หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๑๕ ศีลและกรรมบถ ๑๐ ข้อที่ ๓

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 10 กรกฎาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๑๕ ศีลและกรรมบถ ๑๐ ข้อที่ ๓
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ 15
    ตอนที่ 15 นี้จะพูดกันถึงเรื่อง ศีลและกรรมบถ 10 ข้อที่ 3

    สำหรับศีลและกรรมบถ 10 ข้อที่ 3 นี่
    คือ ศีลก็เหมือนกับกรรมบถ 10 กรรมบถ 10 ก็เหมือนศีล
    นั่นก็หมายความว่า เป็นข้อที่กล่าวถึง "กาเมสุมิจฉาจาร"
    แต่สำรับศีลข้อนี้จะเป็นอย่างไรก็ขอเว้นไว้ก่อน
    บรรดาท่านพุทธบริษัท ตอนนี้ก็มาขอเตือนกัน

    เพราะว่ารายการนี้เป็นรายการ "หนีนรก" หรือว่า "หนีบาป"
    บาป คือ ความชั่ว ผลของความชั่วทำให้ตกนรกเป็นต้น
    การหนีบาปนี่ก็ย้ำกันไว้ตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระทศพล
    คือ บาปทั้งหมดเราหนีไม่ได้ หนีแต่บาปหยาบๆ
    แต่ว่าทำได้ ทุกชาติที่เกิดไปใหม่
    ตายจากชาตินี้แล้วหรือเกิดชาติต่อๆ ไป แล้วตายใหม่
    กรรมที่ว่าต้องลงนรก เป็นต้น จะไม่มีสำหรับพวกเราทั้งหมด
    องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงยืนยัน

    การหนีนรกก็คือ หนึ่ง อย่าประมาทในชีวิต
    มีความรู้สึกตามความจริงว่า ชีวิตนี้มันต้องตาย
    แล้วก็จงอย่าประมาทความตายของเรา
    ถ้าเรายังไม่แก่ ยังไม่ตาย อันนี้ไม่ถูกต้อง
    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า คนที่เกิดมาทีหลังเรา ตายไปก่อนเราตั้งเยอะ
    ฉะนั้นความตายจะเข้ามาถึงเราเมื่อไรก็ไม่แน่
    ท่านให้คิดว่า ความตายอาจจะถึงเราวันนี้ไว้เสมอ
    ถ้าคิดอย่างนี้ก็จะสร้างแต่ความดี
    เมื่อสร้างแต่ความดี สิ่งที่พึงได้ก็คือ ความสุขในปัจจุบันและสัมปรายภพ
    ความดีที่พึงปฏิบัติ อันดับต้น ก็คือ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า
    พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เป็นเกราะป้องกันตนไม่ให้ลงอบายภูมิ
    แล้วต่อไป ก็ทรงศีล 5 ให้บริสุทธิ์
    ถ้ามีกำลังใจดีขึ้น ก็ทรงกรรมบถ 10 ให้บริสุทธิ์
    เพียงเท่านี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    คำว่า ต้องเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน
    จะไม่มีกับท่านอีก บาปอกุศลกรรมต่างๆ ที่ทำมาแล้วทั้งหมด
    จะไม่มีผลทำให้ท่านปรากฏว่า ต้องลงอบายภูมิ
    นี่ก็หมายความว่า บาปตามท่านไม่ทันต่อไป
    การเกิดของพวกท่านทั้งหมดจะมี มนุษย์ เทวดา กับพรหม
    แล้วต่อไปถ้ากำลังบารมีเข้มข้นก็จะถึงนิพพานในที่สุด
    ต่อไปนี้จะขอพูดเรื่องศีลข้อที่ 3

    สำหรับศีลข้อที่ 3 นี้ กล่าวว่า "กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี"
    ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ให้งดเว้นในการบริโภคกามคุณ
    นอกเหนือจากสามีและภรรยาของตนเอง
    เราจะไม่ไปยุ่งกับสามีหรือภรรยาของบุคคลอื่นเป็นอันขาด
    สำหรับศีลข้อนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทถ้าท่านทำได้ ศีลก็ดี ธรรมะก็ดี
    ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส
    ไม่ใช่หวังผลเฉพาะชาติหน้าอย่างเดียว
    ทั้งศีลและธรรม ถ้าปฏิบัติได้จะมีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    นั่นก็หมายความว่า จะมีผลตั้งแต่เริ่มปฏิบัติในวันแรก
    จิตใจเริ่มเป็นสุขว่า เรามีโอกาสเว้นความชั่วได้ข้อหนึ่ง

    สำหรับข้อ "กาเม" นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท
    ถ้าจะว่ากันถึงโทษในอบายภูมิจะว่า หนักก็ไม่หนัก จะว่าเบาก็ไม่ได้
    แต่ความจริงยังตกนรกขั้นเบา เฉพาะข้อนี้นะ ถ้าไม่มีข้ออื่นเจือปน
    ตกนรกแค่ "สิมพลีนรก" เขาเรียก "นรกต้นงิ้ว" ไม่หนักนัก
    แต่ทว่าโทษในชาติปัจจุบันนี่
    บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าไปยุ่งกับภรรยาหรือสามีของคนอื่น
    มีโทษถึง ประหารชีวิต

    ถ้าบรรดาท่านทั้งหลายผู้รับฟังจะถามว่า เอากฎหมายที่ไหนมาอ้างกัน
    มีโทษเป็นชู้กับสามีภรรยาของบุคคลอื่นมีโทษประหารชีวิต
    เห็นจะเป็นกฎหมายของวัดท่าซุงกระมัง มันอาจจะสงสัยอย่างนี้ได้
    บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท แต่ความจริงกฎหมายของวัดท่าซุง
    ไม่ปรับโทษเลย ไม่ว่าใครทำละเมิดสิกขาบทของศีล หรือกรรมบถ 10
    ข้อใดข้อหนึ่งก็ตาม วัดท่าซุงนี่ไม่ปรับโทษใครทั้งหมด เพราะอะไร?
    เพราะไม่มีกฎหมายจะปรับ มีแต่ธรรมมะและวินัย

    ทีนี้อาตมากล่าวว่า มีโทษถึงประหารชีวิตน่ะ
    เป็นกันมาแล้วก็เป็นอันว่า เจ้าของเขา สามีก็ดี หรือภรรยาก็ดี
    ผู้เป็นเจ้าของสามีและภรรยาที่ท่านเข้าไปละเมิด
    เขามีความโกรธท่านผู้ละเมิดมีโทษถึงประหารชีวิต
    คือ ถูกฆ่าตายมานับรายไม่ถ้วน
    ถ้าจะพูดถึงกฎหมายของบ้านเมือง ท่านเขียนว่าอย่างไรอาตมาไม่ทราบ
    ท่านผู้พิพากษา ท่านตัดสินว่าอย่างไร อาตมาก็ไม่ทราบ
    แต่ว่าเจ้าของเขาตัดสินนี่หนักมาก บรรดาท่านพุทธบริษัท

    และประการที่ 2 ถ้าเราเป็นคนเจ้าชู้แบบนั้น เขายังจับไม่ได้
    ใจเราก็ไม่มีความสุข พอเจอะสามีหรือภรรยาของเขาเมื่อไร
    จิตใจก็เริ่มไม่สบายใจ ถ้าเขาพูดเรื่องอย่างนี้ปรารภถึงเรื่องคนอื่น
    เราก็อดสะดุ้งไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร?
    เพราะเราเป็นคนผิด คิดชั่ว แล้วก็ทำชั่ว
    ต้องพยายามเอาตัวออกห่างไว้เสมอ
    ถ้าจะว่ากันตามประสาพระ บรรดาท่านพุทธบริษัท มันก็หนักไม่มาก
    สำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัท ภาษาพระก็ถือว่า
    การร่วมรักในด้านกามารมณ์
    ไม่มีจุดหมายปลายทางแห่งความเป็นสุขเลย
    มีแต่เรื่องเป็นทุกข์ทั้งหมด
    สิ่งที่ท่านเห็นว่าดีก็คือ ร่างกาย มันก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก
    แล้วในที่สุดรูปโฉมโนมพรรณที่ผ่องใสก็เหี่ยวแห้งลงไปทุกวันๆ
    ในที่สุดความแก่เข้ามาถึง ความต้องการที่เราวาดไว้มันก็สลายตัว
    ดอกไม้เหี่ยวไม่มีใครต้องการ
    ข้อนี้ฉันใด ร่างกายของคนก็เหมือนกัน
    ถ้าเวลาล้ากาลล้าสมัย บุคคลต้องการก็ไม่มี
    เราที่ตะเกียกตะกายเสี่ยงชีวิต ถ้าเจ้าของเขายังจับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
    ถ้าจับได้ยอมตาย ทั้งๆ ที่เขาจับไม่ได้ เราก็หมดอาลัยในร่างกายนั้นแล้ว
    ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะสิ่งสดใสที่ต้องการไว้ที่ปรารถนาไว้
    มันเศร้าหมองลงไป

    ถ้าพูดตามภาษาพระ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท
    มันก็ขัดคอชาวบ้านเพราะว่า ท่านทั้งหลายที่มีความต้องการอยู่
    ยังเห็นว่าดี แต่ขอให้ดีแบบประเภทแบบปลอดภัย
    อย่าเสี่ยงอันตรายเกินไป เพราะสิ่งที่ได้มามีการสัมผัสนิดหน่อย
    แล้วก็จากกันไป ความอิ่มเอิบทางกาย มันก็ไม่มี
    จะมีบ้างก็ความอิ่มเอิบทางจิตใจ ก็ไม่มากมายอะไรนัก
    ไม่ช้าไม่นานเท่าไร ก็เกิดการเบื่อหน่าย
    ความจริงเรื่องของการเสพกามารมณ์
    ในสามีและภรรยาของบุคคลอื่น ไม่มีอารมณ์อันเป็นสุข
    มันจะเป็นสุขชั่วขณะจิตเดียว หลังจากนั้นแล้วเกรงเขาจะจับได้
    ฉะนั้น ถ้ามีอารมณ์ใจประเภทนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท
    ถ้าบุคคลอื่นใดเขารู้นิสัยใจคอของเรา รู้จริยาที่เราทำเข้าเมื่อไร
    เมื่อนั้นแหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    เราเองก็จะเป็นที่รังเกียจของบุคคลทั้งหลาย
    ไม่มีใครเขาปรารถนาอยากจะคบหาสมาคมด้วย
    ทั้งนี้เพราะอะไร? ก็เพราะว่าไว้ใจไม่ได้ ให้เป็นเพื่อนบ้านไม่ได้
    พยายามตีท้ายครัวอยู่เสมอ
    แล้วสิ่งที่จะมาถึงข้างหน้าก็คือ ศักดิ์ศรีทรามไป
    ความตายจะเข้ามาถึง นี่ว่า โทษกรรมในชาติปัจจุบัน

    สำหรับในชาติสัมปรายภพ อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีความสงสัยว่า
    การตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด? อาตมาขอยืนยันอีกครั้งหนึ่ง
    ตามคำยืนยันขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
    ตายแล้วเกิดจริง นรกมีจริง เปรต อสูรกายมีจริง
    สัตว์เดรัจฉานไม่ต้องพูดกัน เห็นกันอยู่แล้ว
    สวรรค์หรือพรหมโลกมีจริง พระนิพพานก็มีจริง
    ถ้าอยากจะถามว่า ที่พูดอย่างนี้พูดตามตำราใช่ไหม?
    ก็ต้องขอยอมรับว่า พูดตามตำราจริงและก็ได้ปฏิบัติตามตำราจริง
    แล้วก็เห็นจริงพบจริงตามตำรานั้น

    ก่อนจะได้อ่านตำรา สมัยเป็นเด็ก ตายครั้งแรก ก็สามารถไปนรก
    ได้แบบสบายๆ ต้องการเห็นสวรรค์ ต้องการเห็นพรหมโลก
    ก็เห็นได้หมด คนที่ทำความดีเสวยผลความดีแบบไหน
    เห็นมาแล้วตั้งแต่อายุ 10 ปีเศษ
    คนที่ทำความชั่วตกนรกขุมไหน มีทุกข์มีโทษเป็นประการใด
    มีทุกขเวทนาขนาดไหน เห็นมาแล้วตั้งแต่อายุ 10 ปีเศษ
    จึงกล้ายืนยันตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์
    แล้วก็ในชาติปัจจุบันนี้ คนในประเทศไทยนับแสน
    เขาสามารถท่องเที่ยวไปในแดนต่างๆ ได้
    และคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ ฝรั่งที่อยู่ต่างประเทศแม้แต่พม่าและจีน
    เขาก็สามารถไปกันได้ คนไทยที่อวดตัวว่า
    นับถือพระพุทธศาสนาบางส่วน
    ยังจะสงสัยอยู่อีกก็แปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมจึงได้เป็นอย่างนั้น

    ถ้าพูดถึงว่าการปฏิบัติอย่างนี้มีคนสงสัย ถ้าคนธรรมดาสงสัยไม่เป็นไร
    คนผิดธรรมดาสงสัยว่า ทำไมมาปฏิบัติกันแบบไหน
    ไม่เห็นมีแบบฉบับที่ไหน เป็นการกระทำนอกเหนือพระพุทธศาสนา
    เคยได้ยินมาบ่อยๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ขอตอบเสียในที่นี้เลย
    เพราะว่าเทปอันนี้จะยืนยัน เป็นการทรงตัวอยู่ไม่ลบละ
    จะพูดกันที่วัดท่าซุงทุกวันว่า การปฏิบัติในพระพุทธศาสนานั่นน่ะ
    ได้โปรดอย่างมเฉพาะเข็มเล่มเดียว หรือจะมองดูเฉพาะหนังสือจุดเดียว
    แต่ความจริงศึกษากันมาแล้วน่ะ
    ในหลักสูตรนักธรรมโทก็มีสุกขวิปัสสโก เตวิชโช
    ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต อย่างนี้ศึกษากันมาแล้ว
    แล้วทำไมไม่ลองทำบ้าง
    การเรียนตำราทำกับข้าว หรือทำขนม อ่านเฉพาะตำรา
    แล้วก็ทิ้งไปไม่สนใจและไม่ลองปฏิบัติทั้ง 4 ประการ
    แล้วท่านจะรู้กันได้อย่างไร จะเห็นกันได้ยังไง
    รวมความว่า เป็นการอ่านหนังสือหลอกตัวเองเท่านั้น

    ความจริง การปฏิบัติเพื่อรู้ชาตินี้ชาติหน้า ตายแล้วไปเกิดหรือไม่เกิด
    เป็นการปฏิบัติที่ไม่ยาก ใช้เวลาอย่างมากเพียง 3 วัน
    3 วันนี่เขาถือว่า "ทื่อ" มากแล้วนะ จะบอกว่า "เลวมาก" ก็เกรงใจ
    ใช้ศัพท์ว่า "ทื่อมาก" แล้วหาความคมไม่ได้แล้ว
    แค่ 3 วันเขาสามารถทำได้
    ในสมัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงอยู่
    สมัยนั้นคนที่ไม่เคยพบองค์สมเด็จพระบรมครูเลย
    เพียงแค่ฟังเทศน์จบเดียว เขาได้กันเป็นแถว

    ขอประทานอภัยเถิดขอรับ อย่าเข้าฌาน หลับตาเพลินเกินไป
    มองหน้ามองหลังมองซ้ายมองขวาได้รอบตัว
    เท่านี้ท่านจะไม่สงสัยผลของการประพฤติปฏิบัติแบบวิชชาสาม
    และอภิญญาหก มันเป็นของไม่ยากสำหรับคนดี
    แต่คนที่ไม่สามารถจะมีวิชานี้ได้ก็สงสัยเหมือนกัน

    ก็รวมความว่า ถ้าตายจากความเป็นมนุษย์ เพราะโทษกาเมสุมิจฉาจาร
    เขาก็ให้ไปขึ้นต้นงิ้วสนุกสนานดีมาก เคยไปยืนชม
    เจ้าหนามงิ้วก็เหมือนกับสปริง พุ่งตัวออกมาได้ท่านว่ายาว 16 องคุลี
    ก็ยังไม่ทราบว่าองคุลีของใคร เพราะว่าเมื่อยืนดูใกล้ๆ
    หนามงิ้วจะยาวกว่าตัวของอาตมาเอง มันยาวมาก
    ทีแรกก็ลู่ติดนิดเดียว พอมีคนไต่ขึ้นไปมันก็พุ่งพรวดทะลุหลัง
    ข้างล่างถ้าหล่นลงมา ถูกสุนัข (หมานรกนะ ไม่ใช่หมาธรรมดา)
    ตัวใหญ่มาก กัดกินเนื้อ ขึ้นสูงขึ้นไปก็มีแร้งกาตัวใหญ่จิกกัดกินตี
    หล่นลงมาหมากัดกินถูกนายนิรยบาลเอาหอกเสียบพุ่งขึ้นไปใหม่

    ก็รวมความว่า โทษทัณฑ์ในชาติหน้าร้ายแรงเหลือเกิน
    อย่าทำกันเลยบรรดาท่านพุทธบริษัท

    ทีนี้มาว่ากันถึงคุณ ถ้าเราเว้นข้อกาเมสุมิจฉาจารนี้ได้
    เรารักเฉพาะภรรยาหรือสามีของเรา
    ในตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทจะมองเห็นความสุข
    ความสุขในบ้านจะเกิดขึ้น ก็รวมความว่า ต่างคนต่างไว้วางใจซึ่งกัน
    ความรักความสามัคคีมันก็เกิดในบ้านมันจะเหมือนสวรรค์
    มีแต่ความสุข การขัดคอกันเรื่องอื่นไม่หนักนัก
    ทะเลาะกันเรื่องการเงินการทองประ เดี๋ยวก็เลิกได้
    ขัดคอกันด้วยเหตุผลบางประการ เดี๋ยวก็เลิกได้
    แต่ถ้าขัดใจกันเรื่องชู้สาวนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท
    ขัดใจเรื่องการนอกใจนี่เป็นผีเสียหลายราย

    มามองดูถึงการไม่ขัดใจกัน เจอะหน้ากันก็มีความยิ้มแย้มแจ่มใส
    ต่างคนต่างก็มีความสุข การปรารถนาในความรักจะจืดจางไปบ้าง
    ก็อยู่ในขั้นเห็นใจซึ่งกันและกัน
    ถึงแม้ว่าจะงดเว้นบ้างก็อยู่ในขั้นเห็นซึ่งกันและกัน
    ถึงแม้ว่าจะงดเว้นบ้างจะขาดไปบ้าง แต่ไม่นอกใจก็ไม่เป็นไร
    พ่อบ้านแม่บ้านก็ยังมีแต่อาการชุ่มชื่น
    นี่เรียกว่า "ความสุขในบ้าน" บ้านเป็นสวรรค์เห็นได้ชัด
    แล้วถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทไปคบหาสมาคมกับคนอื่น ไม่ว่าใครทั้งนั้น
    ที่เราคิดว่า เราไม่เจ้าชู้ เราไม่นอกใจสามีและภรรยา
    เป็นคนที่มีความรักสามีและภรรยา ซื่อตรงซึ่งกันและกัน
    อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ก็เป็นอันว่าครอบครัวนี้
    จะถือเป็นครอบครัวที่ชาวบ้านเชิดหน้าชูตายกย่องสรรเสริญ
    เพราะความเป็นอยู่เป็นสุข
    จะไปที่ไหนก็มีแต่คนชอบคบค้าสมาคมด้วย
    เพราะว่าใครๆ เขาก็รักคนที่ไม่นอกใจสามีและภรรยา

    ถ้าคนใดที่นอกใจสามีและภรรยา
    ถ้าฝ่ายชายไปบ้านใคร เจ้าของบ้านนั้นเขาก็ไว้ใจไม่ได้
    ดีไม่ดีย่องไปเจ้าชู้กับเมียเขา หรือเจ้าชู้กับลูกสาวของเขา
    อันตรายมันก็มี เขาก็เกลียด
    ถ้าฝ่ายสตรีเข้าไป ฝ่ายภรรยาเจ้าของบ้าน ก็ไม่ไว้วางใจ
    ว่าคนนี้แกไม่เลือกไม่ว่าเป็นใคร ดีไม่ดีจะย่องมาแย่งสามีฉันเข้าก็ได้
    ความไว้วางใจก็ไม่เกิดขึ้น ในเมื่อเขาไม่ไว้วางใจในเรา
    ความสนิทสนมมันก็ไม่มี จะมีบ้างก็เป็นการยิ้มบังหน้าเท่านั้นเอง
    เนื้อแท้จริงๆ ในใจมีแต่ความรังเกียจ
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท
    ในเมื่อเขา รังเกียจเรา บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    เราจะไปไหนคนไว้ใจไม่มี เราก็มีแต่ความทุกข์
    ถ้าเกิดขาดแคลนสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา
    ถ้าปรารถนาการช่วยเหลือของเพื่อนบ้านด้วยกันก็ยากเหลือเกิน
    ไม่มีใครเขาอยากให้ เพราะเป็นคนเจ้าชู้มากเกินไป
    นี่ว่ากันถึงความสุขและความทุกข์ในชาติปัจจุบัน

    สำหรับสัมปรายภพคนเว้นจากการนี้ก็ไม่มีอะไร ไปสวรรค์แน่
    ทั้งนี้เพราะอะไร?

    เพราะว่าคนที่จะทรงอารมณ์อย่างนี้ได้
    มีความรักเฉพาะในด้านกามารมณ์ เฉพาะสามีและภรรยาของตนเอง
    ศีลทุกข้อที่บอกมาแล้วว่ามีธรรมะสิงอยู่ทั้งหมด
    การปฏิบัติศีลไม่ใช่ว่าขาดธรรมะ

    ธรรมะที่จะต้องสิงใจในศีลข้อที่ 3 ก็คือ

    1. เมตตา ความรัก

    2. กรุณา ความสงสาร

    3. สันโดษ ยินดีเฉพาะสามีและภรรยาของตนเท่านั้น

    ยินดีในด้านกามารมณ์นะ เห็นคนสวย เห็นคนปฏิบัติดี อันนี้เขาไม่ห้าม
    จะชมคนอื่นได้แต่ชมเบาๆ อย่าให้พ่อบ้านแม่บ้านได้ยินบ่อยเกินไป
    ประเดี๋ยวกำลังใจจะตก ชมใครก็ได้ แต่อย่าลืมหันมาชมในบ้าน
    ถ้าชมผู้หญิงนอกบ้าน พูดไปพูดมาก็วกว่า ถึงดีก็ยังสู้แม่บ้านเราไม่ได้
    แม่บ้านของเรามีความละเอียดอ่อนดีกว่านี้มาก
    ถ้าหากฝ่ายหญิงจะชม ผู้ชายนอกบ้านก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน
    อย่างนี้มันก็มีความสุข เป็นของไม่ยาก ถ้ารู้จักเอาใจซึ่งกันและกัน
    นี่ว่าศีลทุกข้อมีธรรมมะควบ
    ข้อนี้มี เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร และก็ สันโดษ
    ยินดีเฉพาะสามีและภรรยาของตนเองเท่านั้น

    ที่ว่ามี เมตตา ความรัก ก็หมายความว่า รักตัวเราด้วย
    รักสามีและภรรยาของเราด้วย รักจิตใจของบุคคลอื่นด้วย
    ถ้าเราจะไปละเมิดสามีและภรรยาของบุคคลอื่น
    เราก็ต้องดูใจเราว่า คนอื่นมาทำกับเราอย่างนั้นเราชอบไหม
    ก็ต้องตอบได้เลยว่า เราไม่ชอบ
    ในเมื่อเราไม่ชอบ เขาก็ไม่ชอบ
    เราก็รักเขาแล้วก็รักตัวเรา เราไม่อยากเสี่ยงให้มันเสียจนเกินไป
    แล้วก็รักสามีและภรรยาของเราด้วย
    คิดว่าถ้าเราไปทำอย่างนั้นสามีและภรรยาของเราที่อยู่ทางบ้าน
    เธอมีความซื่อสัตย์สุจริตในเรา
    ถ้าเราไปทำแบบนั้นเข้าเธอจะซ้ำใจขนาดไหน
    นี่เรียกว่ารักสามีและภรรยา

    ต่อมาก็รักตัวเราเอง เมื่อเราเว้นอาการอย่างนั้น
    เรามีความเมตตาอย่างนั้น ความเมตตาก็เข้ามาถึงเรา
    เราก็ไม่ต้องเสี่ยงอันตราย
    ไม่ต้องเป็นบุคคลที่คนทั้งหลายเขาประณามว่า เป็นคนเลว

    กรุณา ความสงสาร อันดับแรกก็สงสารตัวเองว่า
    กามารมณ์ไม่ใช่ของอิ่มเหมือนอาหาร ไม่มีความจำเป็นนัก
    บ้านของเราก็มี เราสงสารสามีหรือภรรยาว่า จะต้องช้ำใจ
    เราไม่ทำตามนั้น สงสารเพื่อนบ้านและบุคคลที่เราจะกระทำว่า
    เขาต้องมาเสี่ยงถึงความเสียหายจากเราผู้เดียว
    เพราะเราเป็นผู้กระทำ ในเมื่ออาการอย่างนี้มีขึ้น
    ความชอกช้ำใจก็ไม่มีด้วยกันทั้งหมดทุกฝ่าย
    ทั้งนี้ก็มาจากประโยชน์คือ คุณสมบัติของสันโดษ
    คือ มีความยินดีเฉพาะสามีและภรรยา

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า
    การประพฤติชั่วในข้อกาเม มีโทษเป็นประการใด

    การพูดมานี่ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาจำกัด
    จะพูดเอาละเมียดไม่ได้ ใช้ปัญญาพิจารณาด้วยช่วยกันคิด
    ถ้าเราทำความดี สาวกขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร
    ถ้าเราเว้นได้ จะมีประโยชน์ขนาดไหน
    ความสุขกายสุขใจจะมีทั้งเราและสามีภรรยาของบุคคลอื่นด้วย
    บุตรธิดาของเราด้วย บุตรธิดาของบุคคลอื่นด้วย
    ต่างคนต่างช่วยกันมีความสุข ต่างคนต่างช่วยกันมีความชื่นใจ
    ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    ความจริงก็ไม่เห็นจะมีอะไรมาก
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงห้ามเสียเลย เป็นเพียงแต่แนะนำว่า
    อย่าทำนะมันจะผิดใจกันเท่านั้น ผิดใจกับอันตรายมันเยอะ
    ดีไม่ดีไม่ทราบว่ามีดโต้มาถึงตัวเราเมื่อไร
    ก็มีหลายรายที่นิ้วมือขาดไปไร้ประโยชน์ในการใช้นิ้วมือ
    ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่าเจ้าของเดิมตัดนิ้วมือทิ้งไปว่า
    เจ้านิ้วมือจัญไรแบบนั้นมันไปใช้ที่อื่น ไม่ได้ใช้ที่บ้าน

    รวมความว่าโทษทัณฑ์ประเภทนี้ไซร้มาจากอะไร
    มาจากขาดความสันโดษยินดีนอกบ้านใช้ไม่ได้
    ขาดเมตตา ความรัก ขาดกรุณาความสงสาร
    ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
    หวังจะทรงศีลข้อนี้ให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง
    ก็ต้องเอาอารมณ์ธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า

    1. เมตตา ความรัก รักตัวเรา เรารักสามีภรรยาของเรา รักคนอื่น

    2. กรุณา ความสงสาร สงสารตัวเรา

    3. สงสารสามีและภรรยาของเรา สงสารคนอื่น และก็

    4. สันโดษ จำกัดความรักในประเภทนี้ เฉพาะสามีและภรรยาของเรา

    เท่านี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
    ทุกท่านจะมีแต่ความสุขหรรษา ไม่มีความต้องสะเทือนใจ
    เดือดร้อนใจด้วยประการนี้ จะไม่มีต่อไป
    และท่านทั้งหลายจะเป็นที่รักของบุคคลทั้งหลาย
    เป็นที่เคารพของบุคคลทั่วไป

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้เวลาก็หมดแล้ว
    ก็ขอจบเพียงแค่นี้ก็ขอลาก่อน
    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
    จงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี..
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...