สอบถามสั้นๆ ครับ ติดค้างในใจนานแล้ว

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย thanawin52, 19 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. thanawin52

    thanawin52 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +199
    มีความสงสัยว่า เวลาเราสวดมนต์ ทำบุญ แล้วอุทิศบุญเลย

    กับการทำบุญ สวดมนต์ แล้วไม่อุทิศ ไว้ทำนานๆ ที

    จะได้บุญเท่ากันมั้ยครับ

    ขอบคุณสำหรับคำตอบครับผม
     
  2. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    เอ..จะอธิบายอย่างไรให้เกิดความเข้าใจดีหนอ....
    เวลาทำบุญแล้วอุทิศบุญเลย
    กับทำบุญแล้วไม่อุทิศ นานๆอุทิศทีหนึ่งใช่หรือไม่ขอรับ ถ้าใช่ คำตอบก็คือ
    ถ้าสมมุติว่า
    สวดมนต์ ทำบุญ แล้วอุทิศบุญเลยในครั้งนั้น มีคะแนน ๑๐ คะแนน ก็จะได้ ๑๐ (สิบคะแนน)
    ถ้าทำบุญ สวดมนต์ แล้วไม่อุทิศ ไว้อุทิศนานๆที ตอนที่อุทิศบุญนั้น ถ้ามี ๑๐ คะแนน ก็จะได้ สิบคะแนน
    แต่ถ้า ทำบุญอุทิศ ทั้งสองอย่าง ไม่เท่ากัน ก็จะได้บุญไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ศรัทธา,ความตั้งใจ,สมาธิ และอื่นๆ ขอรับ
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ทำบุญแล้วอุทิศด้วยดีกว่าแน่นอนครับ....เพราะว่าคุณจะได้บุญเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างคือ บุญปัตติทานมัย ซึ่งเป็นส่วนบุญที่เพิ่มจากส่วนที่คุณได้ทำ...ยิ่งทำบ่อยครั้งเท่าไร ก็ได้มากเท่านั้นหละครับ....
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ได้บุญไม่เท่ากัน เพราะ

    1.ทำบุญ ได้บุญ
    2. อุทิศบุญ จิต คิด กุศล + มีเมตตา อุทิศให้คนอื่น ได้บุญเพิ่ม ทุกครั้งที่ทำบุญ


    3 ทำบุญ ได้บุญ
    4ไม่ได้ อุทิศ ตัวเองไม่ได้บุญ 1 จิตไม่ได้ กุศลอีก 1 คนอื่นไม่ได้อีก 1


    5นานๆ อุทิศที ตัวเองทำบุญไป 100 ครั้ง แล้ว อุทิศ 1 ที ได้บุญใจการอุทิศแค่ 1 ที



    สรุป การได้บุญของ ตัวคนอุทิศ

    ดังนั้นจะเห็นได้ ว่า จิตที่เป็นกุศล อุทิศทุกครั้ง จิตเป็น กุศล ก็คือ บุญ ย่อมได้มากกว่า

    ทำบุญ แล้ว อุทิศเลย ได้ บุญมากกว่า เพราะ ตอน อุทิศบุญ ทุกครั้งที่ทำบุญ จิต คิด กุศล ไปทุกครั้ง เลยทำให้ได้ บุญเยอะว่าก นานๆ อุทิศทีครับ


    จิตคิด กุศล จิตมีเมตตา ก็ได้บุญ ทุกครั้งที่ อุทิศ

    กับ นานๆ อุทิศ ที จิต ย่อมได้ บุญ น้อยกว่า เพราะคิดเรื่อง กุศลน้อยกว่า
     
  5. LungKO

    LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    590
    ค่าพลัง:
    +925
    พระท่านสอนในการทำดีว่า ให้รีบทำดี(บุญ) ถ้าไม่รีบทำแล้ว สิ่งไม่ดีหรือบาปจะเข้ามาแทนที่

    หมายความว่าให้รีบทำบุญ ให้รีบแผ่บุญ จะได้บุญเต็มร้อย เพราะขณะนั้นจิตมีสมาธิ หรือมีความตั้งใจดีแล้ว
    ถ้ารอให้นานไป บาปหรือสิ่งไม่ดีจะเข้ามาแทน เช่นจิตไม่มีสมาธิเป็นต้น ทำบุญหรือแผ่บุญก็ได้ผลน้อย ครับผม
     
  6. LungKO

    LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    590
    ค่าพลัง:
    +925
    ที่ว่าข้อ 4ไม่ได้อุทิศ ตัวเองไม่ได้บุญ1 จิตไม่ได้ กุศลอีก1 คนอื่นไม่ได้อีก1 นั้น

    ขออนุญาตแก้เพิ่มเติม ในข้อ4 บางประเด็น นะครับ นะครับ
    ว่าไม่ได้อุทิศ ตัวเองไม่ได้บุญเพิ่ม1 (เพราะทำบุญต้องได้บุญ แน่นอน ส่วนจะมากหรือน้อยนั้น ก็มีส่วนประกอบหลายอย่าง )
    ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับเหตุผลในข้อที่5 นะครับ
    ข้ออื่น ๆ ข้าน้อยคิดว่าดีแล้ว ถูกแล้ว

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กุมภาพันธ์ 2012
  7. firstflag

    firstflag สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
    อาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ ย่อมมีรสชาดดีกว่า อาหารที่ปรุงแล้วทิ้งไว้นาน ๆ จนเย็นชืด
    บุญกุศลที่เราเพิ่งทำใหม่ ๆ ก็ทำให้จิตใจเราชุ่มชื่นเบิกบานเต็มเปี่ยม จิตใจเช่นนี้เมื่ออุทิศส่วนกุศลไปทันที ก็น่าจะมีอานิสงส์มากกว่า การที่เราปล่อยผ่านไปนาน ๆ นะ
     
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    หลวงปู่จันทา ถาวโร

    ๕. ผลบุญช่วยให้แม่พ้นจากนรกมืด

    ตั้งแต่ออกบวชปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญไม่ลดละ เดินจงกรม ยืนภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้ว ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม ก็อุทิศส่วนกุศลไปให้แม่ผู้บังเกิดเกล้าทุกวัน “ปุญญัง อุททิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ ขอบุญจงไปช่วยเหลือแม่ของข้าพเจ้านะ ชื่อว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ดวงจิตเขานั้นไปสิงสถิตอยู่สถานที่ใด ไกลหรือใกล้นั้น ขอบุญจงไปช่วยเหลือให้พ้นจากทุกข์นั้น” นั่นแหละ ก็อุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้น จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๕ พรรษา แม่ก็พ้นจากนรกมืดมาเกิดกับหลานสาว พออายุ ๒ ปี ก็พูดจาได้ความรู้เรื่อง

    แม่ยายเขาเรียกใช้ “อีหล้า ไปหยิบของมาให้แม่หน่อย”

    “มึงอย่ามาเรียกกู อีหล้า กูเป็นแม่มึงนะ”

    “เป็นแม่ได้อย่างไร เพิ่งเกิดมาได้ ๒ ปี”

    “สมบัติร่างกายนี้ไม่ใช่แม่หรอก เป็นหลาน แต่ว่าใจของฉันนั้นเป็นแม่ของพวกท่าน”

    นั่นแหละ เขาก็เลยมานิมนต์ให้ไปซักไซ้ไต่ถามดู ก็เลยได้ความว่า เคยเป็นแม่ในชาติก่อน เมื่อถามว่า เป็นแม่นั้น มีบุตรกี่คน

    เขาก็ตอบได้ว่า มีบุตร ๖ คน คนที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, และ ๖ เขาก็ไล่ชื่อเสียงเรียงนามได้ทั้งหมด รวมทั้งสามี ภรรยา ญาติมิตรสายโลหิต ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อนบ้าน เขาบอกได้ถูกต้องทุกอย่าง ตลอดจนเรื่องเรือกสวนไร่นานั้น ก็บอกได้ถูกต้อง รวมทั้งหลักฐานเครื่องหมายต่างๆ ก็บอกได้ ไม่ผิด

    แต่แล้วก็ยังไม่ลงเอยกันนะ จึงได้ถามเขาต่อไปอีกว่า “หลวงพ่อ คิดถึงเจ้านั่นแหละ จึงได้ออกบวช แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ ได้รับหรือไม่ ?”

    เขาว่า “ได้รับ ได้รับแต่ตอนกลางคืน ๕ ทุ่ม ได้รับทุกคืน แต่ตอนเช้าไม่ได้รับ ไปอยู่ที่ไหนเล่า ?”

    เขาต่อว่ากลับมาอีก “โอ๋...ตอนเช้าหลวงพ่อ ทำบุญน้อย พอตี ๒ ก็ลุกขึ้นมาทุกวันแล้วนั่งสมาธิตั้งแต่นั้นไป จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า จากนั้นก็ไปทำกิจวัตร จึงไม่ได้อุทิศส่วนบุญไปให้ อุทิศให้เฉพาะตอนเย็น เพราะตอนเย็นเดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๕ ทุ่มทุกวัน แล้วก็หยุดยืน นั่งสมาธิ ไหว้พระ สวดมนต์ อุทิศส่วนบุญไปให้ เพราะตอนเย็นนั้นได้บำเพ็ญบุญมาก”

    เขาว่า “ถ้าได้ทั้งเช้าและเย็น ก็คงจะพ้นจากนรกมืดได้ เร็วกว่านี้”

    ก็ถามเขาต่อไปว่า “ไปอยู่นรกมืดนั้นเป็นอย่างไร ?”

    เขาก็ว่า “เมื่อขาดใจแล้ว นายนิริยบาลมาคุมตัวไปฝากไว้ในนรกมืด ไม่มีแสงสว่างเลย มืดทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้เห็นแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์เลย”

    “ในนรกมีคนมากเท่าไร ?”

    “โอ๋...ดวงวิญญาณในนรกมืดนั้นแน่นขนัด อัดแอกันอยู่เหมือนข้าวสารยัดกระสอบนั่นแหละ”

    ทีนี้เมื่อพวกท่านอุทิศส่วนบุญไปให้ จ่ายมบาลก็ว่า “นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ จงมารับเอาส่วนบุญ ที่ลูกบวชในศาสนาอุทิศมาให้ทุกวันคืน”

    นั่นแหละ ฉันก็ดีใจ เมื่อรับเอาบุญทุกวันคืนตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ไปถึง ๒๕ พรรษา ก็เลยพ้นจากกรรมชั่วช้าลามกทั้งหลายทั้งปวงนั้น
    มาอยู่เหนืออำนาจการบังคับของจ่ายมบาล เพราะอำนาจของบุญนั้นตัดกระแสของบาปกรรมในนรกออกได้ เขาก็เลยปล่อยไปตามเรื่อง หมดกรรมเวรแล้ว ขอแม่เจ้าจงไปตามเรื่องเถิดจงไปเกิดที่เมืองมนุษย์ แล้วเขาก็เปิดประตูเหล็กให้ เสียงประตูดังสนั่นเหมือนฟ้าร้อง ได้เห็นแสงพระอาทิตย์สว่างจ้าก็ดีใจ แล้วก็หันหน้าไปร้องบอกลาพวกที่ยังอยู่ในนรกว่า

    “พี่น้องทั้งหลาย ฉันขอลาไปเกิดเมืองมนุษย์ก่อนนะ”

    พวกที่เหลืออยู่ก็ร้องไห้กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนอึ่งอ่างในฤดูฝน ไปไหนไม่ได้เพราะบาปกรรมรึงรัดผูกมัดไว้กับสถานที่นั้น บาปไม่อนุญาตให้ไปเพราะยังไม่หมดเขตเวรกรรม

    จากนั้นจ่ายมบาลก็ว่า “ขอให้ไปดี โชคแม่มีแล้ว เพราะได้ลูกเป็นนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม ออกบวชบำเพ็ญบุญ ส่งมาให้ก็ดีมาก นับว่าหาได้ยากในโลกนี้”

    นั่นแหละ ก็เห็นอำนาจของการบวชบำเพ็ญบุญอุทิศส่วนบุญไปให้ แม่ไปตกนรกมืด บุญก็ไปช่วยเหลือให้มาเกิดในตระกูลเดิมได้ ก็หมดความห่วงใยอาลัยแล้วได้เห็นผลประจักษ์อย่างนั้น




    http://palungjit.org/threads/พระเถระสายหลวงปู่มั่น-หลวงปู่จันทาถาวโร-มรณะภาพ.327525/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2012
  9. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า คำว่า "ได้บุญ" ของคุณในที่นี้ คุณคงสงสัยในแง่ของการอุทิศบุญ ว่า...จะทำให้คุณได้บุญเพิ่มขึ้น.... อย่างนี้ ใช่หรือไม่

    และในขณะเดียวกัน ผมต้องย้อนถามว่า คำว่า "ได้บุญ" ของคุณในที่นี้ หมายถึงใคร
    หมายถึงตัวคุณเอง หรือหมายถึงผู้รับผู้อื่นที่มิใช่ตัวคุณ

    ผมสันนิษฐานว่าหมายถึงตัวคุณเอง

    ถ้าหมายถึงตัวคุณเอง คุณก็ได้บุญเท่ากัน ไม่ว่าคุณจะอุทิศทันที หรือนานๆทีเพราะจิตอันเป็นกุศลที่คุณต้องการอุทิศบุญให้แก่ผู้อื่นนั้น มีผลเท่ากัน ไม่ว่าก่อนหรือหลัง

    แต่... แต่มีปัจจัยอยู่ปัจจัยนึง ที่ทำให้คุณได้บุญเพิ่มขึ้นก็คือ "ความถี่"

    ถ้าวันนี้คุณตักบาตรปุ๊ป แล้วคุณอุทิศบุญเลย แล้ววันรุ่งขึ้น กับวันต่อไป คุณก็ตักบาตร แล้วก็อุทิศบุญในวันรุ่งขึ้นกับวันถัดไป กับการที่ครบ 1 ปี คุณก็อุทิศบุญจากการตักบาตรในปีนั้นทั้งปี อย่างนี้การที่คุณอุทิศบุญทุกวัน ย่อมได้บุญมากกว่าอยู่แล้ว เพราะความถี่ในการอุทิศบุญนั่นเอง

    ว่าแต่ว่า...ทำไมต้องรออุทิศบุญทุกครั้งที่ทำบุญ ทำไมไม่เปลี่ยนมาเป็นอุทิศบุญทุกวันแทนละ ......
     

แชร์หน้านี้

Loading...