หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๑๔ ศีลและกรรมบถ ๑๐ ข้อที่ ๒

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 9 กรกฎาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอน ตอนที่ ๑๔ ศีลและกรรมบถ ๑๐ ข้อที่ ๒
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย
    สำหรับต่อไปนี้ก็ขอบรรดาท่านท่านพุทธบริษัท
    ฟังความเป็นมาเรื่องราวตอนที่ 14 สำหรับตอนที่ 14 นี้
    ตอนนี้ก็จะขอพูดเรื่องกรรมบถ 10 กับศีลห้า ควบกัน
    เพราะว่า ข้อห้ามเหมือนกัน

    ตอนที่ 14 นี้ ขอพูดถึงข้อ 2 ของศีลและกรรมบถ 10
    กรรมบถ 10 ก็เป็นข้อที่ 2 ศีลห้า ก็เป็น ข้อที่ 2
    ที่ท่านกล่าวว่า "อทินนาทานา เวรมณี" ซึ่งแปลเป็นความว่า
    ให้งดเว้นจากการถือเอาทรัพย์สินของคนอื่นที่เขาให้เราโดยชอบธรรม
    ก่อนที่จะอธิบาย บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ก็เตือนใจกันไว้ก่อน
    รายการนี้เป็นรายการ "หนีนรก"

    คำว่า "หนีนรก" มีจริง บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง
    พระพุทธเจ้าทรงยืนยันมาอาตมาก็ขอยืนยันด้วย
    ถ้าถามว่า "เห็นไหม?" บอกว่า "เห็นแล้ว" "
    เคยไปไหมสมัยที่อาตมายังมีชีวิตอยู่นี่?" ต้องตอบว่า "เคยไปแล้ว"
    เคยไปตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ตายไปแล้วกลับฟื้น
    หลังจากนั้นก็ไปได้ตามปกติ จะไปเมื่อไรก็ไปได้เป็นอย่างนี้ทุกคน
    อย่างท่านพลโทสมาน วีระไวทยะ ท่านก็เช่นเดียวกัน
    ท่านตายไปเมื่อสมัยเป็นร้อยโท
    กลับมาแล้วก็มีสิทธิ์ไปเที่ยวในแดนนั้นได้เป็นปกติ
    เพราะเป็นแดนที่เคยไปแล้ว เมื่อท่านตายสมัยเป็นร้อยโทท่านกลับฟื้น
    เขากลับมาส่ง แดนที่เคยไปคือแดนนรกเหมือนกัน
    เมื่อกลับมาแล้วต่อไปก็ได้โอกาส ท่านให้โอกาส จะไปเมื่อไรก็ไปได้

    จึงขอยืนยันว่า "ตายแล้วเกิด นรกสวรรค์มีจริง"
    ถ้าถามว่าเอาตัวเข้ายัน ไม่กลัวใครเขาว่ารึ?
    ก็ต้องตอบว่า คนที่เกิดมาในโลกนี้ไม่ถูกนินทาเลยไม่มี
    ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "นัตถิ โลเก อนินทิโต"
    คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก พระพุทธเจ้าเองยังถูกนินทา
    อาตมาเป็นสาวกรุ่นจิ๋วของพระองค์ ทำไมจะไม่ถูกนินทา
    เวลานี้คำนินทา คำติเตียนก็เกลื่อนโลก เต็มโลกไปหมด
    ไม่เห็นหนักใจอะไร จะนินทาสักเท่าไหร่ก็ตาม ก็แก่ลงไปทุกวัน
    ใครเขาสรรเสริญยังไงก็ตาม ก็ยังแก่ลงทุกวัน
    นินทาก็แก่ สรรเสริญ ก็แก่

    ฉะนั้น คำนินทาและสรรเสริญทั้ง 2 ประการนี้
    ท่านพุทธบริษัท องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ทรงแนะนำว่า
    จงอย่าถือเอาเลยทั้ง 2 อย่าง
    ใครเขานินทามาก็ส่งคืนกลับเขาไป ไม่ใช่นินทาต่อนะ
    ลองดูอีกนิดหนึ่งสะกิดดูหน่อยก็เร่าร้อน
    บางท่านก็ดีพอถูกย้อนเข้านิดกลายเป็นพระอรหันต์ไปเลย
    ที่ว่าเป็นพระอรหันต์ไม่ใช่อาตมา ทำให้ท่านเป็นพระอรหันต์นะ
    ท่านกลับพูดว่า ท่านไม่สนใจคำนินทาว่าร้าย อันนี้ก็ดี
    ต้องขอบคุณท่านและขอสรรเสริญในความดีของท่าน
    ทีนี้เราทำอย่างนั้น เต็มใจทำหรือเปล่าก็ต้องบอกว่า ลองทำดู
    เห็นท่านส่งมามากๆ ลองส่งกลับไปนิดหนึ่ง ดูซิว่าจะเดือดร้อนไหม
    สำหรับอาตมาเองไม่เดือดร้อน
    เพราะถูกนินทา ไม่เฉพาะแต่ลับหลัง
    ข้างหน้านี่ก็ยังถูกว่า ถูกกล่าวเป็นปกติ
    เรื่องความอกตัญญูไม่รู้คุณของบุคคลที่มีกิเลส
    ก็ย่อมมีอยู่บ้างเป็นของธรรมดา
    มีการนินทาหรือสรรเสริญ จึงไม่สนใจ
    สนใจอย่างเดียวว่า ตายชาตินี้แล้วจะไปไหน
    แก่ขนาดนี้แล้วยังไงๆ ก็ต้องตาย

    ฉะนั้น ในเมื่อเราจะตาย บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    หา "กำแพง" มากันอบายภูมิไว้ก่อน ดีกว่า
    คือ ยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
    ยอมรับนับถือท่าน เฉพาะฆราวาสเอา ศีลห้า เป็นกำแพงกั้นเข้าไว้
    อบายภูมิจะมาไม่ถึง บาปเก่าๆ ที่ทำไปแล้วทั้งหมด
    สมเด็จพระบรมสุคตบอกว่า จะตามให้ลงโทษเราไม่ได้เลย
    เอาแค่นี้ก็แล้วกัน

    ฉะนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท ฟังรายการนี้ถ้าต้องการหนีบาป ก็

    1. อย่าลืมความตาย

    2. ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์

    3. ทรงศีลห้าให้บริสุทธิ์ ตั้งแต่บัดนี้ไป
    แล้วก็ทรงไว้จนกว่าจะตาย
    ถ้าตายเมื่อไร ไปสวรรค์ ไปพรหมเมื่อนั้น ดีไม่ดีก็ไปนิพพาน

    ตอนนี้ก็มาคุยกันเรื่องศีล หรือ กรรมบถ 10 ข้อที่ 2
    ท่านบอกว่าจงงดเว้นจากการลักขโมย
    หรือยื้อแย่งคดโกงในทรัพย์สินของบุคคลอื่นมาเป็นของเรา
    เรื่องนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าว่ากัน ในชาติปัจจุบัน
    ไม่ว่าใครทั้งหมด คนก็ดี สัตว์ก็ดี
    คำว่า "สัตว์" หมายถึง สัตว์เดรัจฉาน
    ก็ยังรักทรัพย์สินของตนเหมือนกัน
    เคยเห็นสุนัขมันกินอาหาร ถ้ามีตัวอื่นเข้ามาแย่งมันสู้ใจขาด
    สู้ได้หรือไม่ได้ก็ต้องสู้ เพราะว่าชีวิตจะทรงอยู่ได้เพราะอาหารเป็นปัจจัย
    ถ้าขาดอาหารเสียอย่างหนึ่ง ความตายก็เข้ามาถึงเร็ว
    ความจริงยังไงๆ ก็ต้องตาย แต่ก็ไม่มีใครอยากจะตาย
    หากว่าบรรดามนุษย์ทั้งหลายไม่ละเมิดศีลข้อนี้
    ต่างคนต่างยึดถือทรัพย์สินของตนสำคัญ
    ยินดีเฉพาะทรัพย์สินที่ตนหามาได้เองโดยชอบธรรม
    ไม่ยื้อแย่ง ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ในทรัพย์สินของบุคคลอื่นใด
    โลกก็จะมีแต่ความสุข

    ความจริงเรื่องทรัพย์สินนี่เป็นเรื่องสำคัญมาก
    แต่ว่าคนที่จะรักษาศีลข้อนี้หรือกรรมบถข้อนี้ได้
    ก็ต้องมีอารมณ์ใจเหมือนกับข้อที่ 1
    แต่แถมนิดหนึ่ง อารมณ์ใจข้อที่ 1 คือ เมตตา ความรัก
    กรุณา ความสงสาร เป็นธรรมเข้าประจำใจ
    แถมอีกอันหนึ่ง คือ สันโดษ
    ยินดีเฉพาะทรัพย์สินที่ตนหามาได้โดยชอบธรรม
    ทรัพย์สินของบุคคลอื่นใดเราไม่สนใจ
    อาจจะชอบใจบ้าง อาจจะอยากได้บ้างอย่างเขา
    แต่ไม่อยากจะคิดลัก ไม่อยากจะขโมย ไม่อยากจะคดโกง
    ต้องการจะหามาเองโดยชอบธรรม ตามความสามารถจะพึงหาได้

    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย หรือคนทั้งโลกรักษาศีลข้อนี้ไว้ได้
    โลกจะรวยมาก คนเราก็จะรวยมากขึ้น ท่านถามว่าจะรวยยังไง?
    เวลาที่พูดนี้เขาบอกว่าเศรษฐกิจตกสะเก็ด
    คำว่า "เศรษฐกิจตกสะเก็ด" ทุกคนก็บ่นกันย่ำแย่
    พ่อค้าแม่ค้าก็บ่นว่า ขายไม่ได้
    ชาวเกษตรทั้งหลายก็บอกว่า แย่แล้ว
    ของได้มากขายไม่มีราคา บางรายของไม่ได้เสียอีก
    กลับร้ายหนักเข้าไปอีก ทำนาข้าวก็เสีย
    แล้วท่านก็แถมต่อไป ภาษีก็ขึ้นราคา
    สำหรับภาษีนี่พระไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะว่าไม่มีภาระ
    ไม่มีเงินจะเสียภาษีกับเขา
    มีชีวิตอยู่ได้เพราะอาศัยญาติโยมพุทธบริษัทเลี้ยง
    ในเมื่อญาติโยมท่านพุทธบริษัทท่านแย่ พระก็เลยแย่ไปด้วย
    ตามที่สมเด็จพระพุฒาจารย์วัดอนงค์ ท่านว่า
    "ถ้าชาวบ้านเขาจน พระกับหมาก็ตายก่อน"
    ไปถามท่านเข้า ถาม "ทำไมเป็นอย่างนั้นครับหลวงพ่อ"
    ท่านบอกว่า "ในเมื่อชาวบ้านเขากินไม่อิ่ม
    จะเอาข้าวที่ไหนมาใส่บาตร จะเอาข้าวที่ไหนไปให้หมา"
    นี่จริงของท่าน ถ้าทุกคนเว้นไม่ละเมิดศีลข้อนี้
    บรรดาท่านพุทธบริษัท ตามที่กล่าวมาแล้วว่า ตำรวจก็ไม่ต้องมี
    นายอำเภอ ผู้ว่า พิพากษา อัยการ เรือนจำ ไม่ต้องมี ทั้งหมด
    การรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกันเพราะทรัพย์สินก็ไม่มี

    เวลานี้สงครามเกิดขึ้นทั้งโลกแต่ไม่ใช่สงครามโลกนะ
    มีประเทศไหนบ้างที่บอกว่าไม่มีสงคราม
    อาจจะมีบ้างแต่ไม่กี่ประเทศ ต่างคนต่างก็รบนอกประเทศก็มี
    ที่รบกันอย่างนี้ เพราะอาศัยความโลภเป็นสำคัญ
    อยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นมาเป็นของตนเป็นสำคัญ
    จึงทำอย่างนั้น ในการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกันใช้อะไรบ้าง?
    ใช้อาวุธ ใช้คน ใช้อาหาร ใช้เบี้ยเลี้ยง ใช้อุปกรณ์ต่างๆ
    กระสุนแต่ละนัด บรรดาท่านพุทธบริษัทกระสุนปืนนะ
    แต่ละนัดราคาเท่าไร ลูกระเบิดแต่ละลูกราคาเท่าไร
    ชีวิตของคนแต่ละคนราคาเท่าไร

    รวมความว่าทรัพย์สินต้องเสียหาย เพราะความโลภ
    อยากได้ของบุคคลอื่นมาเป็นสำคัญ นี่จุดหนึ่ง
    เรื่องของประเทศเรื่องใหญ่มาก

    ถ้ามาเรื่องส่วนตัวบุคคล ถ้าการลักการขโมยกันไม่มี
    การปล้นสดมภ์ไม่มี การโกงไม่มี เป็นต้น
    เอาง่ายๆ ว่า ถ้าขโมยไม่มีนี่ ค่าใช้จ่ายในบ้านน้อยลงไปมาก
    ประการแรก บ้านก็ไม่ต้องทำแข็งแรงมั่นคงนัก
    แค่บังแดดบังฝนได้ เท่านี้ก็พอ
    ประการที่ 2 ไม่ต้องใช้เงินซื้อกุญแจ ประตูก็ไม่ต้องทำแข็งแรง
    กุญแจแต่ละดอก ก็ไม่ต้องมี กุญแจแต่ละดอกที่ทำได้ต้องใช้เงิน
    บ้านแต่ละหลังที่ทำแข็งแรงเพิ่มเงินเข้าไปมาก
    แล้วก็อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ก็ไม่ต้องมี ไม่ต้องมีการระแวดระวัง
    นอนหลับกันอย่างสบาย คนก็มีประสาทดี มีอารมณ์แห่งความสุข
    ปัญญาก็มี เมื่อใจเยือกเย็นปัญญาก็เกิด
    ใจเย็นเพราะ หนึ่งไม่ฆ่ากัน ตามศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่ากันไม่ประทุษร้ายกัน
    ไม่ลักไม่ต้องระมัดระวังของ ไม่มีการลักไม่มีการขโมยกัน
    อย่างนี้ทุกคนมีอารมณ์เป็นสุข

    แล้วถามว่าจะรวยได้อย่างไร? ก็ลองคิดดู
    ถ้ามีการลักการขโมยกันเป็นปกติ เจ้าของบ้านก็ต้องเผ้าทรัพย์
    ต้องระวังทรัพย์ ประสาทก็มึน ร่างกายก็เพลีย
    ร่างการเพลียลงไปนี่การงานก็ลดตัวลง มันสมองไม่ดี
    ปัญญาที่หาทรัพย์สินก็น้อยลง การคล่องตัวก็มีน้อยไป
    อันนี้อาจจะเห็นยากเอากันง่ายๆ
    ถ้าบ้านไม่ต้องปลูกแข็งแรงนัก เพราะไม่มีขโมย
    ค่าใช้จ่ายลดลงไปเท่าไร
    สมมติว่าถ้าบ้านไม่ต้องมีกุญแจ ลูกกุญแจดอกหนึ่ง
    เวลานี้ 10 บาทซื้อไม่ได้แล้ว
    สมมติว่า ลูกกุญแจดอกละ 10 บาท 10 ล้านหลัง
    นี่เข้าไป 100 ล้านแล้วต้องเสียหายเปล่าๆ
    แล้วงบประมาณเจ้าหน้าที่ งบประมาณผู้ควบคุม
    งบประมาณผู้พิพากษาอัยการ ศาลต่างๆ ที่ต้องสูญเสียไปมันเท่าไร
    ถ้ารักษาศีลข้อนี้ได้ ประเทศชาติเจริญมาก มีความสุขมาก
    รัฐบาลก็มีความเยือกเย็นใจมีรัฐบาลก็ได้ ไม่มีรัฐบาลก็ได้
    เพราะคนไม่คิดฆ่ากัน ไม่คิดลักขโมยกัน
    เราก็จะมีแต่ความสุข ไม่ต้องหาใครมาตัดสิน
    การเป็นถ้อยร้อยความสู้คดีในโรงในศาล
    นั่นหมายถึง ความบรรลัยแห่งทรัพย์สินมันเกิดขึ้น
    ต้องจ่ายเงินทองเสียเวลาการงาน แล้วคดีจะแพ้ชนะหรือก็ยังไม่รู้
    ถ้าแพ้ก็แย่ใหญ่ ถ้าชนะได้มากก็ไม่คุ้มค่าของการเป็นความ
    เงินอาจจะได้มาคุ้มแต่เวลาที่เสียไป บรรดาท่านพุทธบริษัท

    รวมความว่าศีลข้อ 2 คุ้มครองโลกให้มีความสุขมาก
    ถ้าหากว่าเราสามารถรักษาศีลข้อนี้ได้ จะไปที่ไหนก็มีแต่คนไว้วางใจ
    ในเมื่อเขาไว้วางใจ เขาก็รักในเรา เขารู้ว่า เราเป็นคนใจดีมีเมตตา
    เป็นคนใจดีมีกรุณาความสงสาร อารมณ์ใจเราก็แช่มชื่น ใจดี
    มีแต่ความสันโดษ ยินดีเฉพาะทรัพย์สินของตน
    ไม่ต้องการทรัพย์สินของบุคคลอื่นที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม
    ไปบ้านไหนเขาก็ยินดีรับ เราก็มีความสุข เจ้าของบ้านก็มีความสุข
    แขกผู้ไปหาก็มีความสุข มีแต่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน
    ทรัพย์สินก็ไม่เปลือง นี่เป็นอันว่าในปัจจุบันก็มีความสุขแล้ว

    ที่ท่านบอกว่า "สีเลนะ สุคติง ยันติ"
    บุคคลที่ทรงศีลได้จะมีความสุข "สีเลนะ โภคสัมปทา"
    ถ้าไม่มีการลักไม่มีการขโมยซึ่งกันและกัน
    ไม่ประทุษร้ายซึ่งกันและกันทรัพย์สินก็ไม่หาย ทรัพย์สินก็ไม่เปลือง
    ความอุดมสมบูรณ์ในความเป็นอยู่ก็มี แก่บุคคลทุกคน
    ไม่ต้องไปนั่งกลัวโจรแบบสมัยปัจจุบัน
    ในปัจจุบันนี้แม้แต่ในธนาคารเขายังปล้นเลย
    ในเมื่อปล้นกระทั่งธนาคาร ขโมยของบ้านผู้พิพากษา
    ขโมยของบ้านนายตำรวจ ชาวบ้านก็ย่ำแย่แล้ว

    พูดอย่างนี้ไม่ใช่ตำหนิทั้งราชการ ไม่ใช่ตำหนิทั้งรัฐบาล
    ไม่ว่าใครทั้งหมด ไม่ต้องการให้มีอาการอย่างนี้เกิดขึ้น
    กำลังใจของชาวโลกเต็มไปด้วยความวิปริต
    คิดว่า เมื่อเอาทรัพย์สมบัติของคนอื่นมาได้แล้ว จะมีความสุข
    แต่ความจริง คนที่ลักขโมยเขากิน ก็ไม่มีความสุข
    ต้องนั่งระแวงนอนระแวงอยู่เสมอ ได้ทรัพย์สินของเขามาแล้ว
    บรรดาท่านพุทธบริษัท หาความสุขไม่ได้
    เกรงว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสืบรู้บ้าง
    เกรงว่าเจ้าของเขาจะจำได้ เจ้าของเขาจะรู้ตัวบ้าง
    จะนั่งจะนอนก็สะดุ้งอยู่เสมอ
    นี่เป็นอาการที่ไม่มีความสุขเลย เพราะการละเมิดศีล
    ถ้าทรงศีลข้อนี้ได้แล้วเราก็ไม่นอนสะดุ้ง
    ไม่ต้องเกรงใครเขามา จับกุม

    ก็รวมความแล้วว่า ถ้าหากปฏิบัติศีลข้อนี้ได้ในชาติปัจจุบัน
    ทรัพย์สินที่เรามีอยู่ก็อุดมสมบูรณ์ขึ้น
    ไม่หนักใจในความเป็นอยู่ ก็ไม่เสียเพราะการลักขโมย
    ไม่เสียเพราะการปล้น ไม่เสียเพราะการถูกโกง
    ไม่เสียไปเพราะถูกยักยอก ถ้าเราไม่เสียขนาดนี้
    การเสียอย่างอื่นก็น้อยเต็มที การจะกินจะใช้มันเรื่องเล็กๆ
    บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นของธรรมดาๆ
    เรามีมากกินมาก มีน้อยกินน้อย
    แต่พวกกลับขโมยนี่ซิ เรามีน้อยแกก็ลักหมด เรามีมากแกก็ลักหมด
    เรามีมากแกก็โกงหมด เรามีน้อยแกก็โกงหมด ดีไม่ดีแกโกงเลยหมด
    พวกปล้นจี้บางทีแกเอาปล้นจี้เลยหมด
    หมดตัวแล้วยังเอาตัวไปเป็นประกัน เอาค่าไถ่
    ก็หมายความว่า ถ้ามีที่ดินทรายอยู่บนพื้นที่อสังหาริมทรัพย์
    เคลื่อนที่ไม่ได้ ยังต้องจำนำจำนองขายรับเอาเงินไปไถ่
    กลัวเพื่อนและคนที่ถูกจับไปจะตาย

    นี่ความเร่าร้อน เพราะการไม่เคารพในศีลข้อนี้เป็นอย่างนี้
    ถ้าทุกคนเคารพศีลข้อนี้ก็มีแต่ความสุข นี่ว่ากันถึงปัจจุบัน

    ถ้าสัมปรายภพ บรรดาท่านพุทธบริษัท
    ถ้าตายไปแล้วในโลกหน้า คนที่ทรงศีลข้อนี้จะมีอาการเป็นอย่างไร?

    ก็มาว่ากันถึงกำลังใจก่อนตายก่อน ก่อนที่เราจะตาย
    บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าจิตของเรามีเมตตา ความรัก ความสงสาร
    มีความสันโดษ ยินดีเฉพาะทรัพย์สินที่หามาได้โดยชอบธรรม

    คำว่า "สันโดษ" นี่ไม่ใช่ยินดีเฉพาะทรัพย์สินที่มีอยู่นะ
    หนังสือท่านเขียนไว้ว่า ยินดีเฉพาะทรัพย์สินที่มีอยู่
    นี่ก็หมายความว่า เราหาของเราได้เท่าไรยินดีเท่านั้น ไม่ใช่ไม่หาเลย
    ความขยันหมั่นเพียร ไม่ใช่ความโลภ
    ขยันหมั่นเพียร โดยไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม
    อย่างนี้พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า "สัมมาอาชีวะ"
    หาเลี้ยงชีพโดยชอบธรรม อย่างนี้ทำได้โดยไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
    ไม่มีอะไรเป็นบาป

    ทีนี้ ในเมื่อท่านทั้งหลายก่อนจะตาย กำลังใจเป็นสุข

    1. เมตตา ความรัก

    2. กรุณา ความสงสาร

    3. สันโดษ ยินดีเฉพาะทรัพย์สินที่เราหามาได้โดยชอบธรรม
    ก็ไม่มีอารมณ์สะดุดใจกับใคร จิตใจก็ชุ่มชื่น

    ถ้าทรงความดีทั้ง 3 ประการนี้ได้ ก็เว้นจากการละเมิดศีลข้อ 2 แน่
    คุณธรรมประเภทนี้ ถ้าก่อนจะตายใจยังทรงความเมตตาอยู่ เป็นต้น
    ท่านผู้นั้นตายแล้วในชาตินี้ ชาติต่อไปที่เข้าถึงใหม่ก็ลงอบายภูมิ
    คือ มีนรก เป็นต้น ไม่ได้แน่ ลงไม่ได้แน่นอน
    ถ้าขืนลงไป เขาขับตีตายเลย
    คนนรกเข้าไม่ต้องการเทวดาหรือพรหม เขาต้องการแต่คนเลว

    ลงนรกไม่ได้ไปไหน? ก็ต้องไปเป็นเทวดาหรือพรหม
    กำลังใจอ่อนก็เป็นเทวดา เข้มแข็งมาหน่อยก็เป็นพรหม
    ต่อมาถ้าหมดบุญวาสนาบารมีจากการเป็นเทวดาหรือพรหมไปไหน?
    ลงมาปั๊บก็ยับยั้งอยู่แค่มนุษยโลก ความดี 3 ประการก็ตามมาด้วย
    ความดี 3 ประการ คือ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร
    สันโดษ ยินดีเฉพาะทรัพย์สินของตนที่หามาได้โดยชอบธรรม
    ไม่คดไม่โกงใคร ก็ตามมา

    เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร
    ทำให้ท่านผู้นั้นเป็นคนสวย มาสวยอีกแล้ว
    ถ้าจะไปที่ไหนก็ตาม จะได้รับความเมตตาปรานีจากคนทุกคน
    ในที่ทุกสถาน อย่างที่เขาพูดกันว่า บางคนมีเสน่ห์เหลือเกิน
    จะไปนั่งที่ไหน จะไปที่ไหนมีแต่คนต้อนรับ ยินดี
    มีคนเมตตาปรานีเสมอ สงเคราะห์เสมอ

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะคุณแห่งความดี
    คือ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร ทั้ง 2 ประการนี้
    เป็นปัจจัยให้เกิดกับท่านและต่อไป
    นอกจากตัวจะสวย จะเป็นที่รักของคนทั้งหลายแล้ว
    ทรัพย์สินยังเป็นสุข ว่าทรัพย์สินของท่านผู้นั้นอยู่เย็นเป็นสุข
    คือทรัพย์สินของคนทั้งหลายที่มีความดีประเภทนี้
    จะปลอดภัยทั้ง 4 ประการ

    ทรัพย์สินของท่านจะไม่เสียหาย เพราะไฟเผาผลาญ
    ไฟจะไม่ยอมไหม้ทรัพย์สินของท่านทั้งหลายเหล่านั้น
    เรื่องไฟไหม้นี้เป็นเรื่องอัศจรรย์หลายวาระ
    มีโยมท่านหนึ่งบอกว่า ท่านอยู่ทางด้านตลาดพลู บางสะแก
    วัดสะแกละมั้ง อาตมาก็จำไม่ถนัด
    ท่านมาพูดเสียตกใจ ไฟไหม้หลังที่ 1
    บ้านหลังที่ 1 บ้านของท่านเป็นหลังที่ 2 ไฟไม่ยอมไหม้
    เปลวไฟพุ่งข้ามหลังคาบ้านของท่านไปไหม้หลังที่ 3
    ขณะที่อยู่ติดๆ กันยังไม่ยอมไหม้ ไปไหม้หลังที่ 3

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านที่รักษาศีลข้อ 2 ได้
    หรือกรรมบถ 10 ก็เช่นเดียวกัน เหมือนกัน

    ประการที่ 1 ไฟจะไม่ไหม้บ้านของท่าน

    ประการที่ 2 น้ำจะไม่ทำลายทรัพย์สินของท่าน

    ประการที่ 3 ลมจะไม่ทำลายทรัพย์สินของท่าน

    ประการที่ 4 โจรขโมยมองไม่เห็นบ้านของท่าน
    เขามองเห็นเหมือนกัน แต่ว่าเขาไม่อยากจะลักไม่อยากจะขโมย
    ทั้งนี้เพราะอะไร?

    เพราะว่าคุณความดีแก่ศีลข้อ 2 ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า
    "สีเลนะ โภคสัมปทา" และท่านที่ทรงศีลข้อที่ 2 นี้
    ได้ทรัพย์สมบัติที่ท่านจะพึงหามาจะหาได้ด้วยการคล่องตัวมาก
    ไม่เสียหายเพราะเหตุ 4 ประการแล้ว
    การหาทรัพย์สินคล่องตัวมาก จะทำอะไรก็ตาม
    มีการทำมาค้าขึ้นอยู่เรื่อย การค้าขาย ถ้าใครเขาขาดทุน
    คนประเภทนี้ขาดทุนไม่เป็น มีอย่างเดียวได้กำไรน้อยหรือกำไรมาก
    ยังไงๆ ก็มีกำไรกันแน่ จะทำพืชไร่ต่างๆ
    หรือทำนาต่างๆ ก็ตาม เสียหายยาก

    มีบ้านอยู่บ้านหนึ่ง อาตมารู้จักมานาน บ้านนี้ก็มีเรื่องแปลก
    ไม่ขอยกชื่อของท่านมา คือ ท่านมีความจริงใจอยู่มาก
    เรียกว่า ทรัพย์สินของใคร ในชาตินี้นะ ทรัพย์สินของบุคคลอื่นใด
    ท่านไม่แตะต้องจริงๆ เรื่องการคดโกง
    มีอย่างเดียวคือ ให้ ใครขัดข้องขึ้นมาถ้าไม่เกินวิสัย ยืมแกก็ให้ยืม
    กู้ให้กู้ กู้ดอกเบี้ยก็เอาไม่แพง ดีไม่ดีไม่เอาเลย
    วัดวาทั้งหลายถ้าทำงานเกิดขึ้น ถ้าไม่เกินวิสัยท่าน
    มีเครื่องกระแสไฟฟ้าก็ไปช่วย มีเครื่องสูบน้ำก็ไปช่วย
    ตัวเองก็ช่วยตักน้ำ ช่วยต้มแกง
    ทำงานทุกอย่าง เป็นที่รักของคนทุกกลุ่ม

    บ้านนี้แปลก ทำไร่ บางปีชาวบ้านใกล้เคียงและทั้งบริเวณ
    และตำบลร่วมกันเสียหายยับเยิน ข้าวไม่ได้สักต้นหนึ่ง
    ผักไม่ได้สักต้นหนึ่ง สัตว์เพลี้ยกินหมด
    แต่บ้านนี้ก็ต้องมีกำไร ปีนั้นก็หลายหมื่น
    อย่างสมัยเงินแพงๆ กว่านี้ ค่าเงินสูงกว่านี้
    ก๋วยเตี๋ยวชามละ 10 สตางค์ หรือ 5 สตางค์
    เขาเสียหายหมด บ้านนี้มีกำไร 2-3 หมื่นบาท
    ถ้าเขาได้กันบ้านนี้กำไรเป็นแสน นี้ผลของการทรงศีลข้อนี้
    บรรดาท่านพุทธบริษัท แม้ในชาติปัจจุบันยังให้ผลขนาดนี้
    ชาติต่อไปจะเป็นยังไง

    ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายผู้ทรงไว้ซึ่งความดี
    ซึ่งเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ต้องการหนีนรก
    ทุกคนก็พยายามทรงศีลข้อที่ 2 ด้วยอีกข้อหนึ่งให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง
    ซึ่งไม่เกินวิสัย

    เอาละตอนนี้เวลาก็หมดแล้ว ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    จงมีความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
    จงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี..
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...