สู่แสงธรรม กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอน คนที่ตั้งหน้าทำแต่ความดีทำไมจึงไม่ได้ดีเหมือนคนชั่วบางคน..?

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 31 สิงหาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    สู่แสงธรรม กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอน คนที่ตั้งหน้าทำแต่ความดีทำไมจึงไม่ได้ดีเหมือนคนชั่วบางคน..?
    [​IMG]
    หลังจากที่หลวงพ่อได้เมตตาคลี่คลายความเคลือบแคลงสงสัยในการเจริญพระกรรมฐานให้ข้าพเจ้า จนเกิดความกระจ่างแล้วข้าพเจ้าก็ได้พยายามฝึกฝนตนเองไปเรื่อย ๆ โดยมิได้ว่างเว้นจนสามารถที่จะทรงฌาน 2 ได้ในทันทีที่คิดจะเจริญพระกรรมฐาน

    กล่าวคือเพียงแค่คิดแล้วสูดลมหายใจเข้ายังมิทันจะออกก็สามารถเข้าสู่ฌาน 2 ได้แล้ว และต่อจากนั้นเพียงแค่ 2-3 นาที ก็จะสามารถเข้าสู่ฌาน 3 ได้แล้ว ก็ทรงอยู่เช่นนั้นได้เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากพอสมควรแต่ยังไม่สามารถทรงฌาน 4 ได้ตามกำหนดระยะเวลาที่ตั้งใจไว้

    และในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังมุที่จะเจริญพระกรรมฐานอยู่นั้นก็บังเอิญมีเรื่อง ๆ หนึ่งเข้ามาขัดจังหวะ ก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในผลการปฏิบัติ ว่าจะไม่มีผลดีจริงตามที่คิด กล่าวคือในขณะนั้นมีการฝึกซ้อมรบที่กองบิน 4 ถึงสามวัน สามคืน

    และในช่วงระยะเวลาดังกล่าวข้าพเจ้าและบรรดาผู้ที่เข้ารับการฝึกทั้งหมดก็จะต้องอยู่ ณ ที่ตั้งกองบัญชาการฝึกตลอดเวลาอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานของศูนย์ข่าวที่ข้าพเจ้าต้องรับผิดชอบนั้น หนักมากเพราะเป็นการฝึกรบกันทางกระดาษมิได้รบจริง

    ดังนั้นข่าวที่ทางหน่วยเหนือส่งมาก็ดี และการปฏิบัติที่ทางกองบิน 4 จะต้องรายงานผลย้อยกลับไปยังหน่วยเหนือก็ดี จึงมีมากมาย จนข้าพเจ้าต้องโดดเข้าไปช่วยเจ้าพนักงานศูนย์ข่าวซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าพเจ้า รับส่งข่าวด้วยตนเองอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นข่ายการติดต่อสื่อสารไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ก็ดี โทรคมนาคมก็ดี มักจะเกิดปัญหา

    ในทุกครั้งที่ฝนตก ซึ่งข้าพเจ้าก็จะต้องควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาออกตรวจซ่อมหนาวสั่นกันอยู่หลายฝนอีกด้วยในขณะที่นายทหารสัญญาบัตรของกองบิน 4 ทั้งหลายนั่งล้อมวงจิบกาแฟคุยกันบ้าง เล่นไพ่ เล่นโดมิโนกันบ้างนาน ๆ ครั้งจะชะโงกหน้ามาขอดูข่าวที่รับ ที่ส่งบ้างเท่านั้น

    แต่สิ่งที่เขาเหล่านั้นระวังกันมากที่สุดก็คือผลัดกันคอยดูว่ารถผู้บังคับการกองบิน 4 จะเข้ามาที่กองบัญชาการฝึกหรือยังหากเห็นรถมาแต่ไกล วงสนทนา วงไพ่ วงโดมิโน จะแตกทันทีและทุกคนจะรีบเข้าประจำที่ ดึงเอกสารต่าง ๆ ออกมาวางกันอย่างล้นเหลือ

    และบางคนยิ่งกว่านั้น วิ่งออกไปรับหน้าผู้บังคับการกองบินถึงที่รถพร้อมกับรายงานผลการปฏิบัติในการฝึกที่ผ่านมาทั้งหมดให้ผู้บังคับการกองบินทราบทั้ง ๆ ที่หาใช่หน้าที่ของตนแต่อย่างใดไม่ ทั้งนี้เพราะหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละสายงานก็ได้แบ่งกันไว้โดยชัดเจนแล้วหน้าที่ผู้รับผิดชอบในแต่ละสายงานจะต้องเป็นผู้รายงานเอง จึงจะถูกต้อง

    เมื่อการฝึกซ้อมรบเสร็จสิ้น ก็มีการสรุปผลและติชม ผลที่ออกมาก็คือ ทุกสายงานได้รับคำชมเชยหมดยกเว้นในสายงานสื่อสารที่ข้าพเจ้ารับผิดชอบเพียงงานเดียวที่ถูกตำหนิว่า ยังมีขีดความสามารถต่ำไม่สามารถสนับสนุนแผนการยุทธการ และหน่วยงานอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควรอันเป็นผลให้ในปีนั้นข้าพเจ้าเกือบจะถูกงดบำเหน็จในขณะที่เพื่อน ๆ ในสายงานอื่นเขา ได้บำเหน็จกัน 2 ขั้นกันทุกคนโดยถ้วนหน้า

    เรื่องนี้ได้ประทับรอยแห่งความผิดหวังท้อแท้เกลียดชังและไขว้เขวลงในใจข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก นี่หรือคือความยุติธรรม ข้าพเจ้าอยากจะหัวเราะเยาฟ้าดินให้ก้องโลก คนนั่งคุยกันนั่งเล่นไพ่เล่นโดมิโนต่างพากันได้รับคำชมเชย และได้บำเหน็จ 2 ขั้นเป็นการตอบแทนส่วนข้าพเจ้าซึ่งทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ให้กับงาน กลับถูกตำหนิ และเกือบถูกงดบำเหน็จ นี่หรือทำดีได้ดี ทำชั่ว..?

    การที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ทำให้ข้าพเจ้าต้องคิดหนัก และยิ่งคิดหนักก็ยิ่งเกิดความไขว้เขว และไม่สนใจในผลปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยิ่งขึ้น กล่าวคือในระยะเวลานั้น กองบิน 4 มีทหารอเมริกันเข้ามาตั้งฐานทัพอยู่ด้วย ทำให้มีพ่อค้านักธุรกิจเข้ามาประมูลงานกันอย่างคับคั่ง

    ทั้งงานสร้างอาคารสำนักงาน ถนน สนามบิน ตัดหญ้า ขนขยะ รถเช่า ร้านอาหาร ร้านขายของต่างๆ ตลอดจนในด้านบันเทิงไม่ว่าจะเป็น เรื่องนักร้อง นักดนตรี ตามสโมสรของอเมริกาด้วย

    ปรากฏว่าข้าราชการกองบิน 4 ที่ร่ำรวยกัน ขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตาก็คือ บรรดาข้าราชการที่หลบเลี่ยงงานราชการแล้วใช้อำนาจหน้าที่ของตนวิ่งเต้นช่วยเหลือบรรดาพ่อค้าบ้าง ร่วมมือกับทหารอเมริกาเอาของในพีเอ๊กซ์ เช่น เหล้าบุหรี่ เครื่องเสียง ที.วี ตู้เย็นไปขายบ้าง

    ข่มขู่ผู้ที่เข้ามาประมูลขอค่าคุ้มครองบ้างเป็นต้น และนอกจากเขาเหล่านั้นจะพากันร่ำรวยด้วยการเลี่ยงงานราชการแล้ว แทนที่ผู้บังคับจะตำหนิหรือลงโทษกลับได้รับการสนับสนุน ยกย่อง และให้ความเกรงอกเกรงใจเป็นพิเศษเสียอีกด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเหล่านั้นมีบุญคุณหาเงินมาช่วยสวัสดิการของหน่วย

    สิ้นปีเผลอ ๆ ยังแอบให้บำเหน็จ 2 ขั้นอีกด้วยซ้ำไปส่วนข้าราชการดี ๆ ที่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ ทำงานให้หน่วยนั้น อย่าว่าแต่ถึงขั้นเลี่ยงงานเลย เพียงแค่มาทำงานสาย หรือช้าไปเพียง 5 นาทีก็ถูกลงโทษแล้ว นี่หรือความยุติธรรมนี่หรือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

    นอกจากนี้ยังมีคนเลว ๆ อีกมากมายที่ส่อให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดแจ้งว่าคดโกงประชาชน โกงกินบ้านกินเมือง ลบหลู่ศาสนาและกระทำตนเป็นมารสังคม ตลอดมา โดยที่หาได้สนใจในเรื่องของทาน ศีล ภาวนาไม่แม้สักน้อยนิด แต่ก็ได้ดิบได้ดีร่ำรวยเป็นเศรษฐีมีชื่อเสียงเกียรติยศ จนเป็นถึงรัฐมนตรีก็มีไม่น้อย

    เมื่อข้าพเจ้าบังเกิดความเคลือบแคลงสงสัยขึ้นมาเช่นนี้ และได้พิจารณาแล้วเห็นว่าหากไม่สามารถคลี่คลายความเคลือบแคลงสงสัยในข้อนี้ได้ ก็จะเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงในการเจริญพระกรรมฐานได้ ดังนั้นในวันหนึ่งข้าพเจ้า จึงได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อแล้วเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าข้องใจดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นทั้งหมดให้หลวงพ่อฟังแล้วเน้นถามว่า

    “หลวงพ่อครับ คนที่ตั้งหน้าตั้งตากระทำแต่ความดีทำไมจึงไม่ได้ดีเหมือนคนชั่วบางคนเล่าครับ..?”

    “ถ้าคุณเริ่มปลูกต้นมะม่วงในวันนี้ คุณจะเก็บมะม่วงกินได้สักเมื่อใด..?” หลวงพ่อย้อนถาม

    “เอ..! ผมก็ไม่ค่อยจะมีความรู้ในเรื่องของมะม่วง แต่ที่บ้านผมปลูกไว้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี จึงจะออกผลครับ” ข้าพเจ้าตอบ ชักลังเลไม่แน่ใจว่าหลวงพ่อฟังเรื่องที่ข้าพเจ้าหรือฟังคำถามของข้าพเจ้าหรือเปล่า

    “เอ้อ..! ตอนปลูกคุณเหนื่อยไหม..?” หลวงพ่อถามเรื่อย ๆ

    “เหนื่อยสิครับ เพราะดินที่บ้านผมเป็นดินเปรี้ยว ต้องขุดหลุมกว้างถึง 1 เมตร ยาว 1 เมตร ลึก 1 เมตร แล้วหาดินใหม่มาใส่แทนอีกทั้งต้องให้ปุ๋ยและเอาปูนขาวลงไว้รอบ ๆ หลุมอีกด้วยครับ” ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง

    “ปลูกต้นมะม่วงเหนื่อย แต่ก็ยังไม่ได้กินผลในทันทีแล้วตอนนี้คุณต้องคอยดูแลต้นมะม่วงของคุณอีกหรือไม่..?” หลวงพ่อยังถามเรื่อย ๆ

    “ไม่แล้วครับ ปล่อยทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ หากเกิดขยันเมื่อไรผมจึงรดน้ำให้บ้าง แต่ก็นาน ๆ ทีครับ” ข้าพเจ้าตอบ

    “แล้วมันออกลูกให้คุณกินทุกปีไหม..?” หลวงพ่อถามยิ้ม ๆ

    “ทุกปีแหละครับ มากบ้างน้อยบ้าง สุดแล้วแต่ว่าเพลี้ยจะลงหรือไม่ครับ” ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง

    “คุณคิดบ้างไหมว่า ในขณะนี้คนอื่น ๆ ที่เขาเพิ่งเริ่มปลูกมะม่วงน่ะ เขาอิจฉาคุณนะ เพราะเขาคิดว่าเขาต้องลงทุนลงแรงเหน็ดเหนื่อยถางหญ้า ขุดหลุม รดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ย ฉีดยาฆ่าแมลง เพื่อทำนุบำรุงต้นมะม่วงของเขาอยู่ทุกวี่ทุกวัน

    มิหนำซ้ำมะม่วงก็หาได้อกผลมาให้เขาได้ชื่นชม เก็บมาได้บ้างเลย ผิดกับคุณซึ่งนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่เฉย ๆ มะม่วงของคุณก็ออกผลมาให้คุณกินอยู่ทุกปี มิได้ขาด” หลวงพ่อพูดเรื่อย ๆ

    “อ้าว..! เขาจะมาคิดอิจฉาผมอย่างนั้นก็ไม่ถูกซิครับ เขาน่าจะคิดว่าย้อนกลับไปเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วซิว่า ในขณะที่เขามัวแต่เที่ยวเตร่หาความสุขอยู่นั้นน่ะ ผมต้องลงทุนลงแรงอาบเหงื่อต่างน้ำมากับเจ้าต้นมะม่วงของผม มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเขาเลยนะครับ

    หนอยแน่..! พอเริ่มลงมือปลูกก็จะกินผลเลยเป็นไปได้ยังไงกัน ก็ต้องเหนื่อยไปก่อนซิครับ อีก 5-6 ปีโน่นจึงค่อยคิดจะกินมะม่วงที่ปลูก ผมก็เองต้องรอมาก่อนเหมือนกันนะครับ” ข้าพเจ้าตอบด้วยเหตุด้วยผล

    “นี่คุณกำลังตอบคำถามของคุณเอง แทนฉันไปหมดสิ้นแล้วนะ” หลวงพ่อพูดยิ้ม ๆ และเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังนั่งงงอยู่ก็อธิบายว่า

    “คนที่เขาร่ำรวยมั่งมีศรีสุข หรือประสบความสำเร็จในอดีตชาตินั่นเอง ดังนั้นเมื่อเขามาเกิดในชาตินี้ บุญที่เขาได้สร้างสมมา จึงมาตอบสนองให้เขามีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย แต่ถ้าเขาคอยแต่นั่งกินบุญเก่าอยู่ โดยไม่สร้างบุญใหม่เพิ่มเติมในชาตินี้

    มิหนำซ้ำกลับสร้างแต่ความชั่ว ดังที่คุณได้เล่ามาแล้ว ก็นับว่าเขาเหล่านั้นตกอยู่ในความประมาทอย่างมาก และเป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก เพราะถ้าเมื่อใดบุญเก่าหมด กรรมชั่วจะตามมาสนองเขาทันที อาจจะได้รับผลกรรมทันตาเห็นในชาติปัจจุบันก็ได้นะ

    แต่ถ้าบุญกุศลที่เขาสร้างสมมาแต่อดีตชาติมีมาก ผลของกรรมชั่วแม้จะตามมาตอบสนองไม่ทันในชาตินี้ เขาก็ต้องไปรับกรรมชั่วในชาติหน้า ภพหน้าอยู่ดี หนีไม่พ้นหรอกนะ

    เหมือนเช่นคุณ ถ้ามัวแต่นั่งรอกินมะม่วงที่คุณลงทุนลงแรงปลูกไว้เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว โดยไม่ยอมรดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ย หรือปลูกต้นมะม่วงใหม่เพิ่มเติมแล้ว ผลมะม่วงจากต้นเก่าที่จะออกผลให้คุณก็จะน้อยลง ๆ และลูกผลก็จะเล็กลงไปทุกทีๆ ในที่สุดสักวันหนึ่ง คุณก็จะไม่มีมะม่วงกินเช่นกันนะ" หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียด และเมื่อข้าพเจ้ายังตั้งใจฟังอยู่ ก็พูดต่อว่า

    "มนุษย์และสัตว์โลก ล้วนถูกลิขิตให้เกิดมาเพื่อชดใช้กรรมจากในอดีตชาติทั้งสิ้น ใครทำกรรมดีมา ก็ได้เกิดมาเสวยสุข และใครทำกรรมชั่วมาก็ต้องชดใช้กรรมชั่วนั้น ๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนเมื่อเกิดมาแล้ว หากผู้ใดสร้างสมแต่คุณงามความดี ก็จะไปได้รับส่วนกุศลผลบุญตอบสนองเอาในชาติหน้า

    เหมือนเช่นคนที่เริ่มปลูกมะม่วงในขณะนี้ ก็จะไปได้กินผลมะม่วงในอีก 5-6 ปีข้างหน้านั้นแหละ ส่วนผู้ใดแม้ร่ำรวย มั่งมีศรีสุข หากประกอบแต่กรรมชั่วไว้ในชาตินี้ ก็จะต้องไปชดใช้กรรมชั่วในชาติหน้า เช่นกันนะ ด้วยเหตุนี้ องค์สมเด็จพระศาสดา จึงได้จำแนกผู้คนออกไว้เป็น 4 จำพวกด้วยกันคือ

    1.มาสว่างไปมืด ได้แก่ บุคคลประเภทที่คุณได้เล่ามา คือในอดีตชาติสั่งสมบุญไว้มาก พอมาเกิดในชาตินี้ก็มั่งมีศรีสุข และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่มิได้สร้างสมบุญกุศลเพิ่มเติม หรือกระทำแต่ความชั่วในชาตินี้ เมื่อตายไปแล้วก็จะต้องชดใช้กรรมในอบายภูมิทั้ง 4 คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน หรือแม้นหากเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะยากจนข้นแค้นสาหัสนะ

    2.มามืดไปมืด ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาชดใช้กรรมชั่วที่ได้กระทำ ไว้ในอดีตชาติ มิหนำซ้ำเมื่อเกิดมาแล้ว กลับกระทำแต่ความชั่วอีก เมื่อตายไปก็จะต้องไปชดใช้กรรมชั่วในอบายภูมิสถานเดียว

    3.มามืดไปสว่าง ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาชดใช้กรรมชั่วที่ได้กระทำมาแล้วในอดีตชาติ และแม้เมื่อเกิดมาในชาตินี้ จะมีฐานะความเป็นอยู่ที่ยากจนข้นแค้นแสนสาหัสสักเพียงไหน ก็ตั้งหน้าตั้งตาประกอบแต่คุณงามความดีโดยไม่ ท้อถอย เมื่อตายไปจักได้ไปเสวยสุขตามกุศลผลบุญที่ได้กระทำนั้น ดังเช่น เจ้าแดง สุนัขของฉัน ซึ่งถูกรถบรรทุกทับตาย แล้วไปเกิดเป็นเทวดานั้นแหละ จำได้ไหม ?

    4.มาสว่างไปสว่าง ได้แก่ บุคคลที่ในอดีตชาติ สั่งสมบุญไว้มาก เมื่อมาเกิดในชาตินี้ก็มั่งมีศรีสุข และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มิหนำซ้ำ กลับตั้งหน้าตั้งตาประกอบแต่คุณงามความดี เพิ่มเติมโดยไม่หยุดยั้ง เมื่อตายไปก็จักไปเสวยสุขในภูมิที่สูงกว่ามนุษย์นะ หรือแม้นเกิดเป็นมนุษย์ก็จะร่ำรวย มั่งมีศรีสุขยิ่งกว่าเก่า ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานยิ่งกว่าเก่านะ เข้าใจหรือยัง..?

    "รวมความว่า ทุกคนเกิดมาเพื่อใช้กรรมเก่าที่ได้กระทำมาแต่อดีตชาติทั้งสิ้น หากทำดีมากก็ได้เสวยสุข หากทำชั่วก็ต้องทนทุกข์ชดใช้กรรมไป ส่วนจะกระทำความดีหรือกระทำชั่วในชาตินี้ ก็ต้องว่ากันในชาติหน้าใช่ไหมครับ" ข้าพเจ้าเน้นถามเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง

    "ถูกต้องแล้ว แต่ยังไม่ถูกต้องเสียทั้งหมดทีเดียวนะ เพราะการกระทำความชั่วบางอย่าง เป็นบาปมหันต์ อาจต้องรับกรรมชั่วอย่างทันตาเห็น โดยไม่จำเป็นต้องรอไปถึงชาติหน้าก็มี เช่น เถนเทวทัต ถูกธรณีสูบ เป็นต้น ขอให้จำไว้นะ
    ของสูงเช่นพระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี อย่าได้ไปลบหลู่ดูหมิ่นเป็นอันขาดนะ เพราะเป็นบาปมหันต์ รับผลทันตาเห็นในชาตินี้ทันที และแม้ตายแล้ว บาปนั้นก็ยังติดตามไปถึงชาติหน้าภพหน้าอีกด้วยนะ" หลวงพ่ออธิบายย้ำแล้ว พูดต่อว่า

    "ความจริง ชีวิตของมนุษย์นั้นสั้นนัก ตามสถิติแล้ว เขาเฉลี่ยอายุของคนไทยทั่วประเทศก็แค่ 55-60 ปี ตายไม่ใช่หรือ..? ดังนั้นถ้าหากเอาเวลาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ( สวรรค์ชั้นที่ 2 ) มาเทียบคือ 1 วันในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเท่ากับ 100 ปีมนุษย์แล้ว ก็จะเห็นได้ชัดว่า

    ในชั่วชีวิตหนึ่ง ๆ ของพวกคุณนั้น มีความยาวนานเพียงแค่ครึ่งวันของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่านั้นเองนะ คราวนี้ถ้าสมมติว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ คุณอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาก่อน ก็หมายความว่า คุณหนีมาเที่ยวในโลกมนุษย์เพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้นนะ

    และถ้าครึ่งวันนี้คุณเอาแต่กอบโกย ใฝ่หาแต่ความสุขทุกรูปแบบโดยไม่คำนึงถึงความถูก ความควร หรือความเดือดร้อนของผู้อื่นด้วยการฆ่าก็ดี แย่งชิงทรัพย์สินของผู้อื่นมาเป็นของตนก็ดี ผิดลูกผิดเมียเขาก็ดี หรือกล่าววาจาเท็จ หลอก ลวงผู้อื่นก็ดี หรือเสพสุรายาเมา ก่อความเดือดร้อนรบกวนชาวบ้านก็ดี

    คุณก็จะต้องไปรับผลแห่งกรรมชั่วที่คุณได้กระทำอีกไม่รู้กี่กัป กี่กัลป์ กี่ภพ กี่ชาตินะ เปรียบเสมือน เช่น ในวันรับเงินเดือน หากคุณนำเงินไปเที่ยวเตร่ หาความสนุกสนานอย่างเต็มที่ ด้วยการตั้งวงเสพสุรา เที่ยวบาร์ เที่ยวคลับ เล่นการพนันหรือหลับนอนกับผู้หญิงโสเภณี จนเงินเดือนหมด คุณก็สนุกของคุณเพียงแค่วันเดียวนะ แต่อีก 28 วันที่เหลือคุณจะต้องเกิดทุกข์ ใช่ไหม..?

    แต่ในทางตรงกันข้าม หากคุณใช้เวลาครึ่งวันนี้ ตั้งหน้าปฏิบัติแต่คุณงามความดี โดยไม่ท้อถอย แม้จะยากดีมีจน ประสบแต่ความทุกข์เข็ญปานใด ก็ยึดมั่นในทาน ศีล ภาวนา ให้ได้ตลอดไปแล้ว คุณก็จะได้ไปเสวยผลแห่งกรรมดีอีกหลายภพหลายชาติ เช่นกันนะ

    ในขณะนี้คุณก็โชคดีแล้วที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ดังนั้น จงใช้ระยะเวลาอันสั้นของชีวิตนี้ ประกอบแต่กุศล ผลบุญเถิด" หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียด

    "หลวงพ่อครับ สมมติว่า หากผมได้สร้างกรรมชั่วมาแต่อดีตชาติและเมื่อได้เกิดในชาตินี้ ผมก็รีบบวชทันทีเมื่อมีอายุครบบวช แล้วเร่งปฏิบัติแต่คุณงามความดี ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา อย่างครบถ้วนโดยมิได้ขาดตกบกพร่องเลย ผมยังจะต้องชดใช้กรรมชั่วที่ได้กระทำแต่ในอดีตชาติหรือไม่ครับ..?" ข้าพเจ้าถาม เพราะยังติดใจสงสัยอยู่

    " ถ้าคุณไปหยิบยืมเงินจากคนอื่นเขามาสัก 10 ราย แต่ยังไม่สามารถจะหาเงินมาใช้หนี้ ให้เขาได้เลยสักรายเดียว แล้วคุณใช้วิธีทำดีกับเขาด้วยวิธีอื่นในทุกวิถีทาง เช่น คอยรับใช้ช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้เขาและลูกเมียที่เขารักบ้าง เอาอกเอาใจเขาด้วยการขวนขวายหาสิ่งของที่เขารัก เขาชอบ โดยคุณไม่ต้องใช้เงินใช้ทองมากนักมาให้บ้าง

    หรือ เอาตัวของคุณเขาเสี่ยงภัยปกป้องคุ้มครองเขาบ้าง คุณคิดว่าเจ้าหนี้ทั้ง 10 ราย ของคุณนั้น เขาจะเห็นอกเห็นใจ เห็นในคุณงามความดีของคุณ แล้วยอมยกหนี้สินทั้งหมดให้คุณ โดยที่คุณไม่ต้องหาเงินมาชดใช้เขาเลยหรือไม่ล่ะ..?" หลวงพ่อย้อนถามยิ้ม ๆ เล่นเอาข้าพเจ้าต้องคิดหนักสักครู่หนึ่ง จึงตอบไปว่า

    "ก็คงมีเจ้าหนี้บางรายแหละครับ ที่มีจิตเมตตากรุณา แล้วเห็นในคุณงามความดีของผมบ้าง แล้วยอมยกหนี้สินให้ แต่ก็ต้องขึ้นกับจำนวนเงินที่ผมไปยืมเขามาว่า มากน้อยแค่ไหนด้วย ส่วนบรรดาเจ้าหนี้บางรายที่ทั้งงก ทั้งหน้าเลือดแล้ว ผมคิดว่าแม้ผมจะทำดีกับเขาสักเพียงไร เขาก็คงไม่ยกหนี้สินให้ผมหรอกครับ คงต้องตามทวงเช้าทวงเย็น เอาเงินของเขาคืนจากผมจนได้"

    "เออ..! ตอบตรงดีนี่ " หลวงพ่อชม แล้วพูดต่อว่า

    "บรรดาเจ้านายเวรทั้งหลาย ที่คุณไปก่อกรรมทำเข็ญกับเขาไว้ในอดีตชาติ ก็เหมือนเจ้าหนี้ที่คุณพูดมานั้นแหละนะ แม้คุณจะถือบวชบำเพ็ญ ศีล ภาวนา แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เขาอยู่ดี มีสุขขึ้นก็ตามที เจ้ากรรมนายเวรบางรายที่เขารู้คุณ เขาก็อาจอภัยไม่คิดทวงหนี้กรรมจากคุณอีก

    แต่เจ้ากรรมนายเวรบางราย แม้คุณจะทำดีสักปานใด เขาก็ยังผูกพยาบาท อาฆาตจองเวรกับคุณ ติดตามจองล้างจองผลาญคุณไม่รู้จบสิ้นก็มีนะ แม้ตามทวงหนี้กรรมจากคุณไม่ได้ในชาตินี้ เขาก็จะติดตามทวงหนี้กรรมจากคุณต่อไปในชาติหน้า ภพหน้า ไม่มีที่สิ้นสุด

    ยิ่งคุณไปก่อบาปมหันต์ ด้วยการลบหลู่ดูหมิ่น หรือกระทำความชั่วร้ายต่อพระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี บิดา มารดาก็ดี ครูบาอาจารย์ ตลอดจนผู้มีพระคุณทั้งหลายก็ดี แม้ท่านจะอภัยให้ก็ตาม แต่กฎของกรรมจะไม่มีการอภัยให้เป็นอันขาดนะ คุณต้องชดใช้กรรมชั่วที่คุณได้กระทำมาอย่างแน่นอน หลบเลี่ยงไม่ได้เลยนะ

    แม้แต่พระโมคคัลลาน์ ซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้รับสมญาว่า "เลิศด้วยอิทธิฤทธิ์" ท่านก็ยังต้องชดใช้กรรมที่ได้ก่อมาแล้วในอดีตชาติ โดยยอมให้โจรทุบตาย ในชาติสุดท้ายนั้นเอง" หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียดและกระจ่างชัดยิ่งนัก

    ข้าพเจ้ากราบลาหลวงพ่อกลับบ้าน ด้วยจิตที่ปลอดโปร่ง ความเคลือบแคลงสงสัยในเรื่องของกรรมดี กรรมชั่วหมดไปโดยสิ้นเชิง อีกทั้งเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าได้ประสบพบเห็นในกาลต่อมา ก็ยิ่งประจักษ์ชัดในจิตให้เห็นถึงผลแห่งกรรมยิ่งขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าจะหยิบยกมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ไว้บ้างตามสมควร .
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     

แชร์หน้านี้

Loading...