วาระแห่งกรรม

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อิริ, 16 กรกฎาคม 2010.

  1. อิริ

    อิริ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +68
    วาระแห่งกรรม การที่สิ่งต่างๆนั้นได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นมิติเวลาที่ทับซ้อนกันอยู่เป็นอย่างนั้นไม่มีจุดกำเนิดและจุดสิ้นสุด เนื่องจากการกำเนิดนั้นจำเป็นต้องอาศัย ปัจจัยต่างๆมากมายที่จะทำให้มีการถือกำเนิดขึ้นแต่ทั้งหมดนี้แท้จริงแล้วหาได้มีการเกิดขึ้นมาแต่อย่างไดไม่ มีแต่การประสบพบเจอแต่สิ่งที่เป็นเพียงมายาเท่านั้น เนื่องจากในหนึ่งมิติที่กำเนิดหรือกรรมที่ส่งให้เกิดนั้นจะมีการต่อเนื่องและทำลายล่างกันโดยไม่มีส่วนไหนที่จะรอดพ้นจากการเห็นในประเภทเดียวกันความไม่มีรอยต่อนั้นช่างยากยิ่งที่จะเห็นว่ามีอยู่และจะให้หายไปตามความเป็นจริงนั้นยากยิ่งแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางที่จะทำได้ การกล่าวถึงมิติหรือเรื่องเกี่ยวกับจักรวาล ที่เป็นแหล่งกำเนิดเหล่า ธาตุต่างๆที่มีทั้ง วิญญาณ ครอบครองและส่วนที่ไม่มีวิญญาณ ครอบครอง ก่อนอื่นลองมาทบความรู้พื้นฐานของความเข้าใจที่ถูกต้องก่อนนะว่า ทุกอย่างนั้นเป็นความว่าง คือว่างจากรูปและว่างจากนามหากว่ายังไม่ว่างคงจะไม่สามารถก้าวต่อไปได้ เพราะทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นไม่มีแม้คำว่าไมว่างทุกส่วนทุกอารมณ์ว่างทั้งหมด เริ่มจากตัวเราเองก่อนแล้วขยายออกไปข้างนอก ในโลกสามมิติที่เราอาศัยอยู่นั้นจะไม่สามารถถือกำเนิดขึ้นมาได้หากขาดมิติแห่งเวลา ดังนั้นเราจะเห็นว่ามิติแห่งเวลาจะช่วยอธิบายเรื่องราวของอัตราของสามมิติเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นแล้วลองคิดเล่นๆว่าถ้าหากเวลาหายไปแล้ว อีกสามมิติจะยังอยู่ได้อีกหรือไม่ ดังนั้นอัตราของมิติที่เกี่ยวกันอยู่นั้นจึงเป็นส่วนที่จะกล่าวกันต่อไปว่าส่วนต่างๆของการประกอบของรูปและนาม นั้นมีการถือกำเนิดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร นักวิทยาศาสตร์ต่างๆหรือแม้แต่เราๆท่านๆเองที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทอลองหรือได้ทดลองเกี่ยวกับเรื่องราวของ ธาตุที่มีขนาดเล็กที่สุดและตลอดไปจนถึงระบบสุริยะจักรวาล (กาล อาวกาศ) ก็จะมาตายตอนที่ว่าก่อนหน้าที่จะเกิดจักวาล นั้น มันมีอะไรหรือเปล่า หรือเป็นแค่เพียงความว่าเปล่าไม่มีอะไรเลย แล้วความว่างเปล่านั้นเกิดมาจากอะไร คำถามเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากความอยากรู้ของมนุษย์ และมันยังคงเป็นอยู่อย่างนั้นต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด หากจะกล่าวว่า การกำเนิดที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า Gig bang นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดของธาตุต่างๆ และที่มาของความรู้นี้คือ E=mc2 ที่กล่าวขานกันทั้งโลกว่าเป็นแม่แบบของความก้าวหน้าของโลกใบนี้นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดถ้าหากจะมองกันอย่างนั้น หรืออย่างการค้นพบทฤษฏี ต่างๆของนักวิทยาศาสตร์ ก็เป็นการค้นพบจากธรรมชาติทั้งนั้นและต่อจากนั้นมามีการปรับปรุงให้ถูกต้องมากยิ่งขึ้นจนเป็นที่ยอมรับและการหักล้างกันในแง่ของทฤษฎี หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ผลการทดลองที่สามารถอธิบายปรากฏหรือการทำนายธรรมชาติได้อย่างแม่นยำ แต่นั่นก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้การค้นพบต่างๆนั้นตอบคำถามที่ พวกเรามาจากไหนและพวกเราจะไปไหนและทำไม่ต้องมีเรา มันยังเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ หรือเป็นเพราะว่าคำตอบนั้นมันมีอยู่แล้วแต่ว่ามนุษย์นั้นกลับมองไม่เห็นและไม่สามารถสัมผัสได้เองและมองข้ามไปมองข้ามตัวเองและธรรมชาติรอบข้างที่คอยบอกว่าที่มาของพวกเรานั้นมาจากไหนและพวกเรากำลังทำอะไรอยู่โดยที่ธรรมชาติจะเป็นตัวชี้วัดว่าการกระทำของพวกเราไปถูกทางหรือเปล่าอย่างที่พวกเราทุกคนกำลังต้องเจออยู่ทุกวันนี้นั้นก็เป็นแค่ความเห็นแก่ตัวของพวกเราเองที่เป็นเหตุให้ต้องใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง คำว่าความอยากมันร้อนและมีอาการดิ้นรนคนหาและมันส่งผลออกมาทางกายหรือการกระทำของพวกเราเอง ส่งผลให้โลกที่เราอาศัยอยู่นั้นมีอาการร้อนรนไปด้วย ลองทบทวนดูว่าหากเมื่อใดก็ตามที่เราไม่สบายใจ กายก็จะพลอยไม่สบายไปด้วย ดังนั้นเห็นชัดว่าทางออกที่มนุษย์นั้นใช้เทคโนโลยีไปในทางที่ผิดผลของมันคือความร้อนที่เกิดจากไฟแห่งความอยาก ทั้งหมดนี้เป็นวาระแห่งกรรมที่พวกเราทั้งหลายจะต้องรับมันพร้อมๆกันอย่างหลีกหนีไม่พ้น
    โลก 3 มิติ ที่เราคุ้นเคยอยู่นั้น ไม่ใช่แค่วัตถุ ที่ประกอบด้วย กว้าง คูณ ยาว คูณ สูง เท่านั้น แต่ มันประกอบด้วยเหตุการณ์ที่มาเกี่ยวข้องกันเสมอ อย่างเช่น เมื่อเราวาดรูปภาพ ที่เป็น 3 มิติ ลงในกระดาษ มันก็เป็นรูปทรงเช่นกัน แต่ในขณะที่เราวาดรูปนั้นมันต้องมีเวลาที่เป็นตัวกำหนดว่าเราจะวาดรูปภาพนั้น ดังนั้น มิติที่ 4 ที่เราสามารถรับรู้ว่ามีการวาดภาพนั้นคือเวลาที่เป็นตัวบอกว่ามีภาพนั้น และที่จริงรูปภาพนั้นจบลงไปแล้วถ้าจะมองเป็นจุดๆเมื่อมีการวาดภาพนั้นทุกครั้งที่เกิดการวาดทุกเส้นที่วาดลงไปนั้นช่วงเวลาที่เกิดขึ้นมันจะจบลงที่ t=oนั้นคือเกิดการวาดและวาดเสร็จจบลงพร้อมกันทันทีและจุดนั้นๆไม่มีรอยต่อจนอาจจะมองเป็นเส้นๆยาวต่อเนื่องกันไปจนเส้นเหล่านั้นกลายเป็นเหมือนเส้นเชือกและรับรู้ได้ในมิติที่ 4 เท่านั้น คือเวลา ที่จะเริ่มต้นขึ้นและเมื่อนั้นนั่นคือการรับรู้ของวิญญาณแต่กระบวนการของวิญญาณที่เกิดขึ้นยังมีข้อผิดพลาดอยู่ในมิติที่ 4 นั้นยังมีการขดตัวที่ไม่เท่ากันอยู่ของแรงต่างๆ อธิบายว่าในขณะที่เวลานั้นๆเกิดและดับพร้อมกันนั้น t=0 หลังจากที่กาลเริ่มกำเนิดแต่อาวกาดได้ขดตัวอยู่ในกาลนั้นๆแต่จุดสมดุลระหว่างอัตราของมิติของเหตุการณ์ต่างๆไม่เท่ากันเช่นเมื่อเราเขียนรูปภาพวงกลมรูปใหญ่กับวงกลมรูปเล็กกาลและอาวกาศของทั้ง 2 รูปย่อมไม่เท่ากัน และ เวลาของจุด 2 จุดย่อมไม่เท่ากันอันเนื่องมาจากตัวแปรเดียวที่กระทำนั้นคือ จุดประสงค์ของกาล และ อาวกาศ ที่กระทำต่อกระแสของกรรม หมายถึงว่ายิ่งเวลานานมากขึ้นเท่าไหร่การบิดและโค้งงอของอาวกาศก็จะมีมากขึ้นจนสามารถเกิดเป็นกาลและอาวกาศใหม่ขึ้นมาจากองค์ประกอบเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกจนไม่มีที่สิ้นสุดเกิดการขยายตัวออกไปจนไม่สามารถจะอธิบายด้วยจำนวนได้ การขยายตัวเช่นนี้ส่งผลให้เกิดการเหนี่ยวนำ ของ ลักษณะ 4 ประการณ์ เนื่องจากอุโมงค์ ของเวลาจะมี 3 ช่อง อยู่ในแนวระนาบ ยกเว้น t=0 ที่ไม่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบใดๆเนื่องจาก กาล และ อาวกาศมีอัตราที่สมดุล จึงทำให้มิติคงสภาพเป็นอนันต์ ที่ไม่ต้องเดินทางหรือจำเป็นจะต้องมีที่อยู่ของปัจจัยต่างๆ แต่เมื่อใดที่เวลากำเนิดอุโมงค์เวลาก็เริ่มขึ้นเช่นกัน ช่องทางแรกของเวลาคือ ปัจจุปัน อุโมงค์ นี้จะไม่มีการปรากฎตัวว่าอาวกาศมีการบิดตัว เพราะฉะนั้น ช่องทางนี้จึง มี t=0 ช่องทางที่ 2 และที่ 3 ถือกำเนิดพร้อมกันแต่จะมีทิศทางไปตรงกันข้าม ทิศทางเหล่านี้ มี 360 องศา และแต่ละช่องทางของเส้นทาง 2,3 ที่กำเนิดพร้อมกันและได้จบไปแล้วใน 3 มิติ แต่จะแสดงตัวใน มิติที่ 4 นั้นคือ อดีต และ อนาคต ซึ่งถ้ามองให้ดี สองมิตินี้คือตัวเดียวกัน คือผลที่เกิดจากการดับของ กาล และ อาวกาศ ดังนั้นที่ พวกเราเคยรู้มาว่า แรง 4 ชนิดที่แสดง อยู่ในกาลและ อาวกาศ นั้น แรงตัวแรกคือแรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียแบบเข็ม แรงนิวเคลียแบบอ่อน หากจะอธิบายใหม่ทั้งหมดของแรงชนิดต่างๆนี้ก็คือ อย่างที่พวกเราทั้งหลายรู้ว่าแรงโน้มถ่วงมีมวลเข้ามาเกี่ยว แรงพื้นฐานชนิดนี้คนที่ค้นพบแรง เขาบอกกับพวกเราว่ามีผลไม้หล่นลงมาจากต้นตกลงสู่พื้นดินนั่นคือแรงโน้มถ่วงหรือ แรง G แต่นั้นมันปลายเหตุแล้วต้นเหตุคือการทับซ้อนของกาลและ อาวกาศที่ทำให้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากผลไม้ที่เห็นว่าร่วงหล่นลงมานั้นความจริงแล้วเป็นการสะลายตัวของกระบวนการที่ว่าด้วยการประกอบ เนื่องจากความเร็วที่เกิดขึ้นจากกระบวนการของ อาวกาศ มีความเกี่ยวข้องกับการสะหลายตัวของธาตุ การทับซ้อนของกาลและอาวกาศทำให้เกิดเป็นกาลและอาวกาศใหม่ๆเช่นผลไม้แท้จริงแล้วมันก็มาจากดินหรือพื้นดิน นั้นคือกระบวนการสะลายตัวของ อุโมงค์มิติ 2,3เท่านั้นเอง เนื่องจากการสะลายแบบ 360 องศา ในทุกทิศที่มีการสะลาย แบบเป็นขั้นตอน การย่อยสะลายของแกนกลางของการยึดเกาะ และการแทนที่ของเวลาหลังจากการสะลายของอุโมงค์ที่ถูกหยุดไว้ว่าอายุของสิ่งต่างที่แสดงตัวในมิติที่4 แรงทุกแรงที่มีตามอาการของการสะลายของอุโมงค์มิติ สาเหตุของการที่มีอาวกาศ คือ มิติที่ 4 นั้นคือมิติแห่งเวลานั้นเอง เคยสงสัยหรือเปล่าว่าแสงคืออะไร และ ทำไมต้องมีแสง เช่นเดียวกัน แสงก็แสดงตัวในมิติที่ 4 เช่นกัน แต่ที่ต่างกันคือแสงจะไม่แสดงใน 3 มิติ เนื่องจาก แสงก็คือเงาของกาลเวลานั้นเอง การกำเนิดเกิดขึ้นของแสงไม่ว่าแสงนั้นจะมีความเข็มมากหรือน้อยแต่การเดินทางของมันจะมีความเร็วคงที่ และ ไม่ว่ากาล อาวกาศจะบิดโค้งงอมากเท่าไร แสงก็เดินทางไปตามการบิดตัวนั้นเพื่อแสดงตัวให้เห็นว่าการมีอยู่ของกาล ทำให้อาวกาศ บิดตัวและโค้งงอ ยิ่งกาลที่มีการบิดตัวมากก็ย่อมมีแรงดึงดูดมากแสงก็ต้องใช้เวลามากตามไปด้วย แต่มีข้อสังเกตอยู่ว่าแสงและกาลในอาวกาศมีอัตราส่วน ระหว่างความเร็วและระดับพลังงานที่สมดุลกัน นั้นคือแสงและอุโมงค์เวลาสามารถจะเป็นตัวบอกตำแหน่งของกันและกันได้ ทั้งสองส่วนนี้มีความสัมพันธ์กันในเรื่องของทำให้เกิดคู่ขนานของมิติ เช่นเดียวกับคู่ตรงข้ามกันที่มีระดับและอัตราต่างๆที่เท่าเทียมกันทุกประการณ์แหล่งกำเนิดมาจากที่เดียวกันหลังจากการเกิดและดับของกาลและอาวกาศที่ทับซ้อนกันพร้อมๆกัน ดังนั้นเราลองมาดูเรื่องเวลาในโลกมนุษย์กันบ้างว่าเป็นอย่างไร เวลาในโลกมนุษย์นั้นเกิดขึ้นเพราะการบิดตัวโค้งงอของอาวกาศทับซ้อนกันหลายชั้นหลายชั้นจนเกิดเป็นสิ่งใหม่ๆมากมายและยิ่งมากมายเมื่อมีการเบี่ยงเบนของการมีตัวตนที่สมบูรณ์ขึ้นถึง 5 ชั้นที่ทับซ้อนกันจนกำเนิดเป็นลอกเลียนแบบจักวาลใหญ่และรักษาสภาพของอัตราเอาไว้โดยไม่ยอมให้มีการเสียหรือศูนย์หายไปแต่จะมีการเปลี่ยนแลงไปเป็นอย่างอื่นต่อไปตามการประกอบขึ้นหรือที่เรียกว่าธาตุ ในโลกใบนี้เป็นห้องเรียนที่ดีทีสุดที่มีการกำเนิดที่ซับซ้อนจนไม่สามารถระบุถึงที่มาได้ เพราะมิติที่ใช้สำรวจการมีอยู่หรือมิติที่ 4 หรือกาลที่เกิดจากความทับซ้อนนั้นมีการแปลเปลี่ยนไปจากการทับซ้อนหรือการประกอบของชั้นการบิดตัวของกาลและอาวกาศ แต่ที่กล่าวมานั้นหรือการทับซ้อนนั้นคือการลอกเลียนแบบตัวเดิมที่เกิดขึ้นและดับลงพร้อมๆกับเสมอ และ อาการเหล่านั้นก็จะอาศัยการเกิดขึ้นอย่างนั้นแต่ไม่เห็นการดับจึงทำให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นชั้นๆหนาขึ้นๆไปเรื่อยๆ เมื่อนั้นแต่ละชั้นจึงเกิดเป็นระดับของพลังงานขึ้นมา จริงๆแล้ว ระดับพลังงานนี้ไม่มีผลอันใดกับกาลและอาวกาศแต่มีผลแค่กับการมีอยู่ของชั้นการลอกเลียนแบบของการเปลี่ยนแปลงสภาพที่ไม่ยอมคืนให้กับระบบใหญ่ทั้งที่จริงแล้วระบบใหญ่คืนตัวไปหมดแล้วระบบใหญ่เห็นการดับและไม่มีการเปลี่ยนสภาพแต่ประการใด แต่ในชั้นของการลอกเลียนแบบนั้นเนื่องจากเป็นสภาพที่ประกอบขึ้นจากตัวเองและหลีกหนีระดับพลังงานที่ตัวเองสร้างขึ้นจึงทำให้ต้องมีการเปลี่ยน สภาพโดยอาศัยการเกิดของกาลและอาวกาศทำให้เวลาเกิดขึ้นแล้วอาศัยเวลานั้นเป็นหลักเกนในการหลีกหนีแปลเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นหรือวนซ้ำ อันเนื่องมาจากการผิดเพี้ยนของมิติที่ 4 ที่เกิดขึ้นจากการลอกเลียนแบบชั้นเดิมที่ใช้เวลาเป็นตัวชี้วัดของแต่ละชั้น ซึ่งที่เรียกกันว่า วาระแห่งกรรม<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  2. sazukia007

    sazukia007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +711
    ตัวเล็กไปแล้ว ไม่อ่านหล่ะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...