สู่แสงธรรม กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอน ผีมีจริงหรือไม่?

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 20 สิงหาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    สู่แสงธรรม กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอน ผีมีจริงหรือไม่?
    [​IMG]
    ความเคลือบแคลงสงสัยของข้าพเจ้า เกี่ยวกับเรื่องผีนั้นมีมาตั้งแต่เด็กๆ ใครๆ ก็มักจะเล่ากันถึงแต่เรื่องผี และที่ฮิตที่สุดที่มักจะหนีไม่พ้นเรื่อง นางนาคพระโขนง เด็กบางคนที่เถียงผู้ใหญ่ ก็มักจะถูกผู้ใหญ่ขู่ว่า ระวังนะตายไปแล้วจะต้องเป็นเปรต ปากเท่ารูเข็ม

    ยิ่งในสมัยสงครามมีผู้คนตายกันมากมาย ก็ยิ่งมีการเล่าขานกันถึงเรื่องผีมากยิ่งขึ้น จนเด็กๆ ในสมัยนั้นขวัญหนีดีฝ่อกันไปหมด ยิ่งเวลาพลบค่ำเดือนมืด เดินผ่านที่เปลี่ยวๆ ด้วยแล้ว ดูเหมือนผีจะมีอิทธิพลเหนือผู้คนไปเสียหมด

    แม้เมื่อตอนข้าพเจ้าได้เข้าเป็นนักเรียนนายร้อย จปร. ก็มีกองบัญชาการชั้น ๒ ได้เห็นผีหัวขาด เดินลงบันไดมาจากชั้น ๓ มือขวาหิ้วหัวตัวเอง ถึงกับใช้ปืนยิงไปจนหมดแมกกาซีน

    แต่คนอย่างข้าพเจ้าก็หาได้เคยเชื่อถือไม่ ยังคงมุดรั้วหนีเที่ยวผ่านป่าช้าวัดมกุฎกษัตริย์ ยามค่ำคืนเป็นประจำ และส่วนมากก็มักไปคนเดียวด้วย หาได้มีภูตผีปีศาจตนใดมายุ่งวุ่นวายกับข้าพเจ้าไม่ และแม้เมื่อข้าพเจ้าต้องรับหน้าที่อยู่เวรเฝ้ากำปั่นเงิน ซึ่งใครๆ กลัวกันนักกันหนา ข้าพเจ้าก็ยังยืนดูรูปคนถูกตัดหัวที่เขาติดขู่ไว้ที่ลูกกรงกำปั่นแก้ง่วงเสียด้วย

    ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ตอนต้นๆ ปี เมื่อข้าพเจ้ารับราชการอยู่ที่กองบิน ๔ ตาคลี จังหวัด นครสวรรค์ ผู้บังคับการกองบิน ๔ ในขณะนั้นคือนาวาอากาศเอกบัญชา เมฆวิชัย (ปัจจุบันยศ พลอากาศเอก และได้ถึงแก่กรรมแล้ว) ได้จัดให้นายทหารสัญญาบัตรโสด พักอยู่รวมกันที่บ้านพักหลังใหญ่ใกล้ๆ กับกองรักษาการณ์ (ปัจจุบันเป็นกองร้อยทหารสารวัตร)

    ซึ่งรวมกันทั้งหมด ๑๐ คนด้วยกัน และส่วนมากในตอนเย็นวันศุกร์ ก็จะเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ กันหมด จะกลับตาคลีอีกทีก็คืนวันวันอาทิตย์ เพื่อทำงานในวันจันทร์

    มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่สามารถเข้ากรุงเทพฯ กับเพื่อนๆ อีก ๙ คนได้ เพราะจะต้องเข้านายทหารเวรเขาโพลงในวันเสาร์ ดังนั้นในตอนเย็นวันศุกร์เมื่อข้าพเจ้าได้ส่งเพื่อนๆ ขึ้นรถไฟที่สถานีตาคลีแล้ว ก็ไปเล่นบิลเลียดที่สโมสร จนสโมสรปิด จึงกลับบ้าน

    เมื่อถึงบ้านก็อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว แล้วนอนสูบบุหรี่บนเตียงอย่างสบายๆ (เป็นปกติวิสัยที่เคยปฏิบัติมาคือก่อนนอนหลับจะต้องสูบบุหรี่ก่อนเสมอ) บุหรี่หมดไปได้ประมาณครึ่งมวน ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติที่หน้าต่างมุ้งลวดบานหนึ่ง จึงเพ่งมองไป

    ก็เห็นมีแมวดำตัวหนึ่งเกาะตะกายมุ้งลวดที่หน้าต่าง และแล้วแมวดำตัวนั้นก็ขยายตัวใหญ่ขึ้นๆ จนโตเท่าขนาดของเสือดำตัวใหญ่ พร้อมกันนั้นก็พุ่งทะลุหน้าต่างมุ้งลวดโถมเข้าทับร่างของข้าพเจ้าที่นอนอยู่บนเตียง

    ความรู้สึกตอนนั้นของข้าพเจ้ายังมีสติสัมปชัญญะโดยสมบูรณ์หากแต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวเองได้ เพราะชาไปหมดเหมือนคนถูกสะกดจิต อย่างไรก็ตามด้วยดวงจิตที่กล้าแข็งทำให้ข้าพเจ้าฮึดสู้ สะบัดตัวผลักเจ้าแมวดำตัวขนาดเสือนั้นหลุดกระเด็นไปได้ และมันก็หายตัวไป ข้าพเจ้าผลุดลุกขึ้นนั่งโดยทันทีและมือก็ยังคีบบุหรี่อยู่ เป็นการยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิใช่ข้าพเจ้าหลับแล้วฝันไป หรือเผลอไผลวูบวาบไปเป็นแน่

    ทันใดความโกรธของข้าพเจ้าก็พลุ่งพล่านขึ้นมา ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างมุ้งลวดที่เห็นแมวดำ แล้วตะโกนด่าว่า “ผีบ้าซาตานตนใดก็ตามที่ปรากฏกายคุกคามข้าฯ เมื่อตะกี้นี้ จงมาปรากฏใหม่ เอ็งแน่จริงขอให้มาในขณะที่ข้าฯ ยืนอยู่นี้ อย่าใช้เดียรฉานวิชาสะกดจิตข้าซีวะ”

    ความจริงข้าพเจ้าด่าหยาบคายกว่านี้และด่าอยู่นานก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น จึงเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา แล้วจุดบุหรี่มวนที่ ๒ นอนสูบบุหรี่อยู่บนเตียงตามสบายแต่ใจยังโกรธขุ่นมัว

    สักชั่วอึดใจ จิตของข้าพเจ้าก็สัมผัสว่ามีอะไรอย่างหนึ่งอยู่ที่ประตู จึงหันกลับไปดู ก็เห็นมีร่างๆ หนึ่ง ยืนดำทมึนเต็มประตู ยืนจ้องข้าพเจ้าอยู่ กายของข้าพเจ้าชากระดิกขยับไม่ได้ ร่างนั้นเดินมาหาข้าพเจ้าแล้วฉุดข้าพเจ้าลากไปด้วยแรงมหาศาล

    ความรู้สึกในตอนนั้นกายข้าพเจ้าเบาหวิวล่องลอยผ่านหลุมฝังศพต่างๆ แต่ละหลุมศพที่เน่าเฟะผุดขึ้นจากหลุมศพ โบกไม้โบกมือให้ข้าพเจ้าสลอน ด้วยความขยะแขยง ทำให้ข้าพเจ้าสลัดมือที่ถูกเกาะกุมจากร่างดำใหญ่นั้นหลุดมาได้ และข้าพเจ้าก็พบตัวเองนุ่งอยู่บนเตียง เหงื่อกาฬแตกชุ่ม ในขณะที่มือของข้าพเจ้าก็ยังคงคีบบุหรี่มวนที่ ๒ อยู่

    แทนที่ข้าพเจ้าจะกลัวกลับยิ่งโกรธมากยิ่งขึ้น ตั้งใจว่าจะต้องตั้งสติสู้กับมันต่อ ข้าพเจ้าเข้าไปอาบน้ำอย่างใจเย็นให้ร่างกายสดชื่น เปิดตู้เย็นหาน้ำเย็นดื่มแล้วก็ตั้งหน้าด่าต่อว่า “ไม่แน่จริงนี่หว่า ยังใช้เดียรฉานวิชาอีกตามเดิม มาในขณะนี้ซีวะ หรือต้องให้ข้าล้มตัวนอนก่อน ถ้าให้นอน ข้าก็จะนอนแต่เอ็งต้องมาทันทีที่หัวข้าแตะหมอนนะเว้ย”

    ด่าแล้วข้าพเจ้าก็ล้มตัวลงนอน และทันทีที่หัวข้าพเจ้าแตะหมอนก็มีมือใหญ่มาตะปบหัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็รีบใช้มือขวาตะปบทับมือใหญ่นั้นทันที ก็ได้สัมผัสเข้ากับมือที่เต็มไปด้วยพังผืดและมีขนแข็งๆ เหมือนขนหมู แต่มองไม่เห็น และแล้วทุกอย่างก็อยู่ในความเงียบสงบ

    เหตุการณ์ทั้งสามครั้งสามครา ที่เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้านั้นห่างกันไม่เกินครั้งละ ๑๐ นาที ยังความฉงนสนเท่ห์ใจให้แก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง หรือว่ามีผีจริงๆ แต่ผีที่ข้าพเจ้าประสบมาก็ไม่เห็นเหมือนกับคำร่ำลือ ที่ได้ยินได้ฟังมาสักนิด

    เพราะที่ว่าผีตาโตเท่าไข่ห่านบ้าง ผีแลบลิ้นยาวเฟื้อยถึงพื้นบ้าง หรือผีมีหัวโตเท่าตุ่มบ้าง หรือผีถอดหัวมาโยนเล่นบ้าง ผีแหวกอกเห็นตับไตไส้พุงบ้างเป็นต้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยเห็นสักที

    แล้วสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นมานั้น คืออะไรกันแน่? และอะไรนั้นมายุ่งวุ่นวายกับข้าพเจ้าทำไม? หรือว่าต้องการมาแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นว่า สิ่งลี้ลับที่ข้าพเจ้ายังไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นยังมีอยู่ อ๊ะ? ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับเขามาดีน่ะซี มาเพื่อชี้แนะให้เราหาหนทางค้นคว้าในเรื่องลี้ลับ ที่ไม่เคยมีการเรียนรู้ในโลกของวิทยาศาสตร์มาก่อนนั่นเอง

    พอคิดได้เช่นนี้ข้าพเจ้าก็กำหนดจิตขอบคุณเขาไป และขอขมาที่ได้ล่วงเกินเขา อีกทั้งให้คำมั่นสัญญาว่าข้าพเจ้าจะต้องติดตามหาความกระจ่าง ในเรื่องลี้ลับทั้งหลายนี้ให้ได้ ซึ่งปรากฏว่าในคืนนั้นข้าพเจ้าก็นอนหลับและฝันดีตลอดคืนโดยไม่มีอะไรมารบกวนอีก

    อย่างไรก็ตาม แม้กาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานสักเท่าใดก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยังคงครุ่นคิดถึงแต่เหตุการณ์อันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นนี้อยู่ตลอดมา แต่ก็ไม่สามารถที่จะไต่ถามหาความกระจ่างในเรื่องนี้จากผู้ใดได้ คงเล่าให้เฉพาะภรรยาฟังเท่านั้นเอง

    จนกระทั่งประมาณปี ๒๕๐๙ หรือ ๒๕๔๐ นาวาอากาศโทอาทร โรจนวิภาต (ยศในขณะนั้น ปัจจุบันเป็นพลอากาศเอก และได้เกษีณอายุราชการแล้ว) ได้ย้ายไปเป็นเสนาธิการกองบิน ๔ และได้ถูกจัดให้อยู่ ณ บ้านหลังเดียวกับข้าพเจ้าประสบเหตุการณ์ดังกล่าว

    พร้อมกันนั้นท่านก็ได้นิมนต์หลวงพ่อพระมหาวีระถาวโร (พระราชพรหมยาน ในปัจจุบัน) มาเป็นประธานในวันทำบุญขึ้นบ้านใหม่ด้วย ซึ่งข้าพเจ้าและครอบครัวก็ได้ไปร่วมงานบุญครั้งนั้นด้วย อีกทั้งยังได้ไปรอรับหลวงพ่อที่รถติดตามมาจนหลวงพ่อเดินขึ้นบันไดบ้าน

    ทันใดนั้นหลวงพ่อก็หยุดอยู่ตรงบันไดชั่วอึดใจหนึ่ง แล้วหันมาพูดกับข้าพเจ้ายิ้มๆ ว่า “นี่คุณมนูญ ท่านเทพฤทธิ์ มายืนฟ้องฉันแน่ะ ว่าคุณเป็นคนหัวดื้อ และด่าว่าท่าน” ข้าพเจ้าได้ฟังในตอนนั้นก็งงมาก เพราะข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักใครที่ชื่อ “ท่านเทพฤทธิ์” มาก่อนเลย

    หลวงพ่อเห็นข้าพเจ้ายืนงงก็พูดต่อว่า “คุณไปคิดดูแล้วกันว่า คุณเคยพบใครที่มีร่างกายดำๆ สูงใหญ่เทียมประตูที่บ้านหลังนี้บ้าง คุณเคยอยู่ที่นี่มาก่อนไม่ใช่หรือ นั่นแหละท่านนั้นแหละ คือท่านเทพฤทธิ์ซึ่งเป็นเทพระดับสูงซึ่งปกป้องคุ้มครองกองบิน ๔ ละ”

    พูดแล้ว หลวงพ่อก็เดินขึ้นบ้านไปเป็นประธานในพิธีต่อไป ปล่อยให้ข้าพเจ้ายืนตกใจ ขนลุกซู่ คิดอยู่คนเดียวว่าผีที่ข้าพเจ้าเจอเมื่อครั้งนั้นที่แท้ก็คือ “ท่านเทพฤทธิ์” ที่หลวงพ่อเพิ่งเปิดเผยให้ข้าพเจ้าทราบนี่เอง

    ด้วยเหตุนี้เอง ปัญหาแรกที่ข้าพเจ้าได้โอกาสถามหลวงพื่อในวันหนึ่งที่แพท่าวัดท่าซุง หลังหลวงพ่อฉันอาหารเพลเสร็จแล้วก็คือ ได้ถามว่า

    “หลวงพ่อครับ ผีมีจริงหรือครับ”

    ท่านผู้อ่านคงจะขำว่า “โธ่เอ๋ย.. เอาปัญหาระดับคนปัญญาอ่อนมาถามได้ แต่สำหรับหลวงพ่อพอได้ยินคำถามของข้าพเจ้าก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี พูดว่า “เออ.. ถามเข้าท่านี่” ทำให้ข้าพเจ้าค่อยหน้าบาน แต่ยังไม่ทันได้ปลื้มใจ

    หลวงพ่อก็ถามข้าพเจ้าว่า “คุณมนูญ เป็นหัวหน้าสถานีวิทยุกระจายเสียง ๐๔ ใช่ไหม?”

    ข้าพเจ้ารีบตอบด้วยความภาคภูมิใจ “ใช่ครับ”

    หลวงพ่อชี้มือมายังเครื่องรับวิทยุ ที่ข้าพเจ้าถืออยู่แล้วถามว่า “นั่นคุณถืออะไรบ้าง”

    ข้าพเจ้า “เครื่องรับวิทยุครับ”

    หลวงพ่อ “คุณถือเอามาด้วยทำไม”

    ข้าพเจ้า “เอาไว้ฟังรายการของสถานีวิทยุ ๐๔ ว่าจะออกรายการเป็นไปตามที่ได้จัดเอาไว้หรือไม่ครับ แล้วก็เอาไว้ตรวจสอบดูด้วยว่า กำลังส่งของสถานีจะไปได้ไกลถึงไหน อย่างที่วัดท่าซุงนี้ก็ยังรับฟังได้ชัดเจนดีอยู่ครับ”

    หลวงพ่อ “ทำไมคุณไม่ใช้หูฟังคลื่นวิทยุที่ส่งโดยตรงล่ะ ทำไมจึงต้องเอาหูฟังจากเครื่องรับวิทยุ”

    ข้าพเจ้า “หูฟังคลื่นวิทยุโดยตรงไม่ได้หรอกครับเพราะคลื่นวิทยุมีความถี่สูง ต้องใช้เครื่องรับนี้เปลี่ยนความถี่ของคลื่นวิทยุมาเป็นความถี่ของคลื่นเสียงเสียก่อนหูของคนเราจึงรับฟังได้”

    หลวงพ่อพูดยิ้มๆ ว่า “อ้าวถ้ายังงั้นหูของคนเราก็รับฟังได้อย่างมีขอบเขตจำกัดนะซี ถ้าจะถือเอาเป็นเครื่องรับหูก็เป็นเครื่องรับแบบหยาบๆ ที่รับฟังได้เฉพาะในย่านความถี่ต่ำๆ ระดับคลื่นเสียงเท่านั้นเอง ความถี่ที่สูงกว่าคลื่นเสียงก็ดีหรือต่ำกว่าคลื่นเสียงก็ดี หูคนเราโดยทั่วไปก็คงรับฟังไม่ได้ใช่หรือไม่?”

    ข้าพเจ้า “ครับหลวงพ่อ”

    หลวงพ่อ “ถ้าเช่นนั้น คุณยอมรับไหมว่า หูของคนนั้นเป็นเครื่องรับชั้นหยาบที่ขาดประสิทธิภาพ”

    ข้าพเจ้า ซึ่งเป็นคนที่ทรนงนักหนาว่าเป็นบุคคลที่มีปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศกลับต้องถึงคราวอับจน จำต้องยอมรับกับหลวงพ่อว่า “ครับ หลวงพ่อ หูเป็นเครื่องรับชั้นหยาบจริงๆ”

    หลวงพ่อหัวเราะ แล้วถามข้าพเจ้าต่อไปว่า “เออ.. ที่บ้านคุณ มีทีวีดูไหม?”

    ข้าพเจ้าชักลังเล คิดในใจว่า หลวงพ่อจะมารูปใดอีกแต่ก็ตอบไปว่า “มีครับ”

    หลวงพ่อ “คุณไปซื้อเครื่องรับทีวีมาทำไม เสียเงินเสียทองเปล่าๆ”

    ข้าพเจ้า “เอาไว้ดูรายการซีครับ กองบิน ๔ เงียบเหงาจะตายไป กลางค่ำกลางคืนได้ดูทีวี ค่อยเพลิดเพลินหน่อยครับ”

    หลวงพ่อ “อ้าว.. ตาคุณก็มีไม่ใช่หรือ? ทำไมคุณจึงไม่ดูภาพที่เขาส่งออกอากาศมาโดยตรงเล่า ต้องไปดูจากเครื่องรับทีวีทำไม?”

    ข้าพเจ้า “ดูภาพที่เขาส่งมาในอากาศโดยตรงไม่ได้หรอกครับ ต้องใช้เครื่องรับทีวีแปลงความถี่นั้นมาเป็นความถี่ภาพ ที่ตาของคนเรามองเห็นได้เสียก่อนครับ”

    หลวงพ่อ “ถ้าเช่นนั้นตาของคนเราทั่วๆ ไป ก็มองเห็นอะไรได้ในขอบเขตจำกัดใช่ไหม? ดังนั้นคุณยอมรับไหมว่า ตาของคนเรานั้นเป็นเครื่องมือจับภาพชั้นหยาบ ไร้ประสิทธิภาพ?”

    ข้าพเจ้ามาขบคิดดูก็จริงอย่างหลวงพ่อว่า เพราะข้าพเจ้าไม่สามารถมองเห็นภาพ ที่เขาส่งมาในอากาศโดยตรงได้ ไม่สามารถมองเห็นเชื้อโรค ไม่สามารถมองเห็นอะตอมหรืออณูต่างๆ ได้ด้วยตาตนเองจริงๆ จึงต้องยอมจำนนและยอมรับว่า “ครับหลวงพ่อ ตาของเราเป็นเครื่องมือจับภาพชั้นหยาบๆ จริง”

    หลวงพ่อเมื่อเห็นข้าพเจ้ายอมจำนน ก็อธิบายต่อว่า

    “เมื่อคุณยอมรับว่า ตา และหูของคนเรานั้นเป็นเครื่องมือชั้นหยาบ มีขีดความสามารถในการมองเห็นและการได้ยินอยู่ในขอบเขตจำกัด แล้วคุณจะไปเห็นผีหรือคุยกับผีได้อย่างไรกัน เพราะผีก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี อยู่ต่างภพ ต่างความถี่กับเรา

    โดยปกติทั่วๆ ไปแล้ว คนเราจะเห็นผีเห็นเทวดา หรือพรหมไม่ได้ ถ้าเขาไม่ต้องการให้เราเห็น ผีเองก็เห็นเทวดาไม่ได้ เทวดาที่ชั้นภูมิต่ำก็ไม่สามารถเห็นเทวดาที่มีชั้นภูมิสูงกว่าได้ และแม้เทวดาที่มีชั้นภูมิสูงก็ไม่สามารถมองเห็นพรหมได้

    เว้นไว้แต่ว่าท่านต้องการจะปรากฏให้เห็นเท่านั้น เหมือนเช่น “ท่านเทพฤทธิ์” ท่านจงใจปรากฏกายให้คุณเห็น ก็เพราะท่านเมตตาต้องการให้คุณเอาไปขบคิดว่ายังมีอะไรแปลกมหัศจรรย์อีกมากที่มนุษย์อย่างคุณยังไม่รู้ เพื่อคุณจะได้ศึกษาค้นคว้าและหันเหชีวิตไปสู่หนทางที่ถูกที่ควรต่อไป ฉันเองก็ดีใจนะ ที่คุณเริ่มสนใจมาถามปัญหาเพราะแสดงว่าถึงเวลาของคุณแล้ว”

    “ถึงเวลาอะไรครับหลวงพ่อ” ข้าพเจ้ารีบถาม ชักใจคอไม่ค่อยดี

    “ถึงเวลาตายน่ะซี” หลวงพ่อตอบทำเอาข้าพเจ้าสะดุ้งสุดตัว หลวงพ่อมองเห็นอาการของข้าพเจ้าก็หัวเราะพูดต่อว่า “คุณน่ะยังไม่ตายหรอก แต่ความประพฤติปฏิบัติเก่าๆ ของคุณจะค่อยๆ ตายจากไป เพราะคุณเป็นคนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นทุนเดิมอยู่มาก เนื่องจากได้สร้างสมมาแต่อดีตชาติ หากแต่จิตของคุณในขณะนี้มันมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่มาก และขาดผู้ชี้แนะที่คุณศรัทธาเท่านั้นเอง

    หากเมื่อใดปัญหาที่คุณเคลือบแคลงสงสัยถูกขจัดให้หมดไปได้ เมื่อนั้นคุณก็จะเห็นแสงธรรม และบัดนี้ ก็เริ่มถึงเวลาของคุณแล้วที่ได้มีโอกาสมาพบฉัน คุณมีอะไรที่สงสัยก็ถามมา การถามเป็นวิสัยของคนฉลาด พระพุทธเจ้าเองท่านก็สอนมิให้เชื่ออะไรง่ายๆ เพราะผลอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมานั้นย่อมมาแต่เหตุทั้งสิ้น

    จึงต้องศึกษาให้กระจ่างเสียก่อนแล้วจึงเชื่อ เหมือนดั่งเช่น พระสารีบุตร ท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์หลังพระที่ได้บวชรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งนี้เพราะท่านไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ต้องศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์กันก่อน แต่เมื่อท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านก็ได้รับการยกย่องให้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธองค์ เพราะเป็นผู้เลิศด้วยปัญญา (พระโมคคัลลาน์ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เลิศด้วยอิทธิฤทธิ์) เป็นต้น หลวงพ่อ ได้อธิบายและให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้าในการถามด้วยความเมตตาฉะนี้

    “หลวงพ่อครับ ถ้ายังงั้นพบขอถามต่ออีกนิดนะครับ คือว่า การที่ผมตัวชาขยับเขยื้อนไม่ได้ในขณะที่เห็นท่านเทพฤทธิ์ ทั้ง ๒-๓ ครั้งนั้น จะเป็นเพราะท่านช่วยปรับความถี่ในตัวผม ให้ประสาทในการมองเห็นของผมมีความถี่เดียวกับท่านใช่ไหมครับ ผมจึงสามารถมองเห็นท่านได้” ข้าพเจ้ารีบถามต่อทันที

    “ก็เป็นทำนองนั้น แต่เป็นการปรับให้เห็นทางจิตโดยตรงทีเดียวนะ ตามปกติตาของคนเรามองเห็นอะไรก็บอกให้จิตรับรู้ แต่ถ้ามองไปที่สิ่งนั้นแบบ เลื่อนลอยไม่บอกให้จิตรับรู้ ก็ย่อมไม่เห็นในสิ่งนั้นเช่นกัน คนที่เขาได้ทิพยจักษุญาณนั้น เขาก็เห็นกันทางจิต มิใช่ทางตานะ” หลวงพ่อตอบ

    “ถ้ายังงั้นคนเราหากฝึกจิตให้ดี ก็สามารถปรับความถี่ในการมองเห็นและได้ยินเสียง จนสามารถติดต่อกับผู้อยู่ต่างภพได้ใช่ไหมครับ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความสนใจ

    “ถูกต้อง” คุณเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างหรือไม่ว่า คนที่ใกล้จะตายนั้น บางคนทำไมจึงแสดงกริยาอาการหวาดกลัวตาเหลือกลานโบกไม้โบกมือไล่สิ่งใด สิ่งหนึ่งซึ่งคนธรรมดาที่อยู่รอบข้างเขามองไม่เห็น และบางครั้งก็ถึงกับร้องออกมาอย่างหวาดกลัวว่า “ข้ายังไม่ไป อย่ามาเอาตัวข้าไป อย่าเข้ามา” ทำนองนั้น

    ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าความถี่ในการมองเห็น และการได้ยินของคนใกล้จะตายนั้นใกล้เคียงกับความถี่ของคนที่ตายไปแล้ว เขาจึงติดต่อและเห็นกันได้ ด้วยเหตุนี้ แม้นคนไม่ต้องฝึกจิต ก็ย่อมได้เห็นผีอย่างแน่นอน แต่จะเป็นการเห็นตอนใกล้จะตาย ซึ่งย่อมเป็นการสายเกินไป

    ดังนั้นใครก็ตามที่ไม่สามารถมองเห็นผี เห็นเทวดา หรือเห็น พรหม หรือเห็นนิพพานได้ ก็อย่าไปคิดว่าทุกคนก็คงจะไม่เห็นเหมือนตน เพราะว่าท่านที่ทรงฌาน และได้ญาณที่เพียรพยายามฝึกจิตจนสามารถปรับความถี่ในการมองเห็น และการได้ยิน อีกทั้งยังสามารถติดต่อกับผู้อยู่ต่างภพได้ ในปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีมิใช่น้อยเลย” หลวงพ่ออธิบายและเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังฟังด้วยความสนใจ ก็พูดต่อว่า

    “ถ้าคุณต้องการเห็นผี เห็นเปรต ก็ต้องเจริญกสิณกองใดกองหนึ่งแล้วฝึกทิพยจักษุญาณ จนมีระดับฌานเพียงแค่อุปจารฌาน หรือ ฌาน ๑, ฌาน ๒ ก็พอ คุณก็จะได้เห็นผี เห็นเปรตนะ แม้แต่เทวดาคุณก็พอจะเห็นได้แต่ไม่ชัดนะ

    แต่ถ้าคุณอยากจะเห็นพรหม ก็ต้องได้ฌาน ๔ ชำนาญ ทิพยจักษุญาณจะแจ่มใสขึ้น สามารถเห็นพรหมได้ แต่จะเห็นนิพพานไม่ได้ ถ้าอยากจะเห็นนิพพานก็ต้องเจริญวิปัสสนาญาณ ให้ได้บรรลุพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ

    เมื่อได้มรรคผลเป็นพระอริยเจ้า โลกีฌาณ ที่เคยได้ไว้ ก็จะกลายเป็น โลกุตรฌาน ขึ้นมา เกิดวิมุตติญาณทัสนะขึ้น เท่านี้พระนิพพานก็จะปรากฏชัดแก่ญาณจักษุเอง แต่พระโสดาบันนี้จะเพียงได้แต่เห็นเท่านั้นนะ ยังอาศัยพระนิพพานเป็นที่พักผ่อนไม่ได้” หลวงพ่ออธิบาย

    “วิมุตติญาณทัสนะ” แปลว่าอะไรครับ หลวงพ่อ?

    “วิมุตติญาณทัสนะ แปลว่า หลุดพ้นจากกิเลสพร้อมกับมีญาณเป็นเครื่องรู้ยังไงล่ะ” หลวงพ่อตอบยิ้มๆ

    ท่านผู้อ่านที่รัก หลวงพ่อได้อธิบายไว้แล้วโดยละเอียดพอสมควร ส่วนท่านจะเชื่อว่าผีมีจริงหรือไม่นั้น ก็ขอให้ท่านได้พิจารณาด้วยตัวของท่านเองเถิด.
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     

แชร์หน้านี้

Loading...