หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระโพธิสัตว์แห่งอยุธยา ตอน. นางตะเคียนที่วัดบางนมโค

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 3 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444

    [​IMG]
    คณาจารย์เรื่องเวทย์โดย จิเจรุนิ ตอน หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระโพธิสัตว์แห่งอยุธยา ตอน. นางตะเคียนที่วัดบางนมโค

    ทีนี้วัดบางนมโคมีต้นตะเคียนใหญ่อยู่ ๒ ต้น ความจริงต้นตะเคียนน่ะมีอยู่หลายต้น แต่สำหรับต้นตะเคียนที่ใหญ่จริง ๆ ที่หลวงพ่อไม่สามารถจะทำอันตรายแม้แต่ รานกิ่งก็ทำไม่ได้มีอยู่ ๒ ต้น คือเขาไม่ยอม
    จึงได้ถามหลวงพ่อว่าต้นตะเคียนนี่ครับกิ่งก้านสาขาใหญ่หลวงพ่อจะรานจะโค่นได้ไหม
    ท่านบอกไม่ได้ เขาไม่ให้

    ตามธรรมดาของท่านนะจะเล่าให้ฟัง ถ้าท่านจะโค่นต้นไม้สักต้นท่านต้องบวงสรวงก่อนขอเขา เขาให้โค่นไหม ถ้าเขาไม่ให้โค่นท่านก็ไม่โค่น

    บางต้นเขาอนุญาตให้โค่นแต่ว่าต้องปลูกศาลให้เขาอยู่ ถ้าไม่ปลูกศาลให้เขาอยู่ไม่ได้น่ะเขาไม่ยอม นี่พระที่ท่านรู้จริง ๆ ท่านทำอย่างนี้นะ ท่านไม่เดาสุ่มหรอก เพราะตามธรรมดาต้นไม้ที่มีแก่นทุกต้น พระพุทธเจ้ากล่าวว่าตั้งแต่ยาว ๑ ฟุตขึ้นไปย่อมมีรุกขเทวดาอาศัย

    คราวนี้รุกขเทวดาน่ะมีความลำบากเพราะวิมานต้องอาศัยพะอยู่กับยอดไม้ แต่ไม่ใช่ว่าเทวดาพวกนั้นท่านอยู่ตามกิ่งไม้ไม่ใช่อย่างนั้น คือรุกขเทวดาคือเทวดาที่มีบุญน้อย วิมานยังไม่ลอยในอากาศแต่ก็สูงกว่าภุมมเทวดาหน่อย

    ภุมมเทวดานี่ที่เราเรียกกันว่าพระภูมิเจ้าที่ พวกนี้ท่านมีวิมานอยู่กับภาคพื้นดินจึงเรียกว่าภูมิเทวดา ภูมิ แปลว่า แผ่นดิน คือเทวดาที่อยู่แผ่นดิน แต่ก็มีเครื่องทิพย์บริโภคเหมือนกัน

    ทีนี้รุกขเทวดานี่มีบุญสูงกว่าภูมิเทวดานิดหนึ่ง คือมีวิมานสูงขึ้นไปแต่ว่าวิมานนี้ลอยในอากาศไม่ได้ เพราะยังมีบุญบารมีน้อยต้องพะอยู่ตามยอดไม้ ไม่ใช่อยู่ตามต้นไม้เหมือนจิ้งจกตุ๊กแก

    ทีนี้สำหรับต้นตะเคียนต้นนั้นก็มีรุกขเทวดาที่เราเรียกกันว่า "นางตะเคียน"
    หลวงพ่อท่านบอกว่า ฉันจะโค่นหลายครั้งเขาไม่ยอมให้โค่น แม้แต่ว่าจะรานกิ่งเขาก็ไม่ยอมให้รานของเขา ทำของเขาไม่ได้เลย แต่มีสัญญากันอยู่ว่าถ้ากิ่งหักลงมาถูกกระเบื้องแตกแผ่นเดียวท่านจะโค่นทันที
    เขาก็ยอม

    ทีนี้สำหรับต้นตะเคียนทั้ง ๒ ต้นนี้มีอานุภาพแปลก ถ้ากิ่งแห้ง ๆ หักลงมารู้สึกว่าห้อยโตงเตง ๆ เราก็คิดว่าไม่ช้าก็หล่นทับกระเบื้องแตกเพราะอยู่ใกล้กุฏิ แต่เปล่าเวลาที่กิ่งอันนั้นจะหล่นจริง ๆ ปรากฏว่ามีลมเหมือนลมบ้าหมูหอบเอากิ่งไปทิ้ง โน่นหลังกุฏิห่างไปตั้งหลายวา เป็นอย่างนี้ทุกกิ่ง นี่พูดถึงปฏิปทาของนางตะเคียนนะ

    ตอนนั้นฉันจะเล่าอานุภาพของนางตะเคียน ตอนนี้เอ้า..พูดกันตอนหลวงพ่อปานยังอยู่นะ เมื่อตอนท่านยังอยู่ เมื่อตอนแรก ๆ ท่านไม่ได้เป็นสมภารเพราะท่านไม่ชอบ แม้แต่ตำแหน่งสมภาร แต่งานการในวัดทุกอย่างท่านรับภาระหมด พระเจ้าท่านก็เลี้ยง อบรมก็เลี้ยง แต่ว่าตำแหน่งสมภารท่านไม่เป็น ท่านให้คนอื่นเป็นเพราะว่าท่านขี้เกียจ ตำแหน่งสมภารมันต้องมีบัญชี ทำอะไรต่ออะไรกันท่านไม่มีเวลาจะทำ ก็เลยตั้งพระลูกวัดบางองค์ คือองค์ที่เห็นว่าเหมาะสมขึ้นเป็นเจ้าอาวาสแทน จะได้รับภาระอันนั้นไป

    ทีนี้สมภารองค์นั้นชื่อเย็น เราเรียกว่าสมภารเย็น ท่านเป็นคนเสียงดัง และเป็นคนโอภาปราศรัย ชาวบ้านเขาเรียกว่าคนเจ้าชู้ แต่ก็ไม่ได้เจ้าชู้ไปรักใครหรอก ก็เรียกว่าเป็นคนแก่สังคมสักหน่อย ใครไปใครมาท่านก็ชอบใจ ลองไปคุยกับท่านละก็ไม่อยากกลับ องค์นี้คุยเก่ง คุยได้ตลอดคืนตลอดวัน ท่านอ้วน

    มีอยู่วันหนึ่งมีสาว ๆ พวกสาว ๆ คือพวกลูกสาวของคนไข้ที่เขามารักษาตัวน่ะ ไปคุยกับท่าน ๔ คน แต่ว่าท่านเห็น ๕ คน แปลก ๔ คนนั่นก็คุยจ้อตั้งแต่หัวคํ่า แต่ก็ไม่ได้คุยตามลำพังก็มีพระมีอะไรอยู่ด้วย
    แต่คนที่ ๕ ไม่ยอมคุย

    ท่านก็ถามว่าอ้าวคนนี้ทำไมไม่พูดล่ะ
    ๔ คนก็เหลียวหน้าเหลียวหลัง ล่อกแล่ก ๆ ไม่เห็น แต่ว่าท่านเห็น และพระที่นั่งอยู่กับท่านทุกคนก็เห็น เห็นว่าไป ๕ คนแต่พวกที่ไปยืนยันว่าไป ๔ คน อันนี้แปลก

    และคนนั้นก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ๆ เขาพูดอย่างไรก็ยิ้ม ๆ ท่านก็ยั่ว ๆ ไปเขาก็ยิ้ม อีก ๔ คนก็หันไปดูข้างหลังว่าท่านพูดกับใคร เพราะมากัน ๔ คน

    ท่านก็เลยนึกว่า ๔ คนนี้แกล้งล้อเล่น แต่คนที่ ๕ รู้สึกว่าสวยมาก ท่าทางสวยละมุนละไม สะโอดสะอง จะผอมก็ไม่ผอม จะอ้วนก็ไม่อ้วน ท่าทางดี สวยมาก แต่งตัวก็เรียบร้อยสุภาพ

    พอทั้ง ๔ คนเขาลากลับ คนที่ ๕ ก็ลากลับไปด้วย พอกลับไปแล้วสมภารเย็นเข้านอน คนที่ ๕ ย่องเข้าไปในกุฏิ
    ไอ้กุฏิท่านนะเวลาลงกลอนแล้วเข้าไม่ได้ เพราะกุฏิใหญ่ แล้วพระก็นอนด้านหน้าหลายองค์ ถ้าจะเข้าไปต้องเข้าประตูแล้วต้องผ่านพระข้างหน้าเข้าไป

    แล้วในกุฏิของท่านก็ไม่ดับตะเกียง จุดตะเกียงไว้เพราะมันเป็นกุฏิใหญ่ พระอยู่หลายองค์ท่านกลัวจะเหยียบกันเข้าเวลาตื่นขึ้น ก็เลยไม่รู้ว่าย่องเข้าไปในห้องได้อย่างไร

    ท่านก็ตกใจ ตื่นขึ้นมาดู ประตูก็ไม่ได้ถอดกลอน ถามว่าเข้ามาอย่างไร
    เธอบอกว่าเข้ามาเยี่ยม
    ถามว่ามาเยี่ยมทำไม
    บอกว่าสวย ฉันสวยไหม
    ท่านก็เลยบอกว่าสวย แต่ว่าเข้ามาไม่ได้ในห้องพระ
    เธอบอกเข้าได้
    ถามว่าเธอเข้ามาได้อย่างไรฉันใส่กลอน
    เธอบอกใส่กลอนฉันก็มาได้
    ท่านก็ชักแปลกใจ ถามว่าคนหรือผี
    เธอบอกไม่ใช่คนไม่ใช่ผี
    ท่านก็ถามว่าเป็นอะไร
    เธอบอกว่าเป็นนางตะเคียน
    ท่านก็ถามว่าเจ้าแม่มาอย่างไร (ท่านก็เลยเปลี่ยนศัพท์เรียกว่าเจ้าแม่)
    เธอบอกว่าไม่ต้องเรียกเจ้าแม่หรอก ตอนหัวคํ่าเห็นเกี้ยวอยู่ ตอนนี้จะมาเรียกเจ้าแม่อย่างไร ถ้ารู้ว่าเป็นเจ้าแม่ก็ไม่ต้อง เกี้ยวกัน
    ท่านก็บอกว่าไม่ได้เกี้ยวแค่พูดล้อเล่น
    เธอบอกว่าล้อเล่นมันก็เกี้ยว

    เธอก็เลยสั่งว่าจงจำไว้ให้ดีนะ ต่อแต่นี้ไปจงอย่าสนใจกับสตรีเป็นอันขาด เพราะเป็นเจ้าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้วอะไรยังจะมาคุยกับผู้หญิงเวลากลางคํ่ากลางคืนนี่มันใช้ไม่ได้นะนี่ฉันมาเตือนนะ จำไว้ให้ดีว่าฉันมาเตือน แล้วต่อไปถ้าทำอย่างนี้อีกฉันจะลงโทษแล้วจะหาว่าฉันไม่บอกไม่ได้นะ

    พอรุ่งขึ้นเช้าหลวงพ่อปานฉันข้าวท่านก็ยิ้ม หลวงพ่อปานยิ้มเป็นมีเรื่อง ท่านถามว่าเป็นอย่างไรสมภารเย็นเมื่อคืนนี้ถูกนางตะเคียนเล่นงานเอาหรือ

    ท่านก็บอกครับ เขาเข้าไปดุ บอกอย่าทำอย่างนั้นสินะ เราเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ไอ้เด็กมันจะเอาอย่าง ทำอย่างนั้นมันไม่สมควร ผู้หญิงยิงเรือเข้าไปคุยในกุฏิเวลากลางคืนอย่างนี้ใช้ไม่ได้ สำหรับเรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นว่า หลวงพ่อท่านทรงทิพจักขุญาณเป็นปกติ ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะเกิดในที่ลับ ระหว่างผีกับคนท่านก็รู้

    ในเมื่อพูดถึงเรื่องนางตะเคียนต้นนี้แล้วฉันก็อยากจะเล่าต่อไปสักนิด หลังจากที่หลวงพ่อปานตายแล้ว ตามปกติของฉันนางตะเคียนทั้ง ๒ ต้นนี่ท่านมาเยี่ยมเป็นปกติทุกคืน

    คราวหนึ่งพวกสุพรรณบุรีไปหาฉัน สัก ๑๐ คน แล้วที่กุฏิหลังนั้นถ้าใครนอนไม่บูชาพระละก็นอนไม่ได้ ฉันก็เลยบอกว่าก่อนจะนอนให้บูชา พระบูชาเจ้าเสียก่อนนะ จะได้นอนสบาย

    ในจำนวนนั้นมีไอ้เจ้าเด็กหนุ่มคนหนึ่งมันเป็นคนชอบเดินป่า ก่อนจะนอนมันกลัวเป็นคนกลัว คนเดินป่านี่ต้องเป็นคนชอบบูชาพระ เพราะเชื่อผีเชื่อเจ้า ก็บูชาพระ เมื่อบูชาพระเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นอนหลับสบาย ส่วนอีตาแก่ ๓ คนเป็นคนอวดดี ไม่ยอมบูชาพระเวลานอน

    ฉันก็พยายามจุดตะเกียงเอาไว้ให้ เพื่อกันความกลัวหรือกันหลงผิด ปรากฏว่าประมาณสัก ๖ ทุ่มเศษ ๆ แกบอกว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวสวย เดินมาทางปลายเท้า เมื่อเห็นอีตา ๓ คนนอนปลายเท้าไม่เสมอกัน ก็เลยดึงเท้าให้เสมอกัน ก็ไอ้คนมันสูงตํ่าไม่เท่ากันมันจะเสมอกันได้อย่างไร ในเมื่อหัวมันนอนเสมอกันแล้วไอ้เท้ามันก็ต้องไม่เสมอกัน ก็ดึงให้เสมอกันเสีย

    สำหรับเจ้าเด็กหนุ่มนั่นไม่กวน
    พอเท้าเสมอกันแล้วก็เดินไปทางหัวนอน เห็นหัวไม่เสมอกันก็ดึงหัวให้เสมอ พอตี ๒ ฉันตื่นออกมาเห็น ๓ คนน่ะไม่นอน นั่งคุยกันจุ๋งจิ๋ง ๆ

    ก็ถามว่าทำไมไม่นอนล่ะ
    แกก็เลยบอกว่าจะนอนอย่างไรล่ะครับ ก็เล่นมาจัดระเบียบกันอยู่อย่างนี้
    ก็ถามว่าทำไมล่ะ
    แกก็บอกว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งห่มผ้าสีทองนุ่งผ้าสีทอง มาคอยดึงขาดึงหัวอยู่อย่างนี้จะนอนหลับได้อย่างไร
    พอแกพูดเท่านั้นฉันก็รู้ได้ทันทีว่านางตะเคียนเล่นงานเข้าแล้ว
    จึงได้ถามคน ๓ คนว่าก่อนที่แกจะนอนนี่แกไม่ได้บูชาพระใช่ไหม
    เขาถามว่าทำไมจึงรู้

    ก็บอกว่าทำไมจะไม่รู้ เพราะไอ้ที่นี่น่ะถ้าใครนอนไม่บูชาพระล่ะเป็นเสร็จทุกราย ไม่มีนอนหลับ นี่เป็นอย่างนี้ จะว่าเทวดาไม่สนใจกับความดีความชั่วของคนก็ไม่ได้ นี่เขาเป็นเทวดาเขาอยู่ที่ต้นตะเคียนเขายังสงเคราะห์อนุเคราะห์ แต่รู้สึกว่านางตะเคียน ๒ คนหรือนางฟ้า ๒ องค์นี้สงเคราะห์ฉันมาก

    ฉันจะไปไหนก็ตามทีท่านมักจะติดตามไปให้ฉันเห็นอยู่เสมอ และก็ใช้คำว่าแม่ นี่ฉันคิดในใจว่าท่านเคยเกิดเป็นแม่ฉันมาหลาย ๆ ชาติแล้วก็ได้ อาจจะไม่ใช่ชาติเดียว ชาตินี้ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นนางฟ้าท่านก็ตามมาสงเคราะห์ฉันอยู่เสมอ

    ในสมัยก่อนนู้นฉันจะไปหาเงินหาทองที่ไหนก็ตามมาสร้างวัดสร้างวา เมื่อไปนอนอยู่ที่ไหนมักจะเห็นแกอยู่เสมอ นี่เป็นเรื่องราวอันหนึ่งสำหรับเรื่องของหลวงพ่อปาน
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...