สู่แสงธรรม กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอน พระสงฆ์ปฏิบัติตนเหมาะสมแล้วหรือ?

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 22 สิงหาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    สู่แสงธรรม กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอน พระสงฆ์ปฏิบัติตนเหมาะสมแล้วหรือ?
    [​IMG]
    จากการที่ข้าพเจ้าได้พบได้เห็นเหตุการณ์แปลกๆ และสิ่งที่อาจเรียกว่ามหัศจรรย์ต่างๆ จากหลวงพ่อหลายหนหลายครั้ง ดังที่ได้เขียนเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบแล้วในตอนที่ ๑ อีกทั้งได้สอบถามปัญหาหลวงพ่อไปบ้างแล้ว และก็ได้รับคำตอบที่แจ่มกระจ่างในทุกปัญหาที่ถาม ซึ่งในชีวิตของข้าพเจ้ายังไม่เคยพบพระสงฆ์องค์ใด ที่มีปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศเช่นหลวงพ่อมาก่อน

    ก็ยิ่งบังเกิดความเคารพเลื่อมใสอย่างจริงใจ และเกิดศรัทธาที่จะปฏิบัติธรรมกับเข้าบ้าง แต่ก็เป็นเพียงแต่คิดเท่านั้น ยังปฏิบัติไม่ได้สักที ด้วยจิตที่เคลือบแคลงสงสัยในพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าอยู่ ทั้งนี้เพราะเมื่อครั้งที่ข้าพเจ้ายังเยาว์วัยประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ซึ่งยังอยู่ในช่วงของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าได้ไปช่วยเหลือปรนนิบัติหลวงปู่ (เป็นปู่ของข้าพเจ้าเอง) ซึ่งบวชอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) เป็นระยะเวลานานพอสมควร

    ในช่วงนั้นก็ได้เห็นความเหลวแหลกของพระในวัดมากมายอาทิเช่น มีการแบ่งพรรค แบ่งพวก มีการแย่งเส้นทางบิณฑบาต มีการเลือกรับนิมนต์เฉพาะเจ้าภาพรายที่คาดคิดว่า เมื่อไปแล้วจะได้ฉันอาหารรสเลิศ และได้รับการถวายเงินมากพอคุ้มค่า ครั้นเมื่อผิดหวังกลับถึงวัดก็นั่งสวดเจ้าภาพเป็นต้น

    และอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้มีโอกาสติดตามหลวงปู่ ไปที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี (ขอสงวนนาม) ซึ่งเป็นช่วงของงานพิธีสลากภัตรมะม่วงพอดี จึงขออนุญาตหลวงปู่ติดตามบรรดาศิษย์วัดไปบริเวณพิธี ที่เขาบันไดอิฐ ปรากฎว่าบรรดาพุทธศาสนิกชนนำมะม่วงมาคอยใส่บาตรพระเรียงรายสองฟากบันไดขึ้นลงเขา แน่นขนัดไปหมด

    ลูกศิษย์แต่ละคนต้องถ่ายมะม่วงจากบาตรพระใส่ตระกร้าหาบตาม แต่และหาบมีมะม่วงเต็มแทบจะล้น ระหว่างทางที่หาบมะม่วงกลับวัดนั้น ลูกศิษย์ทุกคนแม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ก็พูดคุยกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและหวังกันว่า วันนี้แหละคงจะได้ลิ้มรสมะม่วงอกร่องสุกเหลืองอร่ามกันให้เต็มคราบ สมกับที่อยากกันมานานเสียที ข้าพเจ้าเองซึ่งมีส่วนช่วยกันผลัดเปลี่ยนลูกศิษย์วัดบางคนหาม ก็พลอยมีความหวังไปกับเขาด้วย

    แต่เมื่อถึงวัด ความหวังของลูกศิษย์ทุกคนรวมทั้งข้าพเจ้าก็พังทะลายลงอย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวคือ พระแต่ละองค์ได้สั่งให้ลูกศิษย์นำหาบมะม่วงในส่วนของตน เข้าไปจัดเรียงไว้ในห้องของตน แล้วปิดห้องสั่นกุญแจเสียสิ้น พระแต่ละองค์ต่างก็ถือมะม่วงติดมือกันออกมาเพียงองค์ละลูกสองลูกพอแก่การฉันของตนเท่านั้น เชื่อไหมครับว่า นอกจากลูกศิษย์จะไม่ได้ลิ้มรสมะม่วงที่อุตส่าห์ไปหาบหามกันมาแล้ว

    แม้อาหารที่เหลือจากพระฉันเป็นต้นว่าไข่เค็ม ปลาแห้ง ปลาสลิด เนื้อเค็ม หรืออาหารอื่นที่พอจะเก็บนานๆ ได้ หลวงตา หลวงลุง หลวงอา หลวงพี่ ทั้งหลายเหล่านั้นก็เอากระดาษหนังสือพิมพ์ห่อเก็บเข้ากุฏิกันเป็นแถว คงเหลือแต่เศษข้าวกับน้ำแกงคาถ้วยให้บรรดาลูกศิษย์กิน นี่เป็นเพียงมื้อเช้าเท่านั้นนะ

    พอตกเพล พระเหล่านั้นก็ลำเลียงอาหารจากกุฏิออกมาองค์ละอย่าง สองอย่าง โดยเลือกเอาเฉพาะที่เห็นว่าหากเก็บไว้เป็นต้องบูดแน่ ส่วนไข่เค็ม ปลาแห้ง ปลาสลิด และเนื้อเค็มนั้น ยังคงห่อเก็บแอบไว้ในกุฏิอย่างเหนียวแน่นรัดกุม ซึ่งเมื่อฉันเพลเสร็จก็คงเหลือเพียงข้าวก้นบาตรให้ลูกศิษย์แย่งกันกินเท่านั้น

    ยิ่งมื้อเย็นด้วยแล้วไม่ต้องพูดเลย หากเย็นใดโชคดีก็พอมีข้าวที่เกือบจะบูดพอคลุกกับน้ำปลาได้บ้าง เคราะห์ดีที่หลวงปู่ของข้าพเจ้า ได้กรุณามอบเงินไว้ให้ข้าพเจ้าแยกไปหาซื้ออาหารกินเองต่างหาก ไม่เช่นนั้นคงจะลำบากมิใช่น้อย

    แม้ว่าในขณะนั้นข้าพเจ้าจะเยาว์วัย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามะม่วงจำนวนมาก ที่พระแต่ละองค์แยกกันนำไปกองเก็บไว้ในกุฏิของตนนั้น หากจะฉันโดยลำพังแล้ว ก็ไม่น่าจะฉันกันได้หมด และมะม่วงก็คงจะต้องเน่าเสียไปก่อนเป็นแน่ และก็จริงดังคาด ได้มีญาติโยมของพระแต่ละองค์ มาพากันขนไปในวันรุ่งขึ้นจนหมดสิ้น ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบว่าจะขนเอาไปกินหรือขนเอาไปขายกันแน่

    อีกครั้งหนึ่งในระหว่างที่ข้าพเจ้ายังเป็นนักเรียนนายร้อยจปร. และมีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่เชียงใหม่ในช่วงปิดภาคเรียน วันหนึ่งได้ขี่จักรยานเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ รอบเมือง ผ่านวัดแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) เห็นพระเณรกำลังช่วยกันมุงกระเบื้องหลังคาโบสถ์ เหงื่อไหลไคลย้อย จึงหยุดดู นึกชมอยู่ในใจว่าพระเณรเหล่านี้ มีความขยันขันแข็ง มีจิตใจดีที่ช่วยกันบูรณะซ่อมแซมโบสถ์ชำรุด ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าในการใช้ประกอบศาสนกิจโดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยาก

    ในขณะที่กำลังนึกชื่นชมอยู่นั้น ก็มีเด็กนักเรียนหญิงรุ่นสาวกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมาบรรดาพระเณรที่กำลังมุงกระเบื้องหลังคาโบสถ์อยู่ต่างก็พากันละมือ หันไปจ้องมองนักเรียนสาวกลุ่มนั้นเป็นตาเดียวกัน และพร้อมกันนั้นก็มีเสียงหนึ่งจากหลังคาโบสถ์ตะโกนว่า “ซ้าย ขวา ซ้าย” ให้จังหวะการเดินของนักเรียนสาวๆ และพลันก็มีลูกคู่จากบนหลังคาโบสถ์ตะโกนรับ “ซ้าย ขวา ซ้าย” กันอย่างเซ็งแซ่

    ความรู้สึกชื่นชมของข้าพเจ้าที่มีอยู่เมื่อสักครู่ หายไปโดยฉับพลัน และกลายเป็นความโกรธเกลียดเข้ามาแทนที่ อย่างไม่สามารถที่จะระงับไว้ได้ จึงตะโกนขึ้นไปว่า “เฮ้ย อะไรกันโว้ย” และด้วยเสียงตะโกนนี้เอง จึงทำให้พระเณรเหล่านั้นเลิกราความคึกคะนองหันไปมุงหลังคาโบสถ์กันต่อไปได้

    อีกครั้งหนึ่งข้าพเจ้าไปฝึกภาคที่ปราจีนบุรี และทางโรงเรียนนายร้อยจปร. ได้ให้นักเรียนการกระโจมที่พักอยู่ที่สนามหญ้าหน้ากำแพงวัดวัดหนึ่ง ตกตอนเย็นข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ก็ได้เห็นพระ ๓ รูป ล้อมวงเตะตะกร้อกัน และอีก ๓ รูป ล้อมวงดื่มน้ำขาวกันเป็นที่ครื้นเครง

    นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าท่าของผู้ครองผ้าเหลืองอีกมากมายที่ข้าพเจ้าได้พบได้เห็นมาซึ่งจะไม่ขอนำมากล่าวในที่นี้ แต่สรุปความว่า ภาพความเหลวแหลกและจิตใจของข้าพเจ้าตลอดมา ยากที่จะทำใจให้มีความเคารพนับถือด้วยความจริงใจได้ และถ้าหากขืนปล่อยทิ้งไว้ก็เป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงในการปฏิบัติธรรม อย่างแน่นอน ดังนั้นในวันหนึ่งข้าพเจ้าจึงได้ระบายความรู้สึกของข้าพเจ้าให้หลวงพ่อฟังว่า

    “หลวงพ่อครับ ผมขอสารภาพกับหลวงพ่ออย่างตรงไปตรงมานะครับว่า ผมเคารพในพระพุทธเจ้า เพราะพุทธเจ้าท่าน เป็นผู้เสียสละอย่างใหญ่หลวง ไม่ว่าจะเป็นมงกุฎของจอมจักรพรรดิ์ ราชินีผู้เลอโฉม ราชบุตรที่น่ารัก ตลอดจนนางสนมกำนัลในและข้าราชบริพารผู้จงรักภักดี เพื่อออกบวชแสวงหาสัจธรรม ด้วยความยากลำบากอย่างแสนเข็ญโดยลำพังพระองค์เอง

    และเมื่อทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังทรงเมตตาแสดงธรรมสั่งสอนให้สัตว์โลกทั้งหลายพ้นทุกข์อีกด้วย ดังนั้นผมจึงเคารพเทิดทูนพระพุทธองค์ ด้วนความจริงใจโดยไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน ทั้งนี้เพราะผมได้พิจารณาในพระธรรมคำสั่งสอนด้วยเหตุและด้วยผลแล้ว เห็นว่าเป็นความจริงตลอดกาล หาอะไรมาโต้แย้งไม่ได้เลย และถ้าปฏิบัติตามก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีที่ถูกที่ควร ทั้งต่อตัวเองและสังคมส่วนรวมทั้งสิ้น แต่พระสงฆ์นี่สิครับ ผมบอกตรงๆ ว่าผมไม่ศรัทธาเลย”

    “พระสงฆ์เป็นยังไงหรือ?” หลวงพ่อถามอย่างอารมณ์ดี และข้าพเจ้าก็ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดตามที่ข้าพเจ้าเคบประสบมาให้หลวงพ่อฟัง ดังที่เขียนไว้แล้วในตอนต้น ซึ่งหลวงพ่อฟังแล้วก็ยิ้มถามเรื่อยๆ ว่า

    “เออ! แล้วคุณรู้ได้อย่างไรล่ะ ว่าท่านเหล่านั้นเป็นพระสงฆ์”

    “พระสงฆ์ซีครับหลวงพ่อ เพราะโกนหัวนุ่งเหลืองห่มเหลืองแบบหลวงพ่อนี่แหละครับ” ข้าพเจ้าชักเริ่มหงุดหงิด

    “ที่โกนหัว นุ่งเหลืองห่มเหลืองน่ะ เขาเรียกว่า สมมติสงฆ์ นะ มิใช่พระสงฆ์หรอก เออนี่ ! คุณสวดอิติปิโส ได้ไหม?” หลวงพ่อพูดแล้วย้อนถามข้าพเจ้า

    “โธ่! หลวงพ่อ ตอนเป็นนักเรียนนายร้อยน่ะ เขาจับผมเข้าแถวสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน ไม่เคยว่างเว้นเลยครับ โดยเฉพาะบทอิติปิโสน่ะ ผมสวดคล่องมาก เพราะย่าสอนให้ตั้งแต่เด็ก” ข้าพเจ้ารีบตอบ

    “เออ ดีมาก ไหนคุณลองสวดอิติปิโส ท่อนสุดท้าย ให้ฉันฟังซิ” หลวงพ่อพูดยิ้มๆ

    “สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลี กะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติฯ” ข้าพเจ้าสวดให้หลวงพ่อฟังตามที่ท่านสั่ง อย่างชัดถ้อยชัดคำ ทั้งๆ ที่ยังงงอยู่ว่าหลวงพ่อให้สวดไปทำไม

    “เอาละ ที่นี่คุณลองแปลให้ฉันฟังซิ ว่าในบทสวดตอนนี้เขาว่ายังไง” หลวงพ่อถาม

    “เขาก็ให้ระลึกถึงคุณงามความดีของพระสงฆ์ นั้นแหละครับ” ข้าพเจ้าตอบอย่างขอไปที เพียงแค่คิดเอาตัวรอด แต่ก็ไม่รอดเพราะหลวงพ่อถามย้ำอีกว่า “นั้นสิ ที่ว่าคุณงามความดีของพระสงฆ์น่ะ มีอะไรบ้าง”

    “ไม่ทราบครับ” ข้าพเจ้าตอบเสียงอ่อยๆ อย่างจำนน ด้วยไม่รู้จริงๆ ว่าเขาแปลว่าอย่างไร

    “ความจริงแล้ว อิติปิโส ท่อนสุดท้ายนี้ ท่านกล่าวไว้แล้วโดยละเอียดนะว่า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั้น จะต้องเป็น พระสุปฏิปันโน คือ เป็นผู้ปฏิบัติดี, อุชุปฏิปันโน คือ เป็นผู้ที่ปฏิบัติตรง, ญายปฏิปันโน คือ เป็นผู้ที่ปฏิบัติถูกแล้ว, สามีจิปฏิปันโน คือ เป็นผู้ที่ปฏิบัติชอบแล้ว อย่างไรล่ะ เข้าใจไหม?” หลวงพ่ออธิบาย แล้วถามข้าพเจ้าด้วยความเมตตา

    “เข้าใจแล้วครับหลวงพ่อ ผมเพิ่งนึกออกตอนนี้เองครับว่า ในตอนเข้าแถวสวดมนต์นั้น มีคำแปลของตอนนี้ด้วยว่า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดี, ปฏิบัติตรง, ปฏิบัติควร, ปฏิบัติชอบ, และเป็นพยานในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ว่าปฏิบัติตามได้จริง และมีผลประเสริฐจริง”

    “เอ! ไม่เลวนี่ ความจริงคุณก็จำได้ออกแม่นยำและก็เป็นคำอธิบายที่ชัดเจนแล้วนี่นาว่า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั้น ต้องเป็นพระที่มีความประพฤติปฏิบัติอย่างไร?” หลวงพ่อชม แต่พอข้าพเจ้าจะได้ปลื้มสักหน่อยก็ต้องชงัก เพราะหลวงพ่อพูดต่อว่า “หรือว่าคุณท่องจำมาแบบนกแก้ว นกขุนทอง เลยไม่รู้ความหมาย?”

    “ครับ คงเป็นแบบนั้นแหละครับ เพราะผมถูกบังคับให้สวดก็สวดไปตามหน้าที่ให้จบๆ ไป จะได้เข้านอนเท่านั้นเอง” ข้าพเจ้าตอบอ่อยๆ ไปตามความเป็นจริง

    “เออ ดี รับมาตรงๆ อย่างนี้ฉันชอบ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าที่ท่านปฏิบัติดี, ปฏิบัติตรง, ปฏิบัติควร, ปฏิบัติชอบ ตามที่คุณว่านั้นก็เพื่อมุ่งสู่เล้นทางเดินของพระอริยเจ้านั้นเอง” หลวงพ่ออธิบายต่อ

    “พระอริยเจ้า เป็นอย่างไรครับ หลวงพ่อ” ข้าพเจ้ารีบถาม

    “อ้าว! พระอริยเจ้าก็คือพระที่มุ่งทางโลกุตระ มิใช่ทางโลกียะ ไงล่ะ” หลวงพ่อตอบเรื่อยๆ แต่ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งงงหนักเข้าไปอีก จึงถามว่า

    “แล้ว โลกียะ กับ โลกุตระ เป็นยังไงครับหลวงพ่อ”

    “การที่ผู้ใดทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วยังหวังลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นการตอบแทนแล้ว เขายังเรียกว่า เป็น โลกียชนอยู่ ดังนั้น บรรพชิตท่านใด แม้มีสมณศักดิ์สูงส่งแค่ไหน หากยังชื่นชมในลาภสักการก็ดี ยังหลงในสมณศักดิ์ชั้นยศที่ได้รับก็ดี หรือหลงในคำสรรเสริญเยินยอของสานุศิษย์ก็ดี หรือหลงในสุขจากสถานที่พำนักที่อบอวลไปด้วยไอเย็นของเครื่องปรับอากาศ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ดี ก็จะยังจัดอยู่ในประเภทของโลกียชนนะ หากนุ่งผ้าเหลืองห่มเหลืองก็ยังคงเป็นสมมติสงฆ์อยู่นะ

    แต่ถ้าการทำอะไรแล้ว ไม่หวังในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นสิ่งตอบแทนแล้ว นั้นแหละเขาเรียกว่าเป็นโลกุตระละ และการมุ่งสู่โลกุตระนี้แหละจะเป็นหนทางที่หลุดพ้นจากกิเลส ตัญหา อุปาทาน และอกุศลกรรมทั้งหลายแหล่ เป็นพระอริยเจ้าได้ และพระอริยเจ้าที่ว่านี้ ก็ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์นั้นเอง เข้าใจหรือยังล่ะ?” หลวงพ่ออธิบายแล้วถามอย่างอารมณ์ดี

    “พอเข้าใจครับ เราจะรู้ได้ว่าท่านองค์ใด น่าจะเป็นสมมุติสงฆ์ หรือองค์ใดน่าจะเป็นพระอริยสงฆ์ ก็ต้องดูกันที่ความประพฤติ และการปฏิบัติของแต่ละท่านใช่ไหมครับ?” ข้าพเจ้าตอบด้วยความภาคภูมิใจ

    “เออ! ใช่...เก่งเหมือนกันนี่ จำไว้นะ ว่าต้องดูที่ปฏิปทาของแต่ละท่านนะ” หลวงพ่อชมและย้ำเพิ่มเติม

    “ครับ หลวงพ่อ แต่ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าพระอริยสงฆ์องค์ใดท่านเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ล่ะครับ? ” ข้าพเจ้ารีบถามต่อเพราะเห็นหลวงพ่อเมตตา

    “อ้าว! จะรู้ได้ก็ต้องเอาสังโยชน์ ๑๐ มาเป็นเครื่องมือวัดซิคุณ..!” หลวงพ่อตอบอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วมันไม่ธรรมดาเลยเพราะคำว่า สังโยชน์ ๑๐ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้ยินเลย

    จึงถามหลวงพ่อว่า “สังโยชน์ ๑๐ เป็นอย่างไรครับ หลวงพ่อ?”

    “สังโยชน์ ๑๐ ก็แปลว่า กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดจิตใจให้ตกอยู่ในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่างด้วยกัน คือ :-

    ๑) สักกายทิฏฐิ เห็นว่าขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้เป็นของเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเรา
    ๒) วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยและสงสัยในผลการปฏิบัติว่าจะไม่มีผลจริง
    ๓) สีลัพพตปรามาส รักษาศีล แบบลูบๆ คลำๆ คือไม่รักษาศีลจริงจัง เคร่งครัดตามพอสมควร
    ๔) กามราคะ มีจิตมั่วสุม หมกมุ่น ใคร่อยู่ในกามารมณ์เป็นปกติ
    ๕) ปฏิฆะ มีอารมณ์ผูกโกรธ จองล้าง จองผลาญเป็นปกติ
    ๖) รูปราคะ ยึดถือมั่นในรูปฌาน โดยคิดเอาว่ารูปฌานเป็นคุณธรรมพิเศษสูงสุด ที่ทำให้พ้นจากวัฏฏะได้
    ๗) อรูปราคะ ยึดมั่นในอรูปฌาน โดยคิดเอาว่าอรูปฌานเป็นคุณธรรมพิเศษสูงสุด ที่ทำให้พ้นจากวัฏฏะได้
    ๘) อุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ครุ่นคิดอยู่ในอกุศล มีอกุศลวิตกเป็นอารมณ์
    ๙) มานะ มีอารมณ์ถือตัว ถือตน ถือชั้นวรรณะเกินพอ
    ๑๐) อวิชชา มีความคิดเห็นว่า โลกามิส เป็นสมบัติที่ทรงสภาพไม่เปลี่ยนแปลง ไม่สลายตัว

    กิเลสทั้ง ๑๐ ประการนี้แหละท่านเรียกว่า สังโยชน์ ๑๐ ละเข้าใจไหม? จดทันไหม? แต่ความจริงไม่ต้องจดก็ได้ เพราะฉันจะเขียนไว้ให้ในคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน” หลวงพ่ออธิบาย

    “ครับ! แต่สังโยชน์ ๑๐ จะเกี่ยวข้องกับพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ ได้อย่างไรหรือครับ?” ข้าพเจ้าถาม

    “อ้าว! ถ้านักปฏิบัติ นักเจริญวิปัสสนาญาณท่านใด กำจัดกิเลสในสังโยชน์ ๑๐ สามข้อแรกได้ (ข้อ ๑ ถึงข้อ ๓) ท่านว่าท่านผู้นั้นได้บรรลุ พระโสดาบัน ถ้าบรรเทาสังโยชน์ข้อที่ ๔ และที่ ๕ ลงได้ก็จะเป็น พระสกิทาคามี ถ้าตัดกิเลสในสังโยชน์ ๑๐ ได้ใน ๕ ข้อแรก (ข้อ ๑ ถึงข้อ ๕) ท่านว่าผู้นั้นได้บรรลุเป็น พระอนาคามี และถ้าตัดกิเลสในสังโยชน์ ๑๐ ได้ทั้ง ๑๐ ข้อ ท่านว่าผู้นั้นได้บรรลุเป็น พระอรหันต์ ยังไงล่ะ” หลวงพ่ออธิบายอย่างเมตตา

    “แหมผมเสียดายจังครับหลวงพ่อ ที่ไม่ได้บวชเป็นพระ มิฉะนั้นแล้วผมจะลองปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์ ๑๐ กับเขาดูบ้าง” ข้าพเจ้าพูด

    “อ้าว! นี่คุณยังไม่เข้าใจถึงคำว่า พระ เลยซินี่ คำว่า “พระโยคาวจร” นั้น ท่านหมายรวมถึงทั้งท่านที่บวชเป็นพระ และอุบาสกอุบาสิกานะ เพราะท่านใดก็ตามที่เริ่มเจริญสมถกรรมฐานและเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ท่านเรียกว่า พระ ทั้งสิ้นนะ ทั้งนี้เพราะ พระ หมายถึง ผู้ที่เริ่มเข้าถึงความเป็นผู้ประเสริฐ โยคาวจร แปลว่า ผู้ที่ประกอบความเพียรนะ

    รวมความแล้ว "พระโยคาวจร" ก็คือท่านผู้มีความประพฤติประกอบความเพียร เพื่อให้ถึงซึ่งความเป็นผู้ประเสริฐนะ ดังนั้นฆราวาสอย่างพวกคุณนี้หากเริ่มเจริญกรรมฐานเมื่อใด ท่านเรียกว่า พระทันที ได้เปรียบกว่าท่านที่บวชเสียอีก เพราะท่านที่บวชแล้วเข้ายังไม่เรียกว่าพระนะ แต่เรียกว่าสมมติสงฆ์ เพราะเพียงแต่เอาตัวเข้าพวกเท่านั้น ยังมิได้เอาใจเข้าพวก

    ต่อเมื่อท่านที่บวชเริ่มปฏิบัติพระกรรมฐานนั่นแหละ ท่านจึงจะเรียกว่า พระ และหากประกอบความเพียรเพื่อหวังบรรลุมรรคผลนิพพาน จึงจะเรียกว่า พระโยคาวจร ซึ่งถือว่าเป็นพระแท้นะ เข้าใจหรือยังล่ะ?” หลวงพ่ออธิบาย

    “ถ้ายังงั้น ฆราวาสอย่างพวกผมก็มีสิทธิ์ปฏิบัติเพื่อให้บรรลุมรรคผลเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ กับเขาได้ซีครับหลวงพ่อ” ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้

    “ใช่แล้ว เป็นได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นฆราวาสหากบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์แล้ว จะต้องตายภายใน ๒๔ ชั่วโมง นะ” หลวงพ่อตอบ

    “ทำไมต้องตายด้วยล่ะครับ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความสงสัย

    “ตายเพื่อไปเสวยสุขในนิพพานน่ะ เป็นสุดยอดของความดีในพระพุทธศาสนาทีเดียวนะคุณ และการที่ต้องตาย ก็เป็นเพราะจิตของพระอรหันต์นั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องเกินกว่าที่จะอยู่ในคราบของฆราวาสต่อไปได้ ทั้งนี้เพราะฆราวาสจะต้องเกลือกกลั้วกับโลกียชน และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งฆราวาสที่มีจิตพระอรหันต์ ไม่สามารถจะยอมรับได้อีกต่อไปแล้วนั้นเอง แต่ถ้าพระภิกษุสงฆ์ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็จะยังมีชีวิตต่อไปได้นะ” พอเข้าใจหรือยังล่ะ? หลวงพ่ออธิบายแล้วย้อนถามข้าพเจ้า

    “เข้าใจแล้วครับ หลวงพ่อ” ข้าพเจ้าตอบด้วยความเคารพ

    “เอาละในเมื่อเข้าใจแล้วว่า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีความประพฤติประกอบความเพียรเพื่อหวังบรรลุมรรคผลนิพพาน ด้วยการละกิเลสในสังโยชน์ ๑๐ ไปทีละข้อ จนเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์เช่นนี้ คุณพอจะเคารพเทิดทูนในพระสงฆ์ได้หรือยัง? ” หลวงพ่อพูด แล้วถามยิ้มๆ

    “ถ้าผมได้เข้าใจอย่างนี้แล้ว ผมก็ต้องเคารพเทิดทูนในพระสงฆ์ได้ อย่างไม่มีอะไรเคลือบแคลงสงสัยอีกต่อไปน่ะซีครับ ที่ผมไม่เคารพเพราะยังไม่มีใครเขาอธิบายให้ผมฟังอย่างที่หลวงพ่ออธิบายมาก่อนนี่ครับ” ข้าพเจ้าตอบ

    เป็นยังไงครับ! ท่านผู้อ่านที่รัก พอจะเข้าใจในพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง กระจ่างชัดขึ้นบ้างแล้วใช่ไหมครับ..?
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     

แชร์หน้านี้

Loading...