หน้าที่ต่อบุพการี หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 10 มกราคม 2012.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เทศน์อบรมคณะลูกเสือชาวบ้าน ณ โรงเรียนบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘



    หน้าที่ต่อบุพการี



    วันนี้ได้มาพบกับท่านทั้งหลายที่ให้ชื่อสมมุติว่าลูกเสือชาวบ้าน ทั้งคณะอาจารย์และคณะลูกเสือเป็นจำนวนมาก ได้นัดกันมารวมในสถานที่นี้ เพื่อการฝึกหัดและการอบรมศีลธรรมนำไปบำเพ็ญประโยชน์แก่ส่วนรวม นี้นับว่าเป็นแขนงหนึ่งแห่ความสามัคคีเพื่อหลักใหญ่ คือประเทศชาติ อันเป็นสมบัติมีค่ามากของเราทุกคน ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการรักษาด้วยกัน การรักษาสมบัติอันมีค่าของตนๆ นั้น ต้องอาศัยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ด้วยเหตุผลใดที่จะเป็นความเจริญของประเทศชาติบ้านเมือง ให้ต่างคนต่างมีความเสียสละด้วยเหตุผลนั้น อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่เราแก่ท่าน อย่าเห็นแก่ความขี้เกียจอ่อนแอ อย่าเห็นแก่ความมักง่าย อย่าเห็นแก่ตัวมากกว่าคนทั้งชาติและสมบัติทั้งแผ่นดิน อย่าเห็นแก่ความขอไปที ดีเป็นของเรา ชั่วเป็นของคนอื่น หรือโยนให้เป็นของชาติไป นั่นมิใช่ความสามัคคี ไม่ใช่ความหวังพึ่งเป็นพึ่งตายต่อกัน


    อัน ความสามัคคีเพื่อส่วนรวมนั้น ตามหลักพุทธศาสนาท่านแสดงไว้มากมาย และถือเป็นหลักปฏิบัติเพื่อประโยชน์ส่วนรวมที่สำคัญอย่างยิ่ง เราพอมองเห็นได้อย่างชัดเจนภายในตัวเราเอง เช่นเวลาร่างกายเรามีความปรองดองสามัคคีกัน คือไม่เจ็บไข้ได้ป่วย อยู่ด้วยความผาสุกสบาย ธาตุขันธ์ทำงานเป็นปกติ ไม่เจ็บท้องปวดศีรษะหรือวิกลวิการในอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นความขัดข้องแก่ส่วนใหญ่แห่งร่างกาย เวลานั้นเราจะลุกเหินเดินไปทำหน้าที่การงานคิดอ่านอะไร ก็สะดวกปลอดโปร่งโล่งใจไปตามๆ กัน ทำอะไรก็สะดวกสบาย ไม่ขลุกขลักหนักกายลำบากใจ นี่เรียกว่าความพร้อมเพรียงสามัคคีในร่างกาย ไม่ว่างานหนักงานเบา เราสามารถทำได้ไม่เหลือบ่ากว่าแรง จนงานนั้นๆ สำเร็จลุล่วงไปได้ตามใจหมาย


    แต่ ถ้าขณะใดร่างกายเกิดการขัดข้องขึ้นมา ไม่มีความสามัคคีกัน เจ็บนั้นปวดนี้ออดๆ แอดๆ ขณะนั้น แม้จะเป็นส่วนมากน้อยเพียงไรก็ตาม ต้องแสดงถึงความขัดข้องตัดกำลังวังชา ตัดหน้าที่การงานของเราให้ลดลงไปโดยลำดับๆ สุดท้ายทำงานอะไรไม่ได้เพราะ ความสามัคคีแห่งร่างกายมันแตก มันร้าวราน เมื่อถึงขั้นรุนแรงไม่มีทางเยียวยาแก้ไขได้ก็เรียกว่าตาย หมดผลประโยชน์ที่จะพึงได้จากร่างกาย นี่เรียกว่าความแตกสามัคคีแห่งร่างกายซึ่งเป็นของไม่ดีเลย จึงควรเห็นโทษของความแตกสามัคคีทุกด้านที่จะยังประโยชน์ส่วนรวมให้สำเร็จ ฉะนั้น ความสามัคคีจึงเป็นยอดแห่งความปรารถนาของหมู่ชนที่อาศัยกันอยู่ จะพึงมีแก่ใจรักสงวนไว้เพื่อส่วนรวมเสมอไป


    พึง ระลึกอยู่เสมอว่า การขาดความสามัคคีก็คือการขาดกำลัง การแตกสามัคคีก็คือการแตกแยกกัน ซึ่งไม่ใช่ของดีทั้งมวล ความสามัคคีกันก็คือการรวมกำลังกัน อะไรก็ตามเมื่อยังรวมกันด้วยดีย่อมใช้ประโยชน์ได้ดี เมื่อเริ่มร้าวเริ่มแตก ประโยชน์ย่อมจะเริ่ม ลดลงตามๆ กัน เมื่อแตกแยกจากกันจริงๆ เช่นหม้อแตก ถ้วยแตก เป็นต้น ย่อมขาดประโยชน์ในการใช้สอยทันที ด้วยเหตุนี้ ความสามัคคีจึงมีพลังและคุณค่ามหาศาล ไม่มีอะไรจะมีกำลังเทียบเท่าได้ จึงขอได้โปรดตระหนักในความสามัคคีว่าเป็นรากฐานแห่งความมั่นคงทุกด้าน นับจากส่วนย่อยไปถึงส่วนใหญ่ มีความสามัคคีเป็นพลังยึดเหนี่ยวไว้ทั้งสิ้น ถ้าขาดความสามัคคีเพียงอย่างเดียว อะไรจะหนาแน่นเพียงใดย่อมสลายตัวลงได้อย่างไม่มีปัญหา จึงขอฝากธรรมสามัคคีไว้กับทุกท่านได้พากันเทิดทูรักษา อย่าให้เสื่อมคลายสลายไปได้


    ชะตา ของทุกสิ่งทุกอย่าง มีชาติไทยของเราเป็นต้น จะยืนนานไปได้ก็ด้วยความสามัคคีแห่งคนในชาติเป็นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด เพราะเรื่องใหญ่ก็ได้แก่คนของชาติจะเป็นผู้รักษาเทิดทูหรือทำลายมากกว่า จึงกรุณาระลึกข้อนี้ไว้ และช่วยกันเทิดทูชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยความจงรักภักดีและความสามัคคีเถิด ชื่อว่าพวกเรารักษามหาคุณของชาติไว้ด้วยดี


    สิ่ง ที่ผู้หวังความเจริญมั่นคงจะยึดเป็นหลักปฏิบัติต่อกันนั้น ได้แก่กฎหมายข้อบังคับ ขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรม นี่เป็นหลักที่จะทำความสงบสุขให้แก่ส่วนรวมทั้งส่วนย่อยส่วนใหญ่ ซึ่งต้องอาศัยหลักความถูกต้องดีงามเป็นเครื่องดำเนิน กฎหมายบ้านเมืองที่มีไว้ก็เพื่อรักษาหมู่ชนให้อยู่ด้วยความผาสุกร่มเย็น ไม่ให้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เป็นต้น บ้านใดเมืองใดก็ตาม ถ้าไม่มีขอบเขต ไม่มีกฎหมายเป็นข้อบังคับไม่มีขื่อมีแป ไม่มีขนบธรรมเนียมอันดีงามเป็นเครื่องประพฤติปฏิบัติ บ้านเมืองนั้นจะเป็นบ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรืองและสงบสุขไปไม่ได้ ตรงข้ามจะมีแต่ความเดือดร้อนระส่ำระสาย มีแต่การฉกลักปล้นจี้ฆ่าฟันรันแทงชิงดีชิงเด่นกัน เป็นงานประจำแผ่นดินถิ่นมนุษย์ บ้านเมืองกว้างแคบเพียงไร ย่อมจะกลายเป็นกองเพลิงเผาผลาญกันโดยถ่ายเดียว เพราะฉะนั้น มนุษย์ที่อยู่รวมกันจำต้องมีกฎข้อบังคับเป็นขื่อเป็นแป เพื่อเป็นหลักยึดและปฏิบัติตาม จะเว้นสิ่งดังกล่าวเสียมิได้


    มนุษย์ เราถ้าขาดศีลธรรมภายในใจแล้ว แม้จะมีกฎหมายบ้านเมืองอยู่ก็ตาม ย่อมมีทางก่อความเดือดร้อนแก่กันได้ เพราะกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ นั้นเพียงรักษาได้ในที่แจ้งเท่านั้น ไม่สามารสรักษาในที่ลับตา ได้ คนที่ไร้ศีลธรรมภายในใจไม่มียางอาย ย่อมมีทางทำชั่วแก่กันได้ ส่วนศีลธรรมนั้นไม่มีที่แจ้งและที่ลับ เพราะศีลธรรมเป็นเครื่องปกครองใจมนุษย์ ให้มีความละอายต่อความไม่ดีทั้งหลาย ในที่ทุกสถานตลอดกาลทุกเมื่อ นอกจากนั้นยังมีความเห็นอกเห็นใจ มีความรู้สึกชั่วดีระหว่างตนกับผู้อื่น มีการขยะแขยงต่อสิ่งลามกคือบาปกรรมต่างๆ ทั้งในที่แจ้งแลที่ลับ ไม่อาจทำลงได้ เพราะเห็นว่าสิ่งนั้นเมื่อทำลงไปแล้วย่อมเป็นความชั่วเสียหายได้เสมอไป ผู้มีศีลธรรมภายในใจจึงไม่กล้าทำความชั่วทั้งในที่แจ้และที่ลับ


    คนเราถ้ามีแต่หลักวิชาที่เรียนมาอันเป็นแบบโลกๆ ถ่ายเดียว เช่นเรียนรู้ศีลธรรมและเรียนรู้กฎหมายมามากจากตำรับตำราเพียงอย่างเดียว ไม่มีศีลธรรมคือหิริโอตตัปปะ เป็นต้น เข้าป้องกันหรือสนับสนุนอยู่บ้าง นักเรียนรู้ทั้งศีลธรรมและกฎหมายคนนั้นแลเป็นผู้ที่โกหกเก่งที่สุด เป็นผู้ที่มีเล่ห์เหลี่ยมหลายสันพันคมที่สุด ก่อความเดือดร้อนให้แก่คนหรือส่วนรวมได้มากที่สุด เพราะความรู้ที่เรียนมามากนั้นเป็นเครื่องมืออย่างดี ในการพลิกแพลงแต่งกลอุบายหลอกลวงแบบคว่ำกินหงายกิน ชนิดไม่มียางอายติดตัวเลย เรียกว่าเป็นผู้มีอาวุธคือเครื่องมือทำลายคนได้มาก เพราะความขาดศีลธรรมเครื่องเหนี่ยวรั้งยั้งตัวให้สำนึกในสิ่งชั่วดีทั้งหลาย ฉะนั้นความขาดศีลธรรมภายในใจจึงมิใช่ของดี ปราชญ์ท่านตำหนิแต่ไหนแต่ไรมา


    ศีลธรรมมีในผู้ใด จะเป็นคนมีความรู้มาก มีความรู้น้อย ก็น่ารักน่าสงสารน่าเคารพนับถือ น่ากราบไหว้บูชา น่าไว้อกไว้ใจเชื่อถือได้ ผิดกับคนที่มี ความรู้เป็นพิษภัยและเผาผลาญตนและผู้อื่นเป็นไหนๆ ดังนั้นหลักศีลธรรมจึงเป็นธรรมจำเป็นสำหรับหมู่ชนทุกชั้น ไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจเหยียดหยาม การขาดศีลธรรมจึงเท่ากับขาดคุณสมบัติในตัวมนุษย์เรา คนเราจะมีคุณค่าน่าเคารพนับถือ จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบดังที่โลกทั้งหลายสมมุติว่าสูงกว่าบรรดาสัตว์นั้น ก็ต้องอาศัยหลักความประพฤติคือศีลธรรมเป็นเครื่องประดับส่งเสริม หากไม่มีศีลธรรมดังกล่าวเป็นเครื่องดำเนินบ้างเลย แม้จะไม่มีหางเหมือนสุนัข แต่จะเรียกว่าหมาก็ไม่น่าจะผิด


    เพราะมนุษย์เรานี้ฉลาด มากกว่าสัตว์มีสุนัขเป็นต้น และสามารถทำความชั่วช้าลามกได้มากและกว้างขวางแทบไม่มีขอบเขตบริเวณ อาจทำความฉิบหายวายปวงให้โลกพินาศขาดสิ้นในวินาทีเดียวก็ได้ เพราะความฉลาดมีมาก เนื่องจากความไม่มีธรรมเป็นเครื่องปกครอง ไม่มีธรรมเป็นเบรกห้ามล้อ คือความดิ้นรนกวัดแกว่งที่ ผลักดันอยู่ภายใน จึงมักเป็นไปตามความชอบใจ สิ่งที่มีอยู่และผลักดันออกมานั้นได้แก่สิ่งต่ำทราม จึงชอบทำในสิ่งที่ต่ำ เช่น ชอบเบียดเบียนผู้อื่น ชอบในการกระทบกระเทือนผู้อื่น ชอบยกตัวให้เหนือเขาเพื่อความดังความเด่น ทั้งที่ไม่มีอะไรพอจะดังจะเด่นเป็นที่น่าชม ความรู้ความเข้าใจเหล่านี้เป็นของร้อน ตัวเองก็ร้อนเพราะความรู้ประเภทนี้ คนอื่นก็ร้อนและเบื่อหน่ายรำคาญสันดามนุษย์ผู้เป็นภัยแก่โลก


    ฉะนั้น ศาสนธรรมจึงเป็นธรรมจำเป็นสำหรับมนุษย์เราทุกชั้นทุกเพศทุกวัยจะเว้นเสียมิ ได้ เมื่อโลกยังต้องการความสงบสุขแก่ตนและส่วนรวมอยู่ เฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทยเราถือพุทธศาสนาเป็นหลักใจประจำชาติมานาน โดยบรรพบุรุษผู้ลาด แหลมคมในยุคนั้นๆ พานับถือและปฏิบัติมาจนถึงพวกเราผู้เป็นลูกเป็นหลานได้นับถือสืบทอดกันมา เนื่องจากพุทธศาสนาเป็นหลักธรรมที่ให้ความไว้วางใจแก่มนุษย์ ให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่หมู่ชนผู้ถือพระพุทธศาสนาอย่างประจักษ์ใจ ไม่อาจแยกจากกันได้สมกับพระศาสนาควรแก่มนุษย์ที่จะพึงปฏิบัติตามได้


    ที่เราทั้งหลายประกาศว่า มยํ ภนฺเต ติสรเณน สห เป็นต้นนั้น ก็คือความถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ คำว่าพุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สงฆํ สรฺณํ คจฺฉามิ นั้น หมายถึงองค์พระพุทธเจ้าหนึ่ง พระธรรมที่เป็นพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหนึ่ง พรสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้าและตามเสด็จพระพุทธเจ้า จนถึงความบริสุทธิ์เป็นสาวกอรหันต์หนึ่ง ที่เราทั้งหลายยึดถือเป็นสรณะฝากเป็นฝากตายถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ทั้งสามรัตนะนี้เป็นคุณธรรมอันเลิศประเสริฐสุดในโลก ไม่มีสมบัติใดประเสริฐยิ่งไปกว่า พูดถึงความอัศจรรย์แห่คุณธรรมเหล่านี้ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ยังสัตว์โลกให้ตายใจได้ด้วยคุณธรรมของพระองค์ทุกส่วนไม่มีที่ต้องติ


    พระธรรมเป็นธรรมที่บริสุทธิ์สุดส่วน ไม่มีสิ่งใดที่จะบริสุทธิ์ยิ่งกว่าธรรมของพระพุทธเจ้า เป็น นิยยานิกธรรม นำผู้ปฏิบัติให้ถึงแดนเกษมโดยลำดับ พระสงฆ์สาวกก็เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนบรรลุอรหัตธรรม จึงเป็นที่เชื่อถือและตายใจของพุทธศาสนิกชนเรื่อยมาจนถึงพวกเราที่พากัน นับถือและเคารพบูชาอยู่เวลานี้ การที่เรากล่าวอ้างถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่ฝากเป็นฝากตายของใจ จึงเป็นความถูกต้องดีงามอย่างยิ่ง


    สำหรับชาวพุทธเรา กรุณายึดหลักพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ไว้ภายใน ใจเถิด เวลาใจคะนองออกนอกลู่นอกทาง คิดจะทำความไม่ดีไม่งามต่างๆ ขึ้นมา จะได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ซึ่งสอนให้มีเมตตา สอนให้ทำแต่สิ่งดีงามต่อกัน การกระทำต่อสิ่งที่ขัดต่อคำสอนท่านอันเป็นความทุจริตต่างๆ เป็นสิ่งไม่ดีเลย เป็นความประมาทไม่เคารพครู ดังนี้จะเป็นเหตุให้ขยะแขยงหรือเกิดความละอายขึ้นภายในตัวที่เรียกว่า หิริโอตตัปปะ เพราะความเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อันเป็นองค์แห่งสรณะ


    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้นมีความไพเราะซาบซึ้งและนิ่มนวลภายในใจที่สุดสำหรับชาวพุธเรา เรื่องเมตตาก็คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อ่อนโยนด้วยเมตตานั่นแล ฉะนั้นคนมีเมตตาก็คือคนมีพระพุทธะ ธรรมะ สังฆะอยู่ในใจไปที่ไหนไม่เป็นภัยต่อผู้ใด ความเมตตาจึงเป็นสิ่งที่โลกทั้งหลายต้อง การไม่มีเวลาจืดจาง ธรรมแท้คือความนิ่มนวล ความอ่อนโยนซึ่งมีมาแต่กาลไหนๆ และมีอยู่ตลอดไป คนมีเมตตาเป็นคนชอบเฉลี่ยเผื่อแผ่ เป็นคนมีใจ กว้างขวางเอ็นดูเพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั่วไป มีการสงเคราะห์ช่วยเหลือต่างๆ ทั้งด้านวัตถุและอุบายแนะนำสั่งสอนต่างๆ มีความเสียสละเพื่อผู้อื่นได้รับความสุข มีความเห็นใจท่านใจเรา ไม่ดูถูกเหยียดหยาม มีความเมตตาเป็นพื้นฐานประจำสันดา


    คนเราเมื่อต่างมีเมตาธร รมภายในใจ ย่อมไม่ถือสูงถือต่ำ วางตนต่อกันได้อย่างสม่ำเสมอในคนทุกชั้นในสัตว์ทุกจำพวก โดยถือเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ถือว่าเป็นผู้มีคุณค่าแห่งความเป็นอยู่ด้วยกัน มนุษย์ไม่ว่าจะเกิดในบ้านในเมืองหรือเกิดในที่ไหนๆ ก็ตาม ย่อมถือว่าเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ และมีคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์เต็มภูมิด้วยกัน ความรู้ตัวว่าเป็นมนุษย์ย่อมมีเหมือนๆ กัน ความ เสมอภาคแห่งความเป็นมนุษย์จึงเหมือนกัน เมื่อทุกส่วนแห่งความเป็นมนุษย์มีสมบูรณ์ด้วยกัน การนึกดูถูกเหยียดหยามกันจึงไม่ควรแก่มนุษย์ จะกลายเป็นมนุษย์ที่รกรุงรังแก่สังคม เพราะธรรมคือความเสมอภาคไม่อำนวย


    กรุณาทำความเข้าใจไว้ว่า ความเสมอภาคแห่งธรรมหรือศาสนานั้น เกี่ยวกับเราผู้นับถือและปฏิบัติ ท่านจึงสอนให้เป็นมิตรสหายกัน ไม่ให้รังเกียจกัน ไม่ถือชาติชั้นวรรณะ ไม่ถือสูงถือต่ำ ไม่อวดดิบอวดดีว่าตนมีฐานะดี มีความรู้สูง ไม่ดูถูกเหยียดหยามว่าคนอื่นโง่ คนอื่นต่ำต้อยด้อยฐานะยศศักดิ์บริวาร ไม่มีความรู้ความฉลาด ไม่มีสมบัติ บริษัทบริวารเหมือนตน แต่คิดว่าเป็นเพื่อนสัตว์เพื่อนมนุษย์ที่ตกอยู่ในวงแห่งกรรมดีชั่วสุขทุกข์ เหมือนกัน เฉพาะมนุษย์เราแม้จะเกิดในชาติชั้นวรรณะใด สถานที่ใด ในบ้านในเมือง บ้านนอกบ้านนา บ้านป่าบ้านดงหรือที่ไหนๆ ก็ตาม ล้วนเกิดเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ด้วยกัน สัตว์เกิดในบ้านก็เป็นสัตว์โดยสมบูรณ์ของมัน


    คน เราจะเกิดอยู่ที่ไหนๆ ก็เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ เพราะพ่อแม่เราเป็นมนุษย์เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งคน จะเรียกว่าสัตว์ได้อย่างไร ก็ต้องเรียกมนุษย์เสมอกัน มนุษย์จึงมีคุณค่าเสมอกันในความเป็นมนุษย์ด้วยกัน และควรเคารพสิทธิและคุณค่าของกันและกัน ไม่ควรเบียดเบียนทำลายกัน อันเป็นการทำลายจิตใจและทรัพย์สมบัติของกันและกัน เพราะการทำลายจิตใจและทรัพย์สมบัติของกันและกันนั้นมิใช่เรื่องเล็กน้อยเลย เป็นเรื่องเจ็บแสบมากที่สุด


    คนที่ฆ่ากันทั้งในที่แจ้งและที่ลับได้ ก็เพราะทนความเจ็บแสบเคียดแค้นไม่ไหวนั่นเอง เมื่อทนไม่ไหวก็ต้องแสดงการตอบรับให้สาสมใจ โดยการเอาน้ำสกปรกชะล้างสถานที่สกปรกให้เพิ่มความ สกปรกยิ่งเข้าไปอีก ดังท่านว่า เวรย่อมไม่ระงับเพราะการก่อเวรตอบกัน นอกจากจะเป็นการส่งเสริมเวรให้ทวีรุนแรงยิ่งขึ้นถ่ายเดียว นี่แลเวรที่ก่อกันขึ้นด้วยการทำชั่วตอบกัน จึงไม่มีวันสิ้นสุดยุติลงได้ ถ้าต่างให้อภัยกัน อดกลั้นขันติต่อกัน ความโกรธแค้นต่างๆ ที่เกิดขึ้นชั่วขณะก็ย่อมดับลงเอง เพราะไม่มีเครื่องส่งเสริมให้กำเริบได้อีก เรื่องก็เลิกแล้วกันไป ทีท่านทีเราย่อมมีทางพลั้งเผลอได้ด้วยกัน เพราะเป็นมนุษย์ปุถุชนด้วยกัน เมื่อต่างให้อภัยกัน ต่างก็อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก สมกับมนุษย์เราเป็นสัตว์ขี้ขลาดหวาดกลัวยิ่งกว่าสัตว์บางชนิดซึ่งอยู่ลำพังตัวเดียวก็ได้ ส่วนมนุษย์เราอยู่คนเดียวไม่ได้ต้องวิ่งหาคนนั้นคนนี้เพื่อนฝูงยุ่งไปหมด


    การสร้างบ้านสร้างเมืองอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นกอ ก็เพราะความขี้ขลาดของคนเรานั่นเอง แต่ชอบอวดตัวว่าเก่งกล้าสามารถเสมอ ไม่เคยยอมตัวบ้างเลย เมื่ออยู่ด้วยกันก็ชอบทะเลาะกันแก่งแย่งกัน อวดดิบอวดดีต่อกัน ทั้งที่หาของดีในตัววันยังค่ำไม่เคยเจอ ทางที่ถูกควรมีความรักสงสารกัน เกรงอกเกรงใจกัน เคารพนับถือกัน รักษาน้ำใจกันดัง นั้นหลักศีลธรรมอันเป็นที่ยึดเหนี่ยวเกี่ยวเกาะทางจิตใจของมวลมนุษย์ จึงเป็นธรรมจำเป็นสำหรับมนุษย์ผู้ต้องการความร่มเย็นผาสุก ศีลธรรมแผ่ไปกว้างเพียงไร โลกย่อมมีความสงบสุขมากเพียงนั้น


    ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประกาศธรรมสอนสัตว์โลกก็ เพราะพระเมตตาสงสารนี่แลสะเทือนพระทัย ฉะนั้นความเมตตาจึงเป็นธรรมที่มีคุณค่ามากเหนือสิ่งใดๆ อะไรก็ตามที่มีความเมตตาสงสารนำหน้า จะเป็นความร่มเย็นแก่ผู้เกี่ยวข้องไม่มีประมาณ โลกเราถ้าขาดความเมตตาเสียอย่างเดียว ย่อมตัดญาติขาดมิตรกันได้ แม้ที่สุดพ่อแม่กับลูกก็เป็นอื่นไปได้อย่างไม่มีปัญหา โดยไม่ต้องพูดถึงส่วนอื่นผู้อื่นที่มีความเกี่ยวข้องกันเล็กน้อยเลย


    เวลา นี้เราทั้งหลายเข้ามาสมัครเป็นลูกเสือ รวมกันเป็นหมู่เป็นคณะเพื่อเป็นกำลังของชาติ กำลังหนึ่งๆ บวกกับกำลังหนึ่งๆ เข้าก็เป็นพลังมากไปเอง กำลังนี้แลเป็นเครื่องรักษาประเทศชาติให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ความเป็นเอกราชในแผ่นดินถิ่นอาศัย คือความเป็นเอกราชในการปกครองตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั้งชาติปรารถนากัน เพราะไม่อยู่ใต้อำนาจกดขี่บังคับของผู้ใด ต่างปกครองตัวเองโดยอิสระ คนเราเมื่อเป็นอิสระย่อมเป็นสุข


    ประเทศ ชาติเป็นสมบัติของเราทุกคนซึ่งจะต้องช่วยกันป้องกันรักษา และเป็นของใหญ่ เป็นสมบัติกองใหญ่ ทั่วทั้งแผ่นดิน ลำพังคนเดียวไม่อาจรักษาให้ปลอดภัยได้ จึงต้องอาศัยคนของชาติช่วยกันรักษาด้วยความสามัคคี อย่าให้แตกร้าวด้วยการยุแหย่ต่างๆ ซึ่งมักมีอยู่เสมอในที่ทั่วไป นี่เป็นศัตรูสำคัญที่จะพึงช่วยกันระมัดระวังให้มากเพื่อความมั่นคงของชาติ ศัตรูนี้เพียงเป็นลมปาก ปากกา แต่เป็นพิษร้ายแรงมาก สามารถทำให้โลกสะเทือนและแตกกระจายได้ ส่วนมากคนจะทะเลาะเบาะแว้งกัน หรือโลกจะเกิดสงครามกัน เจ้าสงครามปาก ปากกามักเข้าทำก่อน สิ่งอื่นๆ ถึงจะตามมาทำทีหลัง ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนที่รับผิดชอบในชาติอันเป็นสมบัติของตน ควรระวังไม่นิ่งนอนใจ คำว่าชาตินั้น ต่างคนต่างเป็นเจ้าของ เพราะต่างคนต่างก็เป็นสมบัติของชาติ จึงต่างคนต่างช่วยกันรักษาด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ดังที่เคยอธิบายมาแล้ว


    ขอ ย้ำเรื่องลมพิษ ลมศัตรูอีกครั้ง พอเห็นโทษของมัน คือคำพูดใดของผู้ใดก็ตามแม้จะเป็นเพียงลมปาก แต่เป็นสิ่งที่เหน็บแนมฝังลึกและยังสังคมให้เปลี่ยนแปลงได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะออกมาจากความรู้สึกผู้บงการ เป็นสิ่งที่ให้ร้ายได้ที่สุดก็คือคำพูด ให้ดีที่สุดก็คือคำพูด ต้องได้ระมัดระวังกันอย่างมาก เป็นสิ่งที่ให้โทษให้คุณมากที่สุดก็คือคำพูด ท่านจึงว่า ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ทั้งนี้ก็เพราะปากเป็นหนึ่งในการแสดงออกแก่ผู้อื่นและสังคมนั่นเอง


    การยุแหย่ก่อกวนทำลายต่างๆ ล้วนออกมาจากปากเป็นสำคัญ กล่อมให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหลก็เพราะปาก สอนคนให้เป็นคนดีจนถึงขั้นดีเยี่ยมก็เพราะปาก พูดได้ ทุกแง่มุมทั้งที่ทำไม่ได้ก็คือปาก หลอกคนให้ล่มจมฉิบหายก็คือปากเป็นตัวการสำคัญ พูดไม่เลือก กินไม่เลือก ก็คือปาก อาหารหวานคาวชนิดต่าง แทบไม่มีค้างโลกก็เพราะปากกินแบบไม่เลือก กินไม่หยุดไม่ถอย กินไม่เบื่อไม่รำคาญก็คือปาก ด่าเขาเก่งๆ ก็คือปาก อะไรๆ กว้านมากินจนหมดก็คือปาก


    ปากจึงเป็นราวกับยักษ์ตัวมีเล่ห์เหลี่ยมร้อยสันพันคมที่สุด แต่พวกเราก็ไม่สะดุดใจคิดเห็นภัยของปากกันบ้างพอได้สำราม เพียงลมปากผิวออกมาก็เชื่อกันแบบล้มระนาวหลับสนิท ไม่นึกเข็ดกันบ้างในสิ่งที่ปากทำพิษ ฉะนั้น ปากจึงมีอำนาจมาก สามารถกล่อมคนให้หลับทั้งเป็นได้ไม่เลือกหน้า จึงขอฝากท่านทั้งหลายไปพิจารณาซึ่งอาจเกิดประโยชน์แก่ตัวท่านเองและส่วนรวม


    การเรียนและการฝึกอบรมต่างๆ ก็เพื่อความเจริญของตัวและของชาติ ซึ่งเรา ทั้งหลายทราบกันดี เวลานี้เราเป็นลูกเสือของชาติเพื่อทำประโยชน์ให้บ้านเมือง จงพากันตั้งหน้าปฏิบัติกิจการนั้นๆ ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคี เพราะความสามัคคีเป็นยอดแห่งกำลังทั้งหลาย จึงกรุณาเห็นคุณค่าแห่งความสามัคคีว่า สามารถยังกิจการนั้นๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างใจหมาย อนึ่งบ้านเมืองจะตั้งอยู่ได้จีรัง ถาวรและสงบร่มเย็น ย่อมอาศัยคนของชาติเป็นผู้สงวนรักษา เป็นผู้มีขื่อมีแป มีขนบธรรมเนียม มีกฎข้อบังคับสำหรับชาติของตน ประพฤติตัวอยู่ในขอบเขตเหตุผลอรรถธรรมต่างๆ ไม่ดื้อดึงฝ่าฝืน ต่างคนจะมีความผาสุกร่มเย็น


    การ ทำลายล้างผลาญกัน การฉกลักปล้นจี้ การคดโกงรีดไถ การเอารัดเอาเปรียบกัน การหลอกลวงต้มตุ๋นเพื่อนมนุษย์ตาดำๆ ด้วยกันเหล่านี้ มิใช่เป็นของดีที่น่าชมเชย และมิใช่ทางแห่งความสงบเย็นของบ้านเมือง แต่เป็นการทำลายจิตใจและสมบัติของผู้อื่นให้เสียหายและเกิดความเคียดแค้น ขุ่นเคือง นั่นมิใช่ทางของผู้จะยังชาติให้เจริญ มิใช่ผู้รักชาติและญาติมิตรเพื่อนฝูงจะพึงสนใจทำ


    ทุกคนที่มานั่งอยู่ที่นี่ก็ดี เป็นเด็กก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี อย่าลืมว่าเราทุกคนต่างมีพ่อมีแม่เป็นแดนเกิด และเลี้ยงดูให้ความอุปการะมาด้วยดีแล้วด้วยกัน เราเกิดทีแรกไม่สามารถรู้สึกตัวว่าเราเป็นมนุษย์หรือเป็นอะไร ต้องอาศัยพ่อแม่เป็นผู้เลี้ยงดูรักษา และรักษามาแต่อยู่ในครรภ์ กระทั่งตกคลอดออกมาต้องอาศัยพ่อแม่พี่เลี้ยงประคับประคองเรื่อยมา พอเติบโตขึ้นสมควรจะได้รับการศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้ต่างพ่อแม่ก็ส่งเข้าเรียน เครื่องอุปกรณ์การเรียนต่างๆแต่ต้นจนอวสานจะหมดมากน้อยเพียงไร คือค่าเครื่องเขียน เครื่องเรียน ค่ากระดาษดินสอ ค่าเสื้อกางเกง เครื่องเรียน เครื่องเล่นต่างๆ ตลอดค่าเทอมนั้นๆและสิ่งจรมาไม่ชนะที่จะนับอ่านได้ เหล่านี้ล้วนเป็นภาระหน้าที่ของพ่อแม่จะต้องรับแบกหามทั้งมวล


    ตัว เราเองไม่มีอะไรติดตัว แม้ร่างกายชีวิตจิตใจความเป็นอยู่รอบด้าน ก็พ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดู เป็นผู้บำรุงรักษาให้ความเจริญเติบโตและปลอดภัย ตลอดความรู้วิชาแขนงต่างๆ ตัวเราเองไม่ปรากฏว่ามีอะไรจะพอนำมาอวดพ่อแม่พอได้ภูมิใจ นอกจากกินกับเล่นและร้องไห้ออดอ้อนเคี่ยวเข็ญกวนใจต่างๆ ตามความชอบใจเท่านั้น ไม่มีค่าอะไรเลย มีเพียงสักว่าเป็นคนกับโลกเขา


    เด็กๆ ในวัยนี้เป็นวัยที่ยุ่งกวนใจมากมาตลอด เวลา ร่างกายนั้นเล็กน่าเอ็นดูสงสารมาก แต่เรื่องก่อกวนวุ่นวายนั้นไม่ได้เล็กเหมือนร่างกาย มีแต่ใหญ่ๆ โตๆ กันทั้งนั้น จนมาถึงวัยนี้ซึ่งเป็นวัยที่เติบโตพอรู้เดียงสาภาวะบ้าง แต่ยังไม่วายที่จะต้องรบกวนพ่อแม่ด้วยสิ่งต่างๆ มีเครื่องแต่งตัวเป็นต้น แต่เป็นวัยที่ได้เล่าเรียนมาพอสมควรซึ่งเริ่มแต่ ก ไก่ ข ไข่ ขึ้นไปประถม มัธยม ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ก้าวขึ้นสูงขั้นปัญญาชน เพื่อให้สมเกียรติสมภูมิของปัญญาชน พวกเราจงอย่าพากันลืมบุญคุณของพ่อแม่ผู้เลี้ยงดูทะนุถนอมเรามาก่อนใครในโลก อย่าลืมครูลืมอาจารย์และท่านที่เคยมีอุปการคุณต่อเรามา จงระลึกถึงบุญคุณท่านอยู่เสมอ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในตัวในใจเราเวลานี้ ล้วมีพ่อมีแม่มีครูมีอาจารย์เป็นผู้เลี้ยงดู เป็นผู้อบรมสั่งสอน เป็นผู้บำรุงส่งเสริมมาก่อนทั้งสิ้น


    ผู้ใดเป็นคนอกตัญญู ไม่รู้บุญรู้คุณท่าน เห็นแก่ตัว เห็นแก่ปัจจุบันของตัวว่ามีความรู้ความฉลาดพอตัว ไม่ก้มหัวลงนอบน้อม ท่านผู้มีคุณแก่ตน ไม่คำนึงถึงท่านผู้มีพระคุณแก่ตน ผู้นั้นเป็นคนขวางโลกหาความเจริญมิได้ เหมือนต้นไม้ที่ตายยืนต้นปราศจากดอกผลและใบที่ให้ความร่มเย็นฉะนั้น กรุณาทุกท่านจดจำไว้อย่าให้เป็นบุคคลประเภทไม้ที่ตายยืนต้นดังที่กล่าวมา จะเป็นโมฆบุรุษโมฆสตรีไปตลอดวันตาย และเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจเกลียดชัง เอือมระอา ไม่ปรารถนาของเพื่อนมนุษย์ผู้ดีทั้งหลาย


    ขอย้ำอีกครั้งว่า เราทุกคนเกิดมาจากพ่อจากแม่ ได้รับความรู้วิชามาจากครูจากอาจารย์ เราอย่าลืมตัวถือว่าตนเก่งกล้าสามารถ บทเวลาพลาดท่าจะเสียคนคือเราซึ่งเป็นความเสียอย่างมากกว่าสิ่งอื่นๆยิ่งเวลานี้โลกกำลังเปลี่ยนแปลงวกวนสับสนกันมากจนแทบมองไม่ทัน เพราะความรู้วิปริตผิดธรรมดาไปต่าง ถ้าจะมีใครผู้ใดมาพูดว่า เวลานี้โลกกำลังเป็นบ้าดังนี้ก็ไม่น่าจะผิด ยังน่าชมเชยเสียด้วยว่า เขาพูดถูกกับความจริงที่กำลังเป็นอยู่ เพราะสิ่งไม่น่าจะเป็นไม่น่าจะเกิด มันก็เป็นมันก็เกิดขึ้นได้


    นับ แต่เกิดมาก็นานพอสมควร ยังไม่เคยพบเคยเห็นก็ได้พบได้เห็นเสียแล้วกับโลกปัจจุบัน เช่นเด็กๆ เป็นต้น เอะอะก็จับครูอาจารย์เข้าห้องขังเหมือนนักโทษบ้าง ฟ้องขับไล่ครูไล่อาจารย์ออกบ้าง ให้ยุ่งและแหลกเหลวไปหมด เที่ยวยุแหย่ก่อกวนสถานที่สงบให้ลุกเป็นไฟไปบ้าง เป็นต้น แรกๆ ที่ทำก็รู้สึกว่าดีมีเหตุผลน่าชม พอต่อมาก็เลยลืมตัวเห่อกันใหญ่จนลืมผู้ใหญ่ที่ดี ลืมครูลืมอาจารย์ ลืมพ่อลืมแม่ เมื่อขืนเป็นอย่างนี้อยู่ ต่อไปจึงน่ากลัวเด็กๆ เห่อๆ บ้าความรู้เหล่านี้จะจับพ่อจับแม่เข้าห้องขังนะนี่นะ โดยให้ข้อหาว่าพ่อแม่เป็นคนขวางโลกบ้าง คนครึล้าสมัยบ้างเป็นคนงกๆ งันๆ อายเพื่อนฝูงบ้าง


    เรื่อง เหล่านี้จะเป็นได้จริงถ้าไม่พากันรู้สึกตัวเสียแต่บัดนี้ แล้วแก้ไขเสีย อย่าทันให้เรื่องบัดสีโลกพินาศมันเกิดขึ้นเพราะหัวทันสมัยไฟปะลัยกัลป์เครื่องเผาโลก เพราะโลกเวลานี้กำลังหมุนตัวเข้าไปสู่...อะไรบอกไม่ถูก ความรู้ที่เรียนมาก็กลัวจะเป็นเครื่องมือของความโหดร้ายทารุณเป็นผู้ใช้เป็นผู้พาแสดงออก สุดท้ายความรู้ท่วมหัวจะเอาตัวไปไม่รอด จึงขอได้โปรดพิจารณาตรองเหตุรอง ผลด้วยความรอบคอบ เพราะประเทศชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งมีค่ามาก ไม่ควรทำอะไรด้วยการเห่อเหิมด้วยความสนุก ด้วยความอยากเด่นอยากดัง โดยเอาชาติเข้าเป็นเครื่องมือ เมื่อเสียไปแล้วจะไม่มีปัญญาเอากลับคืนได้


    ความถูกต้องดีงามที่สามารถระงับดับทุกข์เวร ภัยทั้งหลายได้นั้น ทางหลักพุทธศาสนาท่านสอนไว้โดยถูกต้องตายตัวอยู่แล้วว่า บุพการีของเราคือใคร คือพ่อแม่ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูเรามาแต่วันเกิดจนบัดนี้นั่นแล ในโลกมนุษย์เราไม่มีใครกล้าเสียสละ ไม่มีใครที่จะรักสงสารบุตร ธิดาสุดซึ้งยิ่งกว่าพ่อกับแม่ ท่านทั้งสองนี้เป็นบุคคลที่บุตรธิดาทั้งหลาย จะควรคิดระลึกถึงพระคุณเป็นอย่างมากกว่าใครๆ แต่มักไม่ค่อยสนใจคิดกัน


    ความไม่ค่อยคิดถึงบุคคลสำคัญ จึงเป็นเหตุให้เด็กๆ ลืมตัวเย่อยิ่ง จองหอง เวลาค่อยๆ เติบโตขึ้นมา เพราะลืมนึกในเวลาเป็นเด็กที่เคยสร้างอำนาจบาตรหลวงบนหัวพ่อแม่ คือลูกแต่ละคนล้วนเป็นเจ้าอำนาจทีเดียวละ ที่จะกดขี่บังคับพ่อแม่ให้ทำตามตามความชอบใจของตน ในทุกสิ่งที่ตนต้องการแม้สิ่งไม่ควร ยิ่งตัวเล็กๆ ยิ่งมีอำนาจมาก พ่อแม่ที่แสนอดแสนทนจนเป็นที่น่าสงสาร อุตส่าห์ทำตามใจลูกแทบทุกอย่างเพราะความรักความเอ็นดูสงสาร เห็นว่าเป็นเลือดเนื้อในหัวอกของตน ลูกว่าอย่างไรชี้ให้เป็นนกก็เป็นนกมา ชี้ให้เป็นกาก็เป็นกามา ทั้งที่พ่อแม่ไม่ได้เป็นนกเป็นกา ลูกชี้ให้เป็นอะไรก็จำต้องให้เป็นสิ่งนั้นมาจนได้ คือต้องวิ่งเต้นขวนขวายหามาให้ตามใจ ไม่งั้นเสียงเล็กๆ จะแผดก้องขึ้นมาในขณะนั้น


    ลูก คนหนึ่งๆ ล้วนเคยเป็นข้าหลวงใช้อำนาจต่อพ่อแม่มา เคยบังคับบัญชาพ่อแม่เอาตามชอบใจเรื่อยมา จนโตขึ้นบ้างค่อยลดอำนาจลงมาอยู่ในตำแหน่งอำนาจขั้นนายอำเภอ นายตำบคือ กำนัน ลดลงมาแค่ผู้ใหญ่บ้าน และเป็นเจ้าอำนาจใหญ่โตในครอบครัว ยิ่งลูกคนเล็กๆ นั่นแลยิ่งเป็นผู้ทรงอำนาจสิทธิ์ขาดแต่ผู้เดียวในครอบครัวบงการว่าอย่างไรต้องให้เป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ได้อย่างใจก็ร้องไห้ตาเป็นไฟไปเทียวละ พ่อแม่จำต้องวิ่งเต้นขวนขวายหามาให้ได้ดั่งใจ ลูกคน หนึ่งๆ ต้องเคยครองตำแหน่งข้าหลวง ตำแหน่งนายอำเภอ ตำแหน่งกำนัน ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านมาเป็นเวลาหลายปี กว่าจะลดตำแหน่งลงมาบ้างพอดูได้ แต่จะลดลงไปเป็นฐานะชาวบ้านธรรมดาระหว่างพ่อแม่กับลูกนั้นเป็นไม่ยอมเด็ดขาด จนวันตายจากกันระหว่างพ่อแม่กับลูก ต้องเป็นนายเหนือหัวพ่อแม่อยู่นั่นเอง เรื่องมันเป็นอย่างนี้


    แม้ ผู้เทศน์และท่านผู้ฟังทั้งหลายก็แน่ใจว่า ต้องเคยครองอำนาจหน้าที่เป็นผู้ว่าราชการครอบครัว นายอำเภอครอบครัว กำนันครอบครัว ผู้ใหญ่บ้านครอบครัวมาแล้ว นิสัยนั้นจึงติดมาด้วยการเอารัดเอาเปรียบพ่อแม่โดยไม่มีเจตนา เพราะหลักธรรมชาติระหว่างพ่อแม่กับลูกๆ หากผูกพันกันมาเอง ไม่ว่าที่ไหนๆ ย่อมมีลักษณะเช่นเดียวกัน


    เพื่อความถูกต้องเหมาะสมและดีงาม สมกับพ่อแม่เป็นผู้บังเกิดเกล้าและเคยมีพระคุณแก่ ลูกๆ ทั้งหลายมา ลูก ๆ อย่าถือสิทธิ์จนเกินไป อย่ากดขี่ข่มเหงพ่อแม่จนเกินไปแม้ไม่มีเจตนา เพราะผิดวิสัยของลูกๆ ที่อยู่ใต้ร่มเงาแห่งบุญคุณของท่านที่อุปการะมาก่อน การถืออำนาจเพราะอาศัยความเป็นลูกและความรักเมตตาของพ่อแม่ เป็นเครื่องมือเคี่ยวเข็ญดุด่าท่านตามความชอบใจแต่เล็กจนโตนั้น เป็นความผิดถนัดของลูกๆ ทั้งหลาย บางคนทะเลาะกับพ่อแม่ด้วยความเห่อเหิมลืมตัวก็มีไม่น้อย สาเหตุเพราะความทะเยอทะยาน


    เห็น เพื่อนเขามีอะไรอยากมีอยากได้และรบกวนพ่อแม่ด้วยวิธีต่างๆ โดยไม่คำนึงถึงฐานะของเขาของเราบ้างเลย อยากได้เงินเท่านั้น อยากได้สิ่งนี้เท่านี้ ยุ่งไปหมด พ่อแม่อกจะแตก เลี้ยงมาก็ยากพอแล้ว ยังเลี้ยงไม่รู้จักเติบโตสักที น่าเอือมจริงๆ กับลูกประเภทลอก ประเภทลาก ประเภทเลิกเหล่านี้ กรุณาทุกท่านฟังและนำไปพิจารณาด้วยดี เพราะการเลี้ยงคนเป็นภาระหนักมากกว่าเลี้ยงสัตว์ ใครยังไม่ทราบกองทุกข์อันใหญ่หลวง พอได้เลี้ยงลูกสักคนสองคนก็ทราบเอง


    การกล่าวทั้งนี้มิได้มุ่งจะติเตียนลูกๆ ทั้งหลาย แต่กล่าวตามความเป็นจริงที่เป็นมาทั่วโลกดินแดน แม้ผู้แสดงเองก็เคยโดดขึ้นนั่งถ่ายนอถ่ายบนหัวบนตักพ่อแม่มาแล้วอย่างชำนาไม่ มีใครหาญสู้ การกล่าวทั้งนี้ก็เพื่อบรรดาเราทั้งหลายที่เคยเป็นลูกของพ่อแม่มาแล้ว ได้สำนึกตัวกลัวบาปกันบ้าง ที่เคยเอาพ่อแม่เป็นบ๋อยกลางเรือนมานานจะไม่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่ชิงสุกก่อนห่ามไปเสียทุกอย่าง แม้ยังไม่ถึงกาลอันควรและมิใช่ฐานะที่จะทำ พ่อแม่ทั้งสองแม้จะยากจนข้นแค้นขนาดไหนก็พยายามตะเกียกตะกายเลี้ยงลูกมา อย่างสุดกำลังด้วยกัน


    บรรดา เราทั้งหลายที่มารวมกันเป็นจำนวนมากเวลานี้ ล้วนเคยเป็นเด็กที่พ่อแม่เลี้ยงดูแทบเป็นแทบตายมาด้วยกันทั้งสิ้น อย่าเข้าใจว่าเป็นเทพเจ้ามาจากสวรรค์วิมานโอปปาติกะ ที่ผุดเกิดขึ้นเองโดยปราศจากผู้ให้กำเนิดเลี้ยงดูเลย แต่เติบโตขึ้นมาด้วยความทุกข์ลำบากแทบเป็นแทบตายของท่านนั่นเอง กว่าจะปรากฏตัวเป็นผู้ใหญ่ เป็นนักเรียนนิสิตนักศึกษา เป็นอาจารย์ หรือเป็นอะไรๆ อยู่เวลานี้ พูดง่ายๆ ว่าพวกเราเติบโตขึ้นมาจากกองทุกข์ของพ่อแม่ ที่ยากแค้นแสนเข็ญและแสนอดแสนทนนั่นแล จะได้พ่อแม่เศรษฐีมีทรัพย์สมบัติ ราวน้ำมหาสมุทรทะเลมาจากไหน นอกจากจิตใจที่เต็มไปด้วยความรักความเอ็นดูยิ่งกว่าน้ำมหาสมุทรทะเลหลวง ไม่มีวันเวลาลดราเหือดแห้งเท่านั้น


    ลูก คนหนึ่งๆ ที่เกิดมานั้น ถ้าจะทำสถิติลงบัญชีจับจ่ายสำหรับลูกคนนั้นๆไว้ ต้องหมดไปอย่างมากมาย จะตกใจไม่อาจรวมบัญชีรายจ่ายได้ เพราะมากต่อมากไหลออกทุกทิศทุกทาง ไม่นิยมหน้าแล้งหน้าฝนแต่ต้นจนอวสาน แต่ไม่มีพ่อแม่คนใดกล้าลงบัญชีไว้ เนื่องจากสิ่งเหล่านั้นไม่มีคุณค่ายิ่งกว่าความรักความสงสารลูก ซึ่งเป็นเลือดเนื้อในหัวอกของตน ลองคิดดู พ่อแม่คนหนึ่งมีลูกกี่คนซึ่งจะต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อลูกนั้นๆกว่า จะเติบโตพอรู้เดียงสาภาวะเป็นผู้เป็นคนกับเขา พอให้พ่อแม่เบาใจบ้าง แถมลูกบางคนยังเลี้ยงไม่มีวันเติบโตอีกด้วย คอยกัดแทะพ่อแม่อยู่ตลอดไปจนตายไปด้วกัน


    เราท่านผู้เป็นลูกจึงควรอายตัวเองบ้าง อย่าถือว่าตัวฉลาดเกินพ่อแม่ครูอาจารย์ เสียเรื่อย พระคุณของท่านครอบกระหม่อมจอมขวัญพวกเรามาแต่เริ่มแรกเข้าสู่ครรภ์จนถึง ปัจจุบันนี้ ท่านจึงให้นามว่า พ่อแม่เป็นพรหมของบุตรทั้งหลาย คือรักก็รักด้วยความบริสุทธิ์ใจ เอ็นดูสงสารด้วยความบริสุทธิ์ใจ เสียสละเพื่อความอนุเคราะห์ทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจทั้งสิ้น ไม่มีกลมายาเคลือบแฝงอยู่เลย แม้ลูกๆ จะมีความเจริญรุ่งเรืองเพียงใด ความอาลัยสงสารของพ่อแม่ไม่เคยจืดจางไปเลย


    เพราะฉะนั้น ลูกคนใดที่มีความกตัญญู ต่อพ่อแม่ที่มีพระคุณแก่ตน จึงเป็นลูกที่ฉิบหายล่มจม ทั้งที่เข้าใจว่าตนเจริญอยู่นั่นแล ไม่มีทางเจริญรุ่งเรืองเช่นมนุษยธรรมทั้งหลายที่เป็นความชุ่มเย็น มีสมบัติเงินทองก็เท่ากับมีไฟเผาบ้าน เผาหัวใจอยู่ตลอดเวลา เพราะการทำลายแดนเกิด ผลต้องเป็นบาปอย่างหนักไม่มีใครช่วยได้ นี่เป็นหลักธรรมอันถูกต้องตายตัวมาดั้งเดิมที่ปราชญ์ท่านสอนไว้ ใครไม่อยากตกนรกทั้งเป็น จงรู้จักบุญคุณและเป็นบุตรกตัญญูกตเวทีต่อท่าน ย่อมจะเจริญรุ่งเรืองเยี่ยงมนุษย์พลเมืองดีทั้งหลาย


    ธรรมท่านสอนให้คนรู้จัก บุญคุณของท่านผู้มีคุณแก่ตน มีพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นต้น ใครที่เคยเลี้ยงดูเรามา ครูอาจารย์ใดที่เคยอบรมสั่งสอนเรามา เราควรเคารพนับถือท่านและช่วยเหลือท่านในเวลาจำเป็น ไม่ทำตัวแข็งกระด้าง ไม่ทะนงตน ไม่อวดตนว่ามีความรู้และานะ สูง ควรระลึกในพระคุณท่านอยู่เสมอ ในฐานะเราที่เป็นลูกและเป็นลูกศิษย์ท่าน ระหว่างพ่อแม่กับครูอาจารย์ เราต้องถือว่าเป็นใหญ่กว่าเราเสมอ เช่นเดียวกับภูเขาแม้จะสูงขนาดไหน ย่อมจะอยู่ต่ำกว่าฝ่าเท้าของคนที่เดินขึ้นภูเขาอยู่โดยดี มีดพร้าแม้จะคมกล้าเพียงไรย่อมปราศจากหินลับไปไม่ได้ ลูกศิษย์จะมีความรู้สูงส่งเพียงไร ก็ย่อมไปจากครูอาจารย์ประสิทธิ์ประสาให้ ฉะนั้น ท่านจึงสอนให้เคารพพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นพื้นฐานของมนุษย์ผู้ดีทั้งหลาย


    คน ดีที่โลกผู้ดีทั้งหลายชมเชย ย่อมเป็นผู้อ่อนโยนทางมรรยาท รู้จักสูงรู้จักต่ำ รู้จักความเป็นผู้ใหญ่ผู้น้อย รู้จักสัมมาคารวะซึ่งกันและกัน เพราะมนุษย์เราไม่เหมือนสัตว์ ย่อมถือความเคารพนับถือกันเป็นจารีตประเพณี เฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทยเรานับถือพระพุทธศาสนาและถือความเคารพเป็นสำคัญ เช่นพระแม้บวชในเวลาเดียวกัน แต่ก่อนกันเล็กน้อยก็ต้องเคารพกัน ถือผู้บวชก่อนเป็นอาวุโสคือแก่กว่า ผู้บวชทีหลังย่อมเป็น ภันเต คือ อ่อนกว่าและเคารพกันเป็นลำดับลำดาไม่ถือตัว จะออกมาจากตระกูลใดก็ต้องปฏิบัติตนตามหลักธรรมวินัย คือเคารพต่อผู้บวชก่อนเสมอ เว้นเฉพาะกรณีที่ควรเว้นเท่านั้น แต่จะขอผ่านไปไม่อธิบาย เวลาไม่พอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2012
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ปัจจุบันนี้สังคมกำลังวุ่นวาย ไม่ว่าที่ไหนยุ่งตามๆ กันไปหมดแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ปรากฏแต่สิ่งแสลงตาแทงใจให้ขุ่นมัว เด่นด้วยความเห็นแก่ตัว พวกพ้องของตัวเด่นด้วยความโลโภ โทโส โมโหเข้าชักจูงเป็นส่วนมาก ทั้งนี้เพราะจิตใจวุ่นวาย ขาดการอบรมในทางที่ถูกที่ควร ถึงได้พาคนให้เดือดร้อนวุ่นวายมาก แต่ใจคนร้อนไม่เหมือนใจของสัตว์ร้อน ฉะนั้นความกระทบกระเทือนจึงมีมาก หากใจได้รับการอบรมด้วยศีลด้วยธรรมบ้างพอประมาณ ย่อมจะเกิดความสงบสุขได้ไม่วุ่นวายนัก ที่เกิดความเดือดร้อนระส่ำระสายแทบจะหาที่ยับยั้งตั้งตัวไม่ได้ ก็เพราะจิตใจขาดการอบรมในทางที่ดีคืศีลธรรม


    เฉพาะเมืองไทยเราเป็นเมืองพระพุทธศาสนา ซึ่งควรจะได้รับการอบรมศีลธรรมพอประมาณ พ่อแม่ของเราก็เป็นคนวัด เป็นลูกศิษย์พระเรื่อยมาแต่ปู่ย่าตายายจนถึงปัจจุบัน เราเกิดมาก็เกิดจากพ่อแม่ซึ่งเป็นลูกของพระ เราควรจะได้เป็นลูกเป็นหลานพระบ้าง เข้าใกล้พระใกล้สงฆ์ศึกษาปฏิบัติศีลธรรมกันบ้าง พอเป็นน้ำเลี้ยงหัวใจที่แห้งผากจากธรรม มีแต่ความโลภโกรธหลงเข้าจับจองเต็มหัวใจ ใจจึงมักเป็นไฟประจำตนอยู่เสมอ การเหินห่างจากวัด จากศีลธรรม ไม่ใช่ของดี เพราะเป็นการลดคุณค่าของใจคุณค่าของตัว ให้ด้อยลงโดยลำดับ ส่วนโทษทัณฑ์นับวันทวีรุนแรงขึ้น เราและโลกก็นับวันจะร้อนเป็นไฟไปตามๆ กัน จนหาความสงบเย็นไม่เจอ


    ศีลธรรมเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมาก คนไม่สนใจกับศีลกับธรรม จิตใจย่อมไม่มีหลักยึด และเป็นไปอย่างเลื่อนลอยทั้งปัจจุบันและอนาคต คุณค่าของคนก็สักแต่ชื่อหาความจริงสาระไม่มีในตัวคน หากเรามาโดนเข้าเช่นนี้ใครจะคิดอย่างไรบ้าง เพราะใครๆ ไม่ปรารถนาความเคว้งคว้าง ไม่มีความหมายภายในตัว เมื่อเป็นเช่นนั้น ซึ่งใครไม่ปรารถนาอยู่แล้ว ก็ควรปฏิบัติรักษาตัวด้วยความดีงาม คือศีลธรรม เพื่อเป็นเครื่องค้ำประกันความมีคุณค่าสาระของตนเสียแต่บัดนี้ ซึ่งยังเป็นกาลอันควรอยู่ จะไม่เสียใจภายหลัง การขาดศีลธรรมภายในใจไม่เพียงอยู่เฉยๆ สบายๆ แต่จะเป็นการเพิ่มพูนความชั่วทั้งหลายให้มากมูนยิ่งขึ้นในเวลาเดียวกัน ผลแห่งความชั่วจะแสดงสิ่งไม่พึงปรารถนาขึ้นกับใจ และเหยียบย่ำทำลายใจให้เกิดความทุกข์ทรมานต่างๆ ที่ไม่คาดฝัน


    ศาสนธรรม คือเครื่องส่งเสริมหมู่ชนผู้นับถือและปฏิบัติ ให้เป็นคนดีมีหลักเกณฑ์ภายในตัว และหน้าที่การงานทุกแผนก ยังผู้ปฏิบัติตามให้มีความสงบเย็น มีเหตุมีผลต่อกิจการทั่วไป ไม่มีบทใดแง่ใดแสดงการกดถ่วงโลกให้ด้อยความเจริญดังที่มีปัญหาขัดแย้งกับธรรมอยู่เสมอมา การเข้าใจเช่นนั้นคือความไม่เข้าใจศาสนา ไม่เข้าใจธรรมอันแท้จริง จึงตำหนิติเตียนแบบผิดๆ ถูกๆ สุ่มๆ เดาๆ ซึ่งเป็นการทำลายตนมากกว่า การทำลายตนนั้นไม่จำเป็นต้องนำศาสนามาเป็นเครื่องมือก็ทำได้ถ้าสมัครใจอยากทำ เพราะศาสนามิได้เป็นเครื่องมือของการทำชั่ว แต่เป็นเครื่องมือในการทำดีเพื่อคนดีต่างหาก


    หลักของพุทธศาสนาเกิดจากท่านผู้วิเศษเหนือสามัญชนธรรมดา คือพระพุทธเจ้า เพราะคนทั้งหลายมีกิเลสเต็มตัว การมีกิเลสเต็มตัวจะว่ามีความชั่วเต็มใจก็ไม่น่าจะผิด แต่พระพุทธเจ้าไม่มีกิเลสภายในพระทัยคือใจ เป็นพระทัยที่บริสุทธิ์ การนำธรรมออกสั่งสอนโลกจึงนำออกด้วยความบริสุทธิ์ สอนด้วยความบริสุทธิ์และถูกต้องแม่นยำโดยมีพระเมตตาเป็นพื้นฐานในพระทัย จึงไม่มีคำพูดของผู้ใดที่จะถูกต้องแม่นยำยิ่งกว่าพระวาจาของพระพุทธเจ้า การสั่งสอนโลกก็สอนตรงต่อความจริงและถึงจุดที่หมายแต่ธรรมขั้นต้นจนถึงวิมุตติพระนิพพาน ศาสนธรรมจึงเป็นเครื่องส่งเสริมสัตว์โลกผู้ปฏิบัติตามให้ถึงความเจริญรุ่งเรืองโดยลำดับ ไม่มีการกีดขวางหรือทำลายศาสนา


    ฉะนั้น ศาสนธรรมจึงเป็นจุดรวมหัวใจของพุทธศาสนิกชน นับแต่พุทธกาลมาตลอดปัจจุบัน ไม่ยังผู้นับถือให้ผิดหวังทั้งเหตุและผลแต่ต้นจนอวสาน ไม่มีคำพูดใดของท่านผู้ใดจะทรงมัชฌิมาเสมอต้นเสมอปลายได้ ดังพระวาจาของพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนเวไนย ฉะนั้น พุทธบริษัทจึงตายใจในการนับถือและปฏิบัติตามตลอดมา


    กรุณาทุกท่านทำความเข้าใจระหว่างตนกับศาสนา คำว่าศาสนานั้นอยู่ที่ไหนกันแน่ ศาสนาอันแท้จริงคืออะไรและอยู่ที่ไหนเวลานี้ ใครจะเป็นผู้ทำลายศาสนาและฟื้นฟูศาสนา การทำลายศาสนานั้นทำลายที่ไหน และการเจริญของศาสนาจะเจริญกันที่ไหนจึงจะถูกตามจุดความจริง จะขอเรียนชี้แจงให้ท่านทั้งหลายทราบถึงการทำลาย และการเจริญศาสนา อันเป็นจุดความจริงทั้งสองอย่าง


    การทำลายและฟื้นฟูศาสนานั้น จะทำลายและฟื้นฟูที่ไหน ถ้าไม่ทำลายและฟื้นฟูที่ตัวเราเองอันเป็นที่สถิตของศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าผู้รู้จริงเห็นจริง ทรงสอนศาสนาลงที่ใจมนุษย์เรานี้เท่านั้น ที่มีอยู่ในคัมภีร์ใบลานก็เป็นเพียงตำราของศาสนาศาสนาอันแท้จริงอยู่กับตัวเราตัวท่านผู้นับถือและปฏิบัติต่างหาก ถ้าจะเทียบเพื่อหาความจริงกันแล้ว คัมภีร์ใบลานเป็นตำราศาสนาเช่นเดียวกับตำรายาที่ชี้บอกยาขนานต่างๆ ให้เอายาชนิดนั้นกับยาชนิดนั้นมาผสมกันแก้โรคประเภทนั้นๆ เป็นต้น ตัวยาแท้ต้องไปเอาที่อื่น ส่วนตำราเป็นแต่ชี้บอกเท่านั้น เพราะยาแท้ไม่มีในตำรา


    ศาสนาอันแท้จริงมิใช่ตำราและไม่อยู่ในตำรา แต่อยู่กับคนผู้นับถือและปฏิบัติศาสนา บรรดาคัมภีร์ใบลานที่จารึกธรรมนั้นท่านก็เรียกว่าศาสนา เรียกว่าพระธรรมเหมือนกัน โดยเป็นธรรมนอก ธรรมใน คือธรรมนอกตัว ธรรมในตัวเรา รวมทั้งสองท่านก็ว่าศาสนาเช่นกัน ท่านมิได้ประมาททั้งศาสนานอกและศาสนาในที่สถิตอยู่กับตัวเรา ท่านเคารพเสมอกัน เพราะก่อนจะรู้จะเข้าใจศาสนาภายในตัวโดยลำดับ จนรู้แจ้งแทงตลอดสัจธรรมภายในตัว ก็อาศัยคัมภีร์ใบลานชี้บอกแนวทางหรือวิธีปฏิบัติต่างๆไม่เช่นนั้นก็ปฏิบัติไม่ถูก


    ศาสนาอันแท้จริงนั้นอยู่ที่เราท่านผู้ปฏิบัติรักษา ฉะนั้น การทำลายศาสนาก็ชื่อว่าเราทำลายตัวเราเองเช่นกัน การปฏิบัติศาสนาให้เจริญก็ต้องปฏิบัติที่ตัวเราเองเช่นกันคือเจริญด้วยความประพฤติ ทางกายก็ทำให้ถูกต้องดีงาม สมกับเราเป็นพลเมืองดีของชาติ และเป็นพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้า ทางวาจาก็พูดให้มีเหตุผลมีต้นมีปลายมีจุดที่หมาย มีสาระสำคัญที่ควรยึดถือเป็นคติเตือนใจของผู้ฟัง พูดมีจุดมีหมาย ไม่พูดเลื่อนลอยหาความจริงสิ่งสาระไม่ได้ การพูดเป็นสำคัญ พูดให้เป็นก็ได้พูดให้ตายก็ได้ คือพูดเป็นสารประโยชน์ และพูดทำลายตัวและผู้อื่นให้เกิดความเสียหายไม่มีประมาณ ปากจึงเป็นต้นเหตุสำคัญในตัวตน เพราะแสดงออกง่ายกว่าทางกายและทางใจ


    ทางใจก็คิดอ่านด้วยความดีก่อนระบายออกมาทางกายทางวาจา ตลอดการกระทำกิจการต่างๆ ควรคิดอ่านคำนึงผลได้ผลเสียด้วยดีก่อนค่อยทำลงไป หากจะผิดพลาดบ้างก็สุดวิสัย ยังดีกว่าที่ไม่คิดใคร่ครวญเสียเลย การคิดอ่านด้วยดีแล้ว ถ้าเห็นไม่สมควรก็งดทันทีไม่ฝ่าฝืน จะเคยต่อนิสัย ต่อไปจะเป็นคนปลอกแตกแหวกแนวหักห้ามไม่อยู่ ส่วนมากที่เสียไปเพราะทำตามใจชอบ ไม่มีเหตุผลเป็นเครื่องทดสอบใคร่ครวญทำไปๆ จึงเสียไปวันละเล็กละน้อย สุดท้ายกลายเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าภูเขา การทำลายศาสนาก็คือการทำลายตนด้วยความประพฤติ ความรู้ความเห็นที่ไม่ดีนั่นแล นอกจากนั้นยังเสี้ยมสอนคนอื่นให้ทำไม่ดีเหมือนตนด้วย ที่เรียกว่าทำลายตนด้วย ทำลายผู้อื่นด้วย


    การที่ท่านสอนให้คนประพฤติดีปฏิบัติชอบ ก็เพื่อให้คนมีความสุขสงบร่มเย็นนั่นเอง ทั้งนี้เพราะความผิดก็อยู่ที่คน ความถูกก็อยู่ที่คน ความเป็นสุขและรุ่มร้อนอันเป็นตัวผลจึงอยู่ที่คน ศาสนาจึงสอนลงที่มวลมนุษย์ การทำลายศาสนาจึงเป็นการทำลายมวลมนุษย์โดยตรง การปฏิบัติศาสนาจึงเป็นการส่งเสริมตนให้เป็นสุขและเจริญรุ่งเรืองด้วยวัฒนธรรม ถ้าต่างคนสนใจปฏิบัติตามหลักธรรมโดยทั่วกัน โลกจะเป็นโลกที่ร่มเย็นผาสุกและน่าอยู่กว่าที่เป็นอยู่มากมาย เพราะความผาสุกร่มเย็นทั้งส่วนย่อยและส่วนใหญ่ ขึ้นอยู่กับศีลธรรมทางใจและวัฒนธรรมทางความประพฤติ มากกว่าด้านวัตถุที่กระสันดิ้นรนจนเลยขอบเขต ซึ่งผลมักเป็นความทุกข์เดือดร้อน ไม่ค่อยเจอความสุขสมหวังกับสิ่งทีปรารถนาต้องการ

    อันวัตถุต่างๆ นั้นพอหาได้ไม่ขาดแคลน ใครขยันหามากก็ได้มาก จนกลายเป็นเครื่องส่งเสริมให้ไม่รู้จักเมืองพอดีพอมีความสุขเย็นใจบ้าง แต่ศีลธรรมภายในใจนั้นรู้สึกขาดแคลนมากเวลานี้จนน่าวิตก ถ้ายังจะขาดมากกว่าที่เป็นอยู่เวลานี้ และจิตใจเหือดแห้งจากศีลธรรมมากเข้า โลกจะทนทรงตัวสงบสุขอยู่ได้อย่างไร น่าจะแสดงออกเพื่อเอาตัวรอดทางใดทางหนึ่ง แต่ทางออกนั้นๆ กลัวจะเป็นทางช่วยเสริมทุกข์ให้กำเริบรุนแรงยิ่งขึ้นจนแก้ไม่ไหว ตามหลักความจริงแล้ว ศีลธรรมเท่านั้นจะเป็นเกาะเป็นที่ยึดของจิต เป็นที่ร่มเย็นของโลกไม่มีสิ่งใดยิ่งไปกว่า จึงขอฝากศีลธรรม วัฒนธรรมของชาติไทยเราไว้กับท่านทั้งหลาย เพื่อไปนำไปปฏิบัติด้วยความรักสงวนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กฎหมายเครื่องปกครอง อันเป็นสมบัติล้ำค่าของเราแต่ละคน


    ชาติตั้งอยู่ได้ คนไทยก็พลอยอยู่ได้ด้วยอิสรเสรี หากชาติล่มจม พวกเราก็พลอยล่มจมไปด้วยแม้ยังไม่ตาย เพราะขาดหลักประกันเป็นอิสระ เราเกิดจากพ่อแม่ มีพ่อแม่เป็นผู้ปกครองให้ความร่มเย็นผาสุก ชาติไทยเราก็เกิดจากความมีพระมหากษัตริย์สืบทอดกันมา แต่เริ่มแรกตั้งเป็นชาติไทยเป็นเมืองไทยขึ้นมา จึงกรุณาพร้อมใจกันสงวนรักษาและเทิดทูนมหาสมบัติเหล่านี้ไว้ ด้วยความสามัคคี รักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์ รักรัฐธรรมนูญและรักขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของชาติ และรักษาไว้อย่าให้อันตรธานฉิบหายไปเสีย ทั้งที่คนไทยผู้เป็นเจ้าของยังอยู่ เหล่านี้คือหัวใจของชาติไทยเราที่ทุกคนพึงทะนุถนอมจนหัวใจขาดดิ้น กิจใดการใดก็ตามที่จะทำลายคนหมู่มากให้เดือดร้อนเสียหาย พึงระวังกิจการนั้นๆ อย่าเสาะ อย่าแสวง อย่าเรียน อย่าทำเพราะเป็นการทำลายสมบัติอันใหญ่หลวงให้ล่มจมฉิบหาย


    ไม่มีใครจะรักเราและพึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ยิ่งกว่าคนในชาติจะพึ่งกัน แม้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ความเกี่ยวโยงกันนั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า เราคือชาติไทยด้วยกันทั้งเด็กผู้ใหญ่ ทั้งหญิงและชาย เฒ่าแก่ปานกลาง รวมสมบัติทั้งประเทศเป็นของคนไทยทั้งชาติ จึงกรุณารักเนื้อหนังอวัยวะคือชาติของตนยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ความรักกันความสามัคคีกันเท่านั้น ที่จะเป็นพลังรักษาชาติให้มั่นคงจีรังถาวรสืบไปตลอดกาล อย่าหลงกลหลอกลวงต่างๆ ยิ่งกว่าความรักชาติ รักความสามัคคีในชาติของตน นี่เป็นหลักประกันความอยู่รอดของชาติเรา ศีรษะของคนของชาติเป็นสิ่งที่สูงส่งและมีคุณค่ามากระวังอย่าให้คนฉลาดยื่นไม้ยัดใส่มือตีหัวกันและกัน ซึ่งเท่ากับตีหัวเราเองที่ควรระวังอย่างยิ่งกว่าสิ่งใด


    ในอวสานแห่งการอบรมนี้ หวังใจว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายพอประมาณ ขอความสามัคคีแห่งชาติจงเป็นพลังภายในใจของทุกท่าน จงพากันปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงสืบไป ด้วยความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ เป็นแรงดันให้เกิดความขยันหมั่นเพียรในหน้าที่การงานทุกด้าน ที่จะเป็นประโยชน์ตนและสังคมที่เราอาศัย ให้มีความจีรังยั่งยืนสืบไปตลอดกาล สุดท้ายแห่งการแสดงธรรม ขอความสวัสดิมงคล จงดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายประสบแต่ความสุขความเจริญโดยทั่วกัน เทอญฯ


    คัดลอกจาก http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1959&CatID=2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...