สู่แสงธรรม กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอน พระพุทธศาสนาในปัจจุบันเสื่อมจริงหรือ?

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 25 สิงหาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    สู่แสงธรรม กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอน พระพุทธศาสนาในปัจจุบันเสื่อมจริงหรือ?
    [​IMG]
    ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ข้าพเจ้าเป็นคนที่ชอบศึกษาค้นคว้าอยู่เฉยไม่ค่อยจะได้ เมื่อสนใจในเรื่องของพุทธศาสนาขึ้นมาก็หาหนังสือมาอ่านเล่มแล้วเล่มเล่า ในที่สุดก็อ่านไปพบหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งเขียนอ้างว่าได้มีการสำรวจประชาชนในโลกนี้ แล้วพบว่าชาวโลกนับถือศาสนาคริสต์มากเป็นอันดับหนึ่ง ศาสนาอิสลามเป็นอันดับสอง และพุทธศาสนาเป็นอันดับสาม

    โดยเฉพาะได้กล่าวถึงความเสื่อมของพุทธศาสนาด้วยว่า ชาวพุทธนั้นส่วนใหญ่ถือบวชกันตามประเพณี มากกว่าที่จะถือบวชกันด้วยความศรัทธาเช่นศาสนาอื่น กล่าวคือพ่อแม่ที่มีลูกชายหากอายุครบบวช ก็จะจัดการ ให้ลูกได้บวชเรียนก่อนมีครอบครัวคือ “บวชก่อนเบียด” เพื่อให้พ่อแม่ได้มีโอกาสเกาะชายผ้าเหลืองของลูกไปสวรรค์กับเขาบ้าง

    และเมื่อถึงวันบวชของลูกชายก็มีการล้มวัว ควาย หมู ไก่ เลี้ยงดูแขก มิหนำซ้ำพ่อแม่ของผู้บวชก็จะดื่มสุรา เมายา จนเมาแประออกไปรำนำนาคเข้าสู่โบสถ์ ซึ่งนับว่าเป็นการผิดศีลข้อ 5 ของพุทธศาสนาเองเสียด้วยซ้ำไป เป็นต้น (เสียดายที่ข้าพเจ้าจำชื่อหนังสือเล่มนั้นไม่ได้ เพราะอ่านมากว่า 20 ปีแล้ว)

    ด้วยเหตุนี้เอง ในวันหนึ่งข้าพเจ้าจึงได้ถือโอกาสเล่าเรื่องราวทั้งหมด ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นให้หลวงพ่อฟังแล้วตั้งคำถามว่า..

    “การที่พุทธศาสนิกชนถือบวชตามประเพณี มากกว่าที่จะถือบวชเพราะแรงศรัทธาก็ดี หรือการที่ต้องล้ม วัว ควาย เลี้ยงดูแขกก็ดี หรือการที่บิดา มารดาของผู้บวชดื่มสุรายาเมา จนเมาแประออกไปรำนำนาคลูกชายเข้าสู่โบสถ์นั้น เป็นเพราะพุทธศาสนาเสื่อมไปใช่ไหมครับหลวงพ่อ?”

    “พุทธศาสนานั่นไม่มีวันเสื่อมหรอกคุณ แต่คนต่างหากมันเสื่อม เหมือนเพชรที่อยู่ในตมก็ยังคงเป็นเพชรที่ล้ำค่าอยู่ดี หากแต่คนที่มีโอกาสได้พบเห็นมันหารู้ในคุณค่าของเพชรไม่ เท่านั้นเอง” หลวงพ่อตอบอย่างอารมณ์ดี

    “หรือเหมือนไก่ได้พลอย..ใช่ไหมครับหลวงพ่อ” ข้าพเจ้าเห็นพ้องด้วย

    “นั่นแหละ ทำนองเดียวกัน ดังนั้นเราจะไปเหมาว่าเพชรไม่ดี พลอยไม่ดียังไม่ได้นะ” หลวงพ่ออธิบาย

    “แล้วถ้าพระพุทธศาสนาของเราดี ทำไมจึงมีคนนับถือน้อยกว่าศาสนาอื่นเล่าครับ?” ข้าพเจ้ารีบถามด้วยความอยากรู้

    “เอ..คุณรู้จักร้านขายเพชรบ้างไหม?” หลวงพ่อย้อนถาม

    “รู้จักครับ” ข้าพเจ้าตอบแบบงงๆ

    “แล้วคุณรู้จักร้านขายของชำไหม..ว่าเขาขายอะไร?” หลวงพ่อถามเรื่อยๆ

    “รู้จักครับ ร้านขายของชำก็คือร้านที่ขายข้าว กะปิ น้ำปลา ยาสีฟัน สบู่แฟ้บ น้ำมันใส่ผม น้ำมันก๊าด รองเท้าแตะ ไม้กวาด เกลือ น้ำตาล เต้าหู้ยี้ ฯลฯ รวมความว่าขายไม่เลือกละครับ สุดแล้วแต่ว่าในร้านพอจะมีที่ทางให้วางขายอะไรได้บ้างและลูกค้าต้องการซื้ออะไรครับ” ข้าพเจ้าตอบตามที่คิดได้

    “เอ้อ..แล้วคนเข้าร้านขายเพชรมาก หรือคนเข้าร้านขายของชำมากล่ะ?” หลวงพ่อถามยิ้มๆ

    “ก็ต้องเข้าร้านขายของชำมากสิครับ เพราะร้านขายของชำมีของที่คนทั่วๆ ไปต้องการซื้อไปใช้สอยประจำวันมาก ส่วนร้านขายเพชรนั้นต้องคนมีเงินจริงๆ จึงจะเข้าได้ครับ” ข้าพเจ้าตอบ

    “เอาละ..ทีนี้ถ้ามีคนบอกคุณว่า หากเรียนจบชั้นประถม 4 แล้วมีงานทำได้เงินเดือนๆ ละ 5000 บาท และถ้าจบมหาวิทยาลัยก็มีเงินเดือนๆ ละ 5000 บาทเท่ากันล่ะ คุณจะเลือกเรียนอะไร?” หลวงพ่อถามต่อ

    “ผมก็ต้องเลือกเรียนแค่จบชั้นประถม 4 ซิครับ..ง่ายดี เรื่องอะไรผมจะต้องเสียเวลาไปทนเรียนจนจบมหาวิยาลัยเล่าครับ เงินเดือนก็เท่ากัน” ข้าพเจ้าตอบด้วยเหตุผล

    “นั่นแหละ...เหมือนกัน คนที่เข้าถึงพระพุทธศาสนานั้นมีน้อย เพราะพระพุทธศาสนานั้น มีความงามและล่ำค่าประดุจเพชร และปฏิบัติให้บรรลุถึงแก่นแท้ได้ยาก ดุจดังเรียนให้จบมหาวิทยาลัยในพระพุทธศาสนานั้น บาปก็ต้องเป็นบาป บุญก็ต้องเป็นบุญ จะนำมาหักลบล้างกันมิได้

    ใครกระทำกรรมดีก็ไปรับผลแห่งกรรมดีนั้น ใครกระทำกรรมชั่วก็ต้องไปชดใช้กรรมชั่วที่ได้กระทำมา กรรมใดก่อก็ต้องรับกรรมนั้น เป็นกฎหมายตายตัวที่หลักเลี่ยงไม่ได้

    อีกทั้งพระภิกษุ สามเณร ที่ถือบวชในพระพุทธศาสนาก็จักต้องถือศีลเคร่งครัด มีภรรยาหรือแม้แต่อยู่ในที่ลับกับหญิงสองต่อสองก็มิได้ นอกจากนั้นพระพุทธศาสนาสั่งสอนแต่เรื่องจริง ไม่มีการเอาอะไรมาหลอกล่อ และไม่มีการโฆษณาที่เกินจากความเป็นจริง อีกทั้งไม่บังคับผู้ใดให้มาเป็นสาวกด้วย

    ซึ่งผิดกับศาสนาอื่นๆ ที่มีการโฆษณาและบังคับผู้คนจนเกิดสงครามศาสนาบ่อยครั้ง ดังที่ได้ปรากฏแล้วในประวัติศาสตร์ บางศาสนาก็อะลุ้มอล่วยให้นักบวชในศาสนามีภรรยาได้ ขับรถได้อยู่ตามบ้านเรือนได้ มิหนำซ้ำผู้ใดทำบาปก็ล้างบาปให้ได้อีกด้วย ซึ่งทุกอย่างดูง่ายไปหมด ใครๆ ก็ต้องชอบ เพราะง่ายดีเหมือนเรียนประถม 4 นั่นแหละ” หลวงพ่ออธิบาย

    “นั่นสิ...ครับ ศาสนาของเขาดูแล้วก็ง่ายดี แต่เมื่อปฏิบัติตามแล้วผลที่ได้รับนั้น จะเทียบเท่ากับพุทธศาสนาหรือครับ ผมยังสงสัยอยู่?” ข้าพเจ้าถามด้วยความกังขา

    “แล้วคุณเชื่อไหมเล่าว่า หากคุณเรียนจบประถม 4 จะมีคนจ้างคุณทำงานเดือนละ 5000 บาท เท่ากับคนที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย?” หลวงพ่อย้อนถาม

    “คงจะเชื่อไม่ได้หรอกครับ..เป็นไปไม่ได้แน่ !” ข้าพเจ้าตอบตามที่คิด

    “เอาละ...คุณตั้งใจฟังให้ดีนะ โดยทั่วๆ ไปแล้วผู้คนมักจะรีบด่วนสรุปเอาว่า พุทธศาสนาก็เช่นเดียวกับศาสนาอื่น คือมุ่งหมายที่จะสั่งสอนให้คนประพฤติดี ละเว้นประพฤติชั่ว ละเว้นการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน และอยู่ร่วมกันด้วยสันติสุข

    แต่ถ้าคุณได้ศึกษาค้นคว้า และใช้ปัญญาพิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว จะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนานั้นเหนือกว่าศาสนาอื่นทุกศาสนา กล่าวคือพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้สอนเลยไปจนสามารล่วงข้ามความทุกข์ สู่พระนิพพานได้ ซึ่งศาสนาอื่นหาได้สอนไปถึงไม่” หลวงพ่ออธิบายและเมื่อเห็นข้าพเจ้าตั้งอกตั้งใจฟังอย่างแท้จริง ก็พูดต่อว่า

    “อันความงามในพุทธศาสนานั้นแบ่งออกได้เป็น 3 ขั้นตอนด้วยกันคือ

    1.ความงามเบื้องต้น ได้แก่อารมณ์ความดีทางใจ คือให้ทานรักษาศีล

    2.ความงามในท่ามกลาง ได้แก่อารมณ์ความดีในการเจริญฌานสมาบัติ

    3.ความงามในที่สุด ได้แก่ อารมณ์นับถือความจริงคือการเจริญวิปัสสนาญาณ เพื่อให้รู้เท่าทันในกิเลส ตัณหา อุปทานและอกุศลกรรม อันจะทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้นั่นเอง

    ดังนั้น หากคุณนำเอาศาสนาอื่นมาเทียบเคียงกับพุทธศาสนาแล้วจะเห็นได้ว่า ศาสนาบางศาสนานั้นหากปฏิบัติโดยครบถ้วนถึงจุดสุดยอดแล้ว ก็จะได้ผลเพียงแค่ความงามในเบื้องต้นของพุทธศาสนาเท่านั้นเองนะ เพราะเพียงแค่สั่งสอนให้คนมุ่งประพฤติดี มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้ยากไร้ ช่วยเหลือสังคม ละเว้นการประพฤติชั่วและเบียดเบียนซึ่งกันละกัน ซึ่งก็คือ "ทาน ศีล" นั่นเอง ยังไม่มีแม้แต่การเจริญภาวนาเพื่อให้เกิดฌานสมาบัติ

    และศาสนาบางศาสนาก็เช่นกัน หากได้ปฏิบัติโดยครบถ้วยถึงจุดสุดยอดแล้ว ก็จะได้เพียงแค่ความงามในท่ามกลางของพุทธศาสนาเท่านั้นเอง เพราะมีการสอนสูงสุดเพียงแค่เจริญ "ภาวนา" ให้เกิดฌานสมาบัติเท่านั้น หาได้สอนเลยไปถึงความเจริญวิปัสสนาญาณซึ่งเป็นความงามในที่สุด ดังเช่นพุทธศาสนาไม่ จริงอยู่ทุกศาสนาล้วนดีทั้งสิ้นไม่ใช่ฉันว่าไม่ดีนะ แต่ความดีก็ต้องมีดี ดีมาก และดีที่สุดใช่ไหมล่ะ?” หลวงพ่ออธิบาย

    เปรียบเทียบความงามทั้งสามระดับ

    “ถ้าผมจะสมมติเอาว่า ความงามในเบื้องต้น ก็เหมือนกับความรู้ระดับ "ประถมศึกษา" ความงามในท่ามกลาง ก็คล้ายกับความรู้ในระดับ "มัธยมศึกษา" และ ความงามในที่สุด ก็คือ จบ "มหาวิทยาลัย" จะพอไปได้ไหม?” ข้าพเจ้าพยายามคิดเปรียบเทียบ

    “เออ..เข้าที จบประถมศึกษาก็มีความรู้กว่าคนที่ไม่ได้เรียนนะอย่างน้อยก็พออ่านออกเขียนได้ ยิ่งจบมัธยมศึกษาก็ยิ่งมีความรู้มากขึ้นและยิ่งจบมหาวิทยาลัยก็ยิ่งดีใหญ่ เป็นบัณฑิตทีเดียวนะ

    เอาละ..ตามที่ฉันอธิบายมาก็จะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนาเปรียบเสมือน "เพชร" อันล่ำค่า แต่เป็นที่น่าเสียดายที่พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ ยังไม่รู้จักในคุณค่า คนไทยบางคนกลับหันไปยอมรับนับถือศาสนาอื่น เปรียบประหนึ่งปาเพชรอันล้ำค่าทิ้ง แล้วไขว่คว้าหาพลอย หาโป่งข่ามมาประดับแทน

    ผิดกับฝรั่งมังค่าในปัจจุบัน เขากลับเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนายอมทอดทิ้งลูกเมีย ข้ามน้ำข้ามทะเลมาบวชเรียนกันมากมาย นอกจากนั้นในแต่ละประเทศก็มีการจัดตั้งชมรมพุทธศาสนากันขึ้นมาอีกเรื่อยๆ

    ฉันขอย้ำว่าการศึกษาพระพุทธศาสนานั้น ถ้าต้องการให้เข้าลึกซึ้งและเป็นประโยชน์แก่ตนเองแล้ว จะต้องมีการศึกษาทั้ง "ปริยัติ" และ "ปฏิบัติ" ประกอบกัน มิฉะนั้นแล้วจะเกิดการเข้าใจไขว้เขวหรือแปลความหมายของคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เพี้ยนไปก็ได้นะ” หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียด

    ข้าพเจ้าคิดว่าหลวงพ่อได้ตอบคำถามในข้อนี้ กระจ่างชัดแล้วนะครับขอท่านผู้อ่านที่รัก จงใช้วิจารณญาณพิจารณาใคร่ครวญต่อไปเถิด...
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     

แชร์หน้านี้

Loading...