หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๑๓ อานิสงส์ของการรักษาศีลข้อที่ ๑

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 9 กรกฎาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๑๓ อานิสงส์ของการรักษาศีลข้อที่ ๑
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ ๑๓ ในรายการหนีบาป
    ขอย้ำกับบรรดาท่านพุทธบริษัทไว้ก่อนว่า ถ้าฟังเรื่องราวกว่าจะจบมันนานนัก

    การหนีบาปจริงๆ ให้ยึดสังโยชน์ ๓ ประการ ที่พระพุทธเจ้าตรัส
    ก็คือ การทำลายสังโยชน์ ข้อที่ ๑
    ได้แก่การมีความรู้สึกว่า ชีวิตนี้ต้องตาย
    และก็จำคำแนะนำขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ที่ทรงแนะนำกับคณะของเปสการีว่า
    "เธอทั้งหลาย ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง
    แต่ความตายเป็นของเที่ยง จงอย่าประมาทในชีวิต
    คิดว่าความตายจะเข้ามาถึงเราในวันพรุ่งนี้"
    ข้อนี้องค์สมเด็จพระมหามุนีได้ทรงแนะนำ
    ให้คิดว่าความตายอาจจะถึงเราในวันนี้ได้เสมอ
    จะได้ไม่ประมาทในการสร้างความดีเพื่อหนีนรกกัน

    แล้วข้อต่อไป องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา
    ทรงแนะนำให้ยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้า
    ความดีของพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์
    และความดีของพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
    หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตร
    แนะนำให้ทุกคนทรงศีลห้าให้บริสุทธิ์
    ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท
    ทุกคนจะพ้นจากอบายภูมิ คือ นรกได้แน่นอน

    ต่อไปนี้ก็ขอคุยกับบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระชินวร
    ในเรื่องของอานิสงค์ของการรักษาศีลข้อที่ ๑
    ตามที่พระท่านบอกว่า "ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปทัง สมาทิยามิ"
    ก็แปลว่า "ข้าพเจ้าขอสมาทาน คือ งดเว้น
    จะไม่มีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต"
    ขอให้แถมว่า จะไม่มีการทรมานด้วย
    เราไม่ฆ่าด้วย ไม่ทำร้ายร่างกายสัตว์ด้วย อย่างนี้จะดีกว่า

    เมื่อตอนที่ ๑๒ ได้พูดถึงศีลห้า ข้อที่ ๑
    แต่ยังไม่ทันจบก็หมดเวลาเสียก่อน
    ตอนนี้ก็ขอต่อกับบรรดาท่านพุทธบริษัท
    ส่วนที่ยังค้างอยู่ก็หมายถึงว่า การรักษาศีลห้า
    ในชาติปัจจุบันเราก็ทราบแล้วว่า คนที่มีศีลห้าเป็นปกติ
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศีลข้อที่ ๑ เรียกว่า เว้นจากการฆ่าสัตว์
    และการทรมานทำร้ายร่างกายสัตว์
    ศีลทุกข้อจะมีธรรมะแทรกอยู่เสมอ ศีลข้อที่ ๑ นี่กับกรรมบถ ๑๐ เหมือนกัน
    ธรรมะที่แทรกอยู่ในศีลข้อที่ ๑ หรือกรรมบถ ๑๐ ข้อที่ ๑
    ก็ได้แก่ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร

    โทษของศีลห้าว่ามาแล้ว ทีนี้ว่ามาถึง "คุณ"

    "คุณ" ที่บุคคลที่รักษาศีลข้อที่ ๑ ได้ในชาติปัจจุบัน
    มีผลเป็นยังไง พูดมาแล้วในตอนที่ ๑๒
    ตอนที่ ๑๓ นี่จะพูดถึง "คุณ" ที่พึงได้
    หรือ "ผล" ที่จะพึงได้ในชาติต่อไป

    ถ้าขณะใดจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัท
    ทรงอารมณ์ความดีและความเยือกเย็น
    ได้แก่เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร
    แล้วก็ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทรมานสัตว์
    จิตใจของบุคคลนั้นจะมีความเยือกเย็นมาก
    จะเห็นว่าบุคคลที่มีเมตตาความรักก็ดี มีกรุณาความสงสารก็ดี
    ท่านทั้งหลายเหล่านี้หน้าตาแช่มชื่น
    ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นปกติ เห็นหน้าใครก็มีแต่อาการยิ้ม
    การยิ้มนี้บอกว่าเป็นคนใจดี
    แล้วคนเราทุกคน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    อาตมาก็พูดไปว่าทุกคน แต่อาจจะไม่ใช่ทุกคนก็ได้

    สำหรับอาตมาเอง เห็นใครเขายิ้มเราก็ชื่นใจ
    บางทีคนที่มีศักดิ์ศรีใหญ่มีวาสนาบารมีสูง พอที่เราจะพึ่งพาอาศัยได้
    หรือคนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยสดงดงามควรที่จะรักได้
    แต่ว่าท่านหรือเธอทั้งหลายเหล่านั้น "ยิ้มไม่เป็น"
    พวกเราก็ต้องเดินหลีก ท่านทั้งหลายจะหลีกหรือไม่หลีกอาตมาไม่ทราบ
    แต่อาตมานี้หลีกแน่ คนยิ้มไม่เป็นนี้ไม่คบแน่
    ถ้าขืนคบคนประเภทนี้เข้าเราก็กลุ้มไปด้วย
    เห็นหน้าเธอ ทีไร หน้าเธอก็คล้ายๆ กับเสือในครัวบ้าง
    หน้าวัตถุตักแกงบ้าง หน้าเหมือนภาชนะตักข้าวบ้าง
    อย่างนี้ ดูไม่ไหว ถ้าสมัยก่อนเมื่อเป็นหนุ่มยังไม่แก่
    หรือยังไม่บวช คนประเภทนี้ไม่คบเลย
    แต่ว่าสมัยนี้ ความเป็นพระ ถึงแม้จะมีการคบหาสมาคมบ้าง
    ก็ต้องคบกันอย่างผิวเผิน เพราะหน้าของเธอไม่ทำให้เราชื่นใจ
    ท่านทั้งหลายฟังดังนี้ก็คิดว่า หลวงตาแก่นี้กิเลสมาก
    ก็ต้องตอบว่ามีกิเลสจริงๆ เมื่อคลอดจากครรภ์มารดากิเลสเท่าพวกท่าน
    หรือบางอย่างอาจจะมากกว่าพวกท่านก็ได้
    การเกิดมานี่ทุกคนปฏิเสธ ไม่ได้ว่าไม่มีกิเลส
    การที่จะมีกิเลสหรือไม่มีกิเลสก็ตาม
    แต่มีจิตใจเดิม ความรู้สึกก็เหมือนความรู้สึกเดิม
    เห็นหน้าคนที่มีการยิ้มแย้มแจ่มใส
    ทุกคนก็ต้องมีความแช่มชื่นเหมือนกัน
    อย่างพระอรหันต์ท่านคงจะชอบใจคนยิ้ม
    แต่คงไม่เกลียดคนไม่ยิ้ม ถ้าเห็นคนยิ้มไม่เป็นคงจะไม่เกลียด
    อาจจะสลดใจมากกว่า คงจะสงสารว่า
    โอหนอ...คนนี้ไม่น่าจะฆ่าตัวเองเลย

    ทั้งนี้เพราะอะไร ? เพราะว่า คนที่ยิ้มไม่เป็น
    คนที่คบหาสมาคมก็มีน้อย คนที่มีความจำเป็นจริงๆ เขาจึงจะคบ
    เขาหวังประโยชน์ในการช่วยเหลือเขา เขาจึงจะเข้าหา
    แต่ถ้าประโยชน์ได้แล้ว เขาคงไม่เข้าไปหาคนหน้าไม่ยิ้มต่อไป
    ถ้าจะเข้าไปหาใหม่ก็จะเข้าเพื่อต้องการความช่วยเหลือ

    ก็รวมความว่า คนที่ไม่ยิ้มนี่ขาดทุน
    หาคนรักยาก หาคนชอบใจยาก

    มาพูดถึงอานิสงส์หน้ายิ้มปัจจุบัน
    เพราะใจมีเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร
    มีอยู่ประจำใจ จึงเว้นจากการฆ่าสัตว์
    เว้นจากการทรมานสัตว์ เว้นจากการประทุษร้ายร่างกายสัตว์
    (คำว่า "สัตว์" นี่หมายถึงคนด้วย)
    ถ้าตายจากโลกนี้ไปแล้ว ขณะที่เธอจะตายหรือขณะที่ท่านจะตาย
    ถ้ากำลังใจของท่านยังสดชื่นด้วยเมตตา
    ความรัก กรุณา ความสงสาร จะไม่มีการประทุษร้าย
    มีแต่จิตชื่นบาน รื่นเริงหรรษา ใจเปี่ยมชุ่มชื่นด้วยเมตตา
    และกรุณาทั้ง ๒ ประการ ท่านประเภทนี้ตายแล้วลงนรกไม่เป็น
    เอากัน ชาติเดียวนะ เอากันชาติปัจจุบันว่าตายแล้วลงนรกไม่เป็น
    ถ้ากำลังใจของท่านอย่างต่ำ ก็ต้องเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นกามาวจรสวรรค์
    ถ้ากำลังใจความเมตตาปรานีของท่านเข้มข้น ก็ต้องไปเกิดเป็นพรหม

    ก็รวมความว่า ท่านตายเมื่อไร ท่านก็มีความสุขกว่าสมัยที่เป็นมนุษย์
    เพราะสมัยที่เป็นมนุษย์นี่ เอาอะไรสุขจริงไม่ได้
    ความหิวก็เป็นความทุกข์ การปวดอุจจาระปัสสาวะ ก็เป็นความทุกข์
    การกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ ก็เป็นอาการของความทุกข์
    การประกอบกิจการงานมีความเหนื่อยยาก ก็เต็มไปด้วยความทุกข์
    ความป่วยไข้ไม่สบาย ก็เต็มไปด้วยความทุกข์
    "ปิยะโต ชายะเต โสโก ปิยะโต ชายะเต ภะยัง"
    ความรักมีที่ไหน ความทุกข์มีที่นั่น ความรักมีที่ไหน อันตรายมีที่นั่น
    กำลังใจนำไปหาอันตรายด้วยความทุกข์ ไม่เกิดประโยชน์
    การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ก็เป็นทุกข์
    การถูกทรมานร่างกายจากโรคภัยไข้เจ็บ
    เข้ามาเบียดเบียนตามกาลเวลา ถ้าถึงวาระที่จะต้องตายอาการประเภทนั้น
    จะทรมานมากที่สุด ทุกข์มากที่สุด แล้วก็ตาย

    รวมความว่า การทรงชีวิตอยู่ไม่มีอะไรดี ก็จะมีดีอยู่อย่างเดียว
    ถ้าเราเป็นคนฉลาดไม่ประมาทในชีวิตที่คิดว่าจะตายไว้เสมอ
    ยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้า
    พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ทรงศีลให้บริสุทธิ์อย่างนี้ไปสวรรค์กันแน่

    ฉะนั้น เมื่อท่านที่มีความเมตตาปรานี
    ท่านตาย อย่างเลวที่สุดก็ไปสวรรค์
    สวรรค์ก็มีความสุข พรหมก็มีความสุข
    อย่างกลางท่านไปเป็นพรหม
    การเกิดเป็นเทวดาก็ดี การเกิดเป็นพรหมก็ดี
    ไม่มีคำว่า "เด็ก" เกิดปุ๊บร่างกายจะเป็นหนุ่มเป็นสาวทันที
    ร่างกายของเทวดาหรือพรหมไม่มีการแก่
    เกิดวันแรกหนุ่มสาวเท่าไร อยู่นานเท่าไรก็ตาม จะมีสภาพอย่างนั้น
    ความหนาวในเทวดากับพรหมก็ไม่มี
    ความหิวกระหายก็ไม่มี ความป่วยไข้ไม่สบายก็ไม่มี
    ความแก่ก็ไม่มี ความเหน็ดเหนื่อยของร่างกาย
    ของเทวดากับพรหมก็ไม่มี รวมความว่ามีสุขจริงๆ
    ที่ท่านเรียกว่า "สุคติ" ไปสู่แดนของความสุข

    อันนี้ก็เป็นอานิสงส์ของเมตตากรุณาทั้ง ๒ ประการ
    ในศีลข้อที่ ๑ ในเวลาที่ท่านจะต้องจากความเป็นเทวดาหรือพรหม
    ในเมื่อหมดบุญวาสนาบารมีลงมา คนที่มีเมตตานี่ไม่ไปอบายภูมิแน่
    ก็ต้องมา ชนปั๋งอยู่ที่มนุษยโลก กลับมารับความทุกข์ในความเป็นมนุษย์ใหม่
    แต่ว่าการทุกข์ในการเป็นมนุษย์ ไม่เท่าทุกข์ในอบายภูมิ

    พอมาถึงโลกมนุษย์แล้วจะได้ อาการของความทุกข์เราไม่พูดกัน
    ความรัก กรุณา ความสงสาร
    เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการทรมานสัตว์
    เว้นจากการทำร้ายร่างกายสัตว์อาการอย่างนี้
    ผลที่จะได้ก็คือ ผลของเมตตาความรัก
    ท่านผู้นั้นจะมีรูปร่างหน้าตา ทรวดทรงสะสวยมาก
    ขอทุกคนโปรดทราบว่าคนที่เกิดมาแล้วเขาสวย
    ทรวดทรงดี ดีไม่ดีก็ประกวดความงามชนะความงามเสียด้วย
    ท่านประเภทนี้สมัยที่เป็นมนุษย์ชาติก่อน
    ท่านมีเมตตาความรักเป็นปกติ
    อารมณ์คิดประทุษร้ายบุคคลอื่นใดหายาก
    จะตอบว่าอารมณ์ที่คิดประทุษร้ายคนอื่นไม่มีนั้นไม่ได้
    เพราะยังไม่ใช่พระอนาคามี
    ถ้าเป็นพระอนาคามีก็ไม่ต้องมาพบกับความเป็นมนุษย์อีก
    ไปเป็นเทวดาหรือพรหมก็ต่อไปนิพพานไปเลย

    ฉะนั้น คนที่มีเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร
    ในชาติก่อนที่จะเกิดเป็นมนุษย์
    จากความเป็นมนุษย์ชาติก่อนของท่าน
    ส่งผลเห็นชัดว่า ท่านเป็นคนทรงสวย รูปก็สวย
    ผิวก็สวย คำว่า "ผิวสวย"
    จะสวยในเขตที่เขาต้องการ
    บางเขตต้องการผิวขาว ท่านก็จะขาว
    บางเขตต้องการผิวเหลืองท่านไปเกิดในแดนผิวเหลือง
    บางเขตต้องการผิวดำแต่ดำสนิท ไม่มีริ้วรอย
    ก็จะเกิดในแดนนั้น รวมความว่าเกิดในแดนไหนก็ตาม
    เป็นคนสวยของแดนนั้น ทรวดทรงก็สวย
    ผิวพรรณก็สวย หน้าตาก็สวย
    มีความยิ้มแย้มแจ่มใสติดมาจากชาติก่อน
    ชาติทีหลังเกิดมาก็ยิ้มต่อไป
    แล้วก็เป็นที่รักของบรรดาประชาชนทั้งหลาย
    ทั้งคนและสัตว์เห็นเข้าก็รักในท่าน
    เพราะอาศัยบุญบารมี เมตตา ความรัก
    กรุณา ความสงสาร เดิมของท่านมีอยู่ติดตามมา
    และในกาลต่อไปถ้าหากว่าไม่เคยฆ่าสัตว์เลย
    หรือมีบ้างในการตีบ้างทรมานบ้างเล็กๆ น้อยๆ
    ท่านผู้นี้จะไม่มีโรค ไม่มีภัยเลย
    จะไม่มีการป่วยไข้ไม่สบายเลยในการเกิดมา
    เพราะการป่วยไข้ไม่สบายนี้
    บรรดาท่านพุทธบริษัท มาจากการฆ่าสัตว์หรือทรมานสัตว์
    การไม่เคารพในศีลข้อที่ ๑ นี่แหละ
    จะเป็นปัจจัยให้เกิดการป่วยไข้ไม่สบาย

    ฉะนั้น บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย
    ที่เคยมาพบอาตมาขอร้องว่าช่วยหน่อยเถอะ เวลานี้ป่วยไข้ไม่สบาย
    บางท่านไม่ใช่ขอร้องและท่านทั้งหลายก็ไม่มาฟ้อง
    ท่านทั้งหลายซ้อมอาตมาเข้าให้
    และขอโทษนะในคำว่า "ซ้อม"
    นี่ไม่ใช่เหมือนกับคนที่เขาชกกัน ไม่ใช่อย่างนั้น
    ชกหรือตีต่อย หรือทุบไม่ใช่อย่างนั้น
    จะว่าซ้อมหรือจะว่าต่อว่าก็ได้
    แต่ความจริงท่านไม่ได้ซ้อมไม่ได้ต่อว่าแต่อาตมาผู้เดียว
    ต่อว่ายันพระพุทธเจ้าเลย มีหลายท่านที่อายุมากแล้ว
    ท่านป่วยเป็นไข้ไม่สบายอยู่มาก เห็นจะเป็นนานแสนนาน
    ในที่สุดท่านมาถึงท่านก็ เอายังงี้ก็แล้วกัน
    พอมาถึงก็ไม่รอดแล้ว "หลวงพ่อเจ้าคะ ทำไมถึงป่วยมากนัก
    เป็นนานแล้วไม่รู้จักหาย กฐินก็ทอด ผ้าป่าก็ทอด
    สังฆทานก็ทำ บาตรก็ใส่ ศาลาก็สร้าง โบสถ์ก็สร้าง
    กุฏิก็สร้าง บุญทุกอย่างทำหมด
    แต่ "พระ" ไม่เห็นช่วยปัดเป่าให้พ้นจากอันตราย
    คือ ป่วยไข้ไม่สบายเลย"

    ล่อ "พระ" เข้าให้ ท่านจวกพระ คำว่า "พระ"
    คำเดียวนะบรรดาท่านพุทธบริษัทพระตั้งแต่องค์แรก
    ก็คือ พระพุทธเจ้า ถึงองค์สุดท้ายพบกันเป็นแถวไปหมด
    โดนต่อว่าอาตมานั้นไม่โกรธ
    อย่านึกว่าอาตมาเป็นพระอรหันต์ หรือพระอนาคามีนะ
    ที่ไม่โกรธนั้นเข้าใจว่าคนป่วยไข้ไม่สบายนี่
    ย่อมมีอารมณ์เดือดร้อนเป็นธรรมดา
    และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาตมาก็เป็นคนป่วยเป็นปกติ
    ขณะที่พูดอยู่ที่นี่ก็ป่วย เวลานี้ พ.ศ. ๒๕๒๘
    ลงศาลาเวลาทำบุญวันพระไม่ได้มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
    ตั้งแต่วันที่ ๑๔ พ.ค. ๒๕๒๘
    จนกระทั่งถึงเดือนที่กำลังพูดอยู่นี่ เป็นวันที่ ๑๘ พ.ย. ๒๕๒๘
    ยังไม่สามารถจะลงแสดงพระธรรมเทศนาที่ศาลาได้เลย
    ปีนี้มันป่วยจริงๆ ป่วยจะเอาถึงขั้นตายก็หลายวาระถึง ๔ ครั้ง
    มันทรมานอย่างหนัก อาตมาก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

    ที่พูดอย่างนี้อย่าคิดว่า เป็นพระอรหันต์นะ จะผิด
    หรือว่าจะผิดเป้าหมาย คำว่า "เรื่องธรรมดา"
    ก็หมายความว่าป่วยเสียจนชิน วันไหนไม่ป่วยไม่มี
    ตั้งแต่อายุ ๒๘ ปี เป็นต้นมา ป่วยเป็นปกติ หรือพูดง่ายๆ ก็เป็นอาชีพป่วย
    ในเมื่ออาการป่วยเป็นปกติอย่างนี้ จึงเห็นใจคนป่วย
    ฉะนั้นญาติโยมที่มาต่อว่านี้ จึงไม่นึกตำหนิท่านเลย แต่ว่าสงสารท่าน

    สงสารเพราะอะไร เพราะว่าโทษปาณาติบาตในชาติก่อน
    ท่านฆ่าสัตว์หรือทรมานสัตว์ไว้มาก ที่ฆ่าคงไม่มาก
    แต่สัตว์ที่ถูกทำร้ายหรือถูกทรมานนั้นมาก
    โทษอันนั้นจึงให้ผลมาป่วยมากแบบอาตมา
    ทีนี้เวลาเทศน์ เขาหาว่ายกตัวไปเปรียบเทียบ
    นี่ไม่ได้เทศน์นั่งคุยกัน นั่งคุยกันไม่ใช่ของแปลก
    เรามาโชว์ความชั่วกัน อาตมานี่ชาติก่อนคงชั่วมาก
    การป่วยไข้ไม่สบายหรือกระทบกระทั่งมาก

    ก็รวมความว่า การทรมานสัตว์มาก เราก็ป่วยมากและก็ป่วยนาน
    ถ้าการทรมานสัตว์น้อย เราก็ป่วยน้อยและก็ป่วยไม่นาน
    นี่ในขั้นของการทรมานและทำร้ายนะ

    ทีนี้ ว่ากันถึงการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เอากันตามเคย
    ท่านบอกว่าบุคคลที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณกรรม
    ที่ท่านพูดเป็นคำพังเพยตามภาษาชาวบ้านว่า
    "วันดีไม่ละ วันพระไม่เว้น"
    ท่านประเภทนี้ ถ้าไปเกิดในชาติต่อไป
    ท่านจะไม่เห็นแสงพระอาทิตย์เลย
    แสงอาทิตย์หรือแสงพระจันทร์ไม่ได้เห็น
    หน้าบิดามารดาท่าน ท่านไม่มีโอกาสโผล่มาเห็น
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะแท้งในท้อง
    ไม่ทันเห็นเดือนเห็นตะวันท่านก็แท้งตาย ตายแล้ว

    ต่อมาถ้ากำลังบาปเบากว่านั้นนิดหนึ่ง วันดีไม่ละ
    แต่วันพระท่านประเภทนี้พอคลอดจากครรภ์มารดาก็ตาย
    อาจจะคลอดปุ๊บตายปั๊บ หรืออาจจะคลอดออกมา
    ได้วันสองวันตายก็ได้ คนประเภทนี้จำไว้ด้วยนะ
    ต่อมาถ้าบาปน้อยกว่านั้นอีกหน่อย ฆ่าน้อยกว่านั้นอีกนิดแต่ก็ยังมากอยู่
    เป็นเด็กพอเดินได้แข็งก็ตาย ฆ่าสัตว์น้อยกว่านั้นอีกนิดหนึ่งเป็นเด็กที่แข็งแรง
    ใกล้จะหนุ่มสาวก็ตายน้อยกว่านั้นอีกหน่อย
    พอหนุ่มสาวเต็มตัวก็ตายน้อยกว่านั้นอีกหน่อยหนึ่ง
    พอไปวัยกลางคนก็ตาย น้อยกว่านั้นเหลือหน่อยๆ
    เป็นบาปไม่มากนัก ฆ่าไม่มากนักอายุถึงอายุขัยจึงตาย
    หรือเลยอายุขัยจึงตาย

    นี่ว่ากันถึงด้านความตาย บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    มีหลายท่านมาคำนึงพึงคิดว่าคนที่เกิดตัวเล็กๆ ทำไมจึงตาย มาถามกันเยอะ
    น่าสงสารเด็ก บางท่านก็บอกว่าเด็กมันมีบุญ
    ยังไม่มีการทรมานมากมันตาย แต่ความจริงไม่ใช่
    นั่นคือโทษปาณาติบาตติดตามมา โปรดทราบไว้ด้วย

    ความจริง คนหรือสัตว์ที่ตายไม่น่าจะร้องไห้
    เพราะว่าไม่มีใครอยากตาย มันตายของมันเอง
    ในเมื่อเราเองก็ห้ามความตายไม่ได้ คนอื่นตายเราจะร้องไห้ทำไม
    ไม่ควรจะถือประเพณีการร้องไห้ ควรจะเอาเป็นครูสอนว่า
    "ถ้าเด็กกว่าเรามากเท่าไร เราก็ตั้งใจว่า
    นี่ขนาดเด็กกว่าเราเขายังเด็ก เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่กว่าทำไมจะไม่ตาย
    ความตายอาจจะถึงเราในวันพรุ่งนี้"
    เอาเป็นครูไปเลย นี่ว่าถึงโทษ

    ถ้าว่าถึงคุณบ้างล่ะ คุณของท่านไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
    ไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเลย อันนี้ เกิดมาใน ชาตินี้อายุยาวเลย
    เรียกว่า "เลขอายุขัย" เวลานี้อายุขัย ๗๕ ปี
    ท่านทั้งหลายเหล่านี้อาจจะ ๑๐๐ ปีเศษ
    ทีนี้ท่านที่ไม่มีการป่วยไข้ไม่สบาย
    หากว่ามีการฆ่าสัตว์น้อยอายุก็มากหน่อย
    แต่อาจจะไม่เต็มอายุขัยเป็นต้น

    รวมความว่า นอกจากจะเป็นคนสวยแล้ว
    ก็เป็นคนมีอายุยืนนาน แล้วไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน
    ถ้าไม่ฆ่า ไม่ทรมาน และไม่ทำร้ายร่างกายสัตว์
    จึงขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    ผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตร
    ท่านที่ต้องการหนีนรก การหนีนรกได้วิธีหนึ่ง
    คิดว่าความตายจะถึงเราในวันนี้รวบรัดความดี
    คือ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์

    อันนี้เราหนีนรกได้ชาติเดียว
    ชาติต่อไปถ้าเราลืมอาการนี้มันก็ต้องลงนรกกันเหมือนกัน
    นรกมันตามทัน ถ้าหากว่าเรารักษาศีลได้ทรงตัวทั้ง ๕ ข้อ
    ถ้ารักษาได้ทั้ง ๕ ข้อ แสดงว่าเป็นการกั้นกำแพง ๕ ชั้น
    ถ้าเรารักษาได้ข้อเดียวก็เป็นกำแพงชั้นเดียว
    ถ้ากำแพงชั้นเดียวหรือตอนเดียวน่ะ
    บังเอิญเดิน สุดกำแพงไปมันลงนรกได้เหมือนกัน

    ฉะนั้น จึงขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
    หากว่ายังจะทรงศีลได้ข้อเดียวก็ทรงให้มั่นคง
    ทำกำลังใจให้ตรงข้ามขั้นของฌาน
    คำว่า "ฌาน" เป็นยังไง? "ฌาน" แปลว่า "การเพ่ง"
    ท่านแปลแบบนี้ แปลตามศัพท์ ไม่หนักใจ
    แต่หนักปัญญานิดๆ ว่านั่งเพ่งกันจะไหวหรือ
    หูตาแสบไปหมด มีหลายท่านบอก
    ให้ไปดูภาพพระพุทธรูป นั่งเสียน้ำตาไหลไปเลยตาแสบ

    ทีนี้ว่าถึงกำลังใจเมตตา กรุณา ความรัก
    ทำถึงฌานเป็นอย่างไร ? "ให้จิตทรงอารมณ์"
    ให้เข้าใจว่า "ฌาน" คือ อารมณ์ชิน ชินกับความรัก
    ชินกับความเมตตา ชินกับการให้อภัย
    กับคนหรือสัตว์ที่มีความผิด ไม่คิดอยากจะประทุษร้ายใคร
    แต่อาจจะต้องคิดนะ ยังไม่เป็นอนาคามี
    แต่ถึงอย่างไรก็ดี ถ้าคิดแล้วก็เลิกง่ายไม่ทำร้ายจริงๆ
    ไม่ฆ่าจริงๆ ถ้าจิตใจทรงอยู่อย่างนี้
    บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง
    ยังไงๆ กำแพงชั้นที่หนึ่ง ก็สามารถกันนรกได้
    แต่ยังไม่ถือว่าทุกชาติ เอากันแค่ชาติเดียวก่อน
    ถ้ากันกำแพงถึง ๕ ขั้นนี่ กันนรกทุกชาติเลย
    บาปตามไม่ทันแน่ ดันมาไม่ถึง

    ในเมื่อมองดูเวลา บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    เวลาก็หมดแล้วก็ต้องขอลาบรรดาสาวก
    ขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์
    ที่กำลังฟังอยู่นี่ในงวดหน้าต่อไปฟังกันใหม่
    ถ้ายังมีความประโยชน์ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
    จงมีแต่ความสุขสวัสดิ์ พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
    และจงเจริญด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ
    มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านพึงประสงค์สิ่งใด
    ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมปรารถนาจงทุกประการ สวัสดี...
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...