หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระโพธิสัตว์แห่งอยุธยา ตอน หลวงพ่อปานปราบอหิวาตกโรค

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 6 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    คณาจารย์เรื่องเวทย์โดย จิเจรุนิ ตอน หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระโพธิสัตว์แห่งอยุธยา ตอน หลวงพ่อปานปราบอหิวาตกโรค
    [​IMG]
    ลูกหลานทั้งหลาย วันนี้ก็เป็นวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เหมือนกัน แต่ที่ว่าเป็นเวลากลางคืน มองดูนาฬิกาแล้วตรงกับเวลา ๒ ทุ่ม ๑๐ นาที เป็นเวลาเจริญพระกรรมฐาน แต่ทว่าวันนี้ฉันขอโอกาสมาเล่าเรื่องราวให้ลูกหลานฟัง ปล่อยให้บรรดานักปฏิบัติเขาปฏิบัติกันไปตามลำพัง ทั้งนี้เพราะว่าระหว่างนี้ฉันมีงานมาก จะต้องควบคุมการก่อสร้าง ก็เลยใช้เวลาทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืนเร่งรัดการบันทึกเพื่อจะให้จบไป เพราะว่าเรื่องราวของหลวงพ่อปานยังมีอีกมาก ถ้าจะพูดกันเท่าไรก็ไม่จบ ก็เอาพอที่เป็นสาระบ้าง เรียกว่าสาระมากบ้าง สาระน้อยบ้าง เป็นเรื่องที่คนอื่นไม่เคยคิดว่าจะเป็นบ้าง เอามาเล่าสู่กันฟัง สำหรับในคืนนี้ก็จะนำเอาเรื่องของการบรรเทาโรคระบาดมาเล่าให้บรรดาลูกหลานฟัง เรื่องราวของโรคระบาดก็คืออหิวาตกโรคนี่จัดว่าเป็นโรคสำคัญ ชาวบ้านเขาเรียกว่าโรคห่าลง เพราะว่าตายกันเป็นตับจนพระเบื่อการบังสุกุล เพราะว่าตามธรรมดาพระเองแกก็กลัวตายเหมือนกัน เวลาที่ไปบังสุกุลกลับมาปรากฏว่าพระกลัวผีกันหลายราย หวาดหวั่นต่อความตาย ถ้าหากว่าโรคระบาดมันจะเกิดขึ้นเมื่อไร ตอนก่อนที่โรคระบาดจะเกิด หลวงพ่อปานก็มักจะสั่งพระว่า เวลาพระไปบิณฑบาตให้บอกชาวบ้านทุกบ้านทำขนมจีน แล้วก็มัดข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มที่เขาใส่ในข้าวด้วยกล้วยทำเป็นลูกเล็กๆ ห่อด้วยใบลำเจียก มัดเป็นพวงๆ ทั้ง ๒ อย่างนี้ให้ไปไว้ที่หลังบ้าน แล้วนอกจากนั้นค่อยปั้นรูปคน รูปวัว ควาย ถ้ามีวัวมีควายก็ปั้นวัวควายไว้ด้วยตามจำนวนของบ้านนั้น ให้ไปวางไว้หลังบ้าน คนทุกคนให้เอาผ้าเล็กๆ สีแดงทำเป็นผ้านุ่ง ปั้นเป็นตุ๊กตาเล็กๆ ใส่กระจาด พร้อมด้วยข้าวต้มลูกโยนและขนมจีนไปไว้ด้วยกัน แล้วท่านก็สั่งให้บูชาเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ให้เว้นจากการลงโทษ นี่ทำกันมาเป็นประเพณี ปรากฏว่าก่อนโรคระบาดจะเกิดประมาณสัก ๗ วัน ทุกครั้งหลวงพ่อปานจะต้องสั่งแบบนั้น แล้วคำสั่งของท่านรู้สึกว่าได้ผล ชาวบ้านทุกบ้านทำตามทุกคน ในเมื่อทำแล้วไม่ช้าก็ปรากฏว่าโรคระบาดคืออหิวาตกโรค เกิดขึ้นในตำบลใกล้เคียง แล้วก็ตายกันอย่างขนาดหนัก แต่ว่าตำบลที่หลวงพ่อปานสั่งให้ทำแบบนั้นไม่มีใครตาย และไม่เกิดโรคระบาดแบบนั้นเลย นี่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง ฉันเองก็ไม่เคยถามท่าน ไม่เคยถามว่าวิธีแบบนั้นทำกันอย่างไร หลวงพ่อปานท่านทำอย่างนั้นเพื่อความประสงค์อะไร แต่ว่าเรื่องความประสงค์เห็นจะมีอยู่อย่างเดียวคือ ไม่ให้ชาวบ้านแถวนั้นเป็นโรคระบาด แต่ทว่าท่านจะตกลงกับใคร ใครสั่งให้ท่านทำแบบนั้น อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่รู้นะ แล้วก็พระส่วนใหญ่ คือว่าพระเราธรรมดาๆนี่น่ะ ไม่เคยมีใครทำกัน นอกจากหลวงพ่อเนียม ที่เคยได้ยินข่าวเป็นแต่เพียงบอกว่า ไอ้พวกโรคห่ามันจะมากินชาวบ้าน ท่านไม่ยอมให้มันกิน นี่มีเท่านั้น แต่ทว่าองค์อื่นท่านจะทำบ้างหรือเปล่า อันนี้ฉันไม่รู้ องค์อื่นท่านมีความรู้ความสามารถอาจจะมีคราวนี้ในปีต่อมาคือว่าปี พ.ศ. ๒๔๘๑ นั้น ปรากฏว่าโรคระบาดเกิดมากในตำบลใกล้เคียง คือ ที่ตำบลขนมจีน ใกล้ๆกับตำบลบางนมโค ขนาดที่เรียกว่าพระนอนรวมกุฏิกัน คนมานำเอาลูกหีบคือว่าหีบศพจากวัดไปใส่ศพทุกวัน มีศพมาฝังที่วัดทุกวัน โรคเกิดแบบนั้นประมาณ ๑ เดือน ปรากฏว่าคนในเขตนั้นตายเป็นจำนวนร้อย พระหนาว สุนัขเห่าหอนตลอดวันตลอดคืน แต่ว่าในตำบลบางนมโคที่หลวงพ่อปานอยู่ไม่มีใครเป็นโรคระบาดแบบนั้น ต่อมาเมื่อโรคระบาดหายไปประมาณสัก ๒ เดือน ก็เกิดมีคนแห่กันมาที่วัดบางนมโค มาหลายจังหวัด ทางจังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดนครปฐม และจังหวัดใกล้เคียงพากันมามาก มาขนาดที่เรียกว่าเกินกว่าการจัดงานวัดใหญ่ๆ จะมีคนขนาดนั้นได้ เมื่อต่างคนต่างมา ก็ถามว่าโบสถ์อยู่ที่ไหน ก็ชี้ให้เขาดูโบสถ์ ถามเขาว่ามาทำไมกัน เพราะว่าคนไหนเขามาหาหลวงพ่อละก็ ฉันออกปะทะหน้าก่อน เขาก็ถามว่าหลวงพ่อปานน่ะ ท่านจับเอาตัวผีห่าไปขังไว้ในโบสถ์จริงไหม ฉันก็ตกใจ ฉันไม่เคยได้ยินเลยนี่ว่าหลวงพ่อปานทำอย่างนั้น ฉันอยู่กับหลวงพ่อก็ไม่เห็นหลวงพ่อท่านบอก ก็เลยบอกกับเขาว่า เอ ฉันไม่รู้นา เรื่องผีห่าผีอะไรนี่ฉันไม่รู้ เขาถามว่าโบสถ์อยู่ที่ไหน ก็ชี้ให้เขาดูโบสถ์ ความจริงก็โบสถ์มันอยู่ใกล้ๆ วัดบ้านนอก บริเวณแคบๆมองเห็นโบสถ์ไม่ยาก เขาก็พากันไปดูในโบสถ์ แล้วไม่พบผีห่า ต่างคนต่างก็มาหาหลวงพ่อปาน โดยปกติหลังจากเที่ยงแล้ว ท่านฉันข้าวแล้วท่านรับแขก ตอนในเพลนั้นท่านพักผ่อน เวลาในเพลนอกจากธุระสำคัญจริงๆ หรือบุคคลที่ท่านสั่งให้พบเท่านั้น ที่ท่านจะยอมให้พบหรือรับแขก นอกจากนั้นท่านก็รับประมาณบ่ายโมง เวลาประมาณบ่ายโมงหลวงพ่อลงมารับแขก ปรากฏว่าคนเต็มวัด ไม่ใช่เต็มหน้ากุฏินะ เต็มวัด ท่านก็ถามฉันว่าคนเขามาทำไมกัน ก็เลยบอกว่า ไม่ทราบเหมือนกันครับ เขาถามกระผมว่าหลวงพ่อจับผีห่าไว้ในโบสถ์หรือไง ลือกันว่าอย่างนั้น ท่านเลยถามชาวบ้านว่ามายังไงกันนี่ เขาก็ตอบว่ามีคนเขาลือกันว่าหลวงพ่อจับผีห่าไว้ในโบสถ์ คนในตำบลบางนมโคจึงไม่เป็นโรคระบาด หลวงพ่อหัวเราะชอบใจใหญ่บอกว่า ฉันน่ะไม่มีความสามารถไปจับผีห่าหรอกนะ ท่านว่ายังงั้น ผีห่าเท่านั้นละที่มีอำนาจจะมาจับฉันกิน นี่ใครเขาไปพูดที่ไหนล่ะ ฉันไม่มีความสามารถอย่างนั้น แต่เอาเถอะไหนๆ ก็มาแล้วนี่ หลวงพ่อจะแจกด้ายผูกข้อมือไปให้ ทีหลังถ้าใครเขาเป็นโรคผีห่าหรือปรากฏว่าโรคผีห่าเกิดขึ้นที่ไหน ก็ให้ทำขนมจีน แล้วก็ข้าวต้มลูกโยนเอาไปวางไว้หลังบ้าน คนในบ้านมีกี่คนก็ให้ปั้นตุ๊กตาเป็นคนจำนวนเท่านั้น แล้วก็นุ่งผ้าแดง ควายมีเท่าไหร่ วัวมีเท่าไหร่ก็ปั้นตามจำนวน สุนัขมีกี่ตัว ปั้นรูปสุนัขตามจำนวน เอาไปไว้หลังบ้าน แล้วก็บูชาเจ้ากรรมนายเวร เท่านี้ผีห่าจะอภัยโทษให้ นี่ฉันก็ฟังไว้เท่านั้น ไม่ทราบว่าจะมีผลเป็นประการใด แต่สิ่งที่มหัศจรรย์ก็คือ อหิวาตกโรคในสมัยที่หลวงพ่อปานมีชีวิตอยู่ คนในตำบลบางนมโคไม่เคยเป็นโรคนี้เลย แล้วเมื่อคนมาก็ไม่มาวันเดียวซี มากันหลายวัน หลายจังหวัด หรือแม้ในจังหวัดเดียว ต่างคนต่างมา ใครทราบข่าวคนนั้นก็อยากจะดูว่ารูปร่างผีห่ามันเป็นยังไง เมื่อคนมามาก ภาระหนักมันก็ตกอยู่กับฉัน เพราะอะไร เพราะว่าฉันก็ต้องเป็นพ่อครัว เป็นคนสั่งอาหารมาเลี้ยงชาวบ้าน แต่อย่าลืมนะ เขามากันเท่าไรก็ตามหลวงพ่อเลี้ยงยันหมด ข้าวสุกหุงด้วยกระทะกันทีละ ๘ กระทะเชียวนะ ตั้งพร้อมๆกัน ๘ กระทะ ไปหาพ่อครัวมา คนหุงข้าวประจำมี ในเมื่อหาชาวบ้านไม่ได้ก็ใช้พระ พระทุกองค์ที่วัดบางนมโคสมัยนั้นต้องคล่องในการหุงข้าวกระทะ แล้วก็ทำกับข้าว เรื่องกับข้าวอย่างอื่นไม่สำคัญ กับข้าวที่สำคัญที่สุดก็คือหัวตาลต้มปลาร้า แล้วก็แกงคั่วส้มผักบุ้ง ๒ อย่างนี่ต้องมี ถ้าไม่มีฉันก็ต้องรีบไปหา ถ้าบังเอิญในฤดูนั้นมันไม่มีหัวตาลก็ไม่เป็นไร ไปตำบลรางจรเข้ ไปเอาผักบุ้งมา ที่นั่นเขาปลูกต้นผักบุ้งเลี้ยงกันไว้สำหรับขาย ฉันก็ไปขนผักบุ้งมาจากที่นั่น แล้วก็มาแกงคั่วส้มผักบุ้ง ในเมื่อแกงคั่วส้มผักบุ้งมี หัวตาลไม่มีจะต้มปลาร้าก็ไม่เป็นไร นอกนั้นก็ทำกับข้าวอย่างอื่นเท่าที่จะพึงทำได้เลี้ยงกัน เลี้ยงกันตามยถากรรม คนมากนี่ แกงหม้อใหญ่ ก็จะกินดีกันยังไง สำหรับขนม ขั้นแรกก็ต้องไปซื้อเม็ดแมงลักมาให้มาก แล้วก็ซื้อน้ำตาลสีรำมาสำหรับละลาย ต่อมาต้องหาข้าวตอกเข้ามาไว้แล้วก็ทำน้ำกะทิ นี่เป็นขนมของท่านเวลาออกมาตรวจอาหารท่านจะถามว่า หัวตาลต้มปลาร้ามีไหม แกงคั่วส้มผักบุ้งมีไหม ข้าวตอกน้ำกะทิมีหรือเปล่า เม็ดแมงลักละลายน้ำแล้วก็ใส่น้ำตาลมีหรือเปล่า นี่เป็นอาหารที่ท่านโปรดในการเลี้ยง ฉันรู้ใจท่านฉันก็จัดหามาให้ แต่ว่าฤดูนั้นที่เขามาปรากฏว่าไม่มีหัวตาลจะขาย ไม่ใช่ฤดูนั้น ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร แล้วก็ถามว่าแกทำอะไรแทน บอกว่ากระผมก็ใช้ต้มจืดขอรับหลวงพ่อ ไปหาฟักหาแฟงมาจากตลาดบ้านแพน ได้เท่าไรเอามาเท่านั้น ขนกันหมดตลาด เอาหมูมา มันทำง่าย มันทันกับคนกินขอรับ คนมาก ท่านก็บอกว่าใช้ได้ เป็นอันว่าเรื่องนี้ผ่านไป แต่ทว่าก็ยังไม่ผ่านทีเดียวนะ กว่าการลือเรื่องผีห่ามันจะสิ้นไปมันก็เกือบจะเดือน พระทั้งวัดต้องวุ่นวายในการทำอาหาร ชาวบ้านที่มีเวลาว่างก็มาช่วยกันทำกับข้าว เวลาเสร็จเรียบร้อยแล้วปรากฏว่าหลวงพ่อปานได้ผลประโยชน์หลายหมื่นบาท ชาวบ้านที่เขามาน่ะ เขาพอใจท่านในการเลี้ยงดู แล้วก็ชอบใจที่หลวงพ่อให้ด้ายผูกข้อมือ เพราะด้ายประเภทนี้มันกันโรคผีห่าได้ แล้วเขาก็ทำบุญกับท่าน เวลาเขาให้ ท่านไม่ได้ตั้งราคานะ แจกเลย ที่บ้านมีกี่คน คนที่มาน่ะเป็นพ่อบ้านแม่บ้าน แล้วคนที่บ้านทั้งหมดมีกี่คน แจกด้ายผูกข้อมือทุกคน ผู้หญิงให้ผูกข้างซ้ายผู้ชายให้ผูกข้างขวา แล้วสิ่งที่สั่งก็คือ ๑ ขนมจีน แล้วก็ข้าวต้มลูกโยน ปั้นคนตามจำนวนที่บ้าน ปั้นรูปสัตว์ที่บ้านที่มีอยู่ เอาไว้หลังบ้าน บูชาเจ้ากรรมนายเวร รูปคนให้นุ่งผ้าแดง แล้วชาวบ้านที่เขารับฟัง เขารับไปปฏิบัติ จะมีผลเป็นประการใดนี่ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน ไม่ได้ไปสืบผล เรื่องนี้ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลก โรคระบาดเขาเกิดขึ้น ท่านทำแบบนี้ ก็ปรากฏว่าในเขตของท่านไม่เกิดโรคระบาด จะว่าไม่มีผลก็รู้สึกว่ากระไรอยู่ เรื่องนี้ขอผ่านไป
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...