หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระโพธิสัตว์แห่งอยุธยา ตอน ตอนท้ายชีวิตของหลวงพ่อปาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 13 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระโพธิสัตว์แห่งอยุธยา ตอน ตอนท้ายชีวิตของหลวงพ่อปาน
    [​IMG]
    ต่อมาเมื่อหลวงพ่อปานวัดบางนมโคอายุล่วงเข้า ๖๑ ปี ตอนนี้ท่านป่วยครั้งแรก ความจริงเรื่องของการป่วย ก็ป่วยกันอยู่เป็นปกติ แต่ทว่าอาการป่วยที่จะตายคราวนี้ท่านป่วยมาก เมื่อป่วยมาก คณะศิษยานุศิษย์ในกรุงเทพฯ ก็รับไปรักษาที่บ้านหลวงประธานถ่องวิจัย ที่บ้านหม้อ รักษาอยู่ประมาณ ๑ เดือนท่านก็กลับ เป็นอันว่าหาย

    หลังจากการป่วยคราวนี้แล้ว ท่านแจ้งให้แก่บรรดาคณะศิษยานุศิษย์ แล้วก็ท่านพระครูรัตนาภิรมย์เจ้าอาวาสวัดบ้านแพนอีกองค์หนึ่ง ทราบว่า นับตั้งแต่นี้อีกเป็นต้นไปอีก ๓ ปีท่านจะตาย ท่านบอกไว้ว่ายังงั้นนะ ท่านบอกว่าอีก ๓ ปีจะตาย ท่านจะตายวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ เวลาประมาณ ๖ โมงเย็น นี่ท่านประกาศไว้ก่อนนะ ว่าท่านจะตาย

    ตอนนั้นฉันก็กำลังเป็นลิงหน้าพลับพลา ท่านสั่งให้ฉันเขียนจดหมายถึงหัวหน้าลูกศิษย์ของท่านแต่ละจังหวัด แต่ละสถานที่ ส่งไปเฉพาะหัวหน้าลูกศิษย์นะ ว่าท่านให้บอกไปว่าท่านจะตาย อีก ๓ ปีท่านจะตาย คณะศิษยานุศิษย์ทุกคนมีความประสงค์ต้องการอะไรจากท่านก็ขอให้พากันมา

    ข่าวลือว่าท่านจะตายนี่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วที่สุด ก็ปรากฏว่ามีคณะศิษยานุศิษย์บ้าง แล้วก็ที่ไม่ใช่บ้าง คือว่าเป็นลูกศิษย์ใหม่บ้าง ก็พากันมาหาท่าน ตอนนี้ท่านสงเคราะห์ทุกอย่าง คำว่าสงเคราะห์ทุกอย่างก็หมายความว่า สงเคราะห์ทั้งด้านการรักษาโรค คาถาอาคมที่เป็นประโยชน์ คำว่าคาถาอาคมที่เป็นประโยชน์นะ ที่เป็นโทษท่านไม่ให้กับใครแล้ว นอกจากนั้นท่านก็สอน เวลาคนเขามาหาท่าน ท่านก็พูดเฉพาะศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสำคัญ ให้คนทุกคนรู้ตัวว่าตัวเองจะต้องตาย แล้วก็จงอย่าประมาท ให้สร้างแต่ความดี

    ในระหว่างที่หลวงพ่อสั่งให้ฉันเขียนจดหมายไปหาบรรดาศิษยานุศิษย์ คนที่รับฟังหรือรับข่าว บางทีก็รับข่าวไม่ครบ คนที่รับข่าวหลายคนเขาเข้าใจว่าหลวงพ่อปานตายแล้ว ไอ้นี่ซิยุ่ง มันชักจะยุ่งกันใหญ่ ทุกคนโผล่ขึ้นมาหา เห็นหลวงพ่อปานนั่งคุยกับชาวบ้านแขกมาหาท่านแต่ละวันเป็นร้อย ตอนนี้นับร้อยกันละ

    ๓ ปีก่อนจะตายนี่แขกไม่ใช่มาเป็นสิบ ตั้งแต่เวลาบ่ายโมงถึง ๕ โมงเย็น หลวงพ่อต้องรับแขกหนัก บริเวณที่ท่านรับแขกมีความกว้าง ๒ วา คือ ๔ เมตร แล้วก็ยาว ๑๒ เมตร ที่เต็มตลอดเวลา หมายความว่าคนที่มาทีหลังยังเข้าไม่ได้ก็คอยกันอยู่ข้างนอกก่อน แล้วใครเข้าไปถึงก็ไปคุยกับท่าน

    บรรดาคนที่มาที่ยังไม่เข้าไปพบท่าน เห็นท่านกำลังคุยอ้าวอยู่เพราะตอนนี้ท่านไม่ได้เป็นอะไร เขาถามกันว่า ไอ้เจ้าลิงดำมันองค์ไหน บางคนไปถามชนฉันเข้าเลย ถามเขาว่า ทำไมล่ะ

    เขาเลยบอกว่า ไอ้เจ้านี่มันบ้า มันเขียนจดหมายไปได้บอกว่าหลวงพ่อตายแล้ว เอาเข้านั่น หลวงพ่อกำลังนั่งคุยอ้าวอยู่ มันบอกว่าหลวงพ่อตาย แปลก ไอ้พระองค์นี้น่ากลัวจะไม่ใช่พระนา ดีไม่ดีถ้าเป็นพระก็พระบ้า หรือไม่ยังงั้นก็มีนิสัยหมาติดมาด้วย ส่งข่าวไม่ตรงตามความเป็นจริง หลวงพ่อยังดีอยู่ยังคุยกับคนอ้าวๆ มันส่งจดหมายส่งข่าวไปได้ว่าหลวงพ่อตาย

    เออ ลูกหลานเอ๋ย ฟังแล้วก็จำไว้ด้วยนะ ความจริงหนังสือทุกฉบับฉันเขียนไปน่ะ เขียนตามคำสั่งของหลวงพ่อท่าน หลวงพ่อท่านบอกว่าท่านจะตาย หลังจากนั้น ๓ ปี ท่านจะตาย ลูกศิษย์ทุกคนต้องการอะไรให้มาเอาจากท่าน ท่านจะให้ตามความประสงค์แต่สิ่งที่ไม่เป็นโทษ ถ้าส่วนใดที่เป็นโทษท่านไม่ให้ใคร

    ฉันเข้าใจเอาเองนะ เข้าใจว่าหลวงพ่อจะตักเตือนบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ว่า ๑ ท่านจะตายแล้ว ประการที่ ๒ ท่านตั้งใจจะสั่งสอนคณะศิษยานุศิษย์ของท่านว่า ทุกคนจะต้องตาย และให้ทุกคนปฏิบัติอยู่ในความดี แต่ว่าเจ้าคนรับข่าวหรือคนส่งข่าวต่อนี่ซิ มันคงจะส่งข่าวกันไม่ถูกหรือว่าส่งข่าวไม่ครบ หนังสือของฉันส่งข่าวไปชัดเจนว่า หลวงพ่อท่านสั่งไปยังงั้น แล้วท่านให้ฉันเซ็นชื่อของฉัน ท่านไม่เซ็นชื่อของท่านเอง นี่ก็แปลกดีเหมือนกัน เจ้าพวกนั้นมันมา มันเกิดอยากจะเตะฉันขึ้นมา มันหาว่าแช่งหลวงพ่อ

    ฮือ ดีเหมือนกันนะ ตามใจเขา ในที่สุด เมื่อเข้าไปพบหลวงพ่อ เขาก็ถามข้อความนี้ หลวงพ่อท่านบอกว่า ฉันเองเป็นคนสั่งเขาให้เขียนว่า ฉันจะตายในอีก ๓ ปีข้างหน้า แล้วเขาอ่านให้ฉันฟัง เขาเขียนตามนั้น แต่ว่าพวกแกละมั้งที่รับข่าวผิด เรื่องนี้ก็เป็นอันว่าพับไป

    แล้วเขาทั้งหลายเหล่านั้นก็ถามหลวงพ่อว่า ก็หลวงพ่อยังดีๆ นี่ขอรับ ทำไมหลวงพ่อจึงจะบอกว่าหลวงพ่อจะตาย

    หลวงพ่อท่านบอกว่า ฉันรู้ตัวว่าฉันจะตายนะ แต่ความจริงฉันรู้ตัวว่าฉันจะตายมาหลายหนแล้ว คราวป่วยหนักคราวนี้ฉันก็รู้ตัวฉันว่าจะตาย แต่พอดีท่านท้าวมหาราชเขามาต่อชีวิตฉันให้ เขาต่อให้ฉันอยู่อีก ๓ ปี แล้วเขาก็บอกฉันด้วยว่า อีก ๓ ปีข้างหน้า ถ้าพ้นไปแล้วอยูไม่ได้ แต่ความจริงชีวิตของฉันนี่น่ะ เขาต่อให้หลายครั้งแล้ว

    คำว่าฉันในที่นี้หมายถึง หลวงพ่อปาน เรื่องนี้ก็เป็นอันว่าพับกันไป

    ตอนนี้ท่านก็สอนศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อใครเข้าไปก็ตาม ท่านก็พูดให้ฟังง่ายๆ พูดย่อฟังชัด ให้เข้าใจว่าคนทุกคนจะต้องตาย ถ้าตายแล้วส่วนที่ต้องไปก็มีอบายภูมิ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม ไปนิพพาน แล้วส่วนใหญ่ท่านสอนด้านวิปัสสนาญาณ ใครจะเรียนอะไรกับท่านก็ตาม ท่านสอนแนวนั้นแล้ว ท่านก็โน้มเข้ามาว่า ถึงแม้ว่าเราจะมีคาถาอาคมของดียังไงก็ตาม เราก็ต้องตาย แล้วก่อนที่จะตาย นั้นควรจะเลือกทางเดินเอา อย่างน้อยที่สุด เราควรไปสวรรค์ชั้นกามาวจรให้ได้

    แล้วท่านก็อธิบายว่า การที่ท่านสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ วัดวาอารามต่างๆ เรียกว่าไม่มีขอบเขต สร้างกันถึง ๔๐ วัด เฉพาะรื้อวัด สร้างวัดของเขาจริงๆ นะ แล้วก็สร้างโบสถ์วิหารการเปรียญ ทำบุญสุนทร์ทานต่างๆ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าท่านห่วงตัวท่าน ท่านห่วงบรรดาประชาชนทั้งหลายว่า ทุกคนจะได้ร่วมกันทำบุญ มากบ้าง น้อยบ้าง ด้วยทรัพย์สินบ้าง ด้วยกำลังกายบ้าง ทุกคนที่ได้ช่วยงานท่านอย่างนี้ อย่างน้อยทุกคนจะต้องไปเกิดบนสวรรค์ ขอให้ทุกคนน่ะ เวลาก่อนจะหลับนึกถึงความดีที่ตนเคยทำไว้ คือว่า นึกถึงทรัพย์สินที่สละออกมาเป็นทานในการก่อสร้างก็ดี เลี้ยงพระก็ดี ส่วนสาธารณประโยชน์ก็ตาม นอกจากนั้นให้นึกถึงศีลที่ตนเคยรักษา นึกถึงเทศน์ที่ตนเคยฟัง แล้วหมั่นภาวนาถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ พระพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นต้น

    นี่หลวงพ่อปานท่านมีความประสงค์อย่างนี้ในการก่อสร้างของท่าน ท่านยอมตัวของท่านลำบาก เพราะปรารถนาในการสงเคราะห์พุทธบริษัทของท่าน

    ฉันก็เหมือนกันซี ตอนนี้ฉันสร้างเปื่อยไปยังงั้นแหละ เล่นเอาลูกหลานย่ำแย่ไปตามกัน เล่นเอาลูกหลานเหน็ดเหนื่อยไปตามๆ กัน แต่ฉันคิดว่าถ้าลูกหลานของฉันจะเหน็ดเหนื่อยบ้างลำบากบ้างในตอนนี้ คิดว่าตอนสิ้นลมปราณนี่ทุกคนจะเห็นว่าดี แล้วตอนนั้นน่ะแหละ ลูกหลานทุกคนจะรู้ว่าฉันมีความหวังดีกับลูกหลานเพียงใด ที่พูดอย่างนี้น่ะนะไม่ใช่พูดป้อยอหวังจะให้หาเงินทองมาช่วยกันสร้าง มาช่วยกันชำระหนี้ ไม่ใช่ยังงั้น นี่มันเป็นความหวังจริงๆ

    ในตอนที่หลวงพ่อปานท่านใกล้จะตาย ท่านเปิดศักราชเป็นการใหญ่ ท่านพูดหมด หมายความว่า ธรรมะส่วนใดที่ท่านได้ กรรมฐานใดที่ท่านได้ ภาวนาสถานใดที่ท่านจะไปอยู่ ท่านพูดหมด ท่านอธิบายถึงสถานที่ท่านจะไปอยู่ว่ามันสวยสดงดงามเพียงใด แล้วคนที่ร่วมบำเพ็ญกุศลกับท่านน่ะเขาจะไปอยู่สถานที่ไหนบ้าง อะไรบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ท่านอธิบายให้เขาฟัง ทุกคนบอกว่าชื่นใจเหลือเกิน ได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างนี้

    ดีไม่ดีท่านจี้ตัวเอานะ จี้เอาว่าคนนี้วิมานเป็นอย่างนั้น คนนั้นวิมานเป็นอย่างนี้ ท่านกล้าพูดเต็มที่ ท่านบอกว่าท่านจะตายแล้ว ใครจะจับท่านสึกท่านก็ยอม จะสึกยังไงไม่เป็นอันสึก คราวนี้ฉันจะเป็นพระสัก ๓ ปี ท่านว่ายังงั้น ท่านบอกว่าท่านจะเป็นพระสัก ๓ ปี หมายความว่า ท่านจะพูดอย่างพระ ความรู้ของพระมีเท่าไรท่านงัดออกมาพูดกันหมด

    ระหว่างที่ท่านจะยังไม่ตายนี่นะ ก่อนหน้าที่ท่านจะตาย ๑ ปี ปรากฏว่าอาจารย์ไสยศาสตร์ของท่านมาหา

    อาจารย์แจง อาจารย์ไสยศาสตร์ของท่าน ก่อนหน้าท่านจะตาย ๑ ปี แกก็ลงมาที่วัดมาเยี่ยมหลวงพ่อ คุยกันอย่างดี ท่านก็แนะนำว่าคนนี้นาอาจารย์ไสยศาสตร์ของฉัน ตั้งแต่การสอนวิชา อาจารย์องค์นี้ต้องให้เข้าสมาบัติ ๘ อยู่ตลอดเวลา

    ท่านมาอยู่กับหลวงพ่อประมาณ ๑ เดือน ท่านก็เรียกฉันบ้าง ไอ้ลิง ๒ ตัวบ้าง แล้วก็พระที่มีความสนใจในวิชาอาคมบ้าง ก็มาแนะนำถึงว่า วิชาการในตำราของท่านที่ให้หลวงพ่อปานไว้แนะนำพอสมควร

    ต่อมาอาจารย์แจงจะกลับบ้านก็ขอยืมตำราเล่มสำคัญไป ตำราเล่มนี้มีธงมหาพิชัยสงคราม เล่มนี้ท่านอาจารย์แจงขอยืมหลวงพ่อไป บอกว่าผมขอยืมไปดูสักปีครับ แล้วผมจะมาคืนให้ ผมลืมอะไรบางอย่างต้องการของในนี้เอาไปทำ หลวงพ่อท่านก็ถอดเขี้ยวถอดเล็บแล้ว ท่านอนุญาต อนุญาตแล้วท่านอาจารย์แจงก็ไป

    ต่อมาพอครบปีที่ ๓ เดือน ๘ พอขึ้นเดือน ๘ ปรากฏว่าหลวงพ่อปานไปธุระที่ตลาดบ้านแพน บ้านนายเฉลิม นามสกุลว่ายังไงไม่ทราบ เขาค้าวัตถุก่อสร้าง หลวงพ่อเคยไปสั่งเหล็กสั่งปูนที่นั่นเสมอ ไปถึงก็ขึ้นสะพาน สะพานมันลาดๆ มันลื่นด้วยตะไคร่น้ำ ท่านล้มลงไป วันนั้นฉันได้ไปด้วยนะ อาจารย์เจิมไป ท่านล้มลงไปปรากฏว่าป่วย ป่วยตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ท่านบอกเลยว่าการป่วยคราวนี้ฉันตายแน่ เอาเข้ายังงั้น

    พอคณะลูกศิษย์ลูกหาในกรุงเทพฯ เขาทราบข่าวกัน เขาแห่โบสถ์กันมาใหญ่ ฉันจำใครไม่ได้นักหรอก เขาเป็นอะไรต่อเป็นอะไรกันเยอะแยะ จำได้คนที่รู้จักกันชัด คือ นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ พลเรือตรี พระยาศรยุทธเสนี แล้วก็พระยาประเสริฐ หลวงพินิจมาตรา แล้วก็หลวงพินิจโลหะกิจ แล้วใครต่อใครอีกไม่ทราบเยอะแยะเต็มไปหมด ฉันไม่รู้ว่าใครบ้าง ทุกคนเขาบอกว่าหลวงพ่อจะต้องไปรักษาที่กรุงเทพฯ

    ท่านก็บอกว่าฉันจะไปรักษาที่กรุงเทพฯ หรือฉันจะรักษาที่บ้านนอกนี่ฉันก็ตาย แต่ว่าทุกคนเขาคิดว่าหลวงพ่อพูดเล่น เขาจะเอาไปให้ได้ ท่านก็ยอมไป บอก เอ้า จะเอาไปก็เอาไป

    พอไปแล้วปรากฏว่าอยู่ประมาณสักกี่วันก็ไม่ทราบละ จำไม่ได้ ไปอยู่ที่บ้านหลวงประธานถ่องวิจัยนั่นแหละ ที่ตรงนั้นมันเหมาะ ท่านชอบใจ แล้วไม่ช้าก็กลับมาที่วัด มาถึงวัดก่อนหน้าวันตาย ๓ วัน คือว่าท่านตายวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ก็ถอยหลังไปซี ๑๔, ๑๓, ๑๒ คงจะมาถึงวันแรม ๑๒ ค่ำ

    เวลาท่านป่วย ท่านจะตายนี่ ท่านพูดจ้อ เวลาที่ไปอยู่บ้านหลวงประธานก็เหมือนกัน ตอนนี้ท่านลุกไม่ค่อยไหว ใครจะมาท่านก็คุยจ้อ ใครมาให้ท่านลงยา เอาหม้อยามาให้ ยาใบมะกากับข่า ยาใบมะกากับหญ้าแพรก มาถึงเขาบอก

    หลวงพ่อเจ้าคะ ลงหม้อยาอิฉันทีเจ้าค่ะ นี่เป็นผู้หญิง

    หลวงพ่อยิ้มบอกว่า อีหนูเอ๊ย หม้อมันเล็กนี่ พ่อจะลงไปยังไง

    นี่แสดงว่าท่านป่วยจนลุกไม่ค่อยขึ้นท่านยังพูดตลก พูดสนุก อารมณ์ของท่านไม่ได้เศร้าหมองเลย บรรดาลูกศิษย์นั่นแหละ ลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาสฟังข่าวท่านจะตายทีไร ก็รู้สึกว่าหน้าสลดไปตามๆ กัน แต่ว่าสำหรับฉันไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นนะ เพราะอะไร เพราะฉันรู้ว่าหลวงพ่อปานท่านตายจะไปไหน ฉันย่องๆ ไปดูบ้านท่านทุกวัน ไอ้ ๒ ลิงเหมือนกัน แล้วอาจารย์ฉัตรด้วย ท่านเก่ง หลวงพ่อเล็กด้วยอีกองค์ท่านเก่ง

    ท่านบอกว่าคราวนี้ท่านใหญ่ตายแน่ แต่ว่าท่านตายแล้ว ท่านสบาย สำคัญพวกเรานี่ซี พวกเราถ้ายังไม่ตายมันหาความสบายไม่ได้ ยังจะแย่กันไปอีกหลายวัน ท่านว่ายังงั้น ถ้าตายเสียได้อย่างท่านก็มีความสุข นี่ พระประเภทนี้เขามีอยู่เหมือนกันนะ

    แล้วในขณะที่มาถึงนั่นเอง ท่านมีคำสั่งบอกว่าลิงดำเอ๊ย พ่อมีความผิดอยู่นะ พรุ่งนี้จัดเครื่องบวงสรวงให้พ่อ ชุดใหญ่นะ ลิงดำช่วยจัดด้วยนะ

    เมื่อฉันได้รับคำสั่งแล้วก็ไปสั่งเขาซื้อหัวหมูมา ๓ หัว ไก่ ๑ ตัว ต้มเสร็จ จัดเครื่องสังเวยเสร็จ พอวันรุ่งขึ้นประมาณสัก ๓ โมงเศษๆ ๙ นาฬิกาเศษๆ ๓ โมงเช้าท่านบอกให้ตั้งพิธีบวงสรวง พอจัดของครบท่านก็เริ่มพิธีบวงสรวง

    ท่านบวงสรวงแล้วท่านบอกว่า เอ้า วันนี้ใครจะคุยอะไรกับฉันก็คุยนะ นับตั้งแต่หลังเที่ยงไปแล้วน่ะ ฉันจะไม่คุย ฉันจะไม่คุยละนะ นับตั้งแต่หลังเที่ยงไปแล้ว

    ใครเขาสงสัยอะไรเขาก็มาคุยกับท่าน ท่านก็คุยอย่างคนสบายๆ แต่ว่านอนคุย ไม่ได้ลุกขึ้นมานั่งคุย ลุกไม่ค่อยจะไหว รู้สึกว่าแรงท่านไม่มี ท่านคุยไป พอนาฬิกาตีเที่ยง ท่านมีคำสั่งบอก

    ลิงดำเอ๊ย นับตั้งแต่นี้ต่อไปนะ ใครเขามีธุระอะไรละเอ็งจดไว้นะ ใครเขาต้องการอะไรจากพ่อละก็จดไว้ พ่อจะพูดเป็นคราวๆ แต่ว่าอย่าให้ใครเขามากวนใจพ่อนะ วันนี้พ่อยังไม่ตาย พรุ่งนี้พ่อถึงจะตาย วันนี้ยังมีเวลาพูด แต่ว่าปล่อยให้พ่อได้สบายๆ บ้าง

    ฉันก็รับคำ พระทุกองค์ พระปีนั้นเอาพรรษากันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ มีพระมาประมาณสัก ๒๐๐ องค์ เขารู้ว่าท่านจะตาย ชาวบ้านน่ะหรือมาเท่าไหร่ ชาวบ้านที่มาน่ะ จะพูดให้ฟัง ฉันตั้งกระทะหุงข้าว ๘ กระทะ สั่งตาเชด กะตาเผือดเป็นพ่อครัวใหญ่ กับผู้ใหญ่ยง บอกให้ดูแลคนไปมาให้ดี ปรากฏว่าข้าว ๘ กระทะนี่ไม่ทันคนกิน ดูเถอะ ไม่ทันคนกินนะ อาหารประจำก็แกงคั่วส้มผักบุ้ง นี่พวกคนตำบลรางจรเข้ขนผักบุ้งเข้ามาเป็นลำๆ สำหรับหัวตาลต้มปลาร้านั่นไม่แน่ มีก็ใช้ไม่มีก็ไม่ใช้ กับแกงจืด ต้มจืดน่ะนะ นี่เป็นอาหารที่ฉันสั่ง มันทำง่าย แล้วก็ผสมกับน้ำปลากินสบายๆ ข้าวปลาอาหารกับข้าวกับปลาบริบูรณ์ ใครไปใครมาก็ขนกันมา คนเต็มวัด คนเต็มวัดจริงๆ นะ ลานวัดนี่เด็กเดินไม่ค่อยได้หรอก คนเต็มจริงๆ เขามาเรือกัน ต้องนอนเรือ เรือจอดเรียงเต็มแม่น้ำเลยเหนือวัดใต้ไปตั้งเยอะ
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...