า พวกลูกหลานเขาก็ดีใจ ว่ายังงั้นเราก็เอาไว้อย่างหลวงพ่อปานบ้าง พวกนี้พยายามขี้ตามช้างเขาเอาไว้บ้าง พอวันที่ ๓ นะลูกหลานที่รัก พระไปฉันไม่ได้ สวดก็ไม่ได้ พระบอกว่าอ้าปากไม่ขึ้น ถามว่าทำไม บอกว่าหูตามันปลิ้นไปหมด ลิ้นจุกมือกางแขนขากางไปเต็มที่เน่าเฟะ

    แล้วทีนี้มาดูหลวงพ่อปาน ครบวันที่ ๖ แล้วยังไม่เป็นไร เป็นปกติ ร่างกายของท่านน่ะเป็นปกติ เอาไว้กันอย่างนี้ตั้งแต่วันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ จนกระทั่งถึงวันขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๙ กี่วันนับไปก็แล้วกัน ร่างกายของท่านไม่ผิดปกติเลย เมื่อถึงเวลาก็เก็บศพ

    a8a8a8a8a8a8a8a8a8a

    มันมีอยู่คราวหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณพิมลธรรมวัดมหาธาตุ สมัยนั้นยังดำรงตำแหน่งพระศรีสุธรรมมุนี เป็นเจ้าคณะจังหวัดอยุธยากำลังเทศน์ กลางวันนะ ก็มีแสงขึ้นไปจับอยู่ที่เพดานตรงกับหลวงพ่อปาน แล้ววนไปวนมาตลอดเวลาเทศน์ แสงสว่างมากเป็นจุดคล้ายๆ กับแสงไฟฉายขนาดใหญ่ กลางวันนี่ ใครจะฉายไฟขึ้นไป เราก็เห็น แต่ว่าเขาไม่ได้ฉายกันเราก็เลยไม่เห็นคนฉาย อันนี้อย่างหนึ่ง

    แล้วมีนกกลุ่มหนึ่งมาจับ เข้ามาหาท่านอยู่เสมอ อันนี้ก็ไม่แปลก

    อีกอย่างหนึ่งคือเต่า เต่าตัวนี้หลวงพ่อท่านปล่อยที่จังหวัดสิงห์บุรี ท่านเขียนชื่อท่านไว้ แม่สุ่นแล้วก็ตาเซ่งหลีหรือไงก็ไม่ทราบที่ตลาดบ้านแพนเขาไปซื้อมาจากคนเมามันจะแกง แล้วเขาก็มาถวายท่าน ท่านเขียนไว้ที่อกว่า พระปานปล่อยที่จังหวัดสิงห์บุรี แม่สุ่นแล้วก็พ่ออะไร ซุ่นหลีอะไรก็ไม่ทราบ ท่านเขียนไว้ที่หน้าอกด้วยตะปู รอยยังอยู่ แต่ว่าปล่อยหลายปีมาแล้วประมาณว่าสัก ๑๐ ปี

    เจ้าเต่าตัวนี้มันโตมาก ขนาดเด็กขี่ได้ ไปกับผักชวา พอไปถึงหน้าวัดก็ไต่ขึ้นมาบนเขื่อน คนเดินดูกัน ก็ไต่ไปตามถนนของเขื่อน พอถึงถนนหน้าศาลาแล้วมันก็เลี้ยว เลี้ยวขึ้นไปจะขึ้นบันไดศาลา คนก็เลยจับขึ้นบันได แล้วไปไหน ก็ปรากฏว่าไปนอนอยู่ใต้ศพหลวงพ่อปาน ต่อมาเจ้าของชื่อที่เขาเอามาถวายท่านปล่อย เมื่อเขานำศพไปเก็บแล้วก็เอาไปเลี้ยงไว้จนกระทั่งเต่าตัวนั้นตาย สงเคราะห์ตลอดไป

    นี่เรื่องก็มีเท่านี้นะ เรื่องอัศจรรย์ก็ไม่มีมาก

    a8a8a8a8a8a8a8a8a8a

    เรื่องเผานี่เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกัน เวลาหลวงพ่อปานตายปรากฏว่ามีเงินอยู่ในกระเป๋า ในย่ามของท่าน ๒๐ บาท แล้วก็ค้นไปค้นมาพบอีก ๖๐ บาท รวมเป็นเงิน ๘๐ บาทด้วยกัน นี่เงินสดนะรวยมาก หลวงพ่อมีเงินตั้งชั่ง แต่ปรากฏว่าค้นไปค้นมาไปพบหนี้เข้าอีก ๔,๐๐๐ บาท พวกเราทำยังไงเล่า ไม่ได้ เรื่องหนี้ของหลวงพ่อนี่มันต้องว่ากันละ ต้องชำระกัน

    ก็เชิญเจ้าหนี้เขามา บอกให้เผาเสร็จเรียบร้อยเถอะจะใช้หนี้ ไม่เป็นไร ใครเขาไม่รับฉันรับคนเดียว ฉันรับจะเทศน์ชำระหนี้หลวงพ่อจนกว่าจะครบ ทุกคนเขาโมทนา เขาไม่บอกว่ายังไง เขาก็ดีใจว่าฉันรับหนี้ พระองค์อื่นเขานั่งทำตาปริบๆกันเงียบ พูดถึงเรื่องหนี้หลวงพ่อละก็ เขานั่งทำตาปริบๆ เขาไม่พูด ไม่มีใครรับชำระ ฉันก็นึกว่า เอ ท่านเป็นพ่อฉันนี่ ฉันก็รับชำระน่ะซี หันมาปรึกษาไอ้ลิง ๒ ตัว บอกเฮ้ย ถ้าเผาหลวงพ่อแล้วเงินไม่พอทำไงเว้ย ไอ้เจ้านั่นเขาบอกว่า เอ็งรับชำระก็เทศน์ใช้หนี้เขาไปซิหว่า เลยถามว่าเอ็ง ๒ ตัวล่ะ บอกข้าไม่ได้รับปากเขานี่ แต่ว่าข้าจะช่วย เท่าไรเท่ากันซีวะ มันว่ายังงั้น หลวงพ่อให้ของเราได้ดีกว่าเงินเสียอีก เรื่องเงิน ๔ พันบาทเป็นเรื่องเล็ก เจ้า ๒ ตัวเขาว่ายังงั้น พอเจ้า ๒ คนว่ายังงั้นฉันก็ดีใจเพราะมันเก่ง ไอ้เจ้านี่มันหาได้แน่ ยังไงๆมันก็หาได้แน่ มันเป็นพระอภิญญานี่ ไอ้ฉันน่ะไม่ไหวแล้ว นอกจากจะเทศน์เอาลมไปขายแล้วไม่มีอย่างอื่น เป็นอันว่าเลิกกันไป

    ก็ทำบุญกัน ๗ วัน หรือ ๘-๙ วันนั่นแหละ แล้วมาทำบุญ ๕๐ วัน ทำบุญ ๑๐๐ วัน นี่ไม่ต้องว่ากัน เงินของท่านเวลาใช้จริง เมื่อตายแล้วเงินมันหลั่งไหลมาบอกไม่ถูก โอ๊ย บอกไม่ถูกเลย เงินเต็มหีบเรื่อย ทำบุญ ๕๐ วันก็เยอะ ทำบุญ ๑๐๐ วันก็เยอะ มาพอถึงเวลาจะเผา ได้เยอะตอนนั้น ฉันและบรรดาคณะกรรมการทั้งหมดก็ถวายพระกันหมด ไม่มีใครเขาเก็บ ถึงเวลาเผาเข้าจริงๆ ก็สั่งบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลาย บอกว่าขอให้มารับหนี้พร้อมๆ กันนะในวันเผา แต่ทว่าทุกคนก็ขอให้เตรียมสตางค์ใส่กระเป๋ากันมาอีกคนละพันบาทด้วย หากว่าในงานของหลวงพ่อเกิดเงินไม่พอจะได้เป็นหนี้ต่อน่ะซี ไม่ชำระ ให้เขาเอามาอีกคนละพันบาท จะได้ขอยืมต่อเอาเป็นทุน

    เห็นไหมล่ะคนชั้นดี นี่อาจารย์เจิมท่านก็มีคนรู้จักมาก เพราะติดตามหลวงพ่อปานนานก็สั่งไว้เหมือนกัน สั่งคนไว้หลายคน แต่รายที่ถูกสั่งเขาเตรียมกันมาคนละพันบาท รวมเงินแล้วประมาณสัก ๒ หมื่นได้มั้ง แล้วทุกคนเขามาบอกว่า เงินเอามาแล้วนะขอรับ เอาหรือยัง พวกเราบอกว่าถ้าหากยังไม่ขาดยังไม่เรียก ถ้าขาดเท่าไรจะขอเท่านั้น เขาก็เตรียมเอาไว้ ในที่สุดงานหลวงพ่อปานเผาเสร็จไปแล้ว เจ้าหนี้ทั้งหมดในวันจะเผา เวลาเทศน์จบลุกขึ้นประกาศถวายหนี้ เอาเข้านั่นไหมล่ะ ถวายว่าหนี้ทั้งหมดที่เป็นอยู่กับเขานั้นเขาไม่รับ เขาขอถวายหลวงพ่อปานหมด สบายไป ๔ พัน แล้วนอกจากนั้นสตางค์ในกระเป๋า คนละพันๆ ก็งัดเอาออกมาอีก อันนี้ขอช่วยถวายในงานศพ จะใช้อะไรก็ตาม เอาเสียอีก ๒ หมื่นกว่า นี่เจ้าหนี้น่ะคนละพัน เข้าไป ๔ พันนะไม่ได้ ๔ พันก็ควักมาคนละพัน แล้วคนอื่นอีกคนละพันๆๆ รวมแล้ว ๒ หมื่นกว่าๆ นั่นเงินพิเศษ แต่ว่าเงินจำนวนนี้ไม่ได้ใช้งานเลย งานของท่านเลี้ยงตัวได้ดีที่สุด เลยดี ตั้งโรงครัวกันขนาดหนัก เลี้ยงกันขนาดหนัก คนมากที่สุด ไม่เคยมีงานครั้งใดคนมากเท่านั้นเลย

    สำหรับเวลายกศพลงจากศาลาเอาไปลานวัด เจ้าพระคุณพระมหาโพธิวงศาจารย์ วัดอนงคาราม สมัยนั้นเป็นพระมงคลเทพมุนี ท่านมีจริยาอ่อนช้อยเหลือเกิน ท่านอาราธนา ยืนพนมมือตลอดเวลา เวลาจะบอกพระท่านพนมมือ เดินพนมมือแต้บอก ขอรับขอนิมนต์ พระทุกองค์ยืน ๒ แถวจากบนศาลาลงไปแล้วก็ยืนล้อมเมรุไว้ ฆราวาสให้อยู่ข้างนอก เขาแห่ศพก็นำศพไม่กี่คน นำไปในระหว่างภายในแถวของพระ พระยืนกั้นเป็นรั้ว ๒ แถวติดๆกันแล้วเข้าไปถึงเมรุ แล้วพระที่เหลือจากนั้นก็ยืนล้อมเมรุไว้เป็นวงกลม นี่เขากลัวแย่งศพเหมือนกัน แล้วปรากฏว่าพระเหลือแหล่เลยเป็นรั้วกั้นเมรุ พระเป็นรั้ว ๒ แถว เหลือแหล่จากศาลาลงไปหาลานวัด พระมากเหลือเกิน บรรดาประชาชนก็ขนาดเดินชนกัน

    ปี่พาทย์ ไม่ได้หามานะ มากัน ๘ วง พ่อประชันกันขนาดหนัก ล่อกันเต็มที่ ปี่พาทย์ไม่ได้หาเลย ลิเก ละครไม่ได้หากัน มากันจนกระทั่งไม่มีที่ตั้ง ปี่พาทย์ลาดตะโพนตั้งกันที่ศาลาน้ำบ้าง ที่หอฉันบ้าง ที่ไหนต่อไปไหนบ้าง บนศาลาไม่มีที่ตั้ง ลิเกละครมากันจนถึงต้องรวมวงกันเล่น ไป เล่นกันคนละวงไม่ได้ นี้เป็นยังงั้น

    นี่เป็นบารมีของท่าน เมื่อท่านตายแล้วก็ได้เอาเงินที่เหลือจากนั้นสร้างมณฑปของท่าน แล้วก็สร้างโรงเรียนประชาบาลให้ท่าน เงินก็ยังเหลืออยู่บ้าง ปรากฏว่าท่านอาจารย์เจิมฝากใครไว้ที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ทราบ แล้วต่อจากนั้นไปเงินจำนวนนั้นไปไหนก็ไม่รู้เหมือนกันไม่ได้ติดตาม เรื่องเงินส่วนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องก็ปล่อยไป เรื่องของใครก็เรื่องของใคร

    ตานี้มาว่ากันตอนหลัง เมื่อหลวงพ่อปานตายแล้วพวกฉันก็แตกกระสานซ่านกระเซ็นกันไป ฉันก็เข้ากรุงเทพฯ ไอ้ที่เข้ากรุงเทพฯ ไม่ได้ไปไหนหรอก นึกว่าจะไปดูพระในกรุงเทพฯ เขาเป็นเจ้าคุณ เขาเป็นสมเด็จ เขาเป็นอะไรต่ออะไรกันนี่ ว่าจะมีจริยาเหมือนหลวงพ่อฉันไหม หลวงพ่อปานท่านเป็นพระบ้านนอก แล้วก็คนอื่นน่ะ ที่เป็นอะไรต่ออะไรน่ะ จะเป็นนักเสียสละมีจริยาเหมือนกันไหม ก็มีโอกาสย่อง ๆ ๆ ไปดูมาตั้งเยอะ ท่านจะเป็นยังไงบ้างไม่มาเล่าให้ฟังละ ไม่ขอเล่าให้ฟังมันเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน แต่พอครบ ๑๐ พรรษา เจ้า ๒ ลิงก็เข้าป่าไป
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...