ฤาษีสอนลูกภาคใต้

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย suekong, 10 ตุลาคม 2015.

  1. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    ผมได้ถอดเทปชุดฤาษีสอนลูกไว้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งในกระทู้ันี้ขอนำเสนอชุดฤาษีสอนลูกภาคใต้ทั้งหมด ๒๐ ตอน
    หากไม่สมบูรณ์ประการใดต้องขออภัยด้วยครับ

    01.เข้าเฝ้าในหลวง@17 เมษายน 2521.mp3
    บรรดาลูกรักทั้งหลาย สำหรับวันนี้ พ่อจะขอปรารภความเป็นไปในชีวิตของพ่อ
    เพื่อให้บรรดาลูกรักทั้งหลายได้รับทราบ แต่เสียงที่บังเอิญ
    ลูกจะได้ยินเสียงอย่างอื่นเข้ามาแทรกแซง เป็นเสียงซู่ซ่าก็ดี
    เสียงคลื่นทะเลก็ดี เสียงรถยนต์ เสียงเรือยนต์ เสียงคนพูดก็ดี
    ถ้าบังเอิญจะเข้ามาแทรกในเสียงนี้ ก็ขอบรรดาลูกรักทั้งหลายพึงทราบ
    ว่าเสียงที่พ่อพูดนี้ พ่อไม่ได้พูดในห้องบันทึกเสียง
    พ่อพูดในห้องที่เต็มไปด้วยเสียงรบกวน มีทั้งเสียงคน
    มีทั้งเสียงเรือยนต์ มีทั้งเสียงรถยนต์ เสียงเครื่องจักรกลต่างๆ
    เสียงเห่าเสียงหอนของสุนัข เสียงนกร้องและก็เสียงไก่
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า พ่อมาพูดที่จังหวัดกระบี่

    วันนี้วันที่ เออวันที่เท่าไหร่หนอ วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๒๑
    พ่อเดินทางมาจังหวัดกระบี่ พร้อมไปด้วยคณะลูกบางส่วน
    แต่ว่าเป็นที่น่าเสียดาย ที่บรรดาลูกรักทั้งหลาย ที่ทรงความดี
    มีการเสียสละความสุขส่วนตน ช่วยสงเคราะห์คนที่มีความยากจนเข็ญใจกว่า
    และก็งานทุกอย่าง ที่บรรดาลูกทั้งหลายทำ แต่ละคนย่อมรู้จักหน้าที่ของตน
    และก็ทำด้วยความว่องไว แข็งแรง ไม่เคยที่จะ.. ออมกำลังกาย
    กำลังใจเพื่อกิจการในส่วนสาธารณประโยชน์ เป็นการสร้างวัดก็ดี
    กิจการส่วนอื่นก็ดี งานแจกของแก่ประชาชนก็ดี การเตรียมการก็ดี
    งานอย่างนี้ทั้งหมดเป็นการหนัก เป็นงานที่หนักมาก
    ต้องอาศัยความละเอียดอ่อน ความแข็งแรงของร่างกาย
    ความฉับไว และก็ความฉลาด มีปฏิภาณความสามารถในกิจการทุกอย่าง
    พ่อเองก็คิดไม่ถึง ว่าความคล่องตัวของลูกรักทั้งหลายจะคล่องตัวได้ขนาดนี้

    ตัวอย่างในคราวไปแม่ฮ่องสอน งานหนักมาก การขนของขึ้นรถ
    เตรียมการที่จะเคลื่อนที่ พ่อคิดว่า ลูกของพ่อนี้จะต้องขนของขึ้นรถ
    ใช้เวลาอย่างน้อย ไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง แต่ความจริงเห็นว่าเวลาครึ่งชั่วโมง
    มันอาจจะไม่พอกับของที่จะนำขึ้นรถ อาจจะต้องใช้เวลาถึง ๑ ชั่วโมง
    แต่บรรดาลูกรักทั้งหลายที่เป็นสตรีทั้งหมด มีความแข็งแรงเป็นกรณีพิเศษ
    และก็สำหรับที่เป็นผู้ชาย แต่เป็นที่น่าเสียดาย ท่านที่เป็นผู้ชายไปในขณะนั้น
    กลับมีความแข็งแรงไม่เท่าท่านสุภาพสตรี ที่พูดนี้ไม่ใช่ประณามกัน
    บางคนก็ทำงานจนลุกไม่ขึ้นเหมือนกันผู้ชาย แต่บางคนก็เอามือไขว้หลัง
    ไปดูผู้หญิงทำงานเสีย อย่างนี้พ่อเสียดายเวลาของชีวิต
    เป็นอันว่ากิจที่ลูกทำทั้งหมด เป็นกิจที่พ่อคาดไม่ถึง มีความปลาบปลื้มใจอย่างยิ่ง
    เป็นอันว่าทั้งลูกชายและลูกหญิงของพ่อเป็นคนดีทั้งหมด
    ในสายตาของคนอื่น เขาอาจจะเห็นว่าลูกเลว แต่ขอลูกทั้งหลายจงคิดว่า
    นั่นเป็นเรื่องความรู้สึกนึกคิดของบุคคลแต่ละคน แต่พ่อเองมีความรู้สึกว่า
    คนจะดีรึว่าคนจะเลวมันขึ้นอยู่กับกฎของกรรม ก่อนที่เราจะเกิดมานี่
    เราทำกรรมทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ขณะใดถ้ากรรมที่เป็นอกุศลกรรมมันให้ผล
    ขณะนั้น ลูกของพ่อก็อาจจะมีความคิดผิด พูดผิด
    กระทำผิดไปได้เป็นของธรรมดา แต่ขณะใดที่กรรมที่เป็นกุศลให้ผล
    บรรดาลูกรักของพ่อก็จะทำถูก พูดถูก คิดถูกอยู่เสมอ
    เรื่องนี้ถึงแม้ว่าตัวของพ่อเองก็ประสบมามาก จึงไม่มีความรู้สึก
    เมื่อลูกรักบางท่านบางคน คิดพลาด พูดพลาด กระทำพลาดไป
    ถือว่านั่นเป็นเรื่องกฎของกรรม

    เวลาที่พ่อนั่งบันทึกเสียงอยู่ที่จังหวัดกระบี่ ในบริเวณของโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิต
    ซึ่งมีท่านหม่อมหลวงวรวัฒน์ นวรัตน์ ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตสายใต้
    เป็นผู้อุปการะให้มาพักอยู่ที่บ้านพักของท่าน เวลานี้พ่อเองกำลังนั่งพูดอยู่
    รู้สึกเวียนศีรษะ ใจสั่นระริก ร่างกายไม่ปกติ เพราะต้องเดินทางทั้งวัน
    เช้าเวลาเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาทีออกจากคลองวาฬ บ้านของท่านพันตำรวจเอกพิเศษเล็ก
    ฟอตี้ อดีตรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เดินทางมาคราวนี้ก็รู้สึกขลุกขลักมาก จนกว่าจะถึงจังหวัดกระบี่
    ก็คาดไม่ถึง การเดินทางมาคราวนี้ นับตั้งแต่เข้าเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี
    และกว่าจะถึงจังหวัดกระบี่ ก็ถือว่าพวกเราทั้งหมด
    กำลังเดินอยู่ในปากของเสือ ซึ่งเสือจะกัดลงมา
    เราจะถูกเขี้ยวถูกเล็บของเสือทำร้ายเมื่อไหร่ก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    รถยนต์ของเราก็มีอุปสรรคเฉพาะในจุดที่มีความสำคัญทั้งหมด แต่พ่อก็มั่นใจ
    ในบารมีขององค์สมเด็จพระบรมสุคต ว่าพอจะทำให้ลูกทั้งหลาย
    ปลอดภัยจากอันตรายได้ ในที่สุด ก็มาถึงจังหวัดกระบี่ได้ แต่ทว่า
    ในช่วงระยะเวลาที่เดินทางในสายใต้ตลอดสาย หรือว่าสายไหนก็ตาม
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สายใต้ มีความสำคัญมาก ขอลูกรักทั้งหมด
    จงอย่ามีความประมาท และก็จงอย่าคิดว่า อันตรายจะไม่มีกับเรา
    ถ้าบังเอิญจะพึงมีอันตรายเกิดขึ้น ก็จงคิดว่า นั่นเป็นเรื่องกฎของกรรม
    เราทำดีที่สุดแล้ว เราเสียสละทุกอย่าง ชีวิตและเลือดเนื้อ
    เราก็ยอม ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีความสุข ความทุกข์มันจะเบียดเบียน
    เพราะการเกื้อกูลบรรดาพี่น้องชาวไทย และไม่ใช่ไทย
    ที่อยู่ในเขตประเทศไทยให้มีความสุข ตามความสามารถของเราที่จะพึงทำได้
    และก็เป็นการสนองพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย ให้คณะของเราตั้งเป็นศูนย์ขึ้น
    ในนามของพระองค์ และคนทุกคนที่ช่วยทางงาน คือลูกๆ
    ทั้งหมด ก็ชื่อว่า เป็นผู้.. เป็นเจ้าหน้าที่ของศูนย์
    ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นศูนย์สงเคราะห์
    ไม่มี ไม่ได้คิดจะเป็นปฏิปักษ์กับใคร จิตใจของพวกเรา
    เต็มไปด้วยความเมตตาปรานี สละทั้งทรัพย์สิน สละทั้งเวลาการงาน
    บางครั้งเราต้องขาดจากราชการ เราก็พร้อมทำ
    และการไปทำงานทุกครั้ง ทุกคนก็เสียสละทรัพย์ ช่วยในการเดินทาง
    ค่าพาหนะ ค่าใช้จ่าย ซึ่งพ่อคิดไม่ถึงว่า ถ้าจ้างคนอื่นเขา
    ก็ยังไม่สามารถจะทำได้ดีเท่ากับลูกของพ่อ ที่ต้องเสียทั้งแรงงาน
    เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลาการงาน ดีไม่ดี ผู้บังคับบัญชาเขาจะเกลียดน้ำหน้า
    กลั่นแกล้งลูก ไม่ยอมให้ขึ้นเงินเดือน หรือไม่ยอมเลื่อนขั้นเลื่อนยศก็เป็นไปได้
    แต่ว่านั่นถ้าเป็นอย่างนั้น ขอลูกทั้งหลายจงถือว่าเป็นกฎของกรรมเดิม
    ที่เราทำมาแล้วไม่ดี ในชาตินี้เรามาแก้ตัวกันใหม่ พยายามทำความดีเสียทุกอย่าง
    เพื่อเป็นการหักล้างความชั่วเดิม เพื่อผลที่เราจะพึงได้ต่อไป นั่นก็คือพระนิพพาน

    สำหรับเรื่องต่างๆ ที่จะต้องพูดเป็นอารัมภบทจะของดไว้
    พ่อจะขอทวนต้น กลับไปในสมัย พ.ศ. ๒๕๒๐ คือวันนั้นเป็นวันที่
    ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงนิมนต์
    ให้พ่อเข้าไปเฝ้าท่านที่วังสวนจิตร วันนั้น ปรารภกับพระองค์เพียงสองเท่านั้น
    คือพระองค์หนึ่ง และก็พ่อหนึ่ง พระองค์ทรงใช้ห้องพิเศษ
    ลงกลอนด้วยพระองค์เอง การปรารภในวันนั้น
    ก็มีเรื่องหลายเรื่องด้วยกัน แต่พ่ออาจจะจำไม่ได้ดีนัก
    จะจำแต่เพียงว่า ในสิ่งที่พ่อจำมาได้ อย่าลืมว่า เวลานี้ พ่อพูดวันนี้
    พ่อเหนื่อยมาก เพราะตรากตรำมาทั้งวันนั่งรถ เวลาที่นั่งพูด
    ใจก็ยังสั่นระริก ร่างกายก็ยังงง เกือบจะทรงตัวไม่ไหว
    แต่พ่อก็เกรงว่าร่างกายของพ่อ มันจะทนต่อการใช้งานไม่ไหว
    อาจจะต้องจากโลกนี้ไปวันใดวันหนึ่งก็ได้ เรื่องของชีวิต
    และก็เรื่องของขันธ์ ๕ ลูกรัก อย่าสนใจมันมากนัก เพราะว่าขันธ์ ๕ มันไม่ใช่เรา
    มันไม่ใช่ของเรา มันจะพังเมื่อไร ก็ตามใจมัน ขณะที่เราอาศัยมัน
    มันยังไม่พัง เราก็ใช้มันให้เป็นประโยชน์ต่อไป

    วันนั้น เมื่อเข้าไปในห้อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระราชดำรัส
    ปรารภถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองยะลาในเดือนกันยายน เพราะว่า
    พวกเราได้ข่าวกันทางหนังสือพิมพ์บ้าง ได้ข่าวทางวิทยุบ้าง
    ว่าขณะที่พระองค์ทรงเสด็จเยี่ยมประชากรของพระองค์ที่จังหวัดยะลา
    ปรากฏว่ามีเสียงระเบิดดังขึ้น ๒ ครั้ง แต่ความจริงพ่อได้ยินข่าว
    พ่อก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าในใจส่วนหนึ่ง
    ยังอดที่จะสงสารพระองค์ไม่ได้ เพราะว่าทั้งสองพระองค์
    พร้อมทั้งพระเจ้าลูกเธอและพระเจ้าลูกยาเธอ ทรงกระทำทุกอย่าง
    เพื่อความสันติสุขของปวงชนชาวไทยทั้งชาติ ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์
    เสียสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ มีน้ำพระราชหฤทัย
    หวังอยู่อย่างเดียวว่า ทำอย่างไร คนไทยทั้งชาติจึงจะมีความสุข
    ถ้าสิ่งนั้นถ้าไม่เกินความสามารถของพระองค์แล้ว พระองค์ทำทุกอย่าง
    รวมความแล้ว พระองค์เป็นผู้ให้ ไม่ใช่ผู้รับ แต่จะถือว่า
    เป็นการรับผลของความดี เป็นด้านธรรมะนั่นย่อมมีอยู่ถ้าด้านวัตถุ
    ถ้ามองกันทางโลกแล้ว จะเห็นว่าพระองค์เป็นผู้ให้เท่านั้น ไม่น่าเลย
    ที่คนทั้งหลายเหล่านั้น เขาจะทำกับพระองค์อย่างนี้ เดชะบุญ
    ที่บุญบารมี หรือชีวิตของทั้งหมดไม่ถึงฆาต ระเบิดจึงระเบิดพลาดไม่ถูกจุด
    ทำให้พระองค์ต้องทรงชีวิตอยู่ได้ต่อไป

    เมื่อเข้าไปใหม่ๆ พระองค์คงจะคิดว่า พ่อมีความห่วงใยเรื่องนี้
    จึงได้ขอโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์ พระองค์ก็มีพระราชปรารภว่า
    วันนั้น พอได้ยินเสียงระเบิดครั้งแรก เห็นคนเขาวิ่งวุ่น
    ขวักไขว่ไปมา ก็มีความรู้สึกว่า เสียงระเบิดมันระเบิดไปแล้ว
    มันระเบิดไปแล้วก็เป็นอดีต อย่างนี้ ตามภาษาบาลี
    เขาเรียกว่าอดีตใกล้ปัจจุบัน ถ้าเราจะเอาจิตไปคิดห่วงใยเรื่องราวในอดีต
    งานในปัจจุบันของเราก็จะไม่เป็นผล ฉะนั้น
    พระองค์จึงได้ทรงวางพระอารมณ์เฉย เป็นอุเบกขา
    ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันเกิดแล้วก็แล้วกันไป เวลานี้
    มีหน้าที่ที่จะทำงาน ทำงานในปัจจุบันก็ทำ ทำไปจนกว่าจะเสร็จ
    และหลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงให้โอวาทแก่บรรดาลูกเสือชาวบ้าน
    ทรงปรารภว่า วันนั้นพูดยาวหน่อย เพราะเป็นการดับกำลังใจ
    ในความตื่นเต้นของประชาชน และลูกเสือทั้งหลาย ตอนหลังจากนั้น
    เมื่อเสร็จจากการพระราชทานธงลูกเสือและให้โอวาทเสร็จ
    จะต้องเสด็จไปเยี่ยมประชาชน ก็ทรงดำริว่า ถ้าขณะที่ไป
    เสียงระเบิด ถ้ามันระเบิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งจะเป็นยังไง
    ความจริงระเบิดที่ระเบิดขึ้นมานั้น เป็นวาระที่ ๒ แล้ว
    คือระเบิด ๒ ลูก ไกลจากที่ประทับลูกหนึ่ง ๕๐ เมตร
    อีกลูกหนึ่ง ๑๐๐ เมตร แต่ว่าถ้าพระองค์เสด็จไป
    เยี่ยมประชากรของพระองค์ ระเบิดทั้งสองจุด
    จะไกลจากลาดพระบาทเพียง ๗ เมตรเท่านั้น พ่อทราบจากเจ้าหน้าที่
    ผู้มีความชำนาญในระเบิด ก็บอกว่า ลูกระเบิดแสวงผลประเภทนี้
    มีรัศมีทำการถึง ๒๐ เมตรที่ได้ผล และขอลูกทุกคนก็จึงทรงศึกษาไว้
    ว่าระเบิดแบบนี้ที่เขาทำไว้ เขาหมกไว้หรือเขาวางไว้
    ในสิ่งที่ไม่น่าจะสงสัย เขาจะมีวัตถุชิ้นหนึ่งเป็นเครื่องล่อตา
    เช่น ไฟขีดขีดไฟแช็ค หรือว่าปืน หรือว่าของที่น่ารัก วางไว้
    แต่สายล่ามไว้ ถ้าบังเอิญ ใครมีความสนใจในวัตถุนั้น
    หยิบขึ้นมา สายเชือกที่ผูกกับชนวนจะกระตุกระเบิด
    ระเบิดก็จะเกิดระเบิดทันที เรื่องนี้ลูกทั้งหลายก็คงจะระวังไว้
    เพราะว่า อันตรายมันจะเกิดมีเพราะสิ่งที่เรารัก
    ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ปิยะเต ชายะเต โสโก
    ปิยะเต ชายะเต ภะยัง ความเศร้าโศกเสียใจเกิดขึ้นจากความรัก
    ภัยอันตรายเกิดขึ้นได้ เพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ
    นี่ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ตรัสอย่างนี้ตรง เพราะว่า
    เขาจะพยายามหาของที่เรารักไปผูกกับชนวนเข้าไว้ เมื่อหยิบขึ้นมาเมื่อไร
    ระเบิดก็จะเกิดระเบิดขึ้น ตอนนี้ เราก็จะมีอันตราย
    ฉะนั้น ขอลูกทั้งหลายจงจำไว้ ระมัดระวังเรื่องนี้ให้มาก
    แต่ถ้าบังเอิญ วิบากกรรมมันให้ผล ก็จะเป็นปัจจัยให้เราลืมได้เหมือนกัน
    (เสียงสั่งน้ำมูก) ก็ต้องขออภัยลูก พ่อกำลังเป็นหวัดอย่างหนัก

    ตอนนี้ก็ต้องขอต่อเรื่องราวในพระราชฐานต่อไป ในตอนที่สอง
    พระองค์ก็ทรงตัดสินพระทัย ว่าเรื่องระเบิดที่จะระเบิดขึ้นมาภายหลัง
    มันเป็นเรื่องของอนาคต ถ้าเอาจิตใจไปยุ่งกับอนาคตเข้าแล้วล่ะก็
    งานปัจจุบันมันจะเสีย เป็นอันว่าน้ำพระทัยของพระองค์
    มีความมั่นคงในอุเบกขารมณ์ มีความมั่นในธรรม
    คนที่มีจิตมั่นในธรรมจริงๆ น่ะมีความกล้า
    พอที่จะเอาชีวิตเข้าแลกกับความดีได้
    ฉะนั้น ขอบรรดาลูกทั้งหลาย จงจำพระราชจริยาวัตร
    ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ และจงพยายามกระทำน้ำใจของเรา
    ให้เหมือนกับน้ำพระทัยของพระองค์ หรือว่าจงเห็นว่า
    ชีวิตมีความหมายน้อยกว่าความดี เราเกิดมาแล้วคราวนี้เราก็ต้องตาย
    ไหนๆ จะตายขอให้เราตายอยู่กับความดี เท่านี้เป็นพอ
    คือว่าถ้าความดีนี้เป็นความดีสูงสุด ลูกทั้งหมดก็จะไปพระนิพพานได้
    ถ้าเป็นความดีหย่อนลงมา ก็สามารถจะเป็นพระอนาคามี
    พระสกิทาคามี พระโสดาบัน หรืออย่างเลวไปกว่านั้น
    ลูกทุกคนก็จะเป็นผู้เข้าถึงไตรสรณาคมน์
    คือมีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม
    มีความเคารพในพระอริยสงฆ์ เท่านี้ ลูกก็มีทุนใหญ่
    สามารถจะปลดเปลื้องความเกิดต่อไปเสียได้

    สำหรับเรื่องในพระราชฐานในวันนั้น นอกจากนั้นแล้วเท่าที่พ่อจำได้
    พระองค์ก็ทรงมีพระราชปรารภ เรื่องการสร้างศูนย์สงเคราะห์
    บุคคลผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารขึ้น ทรงตรัสถามว่า
    หลวงพ่อจะตั้งศูนย์สักศูนย์ได้ไหม พ่อก็สงสัย
    จึงได้ทูลถามพระองค์ไปว่า จะตั้งศูนย์อะไร พระองค์ก็ทรงตรัสว่า
    ตั้งศูนย์สงเคราะห์บุคคลผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารภาคเหนือ
    ตามความจริงเรื่องภาคๆ นี่ รู้สึกว่าคนทั้งหลายมาวิจารณ์กันเอง
    โดยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ตั้งให้เป็นคณะกรรมาธิการ
    โดยลงท้ายว่า ถ้าลงท้ายว่า เหนือ อย่างเดียว
    คนทั้งประเทศจะเห็นว่าพระองค์อคติ ภาคอื่นทำไมจึงไม่ตั้ง
    ขอให้ตัดคำว่าเหนือออกเสีย ความจริงตามความรู้สึกของพ่อ
    คิดว่าไม่มีความเสียหาย รึว่าถ้าจะทรงตั้งภาคเหนือ
    ถ้าเราเขียนป้ายไปว่าภาคเหนือ และเราก็ไปสงเคราะห์ทุกภาค
    เขาจะเห็นว่า น้ำพระทัยของพระมหากษัตริย์ของคนไทย
    ตั้งศูนย์ไว้เฉพาะภาคเหนือเป็นเขต ก็ยังสามารถจะก้าวเข้าไปสู่จุดต่างๆ
    ที่ไม่ใช่ภาคเหนือ ที่ไม่ใช่เขต เป็นการแสดงความกว้างขวางของน้ำใจ
    แต่ความจริงสำหรับภาคอื่น พ่อทราบอยู่แล้ว
    ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีคนแทนพระองค์อยู่แล้ว
    เรื่องนี้ก็ขอยกไป ประเดี๋ยวจะสะเทือนใจคณะกรรมาธิการพิเศษ

    เป็นอันว่า เมื่อพระองค์ทรงมีพระราชปรารภอย่างนั้น
    พ่อก็ทูลพระองค์ว่า วัดกว้างขวางพอ ตั้งศูนย์ได้ แต่เงินไม่มี
    พระองค์ก็ทรงตรัสว่าเงินมี และก็พระราชทานเงินมาแสนบาท
    ต่อมาเมื่อบรรดาประชาชนทั้งหลายเห็นว่า
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไว้วางพระราชหฤทัยในพ่อ
    ตลอดจนกระทั่งบรรดาลูกทั้งหลายด้วย ก็ช่วยกันสละทรัพย์ตามกำลังศรัทธา
    เป็นเงินบ้าง เป็นข้าวบ้าง เป็นปลาบ้าง เกลือบ้าง กะปิบ้าง
    เป็นผ้าผ่อนท่อนสไบบ้าง ทั้งหมดคิดแล้ว สิ่งที่ได้รับเข้ามาในศูนย์เวลานี้
    เกินกว่าเงิน ๑ ล้านบาท เพราะการออกแจกแต่ละคราว
    ก็ใช้คิดเป็นค่าของของคราวหนึ่งหลายแสนบาท
    ถ้าจะคิดค่ากันทั้งหมดจริงๆ ผลที่ศูนย์ได้รับจากวัตถุทุกอย่าง
    คงจะเกินกว่า ๑๐ ล้านบาท อันนี้ก็เป็นน้ำใจของบรรดาลูกทั้งหลาย
    และบรรดาท่านพุทธบริษัท มีจิตเมตตาปรานีในคนไทยด้วยกัน
    ซึ่งมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้นำที่ดีที่สุดที่พ่อเห็นมา
    แล้วต่อมาก็ปรากฏว่า ท่านพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์
    ก็ได้สงเคราะห์กับพ่อ ช่วยในศูนย์นี้ ให้ข้าวสาร ๒,๐๐๐ กระสอบ
    พืชผักสำหรับปลูก น้ำมันสำหรับทอดผัก และก็น้ำตาล
    เป็นอันว่าศูนย์ของเรา หรือว่าศูนย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    มีคนเห็นด้วยมาก และก็เต็มใจที่จะร่วมมือด้วย นอกจากนั้น
    ท่านผู้มีศรัทธา ช่วยพาหนะ เรื่องพาหนะเป็นเรื่องใหญ่มาก
    ลองเช่าเขาไปที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ใช้เวลาไม่กี่วันนัก
    เช่ารถโดยสารไป ๒ คน จะต้องจ่ายเงินค่ารถโดยสารถึง ๒๘,๐๐๐ บาท
    และก็ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นทั้งหมด รวมแล้ว ค่ากิน ค่าอะไรต่ออะไรต่างๆ
    ไม่ใช่ค่าแจก เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง สิ้นเงินไปทั้งหมดถึง
    ๓๓,๐๐๐ บาทเศษ แต่พ่อเองก็จ่ายจริงๆ เพียงพันบาทเศษเท่านั้น
    เพราะทั้งหมดนั้น บรรดาลูกรักทั้งหลายของพ่อ
    ช่วยกันสละตามกำลังศรัทธา เป็นเงินจำนวนถึง ๓๒,๐๐๐ บาทเศษ
    ทีนี้พันบาทพ่อเป็นผู้จ่าย ลูกสละเวลาการงานด้วย สละแรงงานด้วย
    สละทรัพย์สินช่วยคนยากจนด้วย และก็ช่วยกันเสียสละค่าพาหนะด้วย
    ความน่ารักของลูกของพ่อทุกคนอย่างนี้ พ่อคิดว่า พ่อจะหาที่ไหนไม่ได้แล้ว
    คนอื่นใครเขาจะทำงานเพื่อพ่ออย่างการสร้างวัด ทั้งๆ ที่วัดอยู่ในเขตของเขา
    เวลาไปบอกเขาไม่ช่วยทำ เขาคิดเป็นค่าแรงงาน ดีไม่ดีทำไปๆ
    เขาขอขึ้นแรงงาน ความจริงวัดเป็นประโยชน์สำหรับเขาในเขตนั้น
    แต่ว่าเขาไม่ได้เห็นน้ำใจของพ่อ ไม่ได้คิดว่าสิ่งนี้เป็นสาธารณประโยชน์
    เขาคิดว่ามันเป็นสมบัติของพ่อ เขาจึงเรียกค่าแรงงาน
    แต่สำหรับลูกของพ่อทุกคนนี้นั้น จ่ายเงินเป็นค่าสงเคราะห์คนจนด้วย
    จ่ายเงินเป็นค่าพาหนะด้วย เสียสละเวลาการงาน
    บางคนก็ต้องลาการงานไป จนเจ้านายเขาเกลียดน้ำหน้าแล้วก็มี
    แล้วก็เสียสละเงินค่าพาหนะอีกทั้งที นี่พ่อเห็นว่า พ่อเป็นคนที่มีบุญที่สุด
    ที่ลูกของพ่อทุกคนเป็นคนดี

    สำหรับเทปหน้านี้มันหมดซะแล้วนี่ลูก รอฟังหน้าหลังต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2015
  2. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    02.เข้าเฝ้าในหลวง (ต่อ).mp3
    ลูกรักของพ่อ เทปหน้าโน้นพ่อพูดยาวไป ลูกคงอยากจะตั้งใจ
    เรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปรารภ
    เป็นอันว่าวันนั้นนอกจากเรื่องศูนย์แล้ว ก็ยังมีเรื่อง
    ปรารภเรื่องการสงเคราะห์คนยากจน ว่าคนที่ยากจนนั้น
    ถ้าเราจะให้อย่างเดียว มันก็มีประโยชน์น้อย แต่ก็จำจะต้องให้
    ถ้าเขาจะอดตาย เราก็ต้องให้เพื่อยังชีวิตไว้ก่อน
    ถ้าประโยชน์ใหญ่จริงๆ แล้วก็ ควรจะจัดหา
    คือชี้แจงในการประกอบอาชีพให้เขา แนะนำให้ อันนี้
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมอบให้ อาจารย์ประวิณ พูลศรี
    คณบดีเกษตรศาสตร์เป็นผู้ไปช่วยงานในเรื่องนี้ และก็มีนายทหาร
    มีทหารหน่วยปฏิบัติจิตวิทยา ของศูนย์สงครามพิเศษ ก็ไปช่วยเรื่องนี้
    เป็นอันว่างานของเรานี่ลูกรัก มีฝ่ายช่วยเหลือมาก น่าชื่นใจ
    อันนี้สำหรับที่ทรงมีพระราชปรารภต่อไปก็เรื่อง
    การอ่างน้ำในเขตจังหวัดอุทัยธานี ในเขตจังหวัดอุทัยธานีเนี่ย
    หาน้ำแหล่งน้ำยากจริงๆ แต่ว่าในตอนนั้น พ่อก็ยังไม่ได้สำรวจนะลูก
    เป็นอันว่าวันนั้น พ่อเห็นน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    เวลาที่พ่อลากลับ พระองค์ทรงตรัสว่า ประเดี๋ยวจะขาดพรรษา
    เพราะในพรรษา ถ้าไม่ไปก็เกรงว่าจะขาดพรรษา
    เห็นว่าพระองค์มีความเหน็ดเหนื่อยมาก เสด็จแปรพระราชฐาน
    ก็ไม่ได้ไปเที่ยว ไปงานทุกอย่าง ความจริงในระหว่างอยู่ที่นราธิวาส
    เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๒๐ พ่อและคณะของลูกบางส่วน
    ไปพบกับพระองค์ที่จังหวัดสงขลา ต่อมา
    พระองค์ก็ให้ไปพักที่นราธิวาสร่วมกัน จะเห็นว่า
    เมื่อไปที่นั่นก็ทราบชัดว่า พระองค์ไม่มีเวลาหยุด
    มีงานทั้งกลางวันและกลางคืน ถ้าอย่างพ่อเอง พ่อก็ทนไม่ไหว
    และน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็ทรงห่วงใยอย่างยิ่ง
    จัดอาหารมาเลี้ยงพวกเราทั้งคณะ ทั้งลูกทั้งพ่อ สำหรับพ่อ
    ทรงให้พลเอก สำราญ ... ใช่หรือไม่ใช่ นามสกุล พ่อจำไม่ชัด
    มาดูแลเรื่องอาหารตลอดเวลา นี่เห็นน้ำพระทัย
    ในความเมตตาปรานีของพระองค์แล้วรึยังลูกรัก ถ้าเห็นแล้วก็จำไว้
    ทำอย่างพระองค์ ความดีไม่หนีเราไปไหน ในเมื่อเราทำความดี
    ใครเขาจะหาว่าเราเลวเราชั่วก็ช่างเขา
    จงจำวาจาของพระพุทธเจ้าว่าไว้ว่า นินทาปสังสา
    ขึ้นชื่อว่านินทาและสรรเสริญ เป็นของธรรมดาของโลก
    ไม่มีใครจะหนีการนินทา ไม่มีใครจะหนีการสรรเสริญได้
    ขอลูกจงปิดหู ลูกจงปิดตา ลูกจงปิดใจ อย่ารับคำทั้งสองประการ
    ทั้งคำนินทาและสรรเสริญ ถ้าลูกไปรับมันเมื่อไหร่
    ลูกจะมีแต่ความทุกข์ใจเมื่อนั้น

    คุยกันต่อไปนะลูกรัก นี่พ่อพูดกับลูกของพ่อ
    พ่อไม่ได้พูดกับคนอื่น ที่เขาคิดว่าเขาไม่ใช่ลูกของพ่อ
    หรือว่าที่เขาคิดว่า เขาเป็นปฏิปักษ์ต่อพ่อ แต่พ่อน่ะ
    ไม่เคยคิดว่าจะเป็นปฏิปักษ์ต่อใคร ใครเขาจะคิดยังไง
    เป็นเรื่องอารมณ์จิตของเขา เราอย่าไปยุ่ง
    เขาอยากจะด่าก็ให้เขาด่า เขาอยากจะสรรเสริญ
    ก็ให้เขาสรรเสริญ เขาอยากจะนินทากลั่นแกล้ง
    ก็ให้เขานินทากลั่นแกล้ง
    ให้มันเป็นเรื่องของเขา เราอย่าเกี่ยว ใจของลูกจะมีความสุข
    ไอ้เรื่องรับคำนินทารับคำสรรเสริญ นี่พ่อรับมาแล้ว
    มันกลุ้มเหลือเกินลูกรัก ทำให้ไม่สบายทั้ง(กาย)และก็ไม่สบายทั้งใจ
    ตอนต่อนี้เรามาคุยกันไป เป็นอันว่า วันนั้น
    เรื่องของภูพิงค์เอ้อเรื่องของสวนจิตรก็คงผ่านไป
    ความจริงเรื่องมีมากกว่านี้ แต่ว่าพ่อนึกไม่ออก
    ใจมันสั่นลูก ศีรษะก็เวียน ตาก็ลาย เพราะว่าที่นั่งก็ไม่สบายนัก
    ไม่มีอะไรจะพิง มันเป็นห้องนอน แต่ก็ไม่เป็นไร เพื่อลูกแล้ว
    พ่อทำได้ทุกอย่าง เมื่อกลับออกมาแล้ว ต่อมา ได้ทราบว่า
    วันที่ ๑ มีนาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ทรงมีพระราชประสงค์จะพบพ่อ ที่ภูพิงค์พระราชนิเวศน์
    จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ ๓๐ ของก่อนเดือนมีนา
    อ้า ๒๘ กุมภานี่ไม่ใช่มี ๓๐ พ่อเดินทางไปพักที่ดอยปุย
    กับท่านพลอากาศโท หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์
    เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร คือสารวัตรทหารอากาศ กองบิน ๔
    ตาคลี และก็จ่าสิบตำรวจตระกูล ตำรวจประจำ
    ที่เจ้าหน้าที่ผู้บังคับกอง ผู้กำกับท่านกรุณามอบมาให้
    เป็นตำรวจประจำวัด นอกนั้นก็มีคนหลายคน
    มีคณะของลูกๆ ติดตามไปด้วยพอประมาณ เพราะว่าในที่นั้น
    รับคนพักไม่ได้มากนัก ไปถึงที่นั้นบนยอดเขามันก็หนาวลูกรัก
    เวลานั้น พ่อเหน็ดเหนื่อยจากการแจกของตั้งแต่เดือนธันวาคม
    ไม่มีเวลาว่าง ก็เพราะว่าบรรดาลูกทุกคนก็ทำร่วมกับพ่อ
    ก็ทราบกันอยู่แล้ว พ่อกินข้าว ๒ เวลา ร่างกายมันก็ไม่ดี
    แต่พ่อทำไปนั้น ก็เพราะกำลังใจอย่างเดียว
    กำลังกายมันเกือบจะไปไม่ไหว ต้องใช้กำลังกายช่วย
    กำลังใจมันจึงไปไหว ขณะที่พ่อจะไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ที่ภูพิงค์พระราชนิเวศน์ ลูกรักคงไม่ทราบ
    ว่าไข้มันกินพ่อมาเดือนเศษแล้ว พ่อเดินทางไปในที่ทุกแห่ง
    ที่ลูกเห็นหน้าตาพ่อยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงอาการรื่นเริงและแข็งแรง
    นั่นเป็นเรื่องกำลังใจนะลูก ไม่ใช่กำลังกาย กำลังกายจริงๆ
    มันจะไปไม่ไหว ลูกคงจะสงสัย ว่ากำลังใจช่วยกำลังกายได้ยังไง
    ถ้าลูกสงสัยข้อนี้ล่ะก็ พยายามปฏิบัติตามคำสอนที่พ่อสอนลูกไว้
    ทำไปเมื่อเข้าจุดถึงที่สุดของอารมณ์ ลูกจะมีความรู้เองว่า
    กำลังใจมีความสำคัญกว่ากำลังกาย กายเพลียถ้าใจกำลังดี
    สามารถจะแบกกายไปได้

    ต่อมาก็คุยกัน วันนั้น เมื่อถึงวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๑
    ท่านรองราชเลขาภาวาสได้มาแจ้งบอกว่า
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้เข้าเฝ้าเวลา ๑๘ นาฬิกา
    ทราบว่า วันนั้นตอนเช้า พระองค์ทรงเสด็จ เสด็จไปที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
    ที่เราไปกันมาก่อน เวลาใกล้ ๑๘ นาฬิกา เสียง ฮ. มา รถเขาก็มารับ
    พ่อเข้าไปที่ทักษิณ (ภูพิงค์) พระราชนิเวศน์ ไปนั่งคอยประเดี๋ยวเดียว
    ก็มีคนมาบอกว่า เวลานี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ทรงเสด็จลงมาห้องรับแขก เป็นห้องพิเศษแล้ว
    พ่อคิดว่าพระองค์กลับมาประเดี๋ยวเดียว คงยังไม่ได้สรงน้ำ
    ยังไม่มีเวลาพักผ่อน เห็นพระพักตร์ของพระองค์แสดงอาการเพลีย
    ก็รู้สึกว่าเครียดทางร่างกาย

    วันนั้นเป็นอันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเครียด
    พ่อก็เครียด เพราะพ่อเครียดจากไข้มันกินพ่อ
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเครียด
    เพราะความเหน็ดเหนื่อยไม่มีเวลาหยุดยั้ง
    เพราะหวังจะให้พสกนิกรของพระองค์มีความสุข
    วันนั้นก็เลยต้องคุยกันแบบเครียดๆ รู้สึกว่า
    พระองค์ก็ไม่ค่อยจะมีความรื่นเริง พ่อเองก็หมดความรื่นเริง
    เพราะว่าต้องบังคับกำลังกายเต็มที่ด้วยกำลังใจ
    สมองที่จำเป็นจะต้องใช้มันก็ใช้ไม่ไหว มันมืดตื้อไปหมดลูกรัก
    ไม่ใช่ประหม่า คำว่าประหม่าสำหรับพ่อไม่เคยมีในชีวิต
    แต่ว่าจิตมันต้องมาคุมกำลังกายมันก็รื่นเริงไม่ไหว อันดับแรก
    เมื่อพระองค์ทรงพบพ่อ ท่านพระองค์ก็ทรงปรารภ
    เรื่องการแจกของและการหาแหล่งน้ำ ตอนต้นพระองค์ทรงตรัส
    ขณะนั้นรู้สึกว่า ท่านภีศเดช คือหม่อมเจ้าภีศเดช ทรงเสด็จประทับอยู่ด้วย
    ทรงตรัสว่าเวลานี้จิตใจมันวุ่นวายเหลือเกิน มันฟุ้งซ่าน
    อยู่ภาคเหนือแต่วางแผนภาคกลาง ท่านภีศเดชทรงตรัสว่า
    ทางวางแผนภาค ทางภาคอีสานด้วย และก็ภาคเหนือด้วย
    จิตใจมันฟุ้งซ่านมาก เมื่อเวลาไปตรวจภูมิประเทศมาแล้ว
    พระองค์ก็ทรงชี้ไปที่ท่านภีศเดช เมื่อกลับมาก็ต้องเขียนแผนผังให้เขา
    นี่คนนี้ฟุ้งซ่านมาก ท่านภีศเดชยิ้ม แล้วก็ถอยหลังกรูดออกไปจากห้อง
    นอกจากนั้นก็เหลือแต่พ่อกับพระองค์เท่านั้น พระองค์ก็ทรงมีพระปรารภ
    ถึงเรื่องพระกรรมฐาน ที่พระอาจารย์วันเคยถวายไว้
    พระอาจารย์วัน เคยนิมนต์อาจารย์วันเข้าไป แล้วทรงให้อาจารย์วันเทศน์
    อาจารย์วันเทศน์ประมาณสักชั่วโมงครึ่ง ถ้าพ่อจำไม่ผิด
    รวมความแล้วก็ปรารภเรื่องอิฏฐารมณ์กับอนิฏฐารมณ์
    คำว่าอิฏฐารมณ์คืออารมณ์ที่ชอบใจ อนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่เราไม่ชอบใจ
    ให้คุมกำลังใจไว้เท่านั้น สำหรับท่านอาจารย์เทสก์ ก็ทรง..
    ก็ได้ปรารภกับพระองค์ถวายพระพรไว้ว่า ตามกระแสหัวใจน้ำใจ
    เหมือนกับน้ำที่ในตุ่ม มันนอนนิ่ง แต่ตะกอนมันก็นอนก้นมองดูใส
    ถ้ามีอะไรเข้าไปกวนน้ำกระเพื่อม ตะกอนมันก็ผุดๆ ขึ้นมา
    เหมือนกับจิตใจของเรา จริงๆ แล้วมันมีความใสสะอาด
    แต่ที่มีความวุ่นวายด้วยประการต่างๆ ก็เพราะอาศัยที่ใจมันขุ่น
    เพราะอำนาจกิเลส ท่านขอร้องให้พ่อจัดทำเทปถวาย
    พ่อรับปากว่า จะทำเทปถวาย

    สำหรับเรื่องนี้ขอยกไว้ เพราะเทปยังไม่ได้ทำ เวลานี้ทำแล้ว
    ยังไม่ถึงเรื่องนั้น ต่อมาก็ทรงปรารภถึงเรื่องการแจกของ
    เทปที่บรรดาลูกๆ กำลังแจกของกัน เรียกหาของสิ่งนั้นสิ่งนี้กันเสียงขรม
    ...เร็วทันใจบุคคลผู้รับ นี่น้ำใจของลูกทุกคนดีอย่างนี้นะ
    เราเป็นผู้ให้ แต่เราก็ต้องเอาใจของบุคคลผู้รับ
    อย่างนี้เป็นเรื่องดีที่สุด ลูกรัก จริยาแบบนี้อย่าทิ้งเสีย
    มันเป็นความดี ที่จะพาให้ลูกทุกคนของพ่อไปนิพพานได้
    พระองค์ทรงตรัสว่า ทีแรกผมคิดว่า เป็นเทปกรรมฐาน
    นอนลงไปเปิดเทปฟัง ก็รู้สึกตกใจว่า เอ๊ะ นี่มันเรื่องอะไรกัน
    ในที่สุดก็ฟังไปจนจบ แล้วทรงมีพระราชปรารภว่า
    หลวงพ่อ ฝึกเด็กๆ ดีจริง ดีมาก เด็กพวกนี้ดีมาก
    หลวงพ่อฝึกให้เขารู้จักคุณในการเป็นผู้สงเคราะห์ มีความเมตตาปรานี
    เด็กพวกนี้น่าสรรเสริญ แต่ว่าสำนวนนี้
    ถ้าพ่อพูดไม่ตรงกับพระราชดำรัสก็ขออภัยพ่อด้วยนะ
    พ่อถือเอาใจความเป็นสำคัญ เพราะสำนวนการตรัส
    ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ มีสำนวนสละสลวยมาก
    พ่อยังไม่เคยเห็นใครที่จะใช้สำนวนได้สละสลวย
    ละเอียดละอออย่างพระองค์ได้ นี่เป็นจุดหนึ่ง
    ที่ลูกรักของพ่อทั้งหมดควรจะภูมิใจ ว่าความดีของลูกที่ทำไป
    แม้แต่คนอื่นถ้าเขาไม่เห็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงเห็น
    เราเองและคณะของเราเองก็เห็น เทวดาหรือพรหม
    หรือว่าพระที่ท่านเข้านิพพานไปแล้ว ท่านก็เห็น ถ้าพ่อพูดอย่างนี้
    มีคนเขาเคยเอาเรื่องไปกราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ซึ่งในวันไหนน้อ อาจจะเป็นที่สวนจิตร หรือว่าจะเป็นที่ภูพิงค์
    พ่อจำไม่ได้ถนัด เห็นจะเป็นที่ภูพิงค์ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ทรงมีพระราชดำรัสตรัสว่า มีคนบางคน เขาพูดว่า
    เวลานี้ มหาวีระชอบอวดฤทธิ์อวดเดชมาก
    เขาปรารภในระหว่างที่พ่อป่วยหนัก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕
    หรือว่า ๒๕๑๓ ที่เจริญกรรมฐาน ขึ้นไปบนธรรมาสน์
    พ่ออาเจียนหนัก และก็พ่อปรารภเรื่องนั้นกับลูกๆ
    พอดีคนนั้นเขาเอาเทปนั่นไป เขาเลยบอกว่า
    พ่อน่ะอวดฤทธิ์อวดเดชมาก พ่อก็ทูลพระองค์ว่า
    เขาจะนินทาว่าร้ายก็ช่างเขา มันเป็นเรื่องของเขา
    พ่ออยากจะกราบทูลว่า เมื่อมีฤทธิ์ ก็ควรจะเอาฤทธิ์ออกอวด
    เมื่อมีเดช ก็ควรจะเอาเดชออกอวด
    ไม่ควรจะเก็บฤทธิ์เก็บเดชไว้เพื่อให้ไร้ประโยชน์
    และถ้าพ่อพูดไปอย่างนั้น ก็เกรงว่าพระองค์จะสะเทือนพระราชหฤทัย
    เพราะว่าถ้อยคำนั้นไม่ใช่ถ้อยคำของพระองค์
    เป็นถ้อยคำที่คนอื่นเขาว่ามา พระองค์ก็มาเล่าสู่กันฟัง
    ในเมื่อหลวงพ่อบอกว่าช่างเขา หลวงพ่อถือช่างเป็นสำคัญ
    แล้วก็ถวายพระพรว่า การนินทาว่าร้ายเป็นเรื่องธรรมดา
    ถูกมาหนักต่อหนักแล้ว ไม่เห็นมันดี ไม่เห็นมันชั่ว
    เพราะถ้อยคำของคน พระองค์จึงได้ทรงตรัสว่า
    ผมก็เหมือนกันขอรับ เมื่อก่อนนี้เขาบอกว่าผมฆ่าพี่
    เวลานี้เขาบอกว่า เขาเขียนหนังสือว่า ผมฆ่าพ่อตา
    เป็นหนังสือที่เวียนกันไปถึง ๗ หน้ากระดาษพิมพ์ ทูลถามว่า
    ฆ่ายังไงที่เขากล่าว ท่านตรัสทรงตรัสว่า เขาบอกว่า
    พ่อตาผมป่วยเป็นไข้ ผมก็เอาเหล้ากรอกปากแล้วก็พาพ่อตาวิ่ง
    ในที่สุด พ่อตาก็ตาย พระองค์ก็ทรงตรัสว่า
    เรื่องนี้ไม่มีความสำคัญ ผมเรื่อยๆ ถือเป็นเรื่องเรื่อยๆ
    คำเรื่อยๆ ก็หมายความว่า ไม่สนใจ ในเมื่อเราดีเสียแล้ว
    ใครเขาก็จะว่าชั่วก็เป็นเรื่องของเขา เราก็ไม่ชั่วไปตามปากเขา
    ถ้าเราชั่ว ใครเขาจะมาชมเราว่าดี เราก็ไม่ดีตามเขาว่า
    นี่ตามพระพุทธฎีกาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ทรงตรัสไว้อย่างนี้ ฉะนั้น ขอลูกรักทุกคน เมื่อฟังถ้อยคำนี้แล้ว
    จงนำพระราชจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปปฏิบัติ
    จิตอย่างนี้เขาเรียกว่าอุเบกขาจิต ถ้าจะเรียกเป็นวิปัสสนาญาณ
    เขาเรียกว่าสังขารุเปกขาญาณ คนที่มีกำลังใจถึงสังขารุเปกขาญาณ
    บุคคลประเภทนั้นไปพระนิพพานไม่ยาก

    ทีนี้เมื่อพูดกันถึงเรื่องนิพพานนี่ ...มีเรื่องอะไรจะพูดไหม?
    พ่อขอพูดเรื่องประโยชน์ในการแจกของกันก่อน
    เมื่อมีพระราชปรารภถึงเสียงของลูกที่แจกของ และก็ทรงตรัส
    พ่อถวายเทปไปเรื่องหนึ่ง ถึงการแจกของแล้วคนมารับ
    คนมารับบางทีไม่ใช่คนจน เป็นคนที่มีกินมีกินมีใช้ไม่จน
    แต่มารับของ คนจนจริงๆ แต่ไม่มารับของ
    แต่เทปที่ถวายไปเห็นจะพูดยาวกว่านี้ พระองค์ก็ทรงตรัสว่า
    วันนั้นผมนอนฟัง คิดว่าหลวงพ่อหรือพระมหาวีระ
    คงจะคิดว่าเราไม่โดน ท่านบอกว่าท่านนอนหัวเราะอยู่คนเดียว
    ท่านคิดว่ามหาวีระหรือว่าหลวงพ่อนี่ คงจะคิดว่าเราไม่โดน
    เราโดนมาแล้ว เคยถามนายอำเภอ เขาว่าคนจนที่แต่งตัวไม่ดี
    ทำไมไม่มีมารับของแจก เห็นนี่ก็แต่คนที่แต่งตัวดีๆ
    แล้วทรงตรัสว่า นายอำเภอตอบว่า นายอำเภอเขาเห็นว่า
    คนบุคคลประเภทนั้น แต่งตัวไม่เรียบร้อย ก็เลยไม่นำมารับ
    นี่เป็นอันว่า แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ก็ทรงโดนมาแล้วเหมือนกัน เท่าที่พวกเราโดนกันมาแล้วอย่างนั้น
    ก็จงอย่าท้อแท้ใจ คิดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ทรงมีบารมีใหญ่กว่าพวกเรายังโดน พวกเราถ้าจะเปรียบกับต้นไม้
    ก็เหมือนกับกิ่งหรือใบ ก้านหรือใบ ไม่ใช่ต้น ไม่ใช่กิ่ง
    มีกำลังน้อยทำไมจะไม่โดน โดนแล้วก็จงวางเฉย
    นี่พ่อก็คิดไม่ออก เวลาที่กำลังพูดนี่มันเวียนศีรษะ
    และมีเรื่องอะไรอีกบ้าง ที่พระองค์ทรงตรัส มันนึกไม่ออกนี่ลูกรัก
    พ่อไม่ได้บันทึกมา เอาแต่เพียงที่จำกันได้ก็แล้วกันนะ
    เพราะว่า พระองค์ทรงตรัสหลายเรื่อง หลายประการด้วยกัน

    ตอนหนึ่งก็มาปรารภเรื่องน้ำ พ่อปรารภเรื่องน้ำที่ อ้า
    ที่บ้านทุ่งติ้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่า
    สำหรับเรื่องน้ำที่บ้านทุ่งติ้ว น้ำตก พระองค์จะทรงเสด็จไปดูเอง
    ถ้าเห็นสมควรประการใดก็จะสั่งทำ พ่อจึงได้ถวายพระพรว่า
    ถ้าพระมหาบพิตรเสด็จไป ก็คงจะทำสวยและแข็งแรงกว่าอาตมา
    ถ้าอาตมาสั่งจัดทำ ก็คงจะใช้เป็นเขื่อนดินธรรมดาๆ
    แบบสมัยคุณปู่ของพ่อเคยทำมา เพราะในเวลาที่ปู่ท่านยังหนุ่ม
    ไม่แก่เกินไป ก็มีท่านผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายทางราชการ
    ตั้งให้ท่านเป็นผู้ควบคุมอาณาจักรเล็กๆ อาณาจักรหนึ่ง
    เป็นบริเวณแคบๆ แต่คุณปู่ท่านเป็นคนขยัน เห็นลำรางลำคลองไหน
    พอจะกักกันน้ำไว้ทำเพื่อทางเกษตรได้ ทั้งฤดูฝนและฤดูแล้ง
    ท่านก็เกณฑ์บรรดาประชาชน บุคคลที่มีประโยชน์ร่วมกัน
    ไปทำเหมืองฝายเล็กๆ เรียกคันดินกั้นน้ำ และเมื่อทำแล้ว
    ก็คอยทำนุบำรุงทุกๆ ปี ในที่สุด เหมืองฝายนั้นก็คงที่
    ไม่ต้องทำนุบำรุงต่อไป เป็นอันว่าไม่ต้องเสียเงินงบประมาณ
    สำหรับบ้านทุ่งติ้วนี่ก็เหมือนกัน เมื่อทางทหารเขาแจ้งบอกว่า
    จะต้องใช้เงินประมาณแสนบาท พ่อตรวจดูกระแสน้ำและทางน้ำเดิน
    เห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้เงิน ถ้าจะใช้แรงงานคนชาวบ้านนั้น
    ช่วยกันทำ เพียงสองสามวัน งานก็เสร็จ เพราะประโยชน์เกิดแก่เขา
    เพียงถือข้าวมากินกันคนละห่อเท่านั้น และประโยชน์ผลที่ได้คือ
    ความอุ่นหนาฝาคั่ง ได้น้ำใช้ทั้งปีเพราะเป็นกระแสน้ำตก
    ความมั่งมีศรีสุขก็จะเกิดขึ้น พ่อก็มานั่งคิดเหมือนกันว่าทำไม
    ท่านที่มีความมีส่วนเกี่ยวข้อง ทำไมจึงไม่ช่วยกันคิดเรื่องนี้
    คิดกันเรื่องเดียวแต่เงิน เงิน เงิน หรือว่าเงินงบประมาณ
    สำหรับเงินของพ่อนี่ไม่ใช่เงินงบประมาณ เป็นเงินของชาวบ้านที่อุทิศ
    เป็นแต่เพียงพ่อบอกว่า ถ้าหากว่าพ่อเห็นสมควร
    พ่อก็จะบอกบุญเงินแสนบาทไปให้ ถ้าพ่อไม่เห็นสมควรพ่อก็ไม่ให้
    กลายเป็นความเข้าใจผิดของหน่วยราชการ จังหวัด อ้า
    อะไรล่ะที่เกิดใหม่ ไอ้จังหวัดเนี่ย เชียงราย
    และก็จังหวัดอะไรที่เขาแยกกันออกมา พ่อนึกไม่ออกนะ
    จังหวัดพะเยา ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาเขียนหนังสือมาถามพ่อว่า
    ทราบว่าเงินแสนบาท ผ่านมาทางท่านแล้ว เวลานี้เก็บไว้ที่ไหน
    เพราะท่านได้เป็นกรรมการจะได้เอาเงินนี้ไปจัดการให้เสร็จ
    ภายในฤดูแล้ง แล้วก็ต่อมา กองพล ๔ ส่วนหน้าที่เชียงคำ
    มีพลตรีพร้อมพร้อม ผิวนวล ก็เขียนหนังสือมาทำนองนั้นเหมือนกัน
    พ่อก็แจ้งไปบอกว่า เงินจำนวนนั้นพ่อยังไม่ได้หา ถ้าพ่อจะหาจริงๆ
    ถ้าพ่อเห็นสมควรล่ะก็ พ่อหาวันเดียวก็ได้ ถ้าเห็นว่าไม่สมควรจะจ่ายเงิน
    ควรใช้วิชาสมัยคุณปู่ของพ่อไปทำ เมื่อจะเกิดผล
    ในที่สุด พล ๔ ส่วนหน้าก็ใช้ทำแบบนั้น แต่ใช้แทรคเตอร์ทำ
    ดีกว่าสมัยปู่พ่อมาก ต่อมา เมื่อต้นเดือนมีนาคม
    ท่านเสนาธิการกองพล พร้อมด้วยคณะนายทหาร ก็มาแจ้งบอกว่า
    เวลานี้ทำเสร็จแล้วขอรับ ก็เท่านั้นแหละลูกรัก
    ถ้าใช้สมองกันเสียนิด พ่อคิดว่า คนโบราณเขาเรียนหนังสือน้อย
    เขาไม่มีปริญญา ชั้นประถม ชั้นมัธยมก็ไม่มี
    แต่ว่าใช้ปัญญา แค่คนโง่ๆ ก็สามารถจะกักกันน้ำได้
    สำหรับคนปัจจุบันนี้พ่อไม่เข้าใจ ว่าทำยังไง
    จึงจะต้องหางบประมาณกันเสียเรื่อย ถ้าเราจะใช้แรงงาน
    ช่วยกันตามนั้น มันก็มีผล เอาล่ะสำหรับตอนนี้
    มองหน้าเทปก็หมดเสียแล้วนี่ลูก ฟังเทปม้วนสองต่อไป
    จะได้ประโยชน์สำหรับในการฟัง
     
  3. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    03.เข้าเฝ้าในหลวง (ต่อ).mp3
    เอ้อลูกรัก สำหรับตอนนี้ก็มาฟังต่อไป ความจริงพ่อคิดว่า
    เรื่องที่เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    พ่อจะพูดสักหน้าเทปเดียว แต่ก็ว่าไปเสียมาก
    ก็ดีเหมือนกันนะลูกรักนะ เพราะว่าเทปนี่เราไม่ได้ขายกัน
    พ่อคิดว่าจะทำแจกให้ลูกฟังเท่านั้น แต่ถ้าบังเอิญ
    มีใครเขาสนใจจะช่วยทุน ก็ดีเหมือนกัน
    นั่นเป็นเรื่อง เวลานี้พ่อก็ซื้อคาสเซ็ตพิเศษ เป็นคาสเซ็ตที่มีดีมาก
    เพราะว่า คาสเซ็ตรุ่นก่อนๆ เป็นคาสเซ็ตที่มีสมรรถภาพไม่พอ
    พ่อก็มีความไม่ฉลาดในเรื่องนี้ก็ซื้อมา ปรากฏว่า ผลมันน้อยไป
    คนที่เขารับไปเขาก็นั่งบ่นกัน ว่าฟังไปไม่นานเท่าไร
    เสียงก็ยานไปซะแล้ว เทปยานไปใช้ไม่ได้ ต่อมาเวลานี้
    พ่อก็คิดว่าจะซื้อก็มีคนเขามาเสนอราคา ซึ่งเป็นคาสเซ็ตดีมาก
    แต่ก็บังเอิญยังไม่ได้ซื้อ สตางค์ของพ่อไม่มี
    ก็มีคนหลายคนร่วมกำลังใจกันซื้อมาถวาย และก็มีอีกคนหนึ่ง
    คือคุณวิชัย วิชัยที่เอาไว้หนวดน่ะ ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพ
    ซื้อไปถวายเท่าไหร่ล่ะ สองพันเทป หนึ่งพันเทป หนึ่งพันม้วน
    เป็นอันว่าเทปชุดนี้ถ้าพ่อขาย ราคาตามเดิม พ่อไม่มีกำไรเลยลูก
    แม้แต่ชุดก่อนก็เช่นเดียวกัน ชุดก่อนนั้น
    ถ้าคิดมองเห็นกำไรมันอาจจะมี แต่ว่าเทปเสีย มันเลยไม่มีกำไร
    สำหรับชุดนี้ พ่อยอมลงทุน เรื่องกำไรเรื่องการฟังพ่อไม่ต้องการ
    ต้องการอย่างเดียวให้ธรรมะเข้าถึงคนเท่านั้น
    ถ้าธรรมะถึงคน คนถึงธรรมะ โลกนี้จะมีความสุข เพราะว่า
    พ่อไม่ใช่พ่อค้า พ่อเป็นพระผู้แจกธรรม พ่อเป็นพระผู้แจกวัตถุ

    เรามาคุยกันถึงว่าการกั้นน้ำของคนโบราณ คุยกันไปนะ
    เรื่องมันถึงก็คุยกันไปดีกว่า ลูกจะได้นำไปคิด
    ในสมัยที่พ่อยังเป็นเด็ก เรื่องการกั้นน้ำนี่ มันโกลาหลมาก
    เพราะว่าเครื่องมือเครื่องไม้อย่างในสมัยปัจจุบันนี้มันไม่มี
    ปรากฏว่า ที่อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี
    และก็อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เขากั้นหัวคลองท้ายคลอง มันเป็นคลองเดียวกัน
    ต้นทางมาจากอำเภอบางปลาม้า ปลายคลองก็มาจาก
    ปลายคลองก็มาอยู่ที่เขตอำเภอเสนา ทั้งสองด้าน
    ก็ทำเป็นประตูเลื่อน เขาเรียกประตูน้ำ ประตูเลื่อน
    มีประตูปิดเปิดแล้วก็มีประตูกักน้ำ ประตูกักน้ำสมัยนั้น
    บานประตูก็ไม่ได้ทำเป็นเหล็ก เขาทำเสาสองข้างเป็นร่องกลาง
    แล้วเอาไม้เข้า ไม้เลื่อยหนาๆ ประมาณสี่นิ้ววางลงไป
    ทีละแผ่น ละแผ่น ละแผ่น ต้องการน้ำสูงเท่าไหร่
    ก็ใส่ไม้มากเท่านั้น น้ำก็ไหลไปเสียงซู่ๆ แต่ส่วนที่ไหลไปมันน้อย
    ก็สามารถจะกักเก็บน้ำไว้ทำการปลูกข้าวได้ ก็มีประโยชน์มาก
    นี่เป็นปัญญาของคนโบราณ และสำหรับเมื่อกักน้ำตามลำคลองได้แล้ว
    มีปัญหาอยู่ว่า น้ำในทุ่งจะไหลลงสู่แม่น้ำท่าจีน
    และก็แม่น้ำเจ้าพระยา ทำกันยังไง ตอนนี้
    ก็ต้องทำคันดินกั้นน้ำบนบก ตอนนั้นพ่อจำได้ว่า
    ไม่มีงบประมาณ สมัยนั้นประเทศไทยเรา
    มีงบประมาณประจำปีเพียงปีละ ๖๐ ล้านบ้าง
    ๗๐ ล้านบ้าง เรื่องจะทำคันกั้นน้ำก็ไม่มีเงิน
    ท่านนายอำเภอเป็นคนฉลาด เกณฑ์ชาวบ้าน
    ที่มีนาในถิ่นนั้นประมาณสัก ๗-๘ หมื่นไร่ บริเวณที่ทำนา
    ทุกบ้านที่มีส่วนที่จะต้องใช้น้ำไปทำคันดินกัน
    ทุกคนเอาข้าวไปกินเอง มีส่วนที่จะต้องทำยาว ๖ วา
    กว้าง ๒ วา ฐาน ข้างบนเอ้อข้างบนฐานข้างบน
    เอ้อสันเรียกว่าสันคันดินกว้าง ๑ วา ความสูง ๔ ศอก
    ทุกคนเขาก็เต็มใจไปทำ ทำเสร็จภายในปีเดียว
    แต่ละคนที่ไปทำกันก็ แต่ละบ้านที่ไปทำกันนะ
    ยกทีมกันไปแต่ละบ้าน แต่ละบ้าน ก็จะมีคนแก่เฝ้าบ้านอยู่ซักคน
    นอกนั้นก็ไปรวมทำกัน เพียงในระยะไม่กี่วัน
    ๕-๖ วันก็เสร็จ ต่อ ๑ บ้าน เป็นอันว่าคันดินกั้นน้ำ
    เนื้อที่ประมาณ ๕-๖ หมื่นไร่ ทำกันเพียง ๕-๖ วันเท่านั้น
    เพราะกำลังกาย กำลังใจที่เต็มไปด้วยความสามัคคี เห็นประโยชน์

    ถ้าเป็นสมัยนี้ลูกรัก จะต้องใช้งบประมาณเป็นล้าน คันกั้นน้ำที่ว่า
    พ่อว่านี้ เวลานี้ก็ยังใช้ได้เป็นปกติ ถึงปีท่านนายอำเภอก็มาตรวจ
    พบว่าจุดของบุคคลผู้ใดเขาเสียหาย จะต้องไปซ่อม
    ก็บอกให้เจ้าของไปซ่อม เจ้าของจะซ่อมก็ซ่อม
    มันใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จ เห็นมั้ยลูกรัก
    นี่ปัญญาของคนมีความรู้ไม่ถึงประถมปีที่ ๑ สมัยนั้นไม่มีประถม
    ไม่มีมัธยม เพียงเท่านี้เขาทำกันได้ บางหลายๆ
    คนอ่านหนังสือไม่ออก ผู้ใหญ่บ้านบางคนเขียนได้แต่ชื่อ
    หนังสืออย่างอื่นเขียนไม่ได้ อ่านไม่ได้
    เขาก็เป็นผู้ใหญ่บ้านเขาก็เป็นกำนันกันได้ ที่เขาเป็นได้
    ก็เพราะเขาใช้ปัญญา ไม่เอาความรู้เข้าไปเบ่งกับลูกบ้าน
    กำนันผู้ใหญ่บ้านส่วนใหญ่ เป็นที่รักของลูกบ้านทั้งหมด
    อันนี้เป็นจุดหนึ่งที่พ่อจะฝากข้อคิดไว้กับลูก
    ว่าเรื่องงบประมาณนี่จงอย่าสนใจให้มากนัก
    เพราะลูกทั้งหมดของพ่อเป็นข้าราชการ ถ้าอะไรก็ตาม
    ถ้าเราสามารถจะทำโดยไม่ใช้งบประมาณได้ จะมีความดีเป็นพิเศษ
    และประการที่สอง ถ้าเราจะทำงานโดยไม่ใช้งบประมาณ
    ก็ต้องเป็นคนเข้าถึงใจคนรึว่าทำให้เป็นที่รักของคน
    อย่างท่านนายอำเภอคนที่ว่า พ่อจำชื่อท่านไม่ได้
    อาจจะชื่อว่า นายกิมฮง โรจนสุนทร หรือว่าหลวงพิศิษฐ์นรการ
    พ่อจำไม่ได้ถนัด ท่านผู้นี้ฉลาดมาก ท่านเวลาเขามาทำดินกัน
    ท่านก็ไปทำด้วย ใครเขาวางจอบ ท่านก็ขุดจอบ
    เอาจอบเขามาขุดดิน เจ้าของเขาเห็นนายอำเภอขุด
    เขาเกรงใจเขาก็ไปแย่งจอบของเขามา
    ต่อมาท่านก็ซื้อจอบเป็นส่วนตัวของท่าน
    แล้วท่านก็เอาสีน้ำมันเขียนว่า จอบนายอำเภอ ห้ามคนอื่นหยิบ

    เป็นอันว่า ท่านก็ไปช่วยเขาฟันดินเหมือนกัน เป็นกำลังใจ
    ของบุคคลผู้ทำงานเล็กๆ แบบนี้ลูกรัก มันเป็นการชนะใจคน
    ทำให้คนทุกคนรักท่านนายอำเภอเสียเหลือเกิน เวลาท่านไป
    ท่านก็ทำอาหารหม้อใหญ่ๆ ไปหม้อหนึ่งหรือสองหม้อ
    ไปแจกกะคนแต่ละจุด วันนี้ท่านไปจุดนี้ วันโน้นท่านไปจุดโน้น
    ท่านเดินแจกอาหาร เวลารับประทานอาหาร
    อาหารที่ท่านนำไป ท่านไม่รับประทาน ท่านก็ไปรับประทานน้ำพริกปลาร้า
    กับผักดิบที่ดึงมาจากกลางทุ่ง คนสมัยนั้นไม่สะอาดเหมือนคนสมัยนี้
    แต่ว่าเขาแข็งแรงดีกว่าคนสมัยนี้ กินผักดิบสดๆ ผักบุ้งสดๆ
    ดึงจากกลางทุ่งนามาล้างน้ำ แล้วก็จิ้มน้ำพริกปลาร้า
    ท่านนายอำเภอยิ่งทำอย่างนั้นราษฎรก็ยิ่งรักมาก
    เป็นอันว่า ถ้าได้ยินใครที่ไหนนินทาท่านนายอำเภอ
    คนนั้นถ้าหลบไม่ทันก็หมายถึงตาย ทั้งๆ
    ที่นายอำเภอไม่ได้ไปรู้ไปเกี่ยวไปข้องด้วย
    เขาก็ไม่เคยได้เงินจากท่านนายอำเภอ แต่ว่า
    เพราะอาศัยที่คนเขารักท่านนายอำเภอ
    เขาจึงพร้อมที่จะยอมเสียสละชีวิตและเลือดเนื้อ
    หรือว่าอิสรภาพที่เขาฆ่าคนนั้นตาย เขาจะต้องติดตะราง
    โดยที่ท่านนายอำเภอไม่ได้ใช้ นี่การชนะใจคนดีอย่างนี้นะลูกรัก
    จงพยายามทำไว้ แต่ว่าพ่อเองเวลานี้ก็ไม่ค่อยจะเอาใจคนซะแล้ว
    ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนพ่อเกรงใจคน เอาใจคนมาก เวลานี้
    พ่อแก่แล้วนี่ลูกรัก ไม่ช้าพ่อก็ตาย ถ้าพ่อขืนทำอย่างนั้นล่ะก็
    ประโยชน์ที่พ่อตั้งใจ มันจะไม่สำเร็จผล นั่นก็คือ
    มุ่งแจกธรรมะขององค์สมเด็จพระทศพล
    ถ้าใครมาไม่ประกอบด้วยเหตุด้วยผล พ่อถือว่าเวลาของพ่อมีน้อย
    พ่อไม่เอาใจคนประเภทนั้นเสียแล้วลูกรัก ใครเขาจะว่าดี
    ใครเขาจะว่าชั่วน่ะช่างเขา พ่อต้องการอย่างเดียว
    คือประโยชน์ที่พระพุทธเจ้าต้องการ

    แต่ก็น่าแปลกนะลูก พ่อเป็นพระ แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่
    เขาก็มาหาพ่อในฐานะที่พ่อเป็นพระ แต่มีคนส่วนน้อยบางคน
    เขาคิดว่าพ่อเป็นทาสของเขา มีคราวหนึ่งในจำนวนหลายร้อยคราว
    พ่อกำลังนั่งฉันข้าวเวลาเพล มีคนๆ หนึ่งเขาพาคนไปหาพ่อ
    เขาไปตาม เขาบอกว่า หลวงพ่อขอรับ นิมนต์ฉันเร็วๆ เข้า
    เวลาพวกผมน้อย ผมจะรีบกลับ ถ้าลูกโดนเข้าอย่างนี้
    ลูกจะมีความรู้สึกยังไง พ่อตอบเขาไปบอกว่า
    ถ้าจะกลับก็เชิญกลับเถอะ เวลานี้มันเป็นเวลาสุดท้ายของฉัน
    ฉันจะกินข้าวกันตายก็ได้เวลานี้เป็นเวลาสุดท้ายเท่านั้น
    ถ้าอยากจะกลับกันเร็วก็ตามใจ กลับกันไปก็แล้วกัน
    ฉันจะฉันตามสบายของฉัน แล้วในที่สุด
    เขาก็ไม่กลับ ถ้าความรู้สึกของลูกจะโกรธเขามั้ย
    แต่ความจริงพ่อไม่ได้โกรธเขา พ่อคิดว่า ชาติก่อน
    พ่อคงไปขู่ตะคอกเขาแบบนั้นมาบ้างกระมัง
    เขาอาจจะเป็นพระ แล้วพ่อก็ถือเอาใจของพ่อเป็นสำคัญ
    เลยขู่ตะคอกเขาแบบนั้น ชาตินี้เขาจึงมาขู่ตะคอกพ่อแบบนี้
    ถ้าชาติก่อนโน้นเขาคงไม่ตามใจพ่อ ชาตินี้พ่อจึงไม่ได้ตามใจเขา
    ไม่เหมือนกะลูกของพ่อ ส่วนใหญ่
    พ่อมักจะไม่ค่อยขัดใจลูก แต่ลูกของพ่อก็ดีทุกคน
    ไม่มีเคยไม่เคยมีลูกคนใดขัดใจพ่อ พ่อรักลูกทุกคนมาก
    พ่อสงสารลูกทุกคน เห็นน้ำใจของลูก
    พ่อไม่อยากจะจากลูกไป แต่ลูกรัก ขันธ์ ๕ พ่อห้ามไม่ได้

    เป็นอันว่า พ่อขอพูดเรื่องของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไป
    เวลานี้ มันก็ดึกถึงตี ๒ แล้วนะลูกนะ รู้สึกว่าศีรษะมันก็ยังเวียนไม่หาย
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสต่อไป พ่อคงจำไม่ได้ทั้งหมดนะลูก
    ว่าเรื่องดอยผีบ้า พระองค์ทรงตรัสว่า เรื่องน้ำ
    พ่อปรารภกับพระองค์เรื่องน้ำ ว่าน้ำนี่ถ้าหากว่า
    บรรดาท่านผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันกั้นกระแสน้ำไหลน้อยๆ
    ขึ้นมาใช้ คือไม่ไหลลงทะเลซะหมด ก็จะมีประโยชน์กับประชากร
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชดำรัสว่า
    เรื่องนี้ผมก็เคยเถียงกับนายอำเภอเขา ที่จังหวัดน่าน
    ที่ดอยผีบ้า ผมให้กั้นน้ำเขาบอกว่าน้ำไม่มี แต่ความจริง
    น้ำมันก็ไหลรินๆ มีอยู่ แต่ไปทำทำนบก็คือทำนบดิน
    อย่างที่เหมืองฝายนั่นก็เหมือนกัน ที่ทุ่งติ้ว ที่พ่อถวายพระพรว่า
    ถ้าพระองค์ไปทำจะดีกว่าของพ่อ อาจจะใช้คอนกรีต
    พระองค์ก็ทรงตรัสว่าพระองค์ก็ทำแบบพ่อเหมือนกัน
    ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากก็ไม่ใช้
    สำหรับที่ เอ้อ ดอยผีบ้าก็ทรงตรัสว่า ทำเขื่อนดินเหมือนกัน
    นายอำเภอเขาค้านว่าน้ำไม่มีท่านก็ทำ แล้วก็วางท่อสำหรับเข้าผืนแผ่นดิน
    ที่ชาวบ้านจะพึงใช้ได้ ประมาณ ๓ รึ ๔ นิ้ว ท่านบอกว่า
    น้ำมันก็ไหลไม่เต็มท่อ แต่ในที่สุด ชาวบ้านก็มีน้ำใช้เพราะมันไหลทั้งปี
    ก็ดินก็ชุ่มชื้น นี่ปัญญาอย่างนี้ลูกรัก ใช้ให้มากนะลูกนะ
    เพราะว่าไอ้เงินงบประมาณเนี่ย บางทีมันก็งบเกินประมาณ
    มันไม่ใช่งบพอประมาณ อย่างที่คุณจุลนภ
    ผู้ตรวจการของชลประทาน ถึงจะขึ้นกับกระทรวงเกษตรโดยตรง
    เพราะตำแหน่งนี้เทียบเท่าอธิบดีกรมชลประทาน
    เคยบอกว่า ถ้าทำคันดินกั้นก่อนก็ดี บางทีเราไปทำกันก็ใช้ทุนมากเกินไป
    เพราะเกรงว่ามันจะดีไม่พอ อันนี้ก็เห็นใจเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล
    เพราะว่าถ้าการทำอะไรไม่ดี มันพังลงมาล่ะก็ จะต้องจ่าย ๒ ครั้ง
    มันแพงมาก อย่าไปโทษเขาเลยนะลูกนะ เพราะว่าการทำเนี่ย
    มันจำเป็นอยู่เองต้องรับทั้งผิดและทั้งชอบ ข้าราชการทำดีเขาถือว่า
    มีหน้าที่จะต้องทำ ถ้าทำไม่ดีเขาหาว่าล้างผลาญเงินงบประมาณ
    รวมความว่า ข้าราชการเหมือนกับคนที่อยู่ระหว่างเขาโคและเขาควาย
    จับหันซ้ายก็ชนซ้าย หันขวาก็ชนขวา ลูกรักของพ่อทุกคนเป็นข้าราชการ
    จำไว้นะลูกนะ จำแนวทางที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้ว่า
    เรื่องด่าเรื่องว่าเป็นของธรรมดา เรื่อยๆ ไม่สนใจเสียก็แล้วกัน
    เราทำดีที่สุดแล้ว ใครจะว่ายังไงก็ช่าง
    สำหรับที่ดอยผีบ้านี่ พระองค์ทรงตรัสกับพ่อบอกว่า
    เวลากลับมาเลยโดนผีบ้าอาละวาด นั่นก็คือมาถึงใกล้เชียงใหม่
    เครื่องบินลงไม่ได้ ปรากฏว่าลมพายุหนัก
    ลูกเห็บตกหนัก ต้องเอาเครื่องบินไปลงที่จังหวัดพิษณุโลก

    เป็นอันว่าวันนั้น พ่ออยู่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒ ชั่วโมงครึ่ง
    พ่อเองก็ปวดศีรษะ มึนศีรษะ พระองค์ก็ทรงมีอาการเครียด
    เพราะเหนื่อยมามาก เลยคุยกันไม่มาก เป็นวาระแรก
    ที่พบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วอยู่น้อย หลังจากนั้นมา
    เมื่อพ่อกลับมาได้ ๑ วัน รุ่งขึ้นก็เดินทางไปจังหวัดพิษณุโลก
    พ่อก็ต้องกลายเป็นคนป่วยหนัก ต้องให้น้ำเกลือทั้งหมดถึง
    ๑๑,๐๐๐ ซีซี ได้รับความปรานีจากจี๊ด
    แล้วก็หมอที่โรงพยาบาลของพ่อที่พ่อสร้างที่วัดท่าซุงทุกคน
    แล้วก็หมอ อะไรน้อ เอ้อ โรงพยาบาลพร้อมมิตร
    ที่เป็นคนใกล้ชิดหมอยุวดี นี่พ่อมันงงเต็มทีนะลูกนะ
    นึกอะไรไม่ค่อยออก ไปให้น้ำเกลือกันจบจุดกันที่ระยอง
    แล้วก็มาให้ที่กรุงเทพอีก รวมแล้ว ให้น้ำเกลือติดๆ
    กันถึง ๑๑,๐๐๐ ซีซี หลังจากนั้น
    ตอนนี้พ่อก็จะปรารภเรื่องที่พบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    เพราะลูกรักจะได้รับฟังง่ายๆ ไม่ยาวเกินไป
    แต่ยาวมากนะลูกนะ พ่อเอาเรื่องอะไรเข้ามาทับ
    เพราะมันเป็นประโยชน์

    เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๒๑ ก่อนหน้าจะเดินทางมาสายใต้ ๑ วัน
    ก่อนหน้านั้นก็เพียง ๑ วัน ได้รับโทรศัพท์จากคุณประเสริฐ
    จังหวัดชลบุรี เป็นผู้แทนของจังหวัดไทยออยล์
    แจ้งมาบอกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้เข้าเฝ้าได้
    วันที่ ๑๔ เมษายน เพื่อถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล
    เอ้อ ช่วยศูนย์สงเคราะห์บุคคลผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร คือศูนย์ที่พ่อควบคุม
    และก็ที่ลูกทุกคนเป็นกรรมการและเจ้าหน้าที่ ขอลูกรักทุกคนจงคิดว่า
    ศูนย์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมอบพ่อมานี้ ขอลูกทุกคนจงคิดว่า
    ศูนย์เป็นลูกเอ้อ เอ้อเป็นของของลูกนะลูกนะ ถ้าเวลาพ่อแก่ลงไป
    ทำไม่ไหว หรือป่วยมากลงไป หรือว่าพ่อตายแล้วก็ตาม ขอลูกจงทำต่อกันไป
    ได้ของมามากเราก็ทำมาก ได้ของมาน้อยเราก็ทำน้อย ทำตามกำลัง
    อย่าทำอะไรอย่างพ่อ พ่อทำเกินกำลัง เพราะพ่อถือว่า
    พ่อไม่มีความวิตกกังวล ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า
    พ่อเป็นคนประเภทนี้มานาน ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว
    พ่อพูดอย่างนี้ เดี๋ยวบางคนเขาอาจจะฟ้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ว่าพระมหาวีระนี่อวดฤทธิ์อวดเดชอีกแล้ว ความจริง
    คนมีฤทธิ์ก็ต้องเอาฤทธิ์อวด คนมีเดชก็ต้องเอาเดชอวด
    การนินทาว่าร้ายนี่ ใครเขาสั่งเขาสอน มีครูบาอาจารย์ที่ไหนสั่งสอน
    ให้รู้จักการนินทาว่าร้าย พ่อเข้าใจว่า ไม่มีครูที่ดีที่ไหนเขาสั่งเขาสอนกัน
    แต่ว่าถ้าลูกทุกคนของพ่อถูกเขานินทาว่าร้าย จงอย่าสะเทือน
    พ่อก็ไม่เคยสอนลูกให้นินทาใคร แล้วพ่อก็ไม่เคยสอนลูก
    ให้รับคำนินทาและสรรเสริญ แต่มีคนบางพวก
    ยังชอบเดือดร้อนกับเรื่องของบุคคลอื่น พ่อสงสารคนประเภทนี้
    ว่าจะไปแย่งที่พระเทวทัตอยู่ เพราะจิตใจของเขาไม่มีความเป็นธรรม
    จิตใจของเขาไม่มีความดีผสมอยู่เลย จิตใจของเขามีแต่อารมณ์เลวทุกเวลา
    นี่พ่อไม่ได้ด่าเขานะลูกนะ พ่อเล่าให้ลูกฟัง ว่าอารมณ์อย่างนี้นะลูก
    จงอย่าไปใช้ ลอกเอาแต่ความดีไปใช้ อย่าลอกเอาความเลว
    ความดีที่มีอยู่ไม่ใช่มีแต่ที่พ่อ ไม่ใช่แต่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ความดีมีอยู่กับคนทุกคนแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ก็ควรจะจำความดีของมัน
    สัตว์เดรัจฉานเยี่ยงสุนัขมันมีความกตัญญูรู้คุณ ต่อเจ้าของของมัน
    จะดุจะด่าจะว่าจะตี มันก็ไม่เคยโกรธเจ้าของของมัน
    มันก็มีความจงรักภักดี ความดีของสุนัขควรจะจำเอาไว้
    เอาสุนัขเป็นครูเสียก็แล้วกัน อย่าไปถือสาความว่าสุนัขเลว
    ความจริงสุนัขเขามีดี ไม่ใช่มีเลวอย่างเดียว
    ที่เราว่าเลวก็ถือว่าเขาเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ความจริงส่วนหนึ่ง
    ความดีของเขานั้นเราควรจะเก็บมาใช้ เราเป็นคนก็ลอกแบบเขาได้
    ไม่เสียศักดิ์ ไม่เสียศรี เมื่อเราดึงเอาความดีมา เอามาใช้เสียบ้าง
    ประเดี๋ยวสุนัขมันจะดีแต่ฝ่ายเดียว เราจะสู้มันไม่ได้
    สำหรับท่านที่พูดนี่ก็เหมือนกัน พ่อก็ไม่ทราบว่าใคร
    ไม่รู้ว่าครูบาอาจารย์ที่ไหนเขาสั่งเขาสอนกันมา
    นี่ความจริงพ่อไม่อยากจะพูด แต่มันเจอะหลายคราวเต็มที
    ถ้าไม่พูดเสียอย่างนี้บ้าง ก็เกรงว่า
    บุคคลคนนั้นจะลงอเวจีนานเกินไป การที่พ่อบอกว่า
    การที่พ่อทำอะไรเกินตัวไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว
    นี่เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงบุคคลอื่น
    ทำอาการคล้ายคลึงกับพ่อ อย่างเช่น ท่านโลลุทายี
    เป็นพระที่มีแต่ความโลเล พอพระติกันเข้า
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงตรัส
    ว่าโลลุทายีนี้ไม่ใช่โลเลแต่ชาตินี้ชาติเดียว ชาติก่อนๆ
    เขาก็โลเลเหมือนกัน เห็นมั้ย ตัวอย่างเช่นนี้มีมามาก
    ก็พ่อเป็นคนแบบนี้ พ่อก็คงคิดว่าไม่ใช่แต่ชาตินี้ชาติเดียว
    มันคงจะเป็นคนทำอะไรเกินตัว มาหลายแสนชาติแล้ว
    ก็เป็นไปได้ การพูดอย่างนี้ หรือการพูดอย่างก่อน ที่เขาว่าพ่อ
    ความจริงไม่ใช่ฤทธิ์ไม่ใช่เดช มันเป็นกฎธรรมดา
    ของนักปฏิบัติพระกรรมฐานเท่านั้น เป็นของชั้นห่วยๆ
    ถ้าจะเทียบกับการเรียนหนังสือ ก็ยังไม่ถึงชั้นประถมปีที่ ๑
    ทำไมเขาจึงใช้คำว่า พ่ออวดฤทธิ์อวดเดช มันไม่ใช่ฤทธิ์ไม่ใช่เดช
    แต่อำนาจของอภิญญา แปลกใจไหมลูก อย่าโกรธเขานะลูกนะ
    ควรจะขอบใจเขา ที่เขาทำความชั่ว เป็นครูให้ลูก ลูกจะได้ไม่ปฏิบัติตามเขา
    ถ้ามิฉะนั้นแล้ว ลูกก็อาจจะคิดว่า อาการที่ทำอย่างนั้นมันเป็นความดี
    ถ้าไปทำเข้ามันจะลบ ลบล้างความดีที่ลูกทำไว้

    ตอนนี้ก็มาคุยกันถึงวันที่ ๑๔ เมษายน ยังไม่ถึงก่อน
    หลังจากรับโทรศัพท์จากคุณประเสริฐ ว่าวันที่ ๑๔
    เขาจะให้พ่อเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย
    เพื่อรอรับเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทมาเข้าทุน
    เป็นกองทุนของหน่วยสงเคราะห์บุคคลผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร
    พ่อก็ไม่อยากจะขัดใจพ่อก็ตอบรับ ทั้งๆ ที่วันที่ ๑๕ ตอนเช้า
    พ่อจำเป็นจะต้องเดินทางมาภาคใต้
    เมื่อเข้าไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว
    ก็ต้องเดินทางกลับมาเวลากลางคืน แต่ความที่ไม่อยากจะขัดใจใคร
    ในด้านของความดี พ่อก็ยอมรับ รับแล้วก็มานั่งคิด
    ว่าการเข้าไปพร้อมกันแบบนี้ อาจจะเห็นว่า บางคนอาจจะคิดว่า
    พวกเราทั้งหมดนี้ ไม่ไว้วางใจแม้แต่พระเจ้าแผ่นดิน
    เพียงแค่เงินแสนบาท สำหรับคนรวย แต่สำหรับอย่างพ่อ
    เงินหนึ่งสลึง เขาเรียกว่าเงินตั้งหนึ่งสลึง
    เพราะพ่อไม่ค่อยจะมีเงินใช้เป็นส่วนตัวกับเขา บรรดาลูกรักของพ่อ
    มีความหวังดีกับพ่อทุกคน ทุกเดือน ลูกต้องให้พ่อเป็นส่วนตัว
    แจ้งมาว่าเป็นไปตามอัธยาศัย พ่อก็ใช้นะลูก ไม่ใช่ไม่ใช้
    ความจำเป็นมีบ้าง ในส่วนตัวของพ่อจริงๆ
    เดือนหนึ่งประมาณร้อยบาทเศษๆ บางเดือนก็ไม่ถึง
    เงินเหลือจากนี้ เงินจำนวนนี้ทั้งหมด
    พ่อมีความห่วงใยในผลที่ลูกจะพึงรับ นำเอาไปใช้ในส่วนสาธารณประโยชน์
    เช่นสร้างวัดวาอาราม ให้ความสุขกะสาธารณชน

    เอาละ บรรดาลูกรักทุกคน เทปหน้านี้มองดูก็หมดเสียแล้วนะลูกนะ
    ฟังหน้าฟังเทปหน้าต่อไป คิดว่าเรื่องของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    อีกหนึ่งหน้าก็คงจะจบ ที่ไม่จบก็เพราะว่า พ่อเอาเรื่องอื่นเข้ามาแทรก
    สำหรับทางเทปหน้านี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
     
  4. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    04.เข้าเฝ้าในหลวง (ต่อ).mp3
    ก่อนที่พ่อจะมาพูดในเทปหน้านี้ หยิบนาฬิกาขึ้นมาดู ลูกรัก
    เห็นเวลาตีสามผ่านไปเสียแล้ว ลูกคงจะคิดว่า ดึกเกินไปสำหรับพ่อ
    ทั้งๆ ที่พ่อต้องเดินทางทั้งวัน แต่ทว่าลูกรัก ความดีของลูก
    พ่อจะเหน็ดจะเหนื่อยยังไง ไม่มีความสำคัญ
    เพราะว่า พ่อเห็นว่า ชีวิตของลูกเอ้อชีวิตของพ่อนี้
    ไม่มีความสำคัญไปกว่าความดีของลูก ลูกของพ่อทุกคน
    มีความดีเกินไปกว่าพ่อจะห่วงใยในชีวิตของพ่อ ถ้าสิ่งใดก็ตาม
    ถ้าเป็นประโยชน์แก่ลูก ถึงแม้ว่าเลือดและเนื้อของพ่อจะเหือดแห้งไปก็ตามที
    หรือว่าชีวิตินทรีย์ของพ่อจะสลายไปก็ตาม พ่อทำทุกอย่างได้เพื่อลูก
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าลูกของพ่อดีกว่าที่พ่อคิดไว้ว่าลูกจะพอดี
    ลูกทุกคนรักพ่อ ลูกทุกคนยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อพ่อ ลูกทุกคน
    พยายามสละผลประโยชน์ทุกอย่างเพื่อพ่อ ไม่มีใครเคยคิดว่า
    พ่อนี้ตั้งหน้าตั้งตาเบียดเบียนลูก ไม่มีลูกคนไหนที่จะแสดงอาการรังเกียจในพ่อ
    พ่อเห็นใจลูกที่ทิ้งการงานทุกอย่าง ถูกเจ้านายเขาด่า เจ้านายเขาว่า
    เจ้านายประวิงเวลาในสิทธิ อย่างเปี๊ยกที่จะพักร้อนได้ แต่ว่า
    เจ้านายเขาก็ไม่ยอมให้พักร้อน ทั้งนี้แสดงว่า เจ้านายไม่ชอบหน้า
    เพราะว่ามาปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของพ่อมาก ทุกคนก็เสียสละเช่นกัน
    บางก็ทุกๆ คนนั่นแหละ บางคราวก็ขาดงานกะการทางราชการ
    มาทำงานในศูนย์เพื่อสาธารณประโยชน์ มีน้ำใจเสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    และมีน้ำใจเสมอด้วยน้ำใจของพ่อ พ่อรักลูกมากกว่าตัว
    ทีนี้ความดีของลูกอย่างนี้ เป็นปัจจัยให้พ่อรักยิ่งกว่าชีวิตของพ่อ
    ฉะนั้น ขอลูกทุกคนจงรักษาความดีของลูกนี้ไว้ เหมือนเกลือรักษาความเค็ม
    อย่าลืมนะลูกนะ ว่าเสียงมันรบกวนก็ดี เสียงพ่อจะเบาไปบ้างก็ดี
    ขอลูกให้อภัยกับพ่อ แก่พ่อทั้งนี้เพราะว่า เวลามันดึก ดึกก็ดึกไป
    ชีวิตและร่างกายไม่มีความสำคัญแก่พ่อ ถ้าพ่อห่วงมันมากเท่าไร
    ประโยชน์ที่ลูกจะพึงได้ ก็จะน้อยไปเท่านั้น เพราะวันเวลาที่เราจะต้องพึงตายเนี่ย
    เราห้ามมันไม่ได้ มันมีเวลาแน่นอน ฉะนั้น ถ้าเวลาใดพ่อมีโอกาส
    ทำเพื่อประโยชน์ของลูก พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อลูก
    พ่อจะไม่ห่วงใยอาลัยในชีวิตของพ่อ เพราะพ่อรู้ ถ้ายังไม่ถึงเวลาจะตาย
    จะใช้ยังไงมันก็ไม่ตาย พอถึงเวลาที่มันจะตายจริงๆ
    ไม่ใช้มันเลยก็ตาย ในเมื่อสภาพมันเป็นอย่างนี้ โอกาสมีก็รีบใช้มันเสีย
    จนกว่าจะใช้มันไม่ได้

    เป็นอันว่า เมื่อความดำริคิดว่า เกรงว่าคนอื่นจะคิดว่า
    แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราก็ไม่ไว้วางใจ
    ได้คิดมาคิดไป ก็คงคิดว่า ท่านราชเลขาคงจะกราบทูล
    ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบแล้ว ว่าพ่อจะเข้าเฝ้าด้วย
    คงจะไม่คิดเป็นอย่างอื่น พ่อจึงยอมรับ ถึงวันเวลา
    พ่อก็เดินทางเข้าไป วันที่ ๑๔ ตอนเช้า ก็ไม่เช้านัก
    เป็นวันสงกรานต์นี่ลูกรัก อยู่ในช่วงระหว่างสงกรานต์ พ่อก็ต้องเทศน์ก่อน
    ไปกินข้าวกันที่ประตูน้ำพระอินทร์ คุณประเสริฐมารับกับคุณยาใจ
    ถึงเวลาเข้าไปเฝ้า ไปรอเฝ้าประเดี๋ยวหนึ่ง พ่อก็คิดว่า
    วันนี้ยังไงๆ พ่อต้องกลับเร็ว เพราะต้องกลับวัด
    เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเสด็จเข้ามา
    แสดงอาการเหน็ดเหนื่อยมาก ทราบว่าแขกเข้าเฝ้าพระองค์วันนั้น
    ก่อนหน้าพ่อถึง ๔ ชุดแล้ว พ่อเป็นชุดสุดท้ายสำหรับตอนกลางวัน
    แต่มันก็ไม่ใช่กลางวัน ๑๖ นาฬิกาเศษแล้ว แต่การเข้าไปในคราวนั้น
    พ่อเสียดายอยู่นิดหนึ่งลูกรัก ที่คุณประเสริฐนำคณะกรรมการ
    ของบริษัทไทยออยล์ไปหาผลประโยชน์ ช่วยศูนย์สงเคราะห์บุคคลผู้ยากจน
    คณะกรรมการทุกคน พ่อไม่รู้จักใครสักคน ที่หน้าใหม่ๆ นะ
    ถ้ารู้จัก ก็จะคุยกะเขาด้วยดี ตอนนี้คุณประเสริฐก็คงจะตื่นเต้น
    ในการที่จะเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ได้แนะนำให้รู้จักกับใคร
    พ่อก็มานึก แหม อาลัยไปนิด คิดว่าน่าจะคุยกันบ้าง
    ขอให้กำลังใจกับท่านพวกนั้น เพราะท่านทุกท่านเหน็ดเหนื่อยมาก
    ในการหาเงินหาทอง เสียสละทรัพย์ด้วยตนเองด้วย
    ช่วยกันจัดงานด้วย ได้เงินมาแสนบาท
    อันนี้พ่อก็ต้องขออภัยทุกท่าน ที่เข้าไปในวันนั้นแทนคุณประเสริฐ
    ที่ไม่ได้แนะนำพ่อ วันนั้นก็มีท่านพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์
    อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นผู้นำเข้าเฝ้า วันนั้นคุณจิตต์แต่งตัวสวย
    แต่งฟอร์มขาว ติดสายราชองครักษ์ มีกระบี่ รู้สึกว่าคุณจิตต์
    หนุ่มขึ้นกว่าปกติตั้งหลายสิบปี ถ้าพ่อคิดนะ เป็นความรู้สึกของพ่อ
    คิดว่าสาวๆ ที่เขาไม่รังเกียจคนแก่ คงจะนึกรักคุณจิตต์มาก
    ในวันนั้นเขาแต่งตัวสวย สำหรับคุณหญิงสุวรรณาภาก็รู้สึกว่า
    จะมีหน้าตาอิดโรยไปหน่อย แต่ก็มีการรื่นเริงตามสมควร
    เวลาก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จออก
    เจ้าหน้าที่เขาก็แสดงอาการซ้อมการเข้าไปถวายพระองค์

    แหมเรื่องพระเจ้าอยู่หัวนี่ พ่อขอย้อนไปที่ภูพิงค์สักนิดได้มั้ย
    ในตอนหนึ่งที่พระองค์ทรงตรัสกับพ่อ บอกเวลานี้พระองค์ทรงเอาสั้นๆ แล้ว
    เวลาเสด็จลงจากเครื่องบินหรือรถก็ดี เข้าไปถึงจุดต่างๆ ในงานต่างๆ
    ที่ท่านไปเยี่ยมทางต่างจังหวัด เขาก็ขอเดชะ พอขึ้นเดชะท่านก็บอกว่า
    หยุดเถอะหยุดเถอะ เรื่องเดชะไม่ต้อง อยากจะทราบว่างานที่ทำน่ะ
    มันไปถึงไหนแล้ว นี่คำว่าเดชะเดเชอะนี่ พระองค์ไม่ต้องการ
    ต้องการงานอย่างเดียว เรียกว่าพูดธรรมดาๆ นี่ท่านชอบ เอาล่ะ
    ให้รู้น้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ ตอนนี้นิดหนึ่งนะ

    อีตอนนั้น เวลาเขาซ้อมเสร็จก็ยืน ยืนเข้าแถว ปรากฏว่าคุณศรีกับคุณยาใจ
    หรือใครบ้างก็ไม่ทราบ เห็นจะเป็นเสียงคุณศรี พูดมาบอกว่า หลวงพ่อ
    ขาสั่นเสียแล้ว ทั้งนี้ คงจะตื่นเต้นและมีความประหม่า
    ที่จะเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การตื่นเต้น การประหม่านี่
    แสดงถึงความจงรักภักดี พ่อทราบ พ่อก็เลยตอบไปบอกว่า
    หายใจยาวๆ สิคุณ จะได้หายสั่น ถ้าลูกจะถามว่า พ่อเคยเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว
    เคยประหม่ามั้ย พ่อก็ต้องตอบว่า ในชีวิตของพ่อ ไม่เคยมีคำว่าประหม่า
    แล้วก็ไม่เคยมีความรู้สึกว่าประหม่า ไม่ว่าสถานที่ใดทั้งหมด
    พ่อมีความรู้สึกอย่างเดียวว่า ถ้าเรามาดีเสียอย่าง จะต้องไปกลัวอะไร
    ก็หมดเรื่อง ใจมันก็ไม่ประหม่า ใจมันก็ไม่หวาดหวั่น หลังจากนั้น
    เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ขอโทษนะ
    ขอย้อนหลังสักนิดหนึ่ง ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จออก
    ในที่นั้น มันไม่ใช่ที่จะคุยเอะอะโวยวาย พ่อเลยนั่งหลับตาให้มันสบายใจ
    นั่งหลับตานี่ไม่ได้เข้าฌานสบาบัติ นั่งหลับตาไม่มองดูใครให้ใจมันเป็นสุข
    ต้องการให้ใจสบาย พอใจสบาย พ่อก็เห็นภาพๆ หนึ่ง ปรากฏกับตาของพ่อ
    มันแปลกนะลูกรัก เห็นเป็นคนมากด้วยกัน ผู้ชายบ้าง ผู้หญิงบ้าง
    ผมเผ้ายุ่งเหยิง เป็นคนหนุ่มเป็นส่วนมาก และก็มีอีกภาพหนึ่ง
    เป็นภาพของบุคคลไม่ใช่คนชาติไทย ผิวขาว ร่างสูง จมูกโด่งๆ คางเสี้ยม
    และร่างกายสูงด้วย เขายืนคุมฉาก มีเสียงบอกว่า คนพวกนี้แหละ
    ที่จะทำลายล้างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นศูนย์ความจงรักภักดี
    ของคนไทยทั้งชาติ และเสียงนั้นก็ตอบต่อไปว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะต้องไม่ตาย เพราะน้ำมือของคนขายชาติ
    และคนทำลายชาติ แล้วเสียงนั้นก็กล่าวต่อไปว่า จุดจบในเรื่องร้ายของประเทศไทย
    ก็จะต้องหลั่งเลือดกันบ้างตามสมควร นี่คุณ ชอบโฆษณาฤทธิ์ ชอบโฆษณาเดช
    เมื่อได้ฟังจากเทปแผ่นนี้แล้ว ก็ไปโฆษณาต่อก็แล้วกันนะ จะได้มีเหยื่อ
    สร้างความชื่นใจ จะได้ไม่กลุ้มใจว่าโอ้ ไม่มีโอกาสด่าพระมหาวีระซะแล้ว
    คราวนี้ก็แสดงฤทธิ์แสดงเดชอีกแล้ว เห็นไหมล่ะ ไปนั่งในวังประเดี๋ยวเดียว
    ก็เห็นผีเห็นเทวดา แต่ความจริงนั่นไม่ได้เข้าฌานสมาบัตินะลูกนะ
    ที่บอกอย่างนี้ก็สงสาร ว่าคนนั้นเขาจะไม่มีข่าว เขาจะได้เอาข่าว
    ไปกราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะได้เอาข่าวไปโฆษณาว่า
    มหาวีระแสดงฤทธิ์แสดงเดชอวดชาวบ้านอีกแล้ว เขาจะได้มีความสุข
    เพราะว่าพ่อเกิดมา พ่อต้องการให้คนทุกคนมีความสุข
    เมื่อเขาต้องการจะมีความสุขเพราะเหตุนี้ พ่อก็จะพยายามทำเสมอๆ
    พยายามพูดเสมอๆ เขาก็จะได้ได้ข่าวไป เมื่อได้ข่าวแล้ว เขาจะได้มีความสุข
    เป็นสุขจุดหนึ่งที่เขาจะพึงได้ พ่อก็ทำน้ำใจอย่างพระเวสสันดรเหมือนกัน
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การให้สุราเป็นทานไม่มีอานิสงส์ แต่ว่า
    ในสมัยที่เป็นพระเวสสันดร ท่านให้สุราเป็นทาน พระถามว่า
    เมื่อทราบว่าสุรา ให้เป็นทานไม่มีอานิสงส์ พระองค์ให้ทำไม ในสมัยนั้น
    พระองค์ให้ทำไม พระองค์ก็ทรงตรัสว่า เราให้เพื่อให้เต็มความประสงค์
    ของบุคคลผู้รับ เพราะบุคคลประเภทนั้น แจกเงินแจกทอง
    เขาไม่ดีใจเท่ากับแจกสุรา เมื่อเขาต้องการอย่างนั้น ท่านก็จึงให้อย่างนั้น
    พ่อก็เหมือนกัน แต่คนนี้เขาอยากจะได้ข่าวฤทธิ์ข่าวเดชจากพ่อ
    เพื่อเอาไปแจกจ่ายแก่บรรดาพวกพ้องของเขา แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    เขาก็ไปกราบทูลให้ทรงทราบ พ่อเกรงว่าเขาจะไม่มีกำลังใจ
    จะหมดกำลังใจที่ไม่ได้ข่าวอย่างนี้จากพ่อ พ่อก็เลยหาข่าวป้อนให้เขา
    เขาจะได้มีความสุข ลูกจำไว้นะ อย่างนี้ลูกอย่าทำอย่างพ่อเลย ถ้าใจของลูกไม่ดีล่ะก็
    เขาย้อนเข้ามามันจะหวั่นไหว สำหรับพ่อไม่เป็นไร พ่ออยากจะให้เขามาย้อนต่อหน้าพ่อ
    จึงอยากจะรู้ว่าหน้าของเขาน่ะเป็นยังไง สวยแค่ไหน ใครเป็นครูบาอาจารย์เขา
    ถึงได้สอนเขามาแบบนี้ ความรู้อย่างนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์สอนให้ละ
    เช่นแบบที่พระองค์พบกับ เอ้อ สุปริยะปริพาชกกะนันทมานพ โดนแบบนี้
    สมเด็จพระชินสีห์เตือนพระบอกอย่าสนใจ เขานินทาว่าเราเลวถ้าเราทำความดี
    มันก็ไม่เลวไปตามคำเขาพูด ถ้าเขาสรรเสริญว่าเราดีแต่เราเลว
    เราก็ไม่ได้ดีไปตามคำเขาพูด ดีหรือเลวมันอยู่ที่ผลการปฏิบัติ
    เพราะองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคสอนอย่างนี้ ลูกก็จงจำ
    อย่าหวั่นไหวนะลูกนะ ถ้าบังเอิญเขาจะกล้ามาโต้กับพ่อต่อหน้าล่ะก็
    ลูกอย่าโกรธเขานะลูกนะ พ่ออยากจะพบเขา ทางที่ดีก็ ท่านผู้มีพระคุณ
    ควรจะแสดงตนซะที อย่าไปทำตนเป็นคนใต้ดินอยู่เลย รู้จักหน้ากันดีกว่า
    เรามาเป็นเพื่อนกัน จะได้ให้ข่าวประเภทนี้บ่อยๆ แล้วก็จะได้มีโอกาสได้ข่าวนี้มากๆ
    ...จะได้มีความสุขกายสบายใจ ที่ได้ข่าวตามความประสงค์
    ไม่ทราบว่าการหาข่าวนี่ ได้สินจ้างรางวัลเท่าไรก็ไม่ทราบ

    คุยกันต่อไปดีกว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จออกมา
    พ่อรู้สึกสงสารท่านมาก รู้สึกว่า พระพักตร์ของพระองค์ไม่สดชื่นเท่าไรนัก
    อีคำว่าไม่สดชื่นไม่ใช่ว่าเหนื่อย เอ้อไม่ไม่ใช่ว่าไม่สบาย
    แต่ความจริงรู้สึกว่าพระองค์เหนื่อย เมื่อคุณประเสริฐถวาย
    เมื่อคุณจิตต์ สังขดุลย์ กล่าวคำถวายรายงานแล้ว กราบทูลถวายรายงานแล้ว
    คุณประเสริฐก็นำเช็คเงินแสนบาทไปถวายแก่พระองค์
    ต่อมาพระองค์ก็ทรงให้โอวาทว่าศูนย์นี้เป็นศูนย์ที่พระองค์ทรงปรารภกับพ่อ
    ให้ตั้งขึ้นมา ทรงรับรองในวันนั้น แล้วกล่าวถึงใจความของศูนย์ว่าศูนย์นี้
    ไม่ใช่ว่าจะแจกอย่างเดียว มีความประสงค์จะช่วยในด้านการประกอบอาชีพด้วย
    ให้กินด้วย ให้ความรู้ด้วย ให้วิชาการในการประกอบอาชีพด้วย
    ให้แหล่งน้ำด้วย ถือว่าให้ความสุขทุกอย่างแก่บุคคลผู้ได้รับ
    แล้วทรงตรัสต่อไปว่า การให้นี่ถือว่าเรามีรางวัล
    พระองค์ไม่ทรงกล่าวว่ามีอานิสงส์ ขอย่อนะลูกนะ พระองค์ทรงตรัสวันนั้นยาวมาก
    ทางพ่อก็นั่งหลับตาเฉย หลับตาฟังมันสบาย เพราะไม่อยากจะลืมตา
    มันเพลียๆ การให้นี่เราเป็นผู้ได้รางวัลคือความดี เราให้ความสุขกับเขา
    ในที่สุด ความสุขนั้นมันก็ย้อนมาถึงเรา นี่ก็หมายความว่า ถ้าเขามีสุข
    เราก็พลอยสุขด้วย ถ้าเขามีทุกข์ ดีไม่ดี เขาเป็นโจรเป็นขโมย
    แล้วเขาจะมาปล้นเรา เราก็มีความทุกข์ หลังจากที่พระองค์ทรงให้โอวาทเสร็จ
    พระองค์ก็มาประทับนั่งคุกเข่าที่หน้าพ่อ ท่านพนมมืออยู่ วันนี้
    ทรงตรัสยิ้มแย้มแจ่มใสมาก และก็ทรงตรัสถึงเรื่องที่พ่อบันทึกเสียงถวายท่าน
    พ่อกำลังป่วย ไปนอนอยู่ที่ระยอง ชายทะเล เสียงคลื่นซัด
    ก่อนที่จะบันทึกเสียง พ่อมองดูคลื่น แล้วพ่อก็มองดูตัวของพ่อ
    ว่าตัวของพ่อก็ไม่ต่างอะไรกับคลื่นในน้ำ มันเกิดขึ้น
    มันก็สลายไป เกิดขึ้นสลายไป ที่ยังมีคลื่นอยู่ก็เพราะยังมีลม
    ถ้าลมหมดเมื่อไร คลื่นก็หมดเมื่อนั้น เหมือนกะชีวิตพ่อก็เช่นเดียวกัน
    มันจะหนุ่ม มันจะแก่ มันจะขาว มันจะดำ ก็เป็นเรื่องของคลื่น
    ถ้า...เรื่องของลม ลมมันสร้างให้เกิดคลื่น ถ้าลมหมดเมื่อไร
    พ่อก็ตายเมื่อนั้น เช่นเดียวกับน้ำทะเล พระองค์ทรงตรัสว่า
    ตอนนี้พระองค์ชอบมาก เพราะว่าชอบดูคลื่นและเห็นชอบด้วย
    การที่ชอบคลื่นพิจารณาคลื่นเป็นกรรมฐาน ก็เพราะเล่นเรือใบเห็นคลื่น
    และก็ทรงวินิจฉัยต่อไปว่า คลื่นที่มากระทบ คลื่นมันเกิดแต่ละลูก
    ไม่ใช่คลื่นลูกเก่า มันเป็นคลื่นลูกใหม่ ขึ้นทดแทนซึ่งกันและกัน
    ในที่สุด มันมาก็มากระทบฝั่งหายไป และก็อาจจะ...น้ำก็กระเพื่อมขึ้นมาใหม่
    กลายเป็นคลื่น ก็มาเทียบกับอารมณ์จิตของพระองค์ เห็นมั้ยลูก
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นทุกอย่างเป็นกรรมฐาน ที่พ่อเคยบอกๆ
    ลูกว่า จงดูทุกอย่างให้เป็นสมถะและวิปัสสนา จิตใจจะได้ตัดกิเลสง่าย
    และตอนนั้น ตอนหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่า
    ให้น้ำเกลือถึง ๘,๐๐๐ หรือขอรับ พ่อเลยถวายพระพรว่า ๘,๐๐๐
    แน่ตอนนั้น แต่ตอนนี้ให้ไปแล้วหมื่นหนึ่ง ๑๑,๐๐๐ ซีซี พระองค์ทรงตรัสว่า
    ผมสังเกตดูร่างกายหลวงพ่อ ผมไม่รู้เลย เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงลูกรัก
    เพราะพ่อใช้กำลังกายช่วยกำลังใจ ลูกก็รู้อยู่แล้ว มันเป็นการหลอกตาคนได้ไม่ยากนัก
    แต่เนื้อแท้จริงๆ ร่างกายมันกรอบเต็มที มาตอนหนึ่งพระองค์ทรงตรัสว่า
    ที่หลวงพ่อบอกว่า ร่างกายมันกรอบเต็มที ถ้าหมดภารกิจคือลูกหลานมีกำลังใหญ่
    พอจะคุ้มตัวได้ล่ะก็ จะขอวางภาระ ทรงตรัสต่อไปว่า กระผมเห็นว่า
    คงจะไม่มีใครทรงตัวได้แน่นอน มั่นคง แม้แต่กระผมเองก็เหมือนกัน
    ก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าดี ฉะนั้น ผมอยากจะขออาราธนาหลวงพ่อให้อยู่ต่อไป
    พ่อได้กราบทูลว่าเรื่องของขันธ์ ๕ พ่อยึดถือไม่ได้ เพราะอะไรๆ
    มันก็ไม่ใช่เรื่องของพ่อ ขันธ์ ๕ มันจะเกิด ขันธ์ ๕ มันจะพัง
    มันก็เป็นเรื่องของขันธ์ ๕ แต่ที่พยายามรวบรัดกำลังใจให้อยู่เช่นนี้
    เพราะห่วงลูกห่วงหลาน เพราะลูกหลานของพ่อดีทุกคน
    ถ้าลูกหลานของพ่อไม่ดีขนาดนี้ล่ะก็ ลูกเอ๋ยไม่ต้องห่วง
    อย่าว่าแต่เสียงพ่อเลย แม้แต่ร่างกายของพ่อ ลูกก็จะไม่ได้เห็น
    บางทีลูกจำนวนมากจะไม่รู้จักชื่อพ่อเสียด้วย ถ้ากำลังใจไม่ช่วยเพื่อลูก
    ที่พูดนี่ไม่ใช่มาเอาบุญคุณกับลูก พ่อคนเดียว ทำความดีไม่เท่ากับลูกหลายคน
    ที่ทำกับพ่อ กำลังของลูกทุกคนรวมกัน มากเป็นกำลังใหญ่กว่ากำลังของพ่อที่ให้ลูก
    เป็นความดีของลูกที่พ่อเทิดทูน ว่าเป็นความดีที่ควรแก่การพ่อสรรเสริญอย่างยิ่ง

    เป็นอันว่า ในกาลต่อมา เมื่อทรงตรัสหลายๆ ตอน ก็ทรงตรัสว่า
    เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าจะห้ามปรามร่างกายไม่ไหวก็ขอให้ตายพร้อมกัน
    หมายความว่า ถ้าพระองค์สวรรคต พ่อก็ตายด้วย ตายเสียพร้อมๆ กัน
    จะได้ไม่ต้องห่วงกัน พ่อก็ยอมรับ บอกว่าถ้าอย่างนั้นพ่อเอา
    ถ้าพระองค์จะสวรรคตเมื่อไรล่ะก็ พ่อตายเมื่อนั้น แต่เรื่องของขันธ์ ๕
    นี่ลูกรัก พ่อก็พูดไปอย่างนั้น ใครจะไปบังคับขันธ์ ๕ ได้
    ไอ้เรื่องที่พ่อพูดว่าร่างกายกรอบ ก็เพราะได้ยินเสียงจากข้างบนบอกว่า
    ร่างกายมันกรอบเต็มทีแล้ว จงทำทุกอย่างเพื่ออนุชนรุ่นหลัง ต่อไป
    บุคคลผู้ทรงอภิญญาจะเกิดมาก จงสร้างแบบสร้างแผน
    เพื่อการปฏิบัติทุกอย่างให้ครบถ้วนทิ้งไว้ เพราะว่า เสียงที่บันทึกไว้ก็ดี
    หนังสือที่ทำไว้ก็ดีเวลานี้ จะไม่เหมาะกับคนที่จะเกิดมาตอนหลัง
    ที่จะปฏิบัติตอนหลัง ให้ทำเสียใหม่ ให้เหมาะกับบุคคลประเภทนั้นๆ
    ไอ้เรื่องทำนี่ พ่อก็ไม่เข้าใจ ว่าจะให้ทำยังไง
    แล้วตอนหนึ่งพระองค์ทรงตรัสว่า เป็นเรื่องแปลกนะขอรับ
    เมื่อผมพูดกับหลวงพ่อ หลวงพ่อพูดกับผม
    หลวงพ่อบันทึกเสียงให้ผมเรื่องจิต ผมไปพบหลวงปู่แหวน
    ผมมีโอกาสเข้าไปในกุฏิท่านเป็นครั้งแรก พอเข้าไปในกุฏิ
    เข้าไปถวายนมัสการกราบท่านแล้ว หลวงปู่แหวนก็บอกว่า
    นี่ทำไมมาไล่คนเขาไปหมด คนเขาอยู่ข้างนอกตั้งเยอะตั้งแยะ
    เข้ามาแล้ว คนเขาก็หนีไปหมด ซึ่งก็เป็นความจริง
    เขาเกรงใจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขาก็เลี่ยงไปก่อน
    แล้วตอนนั้นหลวงปู่แหวนก็บอกว่า ไอ้เรื่องจิตก็ไม่ใช่ เอ้อ
    อย่างตากับจิตคือจิตก็ไม่ใช่ตา ตาก็ไม่ใช่จิต รวมความว่าร่างกายก็ไม่ใช่จิต
    จิตก็ไม่ใช่กาย ผลที่สุดท่านก็บอกว่าจิตก็ไม่ใช่ของเรา เราเอ้อจิตก็ไม่ใช่เรา
    เราก็ไม่ใช่จิต พระองค์ทรงตรัสว่า เป็นน่าแปลกนะขอรับ
    เมื่อหลวงพ่อพูดเรื่องจิตกับผม บันทึกเทปเรื่องจิตกับผม
    หลวงปู่แหวนไปอยู่ที่ท่านอยู่ที่โน่น ผมไปหาท่าน ท่านก็พูดเรื่องจิต
    อย่างนี้พ่อก็ไม่ทราบว่าจะตอบท่านว่ายังไง
    แต่ความจริงพ่ออยากจะเดา เดาว่า หลวงปู่แหวนน่ะ
    รู้สึกว่าท่านเป็นพระที่มีความสำคัญมาก จึงได้กราบทูลท่านบอกว่า
    สำหรับหลวงปู่แหวน ท่านเป็นพระที่มีสำนวนในการพูดดีมาก
    และก็เป็นพระที่มีความสำคัญที่พ่อเคารพในท่าน แต่ก็น่าสงสารบุคคลบางคน
    ที่พยายามเอาหลวงปู่แหวนไปขายอยู่ตลอดเวลา เห็นเขาโฆษณาว่า
    รูปเหรียญหลวงปู่แหวนประเภทนั้น ประเภทนี้ ประเภทนี้ ประเภทนั้น
    แต่ทว่า ทำรูปขึ้นมาแล้ว ก็ไปให้คนอื่นปลุกเสก นี่ต้องคิดเหมือนกันนะลูกรักนะ
    แม้แต่พ่อก็เหมือนกัน เวลานี้ก็มีคนส่งข่าวอยู่เสมอ ว่าพ่อไปปรากฏปลุกเสกที่นั่น
    พ่อปลุกเสกที่นี่ พ่อเคยประกาศเข้าแล้วว่า งานปลุกเสกพ่อทำไม่ไหว
    ดึกเกินไป เหนื่อย ภารกิจของพ่อก็มาก พ่อขอละหน้าที่นี้ ถ้าใครจะให้ทำอะไร
    ก็ขอให้มาทำที่วัด แต่ก็ปรากฏว่าไปโผล่ที่นั่นที่นี่อยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องแปลก
    เมื่อจะว่าถึงแปลกมันก็แปลก เป็นอันว่าวันนั้น
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสอยู่ได้ไม่นานนัก
    พระองค์ก็ทรงตรัสว่า สำหรับวันนี้ก็ขอพอเท่านี้นะขอรับ
    พ่อก็เลยบอกว่า ถ้ายังงั้นอาตมาก็ขอถวายพระพรลา

    เดี๋ยวก่อนลูกยังไม่จบ พ่อลืมไปนิด พ่อไม่ได้บันทึกมานะที่พูดนี่นะ
    เมื่อคุยกันอยู่นิดหนึ่ง พ่อก็กราบทูลให้ทรงทราบ ว่าวันที่ ๑๕
    พ่อจะมาปักษ์ใต้ ท่านก็บอกว่า ถ้าอย่างงั้นล่ะก็
    ผมขอฝากด้วยนะขอรับ พ่อเลยไม่ให้ท่านบอกว่าฝากอะไร
    พ่อขอตัดบทว่า อาตมาจะไปเช่นเดียวกับท่านหญิงวิภาวดี
    ที่ไปทำกิจอันเดียวกัน แต่ว่าเวลานี้ พ่อตั้งใจไว้ใหม่แล้วลูก
    ตอนก่อน พ่อไปกับท่านหญิงวิภาวดี พ่อเข้าป่าตะพึด
    เวลานี้ พ่อจะเข้าทั้งป่าและทั้งเมือง ทั้งคนที่ในเมืองพ่อก็จะพบ
    คนที่อยู่ในป่าพ่อก็จะพบ เพราะอะไร
    เพราะว่าพ่อไม่มีลัทธิการเมืองผสมใจของพ่อ
    พ่อถือว่าพ่อเป็นพระของคนทุกคนที่เคารพพระพุทธศาสนา
    รึว่าถือว่าเป็นคนคนไทยคนหนึ่งที่เป็นของคนไทยทุกคนในประเทศไทย
    ฉะนั้น เขาจะถือลัทธิการเมืองประเภทใดก็ตาม
    พ่อถือว่า ไม่ใช่ศัตรูของพ่อ พ่อถือว่าทุกคนในโลกนี้เป็นมิตรที่ดีของพ่อ
    เป็นพี่เป็นน้องของพ่อ ทั้งนี้ พ่อมีความรู้สึกเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่พระองค์ทรงมีความรู้สึกว่า
    คนไทยทุกคนเป็นญาติสนิทของพระองค์ทุกคน แม้แต่คนที่เขาบอกว่า
    เขาคนอื่น คนอื่นเขาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ก่อการดีอะไรก็ช่าง
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่เคยเห็นว่า ใครเป็นศัตรูกับพระองค์
    เวลาที่พระองค์ทรงเสด็จเยี่ยม เยี่ยมหมด ถ้าใครเข้ามาก็แจกเหมือนกันหมด
    นี่เป็นอันว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระบรมสุคตในด้านพรหมวิหาร ๔
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติได้ดี แต่มีหลายอย่างที่พระองค์ทรงตรัส
    ทรงปรารภเรื่องสุราเมรัยบ้าง ที่ตรัสกับท่านหญิงวิภาวดี พ่อของดไว้
    ซึ่งไม่มีความสำคัญ

    สำหรับเทปหน้านี้ มองดูเวลาก็หมดเสียแล้ว ขอลาก่อนลูกรัก
    สำหรับเรื่องเกี่ยวด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันหน้า
    โอกาสหน้า ถ้ามีโอกาส พ่อนึกอะไรได้ ก็จะเล่าให้ลูกฟังต่อไป
    ขอบรรดาลูกรักทั้งหลายจงมีแต่ความสุขสวัสดิ์ พิพัฒนมงคล
    สมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    และพระอรหันต์ทั้งหลายบรรลุแล้ว ขอลูกรักของพ่อทั้งหมด
    จงเป็นผู้เข้าถึงธรรมนั้นในชาตินี้ และโดยฉับพลัน
    และทุกคนจงมีโอกาสเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาตินี้ ทั่วด้วยกันทุกคนเถิดสวัสดี
    พ่อพูดมันติดกึกๆ กักๆ นะลูกนะ รู้สึกว่าเพลียมาก
    มองดูเวลานาฬิกา จะตี ๔ อยู่แล้วขอลาก่อนลูกรัก
     
  5. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    05.พระราชจริยาวัตรของในหลวง@20 เมษายน 2521.mp3
    เอ้อ บรรดาลูกรักทั้งหลาย ความจริงวันนี้ตั้งใจจะพูดเรื่องอื่น
    นอกจากที่จะเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ก็มาพิจารณาเห็นว่า
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นบุคคลตัวอย่าง ที่มีความสำคัญ
    ทั้งในการด้านปฏิบัติในเรื่องส่วนพระองค์ ปฏิบัติกับปวงชนชาวไทยทั้งหมด
    และก็ปฏิบัติกับชาวต่างประเทศ แม้แต่กระทั่งศัตรู พระองค์ก็เห็นว่าเป็นมิตร
    ไม่เคยคิดที่จะเป็นศัตรูกับใคร สิ่งที่มีความสำคัญที่สุด นั่นก็คือ
    พระองค์ทรงช่วยประชาชนด้วย ทรงช่วยชาวโลกด้วย
    และก็ทรงช่วยพระองค์เองได้ดีที่สุด ในด้านของธรรมะ

    สำหรับวันนี้ พ่อก็จะขอนำพระราชจริยาวัตร ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ทรงมีพระจริยาประพฤติปฏิบัติในเรื่องของพระองค์
    ในเรื่องส่วนตัวของพระองค์นั้นพ่อไม่นำมาพูดทั้งหมด
    เพราะว่าจะเกินพอดี จะพยายามหาแต่สิ่งที่สมควรมาพูดเท่านั้น
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๒๑ พ่อมีโอกาสเข้าไปเฝ้าพระองค์
    พร้อมด้วยพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ และคณะของคุณประเสริฐ
    คือบริษัทไทยออยล์ ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้เข้าไปเฝ้า
    เพื่อถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล ช่วยสมทบทุน
    ในการสงเคราะห์บุคคลผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งเป็นศูนย์ที่บรรดาลูกทั้งหลาย
    ได้พากันปฏิบัติแล้วครบถ้วนทุกคน ยอมเสียสละทั้งทรัพย์สิน
    ยอมเสียสละเวลาการงาน ยอมเสียสละแม้แต่ว่า งานนั้นหากว่าผู้บังคับบัญชาไม่สนับสนุน
    อาจจะเป็นปฏิปักษ์กับผู้บังคับบัญชา ผู้มีอารมณ์ไม่เป็นกุศลอยู่บ้าง
    ลูกทั้งหลายก็ยอม จริยาทั้งหลายเหล่านี้ เป็นความดีของลูก
    และก็ควรที่จะเป็นความดีฝังอยู่ในใจตลอดไป กว่าจะสิ้นชีวิต
    ศูนย์นี้ องค์สมเด็จพระธรรมสามิตร์พระพุทธเจ้า ทรงเรียกว่า
    สังคหวัตถุศูนย์ คือเป็นศูนย์ที่มีการสงเคราะห์คนในด้านวัตถุและกำลังใจ

    วันนี้ลืมบอกกับบรรดาลูกทั้งหลายไป วันที่บันทึกนี้ เป็นวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๒๑
    และก็กำลังนั่งบันทึกอยู่ที่ ที่กองกำกับตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘
    อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช วันนี้เราเดินทางกันจากจังหวัดกระบี่
    มาถึงอำเภอทุ่งสงเวลาเที่ยงเศษๆ สำหรับจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ที่บรรดาลูกรักทั้งหลายจะพึงรับทราบ รับทราบแล้วก็จงปฏิบัติตามด้วย
    เพราะว่าจะช่วยให้พวกเราดี ก่อนที่จะพูดถึงด้านธรรมะ
    ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติได้ ก็จะขอย้อนไปถึงจริยาวัตรของพระองค์
    พระราชจริยาวัตรของพระองค์นี่ เราจะรู้ไม่ได้เลยว่าทรงทำอะไรบ้าง
    วันทั้งวันพระองค์ไม่มีเวลาว่าง บางวันต้องเสด็จ มีพระราชภารกิจตั้งแต่เช้ายามเย็น
    ตอนเวลาเย็นก็ต้องมานั่งปฏิบัติงานรับแขกกลางคืนอีก กว่าจะทรงเซ็นหนังสือได้
    ก็ต้องใช้เวลา ๒๔ นาฬิกาผ่านไป เมื่อทรงเซ็นหนังสือแล้ว หลังจากนั้น
    พระองค์ก็ทรงเจริญพระกรรมฐาน วันที่พ่อเข้าไปพบกับพระองค์
    พระองค์บอกว่าเวลานี้การฟังเทปรู้สึกว่ามันฟังไม่ค่อยจบ นอนฟัง
    ฟังไปฟังไปฟังไปรู้สึกว่า หนักเข้า ความไม่ได้ยินในเทปมีอยู่ เคลิ้มหลับ
    แต่ว่าพอเทปดังแก๊ก รู้สึกตัวตื่นขึ้น แล้วก็พลิกฟังใหม่อีกหน้าหนึ่ง
    คราวนี้ก็หลับไปเลย พระองค์ทรงติงพระองค์เองว่า รู้สึกว่าไม่ดี
    แต่พ่อกลับทูลพระองค์ไปว่า นั่นเป็นความดี เพราะว่า
    ถ้าหลับในระหว่างการฟังธรรม ชื่อว่าจิตฝังอยู่ในธรรมตลอดเวลา
    และก็การฟังค่อยๆ เคลิ้มไปทีละน้อยๆ พอเทปหมดหน้ารู้สึกเสียงดังแก๊ก
    ก็แสดงว่านั่นไม่ได้หลับ แต่ทว่า จิตฟังธรรมเป็นฌานสมาบัติ
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฟังไม่ได้ยินเสียงเลย
    นั่นเป็นฌาน ๔ ความจริงเรื่องนี้ดีมาก

    ฉะนั้น ขอบรรดาลูกรักทุกคนจงปฏิบัติตนเยี่ยงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    จงอย่าอ้างว่าข้าพเจ้ามีงานมาก มีภารกิจมาก ไม่มีเวลาพักผ่อน
    ไม่มีโอกาสเอาจิตเข้าไปฝึกฝนธรรมะ
    การนอนฟังเทปบันทึกเสียงเป็นเสียงธรรมะ จะเป็นเสียงของบุคคลใด
    พระองค์ใดพูดก็ตาม ฟังได้ทุกท่าน พ่อไม่ห้าม เพราะว่า
    ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมะของพระองค์นั้นๆ
    รึของอาจารย์นั้นๆ ถ้าเขาสอนถูก ใช้ได้ทั้งหมด พ่อไม่ใช่มีความรู้แต่ผู้เดียว
    ไม่ได้มีความสามารถแต่ผู้เดียว แต่ความจริง พระหรือว่าอาจารย์ต่างๆ
    ที่มีความรู้ดีกว่าพ่อ ปฏิบัติได้ดีกว่าพ่อ มีความสามารถดีกว่าพ่อมีอยู่
    การฟังของท่านนั้นๆ แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณาด้วย ถ้าเห็นว่าสมควร
    คือธรรมข้อใดควรแก่อัธยาศัยของเรา เราก็นำไปประพฤติปฏิบัติ
    ธรรมข้อใดที่ไม่ตรงกับอัธยาศัยเราก็เว้นเสีย อย่าฝืนทำ
    เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบังคับ ว่าธรรมะที่พระองค์ทรงสั่งสอนมาแล้ว
    ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ จะต้องจำได้หมด รึว่าจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ได้หมด
    สิ่งที่องค์สมเด็จพระบรมคตต้องการ ก็คือตัดสังโยชน์ ๑๐ คือ
    ๑ สักกายทิฐิ มีความรู้สึกว่า ตัวเป็นเราเป็นของเรา เรามีในตัว ตัวมีในเรา
    ๒ วิจิกิจฉา สงสัยในคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    โดยที่เราไม่ได้ใช้ปัญญาไปพิจารณาคำสอนของพระองค์ ให้มีความเข้าใจ
    ๓ สีลพตปรามาส ยังมีความละเมิดในศีล ไม่เคารพในศีล
    ๔ กามฉันทะ มีความลุ่มหลง ลุ่มหลงใฝ่ฝันในกามคุณ คือพอใจในรูปสวย
    เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ซึ่งมันเป็นของไม่จีรังยั่งยืน
    ไม่มีการทรงตัว
    ๕ ความโกรธ ความพยาบาท โกรธคิดประทุษร้าย พยาบาทจองล้างจองผลาญ
    ๖ รูปราคะ หลงในรูปฌานเกินไป ไม่ทำใจของตนให้ก้าวหน้าไปจากรูปฌาน
    เพื่อหวังพระนิพพาน
    ๗ อรูปราคะ หลงในอรูปฌานเกินไป ไม่สนใจในวิปัสสนาญาณ
    ให้เข้าถึงสังขารุเปกขาญาณ
    ๘ มานะ ถือตัวถือตนเกินไป
    ๙ อุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ทำจิตไม่ตรงเฉพาะพระนิพพานโดยเฉพาะ
    และก็ ๑๐ อวิชชา ความโง่ ที่มีความรู้สึกว่า มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลกเป็นของดี
    มีความรักในมนุษยโลก เทวโลกและพรหมโลก จิตไม่รักพระนิพพานโดยเฉพาะ

    นี่เป็นอันว่า พระธรรมคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ที่เราจะพึงศึกษาและปฏิบัติให้ละกันได้จริงๆ นั่นก็คือ สังโยชน์ ๑๐ ประการ
    ขอลูกรักทุกคน ลูกมีกำลังใจเป็นมหากุศล ยากที่จะหาคนอื่นเสมอเหมือนได้
    แต่ว่า คำชม...ของพ่อ ลูกอย่าเหลิง ถ้ามีความทะนงตนเมื่อไร ลูกก็เลวเมื่อนั้น
    จงมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์เพียงใด ในเวลานั้นก็ชื่อว่า
    เรายังไม่เป็นคนดี เราจะพยายามเก็บความชั่วทุกอย่าง ที่มันขังอยู่ในจิต
    ทำลายให้มันตายสนิท อย่าให้มันเกิดขึ้นมา เมื่อกิเลสคือความชั่วตายหมด
    ชื่อว่าจิตว่าง ว่างจากความชั่ว จะทรงไว้แต่ความดี แล้วก็จะว่างจากความทุกข์
    จะทรงไว้แต่เพียงความสุขอย่างเดียว หวังว่าลูกคงจำได้

    สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันนี้ที่พ่อเข้าไปพบกับพระองค์
    ตอนหนึ่งพระองค์ทรงตรัสว่า ท่านหญิงวิภาวดียังมีความห่วงใยในพระองค์มาก
    ทั้งนี้ก็เพราะอะไร เพราะว่า มาเตือนอยู่เสมอ ขณะที่พระองค์ทรงประทับและทรงตรัส
    รู้สึกว่าเหลียวซ้ายแลขวา และก็ทรงตรัสว่า เวลานี้หายไป
    การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่า ท่านหญิงวิภาวดีมาเยี่ยมเสมอ
    และก็ตักเตือนเสมอ จุดนี้ขอบรรดาลูกรักจงจำให้ดี ว่าความรู้สึกอย่างนี้
    จะมีขึ้นมาได้ นั่นก็คือ บุคคลผู้นั้น จะเป็นใครก็ตาม
    จะต้องมีอารมณ์เข้าถึงทิพจักขุญาณ คือมีอารมณ์เป็นทิพย์
    มีความรู้สึกทางใจคล้ายกับตาทิพย์ ในเมื่อท่านได้ทิพจักขุญาณ
    ก็มีโอกาสรับสัมผัสได้ นี่แสดงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ทรงมีพระราชภารกิจมาก เรื่องของพระองค์
    มีเรื่องกวนทั้งกายและก็กวนทั้งใจ เรื่องที่กวนนี่ก็กวนทุกอย่าง
    อย่างที่บรรดาลูกๆ ทั้งหลาย จะไม่มีโอกาสประสบการรบกวน
    อย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเลย กลางวันก็ไม่ได้พัก
    กลางคืนก็ไม่ได้พัก มีเวลาอยู่นิดเดียว
    พระองค์ทรงทำพระกรรมฐานและก็ทำได้ดี อย่างบุคคลประเภทนี้
    ควรจะลอกแบบเข้าไว้ การทำเลียนแบบ การลอกแบบ
    การปฏิบัติตามท่านในด้านของความดีไม่ใช่ความเสีย
    เป็นผลกำไรที่เราไม่ต้องรื้อฟื้นเอง วิธีปฏิบัติของพระองค์
    ที่พระองค์ทรงเล่าให้ฟัง ดูเหมือนว่า พระองค์เป็นบุคคลที่ไม่มีเวลา
    อย่างพ่อเคยพูดไว้ เวลาใดถ้ามีโอกาสว่างนิดหนึ่ง
    ก็ใช้อารมณ์ฟังเทปบ้าง วินิจฉัยธรรมบ้าง
    และในบางขณะที่พระองค์จะทรงเสด็จพระราชดำเนินไปรอบๆ
    พระราชฐานที่พัก อันนี้พระองค์จะถือเวลาว่า จะเดินกี่ชั่วโมง
    ถ้าเดิน ๑ ชั่วโมง เอาเทปสะพายไปด้วย แล้วก็ฟัง ๒ หน้า
    ถ้าเดิน ๒ ชั่วโมงก็ฟัง ๔ หน้าเทป อย่างนี้รู้สึกว่าพอดี
    เดินไปกับธรรม และก็จิตเมื่อเราได้ฟังเสียง
    จิตมันก็จะอยู่ที่เสียงมากกว่าที่จะฟุ้งซ่านไปอยู่ในที่อื่น จริยาวัตรนี้ส่วนหนึ่ง
    ที่บรรดาลูกรักควรจะฝึกฝนใจให้มาก พยายามปฏิบัติตามพระองค์ให้มาก
    เวลาบูชาพระ พระองค์ก็ทรงสมาธิ ทำสมาธิและวิปัสสนาในระยะนั้น
    เวลาที่เสด็จบรรทมก็ทรงฟังเทป เป็นอันว่า พระองค์จะไม่ยอมให้เวลาที่ว่างอยู่
    เสียเปล่าไปในด้านของความดี จะพยายามหาทางบีบบังคับอารมณ์จิต
    ให้อยู่ในขอบเขตของความดี คือฟังเสียงธรรมะ ขณะใดที่จิตสนใจในธรรม
    พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ขณะนั้นจิตย่อมว่างจากกิเลส สำหรับทิพจักขุญาณ
    ที่พระองค์จะทรงได้ ก็คือการเจริญสมาธิธรรมดา เมื่อจิตทรงอยู่ในอุปจารสมาธิ
    ทิพจักขุญาณก็ปรากฏเอง เรื่องนี้ลูกต้องมีความขยันหมั่นเพียร
    มีความสนใจให้มาก เรียกกันว่าเป็นการปฏิบัติแบบเบาๆ แต่ว่าได้ผลดีมาก

    เป็นอันว่า ในอีกประการหนึ่ง การเจริญพระกรรมฐานของพระองค์
    นี่ถ้ามีเสียงอะไรรบกวนละลูกโปรดทราบ อาคารรับรองของตระเวนชายแดนเขต ๘
    ติดอยู่กับถนน รถที่วิ่งมา เสียงอาจจะเข้าไปในเครื่องบันทึกเสียงได้
    เพราะว่า พ่อถือว่า การเดินทางก็จะหากำไรด้วยการนำเรื่องต่างๆ
    มาเล่าให้ลูกฟัง เพราะลูกทุกคนเป็นคนตั้งใจอยู่ในขอบเขตของมหากุศล
    และก็ทุกคนมีความมุ่งหวังพระนิพพาน เวลาที่พ่อจะบันทึก
    มันจะดึกแสนดึกเพียงใดก็ตาม พ่อไม่ได้คำนึงถึงร่างกาย
    เพราะความรักในลูก ลูกดีพ่อก็ต้องเห็นใจลูก เพราะลูกเสียสละได้ทุกอย่าง
    พ่อก็ต้องเสียสละเพื่อลูกได้

    เป็นอันว่า การเจริญสมาธิของพระองค์ อันดับแรก คงจะตั้งพระทัย
    มุ่งสมาธิเป็นฌานสมาบัติบทใดบทหนึ่ง และประการที่พ่อเข้าไปพบกับพระองค์
    เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๑ ตอนนั้นพระองค์ทรงตรัสว่า การทำสมาธิเวลานี้ไม่มุ่งหวัง
    จุดใดจุดหนึ่งโดยเฉพาะ ปล่อยไปตามสบาย จะถึงไหนก็ใช้ได้ เป็นที่พอใจ
    จริยาแบบนี้ลูกรัก เป็นจริยาที่ดีที่สุด เพราะพ่อเองก็เคยตกอยู่ในความหวั่นไหวมามากแล้ว
    และก็ยุ่งยากใจเพราะการบังคับจิต ต้องการจะให้ได้ฌานชั้นนั้น ได้ฌานชั้นนี้
    แต่ในที่สุด แทนที่มันจะดี มันก็กลับเลว สู้การปล่อยอารมณ์ใจการทรงสมาธิ
    และพิจารณากรรมฐานในด้านสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี
    ถ้าจิตเราปล่อยไปตามสบาย มันจะถึงฌานไหนก็ช่าง เมื่อถึงไหนพอใจแค่นั้น
    อารมณ์ฌานและวิปัสสนาญาณที่เข้าถึงใจ จะมีการทรงตัว และในที่สุด
    ก็จะสามารถตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน คือตัดกิเลสได้อย่างเด็ดขาด
    กิเลสไม่กำเริบ เรียกว่ามีอารมณ์จิตเข้าถึงพระนิพพานได้แน่นอน
    วิธีปฏิบัติแบบนี้ ลูกต้องพยายามปฏิบัติให้มาก คำว่ามากก็หมายความว่า
    การเว้นจากการงาน เมื่อยามว่างไม่ควรจะให้โอกาสปล่อยไป และอีกประการหนึ่ง
    สิ่งที่บรรดาลูกและทุกคนสงสัยส่วนใหญ่ ว่าบางทีภาวนาไปว่าพุทโธ ธัมโม สังโฆ
    เป็นต้น พอจิตเคลิ้มแผล็บเดียว มันกลับจับอย่างอื่นมาว่า แต่ว่า
    อยู่ในขอบเขตของสมถะและวิปัสสนา อย่างนี้หลายคนอาจจะตกใจ
    คิดว่าอารมณ์เราฟุ้งซ่านไป พ่อก็ขอแนะนำ ว่าความจริงถ้าจิตตกเข้าถึงอุปจารสมาธิ
    เวลานั้นอารมณ์มันเป็นทิพย์ มันย่อมจะรู้ว่า การตัดกิเลสของเรานี้
    จะควรตัดกิเลสด้วยกรณีใดๆ ฉะนั้น จิตจึงหันปล่อยทิ้งของเก่า จับสิ่งใหม่เข้ามา
    ซึ่งมันเป็นประโยชน์กว่า ซึ่งจะเห็นได้ว่า อารมณ์จิตประเภทนี้ จะเกิดแก่คนส่วนมาก
    แต่มักจะมีความรู้สึกว่า ผิดเป้าหมาย แต่ความจริงไม่ผิด เพราะตอนนั้น
    อารมณ์ปัญญามันเกิดขึ้น เพราะอำนาจของความเป็นทิพย์ เป็นสมาธิของจิต

    ฉะนั้น การปฏิบัติ ก็ขอบรรดาลูกรักทั้งหมด จงพยายามปฏิบัติ
    เอาอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และบุคคลอีกคนหนึ่ง
    ที่พ่อจะพึงพูดถึง นั่นก็คือ หม่อมหลวงวรวัฒน์ นวรัตน์
    ที่เราอาศัยกำลังแรงความเมตตาของท่านที่กระบี่
    ท่านผู้นี้ก็มีความดีที่ลูกควรจะปฏิบัติตาม นั่นก็คือ
    ความเมตตาปรานี การโอบอ้อมอารี สนใจในกิจการงานทุกอย่าง
    เป็นคนตัวเล็กแต่ว่ามีงานใหญ่ รับภาระหนักมาก คนที่มีคนงานมากๆ
    ไม่ใช่ว่าจะรับหน้าที่เฉพาะเรื่องของราชการอย่างเดียวก็หาไม่
    คนภายในทะเลาะเบาะแว้งกันมา เขาก็วิ่งหาท่านผู้อำนวยการ
    ผู้อำนวยการก็คืองานกระโถนท้องพระโรง หรือกระโถนลูกใหญ่
    ที่คนทั้งหลายจะบ้วนเขฬะลงไปในกระโถน เขฬะก็คือน้ำลาย
    กระโถนจะรับแต่ความหนัก กระโถนจะรับแต่ความเหม็น ความสกปรก
    แต่ทว่า ถ้าบุคคลผู้คุมกระโถนดี คือใจที่คุมกายดี เมื่อเขาบ้วนมาให้
    เราก็โยนทิ้งไป มันก็หมดเรื่อง เช่นเดียวกับหม่อมหลวงวรวัฒน์ นวรัตน์
    ท่านถนัดในการโยนกระโถนทิ้ง ฉะนั้น เป็นอันว่า ถ้าลูกรักทั้งหลาย
    จะพึงนำจริยานี้มาปฏิบัติก็เป็นการดี

    อีกประการหนึ่ง ท่านหม่อมหลวงวรวัฒน์
    นอกจากจะมีความเมตตาปรานีกับพวกเรา จำได้ว่า วันนั้น วันแรก
    ท่านเช่าเรือ ๑,๒๐๐ บาท วันที่สองพ่อจำไม่ได้ พ่อคิดว่า กำลังเงินที่เช่า
    ต้องเกินกว่าวันก่อน และอาหารการบริโภค ท่านก็บริการเราทั้งหมด
    ที่พักอาศัยก็บริการทุกอย่าง เอ้อ ลุงเหม่ หรือปู่เหม่ เจ้าคุณวสุสิงหะ
    วสุ อือม์ ลืมชื่อซะแล้ว เจ้าคุณวสุสิงหนาถ เมื่อเวลาจะกลับ
    เอาเงินไปมอบท่าน ในนามคณะลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ๔,๐๐๐ บาท
    ช่วยค่าเรือ ช่วยค่าอาหาร แต่ว่าท่านกลับส่งเงินนั้นมาถวายกับพ่อ
    บอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นภาระของกระผม ผมทำด้วยศรัทธา
    ปรารถนาเรื่องบุญ ฉะนั้น เงินจำนวนนี้ผมขอถวายหลวงพ่อ
    เพื่อเป็นค่าเดินทางต่อไป และอีกประการหนึ่ง หม่อมหลวงวรวัฒน์
    เป็นคนมีความกตัญญูรู้คุณต่อท่านผู้ใหญ่คือ บิดามารดา
    เพราะว่า บุคคลที่เป็นผู้ใหญ่เคยเป็นครูบาอาจารย์ ท่านผู้นี้ไม่ยอมข้าม
    และก็ไม่ยอมดูถูกดูหมิ่น รักษาวาจาที่สั่งทุกอย่างให้ครบถ้วน
    จนกระทั่งเป็นคนปฏิบัติตนได้ดี ทั้งหน้าที่ของราชการ ฝ่ายครอบครัว
    และฝ่ายธรรมะ จริยาอย่างนี้ ลูกรักทั้งหลายจงจำไว้
    เพราะมันเป็นเสน่ห์ของเรา ความดีเกิดขึ้นกับเรามาก
    คนเขาก็รักเรามาก แต่ความดีเกิดขึ้นกับเราน้อย
    คนเขาก็รักเราน้อย เมื่อคนรักน้อย คนเกลียดมาก
    เราก็มีความทุกข์กายทุกข์ใจมากกว่าความสุข เดินไปพบคนที่เรารัก
    หรือเขารักเรา เราก็ยิ้มแย้มแจ่มใสมีความชื่นบาน
    แต่ไปพบคนที่เกลียดเราเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละ ความกลุ้มใจ
    กำเริบใจมันก็เกิดขึ้น เราจะหาความสุขไม่ได้ ความสุขที่จะมีมาได้ก็คือ
    ๑ เมตตาความรัก
    ๒ กรุณาความสงสาร
    ๓ มุทิตามีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร
    ๔ อุเบกขาวางเฉยเมื่ออารมณ์ใดมันเกิดขึ้นกระทบใจ เราก็เฉยไม่โต้ตอบ
    เป็นอารมณ์ที่เราไม่ชอบใจ จุดนี้เป็นจุดสร้างความรักให้เกิดขึ้น
    ถ้าบุคคลใดมีพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน บุคคลนั้น
    ย่อมเป็นที่รักของคนส่วนใหญ่หรือว่าทุกคน
    บุคคลใดมีพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน บุคคลนั้นก็มีศีลบริสุทธิ์
    บุคคลใดมีพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน ศีลครบถ้วน
    ศีลบริสุทธิ์ จิตใจก็เยือกเย็น ฌานสมาบัติก็เกิด
    บุคคลใดมีพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน เมื่อมีฌานสมาบัติ
    มีอารมณ์เย็น วิปัสสนาญาณคือปัญญามันก็เกิด
    จุดนี้แหละ ที่จะทำให้พวกเราทุกคนเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    ขอลูกรักของพ่อทุกคน จงปฏิบัติตามนั้น
    อย่าทอดทิ้งความดีที่เราทำไว้ จงรักษาความดีนี้ไว้ เหมือนเกลือรักษาความเค็ม

    สำหรับวันนี้ มองดูนาฬิกาหมดเวลาซะแล้วนี่ลูก รับฟังในตอนต่อไป
    หน้าที่ ๒ สำหรับวันนี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล
    สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาลูกรักทุกคน สวัสดี
     
  6. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    06.ลำดับการเดินทางลงใต้จากวัดท่าซุงถึงประจวบคีรีขันธ์.mp3
    ลูกรักทั้งหลาย สำหรับตอนนี้ พ่อก็จะขอย้อน
    กลับไปถึงเรื่องการเดินทางไปปักษ์ใต้ การเดินทางไปปักษ์ใต้นี่
    เราเริ่มกันตั้งแต่วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๒๑ รถที่ได้อุปการะในคราวนี้
    ก็คือ ๑ นิสสัน E20 ของแม่ปิ่น พวงทอง ที่มอบไว้ให้แก่ศูนย์
    เป็นการใช้ในกิจการของศูนย์ ๑ คัน แล้วก็รถเบนซ์
    ของพันเอก แพทย์หญิงวีวรรณ คำนวณกิจ
    มอบไว้ให้ศูนย์ใช้สอยในกิจการของศูนย์อีก ๑ คัน
    อ้อ แล้วรถไดน่า ซึ่งตี๋เล็ก หรือสันต์ เจ้าของบริษัทขายรถยนต์ ซูบารุ
    มอบไว้เพื่อกิจการของศูนย์อีก ๑ คัน เป็นรถครัว
    แล้วก็ มีรถแลนด์โรเวอร์ ๒ ตอน ซึ่งพลโททวนทอง สุวรรณทัต
    เจ้ากรมยุทธการทหารบกและผู้อำนวยการศูนย์ร่วม
    แห่งกองบัญชาการทหารสูงสุด ได้กรุณาส่งมาให้
    สงเคราะห์เนื่องในการใช้บุกป่า บุกผ่าดง
    และก็มอบจ่าสิบเอก ๑ ท่านเป็นผู้ควบคุมรถ และให้เงินค่าน้ำมัน
    ค่าใช้จ่ายประจำรถมาอีก ๓,๐๐๐ บาท นับว่า
    ทุกท่านเป็นผู้มีพระคุณกับพ่อมาก เราจะมีสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ใช้ได้
    ก็เพราะอาศัยความเกื้อกูลของท่านทั้งหลาย ตามที่กล่าวนามมาแล้วนี้
    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากวันที่ ๒๐ นี้ไป

    ในระหว่างที่พ่อพูดอยู่นี่ พ่อพูดอยู่ที่ ตชด. เขต ๘
    อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช รถที่ท่านพลอากาศโท
    หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ ที่เราให้นามว่า รถโตงเตง
    หรือว่ารถอีซูซุ บรรจุคนได้ ๒๐ คนเศษ ก็กำลังพาคณะของลูกหลาน
    ลูกที่รัก จากกรุงเทพมาสมทบกันที่ทุ่งสง เป็นอันว่า
    การเดินทางจะเป็นไปด้วยดีก็เพราะอาศัยความเมตตาปรานี
    ของท่านผู้มีความดีทั้งหลาย องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสว่า
    สุขะโท ยานะโท โหติ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ผู้ให้ยวดยานพาหนะชื่อว่าให้ความสุข
    พระพุทธเจ้าหมายความว่า ถ้าเราสงเคราะห์ในการเดินทางของบุคคลอื่น
    เป็นการให้ความสุขกับเขา แต่ความสุขนั้น ก็จะสะท้อนมาถึงเรา รวมความว่า
    การที่เราจะบังเอิญจะต้องเกิดในชาติต่อไปอีก ถ้าพึงมี
    เราก็จะกลายเป็นคนที่มีพาหนะใหญ่ ไปไหนมาไหนได้สะดวก
    สำหรับเรื่องนี้ พ่อของดไว้เพียงเท่านี้

    ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความเมตตาปรานี
    ต่อศูนย์สงเคราะห์บุคคลผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร
    ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์ให้แต่งให้ตั้งขึ้น
    โดยมีพ่อเองเป็นผู้ควบคุมศูนย์ ฝ่ายพระก็มีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
    วัดสามพระยา เป็นประธานอุปถัมภ์ ฝ่ายฆราวาส
    ก็มีพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์เป็นประธาน
    และก็มีเจ้าหน้าที่หลายคนที่ร่วมงาน ถือว่าเป็นกรรมการทั้งหมด
    บรรดาลูกรักของพ่อทุกคน พ่อถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของศูนย์
    แต่ว่าเป็นที่น่าเสียดาย ที่ศูนย์นี้ไม่มีทั้งเงินเดือนไม่มีทั้งเบี้ยเลี้ยง
    ลูกๆ ทุกคนต้องทำงานกันเหน็ดเหนื่อยสายตัวเกือบจะขาด
    ไม่มีใครเคยปริปากพูดเรื่องว่าไม่มีความสุข มีความลำบาก
    และก็เสียสละทั้งแรงงาน เสียสละซึ่งเงินช่วยเหลือเกื้อกูลในการเดินทาง
    แต่ความจริงพ่อคิดว่า ถ้าลูกไม่ยอมบริจาคทรัพย์เลย จะช่วยแต่แรงงาน
    และพ่อจะต้องออกเบี้ยเลี้ยงให้ลูก เพื่อให้กินมีความกินอยู่เป็นสุข
    ในขณะปฏิบัติงาน เท่านี้ ก็เป็นที่พอใจของพ่อแล้ว
    พ่อคิดว่า การจะจ้างคนอื่นคงทำไม่ดีเท่าลูก และก็เงินก็จะเสียมาก
    งานจะได้น้อย แต่ว่าลูกรักของพ่อทุกคนแทนที่จะเป็นคนรับเงิน
    กลับต้องเป็นคนจ่ายเงิน แล้วก็ทำงานทุกอย่าง
    อย่างนี้เขาเรียกว่า ไม่ใช่ทำงานฟรี แต่ว่าทำงานเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ด้วย
    จ่ายทรัพย์ด้วย ฉะนั้นเวลาที่เราจะปฏิบัติงานกันจริงๆ แต่ละคราว
    จึงมีพระบ้าง มีพรหมบ้าง มีเทวดาบ้าง ประชุมกันขนาดหนัก
    ท่านร่วมกันโมทนา ท่านถือว่า เป็นงานที่เนื่องด้วยปรมัตถบารมี
    ฉะนั้น บุคคลใดถ้ามีกำลังใจเข้าถึงปรมัตถบารมี
    งานที่ทำก็เป็นปรมัตถปฏิบัติ คำว่าปรมัตถ์แปลว่าอย่างยิ่ง หมายความว่า
    ลูกมีกำลังใจที่เป็นมหากุศล สูงอย่างยิ่ง เพราะงานที่ทำนั้น
    เป็นกิจกรรมที่เป็นมหากุศลอย่างสูง เพราะว่า
    เนื่องจากเมตตากรุณามุทิตาและอุเบกขาทั้งสามประการ

    ตอนนี้ขอย้อนกลับวัด วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๒๑
    พ่อได้มีโอกาสเข้าไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ตอนจะกลับ พระองค์ทรงทราบว่า วันที่ ๑๕ จะเดินทางไปปักษ์ใต้
    จึงได้มีพระดำรัสว่า ผมขอฝากงานด้วยนะขอรับ
    ทั้งนี้ก็เพราะว่า พระองค์ไม่มีเวลาอยู่ไปเยี่ยมคนได้ทุกจุด
    เราก็ต้องช่วยกันทำ จะถือว่า
    ประเทศนี้เป็นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียวก็หาไม่
    ถ้าคิดอย่างนั้นไม่ถูก ต้องคิดว่าประเทศนี้เป็นของเราทุกคนที่อยู่ในเมืองไทย
    และก็คนทุกคนที่อยู่ในเมืองไทยเป็นพี่เป็นน้องกัน ร่วมเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน จุดนี้จุดหนึ่ง

    วันที่เมื่อเสร็จจากการเฝ้า พ่อก็กลับคืนนั้น มีนทีขับรถมา
    ร่วมด้วยบุคคลที่นั่งมาด้วยอีกคนหนึ่ง คือพันจ่าเอกสาย เวลาเช้า
    เราก็เดินทางกันจากวัด เวลา ๗ นาฬิกา ๓๐ นาที
    ผ่านเขตอำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ผ่านเขตอำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท
    เข้าดงเทพรัตน์ ดงเทพรัตน์นี่เป็นดงประวัติศาสตร์ ถ้ามีโอกาสพ่อจะคุยให้ฟัง
    ต่อนั้นมาก็ผ่านหน้าวัดท่าช้าง เป็นวัดที่เราร่วมกันสร้าง และก็เป็นสาขาของศูนย์
    เห็นโบสถ์สวย กุฏิสวย บริเวณดี พ่อก็ชื่นใจ

    หลังจากนั้น รถของเราก็ผ่านอำเภอเดิมบาง
    เขตอำเภอเดิมบางนี่เป็นเขตประวัติศาสตร์ และก็ผ่านตลาดนางบวช
    ตลาดนางบวชก็เป็นตลาดประวัติศาสตร์ ผ่านเขตอำเภอสามชุก
    อำเภอสามชุกนี่พ่ออยากจะเรียกว่าอำเภอสาวชุก เพราะในเขตนี้
    มีเขานมนาง และก็เขานางบวช แล้วก็ อะไร
    ตำบลสบหรือวัดสบอะไรนี่พ่อจำไม่ได้ ชื่อท้ายว่าลงสบๆ
    แปลว่านางตาย คือก่อนที่นางจะบวช นางก็ตัดนมก่อน
    ตัดนมแล้วก็โยนไป มันก็กลายเป็นภูเขาสองลูก
    มองคล้ายๆ กับนม ตัดแล้วก็บวช บวชเป็นพระ
    บวชพระต่อมาก็ตาย ดีไม่มีวัดเผาศพหรือเขาเผาศพอยู่ด้วย

    หลังจากนั้น เดินทางต่อมาก็ผ่านเขตอำเภอศรีประจันต์
    เขตอำเภอศรีประจันต์นี้ก็เป็นเขตประวัติศาสตร์
    เอาไว้โอกาสหน้าคุยกัน ต่อมาผ่านหลังประตูน้ำโพธิ์พระยา
    อันนี้มองไม่เห็น เข้าเขตจังหวัดสุพรรณบุรี
    เข้าเขตอำเภอเมือง อำเภอเมืองนี่มัน
    สมัยก่อนเขาเรียกว่าอำเภอท่าพี่เลี้ยง ไอ้ท่าพี่เลี้ยงนี่
    พ่อก็ไม่ทราบว่า ใครเลี้ยงใคร พอรถวิ่งผ่านมา
    เห็นป้ายบอกว่า วัดลาวทอง อยู่ขวามือ
    เห็นวัดลาวทอง สมัยก่อนพ่อเคยรู้จัก
    พ่อไม่ได้ไปจังหวัดสุพรรณบุรีมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๗
    เวลานี้จังหวัดสุพรรณบุรีแปลกไปมาก วัดลาวทอง
    เคยห่างจากตลาดจังหวัดจริงๆ ๓ กิโลเมตร
    แต่ว่าทว่า เวลานี้วัดลาวทองก็อยู่ในเขตของเมืองซะแล้ว
    เขตเมืองขยายออกมามาก พอเห็นวัดลาวทองก็สลดใจ
    คิดถึงบุคคลคนหนึ่ง ในสมัยขุนแผนเขาเรียกว่านางลาวทอง
    ความจริงนางลาวทอง คำว่าลาวทองนี้ไม่ใช่ชื่อจริงๆ
    ชื่อจริงๆ ของท่านผู้นี้ นับในอดีตกาลนานมาแล้ว
    มีนามว่าพรรณวดีศรีโสภาค เมื่อเห็นป้ายวัดลาวทอง
    ก็นึกว่าวัดนี้เขาเป็นวัดประวัติศาสตร์ ที่มีความสำคัญอยู่มาก
    ที่น่าจะรู้ แต่ก็ไว้รู้ในตอนหลัง
    ตอนนี้คุยกันเรื่องเที่ยวกันเสียก่อน เมื่อเห็นวัดลาวทอง
    ก็นึกถึงท่านพลอากาศโท หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์
    เจ้ากรมสื่อสารทหาร ท่านมีความสนใจด้วยทรัพยากรของประเทศ
    ตามเขตก็ได้ยินข่าวมาว่า ในเขตแห่งตั้งแต่ประตูน้ำโพธิ์พระยา
    ถึงตัวจังหวัดสุพรรณบุรีเดิมมันยาว ๘ กิโล
    แต่เดี๋ยวนี้คงจะเหลือ ๕ กิโล เพราะเขตจังหวัดขยายไปไกล แล้วก็
    ๘ กิโลสี่เหลี่ยมจัตุรัส จะเป็นจุดที่มีน้ำมัน
    แหล่งน้ำมันใต้ดินมากพอสมควร จุดที่ใกล้ใจกลางจริงๆ
    ก็คือ บ้านสนามชัย บ้านสนามชัยนี่มีวัดๆ หนึ่ง
    เขาเรียกว่าวัดจมื่นไวยวรนาถ แต่ว่าสภาพของวัดหมดไป
    สมัยที่พ่อไปพบ มีแต่เจดีย์ แต่ว่าเจดีย์ก็กร่อนเต็มที
    สงสัยว่าดีไม่ดี เวลานี้เจดีย์ก็กลายเป็นพื้นดินไปแล้ว
    แทรคเตอร์คงจะไถหมด จุดใกล้ๆ นั้น
    จะเป็นแหล่งกลางของน้ำมันที่จะพึงหาได้ในประเทศไทย
    คือว่าหนึ่งในจุดหนึ่งในหลายพันจุดจนหลายหมื่นจุด

    ครั้นผ่านวัดลาวทองมาแล้ว ก็ประเดี๋ยวเดียว ก็เห็นศาลาว่าการ
    ศาลากลางประจำจังหวัด และศาลจังหวัด พ่อก็งงเต็มที สมัยก่อน
    มีคนบอกว่าจังหวัดสุพรรณบุรี พ่อเห็นว่าไม่เป็นไม่ใช่ของแปลก
    แต่เวลานี้เข้าจังหวัดสุพรรณบุรีแล้วไม่รู้เรื่องเลย เอาเรื่องอะไรไม่ได้เลย
    ไม่รู้อะไรทั้งหมด เป็นอันว่า ผ่านหน้าศาลากลางจังหวัด
    ถึงสามแยกก็เลี้ยวขวาข้ามสะพาน พอเหลียวไปทางขวามือ
    ก่อนข้ามสะพาน เขาเขียนป้ายว่า วัดโพธิ์คลาน
    วัดโพธิ์คลานนี่ก็เป็นวัดประวัติศาสตร์สำหรับพระกินน้ำตาลเมาเหมือนกัน
    เยื้องหน้าวัดโพธิ์คลานนิดหนึ่งเป็นวัดสารภี ไม่ไกลกันนัก
    เมื่อข้ามสะพานมาแล้ว เห็นเจดีย์เก่าๆ นั่นคือ วัดพระธาตุ
    วัดพระธาตุหรือว่าวัดพระบรมธาตุ เขาถือกันว่า
    ถ้าวัดในจังหวัดไหน มีนามว่าวัดมหาธาตุก็ดี วัดพระธาตุก็ดี
    วัดนั้นเคยพึงมีเมืองหลวง เป็นเมืองหลวงมาก่อน
    สำหรับจังหวัดสุพรรณบุรีก็เคยเป็นเมืองหลวงมาก่อนในอดีต
    เมื่อข้ามรถวิ่งมานิดเดียว ซึ่งสมัยก่อนต้องเดินกันนาน
    ก็เข้าถึงวัดป่าเลไลยก์ วัดป่าเลไลยก์ก็กำลังมีงานประจำปีพอดี
    รถคับคั่ง คนคับคั่งมาก งานเทศกาลในจังหวัดสุพรรณบุรี
    ที่มีความสำคัญที่สุด ก็คือวัดป่าเลไลยก์
    โดยที่ทางวัดไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ก็ทำได้และก็ได้เงินมาก
    คนไปนมัสการกัน และก็มีมหรสพก็ไม่ต้องมี
    มีคนไปซื้อข้าวขายของที่นั่น ก็ต้องเช่าที่ของวัด
    เรียกว่าวัดได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง

    เมื่อเห็นวัดป่าเลไลยก์เข้าก็นึกว่า วัดป่าเลไลยก์เป็นวัดประวัติศาสตร์
    สำหรับเรื่องขุนช้างขุนแผน แล้วก็ควรจะเป็นประวัติศาสตร์
    ในเรื่องของพระบาท เอ้อของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย
    ป่าลิไลยกะที่พระพุทธเจ้าทรงหนีพวกพระโกสัมพีที่ทะเลาะกันไม่สามัคคีกัน
    พระพุทธเจ้ามาจำพรรษา ๑ พรรษา เป็นแดนไกลมาก
    ในพระบาลีท่านไม่ได้บอกว่าที่ไหน เป็นแดนที่คนและพระทั้งหลาย
    ไม่สามารถจะไปถึง แต่ทว่าพระผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษท่านบอกว่า
    แดนป่าลิไลยกะจริงๆ ก็คือที่วัดป่าเลไลยก์นี่เอง
    ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ถ้าอยู่ในเขตใกล้ๆ
    ชาวบ้านเขาก็ไปถึง นี่ชาวบ้านเขาไม่พบพระพุทธเจ้าได้เลย
    แล้วหน้าวัดป่าเลไลยก์ก็มีวัดอยู่วัดหนึ่ง เขาเรียกวัดประชุมสงฆ์
    แต่วัดนี้สลายตัวไปนานแล้ว เหลือแต่เจดีย์ตั้งอยู่ วัดประชุมสงฆ์นี่
    ก็เป็นวัดในสมัยเมื่อพระพุทธเจ้าจำพรรษาอยู่ที่นั่น
    พระอานนท์พาพระ ๕๐๐ รูปไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ทว่าให้คอยอยู่ตรงนั้น
    พระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่พระแต่องค์เดียวก่อน ต่อมา
    องค์สมเด็จพระชินวรก็ทรงมาประชุมสงฆ์ตรงนั้น คือหน้าวัดป่าเลไลยก์
    ที่มีเจดีย์เด่นอยู่ดวงหนึ่ง นั่นเรียกว่าวัดประชุมสงฆ์
    เป็นที่ประชุมสงฆ์สมัยพระพุทธเจ้า แล้วสำหรับวัดป่าเลไลยก์นี่
    เขาบอกว่า วิหารนางพิมหรือวันทองเป็นผู้สร้าง
    นางวันทองคำว่าวันทองนี่เรียกกันตามประสาชาวบ้าน
    ชื่อจริงๆ มีนามว่า พิมพิลาไลย ถ้าเราจะล่องใต้
    เลยจังหวัดสุพรรณไปอีกหน่อยหนึ่ง จะพบวัดๆ หนึ่ง
    มีนามว่าวัดขุนไกร วัดขุนไกรเป็น ขุนไกรเป็นพ่อขุนแผน
    เรื่องนี้อย่าคุยให้ฟังกันเลย เอาไว้นานๆ มีโอกาสจะเล่าให้ฟัง
    มันเป็นทั้งประวัติศาสตร์แล้วก็เป็นทั้งนิยายด้วย ควรเชื่อบ้าง
    ไม่ควรเชื่อบ้าง แต่ก็น่าจะรู้

    ในเมื่อออกจากวัดป่าเลไลยก์ สมัยก่อนเมื่อพ่อไปโน่น
    หลังวัดป่าเลไลยก์ไปไม่เกิน ๑ กิโลเมตรเป็นป่าทึบ แต่เวลานี้
    พ่อมองไปจนสุดสายตา ยังมองไม่เห็นป่าเลย มันเปลี่ยนไปหมด
    หลังวัดป่าเลไลยก์ พ่อจำเนื้อที่ไม่ได้ จะห่างประมาณสัก ๑ กิโลหรือ
    ๒ กิโล จะมีสระอยู่ ๔ สระ มีนามว่าสระแก้ว สระคา สระยมุนา สระเกศ
    เป็นสระประวัติศาสตร์ ก่อนประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเหมือนกัน
    แต่พ่อก็ของดไว้ ยังไม่เล่าสู่กันฟัง เดินทางต่อมาผ่านอำเภออู่ทอง
    สมัยก่อนอำเภออู่ทอง กว่าจะไปกันได้ต้องอ้อม วิ่งเรือยนต์ไปถึงตั้งวัน
    ถ้าเรือช้าหน่อย วันหนึ่งก็ไม่ถึง แต่เวลานี้ ผ่านหลังวัดป่าเลไลยก์ไม่ถึง
    ๒๐ นาที ก็ถึงอำเภออู่ทอง มันใกล้เหลือเกิน ถนนหนทางนี้ให้ประโยชน์มาก
    ความจริงวัดในอำเภออู่ทองเป็นวัด เป็นอำเภอประวัติศาสตร์นมนาน
    ตั้งแต่อดีตกาลนานมาแล้ว ถึงใกล้ปัจจุบัน น่าจะคุยสู่กันฟัง

    ออกจากอำเภออู่ทองเข้าเขตอำเภอสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้องนี่
    ก็น่าจะคุยเรื่องเด็กหญิงเล็กๆ ที่พ่อตาย แม่ต้องไปอยู่กับเขา
    กับกำนันทำงานให้เขาอย่างเดียวเพื่อหาเลี้ยงลูก ค่าจ้างอย่างอื่นไม่มี
    น่าจะคุยกัน แต่ก็ยังไม่คุย ตอนนั้น
    รถของกองบัญชาการทหารสูงสุดน้ำมันหมด แวะเติมน้ำมัน
    ออกจากเดินทางจากอำเภอสองพี่น้อง เข้าเขตจังหวัดนครปฐม
    เห็นป้ายใหญ่เขาเขียนว่า โรงเรียนการบิน ก็เป็นว่า ที่นั่นเป็นกำแพงแสน
    เลาะลัดตัดถนนไปตามลำดับ ก็เข้าเขตอำเภอกำแพงแสน
    เป็นอำเภอประวัติศาสตร์ของคนดุ สุรพล สมบัติเจริญ ที่ตาย
    เขาก็บอกว่า ตายเพราะฝีมือของคนกำแพงแสน แต่ว่า
    อย่าไปโทษคนกำแพงแสนทุกคนเป็นคนดุ คนอำเภอกำแพงแสนนับแสนคน
    แต่ทว่าอาจจะมีคนดุซักสิบคน ถึงรึไม่ถึงก็ไม่ทราบ อย่าโทษกัน

    ผ่านเขตอำเภอกำแพงแสนมาแล้ว ก็เข้าเขตจังหวัดนครปฐม
    เป็นเวลา ๑๑ นาฬิกา พักรับประทานอาหาร
    หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ออกมาจากจังหวัดนครปฐม
    มาเติมน้ำมันที่ปั๊มข้างนอก เป็นเวลา ๑๒ นาฬิกา ๒๐ นาทีพอดี
    เติมน้ำมันเสร็จ ก็เดินทางต่อกันไป
    เลาะลัดตัดทางมาจากจังหวัดนครปฐม เข้าเขตจังหวัดราชบุรี
    เมื่อก่อนจะถึงจังหวัดราชบุรี เห็นฝนตกขาวพรึ่บ
    แต่ว่ารถของเราไม่ถูกฝน เพราะฝนตกเสียก่อน
    ออกจากเขตจังหวัดราชบุรี เข้าเขตจังหวัดเพชรบุรี ตอนนี้
    รถของเราถูกฝนอย่างหนัก ออกจากเพชรบุรี แล้วก็เดินทางต่อมา
    จะเข้าประจวบคีรีขันธ์ ผ่านหัวหิน ขอโทษ ผ่านปราณบุรี ผ่านกุยบุรี
    พอถึงกุยบุรี ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ ๑๕ นาฬิกาเศษ ลืมเอาเวลามา
    ปรากฏว่ารถที่พ่อนั่ง นิสสัน E20 สายยางท่อน้ำแตก รถมีความร้อนสูง
    มีเสียงคล้ายๆ กับคนเปิดไซเรนเบาๆ จึงบอกให้นทีหยุดรถ
    รถทุกคันก็หยุด ท่านเจ้าคุณมัสสุสิงหนาถ หรือว่าปู่เหม่
    ท่านขุนเรืองรัศมี แล้วก็เอี๊ยง สมนึก คนทุกคน มาช่วยกันดูรถของพ่อ
    จับได้ว่ายางแตก ก็ยางท่อน้ำแตก หาซื้ออะไหล่ไม่มี เจ้าคุณมัสสุสิงหนาถ
    นายช่างใหญ่ก็จัดการ เอาเทปมาพัน พอประทังให้มันใช้ได้
    เอี๊ยงเป็นหน่วยบริการเข้าถอดแล้วก็ใส่ รู้สึกว่าเขาคล่องดีมาก
    ขณะที่กำลังปรับปรุงรถกันอยู่นั้น ก็ปรากฏว่า
    รถเมล์ที่เปี๊ยกนั่งมาจากกรุงเทพผ่านไป แต่ก็เปี๊ยกไม่ทันเห็น
    พวกเราก็ไม่เห็นกัน คิดว่าจะไปรอเปี๊ยกที่สามแยก
    แต่โอกาสที่จะรอก็ไม่มี เปี๊ยกไปรออยู่ก่อน
    กว่าจะทำกันเสร็จก็สิ้นเวลาไป เท่าไรน้อ ๑๖ นาฬิกาไม่ใช่ ๑๕
    ก็เข้าไปถึง ๑๗ นาฬิกาเศษ จึงวิ่งกันต่อไป ถึงสามแยกประจวบคีรีขันธ์
    เป็นเวลา ๑๘ นาฬิกาเศษนิดหนึ่ง เห็นท่านพันเอกประสาน กับคุณนายสมพิศ
    ภรรยา และคณะศิษย์บางคน และก็เปี๊ยก มารอรับอยู่

    เมื่อถึงสามแยกประจวบคีรีขันธ์ จะเข้าคลองวาฬ จึงได้บอกให้รถจอด
    และคนทุกคนเข้าห้องส้วมห้องน้ำกันเสียก่อน เพราะดีไม่ดี ถ้าไปถึงบ้าน
    ห้องส้วมห้องน้ำเล็ก คับแคบและมีน้อย จะยุ่งกันใหญ่ เมื่อเสร็จภารกิจ
    เรื่องกายถ่ายของเก่าบริโภคของใหม่ คือกินน้ำใหม่แล้วก็เดินทาง
    พันเอกพิเศษประสาน พาเรือวิ่ง เอารถนำเข้าคลองวาฬ
    ผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และก็เลยไปคลองวาฬ คลองวาฬนี่
    น่าจะเรียกว่าคลองปลาวาฬ เพราะว่าพวกชาวใต้มักจะตัดสั้นๆ
    เดินทางเลาะลัดตัดไปในป่าของมะพร้าว ก็ถึงบ้านพันตำรวจเอกพิเศษ
    เล็ก ฟอร์ตี้ กับคุณนาย บ้านนี้เป็นนักบุญใหญ่จริงๆ
    มีจิตเป็นมหากุศลมาก ยากที่จะคนอื่นเสมอ ทำให้เกินเธอได้
    คือว่าเสมอน่ะพอมี เมื่อเข้าไปแล้ว ท่านเจ้าของบ้านก็แสนที่จะดี
    ต้อนรับขับสู้ให้กำลังใจดีอย่างยิ่ง

    เอาล่ะบรรดาลูกรักชายและหญิง พ่อมองเวลาแล้ว เห็นว่าเวลาหมดเสียแล้ว
    สำหรับเทปหน้านี้ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดี
    จงมีแด่ลูกรักทุกคน สวัสดี
     
  7. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    07.ลำดับการเดินทางลงใต้จากประจวบคีรีขันธ์ถึงชุมพร.mp3
    ลูกรักทั้งหลาย สำหรับตอนนี้ ก็จะขอพูดกับลูก คือว่า
    เป็นเรื่องที่จะปรารภความดีกัน ตอนที่แล้ว เราก็มาถึงแค่สามแยกประจวบ
    เดินทางเข้าไปยังไม่ถึงคลองวาฬ เวลาก็หมด วันนี้เดินทางต่อไป
    ครั้นเข้าไปถึงบ้านพันตำรวจเอกเล็ก ฟอร์ตี้ ก็มีท่านทั้งสอง
    คือสองตายาย บ้านนี้สวยสดงดงามมาก บริเวณก็สวย บ้านก็สวย
    สถานที่ก็ร่มรื่นอยู่ชายทะเล เสียงคลื่นกระทบฝั่งซ่าๆๆ อยู่ตลอดเวลา
    แล้วก็มีบ้านของน้องภรรยาพันตำรวจเอกเล็กอีกคนหนึ่ง ปลูกไว้แต่ว่า
    ท่านเจ้าของไปทำงานอยู่ที่ประเทศอาหรับ เป็นบ้านว่างเฉยๆ
    ใหญ่โตสวยงามมาก เป็นบ้านชั้นเดียว น่าอยู่น่าอาศัย แต่บ้านมาก
    มีคนน้อย และก็ แต่ทว่าคุณนายสมพิศได้ส่งลูกสาว และก็นำคณะ
    มาช่วยบริการในความเป็นอยู่ ในการพักผ่อน แต่ความจริง
    การเดินทางของเราคราวนี้ คณะของเราทั้งหมด มีรถครัวไปด้วย
    หวังจะช่วยตัวเอง มากกว่าที่จะเบียดเบียนเจ้าของบ้าน แต่ทว่า
    ท่านเจ้าของบ้านผู้ใจดี ก็จัดงานทุกอย่างเสียจนหมดเหมือนกัน
    เรื่องอาหารการบริโภค ที่อยู่ที่อาศัย มีความสุขมีความสบายอย่างยิ่ง
    ก็เรียกกันว่า ยากที่จะหาที่อื่นเกินได้ จะมีเทียบเคียงกันได้ก็ที่อ่าวไข่
    จังหวัดระยอง คือบ้านของคุณป้าเสงี่ยม บ้านคุณป้าเสงี่ยมมีความสุข
    ใกล้ทะเลชิดทะเลเช่นเดียวกัน แต่การไปพักที่นั่น ท่านเจ้าของบ้าน
    ก็บริการเต็มตัวสุดเหวี่ยง สำหรับเรื่องการให้ความสะดวก
    อาหารการบริโภค ก็มีคุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ และคุณวันดี เวสารัชชานนท์
    พร้อมด้วยคณะ ให้ความสะดวกสบายทุกอย่าง น้ำจืดไม่มี
    ก็ไปซื้อมาให้ อาหารทุกอย่างอุดมสมบูรณ์เช่นเดียวกัน

    ก็เป็นอันว่าบ้านทั้งสองบ้านนี้ เป็นปัจจัยแห่งความสุขมาก เพราะติดทะเล
    พ่อมองกระแสคลื่น ที่เคลื่อนเข้ามาจากทะเล ขึ้นแล้วก็ลง ลงแล้วก็ขึ้น
    ในตอนนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยตรัส ว่าเรื่องคลื่นนี่
    ผมก็ชอบ รู้จักคลื่นได้ดีก็เพราะอาศัยเล่นเรือใบ เห็นคลื่นที่มันขึ้น
    แล้วมันก็จมหายไปแล้วก็โผล่ขึ้นมาใหม่ คลื่นลูกก่อนหมดไป
    คลื่นลูกใหม่มาแทน ไม่ใช่ลูกเก่า ทำกริยะยังงี้เรื่อยๆ ไป เป็นอันว่า
    เห็นคลื่นในทะเลติดต่อกันเสมอ ในที่สุดก็มากระทบฝั่ง
    ครั้นเมื่อมองดูตัวของเรา ก็เห็นว่า ถ้าลมหายใจยังทรงอยู่
    ที่เรียกกันว่า ผัสสาหาร และอาหารยังทรงอยู่
    ที่เรียกกันว่า กวลิงการาหาร ร่างกายมันก็ทรงอยู่ได้
    คล้ายกับคลื่นในทะเล คลื่นในทะเลถ้าลมยังมีอยู่เพียงใด
    คลื่นก็ยังมีเพียงนั้น ถ้าลมหมดไปเมื่อไร คลื่นก็หาย
    เหมือนกับร่างกายของเรา ถ้าหมดลมเสียเมื่อไร ก็ชื่อว่าตาย
    พ่อก็มองต่อไป คิดว่าชีวิตของเรามันคงจะไม่ทรงอยู่นาน
    เพราะเวลานี้ร่างกายมันเก่า และก็ผุมาก
    ที่ไปไหนไปได้นี่อาศัยกำลังใจเป็นเครื่องค้ำจุน
    ถ้าขาดกำลังใจเป็นเครื่องค้ำจุนเสียแล้วก็รู้สึกว่า
    เราจะไม่มีสภาพทรงตัวอยู่ได้ หรือว่าร่างกายมันจะพัง
    จึงมายืนมองดูคลื่นอยู่ในห้องที่พัก เพราะเป็นห้องที่มีหน้าต่างเป็นกระจก
    มองได้ถนัด มองดูคลื่นที่พัดเข้ามาหาฝั่ง สลายตัวไป
    ก็มาคิดถึงร่างกายว่า เวลานี้มันแก่มาก สงสารลูกรักที่มีความดี
    เพราะบรรดาลูกทั้งหลายคงจะคิดว่า ที่พึ่งใหญ่ของเธอนี้ก็คือพ่อ

    แต่ลูกจงอย่าลืมว่า ที่พึ่งจริงๆ ที่ลูกจะพึ่งได้
    ก็คือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พ่อได้ศึกษามา
    แล้วก็ปฏิบัติมา มันก็พอมีผลตามที่กำลังของพ่อจะพึงทำได้
    เวลานี้ พ่อจะมีผลถึงไหน พ่อก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
    ถ้าใครดูลีลาของพ่อแล้วก็รู้สึกว่า
    ๑ อาจจะเป็นพระนักเลง
    ๒ เป็นพระการเมือง
    ๓ เป็นภิกขุพาณิชย์
    คือพระพ่อค้า เพราะว่า ปีนี้ซื้อข้าวสารถึง ๑๐๐ เกวียน ซื้อเครื่องโรงสี
    สีข้าวมาสีด้วย แต่ทั้งสองอย่างนี้ เป็นอุปกรณ์ช่วยเหลือคนยากจน
    ในถิ่นทุรกันดาร เพราะว่า ถ้าจะไปสีข้าว เราก็ขาดทุนมาก
    พบร้อยตำรวจตรีณรงค์ ซึ่งมีโรงสีเล็กเหมือนกัน บอกว่า ถ้าข้าวดี
    เครื่องสีประเภทนี้จะสีได้ถึง ๖๕ เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเราไปสี ถ้าโรงสีบอกว่า
    จะให้ ๔๐ เปอร์เซ็นต์ ทั้งปลายและรำเขาก็เอาไปด้วย แถมเอาเนื้อข้าว
    ...ของเราไปอีก อีก ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เพราะข้าวของเราดี รวมความว่า
    ข้าว ๑๐๐ เกวียนนี้ เราก็ต้องเสียเงินเปล่าไปสองแสนบาทเศษ ฉะนั้น
    จึงได้ตัดสินใจ ซื้อเครื่องสีข้าวเสียเองดีกว่า ซึ่งราคาประมาณ
    ราคา ๔๕,๐๐๐ บาท แล้วเราจะต่อเติมกันบ้าง ทำอะไรกันบ้าง
    ก็ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ ทำอาคารขึ้นมาหลังหนึ่ง ราคาก็ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท
    คิดเฉลี่ยแล้ว ทั้งเครื่องสีข้าวและก็อาคาร ยังไม่ถึงแสน แต่ทว่า
    ข้าว ๑ เกวียน ถ้าเราจะไปสีที่โรงสี เราต้องสูญเสียผลประโยชน์
    ที่เราจะพึงได้ถึงสองแสนบาทเศษ อันนี้ยอมไม่ได้ ใครจะนินทาว่าร้ายยังไงก็ช่าง

    ขอย้อนหลังกลับมาคุยกันใหม่ เมื่อถึงท่านเจ้าของบ้านก็ให้โอกาสจัดห้องเป็นพิเศษ
    คิดไม่ถึง ว่าจะมีความสุขความสบายแค่นี้ เราใช้เวลาพักกันเพียง ๒ คืน
    ท่านเจ้าของบ้านบอกว่าน้อยไป แต่ว่าปีหน้าจะมากันใหม่
    เมื่อท่านจัดอาหารรับรองเราดี วันรุ่งขึ้นก็ไปเที่ยวที่น้ำตกห้วยยาง
    กระแสน้ำตกห้วยยางนี้ ควรจะเรียกว่าน้ำไหล
    เพราะว่าประวัติศาสตร์เดิมสูญสลายไป รึว่าเรารู้ความลับ
    พ่อเคยย่องเข้าไปข้างในเห็นสมบัติมาก ตอนกลางคืนเทวดาบอกว่า
    ถ้ามีคนพบก็ต้องปิด หินเลยพังทลายมาทับอ่างน้ำจนหมด
    ภาพเดิมทีเดียวสวยสดงดงามดีมาก เป็นน่าทัศนารมย์ เป็นน่าชื่นใจ
    หนทางที่เดินทางเข้าไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ก็ทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ แต่ว่าทางสั้นนิดเดียว น่าเสียดาย
    ที่ทางจังหวัดผู้มีส่วน ควรจะทำเป็นทางลูกรังไปนานแล้ว
    พ่อพบสิ่งทั้งหลายเหล่านี้คือถ้ำนี้ ทางนี้พ่อพบมาตั้งแต่ปี
    พ.ศ.๒๕๐๗-๒๕๐๘ พบมาตั้งแต่ปีนั้น แต่ทำทางทำก่อน
    แต่ว่าดูเหมือนว่า ไม่มีใครจะซ่อมจะแซมเลย นี่ก็น่าคิด
    ถ้าทำให้ดี ที่นี้จะเรียกทัศนาจรมาเที่ยวได้มาก ทางระยะทางไม่เกิน ๗ กิโล
    น่าจะทำได้ แต่ก็แปลกใจที่ภารกิจของทางบ้านเมืองท่านมากจริงๆ
    เมื่อเห็นกระแสน้ำไหลตลอด น้ำไหลแรง เป็นทางออกมา
    เขาสามารถทำประปาไปใช้ที่ห้วยยางได้ แต่ทว่า ไม่มีใครคิด
    ว่าจะนำทางน้ำไปเป็นประโยชน์ เขาลือกันว่า
    จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขาดแคลนน้ำ แต่ว่า
    เราจะใช้ปัญญาโบราณสมัยคุณปู่ รึปู่ของคุณปู่
    ปู่ของคุณปู่ของหลวงพ่อเอามาใช้ น้ำนี้จะเป็นประโยชน์ใหญ่
    โดยขุดสระใหญ่ไว้แล้วก็เก็บน้ำไม่ให้ไหลลงทะเลไปเฉยๆ
    แล้วก็จะจ่ายไปใช้ที่ไหน ก็จ่ายไปได้ตามอัธยาศัย
    เรื่องนี้ก็ขอยกไว้ เพราะว่าปริญญาศาลาวัดไม่มีความหมาย

    เป็นอันว่าเมื่อไปนั่งชมน้ำตก ความจริงเราก็ชมประวัติกันมากกว่า
    ก็มีโอกาสคุยประวัติกันต่างๆ นาๆ ไปๆ มาๆ ท่านอินทรจักรก็ย่องมาข้างหลัง
    บอกว่า ทองที่เห็น ทรัพย์สินที่เห็นมันยังเป็นของน้อย เพราะว่า
    เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่จะทรงไว้ใช้สอย แต่ว่า ทองแท่งสำรอง
    ในการใช้จ่าย เข้าไปในหลืบถ้ำ เดินไปด้านทิศตะวันตก แล้วก็จะมีช่องไม่กว้างนัก
    แต่ก็กว้างพอที่จะ ๔ คนลอดได้ เข้าไปแล้วก็เลี้ยวขึ้นมาทางทิศตะวันออกหน่อยหนึ่ง
    เลี้ยวไปทางทิศใต้ จะเจอะถ้ำใหญ่อีกถ้ำหนึ่ง ในนั้นจะมีทองคำมหาศาล
    เป็นทองคำแท่ง ไม่ใช่ทองธรรมชาติ เป็นทองที่เจ้าหน้าที่เอาไปฝังไว้
    ไปเก็บไว้ เพราะว่าสมัยนั้น ถูกกองทัพนครศรีธรรมราชยกขึ้นไปยึดกุยบุรี
    กุยบุรีก็เป็นเมืองหลวงเมืองหนึ่ง มีเขาสามร้อยยอดเป็นที่ทัศนาจรน่าชม
    แต่เขานี้แหมก็น่าจะมีประวัติเหมือนกัน เดิมทีเขาเรียกว่าเขาสามร้อยรอด
    คำว่าประวัตินี่ควรจะถือว่าเป็นนิยาย แต่ว่าเป็นนิทานดีกว่า

    คุยไปคุยมา ท่านก็บอกว่า ที่ตรงนั่งตรงนี้ ก็มีวัดทองคำธรรมชาติอยู่มาก
    เป็นอันว่าเวลานั้นวันนั้น เรามีโอกาสดี มีโชคดี เพราะว่า
    เราสามารถนั่งอยู่บนทองคำซึ่งมีน้ำหนักนับเป็นสิบๆ ตัน
    แต่ทว่า การจะหาทองคำจากผีบอกแบบนั้น
    มันก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ใหญ่ จะต้องมีความรู้ดีเรื่องนี้จึงจะได้
    มิฉะนั้นจะเห็นทองคำเป็นเหมือนกรวดธรรมดาๆ ไปหมด เพราะอะไร
    เพราะว่าเป็นภาพลวงตา วันนั้นฝนตก หลังจากชม
    หลังจากชมน้ำตกห้วยยางแล้วก็เดินทางกลับ เดินทางกลับปรากฏว่า
    เปี๊ยกจะต้องกลับในวันนั้น ท่านเจ้าคุณมัสสุสิงหนาถ
    กับท่านขุนเรืองรัศมี รับหน้าที่เอารถไปส่งเปี๊ยกขึ้นรถทัวร์
    แต่ปรากฏว่ารถเอ้อรถขบวนรถออกไปแล้ว รถทัวร์ออกตอนดึก
    จึงต้องกลับมารวมกันใหม่ เวลานั้นวันนั้น
    ก็เดินทางเข้าจังหวัดประจวบเหมือนกันเพื่อซื้อพลาสติกเข้ามาห่อของ
    ที่จะนำไปแจกทหารตำรวจ และประชาชนภายในภาคใต้
    หลังจากการซื้อเสร็จก็เดินทางกลับ นับตั้งแต่วันต้นที่เข้าไปถึง
    ก็มีญาติโยมพุทธบริษัท ทั้งข้าราชการ พ่อค้า คหบดี มาตั้งแต่คลองวาฬ
    อำเภอจังหวัดประจวบ และก็อำเภอทับสะแก ท่านมากันด้วยศรัทธาแท้
    มีเจ้าของโรงเลื่อยโรงไม้ก็มาด้วย รู้สึกว่า น่าชื่นใจกับท่านทั้งหลาย
    ที่มีเจตนาเป็นกุศล ทุกคนมากันด้วยความระเบียบเรียบร้อยเป็นอันดี
    จะหาคนในแปลกถิ่นที่ไปใหม่ๆ เรียบร้อยอย่างนี้เป็นของหายาก
    แต่ก็พอคืนที่ ๒ ปรากฏว่าคนมากกว่านั้นมาก แน่นขนัด บ้านไม่พอพัก
    ทั้งคืนหลังนี่รู้สึกว่า บรรดาท่านพุทธบริษัทรู้ข่าวเข้า
    ท่านก็มา มาบริจาคเงินร่วมบำเพ็ญกุศล โดยเสด็จพระราชกุศล
    แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในศูนย์คนสงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร
    ที่พ่อเป็นผู้จัดการอยู่ คืนหลังนี้ได้เงิน ๑๐,๑๐๐ บาท คืนก่อนได้รับเงิน
    ๒,๒๐๐ บาทเศษ พ่อไม่ได้นำเอาตัวเลขมา จึงจำไม่ได้ว่าเศษเท่าไหร่

    ในตอนเช้า เราจะต้องเดินทางกันต่อไป ไปจังหวัดกระบี่ แต่ปรากฏว่า
    ในตอนเช้าพ่อออกไปข้างนอก ท่านพันตำรวจเอกเล็ก ฟอร์ตี้บอกว่าชื่นใจเหลือเกิน
    ลูกๆ ของหลวงพ่อนี่ดีทุกคน มีความขยันหมั่นเพียร มีความระเบียบเรียบร้อยทุกอย่าง
    ไม่มีบุคคลใดทำให้สะดุดตาสะดุดใจ ข้าวของเก็บกันแต่มืด กวาดถูเช็ดถูกัน
    ท่านยังบอกว่า พื้นนี่เขาก็ถูกันเสียจนลื่น จึงต้องบอกเขาบอกว่า
    อย่าถูให้มันลื่นนัก สองคนตายายแก่แล้ว ประเดี๋ยวจะล้มลงไป
    และท่านก็บอกว่า ถ้าดีเรียบร้อยแบบนี้ จะมากันสักเท่าไหร่ ที่บ้านนี้ก็ไม่ท้อ
    พร้อมรับเสมอ นี่แหละลูกรัก เราพูดกันมาเราพูดกันไป สาระสำคัญก็อยู่ที่ตรงนี้
    สำหรับเทปหน้านี้ เพราะว่า ภาษิตโบราณท่านกล่าวไว้ว่า อยู่บ้านเขาอย่านิ่งดูดาย
    จงปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น นี่หมายความว่า ถ้างานนั้นมันไม่มี
    เราก็เล่นกับเด็ก เมื่อเด็กไม่ไปกวนผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็มีโอกาสทำงานได้เต็มที่ฉันใด
    บรรดาคณะของลูกรักทุกคนก็เช่นเดียวกัน ไม่ยอมนิ่งดูดายด้วย
    ช่วยทำทุกอย่างด้วย ทำจนความเรียบร้อยเกิดขึ้น เป็นที่ชื่นใจของเจ้าของบ้าน
    นี่เป็นระดับความดีที่บรรดาลูกทั้งหลายจะต้องจดแล้วก็จำ แล้วก็เก็บไว้ในใจ
    รักษาไว้ด้วยดี อย่าให้ความดีนี้จืดจางไป ถ้าความดีอันนี้จืดจางไปเมื่อไรแล้ว
    ก็เป็นที่น่าเสียดาย ความสุขของเราจะไม่มี

    เป็นอันว่า เมืองปราณ ขอโทษ เมืองคลองวาฬ ในเขตประจวบคีรีขันธ์
    เราก็เจอะแหล่งบ้านสำคัญ พอที่จะเป็นพักอาศัยในการเดินทาง
    สงเคราะห์บุคคลผู้ยากจนต่อไป เพราะว่า ท่านเจ้าของบ้านปวารณาไว้
    คิดว่า ร้อยคนนอนอย่างพวกเรา นอนทั้งสองหลัง นอนร้อยคนได้แบบสบายๆ
    เมื่อถึงเวลาตอนเช้า ของวันที่..สิบห้าสิบหก ๑๗ เมษายน ๒๕๒๑
    ก็ลาท่านเจ้าของบ้านหลังจากบริโภคอาหารเสร็จ ท่านก็นำอาหารใส่ปิ่นโตลงไปด้วย
    เดินทางรอนแรมกันมา ตั้งแต่จังหวัดประจวบ ถึงสามแยกชุมพร
    ก่อนที่จะถึงสามแยกชุมพร เลยบางสะพานใหญ่เล็กน้อย เห็นจะเป็นตลาดนัด
    จะอะไรก็ไม่ทราบ ลืมชื่อเสียแล้ว เห็นปั๊มคิดว่า รถแลนด์เธอน้ำมันจะหมด
    ก็เลี้ยวเข้าไป เมื่อมาถึงกันก็บอกว่า ประจวบชุมพรสบายมากขอรับ
    ไม่ต้องเติมน้ำมัน เพราะด้วยเจ้านี่จะเล่นสองเท่าของ E20 รถนิสสัน E20
    แต่ว่ารถคันนี้จุคนได้จริงๆ ผ่อนเบาไปมาก จุได้ถึง ๑๑ คน อันนี้ก็ควรจะคิด
    ๑๑ คนหรือว่า...น่าจะเป็น ๑๑ คน ที่ว่าต้องคิดก็เพราะว่า เป็นรถที่ท่านพลโททวนทอง
    สุวรรณทัต เจ้ารบเจ้ากรมยุทธการทหารบก แล้วก็เป็นผู้อำนวยการศูนย์ร่วมของทหารบก
    ทหารเรือ ทหารอากาศ ถ้าไม่ได้รถคันนี้ เราก็ต้องเพิ่มรถเล็กอีก ๒ คัน
    นี่เป็นอันว่าได้รถคันนี้ ๑ คัน เท่ากับเอารถเล็กมาอีก ๒ คัน เพราะว่า
    รถเล็กของเรามันจุคนได้คันละ ๕ คน ๒ คันก็ ๑๐ คน รถคันนี้คันเดียวได้
    ๑๑ คน เป็นอันว่า เราโชคดี เพราะความเมตตาของท่าน จึงขอบรรดาลูกๆ
    รักทั้งหลาย จงอย่าลืมความดีของท่านผู้นี้เสีย ถ้าหากว่าท่านมีความประสงค์สิ่งใด
    ถ้าสิ่งนั้นไม่เกินวิสัยของเรา ขอให้ตอบสนองทันที

    เมื่อเติมน้ำมันเข้าห้องส้วมห้องน้ำกันดีแล้ว ก็เดินทางต่อไป ถึงสามแยกชุมพร
    ก็พอดีพบท่านหม่อมหลวงวรวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตปักษ์ใต้
    ท่านประจำอยู่ที่กระบี่ รอรับอยู่พอดี รถทุกคันเติมน้ำมันเสร็จ
    ก็เดินทางตามท่านต่อมา เพื่อไปบริโภคอาหารกลางวันกันที่ตลาดอำเภอหลังสวน
    ตอนนี้รถเดินทางมาด้วยดี แต่ทว่า เป็นสิ่งที่น่าคิด เข้าไปบริโภคร้านอาหาร
    ปรากฏว่าในร้านนั้นมีสามเจ้า ทำการอาหารเหมือนกัน แต่ว่าเป็นการบังเอิญอย่างยิ่ง
    ที่ท่านผู้ค้าขายโกรธและไม่ยอมพูดกัน ซื้อของจากคนโน้น
    แล้วจะมานั่งที่โต๊ะคนนี้นี่นั่งไม่ได้ ต้องไปนั่งโต๊ะคนโน้น ซื้อรายไหน
    แล้วก็ต้องกินตามช่องของรายนั้น เข้าผิดช่องไม่ได้ เป็นอันว่า
    อาหารวันนั้น บริโภคกันอร่อยตามสมควร เพราะว่า เราไปกระชั้นเวลา
    ไม่มีเวลาเลือก แต่ก็เห็นว่า จะเป็นร้านที่ดีที่สุด เพราะว่า
    ท่านหม่อมหลวงวรวัฒน์ท่านเป็นผู้นำเข้าไป

    เมื่อบริโภคอาหารเสร็จ ก็เดินทางออกจากตลาดหลังสวน
    มุ่งหน้าสู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในระหว่างทาง รถคันหน้าเกือบจะชนเด็ก
    ก็แม่จะมาลูกมา เดินข้ามถนน เห็นรถมาเร็ว แกก็วิ่งข้ามถนน ปล่อยทิ้งเด็กไว้
    ถ้ารถของหม่อมหลวงวรวัฒน์เบรกไม่ทัน หยุดไม่ทันในเวลานั้น
    เด็กคนนั้นก็จะต้องตาย นี่จุดนี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่เป็นจุดร้าย
    ที่ลูกควรจะตัดทิ้งไป เป็นพ่อคนแม่คน น่าจะมีความรอบคอบ
    รถไม่ได้วิ่งมาติดๆ กันอย่างในกรุงเทพ นานๆ จะมีสักคัน
    ทำไมจะต้องไปตัดหน้ารถ คนประเภทนี้ ถ้าเขาตาย เขาก็ไม่ตายคนเดียว
    เขาก็จะต้องเอาเจ้าของรถให้ตายไปด้วย เพราะช่วยใช้เงินทำศพและค่าเสียหาย
    อาจจะต้องเสียเงินค่าเลี้ยงดูลูกเขาอีกด้วย เพราะลูกเขายังเล็ก
    นี่แหละบรรดาลูกรัก พระพุทธเจ้ากล่าวว่า บุคคลผู้จะทำอะไรก็ตาม
    ให้ใคร่ครวญเสียก่อน ถ้าไม่ใคร่ครวญก่อน ผลร้ายมันจะเกิดขึ้น
    อย่างแม่ของลูกคนนั้น ตัวเอาตัวเองรอดได้ แต่ทว่า ปล่อยให้ลูกน้อย
    จะให้เขาทับตาย น่าเกลียดมั้ย

    สำหรับเทปหน้านี้ก็หมดเพียงเท่านี้ก็ขอยุติเพียงเท่านี้
    เวลานี้จับนาฬิกาขึ้นมาดู เห็นเวลา ๒ นาฬิกาพอดี
    เห็นว่าควรจะพักผ่อน ขอบรรดาลูกรักทั้งหลาย
    ที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จงพยายามรักษาความดีที่พระพุทธเจ้าให้ไว้
    พวกเราทั้งหมดจะไม่มีการถอยหลัง ยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด
    คำว่าจนก็ไม่มี แต่ว่าชาตินี้ หลายชาติที่คนเขาไม่ต้องการสมัครกลับ
    เวลาเลยไป ๑ นาทีแล้วขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล
    สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาลูกๆ ทุกคนสวัสดี
     
  8. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    08.ลำดับการเดินทางลงใต้จากชุมพรถึงกระบี่@21 เมษายน 2521.mp3
    ลูกรักทั้งหลาย สำหรับเทปหน้านี้ เวลานี้เป็นเวลา ๔ นาฬิกา
    ของวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๒๑ เมื่อเช้ามืดพ่อตื่นขึ้นมา
    หลังจากที่นอนก็เกือบจะตี ๔ เวลายามจะหลับประมาณ
    ตี ๓ เศษ เวลานี้ก็รู้สึกว่าเป็นเวลา ๑๕ นาฬิกา ๑๔ นาที
    หลังจากล้างหน้าเสร็จก็ถือโอกาสมาเล่าเรื่อง
    สำหรับการเดินทางคราวนี้ สู่บรรดาลูกทั้งหลายฟัง
    หลังจากที่ออกเดินทางมาจากกรุงเทพ
    เข้าไปในเขตของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
    เมื่อเข้าไปในบ้านของท่านพันเอกเล็ก พันเอกตำรวจ
    เอ้อพันตำรวจเอกเล็ก ฟอร์ตี้แล้ว ปรากฏว่าทั้ง ๒ คืน
    มีบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนมาคับคั่งมาก รู้สึกว่า
    เขาเหล่านี้มีศรัทธาเป็นอย่างดี คืนแรก แม้แต่เจ้าของบ้านจะปกปิด
    ก็ยังมีข่าวรั่วไหลไปหาประชาชนแถวนั้น พากันมาหลายท่าน
    สำหรับคืนที่สองซึ่งเป็นคืนสุดท้าย ก็เดินทาง
    ก็คนมีคนมามากหนักยิ่งขึ้นจนกระทั่งล้นจากบริเวณห้องรับแขก
    ความจริงบริเวณห้องรับแขกของท่าน
    ก็รู้สึกว่ากว้างขวางใหญ่โตมาก แต่ทั้งนี้จะเห็นเป็นว่า
    เพราะอาศัยความดีของเจ้าของบ้านเป็นสำคัญ
    เพราะเจ้าของบ้านเป็นคนมีน้ำใจโอบอ้อมอารี รักเพื่อนบ้าน
    แล้วก็เป็นผู้ทรงธรรม ที่กล่าวว่าเป็นผู้ทรงธรรม
    ที่เห็นได้ชัด เฉพาะท่านพันเอกเล็ก ฟอร์ตี้ จะเห็นว่า
    ท่านเป็นคนพูดน้อยและมีจิตเมตตาปรานีเป็นอย่างมาก
    สำหรับภรรยาของท่านเป็นคนพูดเก่งแต่ยิ้มแย้มแจ่มใส
    น้ำใจชื่นบาน พวกคณะของเราทั้งหมดไปวันนั้น
    มีแต่ความสดชื่นหรรษา ทุกคนก็บอกว่า รักท่านเจ้าของบ้านทั้งสอง
    และก็รักท่านพันเอกประสาน กับคุณนายสมพิศ
    ตลอดจนทุกคน เพราะว่าทุกท่าน แทนที่จะเห็นว่าพวกเราเป็นแขก
    ดูเหมือนว่า ทุกท่านจะเห็นว่า
    พวกเราเป็นลูกเป็นหลานของท่านมากกว่า

    ความดีอย่างนี้ บรรดาลูกรักทั้งหลายจำไว้เป็นตัวอย่าง
    คือว่าการเที่ยวไป จงอย่าเที่ยวดูแต่ภูมิประเทศ
    จงอย่าเที่ยวไปดูแต่เพียงว่า อะไรมันมีข้าว มันมีค่ามากที่ไหน
    มีของสวยที่ไหนควรจะซื้อ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเราดู
    ก็รู้สึกว่าจะดูแต่ผิวเผิน แต่ถ้าหากว่า เราจะดูถึงจริยาของคน
    ทำไมคนนั้นเขาจึงมีคนรักมาก ทำไมคนนี้เขาจึงมีคนเกลียดมาก
    แล้วทำยังไงบ้านนี้เขาจึงจน เพราะอะไร
    บ้านนี้เขาจึงรวย ดูแล้วก็เอามาคิด คิดแล้วก็ทบทวนต่อไปว่า
    คนจนก็ดี คนรวยก็ดี คนที่มียศใหญ่ก็ดี คนที่มียศน้อยก็ดี
    ใครเขามีความสุขมากกว่ากัน ความสุขนั้นจะมาจากไหน
    จะเห็นท่านพันตำรวจเอกเล็ก ฟอร์ตี้ เวลานี้ท่านมีสุขอยู่กับธรรม
    ท่านไม่เคยพูดถึงว่าความสุขที่มีนั้น มาจากยศฐาบรรดาศักดิ์
    หรือมาจากความร่ำรวย

    อารมณ์ที่น่าคิดจุดหนึ่งก็คือว่า ท่านพันเอก
    พันตำรวจเอกเล็ก ฟอร์ตี้คนนี้ พ่อเคยพูดถึงว่า
    ท่านเป็นคนไม่โกง ไม่ทุจริตมาในสมัยเป็นตำรวจ
    เคยพูดกับตำรวจคนอื่นๆ ในสมัยปัจจุบันและอดีต
    ว่าเขาเหล่านั้นไม่อิ่ม ไม่เบื่อในการแสวงหาลาภสักการะ
    จึงหันมาถามท่านว่า สำหรับท่านรอง
    ท่านเคยเป็นรองผู้บังคับการจังหวัดกรุงศรีอยุธยา
    เมืองนี้ถ้าข้าราชการอยากจะรวยก็รู้สึกว่ารวยไม่ยาก
    จึงบอกว่า นี่แสดงว่าท่านรองผู้บังคับการ
    ตอนนั้นโง่ไปนิดหนึ่งที่โกงกับเขาไม่เป็น
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะได้มา ต้องได้มาด้วยการไม่ผิดกฎหมาย
    และก็ขาวสะอาด จึงมีทุนน้อยกว่านายตำรวจปัจจุบัน
    ที่เขามีอาการอยากจะได้ทุกอย่าง ผิดกฎหมายก็ชอบ
    อยาก หรือว่าถูกกฎหมายก็ชอบ ท่านก็เลยบอกว่า
    เท่านี้ก็รวยพอแล้วครับ เพียงทรัพย์สินที่บิดามารดาให้
    กับเงินเดือนที่เก็บหอมรอมริบมา ซึ่งไม่ได้ใช้ไปในทางที่มิชอบ
    คือว่า ท่านเป็นคนไม่ชอบสุราและเมรัย ไม่ใช่ท่านติดสุราเมรัย
    หรือว่าสุราเมรัยมาติดท่าน เป็นปัจจัยให้ท่านผู้นี้เก็บหอมรอมริบทรัพย์สินได้ดี
    ท่านก็เลยบอกว่า เท่านี้ผมก็รวยแล้ว ความรวยจริงๆ มันอยู่ที่พอ
    เท่านี้แหละลูกรัก จงจำความสุขใจของท่านไว้ว่า ท่านมีความพอ
    ท่านจึงสุขใจ เพียงแค่เงินเดือนกับเงินที่ได้มาในทางสุจริต
    ออกจากราชการแล้วก็มีเงินใช้ มีบ้านอยู่ มีสถานที่อยู่อย่างเป็นสุข
    อารมณ์ใจก็เป็นสุข และนอกจากนั้น
    จิตใจของท่านก็สนใจในสมถภาวนาวิปัสสนาภาวนา
    ตัวอย่างประเภทนี้น่าคิด

    และก็มาถึงจุดนี้ จะต้องคิดกันอยู่สักนิดหนึ่ง
    คิดว่าเพราะอะไร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์จึงอดน้ำ ทั้งๆ ที่มีน้ำตก
    และก็เพราะอะไร ชาวคลองปาง(คลองวาฬ)มีน้ำอุดมสมบูรณ์
    ทางราชการยังต่อท่อน้ำมาให้ ที่เป็นอย่างนี้
    พ่อมีความเข้าใจว่าจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่มีน้ำตก
    แต่ว่าจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เขาบอกขาดแคลนน้ำ ทั้งนี้ก็เพราะว่า
    คนไม่เห็นความสำคัญของน้ำตก เป็นปัจจัยอย่างหนึ่ง รึว่าถ้าเฉพาะอย่างยิ่ง
    คลองปาง อุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำ แต่ว่าขาดไฟฟ้า คนทุกคนต้องการไฟฟ้า
    แต่ว่าทางราชการต่อประปาไปให้ เป็นที่ไม่ถูกใจของชาวตลาดคลองปาง
    แต่นี่ พ่อไม่โทษข้าราชการฝ่ายปฏิบัติการ เห็นจะเป็นเพราะความเห็นว่า
    ความมีสำคัญต่างกันระหว่างไฟกับน้ำ ทางราชการอาจจะเห็นว่า
    น้ำมีความสำคัญมาก แล้วคลองปาง ขอโทษ คลองวาฬ
    คลองวาฬนี่อยู่ใกล้ทะเล เกรงว่าน้ำที่หามาได้จะไม่พอ
    ทางราชการจึงได้จัดหาน้ำไปให้ การที่มีกำลังใจไม่เสมอกัน
    ระหว่างการฝ่ายปกครองและคนที่อยู่ในพื้นที่ ก็เป็นเรื่องน่าหนักใจนิดหนึ่ง
    อย่างนี้ลูกทั้งหลายที่เป็นข้าราชการ หรือไม่ได้เป็นข้าราชการ
    หากว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ต่อไปในภายหน้า ก็น่าจะเอาเรื่องนี้ไปคิด
    ว่าอะไรเป็นของก่อน อะไรควรหลัง งานที่จะพึงปฏิบัติ มีความสำคัญอยู่ว่า
    อะไรจะเป็นของก่อน อะไรหลังเท่านั้น

    เมื่อวันที่ ๒๐ เอ้อ วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๒๑ ตอนเช้าเวลาสิบ
    เวลา ๗ นาฬิกา ๓๐ นาที ลาท่านเจ้าของบ้าน
    เดินทางต่อมาจังหวัดชุมพร และก็ตั้งใจมาจังหวัดกระบี่
    ระหว่างการเดินทาง ก็รู้สึกว่าเป็นไปด้วยดี
    ไม่มีอะไรขัดข้อง เดินทางเรื่อยๆ มา เห็นป้ายจังหวัด
    ถึงอำเภอปะทิว และอำเภอท่าแซะ มองไปทางด้านทางซ้ายมือ
    ไม่ไกลนัก เป็นเขตของพม่า ก็รู้สึกในใจว่า ดินแดนแห่งนี้
    ก็เป็นดินแดนประวัติศาสตร์ เมื่อเข้าเขตจังหวัดชุมพร
    ถึงสามแยกที่มีปั๊มน้ำมัน ปรากฏว่าท่านหม่อมหลวงวรวัฒน์
    นวรัตน์ ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตสายใต้
    ท่านไปรอรับอยู่แล้ว หยิบนาฬิกาขึ้นมาดู
    เห็นว่าเวลา ๑๐ นาฬิกาเศษนิดหน่อย
    ท่านจึงได้นำมากินข้าวกลางวันกันที่อำเภอหลังสวน
    สำหรับอำเภอหลังสวนนี่รู้สึกว่า เป็นอำเภอที่พ่อเห็นว่าเป็นของใหม่
    เพราะว่าอำเภอนี้ผ่านทุกคราวไม่เคยแวะ เข้าไปในอำเภอหลังสวน
    ก็เป็นเรื่องแปลกที่เจ้าของร้านขายอาหารอยู่ในห้องเดียวกัน
    แต่เป็น ๓ เจ้า กลับกลายเป็นคนที่ไม่ถูกกัน
    จะต้องกินข้าวอย่างมีระเบียบ ซื้อของใครกิน
    นั่งเก้าอี้ของคนนั้น ถ้าไปซื้อของคนอื่นมา
    มานั่งเก้าอี้ของอีกฝ่ายหนึ่ง เจ้าของเขาจะไล่
    ให้ไปนั่งเก้าอี้ที่เขาจัดไว้โดยเฉพาะแต่ละเจ้า
    ถ้าจะว่าถึงความมีระเบียบ ก็รู้สึกว่ามีระเบียบดี
    แต่จะว่ากันถึงใจปรานีกันก็รู้สึกว่าจะขาดไปหน่อย
    เป็นอันว่าทั้ง ๓ ฝ่าย ๓ รายด้วยกัน ที่เป็นผู้ขายอาหารในห้องนั้น
    ก็เข้าใจว่าจะไม่รัก ไม่สามัคคี ไม่ถูกไม่ต้องกัน
    เห็นจะเป็นเพราะเรื่องผลประโยชน์เป็นสำคัญ
    ขณะที่มานั่งอยู่ที่อำเภอ เขตอำเภอหลังสวน
    อารมณ์ใจก็มีความรู้สึกไปนิดหนึ่ง ว่านับตั้งแต่
    ออกจากอำเภอหลังสวนเป็นต้นไป เราอาจจะเป็นบุคคลที่มีคนรักเป็นพิเศษ
    จะมีคนคอยสังเกตการณ์การเคลื่อนไหวของเรา ว่าเราไปไหนกันบ้าง
    และคนที่แสดงความรักประเภทนั้น มันก็เป็นที่น่าหนักใจของพวกเราเหมือนกัน
    ว่าความรักประเภทนี้ มันเป็นความรักประเภทที่
    ฝากความอาลัยไว้มากกว่าฝากความคิดถึง มองสายตาบุคคลบางคน
    ไม่ได้เดา คิดว่าเขาเป็นศัตรู แต่รู้สึกว่า
    เขาจะมีความแปลกใจในยี่ห้อรถของเรามากกว่า
    ร้านอาหารร้านนี้แปลก ปรากฏว่าไม่มีห้องถ่ายปัสสาวะ เข้าใจว่า
    จะเป็นห้องเช่าชั่วคราว ใช้ขายของในเวลาเช้าถึงเวลาตอนเย็น
    หรือตอนค่ำเล็กน้อยเท่านั้น

    เมื่อเวลา ๑๒ นาฬิกาตรง ก็ออกเดินทางจากหลังสวน
    มุ่งหน้ามาจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในช่วงระหว่างทางก็รู้สึกว่า
    ดีปลอดทั้งหมด แต่ว่าก่อนที่จะถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานี
    ปรากฏว่าเจ้ารถต่องแต่งเกิดยางไม่ดี ต้องทำการเปลี่ยนยาง
    คิดถึงถึงจังหวะจุดนี้ก็มาคิดในใจ ว่าเป็นเพราะอะไร
    รถคันนี้วิ่งจากทางเหนือถึงทางใต้ตะวันตกตะวันออกมาแล้ว
    ใช้ระยะเส้นทางกันมาก ปีนี้เราเดินทางกันตั้งแต่
    เดือนธันวาคม ๒๕๒๐ และก็มีหมายกำหนดการติดๆ
    จะต้องไปหยุดเอาแค่เดือนกรกฎาคม ๒๕๒๑
    เป็นงานเกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ สงเคราะห์บุคคล
    ผู้ยากจนเข็ญใจในถิ่นทุรกันดารที่หาที่พึ่งได้ยาก
    แต่ว่าความเมตตาปรานีของคณะเรา
    กลับเป็นที่เพ่งเล็งของบุคคลบางพวกบางคณะ
    ซึ่งหาว่าขัดผลประโยชน์บ้าง ทำดีเกินหน้าบ้าง
    ก้าวหน้าเกินไปบ้าง และเรื่องทั้งหลายทั้งหมดที่พูดมานี้
    ขอลูกทั้งหลายจงอย่าคิดว่าเป็นของแปลก จงทำความรู้สึกว่า
    นั่นเป็นของธรรมดาของพวกเราทุกคน
    และก็เป็นของธรรมดาของชาวโลก โลกจะหาความสุขด้วยการสรรเสริญไม่ได้
    โลกจะมีความพอใจแต่เฉพาะการนินทาฝ่ายเดียวไม่ได้
    นินทาและสรรเสริญเป็นของธรรมดา เมื่อเวลา ๔ นาฬิกาเศษนิดหน่อย
    ท่านหม่อมหลวงวรวัฒน์ก็นำเข้าไปที่โรงไฟฟ้าฝ่ายผลิต
    ของจังหวัดกระบี่ ทำการเปลี่ยนยางกันที่นั่น
    เจ้าหน้าที่ของโรงงานไฟฟ้ามาหากันคับคั่ง ทั้งนี้ก็เพราะว่า
    ท่านผู้อำนวยการของท่านไป ได้อาศัยท่านนั่งอยู่ที่ห้องประชุมกันทั้งหมด
    ปรากฏว่าในห้องประชุมหรือในโรงไฟฟ้าส่วนนี้ ช่างมีความสุขเหลือเกิน
    มีเครื่องปรับอากาศกำลัง ๔๕ ตัน ๒ เครื่อง ผลัดเปลี่ยนเวียนกันใช้
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุปกรณ์ต่างๆ ในการใช้ไฟฟ้า
    ต้องอาศัยความเย็นเป็นของสำคัญ เป็นไฟฟ้ากังหันไอน้ำอยู่
    ซึ่งเป็นเครื่องใหญ่ สำหรับเครื่องเล็กๆ
    เห็นว่าจะเป็นไฟฟ้าสำหรับใช้น้ำมันหรือแกส ซึ่งอาตมาก็ไม่ทราบ
    กำลังตั้งใหม่อีก ๓ เครื่อง เมื่อเจ้าหน้าที่ทำการเปลี่ยนยางเสร็จ
    ได้สั่งสนทนากับเจ้าหน้าที่ของโรงไฟฟ้าตามสมควร

    เวลา ๑๔ นาฬิกา ๔๔ นาที ก็เดินทางออกจากโรงไฟฟ้า ยางที่ใส่ไม่เรียบร้อย
    ก็เข้าไปปรับยางในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์นี่
    เป็นจังหวัดที่ประกอบไปด้วยความเศร้าโศก และความสลดใจ
    เมื่อสมัยที่ท่านหญิงวิภาวดีรังสิต ต้องถูกปืนของข้าศึกจากบ้านหลังคลอง
    อำเภอเวียงสระ เลี้ยวเข้าไปในที่จังหวัดสุราษฎร์ คราวนั้นเข้าไปแล้วก็แปลกใจ
    เพราะที่สนามบินลงปรากฏว่า หาอาหารบริโภคไม่ได้ และเราก็ไม่อยากเดินไปไหน
    แต่ความจริงร้านอาหารอยู่ไม่ไกลกันนัก เราไม่รู้จัก เป็นที่แปลกใจมาก
    ว่าคนที่นั่น ทำไมไม่มีคนสนใจ และเห็นใจหรือใส่ใจกับพวกเรา
    ผู้ไปจากแดนไกลบ้าง ทุกคนเขามานั่งคุยกัน เขาก็เป็นกันเองทุกอย่าง
    สำหรับพวกเขา แต่พวกเราต้องนั่งเฉยๆ ประเภทที่คนไม่รู้จักกับใคร
    อันนี้เป็นเรื่องน่าคิด แต่ทว่า เห็นจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาของชาวสุราษฎร์ธานี
    บางพวกและบางคณะ และหลายพวกหลายคณะเขาอาจจะมีจริยายิ่งไปกว่านี้
    แต่ว่าสนามบินหรือฐานบินที่นั้น อาจจะเป็นเจ้าหน้าที่นักบินก็ดี
    ของกองบินก็ดี ของฐานบินก็ดี คนทั้งหลายก็ดี
    เราไปนั่งอยู่ตรงนั้น รู้สึกว่าเป็นคนเป็นตัวประหลาดของคนทุกคนเสียจริงๆ
    นั่งอยู่ตั้งแต่เวลา ๑๐ นาฬิกา กว่าจะกลับมาได้ก็เป็นเวลาเกือบ ๑๔ นาฬิกา
    ไม่มีใครอยากจะทักทายปราศรัย ความจริงที่พูดนี้
    เวลานั้นนั่งอยู่นอกฐานบิน ไม่ใช่ในฐานบิน
    แต่เป็นศาลาที่คนไปคนมากันอยู่เสมอ ทั้งเจ้าหน้าที่ในฐานบินก็ดี
    คนภายนอกก็ดีไปนั่งอยู่ แต่เราก็ต้องเป็นคนนั่งเศร้า
    นอกจากพันตำรวจเอกสุดินทร์ ผู้กำกับ หรือร้อยตำรวจโทยุทธนา
    ผู้บังคับหมวด ที่ถูกบาดเจ็บพอสมควร ที่ไปส่งกับท่านหญิง
    พอมาถึง เราก็มีเพื่อนคุย นอกจากนั้นไม่มีเพื่อนคุยจริงๆ
    อาการอย่างนี้ลูกรัก รู้สึกว่าจะจืดไปสำหรับคนภาคกลางและภาคเหนือ
    แต่ภาคใต้เขาอาจจะเห็นว่า เป็นของธรรมดา เมื่อคนไม่รู้จักกัน
    ก็ไม่ควรจะคุยกัน การนั่งเครื่องบินไป เดี๋ยวก็นั่งเครื่องบินกลับ
    นั่งเครื่องบินไปคราวนั้น ท่านที่นั่งอยู่บนเครื่องบินก่อน
    เป็นยศพลตรีทหารบก นั่งเครื่องบินกลับเวลานั้น
    สำหรับคราวนั้น ถ้าจำไม่ผิด อาจจะเป็นยศพลตรีสำหรับนายตำรวจ
    รู้สึกว่าทั้งสองท่านนี่ จะอยู่ในเกณฑ์ของการเศร้าใจหรือว่าตกใจ
    ที่ท่านหญิงวิภาวดีรังสิตต้องสิ้นชีวิต เราก็เหงาอีกเหมือนกัน เป็นอันว่า
    ขอเดินทางต่อไป

    งานกว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาเกือบ ๑๘ นาฬิกา การเดินทางออก
    จึงได้สั่งคุณนนทากับคุณสมจิต ให้หาอาหารเตรียมตัวไว้
    เพราะเกรงว่ากว่าจะถึงกระบี่ก็จะค่ำมาก เห็นจะไม่ใช่ ๑๘
    เป็นเวลา ๑๗ นาฬิกาเศษใกล้ ๑๘ นาฬิกา
    เวลาเดินทางออกมาจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี หรืออยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
    คราวนี้เรามีแขกพิเศษ มีรถคอยสะกดรอยตามบ้าง บางทีก็วิ่งหลีกไปบ้าง
    เวลาเราจะหลีกเขา เขาก็เดินทางช้าๆ บ้าง เป็นที่น่าสังเกต
    พอออกจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีมานิดเดียว รถของหม่อมหลวงวรวัฒน์ท่านยางไม่ดี
    เปลี่ยนมาใหม่ๆ ก็ปรากฏว่าน็อตคลาย ต้องจอด แต่ว่ารถสีส้มดัทสันคันนั้น
    ซึ่งมีมะพร้าว ๒-๓ ลูก มีคนนั่งมา ๓ คน ก็หลีกไปด้วยความเร็ว
    เราใช้เวลากันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จึงทำยางเสร็จและก็วิ่งเรื่อยๆ ปรากฏว่า
    ไปเจอะรถสีส้มคันนั้นชะลอความเร็ว คอยเราอยู่ข้างหน้า พอเราหลีกไปแล้ว
    เธอก็ขับเร็วขึ้น เป็นที่น่าสังเกต จึงได้เตือนเจ้าหน้าที่ในรถ ว่าการเดินทาง
    นับตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นต้นไปถึงยะลา ไปและกลับ นี่ถือว่า
    เป็นเขตที่มีคนรักเราเป็นพิเศษ รถวิ่งมาใกล้จะถึงคลองเล็กอีกเล็กน้อย
    ปรากฏว่าเจ้าต่องแต่งอาละวาด ยางที่ใส่มายางในแตก ต้องจอดเปลี่ยนยางใหม่
    ปรากฏว่าที่จุดนั้นเป็นที่สำคัญ ที่ท่านผู้ก่อการดีทั้งหลายเคยอาละวาด
    ทีนี้ท่านทั้งหลายเหล่านี้ท่านอยู่ที่ไหนเราก็ไม่ทราบ จึงได้ให้การเร่งรัดกับเจ้าหน้าที่ว่า
    เกรงว่าจะค่ำตามทาง เมื่อเจ้าหน้าที่ทำการเปลี่ยนยางเสร็จ
    ก็เดินทางต่อไปถึงจังหวัดกระบี่

    เข้าเขตจังหวัดกระบี่ ก็ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของหม่อมหลวงวรวัฒน์ นวรัตน์
    จัดสถานที่ด้วย จัดอาหารไว้ให้อย่างดี การเข้ามาถึงจังหวัดกระบี่คราวนี้
    สร้างความชื่นใจให้กับพวกเรามาก เพราะอะไร
    จังหวัดกระบี่เป็นจังหวัดประวัติศาสตร์อันหนึ่ง
    ที่ในคราวต่อไปพ่อจะคุยให้ลูกฟัง ทั้งนี้ก็เพราะว่า จังหวัดกระบี่ในสมัยหนึ่ง
    ก็ใช้ทำการรบหนัก บริเวณที่สร้างโรงไฟฟ้านี่ ปรากฏว่า
    เป็นบริเวณที่เกิดทำการรบกันอย่างหนัก คนไทยและคนเจ้าของถิ่น
    คนไทยที่เป็นเจ้าของถิ่นก็มี คนไทยที่จรมาก็ดีจากสุโขทัยมายึดพื้นที่
    อาจจะต้องเสียชีวิตบ้าง แต่ว่า ฝ่ายเจ้าของถิ่นเสียชีวิตมากกว่า ฉะนั้น
    การรบคราวนั้น เรายังมีการชนะ เป็นความชนะอย่างยิ่งใหญ่ของพ่อขุนรามคำแหง
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพ่อขุนรามคำแหง สมัยที่ครองราชย์ในจังหวัดสุโขทัย
    กำลังของเราที่แผ่ขยายลงมาทางทิศใต้ ตกไปถึงสิงคโปร์
    และสำหรับมะริด ทวายนี่ก็เป็นของเรา ลูกรัก จะเห็นว่า
    คนโบราณฉลาด หรือว่าคนโบราณโง่
    แต่ทว่า ดินแดนแห่งนี้ทางสายใต้ เวลาที่เราเดินทางมานี่
    เป็นดินแดนของสงคราม สงครามระหว่างพวกรักษาประเทศ
    กับสงครามที่บุคคลผู้ต้องการให้ประเทศเป็นทาส ทำสงครามกัน
    แต่ว่าเรื่องการสงครามนี่นั้น รู้สึกว่า ทางสายใต้จะเปลี่ยนลีลาการรบ
    เป็นการใช้แบบการุณยเทพ คือใช้การเมือง มีความเห็นอกเห็นใจ
    คนที่ต้องอยู่ในเขตบังคับ มากกว่าที่จะใช้การประหัตประหารคนไทยด้วยกัน
    นโยบายอย่างนี้ของท่านทางราชการ พ่อรู้สึกว่าเป็นที่ประทับใจ
    ถ้าเราใช้อาวุธขับไล่กัน คนดีก็จะกลายเป็นคนร้ายไปด้วย ทั้งนี้ก็เพราะว่า
    คนดีที่อยู่ในเขตคนร้าย แล้วอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจะคุ้มครองได้
    เขาก็จะต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของคนร้าย
    คนร้ายก็จะบังคับให้จับอาวุธต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ อย่างนี้
    ก็เราก็จะถือว่า เป็นการประหัตประหารคนดีไปด้วยในตัว

    เอาล่ะ สำหรับเรื่องราวของจังหวัดกระบี่ มองดูหน้าเทปไม่พอจะใช้
    พ่อจะเล่าให้ลูกทั้งหลายฟังในเมื่อโอกาสมาถึง
    สำหรับวันนี้ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
    ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ลูกที่รักทุกคน สวัสดี
     
  9. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    09.ลำดับการเดินทางลงใต้จากกระบี่ถึงพังงา.mp3
    และก็วันนี้ พ่อและลูกบางส่วนที่เดินทางร่วมกันมาก็ยังพักอยู่ที่สถานีตำรวจ
    บ้านรับรองของกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ อำเภอทุ่งสง
    จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพันตำรวจเอกสุดินทร์ ซึ่งเป็นผู้กำกับและภรรยา
    ให้การรับรองเป็นอย่างดี และก็สำหรับวันนี้ พ่อมีเวลาพักมาก
    เพราะฉันอาหารเช้าแล้ว พ่อหลับ ไปตื่นเอา ๔ โมงครึ่ง
    หลังจากนั้นก็ฉันเพล ฉันเพลไม่ค่อยจะได้นักเพราะนอนอิ่ม
    ตอนกลางวันก็มีเวลาพักผ่อนมาก ไม่ได้มีโอกาสไปคุยกับลูกๆ
    ที่พักแยกกัน แต่ตอนเย็นลงไปรับแขกตั้งแต่ตอนเย็น
    กลับขึ้นมาแล้วเป็นเวลา ๔ ทุ่มเศษ กว่าจะลงมือบันทึกเสียงได้
    ก็รู้สึกว่าใช้เวลาต่อไปถึงชั่วโมงเศษ

    วันนี้ขอคุยกันเป็นพิเศษสักนิด นับตั้งแต่ออกจากวัดมา
    ลูกรักคงไม่ทราบว่า การเดินทางของพวกเรานั่น
    เราเดินทางในปากเสือปากตะเข้ ถ้ามันสามารถจะงับได้
    มันก็งับเราตายไปแล้ว แต่อาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว
    และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย พรหมและเทวดาทั้งหมด
    ยังให้การอารักขาลูกรักและพ่อ เพราะว่าพวกเราทั้งหมด
    มีจิตน้อมไปในมหากุศล คนทุกคนบำเพ็ญตนเป็นปรมัตถบารมี
    การเดินทางของเราคราวนี้ พ่อจะบอกจุดหมายปลายทาง
    หรือว่าระยะอันตรายมากและน้อยให้ทราบ นับตั้งแต่ออกจากวัดของเรา
    มันก็ไม่ใช่ว่าจะพ้นอันตราย เราอยู่ในสายตาของคนพวกหนึ่ง ซึ่งเขาคิดว่า
    เราเป็นศัตรูกับเขา ทั้งๆ ที่เราเป็นผู้ให้ แต่น้ำใจเขาคิดว่าเราเป็นศัตรู
    เขามองดูการเดินทางของเราด้วยความสงสัย ว่าพวกนี้จะไปไหนกัน
    ทั้งนี้ก็เพราะว่า สายของเขานั้นทราบไม่ชัดถึงวิถีการเดินทางของเรา
    แต่พอย่างเข้าเขตจังหวัดสุพรรณบุรี ตอนนี้ก็รู้สึกว่า พ่อก็พบแขกพิเศษ
    คือบรรดาเทวดาและพรหมผู้มีความเมตตาปรานี ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์
    มีหลวงพ่อปานเป็นต้น และองค์สมเด็จพระทศพล เห็นชัด เป็นอันว่า
    องค์สมเด็จผู้ทรงสวัสดิ์ทรงสงเคราะห์เมตตาเรา และทุกท่านให้ความเมตตา
    เราก็ปลอดภัย จากจังหวัดอุทัยธานีถึงจังหวัดสุพรรณบุรี ไม่มีอะไรมาก

    และก็จากจังหวัดสุพรรณบุรี ถึงปลายเขตจังหวัดสุพรรณด้านใต้
    ก็ไม่มีอะไรมาก ชักจะเริ่มมีกระแสขึ้นมาบ้าง ก็นับเข้าแต่เขตกำแพงแสนเป็นต้นมา
    รู้สึกว่าในระยะนั้น เราเดินมาอยู่ในสายตาที่มีความคมจัด แต่ทว่า
    เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็ยังไม่พร้อม เพราะว่า ข่าวที่ได้รับ ได้รับมาเขามันกระชั้นเกินไป
    เวลาที่เรามานั่งกินข้าวกันที่จังหวัดนครปฐม ในช่วงนี้ก็รู้สึกว่า
    มีสายตาที่ดีเป็นกรณีพิเศษ คือสายตาที่เต็มไปด้วยความเมตตาปรานีก็มี
    แล้วสายตาที่คิดว่า บุคคลพวกนี้คือพวกเรา เป็นภัยสำหรับเขาก็มี
    เราจะมองเห็นคนสองคนที่นั่งกันอยู่ในร้านอาหาร
    เขาคุยกันถึงเรื่องการทำมาหากินในการบริโภค
    แต่คนสองคนนั้นคนหนึ่ง พ่อมีความรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนจังหวัดนครปฐม
    เพราะน้ำเสียงที่แสดงออก ไม่ใช่เป็นน้ำเสียงของจังหวัดนครปฐม
    แล้วก็ไม่ใช่คนจังหวัดสุพรรณบุรี ไม่ใช่คนจังหวัดราชบุรี
    เสียงที่เขาพูดออกมานี้เป็นเสียงที่เป็นเสียงดัดแปลง
    นัยน์ตาของเขาคล้ายกับว่าเขาไม่สนใจเรา แต่ว่า
    ถ้าพ่อทำแกล้งทำเผลอ เขาก็ชำเลืองดู แล้วก็ดูอยู่บ่อยๆ
    แต่พ่อมองหน้าเขา เขาก็ทำเฉย พูดอย่างไม่สนใจ อาการอย่างนี้เป็นอาการปกติ
    ที่พ่อสัมผัสมา มันไม่ใช่ของแปลก หลังจากนั้น
    ที่เราเดินทางออกจากจังหวัดนครปฐมเรื่อยมาถึงจังหวัดราชบุรี

    ตอนนี้ พอเริ่มเข้าเขาย้อย ลูกรัก เป็นระยะทางที่เราเดินอยู่ในปากส่วนลึกของเสือ
    สองฟากทางของเรา เต็มไปด้วยพวกที่เป็นศัตรูกับรัฐบาล
    และเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นศักดินาใหญ่
    เป็นที่รวมกำลังใจคน เขาไม่ชอบ แต่ทว่า อย่าสนใจคนทุกคนนะ
    ว่าคนทุกคนไม่ได้เป็นอย่างนั้นทั้งหมด แต่ทว่า ส่วนใหญ่ของคนบางพวก
    เขาติดตามเรา เขามองเราตลอดเวลา พาหนะที่เขาใช้
    มีทั้งรถยนต์และมีทั้งรถมอเตอร์ไซค์ มีการรับช่วงกันเป็นทอดๆ
    หลังจากที่เราออกจากจังหวัดเพชรบุรี สำหรับจังหวัดเพชรบุรีนี้
    ก็เป็นจังหวัดที่มีความสำคัญเหมือนกันตลอดสาย

    พอเข้าเขตปราณบุรี กุยบุรี ตอนนี้สิ ตอนนี้เป็นระยะที่มีทางแคบ
    เขตของประเทศไทยแคบลงมาทุกทีๆ จนกระทั่งถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
    ตอนนี้ คณะของบุคคลพวกนั้นแน่นขนัด เขาก็จับสายตาเรา
    มองเราด้วยตลอดเวลา แต่ทว่า ผมคิดว่า พ่อคิดว่า
    ด้วยอำนาจบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์ และพระอริยเจ้าทั้งหมด
    พรหมและเทวดาทั้งหมด ท่านกำบังจิตหรือกำบังใจทำให้ตาพวกนั้นลาย
    มองยี่ห้อของเราไม่ชัด ตอนที่รถของพ่อต้องมาท่อน้ำแตก
    ยางน้ำยางท่อน้ำแตกตอนนั้น ลูกคงจะจำได้ว่า
    เป็นเขตกุยบุรี กุยบุรีนี่ ตำรวจเคยเสียชีวิตเป็นคันๆ รถ
    และก็เป็นจุดที่มีกำลังสำคัญ เคยปะทะกับเจ้าหน้าที่ แถวนี้ทั้งหมด
    จนกระทั่งถึงปักษ์ใต้ พ่อเคยมาแจกผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม
    เป็นการป้องกันกำลังตำรวจทหารด้วยอำนาจพระพุทธบารมี
    แต่ความจริง ถ้าหากว่าบุคคลใดเขามีความเคารพจริง
    เขาก็สามารถจะคุ้มครองชีวิตเขาได้ แต่เขารับไปเพียงแต่สักแต่ว่ารับนั่นก็
    มันเกินวิสัยที่พระที่ท่านจะช่วย อาศัยที่พ่อเดินทางมากับท่านหญิงวิภาวดีบ่อยๆ
    ทุกคนเขาได้ยินชื่อพ่อดี แต่ทว่า ตัวท่านนั่นนะลูกรัก เขารู้จักกันน้อย
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในจังหวัด นับตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงมา
    คนรู้จักพ่อน้อยเต็มที จนกว่าจะถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
    คนรู้จักมากหน่อย เพราะเคยมาขุดบ่อน้ำสงเคราะห์ให้เขามีความสุขกัน
    เราเป็นผู้ให้ เราไม่ได้เป็นผู้รับ เออนี่ว่าถึงด้านวัตถุ
    แต่ผลแห่งการให้มันก็เป็นผลกำไรของผู้ให้ ที่จะต้องรับคือความรัก
    บุคคลใดที่รับการเกื้อกูล เขาก็มีความรักในเรา นี่ทำให้เราเบาใจ

    เมื่อเดินทางจากประจวบคีรีขันธ์มา จะเข้าเขตจังหวัดชุมพร เขตจังหวัดชุมพร
    ถ้าเรามองกันอย่างประเภทสายตาคนธรรมดา จะเห็นว่าเป็นบ้านเมืองที่มีความสงบ
    แต่นั่นเป็นจุดเพาะกำลังของฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาล พ่อไม่ถือว่า
    เขาเป็นผู้ตรงกันข้ามกับพ่อ เพราะว่าคณะของเราไม่ซ้ายไม่ขวา
    ไม่เขียวไม่แดงไม่ขาว แต่เป็นคณะเหลือง เหลืองเป็นธงชัยของพระอรหันต์
    เป็นคณะที่ประกอบไปด้วยความเมตตาปรานี เราไม่เห็นใครเป็นศัตรูสำหรับเรา
    สำหรับเขาจะเห็นว่าเราเป็นศัตรูสำหรับเขาก็เป็นเรื่องของเขา
    แต่เราเป็นผู้รักเขา เมตตาเป็นปัจจัยให้เกิดความสุข
    หลังจากออกจากจังหวัดชุมพรเรื่อยมา จนกระทั่งเข้าถึงเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี
    ตอนนี้ไม่ต้องห่วงล่ะ เป็นอันว่าเราเดินอยู่บนฟันของเสือ และกว่าจะถึงทุ่งสง
    ออกจากทุ่งสงไปถึงจังหวัดยะลา ก็มีสภาพเช่นเดียวกัน
    ในช่วงแห่งจังหวัดนครศรีธรรมราช ทุ่งสง นครศรีธรรมราช ก็มีจุดสำคัญอยู่จุดหนึ่ง
    ระหว่างกลางทางที่เราจะไปจังหวัดนครศรีธรรมราชนั่น เป็นจุดหมายที่มีความสำคัญ
    มีการปล้นจี้และก็จี้รถกันอยู่เสมอๆ แต่คิดว่า
    บารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าคงจะสงเคราะห์เราให้ปลอดภัย

    ขอย้อนกลับไปจังหวัดกระบี่ เมื่อถึงจังหวัดกระบี่ โดยท่านหม่อมหลวงวรวัฒน์เป็นผู้นำ
    เราได้รับความเมตตาปรานีจากท่านอย่างเกินคาด ความจริงความเมตตาอย่างนี้
    เคยมีมาแล้วเมื่อ ๒๕๑๘ คราวนั้น คณะของพ่อมาในเครื่องบิน ลงที่ภูเก็ต
    และท่านหม่อมหลวงวรวัฒน์ไปรับที่ภูเก็ต ให้ชมจุดต่างๆ ขององค์การไฟฟ้าฝ่ายผลิต
    เลี้ยงสงเคราะห์ให้พักอย่างมีความสุข เราเที่ยวภูเก็ตกันตลอดจังหวัด
    มาเที่ยวมาพังงา มาจังหวัดกระบี่ ออกจากกระบี่แล้วก็ไปนครศรีธรรมราช
    ไปตรังไปพัทลุง ไปจังหวัดสงขลา จนกระทั่งนำออกนอกประเทศ ไปถึงมาเลเซีย
    ไปจังโหลน พาหนะตอนนั้นเป็นของท่านหม่อมหลวงวรวัฒน์ทั้งหมด
    และก็นำเที่ยวในทะเล ค่าใช้จ่ายของท่านหลายหมื่น แต่ว่า ถ้าเราจะถามว่า
    ความช่วยในการใช้จ่าย ท่านก็ไม่ยอมบอก เป็นอันว่าท่านผู้นี้
    มีอารมณ์ประกอบไปด้วยความเมตตาปรานีเป็นกรณีพิเศษ ยากที่เราจะหาบุคคลประเภทนี้
    คืออย่างหม่อมหลวงวรวัฒน์ได้ เป็นอันว่าน้ำใจของท่านผ่องใสจริงๆ
    ลูกคงจะเห็นงานของท่านแล้ว ว่าท่านควบคุมตั้งแต่จังหวัดชุมพร
    ลงไปถึงจังหวัดยะลาและนราธิวาส กำลังคนในบังคับบัญชานับเป็นจำนวนพัน
    มันมีความหนักเพียงใดที่เราจะบังคับบัญชาคน แต่ว่าอาศัยที่น้ำใจของท่าน
    มีความเคารพในองค์สมเด็จพระทศพล มั่นในทานการบริจาค มั่นในศีลที่จะพึงรักษา
    มั่นในวิปัสสนาที่จะพึงปฏิบัติ คณะของเรามาคราวนี้ ท่านก็ต้องจ่ายมาก
    หนักอยู่ แต่ว่า ความมั่นในความดี ที่องค์สมเด็จพระบรมครูสอนท่านซึ้งอยู่ในจิต
    ท่านไม่ยอมให้เราจ่ายอะไรเสียเลย ก็เป็นที่น่าเกรงใจ ท่านยังจะบอกว่า
    ปีหน้าจะสร้างบ้านรับรองขึ้นใหม่อีก ๑ หลัง ตรงกันข้ามกับอาคารรับรอง
    ที่บรรดาลูกรักทั้งหมดพักกัน ท่านบอกว่า จะรับรองคนได้ประมาณ ๑๐๐ คน
    และในปีต่อไป ก็ยังจะคิดว่า จะพาพวกเราไปพักในเกาะ พ่อลืมชื่อ
    กลางทะเล เป็นเกาะที่มีความสวยสดงดงามมาก ก็ไปนอนค้างแรมกันประมาณ
    ต้องใช้เวลาประมาณสัก สักสองคืนจึงจะจบ ตามที่ท่านบอกให้ทราบว่า
    เกาะนี้มีความสวยสดงดงามมาก เมื่อใช้เรือที่มีความเร็วไปในทะเล
    ต้องใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมงเศษ เรือที่มีระยะความเร็วช้า ต้องวิ่งถึง ๓ ชั่วโมง
    เป็นเกาะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชอบมาก
    เห็นจะเป็นเกาะที่ท่านหญิงวิภาวดีบอกเป็นสำคัญ

    เป็นอันว่า น้ำใจอย่างนี้ บรรดาลูกรักทั้งหลาย ควรจะจำไว้เป็นตัวอย่าง
    ว่าเราไม่ต้องจ่ายอย่างท่าน แต่ว่าทำน้ำใจอย่างท่าน คือ
    ๑ มีเมตตาปรานี ทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ
    ๒ ท่านมีศีลบริสุทธิ์
    ๓ ทานการบริจาคตามกำลัง
    และก็ ๔ การเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ท่านก็เคร่งครัด
    ถ้ากำลังใจอย่างนี้ลูกรักทั้งหมด ถ้าทรงไว้ได้ คำว่านิพพานไม่เป็นของสำคัญ
    ไม่ยากนักสำหรับพวกเรา

    ตอนนี้เราก็แวะเข้าจังหวัดกระบี่กันเสียทีหนึ่ง เพราะว่าจังหวัดกระบี่
    เมื่อเราแวะเข้าไปแล้ว ก็วันนั้น ก็เห็นจะเป็นวันที่ ๑๗ แล้วก็เป็นเวลากลางคืน
    เราเข้าไปพักกัน มีความร่มเย็นเป็นสุข อาหารการบริโภคท่านเลี้ยง
    พอเวลาตอนเช้าออก เข้าถึง เข้าถึงที่พักเวลา ๑๘ นาฬิกากับ ๙ นาที
    พ่อจดไว้ ๑๘ นาฬิกา ๑๙ นาที เข้าเขตพังงา ยังไงก็ช่างเถอะ
    เราเข้าที่พักกันก็แล้วกัน

    รุ่งขึ้นวันเวลา ๙ นาฬิกา ๓ นาที เราก็ไปที่จังหวัดพังงากับท่าน
    ตอนนี้ก็วิ่งรถกันไป พอเข้าเขตจังหวัดพังงา เป็นเวลา ๑๑ นาฬิกา ๓๐ นาที
    คณะของลูกไปปากอ่าวพังงากัน พ่อก็แวะเข้าที่ตลาด ฉันอาหารที่โรงแรม
    ปรากฏว่าปั๊มน้ำมันนี่ เป็นปั๊มที่ท่านหม่อมหลวงวรวัฒน์
    ท่านสั่งไปใช้ในโรงงานอยู่เสมอ พอฉันเสร็จปรากฏว่า
    เจ้าของโรงแรมหรือเจ้าของร้านอาหารไม่ยอมเก็บเงิน
    แต่ในขณะนั้นก็ปรากฏว่า มีคนหลายคนเขาสนใจในพ่อ แต่ความจริง
    เขาสนใจนั้น อย่าคิดว่า เขาเป็นผู้ก่อการร้ายมันก็ไม่ถูก
    หรือจะเป็นภัยอันตรายสำหรับเราก็ไม่ถูก
    เพราะว่า คำว่า ฤาษีลิงดำ เป็นที่รู้จักของคนมาก
    ตลอดจนกระทั่งลูกสาวเจ้าของร้านและตัวท่านเจ้าของร้าน
    เจ้าของโรงแรม เจ้าของปั๊มน้ำมันทั้ง ๒ ปั๊ม ก็บอกว่า
    รู้จักแต่ชื่อ อ่านแต่หนังสือ ก็มีคนมากบอกอย่างนั้น ท่านสนใจ
    และก็สนใจเหรียญแหนบ จนกระทั่งเห็นของที่พวกเราติดไป
    มีคนมาถามว่า จะขอซื้อได้ไหม นี่เป็นอันว่า ทุกคนท่านสนใจ
    พ่อก็เลยเอาเหรียญแหนบแจกเขาให้ ให้ท่านไป รู้สึกว่าท่านก็ดีใจมากเจ้าของร้าน
    แจกไป ๑๕ เหรียญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกสาวของท่าน ๒ คน
    สนใจเป็นพิเศษ รู้สึกว่า เธอทั้ง ๒ คนมีความเก่งกล้าในการค้าขาย
    คนหนึ่งคุมปั๊มน้ำมัน ๓ ทหาร อีกคนหนึ่งคุมปั๊มตราดาว เจ้าสุนัขน้อยตัวหนึ่งสีดำ
    มีปลอกคอ พอไปถึงเขาเข้ามาหา พ่อก็เลี้ยงอาหารแก่เขา รู้สึกว่า
    เป็นสุนัขที่มีความจงรักภักดี มีความรู้มาก ตอนจะกลับ พ่อชวนเขาไปด้วย
    เขาก็วิ่งตามมา ทำท่าจะขึ้นรถ รู้สึกว่าเจ้าสุนัขตัวนี้น่ารักจริงๆ

    หลังจากนั้น พ่อก็เดินทางไปสมทบกับบรรดาลูกรักที่อยู่ที่ปากอ่าว
    ไปนั่งอยู่ที่ด่าน พรดี ท่านเจ้าสัว เจ้าสัวของเราก็ชอบกับนายด่าน
    แต่เวลาที่ไปก็รู้สึกว่า ยังไม่มีอะไรกันมาก เข้าไปพักอยู่ในเขตด่าน
    แต่ความจริงพ่อก็ไม่รู้จักว่าเป็นด่าน ด่านนั้นตั้งอยู่เงียบๆ งานไม่มี
    พ่อคิดว่าศาลเจ้ามากกว่า ถ้าจะเรียกศาลเจ้าก็ต้องว่าเรียกศาลเจ้าท่า
    เมื่อท่านหม่อมหลวงวรวัฒน์ได้เรือ แล้วก็ลงเรือไป ปีนี้เราลงเรือใหญ่
    ปี พ.ศ.๑๘ ใช้เรือหางยาว ฝนเปียกปอนกันมาก
    ออกจากเกาะปันหยีเข้ามาเกาะทะลุ ลอดช่องเขาตอนนั้น
    ลอดมาแล้วปรากฏว่าเรือไปชนไม้เรือแตก น้ำเข้าเรือ
    ต้องวิดกันเสียแทบแย่ ไอ้เรือล่มในทะเลนี่มันไม่สนุก
    เมื่อลงเรือด้วยความชื่นบานหรรษา เรือปีนี้เขาก็ชวนชมดีทุกทาง
    ดูภาพโบราณที่เขียนกับเขา ติดกับเชิงหินเข้าไว้ เป็นรูปปลาบ้าง
    เป็นรูปคนบ้าง มองดูก็เป็นภาพหยาบๆ แต่ความจริงเข้าใจว่า
    คนเขียนคงจะไม่ได้ตั้งใจอวดพวกเรา แต่ว่าเราเขาเห็นว่า
    เป็นภาพที่ไม่มีใครเขียนในปัจจุบัน ก็เห็นเป็นของอัศจรรย์
    ถ้าท่านผู้นั้นท่านเกิดมาทันพวกเรา และก็ทราบว่า
    เราไปชอบฝีมือเขียนของท่าน ท่านคงจะภูมิใจมาก เมื่อไปถึงเกาะปันหยี
    เขาก็พาเราแวะเข้าไป ชมทิวทัศน์กันตามปกติ แต่ว่าปีนี้ ที่เราไปนี่
    เกาะปันหยีรู้สึกว่า จะมีดีน้อยไปนิดหนึ่ง ความจริงเขาสร้างสวย
    ท่าเรือก็ดี สมัยก่อนที่พ่อไป ไม่มีท่าเรือ ไม่มีสิ่งที่น่าประทับใจ
    แต่ถ้าเพราะอาศัยคนที่ไปเที่ยวมากขึ้น เกาะปันหยีจึงกลายเป็นเกาะที่มีความร่ำรวย
    ท่าเรือสวย และก็สิ่งที่ประทับใจพ่ออีกอย่างหนึ่ง การไปเที่ยวปีที่แล้ว
    มาลีไปด้วย ปรากฏว่า มาลีไปถามคนหนึ่ง ว่ามีลูกกี่คน คนหนึ่งตอบว่า
    มีลูก ๘ คน อีกคนหนึ่งบอกว่ามีลูก ๑๓ คน มาลีถามว่า ทำไมจึงมีลูกมากนัก
    แกแต่งงานมาตั้ง ๓๐ ปี แกมีลูกเพียง ๓ คน หน้ามนคนสวยของเกาะปันหยี
    เขาบอกว่าก็ขี้เกียจนี่ เขามีลูกน้อย แสดงว่าพวกแกขยัน แกก็บอกว่าที่นี่
    หนังก็ไม่มีดู ที่เที่ยวก็ไม่มี พอค่ำลงไม่รู้จะทำอะไร ก็ทำลูกกันต่อไป
    พูดอย่างคนพูดเซ่อซื่อ ซื่อๆ พูดตรงไปตรงมา แต่พ่อฟังแล้ว
    พ่อก็หนักใจเหมือนกัน ลูกตั้ง ๘ คน ลูกตั้ง ๑๓ คนนี่ เลี้ยงกันยังไง
    แต่เขาก็มีความสามารถ เพราะว่า ภูมิประเทศให้ประโยชน์แก่เขา
    โรงเรียนของเขาก็สวย โรงเรียนโรงเรียนนี้ ปรากฏว่า ได้ชนะการประกวดทุกปี
    เรื่องความสะอาด พ่อก็เห็นด้วยเพราะเป็นโรงเรียนในทะเล ไม่มีฝุ่นละออง
    ถ้าโรงเรียนนี้สกปรกก็แสดงว่า โรงเรียนทั่วประเทศสกปรกยิ่งกว่านี้ทั้งหมด
    หาดทรายปีนี้แห้งเห็นชัด ปกติ ที่เกาะปันหยีน้ำจะลึก เราเดินไปจะเห็นว่า
    เกาะปันหยีอยู่ในน้ำ แต่ว่าน้ำทะเลลง ก็จะเห็นหาด นานๆ พ่อจะเห็นสักครั้งหนึ่ง
    ต่อไปพ่อคิดว่า คงไม่เกินสัก ๕๐ ปี เกาะปันหยีก็จะหมดสภาพเป็นความเป็นเกาะ
    ก็จะต้องเป็นผืนแผ่นดินที่ติดกับผืนแผ่นดินใหญ่ และก็จะมีเนื้อที่ออกไปให้คนอยู่อาศัยอีกมาก
    ที่ท่านบอกว่า ทะเลงอก

    อย่างเมื่อสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น
    ทรงมาโปรดฉัพพรรณฤาษีที่สระบุรี ในเวลานั้นท่านกล่าวว่า สระบุรีนี่เป็นเขตชายทะเล
    มีเรือสำเภาจอด เพราะน้องชายของท่านฉัพพรรณฤาษีท่านเป็นพ่อค้าสำเภา
    ไปขายของยังประเทศอินเดีย ไปทราบข่าวว่า
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก มีบุคคลผู้ปฏิบัติตามเป็นอรหันต์มาก
    ท่านฉัพพรรณฤาษีอยากจะเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ไปไม่ได้
    จึงตั้งสัตยาธิษฐาน ขอให้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดามาโปรด
    พระพุทธเจ้าก็ทรงมาโปรด รู้สึกว่าจะเป็นพรรษาที่ ๗ หลังจาก
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ระยะเวลานี้
    ถ้าบังเอิญพ่อจำผิดไปบ้าง ก็ขออภัยด้วย ช่วยให้อภัยแก่คนแก่ ลูกรัก

    เวลานี้มองดูเวลาที่บันทึกเสียง ก็เห็นว่า หมดเวลาเสียแล้ว เพราะเทปจะหมดหน้า
    สำหรับหน้านี้ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ลูกรักทุกคน สวัสดี
     
  10. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    10.ลำดับการเดินทางลงใต้จากพังงากลับมากระบี่.mp3
    บรรดาลูกรักทั้งหลาย ตอนนี้เราก็ไปเที่ยวชมเกาะกันต่อไป
    ออกจากเกาะปันหยี หมู่บ้านที่มีความสำคัญในทะเล
    แต่อย่าลืมว่าพวกนี้เขาถือศาสนาอิสลามกันทั้งหมด ปีก่อนๆ
    พ่อไปไม่เคยเห็นมีตำรวจ แต่ปีนี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีอยู่ ๓ คน
    แต่ก็เหลือคนเดียว พอขึ้นไปพี่แกวางปืนอยู่ก็รีบหยิบปืน ในที่นี้
    เข้าไปพบน้องสาวเสี่ยจวน ซึ่งเป็นเจ้าของโรงน้ำแข็ง
    ที่หน้าอำเภอมโนรมย์ข้าม เธอเป็นนายกเทศมนตรีหญิง
    น่ากลัวจะเป็นนายกทางลพบุรี อาจจะเป็นที่อะไร
    พ่อจำไม่ได้เนาะ ก็ไม่รู้มันอำเภออะไร ก็ช่างเถอะ
    แล้วก็ไปเจอะครูที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังจากนั้น
    ก็ไปภูเขาอิงกัน แต่ความจริง ภูเขาอิงกันนี่ พ่อก็ไม่เห็นมันมีอะไรแปลก
    มันก็เป็นภูเขา แต่ว่าปีนี้น้ำลงมาก เชิงผาที่ยื่นออกไป
    น้ำขึ้นมา จะเห็นปลาว่ายไสวน่าชมดี แต่ทว่า
    นิยายของภูเขาอิงกันนี่ รู้สึกว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตมาก
    คือเป็นเรื่องของชายคนหนึ่ง ที่มีฉางข้าวมากอยู่ที่พังงา
    ที่ตะกั่วป่า ปีนั้นปรากฏว่าช้างมาทำลายฉางข้าวของแก
    แกโกรธจัด จึงคว้าหอกเข้ามาไล่จะฆ่าช้าง เดินไปเดินมาปรากฏว่า
    ปลายด้ามหอกไปกระทบเขาลูกหนึ่ง ปรากฏว่ายอดเขาขาดไป
    แล้วกลายเป็นไปตั้งอยู่กลายเป็นเขาลูกย่อม หลังจากที่พบช้างแล้ว
    แกก็ฆ่าช้างตาย ฆ่าช้างตายแล้วจึงกระชากงาออกจากปาก
    เอางาขว้างไปในทะเลกลายเป็นภูเขาเหมือนกับงาสองอันอิงกัน
    เรื่องนี้พออ่านแล้วรู้สึกว่า โกหกน่าดู เป็นอันว่าเรื่องนี้
    เขาจะว่ายังไงก็ช่างเขา มันเป็นเรื่องปรัมปรา

    หลังจากเที่ยวภูเขาอิงกันแล้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายเรือก็นำเลาะลัดตัดเข้ามา
    ไปลอดช่องเขา ช่องเขาก็มีรังนกนางแอ่น เห็นรังนกนางแอ่นแล้วก็รู้สึกสงสาร
    อุตส่าห์ทำรังไว้เป็นที่อาศัย แต่ว่าคนจังไรก็เอารังมากิน เป็นอันว่าเรากลับ
    เวลาขากลับก็เดินทางถึงด้วยความสวัสดิภาพ เที่ยวทะเลตอนนี้รู้สึกว่า
    ไม่ค่อยสนุก แต่ว่า สำหรับลูกคงสนุก ทั้งนี้เพราะอะไร พ่อมันหมดสนุกเสียแล้วลูกรัก

    ไอ้ความสนุกรื่นเริงจริงๆ ของพ่อก็คือ
    ๑ ถ้าเห็นลูกทั้งหมดมีจิตเมตตาปรานี ปรารถนาสงเคราะห์คนและสัตว์ให้มีความสุข
    อันนี้พ่อสนุกใจจริงๆ
    ประการที่ ๒ เห็นลูกบริบูรณ์ไปด้วยศีลาจารวัตร
    ประการที่ ๓ ลูกของพ่อรู้จักตัดนิวรณ์ ๕ ประการ
    ประการที่ ๔ มีกำลังจิตเข้าประหัตประหาร สร้างสังขารุเปกขาญาณให้เกิด
    นี่นะที่พ่อมีความรื่นเริง มีกำลังกายกำลังใจ ทำทุกอย่างได้ ก็เพราะลูกทุกคนเป็นคนดี
    อยู่ในโอวาทขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ฉะนั้น ลูกทุกคนจึงเป็นที่รักของพ่อ
    ใครเขาจะเกลียดใครเขาจะชังลูก เป็นเรื่องของเขา แต่ว่าพ่อรักลูกทุกคนเสมอกัน
    ต้องการอย่างเดียวคือ จะนำทางให้ลูกพ้นทุกข์
    เข้าไปหาแดนความสุขที่ไม่มีความเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ
    ไม่มีความหนักใจแม้แต่น้อย นั่นคือพระนิพพาน
    แต่ว่าลูกรักทุกคนก็ทำแล้วทุกอย่าง ตามอารมณ์ที่พ่อตั้งใจไว้ นี่ความสุขใจ
    ความรื่นเริงหรรษาของพ่อมีตรงนี้ ในการเดินทางมาคราวนี้ พ่อไม่มีจุดประสงค์
    จะให้ลูกทุกคนต้องจับจ่ายใช้สอยใดๆ ทั้งหมด
    ทั้งนี้ก็เพราะว่า เป็นการสนองความดีที่ลูกเสียสละเวลาการงานของลูก
    ความสุขของลูกไปสงเคราะห์บุคคลผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร
    และก็มีลูกสู้อุตส่าห์สละเงินช่วยกันในการออกค่าเดินทาง อันนี้พ่อก็ขอบใจ
    แต่ทว่า เสียดายอยู่นิดหนึ่ง ถ้าลูกนำเงินจำนวนนี้ติดตัวเข้าไว้
    ซื้อของเป็นที่ระลึกไม่ผิดกฎหมายเวลากลับ ก็จะเป็นการดี แต่อาศัยที่ลูกนี้เป็นนักเสียสละ
    พ่อก็ไม่ว่า เป็นความดีของลูก แต่น้ำใจของพ่อจริงๆ อยากจะให้ลูกชายและหญิงทุกคน
    ที่มีความเหน็ดเหนื่อยอยู่แล้ว ได้ท่องเที่ยวมาดูภูมิประเทศภาคใต้ และก็เพื่อจะจำไว้ว่า
    ที่ใดจะเป็นที่พักของเราบ้าง นี่ให้จดจำกันตรงนี้ เพราะว่าวันหนึ่งข้างหน้า
    งานสายนี้ของเราจะต้องมี เพราะแผนการุณยเทพ ของทางบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่ทำขึ้น

    ปรากฏว่าวันที่ ๑๙ เราก็เดินทางกันต่อ ท่านหม่อมหลวงวรวัฒน์ชวนว่า วันนี้จะไปไหน
    พ่อก็บอกว่า ตามใจท่าน วันนี้เรามีการตั้งศาลที่โรงไฟฟ้าฝ่ายผลิต การตั้งศาลในคราวนี้
    เราก็มีสิ่งที่สะดุดใจอยู่นิด นั่นก็คือ คนในเขตของโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตฝ่ายกระบี่
    บางท่านที่ไม่มีความเข้าใจ เพราะว่าถือวิทยาศาสตร์มากเกินไปก็ไม่ทราบ
    ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความคิดว่า เป็นการไม่สมควร อาจจะมีอยู่บ้าง ต้องขออภัย
    แต่เรื่องนี้พ่อไม่เห็นว่า มันเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเป็นเรื่องธรรมดา
    ซึ่งพ่อเองก็มีอารมณ์อย่างนี้อยู่ก่อน แต่ว่าน่าสนใจอยู่นิดหนึ่ง เมื่อเวลาเชิญบวงสรวง
    ตอนนั้นรู้สึกว่า พอเสร็จ ท่านก็มาบอกอะไรต่ออะไรกันมาก ถึงความปลอดภัยของประเทศ
    ถึงความทรงอยู่ ว่าการประเทศของเรา ที่จะเป็นทาสของคอมมูนิสต์นั้นเป็นไปไม่ได้
    ยังไงๆ ประเทศไทยก็ปลอดภัย ท่านมาพูดถึงทรัพย์สินหลายจุด
    ว่าทรัพย์สินเป็นทรัพยากรต่างๆ มีมากในภาคใต้ และภาคเหนือ ภาคกลาง
    ความจริงเมืองไทยเรานี่ เรานั่งทับนอนทับเงินทองแก้วแหวน ของที่มีค่ามีราคามาก
    แม้แต่ว่าแกสและน้ำมัน หรือแร่ยูเรเนียมเพชรนิลจินดามีเยอะ วันนั้นรู้สึกว่า
    ท่านจะเปิดให้พ่อเห็นตามจุดสายใต้ทั้งหมด แต่ว่าปรากฏว่า ที่เราตั้งศาลกัน
    ท่านบอกว่า ที่ตรงนี้มีแร่เงินมาก ท่านก็บอกถึงจังหวัด นอกจากจังหวัดกระบี่
    ก็มีจังหวัดพังงา มีจังหวัดพัทลุงแล้วก็มีอีก มีหลายจังหวัด มีแร่เงินแล้วก็มีทอง
    มีอะไรเยอะแยะ พ่อขี้เกียจจำ ท่านบอกสัญลักษณ์ว่า เราจะรู้จากแร่เงิน ขุดลงไปแล้ว
    ด้านบนจะมีดินสีแดงคล้ายลูกรัง และตอนนั้นก็จะมี เขาเรียกหินดาน มีสีนวล
    ที่ไหนมีสภาพอย่างนี้ ที่นั่นมีแร่เงิน และก็แร่เงินนี่มีมาก ท่านบอกว่า
    ชั้นแรกจะมีจำนวนนับเป็นแสนๆ ตัน ชั้นที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ จะมีจำนวนนับเป็นสิบๆ ล้านตัน
    ไม่ใช่ที่กระบี่แห่งเดียวนะ คือนับตั้งแต่กระบี่ไปถึงพังงา แล้วก็อะไร สตูล
    และจังหวัดตรังอะไรพวกนี้ รู้สึกจะเป็น ๔ จังหวัด การขุดลงไปก็ไม่ลึกจนเกินไป
    ได้ระยะ... พ่อจะไม่พูดละ บอกกันไว้เท่านั้น ว่ามีของที่มีทรัพยากรที่มีค่ามาก
    แต่คนไทยพูดจะไปดีอะไร ต้องฝรั่งพูด ฝรั่งพูดคนไทยจึงจะฟังเพราะ
    ถ้าคนไทยพูด ฟังแล้วก็ผ่านหูไป ฉะนั้น เมื่อพ่อเห็นว่า คำพูดของพ่อไม่มีค่า
    จึงทิ้งไว้เพียงเท่านี้ ถ้าเห็นใครเห็นว่ามีค่าเมื่อไหร่ และเทวดาอนุญาต
    ก็จะพูดมากกว่านี้

    ถามท่านว่า ทรัพย์ทั้งหลายเหล่านี้จะขึ้นมาได้หมดเมื่อไร เมื่อไรจะมีโอกาส
    เทวดาท่านบอกว่า คนดี คนไทยดีเมื่อไหร่ ทรัพยากรทั้งหลายขึ้นมากเมื่อนั้น
    และประเทศไทยจะเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ อินโดนีเซียก็ดี มาเลเซียก็ดี พม่าก็ดี
    ลาวก็ดี เขมรก็ดี อะไรก็ตาม ไทยใหญ่ไทยเล็กอะไรก็ตาม ทั้งหมด
    เขาจะขนานผนึกเข้ามาเป็นปึกแผ่นอันเดียวกัน รวมความว่าเอเชียนทั้งหมดเท่านั้น
    จะเป็นเพื่อนกับเรา และทุกประเทศก็อยากจะเป็นเพื่อน เพราะอาศัยความร่ำรวยเป็นปัจจัย
    สำหรับน้ำมันก็เป็นคลังใหญ่ที่สุดของโลก แต่ยังขึ้นมาหมดไม่ได้ก็เพราะว่าคนไทยยังดีไม่พอ
    สำหรับประเทศไทยจะเป็นคอมมูนิสต์ ไม่มีโอกาส

    เป็นอันว่า เมื่อบวงสรวงเสร็จ เวลา ๑๒ นาฬิกา ๓๐ นาที ก็ออกเดินทางไปปาก
    ปากอ่าวกระบี่ ในวันนี้ก็สนุก แหล่งของกองบัญชาการทหารสูงสุด
    เจ้าหน้าที่เข้าเติมน้ำมันที่ปั๊ม ๓ ทหาร รถของคณะเราอีก นอกจากนั้น
    ก็ไปเติมน้ำมันที่ปั๊มตราดาว รถแลนด์ ความจริงห่างกันเล็กน้อย ไม่ถึงครึ่งกิโล
    รถแลนด์ออกได้มัวแต่เหลียวซ้ายแลขวา คิดว่าพวกเราไม่คอย ก็วิ่งอ้าวตะบึง
    เป็นอันว่า คณะในรถแลนด์เลยไม่ได้เที่ยวทะเล ไปคอยอยู่ที่หาดนพรัตน์ธารา
    เป็นอันว่าพบกันที่นั่น วันปีสำหรับปีนี้ก็แปลก หาดนั้นเป็นหาดจริงๆ
    หาดยายยาวมาก ไกลเกือบจะถึงกิโล พ่อไม่เคยเห็น เพราะมาทุกคราว
    น้ำทะเลไม่ได้ลง น้ำทะเลขึ้น มองไม่เห็นหาด เห็นแต่เพียงว่าสถานที่นั้น
    เป็นสถานที่ตั้งอยู่ชายทะเลเฉยๆ การเที่ยวเรือคราวนี้โต้คลื่นสนุก
    เห็นเกาะๆ หนึ่ง ที่เป็นเกาะที่สวยสดงดงาม เพราะว่าน้ำมันใสสะอาด
    แล้วก็การเดินทางปรากฏว่า วันนั้นมีคนเดินทางไปประมาณ ๕๐๐ คนเศษ
    ไปที่เกาะนั้น ไปพักแรมกัน พ่อคิดว่าปีต่อไป การเดินทางก็จะใช้ระยะเดินทางในเขตสั้น
    จะให้ลูกทั้งหลายได้มีโอกาสได้ชมภูมิประเทศในทะเล หรือชายทะเลให้ซึ้งถึงใจ
    สมควรแก่การเหน็ดเหนื่อยความดีของลูก อยากจะไปที่เกาะนั้น
    ก็เป็นอันว่า สำหรับเดือนกันยายน ๒๕๒๑ พ่อจะต้องเดินทาง เอ๊ กันยาหรือสิงหา
    พ่อจำไม่ได้ มาที่ อะไร ทุ่งสงอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่า เขาจะทำงานปีของ ของสถานี
    คือว่าเป็นวันเปิด เป็นวันเปิดกองกำกับการ ตอนนั้นพ่อจะมา ถ้ามีโอกาสบังเอิญ
    ถ้าว่าเป็นวันคร่อมกับวันเสาร์วันอาทิตย์ ยังไม่ได้ดูปฏิทิน แต่ก็อยากจะชวนลูก
    มาจอดเรือกันอยู่ เอ้อ แล้วมาจอดรถกันอยู่ที่กระบี่ แต่ก็ต้องเสียเวลา ๒ วัน
    ต้องลาวันศุกร์กับลาวันจันทร์ วันศุกร์มาถึงกระบี่ วันเสาร์เราลงเรือไปที่เกาะนั้น
    ถ้าคลื่นลมไม่มาก ค้างวันเสาร์ กลับวันอาทิตย์ วันจันทร์เดินทางกลับ
    แต่ความจริงอาจจะต้องลาถึงวันอังคาร กลับมานอนพัก เช้าวันอังคารเดินทางกลับ
    ถ้าเป็นไปได้ ถึงแม้ว่าจะมาในระยะอื่นก็เหมือนกัน แต่ระยะนี้ก็ไม่แน่ใจนัก
    ว่าลูกทุกคนจะมาได้ ถ้าเรามากันได้จริงๆ แล้วก็ ควรจะมากันปีหน้าดีกว่า
    ให้บ้านพักของโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตสำเร็จรูป ท่านบอกว่า มาพักกันได้ตั้งร้อยคน
    แต่ตอนนี้เราก็ควรจะตั้งมุมกันมาเลย พอมาถึงปั๊บ เราก็ต้องไม่ฟังเสียง
    จัดทำอาหารการบริโภคกันทันที เมื่อท่านจะเลี้ยงก็ให้เป็นวาระ
    คือว่ามื้อแรกที่เราเข้ามาถึง เรายอมให้เลี้ยง นอกจากนั้นเราทำกันเอง
    เพื่อความเบาใจของท่าน การเช่าเรือไปเช่าเรือมา เราก็พยายามออกกันเสียให้ครบ
    หมดเรื่อง แต่ท่านคงจะไม่ยอม ยอมหรือไม่ยอม ท่านไม่ยอมเราก็ไม่ยอมเพื่อความเบาใจ
    ก็สนุกสบายดี อาการอย่างนี้ถ้าบังเอิญลูกทั้งหลายจะขัดข้องอยู่บ้าง พ่อก็คิดว่า
    จะหาทางเรื่องเรือแพ แต่ว่า พ่อช่วยยังไงๆ แกก็ไม่เอา ปีนี้ก็ในนามของลูก
    แกก็ไม่เอา ก็ต้องคิด

    เป็นอันว่าท่องเรือปีนี้เป็นของอัศจรรย์ เมื่อเรือทอดสมอแล้ว
    ก็มีสัตว์ตนหนึ่งว่ายเข้ามาหาเรือ ทุกคนเห็นกัน เขาบอกว่าจะกวด ไม่ใช่
    สีเหลืองคล้ายทอง พ่อบอกว่า มาเลยๆ เข้ามาเลยๆ แกก็หันหน้ามาตรงพ่อ
    ว่ายรี่เข้ามาแบบดีใจ พอเข้ามาใกล้เห็นคน ตามธรรมดาสัตว์ประเภทนี้
    จะไม่พยายามเข้าหาคนเพราะกลัวคน เห็นพวกเราแกดำพลุบลอดเรือ
    พอแกดำพ่อก็หันดูทางเรืออีกด้านหนึ่ง แกโผล่พอดี มันว่องไวแบบนี้
    แค่เราเหลียวหน้าไปเท่านั้นไม่ได้เอาหน้าคาไว้ พอแกดำลงไปพ่อก็หันหน้าไปพอดี
    หันหน้าไปทันที ดูว่าแกจะโผล่ตรงไหน แกก็โผล่ทันทีตามสายตาที่ไปถึง
    กลายเป็นสัตว์ที่อัศจรรย์ แกก็หันเลี้ยวเข้ามาเล่นทางท้ายเรือ ถ้ามองกันไปแล้ว
    พ่อคิดว่า ไม่ใช่สัตว์จริง เมื่อขึ้นมาบนหาดนพรัตน์ธารา นั่งรถเข้ามาที่สุสาน
    สุสานหอย ๗๕ ล้านปี เขาฝรั่งเขาบอกว่า ๓๕ ล้านปีถึง ๗๕ ล้านปี
    แต่พ่อลงไปนั่งก็มีเทวดาท่านหนึ่งท่านบอกว่า ๖๗ ล้านปี ท่านถามว่า
    จะเอาเวลาแน่นอนมั้ย บอกว่าเวลาที่แน่นอนจริงๆ ท่านบอกว่า เมื่อ ๖๗ ล้านปี
    ท่านบอกเศษด้วย พ่อเลยไม่จำเศษ เพราะไม่มีความสำคัญ มันจะกี่ล้านปี
    มันก็เรื่องของหอยตาย หอยตายได้ฉันใด ชีวิตของเราก็ตายเหมือนหอยฉันนั้น
    สิ่งที่มันจะคงอยู่ได้ก็คือ กระดูก คงนานหน่อย ในที่สุดมันก็จมพื้นปฐพี
    ขึ้นชื่อว่าชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยง แต่ว่าความตายเป็นของเที่ยง ก่อนที่เราจะตาย
    จงคิดไว้ว่า เราจะตายครั้งนี้เป็นครั้งแรกและไม่มีการตายต่อไป นั่นคือพระนิพพาน

    พ่อมั่นใจในกำลังใจของลูกและความดีของลูก ว่าพระนิพพานสมบัติ
    จะไม่ขาดไปจากกำลังจิตของลูก และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ลูกต้องได้แน่นอน
    นี่เป็นความหวังของพ่อ แต่ทว่า ถ้าลูกของพ่อลืมความดีเสียเมื่อไหร่
    จิตใจไปพัวพันอยู่ในราคะก็ดี พัวพันอยู่ในโลภะความโลภก็ดี
    พัวพันอยู่ในความโกรธความพยาบาทก็ดี พัวพันอยู่ในความหลงก็ดี
    เป็นอันว่าลูกกับพ่อนี้ ต้องแยกทางกันเดิน ไม่ใช่พ่อโกรธลูก
    แต่เวลาตายจริงๆ เราตามกันไม่ไหว หวังว่าลูกรักทุกคนคงจะจำได้
    คงจะละสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ คือพยายามละทีละน้อย ปลดเปลื้องมันไป
    ไม่ช้ามันก็หมด

    เป็นอันว่า ขอพูดถึงสัตว์ตัวนั้น ขณะที่พ่อนั่งรถมาจากหาดนพรัตน์ธารา
    จะเข้าถึงเขตสุสานหอย ๗๕ ล้านปี รึ ๓๕ ล้านปี ที่เทวดาบอกว่า ๖๗ ล้านปี
    ก็ปรากฏว่า มีเทวดาท่านหนึ่งแต่งตัวสวยสดงดงาม มีประกายพฤกษ์ทั้งตัว
    เครื่องประดับเป็นเพชรสีขาว สวยมาก มีแสงสว่าง ท่านมานั่งข้างพ่อในรถ
    ยกมือไหว้ รายงานว่า ผมเป็นสมุทรเทวา หมายถึงว่า เป็นเทวดาที่รักษามหาสมุทร
    และท่านก็บอกว่า สัตว์ตัวนั้นเป็นสัตว์ที่ผมนิรมิตขึ้นน่ะขอรับ เพื่อเป็นการแสดงว่า
    มีความดีใจและก็ปลื้มใจกับนักบุญที่มากัน เห็นว่านักบุญส่วนใหญ่ที่มานั้น
    มีวิสัยจะเข้าถึงพระนิพพานมาก ผมมาโมทนา แล้วก็โมทนาในความดี
    ที่ท่านหม่อมหลวงวรวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตจังหวัดกระบี่
    ที่ท่านมีความดี ท่านกล่าวว่า บุคคลผู้นี้ก็ไม่มีโอกาสจะเกิดต่อไป ฉะนั้น
    เมื่อนักบุญมากันมากก็ชื่อว่า เป็นกลุ่มบุญใหญ่ ถึงได้มาโมทนาด้วย
    ช่วยให้ทุกคนมีความสุขและปลอดภัย ท่านบอกว่า นับตั้งแต่ย่างที่เวลาพวกเราเดินเรือ
    เดินกับลงเรือมา ท่านไม่ได้ห่างพวกเรา ท่านลอยอยู่ใกล้ๆ แต่ว่าไม่มีใครสนใจในท่าน
    แม้แต่พ่อเอง พ่อก็ไม่ได้คิดอะไรมาก มัวแต่มองดูความรื่นเริงหรรษา
    ของบรรดาลูกทั้งหลาย ทำให้ใจชื่นบาน รู้สึกว่ากำลังใจของพ่อเป็นสุขมาก
    แต่รู้สึกว่า คิดถึงบุคคลที่นั่งรถแลนด์ ว่าไม่มีโอกาสได้มารื่นเริงหรรษาในทะเลในคราวนี้

    เป็นอันว่า เราเที่ยวจังหวัดกระบี่กันก็จบ หมดเวลาก็กลับ กลับกันก็เย็นค่ำมาก
    เวลาที่เรากลับ ถึงโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตนี่ พ่อไม่ได้จดเวลา แต่หวังว่า
    อ๋อ ดูเหมือนว่าจะเป็นเวลา ๑๖ นาฬิกา ๔๕ นาที อ้อ ๑๖ นาฬิกา ๔๕ นาทีเนี่ย
    เราเข้าลานสุสานหอย แต่ว่าหลังจากนั้นออกเดินทางมา พ่อไม่ได้จดเวลาไว้
    คืนวันที่ ๑๙ นี้ พ่อมีโอกาสไปสังสรรค์หรรษากับบรรดาลูกรักทั้งหลาย
    และเจ้าหน้าที่ฝ่ายโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิต ก็มีการคุยกันดี รู้สึกว่าทุกคนที่มา
    เขาเคารพในธรรม มีความเรียบร้อย ไม่เหมือนกับตอนกลางคืนวันที่ ๒๑
    ที่พ่อกำลังพูดกันนี่ มีเจ้าหน้าที่ของอะไรไปรษณีย์ อาจจะเป็นนายไปรษณีย์หรือไม่ใช่ก็ได้
    ท่านมาถึง พ่อก็แปลกใจ ท่านนั่งขัดสมาธิ ปรับก็คุยแบบสบาย
    แต่พ่อไม่ได้ถือสาหาความอะไร แต่ว่าเป็นหน้าที่ที่เสียดาย ที่ท่านแสดงออกแบบนั้น
    ก็แสดงว่า ท่านไม่ได้สนใจกับผ้ากาสาวพัตร ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์สมมติให้ว่า
    ถ้าใครครองสิ่งนี้แล้ว ท่านถือว่าเป็นพระ จัดว่าเป็นปูชนียบุคคล หากว่า
    ท่านไม่เคารพในตัวบุคคลคือพ่อ ท่านก็ควรจะเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จนกระทั่งท่านผู้กำกับมา ท่านเห็นท่านผู้กำกับนั่งพับเพียบ ท่านจึงยอมพับเพียบด้วย
    พ่อก็คิดในใจ ว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จะทรงโปรดใครนั้น พระพุทธเจ้าทรงโปรดเมื่อเขามีความเคารพ
    ตัวอย่างที่ทรงเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์มหานคร เมื่อจอมบพิตรอดิศร
    คือพระเจ้าสุทโธทนะมหาราชมีความเคารพ เป็นพระราชบิดาก็จริง
    แต่ว่าบรรดาญาติผู้ใหญ่ไม่เคารพพระพุทธเจ้าก็ไม่เทศน์โปรด
    จนกว่าเมื่อบรรดาพระญาติผู้ใหญ่ทั้งหลายถวายความเคารพอย่างจริงใจ
    องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงเทศน์โปรด ฉะนั้น
    พ่อก็ต้องถือคติของพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ เพราะพ่อถือว่า พระพุทธเจ้าเป็นพ่อของพ่อ
    ในเมื่อพ่อไม่โปรดคนเช่นใด พ่อก็ต้องไม่โปรดคนเช่นนั้น คนที่นั่งขัดสมาธิคุยกับพระ
    พ่อถือว่า เขาไม่เคารพในคุณพระรัตนตรัย จะทำยังไงให้พ่อสงเคราะห์โดยธรรม
    พ่อไม่ทำแน่ เพราะถ้าขืนทำก็ขัดพระพุทธประสงค์ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    แต่มาที่ทุ่งสงนี่ พบแล้ว ๓ คน พบเห็นคนเขาขัดสมาธิคุยกับพระ ก็เป็นอันว่าปล่อยเขา
    เรื่องของเขาก็เรื่องของเขา เรื่องของพ่อก็เรื่องของพ่อ
    ผมเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อเห็นเข้ามาพบพ่อทีไร
    ท่านไม่นั่งคุกเข่าท่านก็นั่งพับเพียบ
    ไม่เคยเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนั่งขัดสมาธิคุยกับพ่อ
    และไม่เคยไม่เห็นนั่งเก้าอี้คุยกับพ่อ นี่ไม่ใช่เอามาทับถมเขา
    นี่แต่ท่านผู้ใหญ่ถึงท่านนายกรัฐมนตรีก็เช่นเดียวกัน พ่อนั่งเก้าอี้ท่านก็ไม่ยอมนั่งเก้าอี้
    ท่านนั่งข้างล่าง ท่านก็นั่งพับเพียบ แสดงความเคารพนบนอบในผ้ากาสาวพัตร
    นี่ไม่ใช่หมายความว่าเคารพในพ่อ ท่านเคารพในพระศาสนา ส่วนบุคคลไม่มีความหมาย
    เห็นชาย ๓ คนเขานั่งขัดสมาธิคุยกับพ่อ พ่อไม่แปลกใจเพราะพบมามาก
    แต่เสียดายที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่เข้าถึงใจของท่านผู้นี้
    หากว่าท่านผู้นี้มีอำนาจในการควบคุมคน ก็จะเป็น ก็จะกลายเป็นบุคคลที่มีความทุกข์
    เพราะว่าบุคคลผู้ใต้บังคับบัญชาไม่มีความเคารพ

    สำหรับเทปหน้านี้ก็เห็นจะต้องจบเพียงเท่านี้นะลูกนะ ก็หมดเวลาเสียแล้ว คือเทปจะหมดสาย
    ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ลูกรักทุกคน สวัสดี
     
  11. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    11.ลำดับการเดินทางลงใต้จากกระบี่ถึงนครศรีธรรมราช.mp3
    ลูกรักทั้งหลาย ระยะต่อไปนี้ ก็ขอเข้าถึงทุ่งสงเข้าเสียที วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๒๑
    เวลา ๙ นาฬิกา ๕๐ นาที ออกเดินทางจากโรงไฟฟ้ากระบี่มาทุ่งสง ตอนนี้
    รู้สึกว่า บรรดาลูกรักทั้งหลายคงจะคิดว่า เราเดินทางด้วยความปลอดภัย
    แล้วคงจะไม่มีอะไรในระหว่างทาง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าลูกไม่รู้
    ว่าในสายนี้มีอะไรบ้าง พอออกมา พอออกเดินทางมา ก็เจอะเขาบอกว่า
    นี่นาสาร แล้วก็พระแสง อะไรพวกนี้เป็นต้น ตามอำเภอต่างๆ พวกนี้
    แต่ความจริงพื้นที่แถวนี้ พ่อว่า ถ้าหากว่าเดินด้วยทางถนนรถยนต์
    พ่อไม่รู้จักเลย เพราะว่าไม่เคยมารถยนต์ ใช้แต่ ฮ. เป็นพื้น
    ในสมัยร่วมทางกับท่านหญิงวิภาวดีรังสิต ระยะทางช่วงนี้เราเต็มไปหมดลูกรัก
    พ่อบอกแล้วว่า จะออกจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีแล้ว ไม่มีทางเลย
    ถ้าจะมีจุดใดปลอด คำว่าจะปลอดจากคนที่มีคติตรงกันข้ามกับรัฐบาล
    ไม่มีสำหรับเขตนี้ และเวลานี้พ่อก็ทราบ ว่านอกจากจะเขาอยู่บนเขาอย่างสมัยก่อน
    แต่เขาก็กลับลงมาปะปนกับบรรดาประชาชนทั้งหลาย ในภาคพื้นดิน
    อยู่กับชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามข่าวหนังสือพิมพ์ บอกว่าค่ายคุนชิง(กรุงชิง)แตก
    เมื่อปีที่แล้ว แต่มาปีนี้รู้สึกว่าพวกเขาเข้ามายึดค่ายกรุงชิงตามเดิม แล้วคนที่นี่
    เราจะต้องระมัดระวังให้มาก ตลอดสายที่เราเดินทาง ต้องระวังให้มาก
    เราจะต้องไม่พูดกันถึงเรื่อง บุคคลผู้เป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งนี้เพราะอะไร
    เพราะว่าเรารู้ไม่ได้ ว่าคนที่คุยกับเราเขาเป็นใคร

    รถของเราวิ่งมาอย่างช้าๆ เพราะใช้เวลาจากโรงไฟฟ้ากระบี่ มาถึงอำเภอทุ่งสง
    หรือว่าเขต ๘ ของตระเวนชายแดนทุ่งสง มีระยะทาง ๑๔๐ เศษๆ
    เป็นระยะทางใกล้ ถ้าเราเดินทางจากแต่เช้า ก็มาฉันเพลกินข้าวสบายกลางวัน
    แต่ทว่าระยะทางของเราที่วิ่งมานั้น เราออกช้าเกินไป มาใช้เวลา ๙ นาฬิกาเศษๆ
    ก็เหลือเวลาน้อย เป็นเวลาชั่วโมงเศษๆ ก็จึงต้องแวะกินข้าวในระหว่างทาง
    การกินข้าวระหว่างทางสถานที่เราแวะ ถ้าเราสังเกตให้ดี ว่าก่อนหน้าที่เราจะมาถึงตลาดนั้น
    มีรถเก๋งชนกัน ๓ คัน การที่มีรถเก๋งชนกัน ๓ คัน อุบัติเหตุอย่างนั้นไม่ใช่ปกติ
    มันเป็นเรื่องของเขาใช้น้ำมันราดถนน น้ำมันเครื่อง รถวิ่งไปด้วยความเร็ว
    ถึงตอนนั้นก็ลื่นถลาชนกัน ตั้งหลักไม่อยู่ การกระทำอย่างนั้น เป็นเจตนาของผู้ร้าย
    ที่หมายจะจี้เอาของ แต่ว่า คงจะเป็นเคราะห์ดีของเจ้าของรถเก๋งทั้งหมด
    ที่ปรากฏว่ามีคนเห็นแล้วก็ปลอดภัยจากการถูกจี้ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย
    รถเก๋งราคาแพง เจ้าของยังต้องเสียเวลา ต้องเจ้าของต้องเสียเวลาซ่อม
    และเวลาการงาน ต้องจับจ่ายใช้สอยในการเงิน พ่อเห็นใจเขา ทั้งนี้เพราะอะไร
    เพราะว่าพ่อไม่ต้องการเห็นบุคคลใดมีความทุกข์ ถ้าโลกนี้นี่ลูก มันจะหาความสุขที่ไหน
    หาความแน่นอนอะไรกะโลก คำว่าโลก พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า มีคำแปลว่า
    มีอันที่ต้องฉิบหายไป ไม่ว่าสมบัติ สมบัติส่วนใดของโลกที่มีความมั่นคงนั้นไม่มี

    แล้วก็สำหรับการมาของเราคราวนี้ การเดินทางจากจังหวัดกระบี่
    เราก็ถูกสะกดรอยตลอดเวลา แต่ทว่า รถของเรา เราไม่ปล่อยให้ระยะรถ
    ห่างไกลกันจนเกินไป นี่บรรดานักขับรถทั้งหลายจงจำไว้ด้วย ในที่แล้วๆ กันมา
    การเดินทางสายเหนือ มักจะใช้เวลาการทำการขับรถเหมือนกับบุคคลคนเดียว
    เหมือนกับว่ารถคันเดียวกัน เวลารถ รถมองไม่เห็นกัน มีอันตรายเกิดขึ้น
    ก็ไม่สามารถจะช่วยกันได้ทันท่วงที แต่การมาคราวนี้ เรามีการควบคุมกัน
    ให้คนบังคับรถมีระเบียบ ในฐานะที่เราถือรถเป็นขบวน เมื่อจะมีอะไรเกิดขึ้น
    เราก็มีเจ้าหน้าที่ประจำรถ ถึงแม้ว่า เราจะป้องกันตนเองไม่ได้ ๑๐๐ เปอร์เซนต์
    เราก็ยังมีการช่วยกันป้องกัน คันไหนเพลี่ยงพล้ำลงไป อีก ๓ คันก็สามารถจะช่วยได้
    เพราะรถของเราตั้ง ๔ คัน การเดินทางของเรา เราพร้อมแล้วกับการเสี่ยงภัย
    แต่ก็มั่นใจในบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เทวดาหรือพรหม
    และท่านผู้มีพระคุณ และอาศัยบุญบารมีที่เราทำกันไว้ร่วมกัน
    ก็สามารถจะช่วยเราให้ปลอดภัยไปได้ เสียงที่พ่อพูดออกไป ถ้ามีเสียงรบกวน
    โปรดทราบ ว่าถึงแม้ว่าเวลานี้จะดึกสงัด เกือบจะถึงเวลา ๒๔ นาฬิกาแล้ว
    แต่ว่า เสียงรถมอเตอร์ไซค์ยังดังชัด พรืดพราดๆ ฉะนั้นว่า ภาระของคนนี่ยังไม่หมด

    เป็นอันว่า หลังจากออกจากจังหวัดกระบี่ เราถูกสะกดรอยทั้งรถยนต์
    และรถมอเตอร์ไซค์ เวลาที่เราพักฉันบริโภคอาหารกลางวันกัน ตอนนั้น
    คนที่มีความหนักใจมากที่สุดก็คือ จ่าสิบตำรวจตระกูล เปาริก
    เพราะคนนี้เป็นคนฉลาดในการดูคน ดูลีลาของคน มีความคิดเห็นว่า
    ทุกคนยังไม่ควรจะกินอาหาร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงในใจนึกและปรารภกับพ่อ
    พ่อเองก็ไม่ได้ทราบ ว่าเขาจัดอาหารเอาใส่ปิ่นโตมาด้วย ถ้าพ่อทราบอย่างนั้น
    พ่อก็ไม่ยอมให้รถแวะเหมือนกัน เพราะการแวะคราวนั้น เป็นการเสี่ยงที่หนักที่สุด
    ระยะที่รถเราเสีย ต้องแก้ไขกันที่ปลายพระยา ก็เป็นจุดที่มีความสำคัญที่สุด
    ทั้ง ๒ จุด เป็นจุดที่มีการจี้ปล้นกันบ่อยที่สุด จงอย่าคิดว่าตลาดคนมากจะช่วยอะไรเราได้
    มองดูตาคนให้ดี จริยาของคนในที่นั้น รู้สึกว่า เขามองเราเห็นเป็นอาหารที่โอชะ
    ไม่ใช่ว่าเขาจะเห็นพระแล้วเขาเคารพ อย่าลืม ว่าคนที่มีคติตรงกันข้ามกับรัฐบาลก็ดี
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครื่องหมายศูนย์ของเราบอกชัด ว่าเป็นศูนย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    เขาก็ยิ่งเกลียดเรามาก เป็นอันว่า เราปลอดมาได้พอดี ฉะนั้น
    การเดินทางในสายนี้ด้วยรถยนต์ก็ดี หรือรถไฟก็ดี ไม่มีอะไรจะปลอดภัยเลยลูกรัก
    ปัญหามีอยู่ว่า ถ้าเราจะมีมาเครื่องบิน จะปลอดภัยมั้ย นั่นก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องหนักใจมาก
    เครื่องบินก็ไม่ใช่เป็นจุดศูนย์ที่จะปลอดภัย เราจะมองเห็นอันตรายที่เกิดจากเครื่องบินอยู่เสมอๆ

    เมื่อเข้ามาถึงสถานีที่พักของเรา บ้านรับรอง ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้จัดทำ
    ท่านรองผู้กำกับอ้วน ผู้เฒ่า เคยให้พ่อไปติดดาวอยู่ที่สตูล เวลานั้นท่านอยู่ในป่า
    ไปขัดตาทัพรับมือกับข้าศึก ท่านบอกว่า คิดว่าพวกเราจะมาถึงเวลาประมาณบ่ายโมง
    เพราะทางวิทยุ วิทยุมาบอกว่า เราจะกินเพลกันที่ห้วยยอด ท่านคิดว่า คงจะถึงเวลาบ่ายโมง
    จึงไม่ได้จัดอาคารไว้ แต่ก็ไม่เป็นไร ไปที่ไหนเราก็ทำกันได้ เรื่องความสะอาด
    ท่านจัดที่กันไว้ให้ที่กองร้อย แต่พวกเราไม่นอนกัน คิดว่าบนกองร้อยมันร้อน
    สู้ข้างล่างไม่ได้ ที่โรงเรียน หรือที่ที่หอประชุม แต่ว่า ผลที่สุด พวกเราก็กลายเป็นคนเดินเรือ
    อยู่กราบขวาย้ายมากราบซ้าย จากกราบซ้ายย้ายไปกราบขวา ทั้งนี้เพราะอะไร ฝนตก
    ทรายเข้ามาเป็นฝาโล่ง แต่พวกเราก็ทำกันได้ ดีเหมือนกัน นี่เป็นการซ้อมกันไว้
    เพราะการมาคราวนี้เราไม่มีงาน มาถึงทุ่งสงลูกรัก ถึงสุราษฎร์ธานี ขณะที่รถเราแก้
    เปลี่ยนยางกันแล้ววิ่งไปสายด้านโน้น ข้ามฟากไป พ่อคิดถึงท่านหญิงวิภาวดี
    ว่าท่านหญิงวิภาวดีถูกยิงจาก ฮ. จากที่บ้านหลังคลองหรือเหนือคลอง ไปลงที่นั่น
    เจ้าหน้าที่เขาก็จัดศพพระศพของท่าน ไปทำความชำระศพให้สะอาดที่โรงพยาบาล
    พ่อกับหลวงปู่ธรรมชัยก็ไปด้วย แต่ก็น่าแปลก ลงไปแล้วไม่มีใครเขาพูดด้วย
    เจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่ไปด้วยกันเขาก็ไม่พูดด้วย ต่อมาเมื่อจัดพระศพเสร็จ
    เขาจะเอาศพไปกรุงเทพ หลวงปู่ธรรมชัยบอกว่าอยากจะไปด้วย
    จึงได้กราบเรียนท่านบอกว่า ไปไม่ได้ เราเป็นพระ เขาไม่ได้นิมนต์

    จนกระทั่ง ท่านผู้กำกับคือสุดินทร์แล้วก็ร้อยโทยุทธนามาหา จึงได้มีคนคุยด้วย
    วันนั้นพ่ออดข้าวทั้งเช้าทั้งเพล ความจริงเช้าฉัน ฉันข้าวต้มนิดหนึ่ง
    คิดว่าตอนเพลจะฉันให้อิ่ม ก็เลยไม่ได้ฉัน นั่งอยู่ตรงนั้นท่านผู้กำกับ
    กับร้อยตำรวจโทยุทธนายังไม่มา มีคนเขานั่งอยู่ตรงนั้นมาก
    แต่ไม่มีใครเขาอยากจะคุยด้วย ก็เป็นที่น่าแปลก
    สุราษฎร์ธานีเป็นเมืองของท่านพุทธทาส ท่านตั้งอยู่ใกล้ๆ
    ท่านอบรมใจของบุคคลด้วยธรรมะ แต่บุคคลเข้าถึงธรรมะไม่มี น่าแปลก
    แสดงว่าปราศจากความเมตตาปรานีเสียจริงๆ หรือเขาว่า
    เห็นพระสงฆ์เป็นผู้บ่อนทำลายความเจริญของชาติ เป็นตัวถ่วงความเจริญของชาติก็ได้
    จึงไม่มีใครเขาสนใจ แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ก็ไม่น่าจะแปลกใจ
    ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของโลก พระไม่ได้บวชมาเพื่อให้ชาวบ้านเขาโอ๋
    พระไม่ได้บวชมาเพื่อรองรับไหว้ของใคร พระไม่ได้บวชมาเพื่อรับการบูชาของบุคคลอื่น
    อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสกับพราหมณ์ พราหมณ์ถามว่า
    ท่านบวชมาแล้วต้องการการสักการะบูชาของชาวบ้านใช่ไหม
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงตรัสว่า
    ทรงตรัสว่าพราหมณ์ การบวชของเรา เราไม่หวังการบูชาของบุคคลใดทั้งหมด
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัส ว่าการบวชของเรา
    เราไม่หวังการบูชาของใครทั้งหมด ลูกรัก เว้นไปนิดหนึ่ง
    อยู่ดีๆ มันก็ไอขึ้นมาเฉยๆ เจ้าร่างกายมันไม่ดีอย่างนี้
    พ่อจึงไม่ปรารถนาในมัน องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงตรัสว่า ที่บวชมานี้
    เราก็ดี พระสาวกของเราก็ดี บวชมาเพื่อหวังความดับไม่มีเชื้อของกิเลส
    นี่ความประสงค์ขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ และพระสาวกทั้งหมดเป็นอย่างนี้
    ฉะนั้นในวันนั้น เขาจะแสดงอาการอย่างไรกันก็ตาม พ่อไม่มีความรู้สึก
    นึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา

    แต่ว่าสถานการณ์ทางภาคใต้เวลานี้ยังไม่สงบสงัด ทั้งนี้เพราะอะไร
    ก็เพราะว่ากำลังของฝ่ายตรงกันข้ามยังคับคั่ง พ่อก็สงสัยในยุทธวิธี
    ที่พื้นที่ๆ เขาตีได้แล้วนี้ ทำไมจึงไม่ยึดที่พื้นที่ไว้ ถอยออกไป
    พวกนั้นเข้ามาใหม่ก็สร้างกำลังแข็งแกร่ง อย่าลืมว่า
    ข้าศึกของประเทศ ภาคใต้ไม่เหมือนกับภาคเหนือ
    เพราะว่าข้าศึกภาคใต้มีความอิ่มหมีพีมัน อาหารต้องการง่าย
    เพราะพื้นที่แคบ แต่ก็น่าแปลกอยู่นิด ที่การรบจะต้องรบกัน
    ในฐานะที่เราเป็นคนไทยด้วยกัน แต่การรบก็มีรบไม่
    รู้สึกว่าจะเป็นการรบตามแบบฉบับ ตามตัวหนังสือซะมากกว่า
    แต่ลีลาของบุคคลที่ตรงกันข้ามเขารบนอกแบบ แต่การรบแบบนี้ถ้าทำอยู่เป็นปกติ
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พ่อก็คิดว่า มันจะสูญเสียมากกว่าได้
    ถึงแม้ว่าเราจะเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่เป็นแบบการุณยเทพ
    แบบการุณยเทพหมายความว่าเทว..เมตตา กรุณา
    คือมีความกรุณาแบบเทวดาสงเคราะห์ แต่แผนของการุณยเทพดี
    สำหรับบุคคลคือเจ้าหน้าที่มีความสำคัญ เรื่องเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเนี่ย
    บรรดาลูกรัก ลูกเองทั้งหมดก็เป็นข้าราชการ เมื่อเรามีวิชาความรู้
    ความรู้ดีแล้ว ถ้าหากว่าความประพฤติเราไม่ดี จิตไม่ประกอบไปด้วยธรรม
    ความรู้ดีไม่ได้ทำให้คนดีได้ คนที่จะดีได้ก็เพราะอาศัยใจดี
    มีความประพฤติดี จิตประกอบด้วยความเมตตาปรานี มีพรหมวิหาร ๔
    ละอคติ ๔ ตัดความละโมบโลภโมโทสัน ตัดความโกรธความพยาบาท
    ระงับใจให้มั่น ตั้งอยู่ในความดี มันถึงจะดีได้
    การุณยเทพแปลว่าเทวดาผู้มีความปรานี แต่ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ใช่เทวดา
    เป็นคน พ่อหนักใจ

    เขาลือกันว่า แผนงานนี้เริ่มมาตั้งปี พ.ศ.๒๔๕๗ ขอโทษ พ.ศ.๒๕๑๗
    เป็นแผนที่เขาเขียนด้วยหนังสือภาษาไทยชัด มอบให้รัฐสภาสมัยนั้น
    แต่รัฐสภาเห็นว่า เป็นหนังสือที่ไทยเขียน ไม่สนใจ
    ปล่อยทิ้งไว้ ต่อมา ปี พ.ศ.๒๕๒๐ คนเขาเล่าให้ฟัง พ่อจำ พ.ศ. ไม่ได้ชัด
    เขาต้องเขียนเป็นภาษาฝรั่ง เอาไปลงหนังสือบางกอกโพสต์ เขาว่ายังงั้น
    ว่าเรื่องแล้วก็ส่งเข้าไปให้รัฐสภา รัฐสภาจึงได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณา
    แผนการนี้เป็นแผนการที่ดีมาก บ้านเมืองไม่ต้องใช้ผู้ใหญ่บ้านกำนัน ก็เป็นอันว่า
    เป็นบ้านเมืองที่มีกรรมการ ประธานกรรมการ มีสาธารณสุข มีตำรวจ
    มีอะไรต่ออะไรเสร็จในตัวเสร็จ ป้องกันตัวเอง แล้วก็มีสุขาภิบาล
    มีการช่วยในการอาชีพ มีการคลังของหมู่บ้านเอง เรียกว่าทำคล้ายๆ เมืองเล็กๆ
    อันนี้ดีมาก เหมือนกับรัฐเล็กๆ รัฐหนึ่งเหมือนกัน แต่ว่าน่าแปลกใจ
    เจ้าหน้าที่มาบอกว่า คนไทยเขียน เขียนภาษาไทย คนไทยไม่อ่าน
    ต่อมาเมื่อคนไทยเขียนเป็นภาษาฝรั่ง ให้ฝรั่งคนหนึ่งส่งให้ คนไทยอ่าน
    ถ้าคนไทยเรายังมีน้ำใจเป็นอย่างนี้ ความเป็นไทยของเรามันก็น้อยไป
    เพราะว่าถ้าคนไทยพูด คนไทยไม่รับฟัง คนไทยทำ คนไทยไม่ต้องการ
    ต้องการอย่างเดียว ต้องเป็นของฝรั่ง ถ้าฝรั่งพูด คนไทยฟัง คนไทยฝรั่งทำคนไทยใช้
    ฝรั่งขายคนไทยซื้อ อย่างนี้เรียกว่า เราขาดชาตินิยม เมื่อชาติของเราเองเราไม่นิยม
    ใครเขาจะมานิยมเรา เราก็เป็นการเสียเปรียบเขาอยู่ตลอดเวลา

    เป็นอันว่า เวลานี้เรามาอยู่ที่ทุ่งสง ในตชด. เขต ๘ ท่านผู้กำกับ
    ภรรยาของท่าน แล้วก็ร้อยตำรวจโทยุทธนา และทุกท่านที่อยู่ที่นี่ก็รู้สึกว่าดี
    เราจัดสถานที่กันเอง เพราะว่าเราไม่อยู่ที่ท่านจัดให้ ปรากฏว่ามีความสะดวกสบาย
    เรามีความสุข ได้รับความเมตตาปรานีจากท่านพันตำรวจเอกสุดินทร์เป็นอย่างมาก
    กับภรรยา ท่านเมตตาปรานีทุกอย่าง ถือว่าเป็นที่พักแบบสบาย สำหรับเมืองคอน
    หรือว่านครศรีธรรมราช ที่จะเที่ยวก็มี ไปไหว้พระบรมสารีริกธาตุ ในพระเจดีย์หลวง
    ที่ในเมืองนครศรีธรรมราช นอกจากนั้นก็มีอีกจุดหนึ่ง พ่อไม่กล้าพาไป
    การไปจากทุ่งสงไปนครศรีธรรมราชในช่วง ๑ ทุ่มกับ ๔ ทุ่ม ในทางการระหว่างนั้น
    เขาเคยมีการจี้รถกันตั้ง ๑๗-๑๘ คัน และก็ช่วงเช้าเวลาเช้าตรู่อีกช่วงหนึ่ง
    จุดนั้นเขาก็มีการจี้กัน เราไม่กล้าไป ถ้าไปก็เสี่ยงเกินไป ฉะนั้น การจะไป
    ก็ต้องไปกันตอนกลางวัน ต้องคอยลูกทั้งหมดมาพร้อมกัน
    ไปชมพระเจดีย์และดูโครงปลาวาฬ ดูของบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
    ที่เต็มไปด้วยทองคำล้วนๆ ถ้าจะคิดเป็นมูลค่า
    ก็เห็นจะเป็นหลายสิบล้านบาท นอกจากนั้นก็มีที่อีกที่หนึ่ง นั่นก็คือ
    ที่พระเจ้าตากสินมหาราชสมัยบวชเป็นพระ มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง
    มีกุฏิอยู่ข้างหน้า สำหรับที่จำพรรษาและจำศีลของพระเจ้าตากสินมหาราช
    สมัยบวชเป็นพระ แล้วก็สวรรคตที่นั่น
    ที่ตรงนั้นเป็นประวัติศาสตร์ แต่ก็ไม่มีอะไรมาก ถ้าเราไปเห็นเราก็เห็นแต่ถ้ำ
    เห็นก็เห็นแต่กุฏิ ก็ดีหน่อย กุฏิหลังเก่าพังไป เขาก็สร้างขึ้นมาใหม่เหมือนรูปเดิม
    เป็นกระท่อมเล็กๆ เป็นอาคารห้องครึ่ง ไม่ใช่ ๒ ห้อง น้อยๆ ท่านอยู่แบบสันโดษ
    แบบอยู่แบบสงัด เป็นอันว่า สถานที่ที่จะเที่ยวก็มีอีกแห่งหนึ่งคือน้ำตกกลม
    แล้วก็ไปทางด้านสุราษฎร์ธานี ไปจากนี่ก็ไม่ไกล คือน้ำตกวิภาวดี
    แล้วก็ไปถ้ำเสือของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีท่านพระมหาจำเนียรอยู่ที่นั่น
    ไอ้ถ้ำเสือนั้นเข้าไปภายใน มันมีความรื่นเริงมาก แต่ว่าการไปมันยาก
    เกี่ยวกับการเสี่ยงภัยลูกรัก พ่อจึงไม่พาลูกไป ความสนุกความสบาย
    ความรื่นเริงหรรษาที่ได้ มันไม่พอกะอันตรายที่จะบังเกิดขึ้น
    พ่อจึงไม่พยายามไปที่นั่น เป็นอันว่า สถานที่จะเที่ยวกัน เราก็รอมาพร้อมกัน
    เพราะว่าถ้าไม่พร้อมกัน ถ้าไปมันก็ไม่ดี การเดินทางสองคราวสามคราวอย่างนี้
    มีการสิ้นเปลืองไม่สำคัญ แต่ความเหน็ดเหนื่อยมาที่นี่พ่อรู้สึกว่าได้พักมาก
    ร่างกายรู้สึกว่าดีขึ้น แล้วก็ทุกคนที่มา ต่างคนก็เหน็ดเหนื่อยกันมา
    ต่างคนต่างก็ได้พักผ่อนกันอย่างดี

    หลังจากนี้ วันที่ ๒๓ เราก็ต้องเดินทาง เปลี่ยนแผนการใหม่
    ว่าจะไปนครศรีเออว่าจะไปหาดใหญ่ เราก็ต้องเลยไปยะลา
    เพราะว่า เวลากลับมา ถ้าจากยะลาไปหลังสวน เราจะต้องเดินทางถึง ๑๔ ชั่วโมง
    ทนไม่ไหว มาอยู่ยะลาตามหมายกำหนดการแล้วก็กลับมาพักที่หาดใหญ่
    ออกจากหาดใหญ่ไปหลังสวนพอทน เป็นอันว่า สำหรับเรื่องนครศรีธรรมราชนี้
    พ่อขอเล่าไว้ก่อนหน้าที่จะไปเที่ยว นั่นก็คือที่พระบรมสารีริกธาตุในตัวเมือง
    ความจริงพ่อมาเมืองนี้บ่อยๆ แต่พ่อก็ไม่มีโอกาสเที่ยวที่ไหน
    เพราะว่าพ่อมาคราวไรก็มาทำแต่งาน ตอนเช้าเวลาโมงเช้าพ่อฉันอาหาร
    เสียง ฮ. วิ่งปั้บๆๆๆ ไปเพื่อรับ รับแล้วก็ไปทำงานในป่า กลับจากป่าก็ค่ำ
    ตอนค่ำดีไม่ดีพ่อก็ต้องนอนให้น้ำเกลือ ตอนเช้าก็ไปทำงานใหม่
    ทำงานแบบนี้จนจบจุดเขตนี้แล้วก็ไปปักษ์ใต้ คือไปที่สงขลา
    ก็มีงานแบบนี้เช่นเดียวกัน เวลากลับพ่อก็กลับรถไฟ กลับเวลาค่ำ
    ไม่รู้จะไปทางไหน ไม่รู้ว่าอะไรมันอยู่ที่ไหน เป็นอันว่าพ่อมาบ่อยๆ
    ในปักษ์ใต้ แต่พ่อก็โง่ในถนนหนทางและสถานที่อยู่
    แม้แต่ในตลาดนครศรีธรรมราชเอง มีอะไรบ้างพ่อยังไม่รู้จัก
    แล้วก็ในตลาดทุ่งสงนี่มาพักบ่อยๆ พ่อก็ยังไม่รู้ว่าในตลาด ห้องมันมีกี่ห้อง
    ยาวเหยียดมีกี่สายไม่รู้เหมือนกัน พ่อไม่มีเวลาเที่ยว

    เอ้าสำหรับเรื่องนครศรีธรรมราช พ่อก็ขอบันทึกแต่เพียงหน้าเดียว
    เวลานี้เทปก็จะหมดหน้าอยู่แล้วก็ขอหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้
    ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ลูกรักทุกคน สวัสดี
     
  12. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    12.เรื่องจากอุทัยฯ,ชัยนาท,สุพรรณฯ-เรื่องเสือฝ้าย,ขุนช้างขุนแผน@22เมษายน2521.mp3
    บรรดาลูกรักทั้งหลาย วันนี้ เป็นวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๒๑
    เวลา ๙ นาฬิกา ๕๒ นาที และก็ยังพักอยู่ที่ตระเวนชายแดนเขต ๘
    อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้มีเวลาพักผ่อนตั้งแต่ตอนเช้า
    รู้สึกว่าวันนี้ ร่างกายพอจะเป็นผู้เป็นคนกะเขามาบ้าง เพราะว่า
    ได้มีการตรากตรำทำงานหนักมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๒๐
    เกือบจะไม่มีเวลาพักผ่อนเสียเลย วันนี้ตอนเช้าเห็นว่าพอมีเวลา
    ก็ปรากฏว่า หลังจากตื่นนอนพักผ่อนในเช้ามา ๙ นาฬิกา ๔๐ นาทีเศษ
    มีสัญลักษณ์พิเศษเกิดขึ้น คำว่าสัญลักษณ์ก็คือความเตือน
    ถึงประวัติภูมิประเทศในการที่ผ่านมา การเดินทางผ่านมาตั้งแต่จังหวัดอุทัยธานี
    ถึงนครศรีธรรมราช ปรากฏประวัติทั้งปัจจุบัน ใกล้ปัจจุบัน
    และอนาคตใกล้ปัจจุบัน อนาคตไกลปัจจุบัน จึงขอนำมาเล่าย่อๆ เพื่อสู่กันฟัง
    ไม่เยิ่นเย้อนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขตจังหวัดอุทัยธานี
    ที่เราอยู่กันคือเป็นที่ตั้งของวัดท่าซุง เขตนี้ท่านบอกว่า
    เป็นเขตของเมืองสุโขทัยเก่า และก็สำหรับด่านที่ยันกับกรุงศรีอยุธยา
    ก็ได้แก่เมืองนครสวรรค์ เป็นด่านของสุโขทัย และสำหรับฝ่ายกรุงศรีอยุธยา
    ก็มีเมืองชัยนาทเป็นเมืองด่าน เป็นอันว่าเราจะเห็นว่า เมืองไทยสมัยนั้น
    ดูแล้วเป็นประเทศ ๒ เมือง ทั้งนี้มิใช่ว่า เป็นของเลว จะว่าเป็นของดีก็ไม่ได้
    เลวก็ไม่ได้ เป็นไปตามกฎธรรมดาของธรรมชาติ ความเป็นไปตามแต่ละสมัย

    ถ้าจะกล่าวกันไป สุโขทัยเป็นเมืองแม่ เกิดขึ้นก่อนกรุงศรีอยุธยามาก
    แต่ทำไมคนไทยจึงตั้งกรุงศรีอยุธยาขึ้นอีก ก็เพราะว่า
    หลังจากเมืองแม่สุโขทัยเกิดขึ้นแล้ว คือเมืองไทยเกิดขึ้น ๒
    จุดในตอนต้น ตอนต้นจริงๆ เป็นเขตของโยนกนคร
    เป็นเมืองไทยที่ตั้งเอกราชจากขอม ถ้าจะกล่าวกันไปจริงๆ ล่ะก็
    คนไทยสายเหนือที่เข้ามาจากประเทศจีน จะถือว่า ตามประวัติศาสตร์บอกว่า
    คนไทยตั้งถิ่นฐานเดิมอยู่ประเทศจีน อันนี้ก็ไม่จริง ตามสัญลักษณ์แห่งนิมิต
    ท่านบอกว่า สมัยนั้นคนไทยอยู่เรี่ยราดกันเป็นไปหมด พื้นฐานถิ่นเดิมจริงๆ
    คนไทยอยู่ชายทะเลฝั่งแหลมทอง และก็เรี่ยราดกันไป หากินกันเรื่อยไป
    ในที่สุดก็ไปตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นการขยายเขต อยู่แถวประเทศจีน
    คือไปจากเขตเดิม แต่ก็ไม่ได้ไปหมด เป็นแต่เพียงไปหากินกันเท่านั้น
    เวลานั้นยังไม่รวมกลุ่ม ยังไม่รวมก้อนจัดเป็นเมือง เป็นแต่เพียงว่า
    เป็นบุคคลบางเผ่า บางพวก ถือสัญชาติ ซื้อพรรคซื้อพวก
    มีสัญชาติเดียวกัน พูดเหมือนกัน มีวัฒนธรรมอย่างเดียวกัน
    ถ้าจะกล่าวกันไปที ก็เรียกว่า เป็นคนตระกูลเดียวกันนั่นเอง
    ขยายเขตขึ้นไปถึงประเทศจีน เมื่อทางโน้นเกิดการหากินไม่ดี
    มีความเป็นอยู่ไม่เป็นสุข ก็ขยับขยายลงมา
    แต่ว่าเวลาเป็นร้อยๆ ปีนี่ คนเก่าที่ไปก็ตายหมด ทีหลังก็เลยปรากฏคิดกันว่า
    คนไทยอยู่ในเขตของประเทศจีนมาก่อน แต่ว่าคนไทยท่านกล่าวว่า
    ที่เรียกว่าไทยมุง เป็นไทยที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนมาก
    แต่เรื่องนี้จะเก็บไว้พูดทีหลัง

    เป็นอันว่าระยะหลังนี้ เมื่อคนไทยแยกเป็น ๒ พวก คือเขตสุโขทัย
    หลังจากโยนกนครต้องสลายตัว เพราะคนที่มีเขามีกำลังมากกว่า
    และมีอำนาจมากกว่า ต่อมาก็มาตั้งถิ่นฐานขึ้นใหม่ รวมกำลังกันขึ้น
    ยึดอำนาจจากขอม แต่ความจริงขอมก็ไม่ใช่เขมร
    ขอมก็ไม่ใช่เจ้าของพื้นเพเดิม เป็นแต่เพียงว่า
    เวลานั้นเขามีอำนาจมากกว่า เรารวมตัวกันไม่ติด
    อามิส(อมิตร)จึงได้ทำลายพวกเราให้กลายเป็นทาสของเขา
    หลังจากคนกลุ่มน้อย คนไทยกลุ่มน้อย
    คือพวกพ่อขุนศรีอินทราทิตย์กับพ่อขุนผาเมือง รวมกำลังขึ้นมาได้
    ก็ยึดอำนาจจากขอมเป็นเขตของไทยโดยเฉพาะ
    ไม่ยอมเป็นทาสของขอม หลังจากนั้นมา
    อาณาจักรของไทยก็หย่อนอำนาจลง คือหลังจากโยนกนคร
    เมื่อพระเจ้าพรหมมหาราชมีอำนาจปกครอง แต่ว่าตอนหลังลูกๆ
    กลับไม่มีความเข้มแข็งพอ ต้องเสียเขตให้แก่คนพวกหนึ่งไป
    และต่อมาสุโขทัยจึงได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่
    และในตอนต้นก็มีกำลังใหญ่เหมือนกัน เช่นสมัยพ่อขุนรามคำแหง
    มีกำลังใหญ่ สามารถจะปราบปรามยึดเขตประเทศได้ถึงสิงคโปร์
    และทางมะริดกับทวายฝั่งพม่าด้านของมอญ ก็เป็นของเรา
    รวมอาณาจักรเดียวกันกับอาณาจักรของไทย แต่ว่า
    บรรดาลูกของพระเจ้าพรหมมหาราชคนหนึ่ง
    มาตั้งเชื้อสายเกิดขึ้นที่อำเภออู่ทอง ที่เขาเรียกกันว่า
    เมืองอู่ทอง ในเขตของทวารวดี ตอนนี้เรายังไม่ผ่าน
    ยังไม่ผ่านถึง เป็นอันว่า จุดนี้ ตามประวัติศาสตร์เขาก็มีบอก

    เป็นอันว่าทราบว่า เมืองอุทัยธานี เดิมทีเป็นเขตของจังหวัดสุโขทัย
    หรือประเทศสุโขทัย ชัยนาทเป็นเขตของกรุงศรีอยุธยา
    และก็เมืองนครสวรรค์เป็นด่านของสุโขทัย ชัยนาทเป็นด่านของกรุงศรีอยุธยา
    มีพระเจ้าสามพระยาเป็นนายด่าน เป็นผู้ปกครองด่าน
    เป็นลูกของกษัตริย์ เดินทางผ่านมาจากวัด
    เข้าเขตอำเภอวัดสิงห์แห่งจังหวัดชัยนาท ผ่านมาอีกหน่อยหนึ่ง
    เข้าเขตอำเภอสรรค์บุรี สรรค์บุรีนี้เดิมทีก็เป็นเมือง
    เมืองด่านของจังหวัดเอ้อของกรุงศรีอยุธยา
    แต่ก่อนที่จะเป็นเมืองด่านของกรุงศรีอยุธยา
    ปรากฏว่าเขตของสรรค์บุรีเป็นเมืองโบราณมาก่อน รวมเป็นกลุ่มเป็นก้อนกันเข้า
    และต่อมาก็ตั้งเป็นเมือง ไม่ทราบว่าเรียกว่าเมืองอะไร แต่ว่าเป็นเมืองใหญ่
    ทราบว่าก่อนที่จะเป็นเมืองด่านของกรุงศรีอยุธยานั้น
    ก็มีกษัตริย์ผู้ครองนครสรรค์บุรีนี้ถึง ๗ พระองค์ ที่ทราบก็เพราะว่า
    เคยไปนอนที่อำเภอสรรค์บุรี มีบรรดาบรรพกษัตริย์ทั้งหลาย
    ที่ตายไปแล้วมาปรากฏให้เห็น และก็บอกนาม นามก็ลืมชื่อ
    และก็บอกสมัย บอกความเป็นอยู่คนพื้นที่ เป็นอันว่า
    กษัตริย์ในสมัยนั้นก็ไม่มีอะไรมาก จากตำแหน่งพ่อเมือง
    ภาษีอากรก็ไม่ค่อยได้เก็บกัน เป็นแต่เพียงว่า
    รวบรวมทรัพย์สมบัติได้มาก ใครหาทองมาได้ ใครหาเงินมาได้
    ใครหาของมาได้ ก็มาขายให้กษัตริย์ กษัตริย์เป็นผู้รับซื้อผล
    ที่บรรดาประชาชนทำได้ขึ้นมา และกษัตริย์ก็คือพ่อค้า
    นำของทั้งหลายเหล่านั้นไปขายยังต่างประเทศ
    สำหรับสมัยที่เป็นเมืองด่าน ก็มีพระเจ้ายี่พระยา
    คือลูกคนที่ ๒ ลูกคนที่ ๒ ของราชาแห่งกรุงศรี
    พระนครศรีอยุธยาเป็นเมืองด่าน เรื่องนี้เคยเล่าประวัติมาแล้ว
    เลยจากชัยนาท เดินทางเข้ามา เข้าเขตจังหวัดสุพรรณบุรี
    เมื่อเห็นวัดท่าช้างและก็อำเภอเดิมบาง เมื่อเห็นวัดท่าช้างเข้าแล้ว
    เห็นอำเภอเดิมบางเข้าแล้ว ก็นึกถึงบุคคลที่น่าจะเป็นประวัติศาสตร์
    นั่นก็คือ เสือฝ้าย สมัยนั้นเสือฝ้ายเป็นผู้มีอำนาจมากในเขตนี้
    และก็มีเสือย่อม มีเสืออะไรต่อเสืออะไร เสือมเหศวร เสือดำ
    เสือครึ้ม หลายเสือ คำว่าเสือเสือก็หมายถึงว่าคนดุ

    โดยความจริงถ้าเราจะพูดกันโดยธรรม มองเข้าไปหากรุงศรีอยุธยาก็ดี
    สมัยก่อน ไปหาสุโขทัยก็ดี ไปดูพระราชาทั้งหลาย
    ที่ปกครองตั้งแต่โยนกนครก็ดี เจ้าอ้ายเจ้ายี่เจ้าสามพระยาก็ตาม
    คนที่มีชื่อในประวัติศาสตร์ เวลานี้ลูกรัก จะเห็นได้ว่า
    ท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีแต่ชื่อ และก็มีจำนวนมากที่ชื่อก็ไม่มีคนจะจำได้
    สมัยที่ทรงชนม์อยู่ในสมัยนั้น เป็นคนที่มีชื่อเสียง
    เป็นคนที่มีอำนาจวาสนาบารมี รวมความว่าเป็นคนดี ไม่ใช่คนเลว
    เป็นคนที่ชาวบ้านรัก แต่ทว่า เวลานี้ท่านไปไหน
    บางท่านชื่อท่านยังปรากฏ แต่ตัวไม่มี มีมากรายด้วยกันที่ไม่มีแม้แต่ชื่อ
    ตอนนี้นะลูกรักทั้งหลาย จงจำไว้ว่าท่านกับเรามีสภาวะเสมอกัน
    คือมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง
    และก็มีการสลายตัวไปในที่สุด ท่านกับเราที่เสมอกัน
    เสมอกันโดยไตรลักษณะ คืออนิจจังหาความเที่ยงไม่ได้
    ทุกขังเมื่อมีความเป็นอยู่ต้องทำมาหากิน ทรงอาชีพเลี้ยงอาชีพ
    ทำงานการ สุขบ้างทุกข์บ้างไปตามสภาพของคนที่มีชีวิต
    ในที่สุด ชีวิตก็สลายตัวไป จงจำไว้ อย่าถือสัญลักษณ์แห่งร่างกายเกินไป
    อย่าถือทรัพย์สินมากเกินไป จงจำไว้ว่า เราจะต้องตาย ถ้าเรายังดีไม่พอ
    ตายแล้วเราก็เกิด เกิดแล้วเราก็มีทุกข์ เกิดเป็นคนเป็นทุกข์อย่างคน
    เกิดเป็นสัตว์เป็นทุกข์อย่างสัตว์ เกิดเป็นอสุรกายเป็นทุกข์อย่างอสุรกาย
    เกิดเป็นเปรตเป็นทุกข์อย่างเปรต เกิดเป็นสัตว์นรกเป็นทุกข์อย่างสัตว์นรก
    เกิดเป็นเทวดาสุขอย่างเทวดา เกิดอย่างพรหมสุขอย่างพรหม แต่สุขไม่นาน
    ผลที่สุดจะละความสุขนั้นมาหาความทุกข์ สู้ไปพระนิพพานไม่ได้
    นิพพานมีความสุขที่เป็นเอกันตบรมสุข เป็นความสุขที่ยอดเยี่ยม
    จะหาความสุขอื่นใดสม่ำเสมอไม่มี การที่จะไปนิพพานได้นี้
    ก็ต้องถือความทุกข์ของคนอื่นเป็นครู แล้วก็มามองดูความทุกข์ของเรา
    และก็ดูคนที่เขามีความสุขคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ท่านมีความสุขแล้วท่านก็สอนให้คนอื่นมีความสุข คนอื่นได้แก่พระอรหันต์ทั้งหลาย
    ท่านทั้งหลายเหล่านั้นรับฟังคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไร
    และปฏิบัติแบบไหน เวลานี้เราคำสอนทั้งหลายเหล่านั้นถึงเราแล้วทุกคน
    ฉะนั้น หากว่าบรรดาลูกรักทุกคนไม่พึงปรารถนาในความทุกข์
    ต้องการความสุข พ่อคิดว่า เป็นเหตุไม่เกินวิสัยที่เจ้าทั้งหลายจะพึงปฏิบัติได้

    เอ้าเราก็มาดูกันไป สมัยเสือฝ้าย เสือครึ้ม เสืออะไรต่อเสืออะไร
    ที่เขามีความยิ่งใหญ่ในเขตของสุพรรณบุรีคือตอนอำเภอเดิมบาง
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสือฝ้ายเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่และก็เป็นโจรร้าย
    แต่ความจริง เสือฝ้ายไม่ใช่โจรร้าย นิสัยเดิมของเสือฝ้ายเป็นคนดี
    เป็นคนธรรมะธรรโม ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน และก็เป็นผู้ใหญ่ที่ดี
    ตามประวัติเขาเล่าให้ฟังว่ากำนันหมดสภาพไป
    ผู้ใหญ่ซึ่งผู้ใหญ่บ้านซึ่งอยากปรารถนาจะเป็นกำนัน แต่ทว่า
    คนเห็นว่าผู้ใหญ่ฝ้ายดีกว่า ท่านผู้ใหญ่คนนั้น
    จึงได้หาทางเข่นฆ่าท่านผู้ใหญ่ฝ้ายโดยนำเจ้าหน้าที่มา
    บอกว่าผู้ใหญ่ฝ้ายเป็นโจร รับฆ่าปล้นคนอยู่ มีโทษมาก ไล่เข่นฆ่าผู้ใหญ่ฝ้าย
    ซึ่งในที่สุด ผู้ใหญ่ฝ้ายก็ต้องเข้าป่า เมื่อความเจ็บช้ำเกิดขึ้นมา
    กรรมที่เป็นอกุศลมันให้ผลก็ต้องคิดแก้มือกัน นี่เป็นเรื่องของคนเป็นธรรมดา
    ก็หันกลับเข้ามาก็ฆ่าผู้ใหญ่คนนั้นตาย ในที่สุด
    ผู้ใหญ่ฝ้ายก็กลายเป็นโจรฝ้ายและเสือฝ้าย แต่ว่าเป็นโจรและเป็นเสือที่มีอำนาจมาก
    พ่อรู้จักหน้าเธอดี เป็นคนมีใจจิตใจเมตตาอารีอ่อนโยนอ่อนช้อย
    เป็นที่รักของคนทั้งหลาย ในสมัยที่เป็นเสืออยู่เวลานั้น
    ปรากฏว่ามีอำนาจใหญ่ คนทั้งหลายมีเรื่องอะไรไม่ขึ้นหาอำเภอ
    ไม่ขึ้นหาตำรวจ ทุกคนไปขึ้นหาเสือฝ้าย บอกว่าดีกว่าไปหน่วยราชการ
    แล้วเขาก็ให้การคุ้มครองทุกอย่างในเขตที่เขามีอำนาจ
    ใครจะมาข่มเหงเสือฝ้ายรับจัดการหมด ปล้นฆ่าเกิดขึ้นที่ไหน
    ยกทัพไปปราบปรามที่นั่น แต่ทว่าลูกรัก เสือฝ้ายเวลานี้ก็มีแต่ชื่อ
    ร่างกายเขาสลายไปแล้ว ไม่ทราบว่ากระดูกของเสือฝ้ายไปอยู่ที่ไหน
    ยังอยู่หรือหายไปไหน ระยะเวลาทางไม่ไกล เวลานี้หลายคนก็ไม่รู้จักเสือฝ้าย
    แต่ความจริง ระยะกาลผ่านมาไม่ไกล เป็นระยะกาลแห่งหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
    เท่านั้น เห็นไหม คำว่าอนิจจังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสมีจริง
    ทุกขังเขามีความสุขด้วยความเป็นคนดี แต่ในที่สุด
    อกุศลกรรมเหล่านี้เข้าสนองใจ กลายเป็นโจรไป เขาทำดีแต่คนอื่นทำร้าย
    เขาก็ต้องกลายเป็นคนร้าย จำไว้ว่าโลกนี้มีอะไรไม่เที่ยง ถ้าเราเกาะความไม่เที่ยง
    มันก็มีทุกข์ แต่ทว่าจะสุขหรือจะทุกข์ก็ตาม อนัตตามันก็เข้ามาถึง อย่ายึดอย่าถือว่า
    มันเป็นเราเป็นของเรา คิดไว้เสมอว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ที่เราจะอยู่กับมัน

    ต่อมาการเดินทางจากอำเภอเดิมบาง ก็เข้ามาถึงอำเภอนางบวช
    หรือที่เราเรียกกันว่าอำเภอสามชุก สามชุกหรือว่าสาวชุก
    ความจริงเดิมเขาเรียกกันว่าสาวชุก เพราะที่นี่มีสาวมาก
    ความจริงคำว่าสาว ที่ไหนก็มี แต่สาวที่นี่อาจจะเป็นสาวที่มีเสน่ห์
    เป็นที่พอใจของชายทั้งหลายมาก หนุ่มทั้งหลายชอบมาคลัวเคลียอยู่ที่นี่
    จึงได้นามว่าสาวชุก ต่อมาศัพท์นั้นก็สลายตัวไปกลายเป็นสามชุก
    สามชุกก็เป็นเมืองสำคัญ แต่ว่าเป็นเมืองย่อยๆ ในสมัยนั้นก็เป็นเขตด่านของเสือ
    ๒ ฝ่าย คือเสือหรือผู้มีอำนาจฝ่ายตะวันตก กับผู้มีอำนาจฝ่ายตะวันออก
    แต่เขาเหล่านี้ยังมีลูกมีหลานอยู่ พ่อจะไม่พูดถึง
    คนฝั่งตะวันตกที่เป็นลูกน้องของเสือใหญ่จะข้ามมาตะวันออกไม่ได้
    เพราะฝ่ายตะวันออกจะรุกราน ถ้าหากว่าคนฝ่ายตะวันออก
    จะไปทางฝ่ายตะวันตกก็ไปไม่ได้ สมัยนั้น เฉพาะลูกน้องของเสือร้าย
    คือนายคือคนบุคคลผู้เป็นใหญ่ สำหรับคนทั้งหลายนี้ไม่มีอะไร
    เขตสามชุกก็เป็นเขตที่ต้องคิดเขตหนึ่ง เพราะว่าเกลื่อนกล่นไปใน
    ในฐานะบุคคลที่ประกาศตนเป็นเสือ และก็เป็นแดนที่ต้องตื่นง่าย
    ต้องหลับง่าย มีความว่องไวมีความคล่องตัว มิฉะนั้นจะไม่พ้นอันตราย
    พ่อจะขอผ่านไปเมืองสามชุก ต่อเมืองสามชุกไป เพราะว่า ถ้าจะเล่ากันไปเรื่องมันยาว
    และมีความสำคัญไม่มาก ดูเหมือนว่า ทางด้านทิศตะวันออกจะเป็นเขตของมเหศวร
    และด้านทิศตะวันตกเป็นเขตของเสือดำผู้เป็นใหญ่

    เราเดินทางต่อไปถึงเขตอำเภอศรีประจันต์ ศรีประจันต์นี่ก็ยังเป็นเขตของเสือมเหศวรอยู่
    แต่ว่าศรีประจันต์ นามเดิม พอได้ยินชื่อนี้แล้วก็มานึกถึงบุคคลคนหนึ่งในประวัติศาสตร์
    เขาเรียกว่า เป็นคำกลอนประวัติศาสตร์ปรัมปราหรือนิยายก็คือ ขุนแผน คำว่าศรีประจันต์
    เป็นหญิงคนหนึ่งในเรื่องของขุนช้างขุนแผน แต่ตอนนั้นเราจะไม่พูดกัน
    พูดกันแต่เพียงว่า ศรีประจันต์ก็เป็นประวัติศาสตร์ตอนหนึ่ง
    ที่พระนเรศวรมหาราชยาตราทัพมาทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชคู่ปรับ
    แต่มีคนเขาถามว่า เจดีย์ยุทธหัตถีเป็นที่ทำยุทธหัตถีใช่ไหม
    มีอยู่ครั้งหนึ่งก็เป็นการบังเอิญ พ่อนอนๆ ก็อยากจะอ่านประวัติศาสตร์
    เมื่ออ่านประวัติศาสตร์ก็อยากจะอ่านเรื่องของขุนเหล็ก
    และก็เรื่องของพระนเรศวรมหาราช เมื่ออ่านไปก็ปรากฏว่ามีอารมณ์เคลิ้ม
    เมื่ออารมณ์เคลิ้มเกิดขึ้นก็เกิดภาพปรากฏ เป็นชายรูปร่างหน้าตาสวย
    เอวบางร่างน้อย อ้อนแอ้นแต่แข็งแรงคล้ายสตรี ผิวกายนี้ไม่ใช่ว่าเป็นคนผิวดำ
    แต่ว่าดำกว่าอีกคนหนึ่งซึ่งขาวกว่าที่ชาวบ้านเรียกว่าพระเจ้า ท่านเอกาทศรถ
    ทั้ง ๒ ท่านปรากฏ ยกมือพนม บอกว่าที่อะไรหนอ เจดีย์ยุทธหัตถีที่ทำกันปัจจุบัน
    ที่ทำรูปชนช้างนั้นความจริงไม่ใช่ ไม่ใช่ที่ชนช้าง แต่ที่ทำเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์นั้นใช่
    เจดีย์เก่าถ้าขุดลงไปกลางเจดีย์ใต้ภาคพื้นดิน
    จะมีเป็นอุโมงค์ที่เก็บอาวุธยุทธหัตถีของพระมหาอุปราช
    แล้วก็จะมีแผ่นทองหนักประมาณ ๘๐ บาท แผ่จารึกประวัติศาสตร์ไว้เป็นหลักฐาน
    เลยถามท่านว่า ที่ยุทธหัตถีจริงๆ อยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าให้ตั้งศูนย์จากอำเภอศรีประจันต์
    ตัวอำเภอศรีประจันต์ไปที่ว่าการจังหวัดกาญจนบุรี เดินทางไป ๖๐ กิโลเมตร
    ตั้งศูนย์เฉียงออกไป ๑๕ องศา เดินอีกไปอีก ๑๐ กิโลเมตรหรือว่า ๖ กิโลเมตร
    น่ากลัวจะเป็น ๑๐ กิโลเมตรพ่อไม่ได้จดมา
    บริเวณนั้นจะเป็นบริเวณรบกับพระเจ้าเอ้อพระมหาอุปราช ที่เรียกกันว่ายุทธหัตถี
    นี่เป็นประวัติศาสตร์ของผีที่คนเถียงกัน พ่อก็ไม่รับรองเหมือนกัน ฉะนั้น
    ถ้าใครสามารถจะติดต่อกับผีได้ ก็ถามผีดู พ่อเองเวลานั้นพ่อไม่ได้ติดต่อกับผี
    แต่ผีมาติดต่อกับพ่อ ยังไงๆ พ่อก็เชื่อผีไว้ก่อน ว่าอาจจะจริง แต่ว่า การเชื่อในที่นี้
    ถ้าเชื่อเลยทีเดียวก็ถือว่าเป็นการงมงาย ทางที่ดีก็จะหาเครื่องขยายมาดูกันว่า
    ใต้เจดีย์ยุทธหัตถีน่ะ มีอาวุธของพระมหาอุปราชจริงหรือไม่
    และก็มีแผ่นทองคำจารึกจริงหรือไม่ ถ้าเราใช้การขุดก็โง่เกินไป วิทยาการ
    ความสามารถของฝ่ายวิทยาศาสตร์มีมาก กระดูกในกาย ตับไตไส้ปอดในกายเห็นได้
    แผ่นทองคำก็ควรจะเห็นได้ และตัวหนังสือที่เขียนไว้ก็ควรจะเห็นได้เหมือนกัน
    เป็นอันว่าสำหรับศรีประจันต์พ่อขอบอกไว้แต่เพียงเท่านี้

    เดินทางเข้ามาถึงจังหวัดสุพรรณบุรี พอรถเลี้ยวจากฝั่งนี้ข้ามไปฝั่งตะวันตก
    เห็นวัดพระธาตุ และก็มองเห็นวัดป่าเลไลยก์ ตอนนี้ใจพ่อหายวาบ เพราะว่า
    ปรากฏภาพของบุคคลกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่คนๆ เดียว เป็นคนกลุ่มใหญ่
    แต่งตัวสวยสดงดงาม มาถึงก็ยกมือไหว้ มองไปก็เห็นว่าคนสำคัญ
    นั่นก็คือขุนช้าง ขุนช้างท่านเป็นเทวดา เป็นเจ้าพ่อหลักเมืองจังหวัดสุพรรณบุรี
    จึงถามท่านขุนช้างว่า เห็นหน้าตาของท่านนี้เวลานี้สวย แต่ว่าตามนิยายเขาบอกว่า
    ท่านหัวล้านเหม่งเข่งใช่ไหม ท่านขุนช้างท่านก็บอกว่า
    ไอ้หัวล้านน่ะไม่รู้ว่าหัวใคร แต่หัวผมจริงๆ มันไม่ล้านครับ เป็นหัวเถิกง่ามถ่อธรรมดาๆ
    เท่านั้น ถามท่านว่า สมัยนั้นเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ใช่ไหม ท่านบอกว่าใช่
    แล้วก็รับราชทินนามเป็นขุนก็เป็นเรื่องน่าแปลก เลยถามว่า
    เรื่องของวันทองกับขุนแผนกับท่านนี่ ดูแล้วมันเลวทรามจริงๆ
    ก็อยากจะทราบว่า เรื่องแห่งความเป็นจริงนั้นมันเป็นยังไง เลวทรามขนาดนั้นก็แสดงว่า
    บ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป ดูเหมือนว่าพระราชาไม่มีความหมาย ท่านขุนช้างฟังท่านก็ยิ้ม
    ท่านก็บอกว่าคนจังไรมันแย่จริงๆ เรื่องราวในคราวก่อนนี้
    ผมกับขุนแผนไม่เคยมีเรื่องร้ายเพราะเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่อยู่วัด
    เป็นเด็กๆ และต่อมาก็เป็นเพื่อนน้ำสาบานร่วมกัน ถ้าผมบังเอิญ
    จะไปแย่งเมียขุนแผนอย่างนั้น ผมคิดว่า ผมคงจะตายประเภทที่เรียกว่า
    ไม่ใครรู้ว่าตายแบบไหน จึงถามว่าเป็นเพราะอะไร ท่านก็บอกว่า
    ขุนแผนนี่มีความรู้ร้ายกาจมาก ถ้าปรารถนาจะฆ่าคนอย่างผมนี่มันไม่ยาก
    ไม่ต้องใช้อาวุธ เป็นแต่เพียงแกหยิบเอาต้นหญ้าขึ้นมาต้นเดียว
    ต้องการให้ต้นหญ้านั้นเข่นฆ่าผม ผมก็ตายแล้ว

    ลูกรัก เวลานี้มองดูเวลา จะ ๓๐ นาที เทปจะหมดหน้า
    ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้สำหรับหน้านี้ ลูกรักรอฟังประวัติของตอนนี้ต่อไป
    เอาเป็นประวัติย่อนะ หน้าที่ ๒ ต่อไป
    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ลูกรักทุกคน สวัสดี
     
  13. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    13.เรื่องขุนช้างขุนแผน(ต่อ),วัดป่าเลไลย,อ.อู่ทอง-พระเจ้าอู่ทอง,นครปฐม-พระยาพาน.mp3
    เอ้อลูกรัก สำหรับตอนนี้ ก็มาคุยกันถึงเรื่องประวัติขุนช้างขุนแผนสักนิดหนึ่ง
    หวังว่าคงจะไม่เป็นที่รำคาญของลูก เวลานั้นท่านขุนช้างท่านเป็นเทวดา
    ชั้นจาตุมหาราช แล้วก็มีเทวดาเป็นจำนวนมากมาร่วมกัน พ่อนั่งในรถ
    ท่านมาให้เห็น พ่อไม่ได้ใช้ฌานญาณสมาบัติใดๆ ทั้งหมด
    ฉะนั้น ขอคนที่มีจิตคิดคดทรยศแต่ความดี
    แต่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จงอย่าหาเรื่องตกนรก

    ที่เห็นก็เป็นอานุภาพของเทวดาแสดงให้เห็น ถ้าอย่างชาวบ้าน
    เขาเรียกกันว่าผีหลอก คนที่เห็นผีหลอกเขาเข้าฌานสมาบัติรึเปล่า
    และเรื่องนั้นมีอุปมาฉันใด เรื่องนี้ก็มีสภาพเช่นนั้น
    ถามท่านขุนช้างว่าท่านเป็นเพื่อนกับขุนแผน และเรื่องร้ายทั้งหลายแหล่
    ที่คนเขียนมันมาได้ยังไง ท่านก็กล่าวว่า เวลานั้น เป็นสมัยราชาธิปไตย
    คนที่อยู่ในสมัยราชาธิปไตยต้องเป็นคนดี มีจริยาดี ทั้งสองคนเป็นขุน
    ขุนช้างเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็มีความรู้ดี ขุนแผนเป็นคนจน
    แต่ก็จนอย่างขุนแผน ไม่ใช่จนอย่างยาจก คนที่มีวิชาความรู้ดี
    คำว่าจนก็หมายถึงว่ามีเงินไม่เหลือล้นนั่นเอง และขุนแผนเป็นคนมีลูกน้องมาก
    เป็นแม่ทัพ นอกจากเงินเบี้ยหวัดเงินปีที่พระราชาให้
    ขุนแผนก็ต้องล้วงเงินในกระเป๋าของตน เลี้ยงคนทั้งหลายที่มีกำลังดี
    เก็บเอาไว้ต่อสู้กับข้าศึก ขุนแผนเป็นลูกขุนไกร ท่านบอกว่า
    ความจริงขุนแผนกับขุนช้างไม่มีเรื่องอะไร มีความเข้าใจผิดกันเล็กน้อย
    ตอนที่ขุนแผนไปตีเมืองจอมทอง มีคนเขามาแกล้งแย่งความดีขุนช้าง
    คิดจะให้ขุนช้างถูกขุนแผนฆ่าตาย จึงเอากระดูกคนมาแสดงว่า
    เวลานี้ขุนแผนตายแล้ว แล้วขุนแผนก็สั่งว่า สำหรับวันทอง ซึ่งเป็นเมียเล็ก
    เห็นว่าไม่ควรจะคู่ควรกับใคร ขอมอบไว้ให้แก่ขุนช้าง ขอให้ปกครองด้วย
    ช่วยรักษาเธอให้มีความสุข นี่เห็นไหม เห็นว่าเรื่องราวต่างๆ ที่เขียนกันไปนั้น
    มันลอกเปลือกกันมาก นี่เป็นเรื่องของผีบอก

    แล้วก็ถามขุนช้างว่า เวลาท่านจะตาย ทำไมไม่เป็น ไม่เป็นสัตว์นรก ท่านก็ยิ้ม
    แล้วท่านก็ชี้หน้าว่า ท่านล่ะ ตัวท่านเองทำไมจึงไม่เป็นสัตว์นรก ก็เลยบอกว่า
    ฉันก็นึกชาติไม่ออกนี่ ฉันไม่สามารถจะระลึกชาติได้ ฉันไม่รู้ ท่านเป็นเทวดาท่านรู้
    ท่านลองบอกซิ ท่านบอกว่า สมัยนั้นท่านขุนช้างก็ดี ขุนแผนก็ดี
    หรือพระบำราบอรินทร์ก็ดี พระยากาญจนบุรีก็ดี
    สามชื่อนี้คือขุนแผนได้แก่พลายแก้ว แล้วคนสมัยนั้นทั้งหมดเขาเป็นนักบุญกัน
    ท่านก็ชี้จุดต่างๆ ให้ดูว่า เมืองสุพรรณมันดารดาษไปด้วยวัดวาอาราม
    และจังหวัดกรุงศรีอยุธยาก็ดารดาษไปด้วยวัดวาอาราม วัดติดๆ กัน นั่นแสดงว่า
    คนสมัยนั้นจิตเขาเป็นมหากุศล ทำบุญทำกุศลสวดมนต์ไหว้พระ ใส่บาตรทำบุญ
    นั่งเจริญสมถวิปัสสนากันเป็นปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับขุนแผน
    ขุนช้างถามขุนช้างว่าจริงๆ ราชทินนามของท่านก่อนที่ท่านจะตายน่ะ
    ท่านมีราชทินนามว่ายังไงคือบรรดาศักดิ์ ท่านบอกว่าบรรดาศักดิ์ของผมจริงๆ
    ก็เป็นพระยา มีนามว่าพระยาภานุมาศ เอ๊ะภานุมาศก็ช้าง ใช่แล้ว
    เป็นพระยาภานุมาศอยู่กับเมืองหลวง มีหน้าที่ควบคุมช้าง
    สำหรับขุนแผนจริงๆ นั้นก็ได้แก่ พระยากาญจนบุรี แต่เนื้อแท้จริงๆ
    เป็นเจ้าพระยาในตอนสุดท้าย แต่ทว่า ประวัติศาสตร์หายไป
    แต่ทั้ง ๒ คนเมื่อหมดเวลาที่รับราชการอยู่ ก็ชอบทำบุญ
    เจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน และตอนพ้นจากราชการก็ไปจำศีลกันในเขา
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขุนแผนไปอยู่ที่เขาชนไก่ จังหวัดกาญจนบุรี
    สำหรับท่านขุนช้างนี้ปรากฏว่า หลบไปอยู่ถึงเขาราวเทียน
    ภูเขาราวเทียนนี่อยู่ทางหลังอำเภอหันคา สองคนจำศีลภาวนาได้ฌานสมาบัติ
    ตายจากความเป็นคน ขุนช้างไปเกิดเทวดาชั้นจาตุมหาราช
    แต่สำหรับขุนแผนเวลาตายเข้าฌานตาย เพราะมีกำลังใจใหญ่
    ตายแล้วไปเกิดเป็นพรหม มีนามว่าอะไรอย่าพูดกันไปเลย
    ประเดี๋ยวคนประเภทนั้นเขาจะลำบากใจ รู้สึกว่าพ่อพูดอะไรไม่ได้หรอก
    เขามักจะจับจุดเอาไป พ่อก็ไม่หนักใจว่าเขาจะนินทา
    แต่เกรงว่าเขาจะตกนรกมากเกินไป เป็นเรื่องของผีบอก แล้วท่านก็บอกว่า
    ขุนแผนเขาขยันเกิด เพราะว่ามีนิสัยเสือก
    เขาถือว่าคนไทยที่มีน้ำใจดีเป็นคนของเขา เขาถือว่าเป็นพี่เป็นน้องเขา
    เมื่อสมัยที่แผ่นดินไทยมีความลำบากเพราะขอมดำ ในเขตของโยนกนคร
    พรหมขุนแผน ความจริงขุนแผนตอนนั้นน่ะยังไม่ได้เป็นพรหม
    พ่อพูดพลาดไป ท่านบอกว่า หลังจากการตายไปแล้ว
    ๒ คนก็ไปอยู่จาตุมหาราชเหมือนกัน ยังไม่เป็นพรหม
    ตอนท้ายขุนแผนจึงไปเป็นพรหม เมื่อไปอยู่จาตุมหาราชแล้ว
    ก็บำเพ็ญบารมีพอสมควรจึงได้ขึ้นไปเป็นพรหม เห็นว่าโยนกนครไม่ดี
    ท่านเล่าย้อนต้น ท่านบอกว่าเป็นคนชอบเกิด
    ก็มาเกิดเป็นพระเจ้าพรหมมหาราช ต่อมาตายแล้วก็ไปเกิดไปเป็นพรหมอีก
    แล้วก็ลงมาในสมัยของสมเด็จพระพันวษา มีนามว่าพลายแก้ว
    และหลังจากนั้นตายไปแล้วก็มาเกิดใหม่ในสมัยของพระนารายณ์มหาราช
    มีนามว่านายเหล็ก หรือเด็กชายเหล็ก หลังจากนั้น
    ตายจากนายเหล็กไปแล้วไปเป็นพรหม และก็สมัยรัตนโกสินทร์
    นายแผนหรือนายแก้ว นายพลายแก้วก็ลงมาเกิดใหม่
    เป็นลูกชาวบ้านธรรมดา แล้วก็มีตำแหน่งหน้าที่ในงานเสือก
    เสือกไปเหนือบ้าง เสือกไปใต้บ้าง เสือกไปตะวันตกบ้าง
    เสือกไปตะวันออกบ้าง จึงถามท่านว่า เวลานี้นายแผนเกิดเป็นคนชื่อว่าอะไร
    ท่านขุนช้างท่านบอกว่านายแผนไม่ใช่คน เขาไม่ได้เรียกนายแผนว่าคน
    เขาเรียกว่านายแผนเป็นอย่างอื่น แล้วท่านก็ยืนยิ้ม ถามว่าทำไมจึงไม่บอก
    ท่านบอกบอกก็ไม่มีประโยชน์ ประเดี๋ยวคนเขาจะตกนรกกัน
    เพราะว่านายช้างพูด ใครไม่ได้ยิน แต่เวลาท่านพูดไปนั้น
    คนอื่นเขาได้ยิน ดีไม่ดีเขาจะหาว่าท่านเสือก อวดดีอวดเด่นอวดวิเศษเกินไป
    แต่ความจริงเรื่องนี้ มันจะผิดมันจะถูกมันเป็นเรื่องของนายช้างคือผม
    เขาควรจะบอกว่า นายช้างที่กล่าวว่าหัวล้านเหม่งนั้น
    ความจริงเป็นหัวล้านง่ามถ่อเท่านั้น ไม่ใช่ล้านหัวใส
    แต่ใจดี ใจไม่หยาบคายแบบนั้น เป็นอันว่า คุยกันกับท่านขุนช้าง
    เทวดาอื่นก็เลยไม่ต้องคุย

    ต่อมาเมื่อรถผ่านมาถึง มาถึงเขตวัดป่าเลไลยก์ กำลังใจก็หวนคิดไปถึงประวัติ
    ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาค หนีพระเมืองโกสัมพีที่มีการทะเลาะกัน
    แตกแยกกัน ความจริงนักบวชรุ่นนั้นก็เลวแสนเลว เพราะอยู่กับพระพุทธเจ้าแท้ๆ
    ไม่เชื่อฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องประณามว่าเลวมาก
    แต่ว่าเรื่องนี้ขอผ่านไป มีแล้วในประวัติ ไปดูวัดป่าเลไลยก์
    ความจริงวัดป่าเลไลยก์นี่ เราก็รู้ๆ ทราบชัด
    ถ้าขืนพูดไปก็มากความ เดินทางออกมาหลังวัดป่าเลไลยก์
    มองไปทางสระแก้ว สระคา สระยมนา สระเกศ ไม่ได้มาเดี่ยวแล้วคราวนี้
    มีพรรคพวกมาในรถมาก รถหน้า รถหลัง รถกลาง รถที่นั่ง
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อนช้างไม่ได้ห่างไกล
    เดินมาด้วยกันท่านก็ชี้ไปที่สระแก้ว สระคา สระยมนา สระเกศ
    ท่านบอกว่า จุดนี้เดิมทีโบราณเขาก็เป็นเมือง แล้วก็เป็นเมืองประวัติศาสตร์
    ไอ้เมืองประวัติศาสตร์ในตอนนี้ก็ต้องคิด ถามประวัติตอนไหน
    ท่านบอกประวัติที่เมืองมันเป็นเล็กๆ ความจริงเป็นเรื่องของเมืองไทย
    แต่ว่าอาณาจักรไม่ใหญ่ อาณาจักรจริงๆ ไม่ใหญ่
    มีความกว้างประมาณสัก ๕๐ กิโลเมตร ยาวประมาณ ๘๐ กิโลเมตร
    แต่ที่มันไม่ใช่สี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยประมาณ ท่านบอกว่ามีราชาหลายองค์ด้วยกัน
    คือเป็นพ่อเมือง รับภาระติดต่อกันมา
    แต่ต้องมาสลายตัวก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะตั้งตัวขึ้นใหม่
    พระราชาองค์สุดท้ายชื่อว่าเขมราช มีลูกสาว ๔ คน
    ลูกสาวชื่อว่านางแก้ว นางคา นางยมนา นางเกศ เลยตั้งเจ้าหญิงนวลแก้ว
    นั่งเจ้าหญิงประภาคา เจ้าหญิงยมนา เจ้าหญิงจะเกศแก้วอะไรก็ตาม
    ท่านบอกชื่อยาวๆ พ่อจำไม่ได้ถนัด เป็นเจ้าหญิง ทั้ง ๔ คน
    ลูกของท่านเป็นผู้หญิงหมด ต่อมาก็ปรากฏต่างคนต่างได้สามี
    นางเกศเป็นหญิงที่มีความสวยที่สุด คล้ายๆ รจนา
    ไปคว้าเอาลิงป่าเผือกตัวใหญ่เท่ากับคนมาเป็นสามี ดีเหมือนกัน
    จะได้รู้ว่าลิงเป็นยังไง รึไม่ยังงั้นก็เราก็จะไม่เห็นสมรรถภาพของลิง
    เวลานั้นพ่อแก่ลงไป คิดว่าถ้าตายลงไปทรัพย์สมบัติไม่มอบให้ใคร
    ก็เกรงว่าจะรบพุ่งกันขึ้นในระหว่างลูกๆ รึสามีของลูก
    คนจะตายเปล่าเพราะความโลภของคน ฉะนั้น พ่อจึงมาคิดว่า
    มีคำสั่งให้ทำสระ ขุดสระภายใน ๗ วัน สระของใครใหญ่กว่าใคร
    คนนั้นจะมีอำนาจ ได้เป็นกษัตริย์ จะมอบพระขรรค์อาญาพระแสงอาญาสิทธิ์ให้
    แต่ความจริงที่พูดนี้ เสียงรถมันดังกว่าเสียงของพ่อนะ
    ไม่ทราบว่ามันจะเข้ามารึเปล่า เพราะพูดที่บ้านพักตชด. เขต ๘ ท่านเล่าให้ฟัง
    ว่านางแก้ว นางคา นางยมนา ผัวเป็นมนุษย์ ใช้ลูกน้องขุด
    มาถึงวันที่ ๖ สำหรับสามีของนางเกศนอนกระดิกเข่าสบาย
    นางเกศก็เข้าไปอ้อนวอนเท่าไร เธอก็ไม่พูด นางเกศก็ร้องไห้
    เกรงว่าจะแพ้เขา สามีก็บอกว่า ฉันเป็นลิง ฉันเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ฉันจะปกครองประเทศได้ยังไง ประเทศใดที่มีสัตว์เป็นพระราชา
    จะน้อยหน้าคนอื่น ความแช่มชื่นของบุคคลภายในประเทศจะไม่มี
    ความจริงเวลานี้ ท่านขุนช้างพูดไพเราะมาก ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม
    ยิ้มแล้วท่านก็บอกไว้ว่า คืนวันนั้น รุ่งขึ้นจะเป็นวันที่ ๗
    ลิงเผือกตัวนั้นไปเกณฑ์ลิงจากป่ามหาศาล ขุดเสียพักเดียว
    ปรากฏว่าเป็นสระที่ใหญ่ที่สุด ไม่มีสระอื่นดีเท่า
    เมื่อขุดแล้วก็เอาต้นเกดมาปลูกไว้กลางสระ ไปหาต้นเกดมาจากป่า
    สูงตระหง่านสง่ามาก แล้วก็ไขน้ำคือขุดไปถึงตาน้ำถึงบาดาล
    น้ำบาดาลก็พวยพุ่งขึ้นมาเต็มสระใสสะอาด ซึ่งมีความสวยดีกว่า
    ใหญ่กว่า น้ำสะอาดกว่าสระอื่น เมื่อตอนเวลาครบ ๗ วัน
    พระราชาก็เรียกเข้าไป บุตรเขยทั้ง ๘ คนเอ้อทั้ง ๔ คนเข้าไปเฝ้า
    ทั้งลูกสาวด้วย ก็ปรากฏว่าสระของนางเกศใหญ่กว่า
    ต่อมาพระราชาทรงประชวรแล้วก็สวรรคต ผัวของนางแก้ว
    ซึ่งเป็นเขยใหญ่คิดกันว่า คือ ๓ พี่น้อง ถ้าให้ผัวของนางเกศครองเมือง
    ก็จะกลายเป็นเมืองสัตว์เดรัจฉานไป แล้วก็คิดว่า
    ความสำคัญอยู่ที่พระแสงอาญาสิทธิ์ เมื่อพระราชบิดาตาย
    จึงได้คว้าพระแสงอาญาสิทธิ์ขึ้นหลังม้า คือผัวของนางแก้ว
    พระราชาลิงก็ไล่กวด กวดกันมาทันใกล้สระเกศ
    เขาก็เลยขว้างพระขรรค์อาญาสิทธิ์มาที่สระเกศ
    ถูกต้นเกดขาดแล้วก็จมไปในน้ำ เวลาที่พ่อไปเห็นประมาณ
    ปี ๒๔๗๐ กว่าๆ สระนี้น้ำใสสะอาด มีต้นจอกต้นแหนอยู่นิดหน่อย
    ไม่มีใครทำความสะอาด น้ำใสมาก แต่อีก ๓ สระมีต้นพงขึ้นเต็ม
    ถามคนชาวบ้านแถวนั้นว่า สระนี้มีใครมารักษาทำความสะอาดรึเปล่า
    เขาบอกว่าเปล่า ใสอย่างนี้เอง ต้นหญ้าไม่อยากจะขึ้น ไม่รกรุงรัง
    ก็พากันถือว่า สระนี้เป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ เวลานั้น
    เวลาถือน้ำพิพัฒน์สัตยา เขาก็จะตักเอาน้ำในสระเกศนี่ไป แต่ท่านขุนช้างบอกว่า
    เป็นที่น่าเสียดาย เวลานี้ ไม่มีใครเห็นความสำคัญของสระ ๔ สระ
    ปล่อยให้สระตื้นเขินและรกรุงรัง มีต้นไม้ต้นหญ้าหมดความหมาย
    ท่านบอกว่า ถ้าจะรักษาสระนี้ไว้ เราก็เขียนประวัติย่อๆ เข้าไว้
    ทำสถานที่ให้น่ารื่นรมย์ จะเป็นที่ชวนชมของนักทัศนาจรและประวัติศาสตร์
    ท่านเลยบอกว่าประวัติศาสตร์ที่ควรจะคิดก็คือ
    พระราชาสมัยนั้นแต่ละคนตายหมด ลูกสาวพระราชาก็ตายหมด
    ผัวของพระราชาลูกสาวผัวของลูกของพระราชาก็ตายหมด
    ไม่มีใครปรากฏว่าครองเมืองอยู่ได้ และไม่มีใครปรากฏว่ามีชีวิตอยู่ได้
    เป็นอันว่าเรื่องนี้ท่านบอกว่า น่าศึกษา ตามคำแนะนำขององค์ทรง
    เอ้อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าโลกนี้เป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง
    โลกนี้เป็นทุกขังเพราะความมัวเมาในชีวิตและทรัพย์สิน
    ในที่สุดโลกนี้ก็เป็นอนัตตาหาอะไรทรงตัวมิได้ จำไว้นะลูกนะ
    นี่เป็นคำสอนของขุนช้าง และขุนช้างก็ยิ้มต่อไป เวลานี้พ่อพูดกับลูก
    บังเอิญขุนช้างท่านมา ท่านก็บอกว่า บอกหลานๆ ทั้งหลายนะ
    ว่าอย่าเชื่อประวัติศาสตร์ เขาว่าขุนช้างเป็นคนหัวล้าน
    และก็อย่าเชื่อบุคคลที่เขาเขียน คำว่าไม่จริง จะว่าประวัติศาสตร์ก็ไม่ใช่
    เป็นนิยายว่าขุนช้างเป็นคนเลว แต่ความขุนช้างก็ดี ขุนแผนก็ดี
    เป็นคนที่มีระเบียบวินัย เวลานั้นท่านบอกว่า เป็นสมัยพระเจ้าพันวษา
    หรือที่เรียกกันว่า พระเจ้าสามพระยานั่นเอง
    ท่านบอกว่าเอาเท่านี้นะ เรื่องราวเอาเท่านี้

    รถก็วิ่งต่อมาถึงอำเภออู่ทอง ท่านก็บอกว่าอำเภออู่ทองนี้เป็นเขตๆ หนึ่ง
    ที่ลูกชายของพระเจ้าพรหมมหาราช ไม่มีอำนาจเหมือนพ่อ
    ถอยทัพกลับมาจากสุโขทัยรึจากโยนก มาตั้งเป็นอิสระอยู่ที่นี่
    ในเขตทวารวดี และต่อมาเหลน ท่านบอกว่าเหลน
    เหลนปลายหางแถวมีนามว่าพระเจ้าอู่ทอง ไอ้เมืองตรงนี้
    เดิมทีมันเป็นสายทางเดินของแม่น้ำท่าจีน แต่ว่าแม่น้ำท่าจีนตื้นเขิน
    น้ำเปลี่ยนทิศทางใหม่ ไปไหลออกไปไกลมาก ในปัจจุบัน
    ที่นี้ก็เลยกลายเป็นอ่าวไป เป็นเมืองไป เวลานี้เขาเรียกว่าแม่น้ำไร่รด
    มันตื้นเขินขึ้นมา โรคภัยไข้เจ็บก็เกิดขึ้น
    ความไม่สะดวกในการปกครองประเทศก็มีขึ้น
    พระเจ้าอู่ทองเห็นว่าภูมิประเทศไม่ดีก็ย้ายไปตั้งที่หนองโสน
    ความจริงเขาบอกว่าเป็นโรคห่าลงเมืองนั้นไม่จริง เป็นแต่เพียงว่า
    พระเจ้าอู่ทองเป็นคนฉลาด เป็นคนฉลาดและก็มีอำนาจ
    มีความรู้ มีจริยธรรมดี มีจิตวิทยาสูง เป็นคนดีมาก
    เห็นว่าอยู่ที่นี้ไม่สะดวกก็ย้ายเมืองใหม่ เวลานั้นมันย้ายเมืองกันง่าย
    เพราะดินแดนมันว่าง ไม่ได้มีเมือง
    ไม่ได้มีใครปกครองติดพันกันอย่างเวลานี้ เวลานี้หาช่องว่างไม่ได้
    เวลานั้นที่ดินว่างมากกว่าบุคคลผู้ปกครอง จึงได้ย้ายไป
    และท่านก็พูดขึ้นว่า กษัตริย์สมัยนั้นกับกษัตริย์สมัยนี้
    ถ้าคิดกันตามอย่างผีๆ กษัตริย์สมัย เรียกว่าเป็นเชื้อสายของโยนกนคร
    สืบเนื่องกันมาถึงสุโขทัยและก็สืบเนื่องกันมาถึงกรุงศรีอยุธยา
    ยังเป็นกษัตริย์องค์เดียวกัน แม้แต่รัตนโกสินทร์
    ก็เป็นกษัตริย์เชื้อเดิมของสุโขทัยหรือโยนกนครนั่นเอง
    ท่านก็พูดถึงขุนเหล็ก หรือเด็กชายเหล็ก นี่เป็นคนของสุโขทัย
    ก็เป็นเชื้อสายของโยนกนคร บิดาของรัชกาลที่ ๑
    ก็เป็นเชื้อสายของขุนเหล็ก ฉะนั้น รัชกาลที่ ๑ จึงเป็นคนสุโขทัย
    หรือเป็นคนเชื้อสายของโยนกนคร ท่านว่ายังงั้น
    นี่เรื่องของขุนช้าง เราก็ขอผ่านไป
    จะเล่ากันมากเกินไปมันจะไปซ้ำประวัติศาสตร์

    เดินทางต่อมาถึงจังหวัดนครปฐม ท่านก็ว่าจังหวัดนครปฐมนี่
    เป็นจุดหนึ่งที่เราต้องคิด ที่เขาเรียกกันว่าทวารวดี
    และก็เป็นที่เก็บคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจุดหนึ่ง
    และอีกจุดหนึ่ง นครปฐมก็เคยเป็นเมืองหลวงสำหรับเขตนั้น
    เล็กๆ เป็นเมืองเล็กๆ มีพระยากงเป็นคนปกครอง
    และต่อมามีลูกออกมา โหรพยากรณ์ว่า ลูกคนนี้จะฆ่าพ่อ
    จึงให้คนนำไปฆ่า แต่ว่าคนเขาสงสาร จึงให้ไปให้คนอื่นไว้
    แล้วก็ตัดคอสุนัข เอาเลือดสุนัขให้มาติดมีด
    เอามาแสดงว่า เวลานี้ฆ่าแล้ว คนที่เลี้ยงไว้ก็คือยายหอม
    ต่อมาเมื่อเด็กคนนี้โตขึ้นก็มีโอกาสเข้าไปอยู่ในเขตจังหวัดราชบุรี
    เป็นเมืองเล็กๆ เหมือนกัน เมืองเวลานั้นเป็นเมืองเล็กๆ
    ต่อมาพระราชาทั้งสองเมืองไม่ถูกกัน ยกทัพมาห้ำหั่นซึ่งกันและกัน
    ในที่สุดพระยาพานเป็นลูกชาย ก็ฆ่าพ่อตาย
    เมื่อฆ่าพ่อตายเห็นว่าแม่ยังสาวและยังสวย
    ต้องการอยากจะได้แม่เป็นเมีย เวลากลางคืนจึงย่องเข้าไปจะหาแม่
    ก็ปรากฏว่ามีสุนัขสองตัวคุยกัน ว่าไอ้คนเรานี่มันเลวจริงๆ นะ
    มันมีความอกตัญญูไม่รู้จักคุณ ไอ้ลูกจะเอาแม่ทำเมียเนี่ย
    เป็นลูกที่เลวที่สุด มันฆ่าพ่อมันยังไม่พอ ยังจะเอาแม่ทำเมียอีก
    ในที่สุดพระยาพานก็ตั้งจิตอธิษฐาน ว่าถ้าหญิงคนนี้เป็นมารดาเดิมจริง
    เวลาเข้าไปขอให้น้ำนมไหลออกมา ซึ่งความจริงพระราชาท่านก็แก่แล้ว
    เมียท่านก็มีอายุมาก ถ้าลูกเป็นหนุ่มขนาดนี้ อายุก็โต
    และก็ไม่มีลูกเล็ก เมื่อพระยาพานเข้าไปใคร่จะหาแม่คิดว่าจะเอาทำเมีย
    เข้าไปจริงๆ เห็นน้ำนมทั้งสองเต้าไหลออกมา ก็โดดเข้าไป
    ผวาเข้าไปกอดแม่ แล้วกราบลงไปบนตัก ดื่มน้ำนม ขอสวามิภักดิ์ว่า
    ขอถวายตัวเป็นลูก ต่อมาก็มาสืบประวัติว่า ทำไมถึงได้เป็นอย่างนั้น
    ก็มาทราบจากข้าราชการบอก พระยาพานนั่นก็คือ
    เป็นลูกของพระยากง แต่อาศัยโหรไม่ดีบอกว่า
    ลูกคนนี้จะฆ่าพ่อ พ่อจึงได้สั่งให้นำไปประหารชีวิต
    นี่มันเป็นกรรมต่อกรรม และก็ต่อมาจึงได้มีความคิดว่า
    เราเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณพ่อ จึงได้สร้างเจดีย์
    เป็นอนุสรณ์สำหรับพ่อขึ้น ที่เรียกว่าพระปฐมเจดีย์
    แต่ไม่ใช่องค์ใหญ่ เป็นองค์เล็ก ความจริงเรื่องพระประโทนนั้น
    เขาบอกว่าสร้างให้ยายหอม ทว่า แกบอกแกคิดว่า
    ยายหอมไม่บอกความจริงกะแก แกจึงฆ่ายายหอมตาย
    มันในเมื่อบรรดาอำมาตย์ทั้งหลายเขาคัดค้านว่า
    ทำอย่างนั้นมันไม่ถูก ความจริงยายหอมต้องปกปิด
    ถ้าพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ มารู้ความผิดขึ้นมา จึงสร้างเจดีย์
    มอบให้อุทิศให้แก่ยายหอม เป็นการขอขมาโทษ
    เป็นอันว่าลุงช้างพูดแล้วก็ยิ้ม ยิ้มแล้วก็บอกว่า
    คำว่าพระราชาก็สลายไปหมด พ่อเมืองก็หมด
    คนสมัยนั้นก็หมด ที่แย่งชิงทรัพย์สินซึ่งกันและกัน
    ไม่มีใครสามารถจะปกครองทรัพย์ไว้ได้ เวลานี้
    ทรัพย์เป็นทรัพย์ของประเทศไทยทั้งประเทศ
    ไม่มีใครเป็นเจ้าของ พระราชาสมัยนั้นก็ตาย บอกลูกบอกหลาน
    ท่านพูดแล้วก็ยิ้ม ว่าจงอย่ายึดถือร่างกายว่าเป็นเราเป็นของเรา
    อย่าถือทรัพย์สินว่าเป็นเราเป็นของเรา
    อย่ามัวเมาในชีวิตและทรัพย์สิน ในที่สุด
    ความระทมทุกข์มันก็จะเกิด เห็นไหม
    บุคคลที่กล่าวชื่อมาถึงทั้งหลายเหล่านี้ มีใครจำชื่อได้บ้าง
    จำแล้วก็ลืมไป กระดูกอยู่ที่ไหน อำนาจวาสนาบารมีเวลานั้นมีอยู่
    อยู่ที่ไหน เป็นอันว่า เขาทั้งหลายเหล่านั้นมีแต่ชื่อ
    และหลายๆ รายก็ปรากฏว่าชื่อไม่มี

    เอาล่ะลูกรัก สำหรับเทปหน้านี้มองดูแล้วมันก็จะหมด
    เป็นอันว่าพ่อขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
    แต่ว่าการที่จะพูดต่อไปในข้างหน้า ยังไม่ทราบเลย
    ว่าจะต่อกันได้หรือไม่ เพราะเวลามันไม่ต่อกัน
    ถ้าพี่ช้างหรือขุนช้างแกมาแนะนำให้ แล้วพูดไป
    มันก็อาจจะต่อกันได้ ถ้าพี่ช้างแกไม่แนะนำให้
    พ่ออาจจะพูดเลยไป สำหรับวันนี้ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล
    สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ลูกรักทุกคน สวัสดี
     
  14. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    14.เล่าเรื่องเจ้าแก้ว (ขุนแผน) (ต่อ), วิชาปลุกตน@25 เมษายน 2521.mp3
    เอ้อ ลูกรักทั้งหลาย สำหรับวันนี้ เป็นวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๒๑
    เวลานี้พ่อและคณะลูกบางส่วนอยู่ที่จังหวัดยะลา
    พักอยู่ที่บ้านคุณหมอบุณยสิทธิ์แล้วก็คุณระพี เลขะกุล
    เวลาที่ทำการบันทึกเป็นเวลา ๙ นาฬิกา ๓๓ นาที
    สำหรับการบันทึกเสียงวันนี้ ก็ต้องอาศัยบารมีของบุคคลอื่นเหมือนกัน
    เพราะว่าเรื่องราวต่างๆ มันเป็นเขตเกินวิสัยที่เราจะพึงทราบกันได้
    เลยต้องขออัญเชิญท่านผู้มีพระคุณบางท่าน คือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    ได้แก่ท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณผู้นี้เป็นท่านเจ้าคุณอะไร ก็ทราบกันอยู่แล้ว
    คือท่านเจ้าคุณขุนช้าง ที่เราเรียกกันว่าขุนช้าง แต่ความจริงเนื้อแท้จริงๆ
    คำว่าขุนช้างเป็นชื่อเจ้าของบ้านชาวบ้านเขาเรียกกัน
    แต่ว่าเนื้อแท้ของท่านจริงๆ ท่านเป็นพระยา ชื่อว่าพระยาอะไร
    พระยาภานุมาศ แต่ความจริง คำว่าพระยาภานุมาศนี่
    เห็นจะเป็นชื่อย่อ ท่านบอกว่ายาวเหยียด เป็นตระกูลแห่งการบำรุงช้าง
    รักษาช้าง หาช้างเพื่อกองทัพ ต่อไปก็จะต้องอาศัยท่านเจ้าคุณ
    ท่านว่ามายังไง พ่อก็จะไม่ขอพูดเป็นการโต้ตอบกัน
    เพราะมันเสียเวลา รับฟังมาท่านว่ายังไง
    ก็ขอว่าไปอย่างนั้น ท่านกล่าวว่า ที่ท่านถามผม ถามผมแล้วก็ถามไม่ยั้ง
    เรื่องที่ควรจะพูดให้กันทราบมันก็ขาดไป ขอย้อนหลังใหม่ ถึงเรื่องของเจ้าแก้ว

    เจ้าแก้วนี่เดิมทีปรารถนาพุทธภูมิ คนที่ปรารถนาพุทธภูมิ
    มีความรักคนอื่นมากกว่ารักตัว อาศัยความรักในคนอื่นมาก
    จึงไม่ห่วงตัวเป็นสำคัญ พวกพุทธภูมิต้องขยันในการเกิด
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเห็นว่า ในฐานะที่ความเป็นคนไทย
    คำว่าไทยในที่นี้ก็หมายถึงว่าไม่ต้องการจะเป็นทาสของใคร
    นายแก้วเกิดในกัปนี้ เฉพาะกัปนี้ เคยเกิดมาแล้วเกินกว่า ๗๐ ครั้ง
    ที่มีความสำคัญ แต่ที่เกิดที่ไม่มีความหมาย หมายความว่า
    งานเล็กเกินไป แต่ว่ามีความสำคัญ เกินกว่า ๓๐ ครั้ง
    รวมความว่าเฉพาะกัปนี้กัปเดียวนายแก้วก็เกิดตั้งร้อยครั้ง
    นี่เขาขยันเกิด จุดง่ายๆ ที่จะสังเกตเห็น สมัยที่ไทยย้อนกลับมา
    เพื่ออยู่ในถิ่นฐานเดิม แต่ไทยน่ะอยู่เป็นหย่อมๆ เป็นจุดๆ
    ตั้งแต่พื้นที่เดิมที่พูดกันอยู่เวลานี้เรื่อยๆ ขึ้นไป
    จนกระทั่งถึงเขตประเทศจีน ประเทศแขกประเทศพม่า
    ไทยก็อยู่เต็มไปหมด แต่คำว่าเต็มไป ไม่ใช่หมายความว่าเต็มพื้นที่
    เป็นจุดเป็นหย่อมเล็กหย่อมน้อย ปกครองกันเป็นพวก
    ไม่มีคำว่าเมือง และเป็นอันว่า เฉพาะในเขตหลังนี้
    เจ้าแก้วก็เกิดเป็นพระเจ้าพรหมมหาราช และก็ขุนเมืองมาน
    สมัยสุโขทัย และก็มาเป็น หลังจากพ่อขุนเมืองมานสุโขทัยแล้ว
    ต่อนั้นมาก็เป็นเจ้าแผน จากเป็นเจ้าแผนแล้วก็เป็นเจ้าเหล็ก
    จากเป็นเจ้าเหล็กแล้วมันก็ตาย ตายแล้วอาศัยที่เจริญฌานสมาบัติดี
    กำลังใจเข้มแข็ง เวลาจะตายเข้าฌานตาย นอนตายแบบสบาย
    แต่เขาหาว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมัยที่เป็นเจ้าแผนก็ดี
    เป็นเจ้าเหล็กก็ดี เจ้าแก้วมันตายอย่างชนิดที่เรียกว่า ตายอย่างหมา
    เอ๊ะ แปลก ถามว่าตายอย่างหมามันเป็นยังไง ท่านก็บอกว่า
    ตอนนี้ขอย้อนต้นกันนิด ถามตอบกันหน่อย
    ที่ว่าตายอย่างหมาก็เพราะว่า เจ้าแก้วมันวางภาระซะทั้งหมด
    หลังจากวางดาบแล้ว ก็เป็นผู้ทรงศีล ทรงสมาธิ
    ทรงวิปัสสนาตามสมควร และหลังจากนั้นเวลาตายก็ตายแบบสงบ
    คือไม่มีคนมาก ต้องการอยู่ในดินแดนที่สงบ
    เมื่อดินแดนเมื่อเป็นคนที่เคยมีบริวารมากแต่ตายคนเดียว
    เหลือบุคคลที่ประคับประคอง ๒-๓ คน ก็เลยเรียกว่าตายอย่างหมา
    เป็นอาการตายที่ทุกคนรักความสงบชอบ ไม่ต้องการบริษัทบริวาร
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า เกี่ยวกับสมาธิและวิปัสสนาญาณ
    มุ่งหาจุดสงบเป็นสำคัญ ฉะนั้น เวลาที่เขาตาย
    เขาจึงไม่ต้องไปใช้หนี้ในการฆ่าคน

    ท่านพูดต่อไปอีกนิดหนึ่ง ท่านบอกว่า ท่านถามผมเลยไป
    ควรจะให้เด็กๆ ทราบ เพื่อเป็นประโยชน์กับการเจริญพระกรรมฐาน
    นั่นก็คือคนสมัยนั้นเจริญพระกรรมฐาน ทรงสมาธิกันเป็นปกติ
    มีการให้ทาน มีการทรงศีล เจริญวิปัสสนาญาณด้วย
    ช่วยให้กำลังใจมีความสุข มิฉะนั้นแล้ว กำลังใจจะไม่มีความสุข
    นอนเมื่อไร หลับเมื่อไร เงียบเมื่อไร
    คิดอยากจะฆ่าคนที่เป็นข้าศึกอยู่ตลอดเวลา
    เพื่อเป็นการระงับอารมณ์ใจชั่วแบบนี้ จึงได้หันเข้าหาพระ
    เขาถือพระเป็นที่พึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างออกมาจากพระ
    วิชาความรู้ทุกอย่างมาจากพระ การรบก็จากพระ
    เพราะว่าพระโดยมากเป็นนายทหารที่ไปบวช วิชาการปกครองก็มาจากพระ
    วิชาการเศรษฐกิจการคลังทุกอย่างมาจากพระหมด และก็พระสมัยนั้น
    ก็มีคุณมีประโยชน์กับประเทศชาติมาก เป็นปากเป็นเสียงให้แก่รัฐบาล
    เป็นสื่อกลางติดต่อกับประชาชน คือพุทธศาสนิกที่มีความเคารพ ฉะนั้น
    การปฏิบัติหรือการปกครองประเทศจึงมีความสะดวก
    เพราะอาศัยพระเป็นกำลัง พระสมัยนั้นมุ่งความประโยชน์คือ
    ความสงบสงัด รักความเป็นอิสรภาพคือความเป็นไท
    สอนให้ทุกคนมีปัญญาดี มีความรู้ดี มีความสามารถดี มีความประพฤติดี
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัปปจายนกรรม คือความอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่
    หรือบุคคลผู้มีคุณ สั่งสอนให้รู้จักการนอบน้อม
    รู้จักการกตัญญูรู้คุณต่อท่านผู้ใหญ่ มีความเคารพในผู้บังคับบัญชา
    ด้วยเหตุผล นี่ท่านมีจุดจำกัดว่า มีความเคารพในบังคับบัญชาด้วยเหตุผล
    ถ้าไร้เหตุไร้ผลไร้ระเบียบ พรรค์นี้พระก็สอนเหมือนกัน ห้ามปฏิบัติตาม
    และคนทุกคนก็ปฏิบัติตามคำสั่งของพระ เมื่อมาบ้าน
    พ่อแม่ก็สอนแบบเดียวกัน ฉะนั้น ความดีของกำลังใจจึงฝังใจในคนสมัยนั้นอยู่
    คนสมัยนั้นเป็นคนที่มีจริยาดี ไม่เลวทรามอย่างตำนานที่เขาขับร้องหรือแต่งขาย

    และอีกจุดหนึ่งที่ท่านไม่ถามผม แต่ผมขอย้อนตอนนี้ ของดีไม่ควรจะผ่านไป
    นักเจริญสมาธิวิปัสสนาญาณ ถ้าจะใช้ความสามารถทางด้านนี้ไปทำการรบ
    ไม่มีผล เพราะว่า ฌานในญาณสมาบัติขององค์สมเด็จพระทศพล
    ต้องใช้แต่ในส่วนที่เป็นการสงเคราะห์ การเกื้อกูล หวังในความสุข
    แต่การที่เขาใช้สมาธิเป็นผลในการอยู่ยงคงกระพัน
    หรือว่าทำทุกอย่างได้ในประโยชน์แห่งการรบ เขาทำกันแบบนี้
    เขาพยายามฝึกหัดการปลุกตัวกัน การปลุกตัวนี่
    ทำจนกระทั่งไม่ต้องท่องตั้งท่ามาก พอนึกขึ้นมาเมื่อไรมันจะขึ้นทันที
    อันดับแรกก็จะมีการสั่นสะเทิ้มก่อน แล้วก็สั่นมากๆ ถึงกับมีการโดด
    ถ้าจุดถึงที่สุดถึงการปลุกตัว สมาธิมีกำลังเต็มที่ เช่นปลุกหัวใจควาย
    เมื่อเต็มที่แล้ว จะมีอาการแสดงเดิน ๔ ขาเหมือนควาย ลงเฝือเห็นโคลนไม่ได้
    วิ่งเข้าไปคลุกโคลน ฝึกหัวใจเสือจะแสดงอาการออกเหมือนเสือ
    แต่ฝึกหัวใจราชสีห์จะแสดงเหมือนราชสีห์ ปลุกหัวใจหมูจะแสดงเหมือนหมู
    ถ้าปลุกหัวใจหมาจะมีท่าทางเหมือนหมา โดยมาก
    เขาจะเอาจิตไปจับหมาตัวใดตัวหนึ่ง ถ้ามัน มันชื่ออะไร
    อาการของมันเป็นยังไงไม่ต้องพูด คิดว่า เราจะปลุกหัวใจหมา
    จริยาเป็นไปตามนี้ พอปลุกหัวใจหมาแล้ว เจ้าหมาตัวนั้นมันแสดงยังไง
    เจ้านี่ทำได้หมด แต่ว่าการปลุกหัวใจหมาต้องลำบากหน่อย เพราะว่า
    เจ้าหมานี่มันชอบเยี่ยว ฉะนั้น พอปลุกหัวใจหมาเสร็จ คนที่ปลุกขึ้นแล้ว
    ก็จะอยากจะแก้ผ้าออก ถ้าใครเข้าไปขัดขืนมัน มันก็จะไล่กัด มันจะเห่า
    มันจะกรรโชกแบบหมา และไปถึงจุดไหนมันก็วิ่งไป ๔ ขามันจะเยี่ยวเป็นระยะๆ
    เวลาขากลับมามันจะสูดกลิ่น นี่เขาทำกันถึงขนาดนี้
    จึงมีประโยชน์ในการใช้ในการคงกระพันชาตรีเวลารบ
    และส่วนที่ประโยชน์ในการปลุกตัว ทุกคนถ้าปลุกจนชิน
    อาการปลุกตัวที่มันจะขึ้นนั้นก็คือตัวสมาธิ แต่ทว่า
    เราไปใช้กันในส่วนของด้านอกุศลมาก แต่เวลาที่จะนำกำลังใจมาใช้ในด้านกุศล
    ก็มีผลหนัก จับสมาธิขึ้นได้ฉับพลัน ฌานสมาบัติทรงตัว ฉะนั้นเรื่องนี้
    ท่านไม่ถามผมนี่ ก็ผมก็เลยพูดเลยมา เมื่อถามแล้ว เมื่อมาพูดกันคราวนี้
    คิดว่าท่านไม่ถามผมก็พูด อันนี้เป็นวาทะของท่านผู้ใหญ่
    คือท่านเจ้าคุณภานุมาศ เล่าให้ฟังว่าสิ่งที่มันเป็นประโยชน์นั่นก็ควรจะถาม
    เมื่อท่านไม่ถามผมก็จะต้องบอกท่านเพื่อเป็นประโยชน์ของบรรดาลูกหลานทั้งหลาย
    เพราะว่าลูกหลานทั้งหลายนี่รู้สึกว่า เธอเป็นคนดีมาก ติดตามท่านมามาก
    ท่านให้คนเขาเขียนชื่อมาเป็นแถว อยากจะรู้ว่าใครเกิดเป็นอะไรกันบ้างนี่
    ไม่ต้องเปิดตำรา ผมไม่บอกหรอก ถ้ามานั่งไล่บอกกันแต่ละคราว ละคราว
    แต่ละคนนับเกิดมาแล้วเป็นแสนๆ ชาติ
    ที่ผมรู้ก็ในฐานะที่เวลานี้ผมไม่มีขันธ์ ๕ มีสภาวะเป็นอทิสสมานกาย
    ที่เรียกกันว่ากายทิพย์ ความเป็นทิพย์ของกาย ความเป็นทิพย์ของจิต
    สามารถจะรู้อะไรได้ทุกอย่าง กี่ชาติกี่ภพก็ได้ เว้นไว้แต่ธรรมะบางส่วน
    ที่มีกำลังสูงขึ้นไป นี่ไม่สามารถจะแก้ไขตนเองได้ ก็ต้องถามพระ

    ขอบอกแก่ท่านตรงๆ ว่าบรรดาลูกหลานทั้งหลาย ที่ติดตามท่านมาปัตตานีนี่
    และก็ลูกสาว หลานชาย ที่อยู่ที่ปัตตานีนี่ก็เหมือนกัน ถ้าจะถามว่า
    ติดตามกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ต้องขอตอบว่า ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด
    จะต้องใช้เวลาถอยหลังจากนี้ไปถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป
    ติดตามกันมาเริ่มตั้งแต่ตั้งระยะดี แต่ก็มีส่วนมากในจำนวนนี้
    ติดตามมาก่อนนั้น ที่ยังไม่เริ่มทำการดีคือไม่เริ่มปรารถนาพุทธภูมิ
    ในสมัยโน้น เขาก็มีเมืองใหญ่อย่างนี้ ถอยหลังไป ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป
    ก็มีพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในกาลนั้น ทุกคนมีความเคารพในพระพุทธเจ้า
    เพราะว่าพระพุทธเจ้ามีอายุมาก อายุของคนในสมัยนั้นถึง ๘๐,๐๐๐ ปี
    ฉะนั้น ลูกหลานบริวารของท่านจึงมาก เพราะคนอายุนาน นาน เทวดาก็ดี
    พรหมก็ดี สัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย สัตว์นรกที่มาเกิดนี้ก็เกิดกันมาก
    และเมื่อมารวมตัวกันมาก เห็นความดีของพระพุทธเจ้าก็มีความเลื่อมใส
    ท่านเข้าไปปรารถนาพุทธภูมิ บรรดาคณะของท่านทั้งหมดที่เป็นลูกบ้าง
    หลานบ้าง ที่มาติดต่อกันเวลานี้ไม่ใช่ใคร เหลืออยู่เวลานี้ก็ลูกก็หลาน
    บางคนก็เป็นลูกมาแล้วก็มาเป็นหลาน เป็นหลานแล้วก็ไปเป็นลูก
    กลับกันไปกลับกันมาอยู่อย่างนี้แต่ละชาติวกวนกันไปวกวนกันมา
    ทุกคนก็ตั้งใจตั้งปรารถนาว่า เมื่อท่านสำเร็จพระโพธิญาณเพียงใด
    เมื่อใดเขาทั้งหลายเหล่านั้นขอร่วมสำเร็จด้วย ขอเป็นสาวก
    แต่ความจริงมีเป็นจำนวนมาก เขาควรจะได้อรหัตผลไปนานแล้ว
    แต่ว่าเจ้าแก้วมันเป็นคนถ่วงเวลาเขา เจ้าแก้วไม่ใช่ท่านนะ
    เจ้าแก้วเนี่ยมันไม่ใช่ท่าน

    ผมพูดถึงท่านเมื่อกี้นี้ แล้วไปพูดถึงเจ้าแก้ว มันเป็นคนถ่วงเวลา
    เพราะเจ้าแก้วมันเป็นคนชาตินิยม จะเกิดกี่ชาติกี่ชาติ
    มันก็ชาตินิยมอยู่อย่างนั้น ถ้าพูดถึงอธิปไตย
    มันก็เป็นอัตตาธิปไตยอยู่ตลอดเวลา คำว่าอัตตาธิปไตย
    ถือตนเป็นใหญ่ คำว่าตนเป็นใหญ่ในที่นี้ ก็ถือว่า ถ้าสิ่งใดก็ดี
    เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของมวลชน ที่นับเนื่องถึงกัน
    ร่วมชาติร่วมศาสนาร่วมเผ่าพันธุ์ มันจะถือว่า ต้องเอากำลังกายของมัน
    กำลังใจของมัน ชีวิตและเลือดเนื้อของมัน
    เข้าไปเป็นประกัน ต้องการให้คนทุกคนมีความสุข
    ถ้าใครจะมาคัดค้านเจ้าแก้วกลัวว่าเจ้าแก้วมันจะตาย
    เวลาที่มันแจกจ่ายทรัพย์สินกลัวว่าเจ้าแก้วมันจะอด
    อย่าไปหวังเลย มันไม่ฟังใครหรอก
    มันถือว่ามันมีความสำคัญกว่าใครทั้งหมด
    เรื่องอดเรื่องกินกินมีกินมากกินน้อยก็ตาม มันถือว่ามันเป็นเรื่องของมัน
    เรื่องการจะป้องกันสรรพอันตรายก็ของชาติก็ดี
    ของมวลชนหมู่เดียวกันก็ดี เจ้าแก้วมันถืออัตตาธิปไตยเป็นสำคัญ
    คือว่าถือว่าตัวเป็นใหญ่ ถ้าเห็นว่าสมควรแล้ว ใครจะ(อย่า)มาห้ามมันเลย
    ห้ามไม่ได้เจ้านี่ นิสัยมันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้น เวลาที่มันเป็นพระยากาญจนบุรี
    หรือเจ้าพระยากาญจนบุรีศรีสุนทรอะไรพวกนั้นน่ะ
    ชื่อมันยาวเหยียด เวลานั้นถ้าความร่ำรวยของมันจริงๆ แล้ว
    ถ้าจะเอารวยกันมันก็รวยกว่าผม แต่ทว่าที่เงินที่มันสะสมไว้มีน้อย
    ก็เพราะว่ามันแจกเขามาก ถ้ากล่าวโดยปริมาณจริงๆ แล้ว มันรวยกว่าผมมาก
    ที่เขาบอกว่า ขุนแผนจน ขุนแผนจะรู้สึกว่าทรัพย์สินที่มีอยู่ในตนจนจริง
    แต่เงินที่เข้ามาถึงหามือขุนแผน

    แต่ความจริงคำว่าขุนแผนนี่ ไม่มีในทำเนียบของราชการ ชาวบ้านเขาตั้ง
    ขุนแผนก็ดี ขุนช้างก็ดี ชาวบ้านตั้ง ที่เรียกว่าขุนช้างก็เพราะว่าเผ่าพันธุ์
    เป็นคนหาช้างให้แก่กองทัพ รักษาช้าง ฝึกฝนช้างเพื่อการรบ
    เขาจึงเรียกคนเผ่านี้ว่าเผ่าขุนช้าง สำหรับขุนแผนก็เหมือนกัน
    ที่เรียกกันว่าขุนแผน เพราะมันเป็นคนออกแบบออกแผน
    จู้จี้จุกจิก เห็นอะไรไม่ดีก็จัดสรร กราบถวายบังคมทูลสมเด็จพระพันวษา
    พระองค์ก็เห็นด้วยทุกประการ อาศัยที่มันเป็นคนวางแผน
    ชอบเปลี่ยนชอบแปลงชอบจัดระบบ ให้สมดุลอยู่เสมอ
    ชาวบ้านจึงเรียกมันว่าขุนแผน แต่ไม่ใช่ขุนวางมาดวางแผนเต๊ะท่า
    ใหญ่กว่าคนนั้นคนนี้ ความจริงมันไปที่ไหน ไม่ใครไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นขุนนาง
    มันชอบคลุกคลีตีโมงกับชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา ทำเป็นกันเองอยู่เสมอ

    เอาล่ะตอนนี้ ที่พูดกันมาก็เพื่อจะเตือนลูกเตือนหลาน
    ท่านพูดไปตามเสียงผมพูด ว่าลูกหลานถ้าจะเจริญพระกรรมฐานให้มีผล
    ให้มีกำลังจริงๆ เวลายามว่างก็หมั่นปลุกตนปลุกตัว ให้มันขึ้นตามลำดับ
    นั่นก็คือเป็นการหัดฝึกสมาธิที่เป็นการดึงกำลังใจให้เป็นสมาธิได้ง่ายและรวดเร็ว
    และการปลุกตัวนี่เป็นจริยาคล้ายทำเล่นๆ แต่ทว่าผลจริงๆ
    คือกำลังสมาธิจะตั้งมั่น การฝึกทิพจักขุญาณก็ดี การฝึกทางด้านฤทธิ์ก็ดี
    เช่นมโนมยิทธิหรืออภิญญา ถ้าฝึกตนได้ดีแล้ว จะฝึกด้านนี้เป็นได้ง่ายๆ
    เป็นของง่าย และก็แจ่มใสรวดเร็ว นี่ท่านถามผมมาอีกแล้ว
    ว่าเวลาการรบ เขาใช้โอกาสในการฝึกตัวหรือใช้สมาธิที่เรียกกันว่า
    ไม่ใช่สัมมาสมาธิ ดูการเคลื่อนไหวของข้าศึกบ้างรึเปล่า
    ท่านเจ้าคุณตอบมาบอกว่า เขาใช้ เขาใช้สมาธิเหมือนกัน
    แต่ว่าใช้สมาธิเห็นผีหรือว่าใช้สมาธิเรียกผี ก็หมายความว่า
    เวลาจะปลุกตัวนี่ เขาใช้เวลาปลุกตัวเหมือนกัน ที่เล่นหยาบๆ
    ที่ละเอียดอย่างเจ้าแผนรึเจ้าแก้วนี่ มันใช้ผีตรงๆ
    มันเรียกวิญญาณของใครคนหนึ่งมา ที่พอมันจะใช้ได้
    มันก็ส่งไปดูลาดเลาของข้าศึกทั้งแนวหน้าและแนวหลัง
    และแนวหนุน ตลอดจนกระทั่งกองเสบียงจะเคลื่อนจะไหวไปเวลาไหน
    มันทราบจากผีตลอดเวลา เจ้านี่มันเก่ง อ๋อที่ถามว่า
    แล้วท่านเจ้าคุณเก่งไหม อ๋อถ้าเรื่องนี้เจ้าคุณก็ต้องเก่งเหมือนกัน
    การบังคับช้าง การจับช้าง การควบคุมช้าง
    เขาก็ต้องใช้หลักวิชาควบคุมเหมือนกัน ไม่ยังงั้นมันลำบาก
    ถ้าใช้หลักวิชาคือการปลุกตัว ก็มันจิตมันเข้มแข็ง
    เมื่อจิตมันเข้มแข็งกว่าสัตว์ สัตว์มันก็ยอมแพ้ จะบังคับยังไงมันก็ได้
    ที่ถามมาว่า การปลุกตัว จะได้รู้กำลังของข้าศึก การเคลื่อนไหวของข้าศึก
    ใช้วิชาอะไรปลุก ท่านเจ้าคุณตอบมาบอกว่า การปลุกตัวนี่
    เขาก็จะต้องใช้กำลังปลุกตัวด้วยกำลังของใครคนใดคนหนึ่ง
    ที่เราพึงมีความชอบใจ เช่นในสมัยนั้นเขานิยมพระสยามเทวาธิราช
    แต่ความจริงสมัยนั้น เขาไม่เรียกว่าพระสยามเทวาธิราช
    อย่างว่าในสมัยพระพันวษานี่ เขานิยมปลุกคือ
    เชิญวิญญาณของพระเจ้าอู่ทองบ้าง
    เชิญวิญญาณของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์บ้าง
    เชิญวิญญาณของพ่อขุนผาเมืองบ้าง
    เชิญวิญญาณของพระเจ้ารามคำแหงบ้าง อย่างนี้เป็นต้น
    เมื่อนึกถึงท่านแล้วก็ปลุกตน ท่านถามรึ ว่าหัวใจที่ปลุก
    จะให้ท่านผู้นี้ใช้กำลังจิตของท่านมาสู่ในตน แล้วก็บอก
    ใช้คาถาว่ายังไง คาถาที่ใช้นี่เขาเรียกว่าสุนักขัตตัง สุนักขัตตังนี่
    ถ้าแปลตามภาษาบาลีแปลว่าฤกษ์ดี เมื่อเชิญคนดีมาก็ใช้คาถาอย่างนี้
    แต่ว่าเวลาปลุกอย่าไปแปลนะ นึกไว้ว่าสุนักขัตตัง สุนักขัตตัง
    สุนักขัตตัง อันดับแรกก็ตั้งใจเชิญท่านทั้งหลายเหล่านี้มาสู่ตน
    ให้วิญญาณของท่านมาสวมตน แล้วก็ภาวนา
    เมื่อภาวนาไปจิตทรงสมาธิดี ดีพอจะรับได้
    กำลังวิญญาณของท่านก็จะมาสวมกาย แล้วก็จะบอกความประสงค์ทุกอย่าง
    ที่ต้องการพร้อมกับการแนะนำ ที่ท่านถามว่า มีอาการคล้ายกับเชิญทรงใช่ไหม
    ท่านเจ้าคุณบอกว่า มันคล้ายกับทรง แต่ไม่ใช่ทรง คือเอาเชิญมาพูดกันเลย
    ไม่ใช่มาทรงกัน ถ้าจะพูดว่าทรงก็คล้ายทรงแต่ว่ามีอาการผิดกันอยู่หน่อยหนึ่ง
    เมื่อปลุกตัวโดยเชิญใช้ศัพท์ว่าสุนักขัตตัง ตั้งใจถึงท่านผู้ใดผู้หนึ่ง
    ท่านจะมาเฉพาะกิจโดยเฉพาะ ถ้ากิจถ้าที่เราคิดไว้ถ้ามีการบกพร่อง
    ท่านก็จะแนะนำ เมื่อแนะนำเสร็จก็จะบอกระยะเวลาการเข้าโจมตี
    การลิดรอนกำลังของข้าศึก และก็จะบอกผล
    จะบอกบุคคลที่มีความเคราะห์ร้ายว่ากำลังของเราเข้าไปคราวนี้จะตายสักกี่คน
    ที่จะตายก็เพราะว่าคนทั้งหลายเหล่านั้นเป็นคนหมดอายุขัยจริงๆ
    ไม่มีโอกาสที่จะช่วยได้ บางคราวท่านก็กันบอกว่า
    กันไอ้คนที่มันจะตายเพราะเหตุนี้ อย่าให้เข้าไปทำการรบ
    เอาไว้เป็นกองส่งเสบียง รักษากำลังตอนหลังบ้าง
    และในที่สุด คนนั้นก็จะต้องตาย แต่ว่าตายด้วยเหตุอื่น
    บางทีถูกมีดบาดนิดหนึ่ง เป็นบาดทะยักตาย
    แต่ก็ไม่เป็นการเสียกำลังใจแก่กำลังทหารทั้งหลาย
    ความจริงนี่ผมมีเรื่องจะพูดกับท่านมากนะ นี่ท่านเจ้าคุณท่านว่ามา
    แต่ทว่า ท่านถามตอนนี้เลี้ยวเข้ามาก็ต้องพูดให้เป็นประโยชน์
    อย่าลืมบอกลูกบอกหลานมัน ว่าลูกหลานที่เวลานี้มันอยากจะเล่นฤทธิ์เล่นเดช
    อยากจะได้ไปไหนต่อมาไหนได้ ถ้าอยากได้อย่างนั้น ให้ฝึกให้พยายามปลุกตัวไว้
    แต่ว่าถึงแม้ว่าจะไปไม่ได้ กำลังสมาธิก็จะทรงตัว มีความเข้มแข็ง
    มันเป็นประโยชน์แก่คนพวกนี้มาก

    บรรดาลูกรักทั้งหลาย มองดูเทปเห็นว่าจะหมด เวลามันผ่านไป ๒๘ นาที
    ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว สำหรับเทปหน้านี้ก็ต้องขอหยุดก่อน
    ขอความปรารถนาสมหวังด้วยประการทั้งปวง ที่ท่านเจ้าคุณภานุมาศแนะนำมา
    จงมีแก่บรรดาลูกรักทั้งหลายโดยถ้วนหน้า สวัสดี
     
  15. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    15.เรื่องเจ้าแก้ว(ขุนแผน)(ต่อ),พระปฐมเจดีย์,สายการประกาศพระศาสนา@25เมษายน2521.mp3
    ลูกรักทั้งหลาย เทปหน้านี้ที่บันทึก ก็ยังอยู่ที่จังหวัดยะลาตามเดิม
    เมื่อคุยกับท่านเจ้าคุณต่อไป มองหน้าเจ้าคุณท่านยิ้ม
    ท่านยิ้มแล้วท่านก็บอกว่า ลูกหลานทุกคนที่มานี่หรือว่าร่วมงานทุกคน
    ท่านรู้จักทุกคน เป็นอันว่า ทุกคนที่มาเคยไปเที่ยวบ้านท่าน
    ไปกินของบ้านท่าน ไปเล่นบ้านท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    ลูกหลานเกือบทั้งหมดมันเป็นคนซน มันไปถึงมันก็เรียกคุณพ่อเจ้าคะ
    คุณพ่อขอรับ ผมอยากได้นั่น ฉันอยากได้นี่ แต่ว่าด้านคุณพ่อก็ดีจริงๆ
    เหมือนกัน นี่ชมตัวเองนะ หมาขี้น่ะรอคนยกหางไม่ได้
    ใช่มั้ยท่านเจ้าคุณ แหมไอ้คนชมคนตัวเองนี่มันระยำจริงๆ
    เจ้าคุณยิ้ม เจ้าคุณบอกว่าอย่าเสือกสิ ท่านพูดว่ายังไงก็ว่าไปตามยังงั้นสิ
    เรามีหน้าที่อย่างเดียว พูดตามเสียงพูด ก็ลูกหลานมันมาก
    ไอ้แก้วน่ะมันระยำ มันมีเมียกี่ปี๊บรู้มั้ย แล้วก็ อ้าวท่านจะถาม
    ไม่ต้องถามผมบอกเอง ที่ไอ้แก้วมันมีเมียเป็นปีบๆ น่ะ
    ความจริงมันไม่ได้ มันไม่ใช่ว่ามันจะเป็นคนเจ้าชู้วิ่งหาผู้หญิง
    แต่ความจริงเจ้าแก้วกับผมลักษณะมันต่างกัน นี่ผมยืนให้ท่านดู
    ดูมาดนายช้างเสียบ้าง นายช้างน่ะเป็นคนมาดดีสง่าผ่าเผยตาผ่องใส
    แล้วก็หน้ารูปไข่นิดๆ แต่ว่าหน้าเป็นหน้าของผู้ชาย
    ไม่ใช่รูปไข่ผู้หญิง ลักษณะท่าทางองอาจ นี่อย่าว่ากันสิ
    ความจริงตอนนี้พ่อบอกว่า แหมท่าทางคล้ายกับช้างซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ท่านก็เลยบอกว่าอย่าว่ากันสิ นี่คนคุมช้างมันก็ต้องมีความสง่าผ่าเผย
    มีกำลังเหมือนช้าง แต่ว่าช้างตัวนี้มันเป็นช้างมีตัวมีศักดิ์ศรี
    แต่ว่าเจ้าแก้วมันมีรูปร่างอย่างหนึ่ง เจ้าแก้วนี่ถ้าจะดูลักษณะจริงๆ
    มันก็เป็นคนสมส่วนสมศักดิ์ ท่าทางทะมัดทะแมง แต่ผิวเจ้าแก้วมันขาวกว่าผม
    ผมเป็นคนค่อนข้างขาว อย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกว่าเป็นคนขาว
    แต่ว่าเวลาเดินเดินแรง เพราะว่าเคยคุมช้างนี่ต้องเดินแรง เวลาทำงาน
    ผมช้าไม่ได้ ผมกะไอ้แก้ว ไอ้แก้วมันเรียกผมไอ้โคล้งไอ้โคล้ง
    ไอ้ระยำเนี่ย ชื่อจริงๆ มันก็ไม่เรียก ผมชื่อศรีนะ ชื่อผมจริงๆ คือศรี
    เขาแปลว่ามิ่งขวัญ ไอ้แก้วน่ะเขาแปลว่า ชื่อจริงๆ เขาพลายแก้ว
    คำว่าพรายนี่ถ้าไม่ใช่ผี พลายแก้วแปลว่าช้างแก้ว ช้างที่มีกำลังใหญ่
    ช้างตัวประเสริฐของพระเจ้าจักรพรรดิ จึงให้นามไว้ว่าพลายแก้ว
    เพราะมันออกมาฤกษ์ดี โหรพยากรณ์ว่าเจ้าเด็กคนนี้จะมีอำนาจมาก
    สามารถจะปราบปรามข้าศึกได้ทุกทิศโดยที่จะใช้กำลังพลเข้าประชิดกับข้าศึก
    ใช้กำลังไม่มาก เขาจึงให้นามว่าพลายแก้ว แล้วก็เป็นนามที่โหรเขาให้กันมา
    นี่เป็นอันว่า ผมก็เป็นคนสง่าผ่าเผย ผมสวยสู้ไอ้แก้วมันไม่ได้
    ไอ้แก้วมันสวยมาก ท่าทางมันดี จริยาของทุกคนเวลาเลิกจากการเป็นทหารพักมา
    ก็มีจริยาแช่มช้อย ละมุนละไม อ่อนโยนกว่าผู้หญิงสมัยปัจจุบัน
    ผู้หญิงสมัยนี้น่ะมันเป็นผู้ชายซะมากกว่าผู้หญิง ผู้หญิงสมัยโน้น
    เขาเป็นคนเก็บตัว มีจริยามรรยาทดีพูดน้อย
    ถ้าจะเห็นผู้ชายไม่ใช่ว่าจะวิ่งเข้าไปคุย จะไปเดินควงกับผู้ชายน่ะไม่มีล่ะ
    มีแต่เป็นคนเก็บตัวตามจารีตประเพณี เป็นคนน่ารัก แต่ว่าลักษณะการย่อง
    ย่องหนีเมื่อบิดาเมื่อพ่อแม่เผลอ ไปหาเจ้าหนุ่มคู่รัก
    มันก็มีเป็นของธรรมดา แต่ว่าจริยาท่าทางหน้าบ้านเขาดี
    นี่สำหรับเจ้าแก้ว ที่มันมีเมียมากก็
    ๑ รูปร่างหน้าตาของมันสวยเก๋มีเสน่ห์
    ๒ เป็นคนอ่อนโยน
    ๓ มีความกตัญญูรู้คุณ
    ๔ มีจิตใจเผื่อแผ่
    มันไม่ค่อยเก็บสตังค์ ไปที่ไหนมันก็จ่ายให้ลูกน้องดะ เห็นคนยากคนจน
    ยากจนเข็ญใจมันก็สงเคราะห์ให้ตามสมควร มีอะไรพอที่มันจะช่วยเหลือได้
    มันช่วยทุกอย่าง เวลานั้นบ้านเมืองมันกว้าง คนมันน้อย
    ทีนี้การทำไร่ไถนามันก็เป็นของไม่ยาก เหมือนกับชาวเขาเวลานี้
    อยากจะไปฟันป่าที่ไหนก็ไปกัน ทำกันได้ตามชอบใจ
    ใครไม่มีทุนไม่มีรอน เจ้าแก้วมันก็ให้ ความจริงผมก็ไม่ยอมแพ้มันนัก
    ใครมาขอผมก็ให้เหมือนกัน แต่ว่าสู้มันไม่ได้ มันเที่ยวเก่ง
    มันพูดเก่งกว่า มีคนรู้จักมันมากกว่า ก็เลยมีคนเขามาไถมันมาก
    ในเมื่อมีคนมาไถมันมาก ผมมีคนมาไถน้อยกว่า
    ลูกไอ้แก้วมันก็เลยมาไถผมต่อไป ขึ้นมาบนบ้านบอกคุณพ่อ ไอ้นี่ดี
    คุณพ่อ ไอ้นี่ดี ไอ้โน่นก็ดี ไอ้นี่ก็ดี มันอยากว่าดีผมก็เลยให้มัน
    และลูกไอ้แก้วทุกคนมันเรียกผมพ่อทุกคนน่ะ มันรักผมเหมือนพ่อ
    ผมก็รักมันเหมือนลูก ฉะนั้น ตามนิยายที่มันทำกันปรัมปรามามันเสียหมด
    คนขนาดเป็นคนน้ำขุนนางเป็นพระยาสมัยนั้น ใครเขาจะเลวแบบนั้น
    เลิกพูดกันทีนะ เรื่องไอ้แก้วกับไอ้ช้าง นี่ท่านว่ายังงั้น

    มาคุยกันวันนั้นเรามาหยุดอยู่ที่จังหวัดนครปฐม
    ความจริงจังหวัดนครปฐมนี่ ต้องถือว่า
    เป็นจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์สำคัญจังหวัดหนึ่ง
    แต่ผมก็ไม่ถือว่าเลิศกว่าจังหวัดอื่น คือ
    ๑ นอกจากเรื่องของพระยากงพระยาพานแล้วจะเล่าให้ฟัง
    มันก็ยังมีเรื่องสำคัญต่อไปอีก การที่พระอริยสงฆ์
    สมัยพระมหินทร์ประกาศพระศาสนา
    ก็เดินทางมาขึ้นที่จังหวัดนครปฐมก่อน เป็นจุดแรกที่พระพวกนั้นมาปักหลัก
    นำพระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่ แต่ความจริงพระพุทธศาสนามีมาก่อนนั้น
    เป็นแต่เพียงท่านทั้งหลายเอาพระไตรปิฎกที่เขียนเป็นหนังสือมายืนยัน
    เพราะว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าน่ะมีตำรา ไม่ได้จำกันเฉยๆ
    และก็บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นก็มาประกาศชักจูงให้เจริญความดี
    ตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ความจริงเอาความดีมาเสริมความดีที่มีอยู่แล้ว มันก็เป็นของไม่ยาก
    ถ้าจะพูดกันต่อไปจริงๆ ในเขตสุวรรณภูมิส่วนนี้ ก็ถือว่า
    มีพระสำรองอยู่แล้ว คือพระอรหันต์ และพระอริยเจ้าทั้งหลาย
    เมื่อพระอรหันต์มาพระอรหันต์กันเข้า ของมันก็ไม่ยาก
    อ่านตำรับตำราทบทวนกันเดี๋ยวเดียวเห็นว่าใช้ได้
    ต่างคนต่างก็ลอกเอาเป็นแบบเป็นแผนไป เพื่อให้ไปเป็นพื้นฐานแน่นอน
    เพื่อสอนกับบรรดาประชาชนทั้งหลาย และคนส่วนใหญ่ในที่นี้
    ก็นับถือพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว เห็นมั้ย จังหวัดนครปฐมต้องถือว่า
    เป็นเมืองแม่ในการประกาศพระศาสนา และต่อมาอีกจุดหนึ่ง
    ที่จังหวัดนครปฐม ที่พระเจดีย์องค์นี้มีนามว่าปฐมเจดีย์
    ก็มาเรียกกันตอนหลัง เนื้อแท้จริงๆ ไม่ใช่ปฐมเจดีย์
    ปฐมเจดีย์แปลว่าเจดีย์องค์แรก เขาถือกันว่า
    ตอนที่สมัยเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนิพพานไปแล้ว
    แล้วก็ใครก็ไม่รู้มาสร้างเจดีย์องค์นี้เป็นองค์แรก ไม่มีถูกล่ะ ถ้าจะให้ถูก
    ถ้าจะให้เรียกปฐมเจดีย์แล้วก็ต้องเรียกว่า เป็นปฐมเจดีย์ของจังหวัดนครปฐม
    อันนี้ผมก็ว่าไม่ถูกอีก เพราะเจดีย์ที่เป็นปฐมของจังหวัดนครปฐมนั้น
    อาจจะมี...ที่อื่นก็ได้ เพราะมีพระอรหันต์ตายที่ไหนหรือนิพพานที่ไหน
    พระพุทธเจ้าท่านสั่งสร้างเจดีย์บรรจุกระดูกที่นั่น ต้องถือว่า
    ถ้าจะเรียกกันว่าปฐมเจดีย์เป็นเจดีย์องค์แรก ก็ต้องเรียกว่า
    เจดีย์องค์ใหญ่องค์แรกของจังหวัดนครปฐม อย่างนี้ถึงจะถูก

    สำหรับพระปฐมเจดีย์นี้ ผมได้พูดมาถึงเรื่องพระยากงพระยาพาน
    ต่างคนต่างก็สร้างเจดีย์เป็นที่ระลึก พระปฐมเจดีย์เป็นเจดีย์
    ที่พระยาพานสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ของพระราชบิดา ที่ถูกฆ่าเพราะไม่รู้จักกัน
    แต่สำหรับพระประโทน ก็เป็นเจดีย์ที่เป็นอนุสรณ์สนองคุณของยายหอม
    ที่เลี้ยงพระยาพานมา แต่ก็ยังไม่เป็นเจดีย์ต้น ถ้าจะเป็นเจดีย์ที่ต้นไปกว่านั้น
    นอกนั้นผมไม่รู้นะ ถ้าสืบประวัติไปล่ะก็ยุ่ง ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น
    พูดกันเรื่องเจดีย์นี่ มันร้อยปีก็ไม่จบ ไอ้ในเขตนี้เจดีย์มันเกิดมาก่อนนาน
    ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะยังไม่นิพพาน มีพระอรหันต์ตายก็ทำเจดีย์
    ตอนนี้เอาย้อนต่อไปก่อนสักนิดหนึ่ง หลังจากที่พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว
    มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อว่าโสณพราหมณ์ เป็นพราหมณ์อยู่ที่เมืองกุสินารามหานคร
    ชื่อเก่าของเขานะ โสณพราหมณ์ ไอ้โสณพราหมณ์นี่จะแปลว่าอะไรไม่ต้องพูด
    แต่ว่าเป็นพราหมณ์ที่บอกอัตถปัญหาแก่พระราชาเป็นปุโรหิต
    เป็นคนมีความรู้ดี พ่อแม่ให้นามว่า ชื่อว่าโสณะ โสณะ แต่ว่ามาอยู่กับพระราชา
    เขาตั้งเป็นพราหมณ์อะไรแต่พราหมณ์อะไร เป็นปุโรหิต เป็นปุโรอะไรก็ตาม
    ปุโรหิตหรือปุโรขี้กลาก เราก็ช่างเขาเถอะ เขาให้นามยังไงก็ช่าง
    ชื่อเดิมชื่อว่าโสณพราหมณ์ ต่อมาคนเรียกกันว่าโทณพราหมณ์
    โทณะเขาแปลว่าทะนาน การตอนที่ตวงพระบรมสารีริกธาตุแบ่งกัน
    กับพระราชาเมืองอื่น ปรากฏว่าโทณพราหมณ์ขโมยของพระเขี้ยวแก้วไว้ในผม
    พระอินทร์เห็นว่าไม่สมควรกะโทณพราหมณ์
    จึงเอาเขี้ยวแก้วไปบรรจุที่พระจุฬามุนีเจดีย์สถานบนชั้นดาวดึงสเทวโลก
    ในเมื่อเวลาที่แจกของหมด แกก็มาคลำดู เห็นหายไปจากมวยผม
    จึงได้ขอทะนานที่สำหรับตวงพระบรมสารีริกธาตุเอาไปบูชา
    เป็นทะนานทอง เมื่อได้รับทะนานมาแล้ว ทะนานนี่ ภาษาบาลีเขาเรียกว่าโทณะ
    โทณะโทณะนี่แปลว่าทะนาน เมื่อตาพราหมณ์คนนี้แกรับทะนานมาแล้ว
    เขาจึงให้นามว่าพราหมณ์ทะนาน หรือว่าพราหมณ์ผู้รับทะนานไป
    เขาเรียกว่าโทณพราหมณ์ เมื่อโทณพราหมณ์ได้ทะนานมาแล้ว
    ความจริงเมืองนครปฐมที่เราเรียกกันว่าทวารวดี รู้จักกับพระพุทธเจ้า
    รู้จักกับพระอรหันต์ รู้จักกับพระพุทธศาสนา มาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ายังอยู่
    การเดินไปเดินมาจากกรุงกบิลพัสดุ์มหานคร มาถึงจังหวัดนครปฐม
    หรือทวารวดี ใช้เวลาเดินจริงๆ ไม่เกิน ๑๗ วัน
    พ่อค้าใช้เวลาเดินประมาณค่อนเดือน ครึ่งเดือนเศษๆ
    เพราะมีความหนักมาก เขาเดินลัดตัดทาง ทางตรงเขามี
    เขาเดินกันเป็นปกติ พ่อค้าใช้เวลาเดินเท่านั้น ไม่ใช่ของเวลานาน
    ฉะนั้น ถ้าหากว่าเดินเท้าเปล่า ก็เดินได้ไม่เกิน ๑๗ วันเป็นอย่างช้า
    ท่านนั่งนึกในใจนึกมองดู ว่าคนสมัยนี้กับคนสมัยเมื่อท่านเป็นหนุ่ม
    ใครมันเดินสู้กันได้ ไอ้คนสมัยที่ท่านเป็นหนุ่มมันก็เดินสู้คนเก่าๆ เขาไม่ได้
    เขาเดินกันเป็นปกติ เป็นอันว่าการรอนแรมมาเป็นของไม่ยาก
    ฉะนั้น โทณพราหมณ์เมื่อได้รับทะนานทองแล้ว ก็เดินทางมาสู่เมืองทวารวดี
    เพราะว่าตามปกติแกมาเสมอๆ มีที่หมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่ง
    เขาเรียกว่าบ้านพราหมณ์ ใกล้ๆ กับพระประโทนนั่นแหละ
    หมู่บ้านพราหมณ์นี่เป็นหมู่บ้านของอีตาโทณพราหมณ์นั่นเอง
    หรือว่าโสณพราหมณ์ เมื่อได้มาแล้วแกก็นำทำเจดีย์ขึ้นเป็นองค์ย่อมๆ
    บรรจุทะนานที่ตวงพระบรมสารีริกธาตุนั้นไว้ที่นั้นแล้วก็ทำการบูชา
    เป็นอันว่า ถ้าจะเรียกกันว่า ปฐมเจดีย์ ก็จะต้องเรียกพระประโทนนี่
    เป็นเจดีย์ที่เป็นปฐมคือก่อนหน้าของพระปฐมเจดีย์องค์ใหญ่
    ระยะตอนนี้นะ ถ้าตอนเลยลงไปอย่างนั้นโอ้ยอย่าพูดกันเลย
    มันยุ่ง เล่าลงไปมันก็ไม่จบ ตอนที่พระพุทธเจ้ายังไม่นิพพาน
    พระอรหันต์องค์ไหนนิพพานแถวนี้บ้าง ใครจะไปรู้ รู้ก็พูดไม่ได้
    ใช้เวลามันมาก ไม่เป็นประโยชน์ ก็เป็นอันว่า
    รู้ประวัติความเป็นมาของจังหวัดนครปฐมซะด้วย
    ที่มีความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของพระพุทธศาสนาถอยหลังลงไป

    ตั้งแต่ในสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ก็มีพระมาจำพรรษา
    ตั้งแต่ภาคใต้ของประเทศไทยถึงภาคเหนือ ภาคเหนือจริงๆ ก็ส่วนหนึ่ง
    เป็นเขตที่พระมหาโมคคัลลาน์มาคุมคือเป็นสายของพระมหาโมคคัลลาน์
    แดนเหนือไปด้านเชียงตุงต่อประเทศจีน และก็ในเขตจีน
    เป็นสายของพระมหากัสสป ความจริงก็ไม่ไกลกันนัก
    แต่เดินมันยาก แต่ท่านพวกนั้นท่านเหาะ และก็สำหรับสายใต้ต่ำลงมานี่
    นับตั้งแต่จังหวัดสุพรรณบุรี มาถึงจังหวัดนครปฐม เพชรบุรีเป็นต้น
    และก็แดนประจวบคีรีขันธ์ ตอนนี้เป็นสายของพระมหากัจจายนะกับพระอนุรุทธ
    มักจะมากันเสมอๆ และต่ำลงมาจากประจวบคีรีขันธ์มาจังหวัดชุมพร
    จนกระทั่งถึงสุราษฎร์ธานี สายนี้ก็เป็นสายพระโสณกัณณ
    นี่มากันเป็นปกติ สายใต้ลงมาจากนั้นมา ก็เป็นพระลูกศิษย์ของพระทั้งหลายพวกนั้น
    ที่กล่าวมาแล้ว เป็นองค์สอนกันต่อๆ กันมา

    เป็นอันว่าประเทศไทยรับคำสอนของพระพุทธศาสนามา
    ก่อนที่เราคิดว่าพุทธศาสนาเข้ามาประเทศไทย และเวลานั้น
    ไอ้เมืองมันมาก หย่อมๆ ของเมือง ไปหนึ่งถึงเมืองโน้น
    ไปถึงที่โน่นก็มีพระราชาชื่อนั้น คือเขาเรียกว่าพ่อเมือง
    พ่อเมืองชื่อนั้น พ่อเมืองชื่อนี้เป็นต้นเผ่า คนก็มีหลายเผ่าด้วยกัน
    ถ้าจะเรียกเป็นเผ่าๆ เรียกอย่างนั้น เรียกอย่างนี้ เป็นพวกมองโกล
    เป็นพวกละว้า เป็นพวกขอมพวกอะไร ก็ว่ากันดะ
    ไอ้คนไทยเวลานี้มันเรียกว่าไทยๆ สมัยนั้นเขาก็ไม่ได้เรียกว่าไทย
    ก็รวมความว่าเป็นเผ่าคล้ายคลึงกัน คนในดินแดนแผ่นนี้
    ถ้าจะเรียกกันเผ่าใหญ่ๆ จริงๆ ล่ะก็มันมีอยู่ ๗ เผ่า
    ที่เวลาจะพูดต้องพยายามเรียนภาษากันอยู่ ๗ เผ่าด้วยกัน
    นับตั้งแต่โน่นน่ะ เชียงตุงลงมานั่นแหละ จนกระทั่งปลายเขตแดนของสิงคโปร์
    นี่มี ๗ เผ่าที่เป็นเผ่าใหญ่ และก็เผ่ากระจอกงอกง่อยก็มีอีกตั้งเยอะแยะ
    แต่ว่าที่เรียกเป็นเผ่า บางทีไอ้เผ่าไทยด้วยกันนี่ ก็เรียกชื่อต่างกันเสียอีก
    แต่ว่าพูดกันรู้เรื่อง ก็เรียกว่าฉันพวกเผ่านายดำ นี่ฉันพวกเผ่านายเขียว
    พวกเผ่านายขาว เนื้อแท้จริงๆ มันพูดเหมือนกัน จริยาอาการต่างๆ
    วัฒนธรรมเหมือนกัน มันก็เผ่าเดียวกัน แต่ก็ยังแยกไม่ยอมรวมกัน
    ถือว่าอยู่กันเป็นหมู่บ้านนั่นเอง เมืองสมัยนั้นก็ถือว่า
    เป็นหมู่บ้านที่มีความสำคัญเพียงเท่านี้ ในช่วงนั้นที่มีพระอรหันต์มาเรื่อยๆ
    ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ก็เคยมาเที่ยว ถ้าจะถามว่า
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเสด็จไหม อ้าท่านเจ้าคุณ
    เจ้าคุณท่านตอบว่า ถ้าพูดถึงเมื่อสมัยผมเป็นขรัวช้างน่ะไม่พบ
    แต่สมัยนั้นผมก็เกิดเหมือนกันนี่ แต่เกิดสมัยนั้นผมอาจจะไม่รู้
    แต่เพราะว่า ตายไปแล้วอาจจะจำไม่ได้ แต่ว่าเวลานี้ผมเป็นเทวดา
    เรื่องการย้อนหลังหาภาพก่อนแล้วย้อนหลังหาผลเป็นของไม่ยาก
    ก็เป็นอันว่าต้องตอบว่า พระพุทธเจ้ามาในเขตนี้หลายวาระ
    และก็มาคราวหนึ่งทำให้คนสำเร็จอรหันต์ไปไม่น้อย
    การเสด็จมาของพระองค์ใช้เวลาเดินนานหน่อย เพราะนานๆ
    จะได้เดินท่านเหาะมา สำนวนดีเหมือนกันนะ พ่อคุณ
    พ่อคุณก็บอกเขาตรงๆ ไม่ได้เหรอ อ้าว ก็จะให้บอก เอ้อ
    นี่เจ้าคุณเขาว่ายังไง จะให้บอกยังไงล่ะ ก็นานๆ จะได้เดิน
    ขืนเดินมาก็แย่ซิ แต่ความจริงท่านจะเดินมาก็ไม่ยาก
    ฤทธิ์ท่านมาก ใช้เหาะมา มาเป็นกลุ่มๆ มาคราวหนึ่ง
    ก็มีพระติดตามไม่น้อยกว่า ๕๐๐ รูป ที่มาเป็นอย่างงั้น
    ก็เพื่อเป็นกำลังใจของคน ที่เวลาก่อนหน้านั้นหมอผีมันมีมาก
    ดินแดนอินเดียเขาเล่นสมาธิจิตกัน เล่นกำลังจิต
    แต่ดินแดนแห่งนี้เขาเล่นผีกัน นับถือผีอยู่ก่อน ถือว่าผีเป็นเจ้า
    ผีเป็นนาย ทำอะไรก็ต้องเชื่อผี จนกระทั่งมีการตั้งศาลพระภูมิกันขึ้นมา
    อันนี้เราก็เรียกกันว่าผีเหมือนกัน เพราะว่ากำลังใจของคนพวกนี้
    ยอมรับนับถือผีมาเป็นตัวอย่าง มาเป็นเหตุ
    เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงเสด็จ ก็เอาผีพวกนี้มาแสดงตัวให้ปรากฏ
    สมเด็จพระบรมสุคตให้บุคคลทั้งหลายเห็นว่าผีที่เขาบูชานั่นเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา
    เห็นกันอย่างผีเห็นคน คนเห็นผี และเมื่อผีทั้งหลายเหล่านั้นเห็นพระพุทธเจ้าเข้า
    ก็มากราบพระพุทธเจ้า แล้วก็แสดงว่ายอมรับนับถือพระพุทธเจ้า
    อันนี้เอง เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าเกิดความเลื่อมใส เกิดกำลังใจของบุคคลผู้ได้เห็น
    ฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์อะไรลงไป เขารับฟังทันที
    สมเด็จพระชินสีห์เทศน์จึงมีผลให้คนได้เป็นพระอริยเจ้า

    นี่บอกลูกบอกหลานมันนะ ว่าเราคุยกันมานี่ ถึงใครกันบ้างเยอะแยะ
    จับประวัติโน่นจับประวัตินี่จับประวัตินั่น พูดถึงคนนั้น พูดถึงคนนี้
    แล้วให้พวกเธอทั้งหลายเหล่านั้น ลูกท่านก็คือลูกผม
    ผมไม่บอกล่ะว่าไอ้มันเป็นใครกันบ้าง ทั้ง ๕๐ ชื่อกว่าเนี่ยมาพรรณนากันไหวเรอะ
    ก็บอกว่าแล้วกัน มันเป็นลูก เอ้อมันเป็นลูกท่านทั้งนั้นน่ะ เป็นลูกบ้างเป็นหลานบ้าง
    บางชาติมาเกิดเป็นหลาน บางชาติมาเกิดเป็นลูก บางชาติมาเกิดเข้าท้องอีแม่เล็กๆ
    ไม่ทันแม่ใหญ่แม่เล็ก ไม่ทันมันก็เกิดมาเป็นบริวาร คือเป็นพวกเป็นพ้อง
    เป็นคนคบหาสมาคมกัน เป็นอันว่าคนทุกคนมีความสำคัญ
    จับดาบสู้กะข้าศึกมาแล้ว จึงมีการคล่องแคล่วในงาน
    ผู้หญิงทำงานกระฉับกระเฉงเหมือนผู้ชาย ผู้ชายบางคนน่าจะอายผู้หญิงเสียอีก
    ที่ติดตามท่านน่ะ ต้วมเตี้ยมต้วมเตี้ยมต้วมเตี้ยม ไม่ทันผู้หญิงเสียก็มีมาก
    นั่นแสดงว่า คนพวกนี้คลานต้วมเตี้ยม ดีไม่ดีอาจจะไม่เคยเกิดเป็นลูก
    แต่เคยเกิดเป็นหลาน เคยเกิดเป็นเหลน มันห่างออกไป
    ความคล่องตัวมันจึงช้า ถ้าลูกท่านจริงๆ ล่ะก็ดูได้เลย คล่องตัวทุกคน
    เพราะพ่อมันเดินไม่เป็น แม่มันเดินไม่เป็น มันคว้าดาบได้ก็ออกวิ่ง
    ไม่งั้นก็เดินอย่างกระฉับกระเฉงรวบรัด งานทุกอย่างต้องรวบรัดตัวอยู่เสมอ
    ทำได้โดยฉับพลัน ตัดสินใจรวดเร็ว เป็นอันว่า ลูกทุกคนมันก็ติดพ่อ
    ฉะนั้นเวลาจะทำอะไรขึ้นมา ถ้ามันช้าหน่อยมันก็กลัวพ่อมันดุ
    เป็นอันว่าพ่อมันเลวน่ะ อ้าว ด่าใคร เจ้าคุณ พ่อมันเลว
    ไอ้ลูกเนี่ยเขาสอนเรื่องระเบียบเรียบร้อยมันก็สอนเหมือนกันแฮะ
    มันก็ระเบียบเรียบร้อย แต่เวลาจะเอางานจะเอาการจริงๆ
    ลูกมันต้องวิ่ง มันจะเอาอะไรขึ้นมานี่ ลูกต้องวิ่งนะ
    ขืนเดินต้วมเตี้ยมต้วมเตี้ยม ดีไม่ดีมันคว้ากระโถนขว้าง
    คว้าครกตำน้ำพริกขว้างเอา คว้าครกตำหมากขว้างเอาเฉยๆ
    เพราะมันบอกว่า ถ้าต้วมเตี้ยมแบบนี้เวลาข้าศึกประชิดติดเมือง
    เอาตัวไม่รอด ความจริงก็จริงของมันนะ หา ลูกใคร
    มันลูกใครเนี่ย นี่คุณ แกบอกว่าเด็กพวกนี้มันลูกเจ้าแก้ว
    แล้วทำไมเสือกมาเป็นลูกข้า เอ้ย ท่านก็บอก บอกว่ายังงี้
    มันก็ปริวรรตเปลี่ยนแปลงกันไปกันมา นี่ก็ลูกคนนั้นบ้าง
    ลูกคนนี้บ้าง แต่มันไม่เคยเป็นลูกผมเท่านั้นน่ะ
    มันเป็นเจ้าแก้วบ้าง บางชาติมันก็เป็นลูกท่าน
    แต่เวลาชาตินี้มันมาเป็นลูกท่าน แต่ว่าท่านไม่มีเมีย
    ลูกจึงมาก เพราะท่านมีเมียลูกมันก็น้อยกว่านี้
    ถ้าขืนมีลูกเท่านี้ มันก็เลี้ยงไม่ไหว ลูกบางคนมันจะแก่กว่าพ่อซะก็มี
    อย่างนี้เขาเรียกว่าคนลูกมาก เอ้อ คุยไม่ได้เรื่อง
    อีเทปหน้านี้ไม่ได้เรื่องแล้วเจ้าคุณเอ๊ย ฟังเจ้าคุณพูดเนี่ย
    มันเอาสาระไม่ได้จริงๆ แล้วเวลาเนี่ยมันจะหมดเสียแล้วนี่

    เอาล่ะเจ้าคุณพักก่อน สำหรับลูกรักทั้งหลาย เจ้าคุณแกเลอะเทอะน่ะ
    แกจะไปลงท้ายด้วยอำนาจวิปัสสนาญาณ แกก็หันมาด่าพ่อ
    ก็ปล่อยแกไปเหอะ ช่างแกไป เป็นอันว่า สำหรับเทปหน้านี้
    ก็ต้องขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ เพราะว่าดูเวลา เทปมันใกล้จะหมด
    มันเหลือบ้างก็ช่างมัน ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ลูกรักทุกคน สวัสดี
     
  16. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    16.เล่าเรื่องเพชรบุรี, เรื่องน้ำมัน, อ.ปราณบุรี@25 เมษายน 2521.mp3
    ลูกรักทั้งหลาย สำหรับเทปหน้านี้ ก็ยังอยู่ที่จังหวัดยะลา
    เป็นการบันทึกวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๒๑ เหมือนกัน
    ก็มาคุยกับพี่ขุนต่อไป อ้า พี่ขุน อยากจะทราบ
    ว่าไอ้เรื่องของจังหวัดนครปฐมน่ะ เราผ่านกันไปเสียที
    ดูว่ามันจะเลอะ หรือพี่ว่ายังไง เสียงตอบมาจากพี่ขุน
    หรือว่าเจ้าคุณหัวเถิก ตอบว่าเดี๋ยวก่อนสิ
    พูดเรื่องเลอะเทอะให้มันได้ประโยชน์กะลูก ลูกทุกคนมันอยากจะไปนิพพาน
    แต่ทว่า ต้องเตือนมันเสียก่อน ฟังไปแล้วก็ต้องคิดด้วย
    ต้องคิดว่าบ้านเมืองสมัยนั้นที่เขาปลูกเขาสร้างกันไว้มันพังไปหมด
    เจดีย์สมัยเก่าเขาสร้างไว้แข็งแรงมันก็พังไปหมด
    ต้องทำครอบกันใหม่ คนสมัยนั้นจะเป็นใครก็ตาม
    ที่มีอำนาจวาสนาบารมีมาก แม้แต่พระอรหันต์ทั้งหลายก็ดี
    พระพุทธเจ้าก็ดี ก็ทรงนิพพานไปหมด ให้ลูกให้หลานทั้งหลายจงจดจำ
    คิดว่าโลกนี้เป็นอนิจจัง ทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยง มันไม่มีการทรงตัว
    โลกนี้ถ้าเราเอาจิตเข้าไปยึดถือ มันก็เป็นทุกข์

    อย่างที่พระโสณกุฏิกัณณท่านเข้ามาสอนคณะบุคคลไทยกลุ่มหนึ่ง
    ซึ่งอยู่เขตเมืองปราณบุรี คนผู้นี้ถือตัวถือตนมาก ไม่รู้จักความตาย
    พระโสณกุฏิกัณณท่านก็หยิบเอารูปของคนตายขึ้นมา
    ท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทา คุยก็คุยกันไปคุยกันมาท่านก็บอกว่า
    อย่ายึดถือทรัพย์สมบัติเกินไป เพราะเรากับมันจะอยู่ด้วยกันไม่ได้
    แต่คนพวกนั้นเขาก็ชี้ว่าสิ่งนี้ของพ่อ สิ่งนี้เป็นของปู่
    สิ่งนี้ของคนนั้น สิ่งนี้เป็นของคนนี้ ท่านก็บันดาลให้เกิดคนๆ หนึ่ง
    เดินเข้ามา คนที่เข้ามานั้นรูปร่างเหมือนปู่ของบุคคลคนนั้น
    บันดาลให้มานะ คนนี้ไม่ได้ไม่เป็นเนรมิต อาจจะเรียกมาก็ได้
    คนๆ นั้นก็มาชี้แจงว่า คนนั้นเป็นลูก คนนั้นคนนี้เป็นหลานคนนี้เสร็จ
    ปรากฏว่าเป็นตระกูลผู้ใหญ่ จึงได้บอกกะลูกหลานบอกว่า
    เราตายไปแล้ว หรือว่าฉันตายไปแล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้
    ไม่มีประโยชน์สำหรับฉัน เวลานี้ฉันเป็นพรหม เมื่อพูดแล้ว
    ก็แสดงตนให้เป็นพรหมให้ปรากฏ ว่าเพราะอาศัยความดีที่ฉันปฏิบัติมา
    ในด้านความใช้อารมณ์จิตหักห้ามกิเลสทั้งหลายด้วยกำลังของฌาน
    มีวิปัสสนาญาณเป็นสมควร ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านี้
    ตายไปแล้วฉันไม่มีประโยชน์ แต่ว่าฉันได้ทำประโยชน์ส่วนหนึ่ง
    ของทรัพย์ทั้งหลายเหล่านี้ ให้เป็นทานกองการกุศล
    เมื่อฉันตายเป็นคนจึงเป็นพรหม มีวิมานสวยอย่างนี้
    พอแกพูดจบ วิมานก็ปรากฏ อันท่านเจ้าคุณท่านพูดเนี่ย
    เวลาท่านจะพูดล่ะก็ บางทีท่านก็หันหน้าหันหลัง ดูนั่นดูนี่
    พอดูนั่นหันหน้าหันหลังก็ปรากฏว่า สิ่งที่ท่านพูด
    ปรากฏเป็นภาพขึ้นมาทันที เห็นชัด ทำให้คนทั้งหลายเหล่านั้น
    มีความเลื่อมใสในศาสนาขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์
    จิตใจก็เลยอยากเป็นพรหมอย่างปู่ นี่เป็นจุดหนึ่ง
    ท่านปู่แนะนำวิธีปฏิบัติแบบย่อๆ ก็คือการเจริญสมาธิ
    จับทุกสิ่งทุกอย่างให้มันอยู่กับจิต แต่จิตเป็นกุศลอยู่เสมอ
    และก็แนะนำว่า องค์นี้เป็นพระสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จงเชื่อฟังองค์นี้ องค์นี้พูดว่ายังไงเชื่อตามนั้น ปฏิบัติได้ตามนั้น
    แล้วจะได้เหมือนปู่ทุกอย่าง เป็นอันว่าคนพวกนั้น
    อันดับแรกจิตก็จับพรหม อยากเป็นพรหม นิยมการเจริญสมาธิ
    นิยมการให้ทาน นิยมการทรงศีล ศึกษาวิปัสสนาญาณ
    ทำมาทำไปทำไปทำมา พอจะตายเลยปู่ กลายเป็นพระอรหันต์ไป

    นี่เป็นอันว่า ชีวิตตัวคนและชีวิตทรัพย์สินทั้งหลาย
    ความที่ความเป็นอยู่ คำว่าชีวิตนี่แปลว่าความเป็นอยู่
    ความเป็นอยู่ของวัตถุก็ดี ความเป็นอยู่ของร่างกายก็ดี
    มันไม่ทรงตัว จะต้องตายแบบนี้ ถ้าทุกคนไปอรหันต์
    จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ จากเมื่อเข้าไปสู่พระนิพพานแล้ว
    มีความสุข จะมีการทรงตัว ขึ้นชื่อว่าความทุกข์นิดหนึ่งจะไม่มี
    เป็นอันว่าท่านเจ้าคุณภานุมาศประกาศความดีในการเจริญสมณธรรม
    เออ ท่านเจ้าคุณ อยากจะถามสักนิดนะ ว่าเจ้าเด็กๆ
    คนนี้มันนอกคอกนอกครูบ้างมั้ย กำลังใจของมันเดินตรงจริงๆ
    ทุกคนหรือเปล่า เจ้าคุณยิ้ม ตอบว่ายังไงทราบมั้ย
    ก็ว่าท่านก็ตอบว่า มันเป็นลูกพ่อนี่ มันก็ดีบ้างดื้อบ้าง
    เถลเถไหลไปบ้าง เชือนแชไปบ้าง แต่ไม่เป็นไร
    นั่นมันเป็นกรรมที่อกุศล ให้ทุกคนทำกำลังใจแข็งไว้
    ว่าเราจะไม่ยอมแพ้กับความชั่ว จะไม่ยอมให้ความชั่ว
    เข้ามาเป็นเจ้านายหัวใจของเรา จะทรงกำลังใจไว้
    เอากำลังใจไว้แต่เพียงความดี เมื่อจิตใจมันเข้มแข็งอย่างนี้
    พอความชั่วมันเป็นเจ้านายไม่ได้
    เกิดความกระสันต์ครั่นใจในปรารถนาในด้านชั่วก็คิดไว้
    ว่าความชั่วนี้มันไม่ได้ช่วยให้เราไม่ตาย
    ความปรารถนาในเรื่องร้ายซึ่งมันเกี่ยวการกิเลสประเภทนี้
    มันไม่ได้ช่วยให้เราเป็นสุข มองดูตัวอย่างของคนอื่น
    ว่าที่เขาชั่วมีใจเกลือกกลั้วไปด้วยกามารมณ์ สมสู่อยู่ด้วยกัน
    ติดพันกันมาก จนกระทั่วถอนไม่ขึ้น ไม่นึกถึงความดี
    คนประเภทนี้ ไม่ช้าความปรารถนานั้นก็ค่อยๆ
    จางไปทีละน้อยละน้อย เมื่อยามรัก น้ำขมต้มผักก็ชมว่าหวาน
    แหมเก่งนะพ่อคุณนะ กลอนเก่งนะ แกบอก พี่ช้างแกยิ้ม
    พอเรื่องกลอนนี่ สมัยนั้นน่ะเขาใช้กันเป็นปกตินะ
    เมื่อเรื่องธรรมดาๆ บางทีเขาคุยเป็นกลอน
    สัมผัสกันตลอดวันตลอดคืนยังได้ เพราะเขานิยมกันอย่างนั้น
    ไอ้กลอนนี่ไม่ต้องไปเอาหรอก ไปเรียนแบบนั้น วางแผนแบบนี้
    โอ๊ย เวลานี้มันสอนกันน่ะมันยุ่งเหลือเกิน นี่เป็นศัพท์ของท่านนะ
    มันมีมาตร มีฐาน วางแบบ วางแผน โน่นต้องวางยังงั้น
    นี่ต้องวางแบบนี้ อีตรงนี้มีอักขระอย่างนั้น
    ตรงนั้นมีอักขระอย่างนี้ รวมความว่า ไอ้คนสอนจริงๆ
    ก็ไม่ได้มีการคล่องตัว สมัยก่อนนี่เขาไม่ต้องหรอก เขาว่ากันเรื่อย
    พ่อแม่พูดมา ไอ้เด็กมันก็รับการสัมผัสเรื่อยมาทีละเล็กละน้อย
    ผลที่สุดจะว่าอะไรก็ตาม เป็นบทเป็นกลอนเป็นเรื่องเป็นราว
    ฟังง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ ไม่ต้องวางแบบวางแผน
    มีหลักสูตรยังไงไม่ต้องว่ากัน เป็นอันแต่เพียงว่า
    รู้ว่าการสัมผัสนอกสัมผัสในมันเป็นยังไง เกือบจะไม่ต้องสอนกัน
    เพราะมันติดกันมาเอง

    เป็นอันว่า ท่านขุน หรือเจ้าคุณ เราเดินทางกันต่อไปดีมั้ย
    จากนครปฐมถึงราชบุรีมีอะไรดีบ้าง เจ้าคุณมองหน้า
    แล้วก็บอกว่า เขตราชบุรีนี่ มันก็ไม่มีอะไร
    ถ้าพูดเรื่องพระอรหันต์ก็เป็นของธรรมดา เรื่องใหญ่สำคัญยังไม่มี
    เอ้า ต่อนี้ไปเราเดินไปเมืองเพชรบุรีดีกว่า
    ไอ้ประวัติที่ชาวบ้านเขารู้กันมาก่อนก็ไม่ควรจะพูด ไม่ต้องพูดล่ะ
    พูดเรื่องของผี ประวัติผี เจ้าคุณยิ้ม เพชรบุรีมี
    ท่านบอกว่าจังหวัดเพชรบุรีนี่ คนชาวไทยที่ไปอยู่ในเขตแดนของจีน
    หรือในเขตเมืองปาน ไอ้เมืองปานในเมืองจีนเนี่ย
    ความจริงมันเป็นเมืองไทย ไทยจับกินมาก่อน
    คนเผ่าหนึ่งเข้ามาทีหลัง แต่ทว่าเป็นเผ่าที่มีใจแคบ
    ชอบอาศัยคนอื่นแล้วก็เบียดคนอื่น เมื่อมีกำลังวังชาขึ้นมาแล้ว
    ก็มักจะถือว่า ฉันเป็นเจ้าของบ้าน รักเฉพาะพวกเฉพาะพ้อง
    มีใจแคบกว่าคนไทย แย่งกันไปเบียดกันมา ผลที่สุด
    คนไทยก็รำคาญ เดินทางทำกินขยับเรื่อยลงมาเรื่อยลงมา
    จนกระทั่งถึงพม่า เรื่อยลงมาใต้ มาถึงมะริดและก็ทวายพอดี
    เห็นว่าดินแดนแถบนั้นมันหากินคับแคบเกินไป ขยับขยายลงมา
    ลงมาทางเพชรบุรี พวกนี้เรียกว่ากลับถิ่นฐานเดิม
    แต่ไม่ใช่คนที่ไป ไอ้คนที่ไปมันตายไปหลายชั่วคนแล้ว
    พวกนี้มันเดินทางมาใหม่ พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็เล่านิยายถึงคนเก่า
    ที่อยู่ดินแดนแถวนี้แล้วก็เดินไปแถวโน้น ไอ้เจ้าพวกนั้น
    รำคาญแถวโน้นขึ้นมา แล้วก็เดินมาแถวนี้
    แถวนี้มันลงมาในด้านเพชรบุรี ถ้าจะนับว่าเป็นเวลาเท่าไร
    ก็ต้องบอกว่า ก่อน ก่อนพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นประมาณ
    ๓,๐๐๐ ปีเศษ

    อันนี้ ต่อจากอันนี้ไปพ่อถาม
    ถามว่าสำหรับคนไทยเดิม ที่ไม่ได้เรียกว่าไทย
    คือตั้งถิ่นฐานแถวนี้อยู่ประมาณซักกี่ล้านปี
    ท่านขุนท่านเจ้าคุณท่านก็บอกว่า ไอ้ถิ่นฐานแถวนี้จริงๆ น่ะนะ
    เวลากัปปริวรรตเปลี่ยนแปลงใหม่ ส่วนใหญ่มัน
    พื้นที่ส่วนใหญ่มันเป็นทะเล เป็นทะเลหรือว่ามีเกาะมีแก่งมาก
    แผ่นดินมันงอกเข้ามาทีละหน่อยละหน่อย อย่างจังหวัดนครปฐมนี่ก็ดี
    จังหวัดราชเอ้อจังหวัดสระบุรีก็ดี ตอนนั้นเป็นเป็นเมืองติดทะเล
    ถ้าจะว่ากันจริงๆ คนที่อยู่ในแถวนี้จริงๆ แล้วก็ต้องบอกว่า
    อยู่กันมาตั้งแต่ต้นกัป จะนับเวลากันจริงๆ มันไม่รู้กี่ล้านปี
    มันไม่ใช่พันปีหมื่นปีแสนปี มันเป็นร้อยๆ ล้านปี
    จะมานับกันเท่านี้นับไม่ได้ล่ะ ก็บอกกันเลย
    ก็บอกว่า ตั้งแต่เริ่มต้นกัปมา ไอ้คนที่พูดภาษาอย่างนี้
    มันก็อยู่ดินแดนแถบนี้อยู่แล้ว แต่ที่ฝรั่งเขาค้นพบว่า ที่นั่นก่อนที่นี่
    ที่นี่ก่อนที่นั่น ไม่จริง ไอ้ที่นี่มันยังจะก่อนกว่าที่ฝรั่งเข้าใจไปตั้งเยอะ
    ขุดกันให้ดี ค้นกันให้ดี ปีหนึ่งแผ่นดินมันสูงมากเท่าไหร่
    มันทับถมสิ่งทั้งหลายที่ตายไปแล้ว ที่พังไปแล้ว มันลึกเท่าไหร่
    อย่างน้ำมันนี่ น้ำมันนี่กว่าจะเจาะลงไปถึง มันกี่พันกี่หมื่นฟุต
    รึว่ากี่พันกี่หมื่นเมตร เจาะลงไปแล้วได้น้ำมันขึ้นมา
    ไอ้น้ำมันนี่มันก็มีเหตุอยู่ ๒ ประการที่จะเกิดเป็นน้ำมันคือ
    ๑ ฟางเน่า หญ้าเน่า สัตว์เน่า หอยเน่า คนเน่า
    สะสมไอ้ความเน่ามันเกิดเป็นแก๊ส
    กระแสที่ไหลไปจากน้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำหนองพวกนั้น
    สะสมกับน้ำธรรมชาติ เพาะตัวขึ้นมา อาศัยแก๊สผสมขึ้นมา
    มันก็จุดไฟติด เกิดเป็นน้ำมัน นี่อย่างหนึ่ง
    และอาศัยแร่ธาตุที่มันเป็นหิน หินที่มีความชื้น
    ประเภทหินที่เรียกกันว่า....หินน้ำมัน คือไอ้หินนี่
    มันก็ไม่ใช่หินจริงๆ ก็มันเป็นสิ่งเป็นเนื้อเป็นหนังผสมกันกับธาตุดิน
    และมีส่วนความเน่าของบางจุดเข้าผสมกัน
    มีความชื้นที่เป็นน้ำมันอย่างหนึ่ง น้ำมันที่ว่าจะเจาะลงไปพบนี่
    มันเป็นน้ำมันผิวต้น และถ้าเจาะลงไปเจาะลงไป
    ดึงดูดความชื้นขึ้นมา แล้วก็มีปัญญาเจาะลงไปอีก
    มันก็จะไปเจอะน้ำมันอีก ชั้นของน้ำมันมันมีตั้งหลายชั้น
    แต่ทว่า ถ้าจะสูบน้ำมันขึ้นมาจริงๆ โอ้โห มันเยอะแยะ

    นี่ความจริงดินแดนแผ่นนี้ ที่เรียกกันว่าแหลมทอง
    และเป็นเมืองทอง ก็เพราะมีทรัพยากรมาก นอกจากน้ำมัน
    มันก็มีแร่มีหิน มีเพชรนิลจินดา มีเงินมีทอง แร่ธาตุต่างๆ ที่มีค่า
    คนที่มีปัญญายังจะใช้ต่อไปได้อีกนาน แต่ว่า
    ถ้าคนมีกำลังใจเป็นพาลคือความโง่ ชอบเห็นคนอื่นดีกว่าพวกของตน
    แล้วก็ขนของออกไปเป็นส่วนตนมาก เมืองของตนรวยไม่ชอบ
    ไปให้เมืองชาวบ้านเขารวย ขนทรัพย์ขนสินไปให้ชาวบ้านเขารวย
    ถ้ายังมีน้ำใจอยู่อย่างนี้ล่ะก็ ของดีมีค่ามีราคาดี มันยังปรากฏน้อย
    ถ้าคนทุกคนในเขตนี้ ที่เรียกกันว่าคนไทยมีใจรักชาติ
    มีความซื่อสัตย์สุจริต หวังความเจริญของบ้านเมือง
    ต้องการให้บ้านเมืองเจริญจริงๆ ทรัพยากรมันจะได้มากไปกว่านี้
    ไอ้ที่เน้นว่าเขาว่ายังไม่ขึ้นมา ยังไม่ขึ้นมาเนี่ย ไม่ใช่เทวดากัน
    ไม่ใช่ว่าผีกัน ไม่ใช่ยังงั้น มันเป็นไอ้มนุษย์ที่มีชีวิตอยู่นี่แหละมันกัน
    เพราะว่า ยังกะมีทุน มีงบประมาณเท่านี้ เขาให้ไปทำเท่านี้ มันก็กันเสีย
    มันไปทำเท่านั้น ไม่พอดิบพอดีกะเงินที่จ่ายไป
    แล้วผลประโยชน์ที่มันได้ มันจะได้สมบูรณ์แบบยังไง
    ที่ท่านได้ฟังมากับคนก่อน เขาบอกว่า ถ้าคนไทยดีขึ้นเมื่อไหร่
    ดีขึ้นเมื่อไหร่ ทรัพยากรทั้งหลายมันก็ปรากฏมากเท่านั้น ถ้ามีดีเต็มที่
    มันก็เกิดขึ้นมาเต็มที่ ดีน้อยมันก็เกิดน้อย ดีมากมันก็เกิดมาก
    ไอ้คำว่าดีในที่นี้ ทรัพย์มันจะขึ้นมามากไม่ใช่มันลอยขึ้นมาเอง
    คือว่าใช้ปัญญาของตนเอง หรือปัญญาที่ศึกษามาจากในต่างประเทศ
    ใช้ปัญญานั้นให้มันครบถ้วน ไม่ใช่ว่าไปเรียนกันมาแล้ว
    ก็อยากจะได้เงินเดือน อยากจะได้เงินพิเศษ
    อย่างนี้เรียกว่าคนนั้นมันยังไม่ดี อยากจะได้แต่เงินเดือน
    อยากจะได้แต่เงินพิเศษ เงินกินบ้าง เงินโกงบ้าง เงินยักบ้าง
    เงินยอกบ้าง เงินแป๊ะเจี๊ยะบ้าง เงินหมาเจี๊ยะบ้าง
    เงินเก๋าเจี๊ยะบ้างเป็นต้น อย่างนี้ของดีมันเกิดขึ้นมาไม่ได้
    เพราะมันไม่เอาไปขุดของดี ไม่ไปหาไปค้นคว้าหาของดี
    แต่ถ้ากำลังใจคนมันดีจริงๆ ซื่อสัตย์สุจริตต่อประเทศชาติ
    อย่างกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นแหละ มีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น
    มีเท่านี้ใช้เลยไปเท่าโน้น ค้นคว้าหาของดีกันมาให้ได้ ตอนนี้แหละ
    ของทั้งหลายเหล่านั้นมันก็จะขึ้นมาเอง ใช้กันมันให้มันครบมันถ้วน
    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีปัญญามาก เงินก็ใช้น้อย
    ได้ผลจะได้ผลจากของดีขึ้นมามาก คนที่มีปัญญามากเนี่ย
    เขาใช้เงินน้อย คือใช้ปัญญาช่วยด้วย
    ใช้แรงงานของคนช่วยด้วย ใช้อย่างอื่นแทนเงิน
    อย่างคนโบราณนี่ ที่เขาใช้เอาทองเอาหยองขึ้นมา
    คนโบราณเขาก็รู้จักใช้น้ำมันเหมือนกัน น้ำมันตั้งแต่สุโขทัย
    รึโยนกนคร และก็รึว่ากรุงศรีอยุธยานี้
    เขายังไม่ได้ใช้น้ำมันต่างประเทศ เขาใช้น้ำมันในประเทศ
    เอาขึ้นมาใช้ ทองก็เหมือนกัน เขาก็ใช้ทองในประเทศ
    เขาไม่ได้ซื้อทองนอกประเทศ ทองในประเทศเนี่ย
    เขายังขายไปนอกประเทศ เงินก็เหมือนกัน เงินเขาใช้เงินในประเทศ
    ไม่ได้ซื้อเงินนอกประเทศ ไม่ใช่เอาของไปแลกมา
    และเขาก็ยังเอาเงินนี่ไปขายกะชาวต่างประเทศ
    แลกกะสิ่งของที่เราไม่มีขึ้นมา ของทั้งหลายเหล่านี้
    มันมีมาแล้วแต่อดีตกาล เขาใช้มาแล้วแต่อดีตกาล
    แต่คนสมัยนี้ไม่ได้ใช้ปัญญาอย่างคนสมัยนั้น อะไรๆ
    ก็ต้องเป็นชาวต่างประเทศมาค้นคว้าหาเองทั้งหมด
    จึงปรากฏว่ามันขึ้นมาไม่ได้ เพราะขึ้นมาได้เขาก็ต้องหากำไร
    ยกเอาไปบ้านเขาเสียมากกว่าที่เราจะพึงจะได้

    เอาล่ะซิเจ้าคุณ เจ้าคุณไปด่าใครเข้าล่ะ
    ตอบมาเป็นเสียงเจ้าคุณท่านตอบ ว่าผมไม่ได้ด่า
    ผมพูดตามความเป็นจริง สมัยเมื่อผมเป็นขุนช้างก็ดี
    เจ้าแก้วมันเป็นขุนแผนก็ดี อย่าลืมว่า ขุนช้างกับขุนแผนเนี่ย
    ไม่มีในทำเนียบของข้าราชการ ชาวบ้านเขาเรียกกัน
    สมัยนั้นเขาก็มีน้ำมันเหมือนกัน ไม่ใช่มีน้ำมัน
    ไอ้การจุดตะเกียงเนี่ยเขาใช้น้ำมัน การทำไต้เขาใช้น้ำมัน
    ทำไต้เขาใช้น้ำมันยางเป็นพื้นฐาน ไอ้จุดตะเกียงนี่
    เขาใช้น้ำมันยางมันก็แย่สิ มันไม่ไหวใช้น้ำมันยาง
    น้ำมันยางมันซึมขึ้นมาไม่ทัน ท่านจึงแก้ไขบอกว่าใช้น้ำมันหมู
    เอาหมูที่ไหนมาฆ่าแจกกันไหวล่ะ ใช้น้ำมันมะพร้าว
    ลองเคี่ยวน้ำตาลมะพร้าวก็ไม่มี ก่อนจะเคี่ยวน้ำตาลมะพร้าว
    มันก็ต้องใช้ไฟ เป็นอันว่า น้ำมันเขาหากันได้ในสมัยนั้น
    จะบอกวิธีหาก็ได้ น้ำมันนี่เขาหากันตามเชิงเขา วิธีการหาน้ำมัน
    มันก็เป็นของไม่ยาก เขาก็ไปดูแหล่งเฉพาะจุดวัตถุที่จุดไฟได้ก็ดี
    ก็มีต้นไม้ที่มีการไวไฟก็ดี คนเขามีปัญญา
    เมื่อเจอะสิ่งทั้งสองประการอย่างนี้ เขาก็หาแหล่งน้ำมันกัน
    แหล่งน้ำมันที่มันจะพึงได้มาก็เป็นน้ำมันข้นๆ บางจุดก็เป็นน้ำมันสีดำ
    บางจุดก็เป็นน้ำมันสีแดง และเขาก็ใช้วิธีเกรอะตามวิทยาการ
    การจะแหล่งหาหาแหล่งน้ำมันก็ดี หาแหล่งทองก็ดี
    เวลานั้นเขาใช้ผีช่วยบ้าง ใช้คนใจตาทิพย์ช่วยบ้าง
    ชี้บอกจุดชี้บอกทาง การเจาะการสกัดมันก็เป็นของไม่ยากนัก
    และก็การใช้น้ำมันสมัยนั้นมันไม่มากเหมือนสมัยนี้ ไม่มีรถยนต์
    ไม่มีเรือยนต์ ก็พอจะขนใช้กันบ้าง จากน้ำมันบ้าง จากไต้บ้าง
    อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นผลให้เกิดความสว่าง แต่ก็อย่าลืมนะ
    ปีหนึ่งมันไม่ใช่ถังสองถัง ไอ้ถัง ๒๐๐ ลิตรน่ะ มันใช้ปีหนึ่งก็เป็น
    เป็นหมื่นๆ ถังเหมือนกัน ฉะนั้น
    การที่ใช้แรงงานคนหรือคนโดยเฉพาะใช้ปัญญามากกว่าทรัพย์
    ก็สามารถหาน้ำมันได้ขนาดนั้น เวลานี้เราใช้ทั้งปัญญาด้วย
    ใช้ทั้งแรงเครื่องจักรด้วย ถ้าหาแบบนั้นมันจะได้มากกว่านี้มาก

    สำหรับเรื่องน้ำมันนี่ ผมไม่พูดนะ ท่านว่ายังงั้น
    เพราะว่ายายเทพีแกเคยบอกท่านแล้วที่หัวหิน
    ถ้าพูดกันมันก็จะซ้ำกันไป เป็นอันว่า สำหรับเมืองเพชรบุรีนี่
    ก็มีประวัติสำคัญอยู่มากตามที่ท่านได้ทราบมาแล้วจากยายเทพี
    เรื่องนี้ผมไม่พูด ต่อไปก็ไปที่ไหนดีล่ะ ไปเมืองปราณบุรี
    ไปเมืองพง ไปเมืองกุยกันดีมั้ย แกก็บอกว่าดี
    ดีแล้วมีอะไรทางสายนี้บ้าง บอกโอ้โห
    ปราณบุรีมันก็เรื่องใหญ่ซิท่านเอ๋ย เพราะปราณบุรีนี้
    ไอ้ปราณบุรีนี้ เขาไปปราบ ความจริงต้องเรียกปราบบุรี
    ปราบบุรีเพราะมันเป็นเมืองที่ต้องปราบกัน
    การปราบของเมืองปราณบุรีนี่จะเล่าประวัติปรัมปราก็ไม่มีประโยชน์
    เป็นอันว่าในสมัยหนึ่ง ที่พ่อขุนรามคำแหงยกทัพเข้ามา
    เพื่อจะยึดเขตประเทศนี้เป็นเมืองครองกัน ให้เป็นเมือง
    เป็นเมืองกลุ่มเดียวกันเพราะอาศัยคนไทยอยู่เป็นหย่อม
    และก็มีคนอื่นอยู่มาก ที่ปราณบุรีนี่ รู้สึกว่าคนไทยน้อยไป
    คนอื่นเขามีมาก เมื่อทราบว่าพ่อขุนรามคำแหงยกทัพมา
    เขาก็สู้หนัก เมื่อเขาสู้หนักก็ต้องปราบหนัก
    คนไทยที่อยู่ในกลุ่มนี้ด้วยกันได้รับนโยบายจากพระเจ้ารามคำแหง
    ว่าให้เป็นคนที่ทำเหมือนคนไม่รู้จักกัน เป็นศัตรูกับกัน
    เวลาเจอะหน้ากันก็ฆ่าก็ฟันก็สู้รบกัน แต่ฟันกันเบาๆ หน่อย
    เรียกว่าไม่ฟันแรง ฟันผิดฟันถูก ดีไม่ดีก็เอาสันดาบฟันกัน
    ตึกตักตึกตัก ทำเป็นล้มไปบ้าง ทำเป็นตายไปบ้าง
    แล้วก็บุกต่อไป ไอ้กองทัพเลยไปไอ้พวกนี้ก็วิ่งไปใหม่
    นี่มันเป็นวิธีการลวงกัน ใช้วิธีแบบนี้ ในที่สุด เจ้าผู้ที่อยู่เก่า
    กับที่เจ้าพวกที่อยู่ใหม่ผสมผเสกัน แต่งตัวคล้ายคลึงกัน
    เป็นคนเก่าทั้งหมด เข้าปราบปรามคนถิ่นเดิม
    ที่ถือว่าเป็นใหญ่ อีตรงนี้แหละท่านเอ๊ย มันตายกันมาก
    ไอ้ปราณบุรีนี่ต้องเรียกว่าปราบบุรี การปราบปรามในตอนนั้น
    ตายกันมาก ต้องใช้กำลังมากกว่าที่อื่น อีจุดยืนอีกจุดหนึ่งนั่นก็คือ
    จังหวัดกระบี่ จังหวัดกระบี่นี่ก็ตายกันมาก
    แต่ฝ่ายพระเจ้ารามคำแหงรู้สึกว่าจะตายน้อยไปหน่อย
    เพราะอะไร เพราะว่าคนหนังเหนียวมีมาก
    ยุทธวิธีของพระเจ้ารามคำแหงก็เก่งมาก ฉลาดในการล่อข้าศึก
    ในทางการลวงข้าศึก ผมจะไม่พูดล่ะ ผมไม่ใช่นักรบนี่ ถ้าอย่างนี้
    ต้องให้เจ้าแก้วมันมาเล่าให้ฟัง มันถึงจะถูก
    เพราะว่าเจ้าแก้วนี่มันเป็นนักรบ ให้มันเล่าให้ฟังก็แล้วกัน
    เอ้อ นี่ ก็ถ้ายังงั้นก็อยากจะถามว่า วิญญาณเจ้าแก้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ
    เวลานี้เขาสร้างเจ้าแก้วไว้ รูปเจ้าแก้วไว้ที่เมืองกาญจนบุรี
    เหมือนมั้ย ท่านเจ้าคุณหัวเราะบอกว่า ท่านก็บอกว่า
    มันก็เหมือนอย่างคนที่เขานึก นี่เจ้าแก้วมันสวยกว่านั้น
    มันสง่ากว่านั้น เจ้าแก้วถ้ามันแต่งตัวเป็นผู้หญิงก็คล้ายผู้หญิงมาก
    ดีไม่ดีมองไม่รู้ล่ะ เอ้อ เกิดอยากจะถามว่า ไอ้เจ้า
    ไอ้เขาก็เขาสร้างรูปเจ้าแก้ว ทำไมเขาไม่เชิญวิญญาณเจ้าแก้วมันมา
    ท่านเจ้าคุณ ช่วยเชิญด้วยไม่ได้รึ ต่อนี้ไปเป็นวาทะของท่านเจ้าคุณ
    ท่านบอก ไอ้วิญญาณไอ้แก้วน่ะมันดื้อ ใครเชิญมันก็มาไม่มาหรอก
    มันมีอยู่ท่านคนเดียว ท่านไปเมื่อไหร่ล่ะก็
    วิญญาณเจ้าแก้วมันจะมาเมื่อนั้น ถามว่าแล้วเวลานี้มันอยู่ที่ไหนล่ะ
    เจ้าคุณตอบว่า มันอยู่ที่ไหนก็ช่างมันเถอะ ไอ้นี่ไม่คบล่ะ
    มันไปแล้วมันไม่มาก็ช่างมัน เชิญมันก็ดื้อ มันก็ไม่มา

    เอาล่ะลูกรักทั้งหลาย มองดูเวลามันเกือบจะหมดไปเสียแล้ว
    ก็พอดีเพลพอดี สำหรับเทปหน้านี้ก็พอเหมาะกะเวลาที่จะพึงหยุด
    พ่อก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ สำหรับเทปหน้านี้ ขอความสุขสวัสดี
    จงมีแด่ลูกรักทั้งหลาย สวัสดี
     
  17. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    17.เล่าเรื่องอ.หัวหิน, ชุมพร-ชนเผ่าไทย, ทรัพยากรทางภาคใต้@25 เมษายน 2521.mp3
    เอ้อ สำหรับวันนี้ ที่ทำการบันทึก คงเป็นวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๒๑
    เมื่อผ่านปราณบุรีมาแล้วก็เป็นเมืองพง เมืองกุยบุรี
    ทั้ง ๓ เมืองนี้ก็ชื่อว่า เป็นเมืองโบราณ
    ถ้าเราจะมาคุยกันถึงประวัติเล็กน้อยก็รู้สึกว่า มันไม่มีประโยชน์อะไรนัก
    เพราะว่า เรื่องเมืองทั้งสามนี้ ก็เป็นเมืองเล็กๆ
    และก็เรื่องสำคัญมันก็ไม่มีมาก จะมีมากก็เป็นแต่เพียงว่า
    ประวัติปรัมปราของโบราณเท่านั้น ก็ขอผ่านไป
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าพูดกันถึงทรัพยากร อันนี่มีมาก
    ในประเทศไทยทั้งหมดมีทรัพยากรมาก
    ที่เราไม่สามารถจะพยากรณ์ให้ครบถ้วนได้

    ต่อไปก็เข้าถึงเมืองประจวบ เมืองประจวบคีรีขันธ์
    แปลว่าเป็นเมืองที่มีกองภูเขามาก เมืองนี้เป็นเมืองที่มีความสำคัญ
    ประวัติศาสตร์จุดหนึ่งคือว่า จากเพชรบุรีมา ผ่านหัวหิน
    แล้วก็เข้าไปถึงเมืองปราณบุรี เมืองพง และเมืองกุยบุรี
    แล้วเข้าไปถึงเมืองประจวบ ในสมัยหนึ่งเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒
    ก็จัดว่าเป็นจุดๆ หนึ่งที่ญี่ปุ่นขึ้นที่นี่ ถ้าเราจะพูดกันถึงประวัติศาสตร์
    ก็คงจะยุ่งมากไป เพราะอะไร ก็เพราะว่าเป็นเรื่องที่ปรัมปรา
    และก็มีชาว มีนักเขียนเขาเขียนไว้มากแล้ว ก็ขอผ่านไป

    มาออกจากเขตเมืองประจวบก็ดิ่งตรงมาจังหวัดชุมพร
    จังหวัดชุมพร อันนี้ต้องคิดอยู่นิดหนึ่ง
    เพราะว่ามาเดินทางมาถึงจังหวัดชุมพรก็ต้องย้อนคิดไปถึงหัวหิน
    เพราะว่าหัวหินได้สร้างประวัติความเป็นมาไว้มาก เกี่ยวเนื่องกับชุมพร
    คือเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๗ หรือเท่าไหร่จำไม่ได้ ๑๗-๑๘-๑๙
    จำไม่ได้นัก ได้เดินทางมาที่ชุมพร แล้วก็ในช่วงกลาง ได้พักที่หัวหิน
    ตอนนั้นแหละ บรรดาลูกหลานทั้งหลาย ก็ได้ทราบประวัติสำคัญ
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่บ้านพักของสื่อสารทหารอากาศที่หัวหิน
    ได้ทราบข่าวว่า ในเขตของประเทศไทยเรามีน้ำมันมาก
    เพราะว่าในคืนนั้นได้พักอยู่ เรียกได้ว่า มาจังหวัดภาคใต้
    กลับไปได้ ๒ วันก็ออกเดินทางมาใหม่ เพราะว่า
    มันขาดอยู่แค่จังหวัดชุมพร ตั้งใจจะไปจังหวัดชุมพร
    แต่พอถึงประจวบคีรีขันธ์ก็รู้สึกว่าปวดศีรษะอย่างหนัก หรือเป็นไข้
    ให้เหม่ขับรถกลับไปนอนอยู่ที่หัวหิน เวลากลางคืน
    ปรากฏว่า ท่านเจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศเวลานั้น
    คือท่านพลอากาศโท หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์
    เจ้ากรมสื่อสารทหารเวลานี้ท่านไปเยี่ยม คุยกับท่านพอสมควร
    การป่วยคราวนั้น ปรากฏว่าต้องไปนอนพักอยู่ที่โรงซ่อมรถชั่วครู่หนึ่ง
    ก็เดินทางกลับมา คุยกับท่านเจ้ากรมพอสมควร
    เวลากลางคืนก็เข้านอน ดึกหน่อยก็เข้านอน
    เมื่อเวลาเข้านอนก็ปรากฏว่า มีคนๆ ใหญ่ ท่าทางสูงกว่าประตู
    เวลามันมืด ก็เห็นว่านุ่งดำใส่ดำไปหมด เดินเข้ามาทางประตู
    แต่ไม่เปิดประตู เข้ามาถึงข้างประตู ...ข้างที่นอน ท่านก็ก้มลงหยิบหมวก
    หมวกลูกนี้สมัยก่อนเขาเรียกว่าหมวกไหมสับปะรด
    เห็นแกหยิบหมวกจึงได้ถามว่าคุณเป็นใคร อยู่ที่ไหน
    เขาก็บอกว่า ตามปกติผมพักอยู่ในห้องนี้ แต่ว่าคืนนี้ท่านมา
    ผมจะเป็นอยู่ยามข้างนอก พอชายคนนั้นเดินออกไปแล้ว
    ก็มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเข้ามานั่งคุย ผู้หญิงนี่มีมากด้วยกัน
    แต่ว่าผู้หญิงคนหนึ่งเป็นรูปร่างท้วมๆ รู้สึกว่าจะเป็นหัวหน้าคนทั้งหมด
    เธอเข้ามายกมือไหว้ ไหว้เหมือนกัน แต่งตัวสวยงาม เธอก็มาบอกว่า
    พวกเธอเป็นชาวไทย และก็เป็นคนไทยโบราณ แต่ว่าเวลานี้
    เป็นนางฟ้านางสวรรค์กันหมดแล้ว เธอคุยให้ฟังว่า
    ตามที่ประวัติศาสตร์เขียนบอกว่า คนไทยมาจากประเทศจีน
    แล้วเข้ามาอยู่ในผืนแผ่นดินไทยหลังพุทธกาล
    คือพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ไม่จริง แต่บอกว่าไม่จริง
    พวกกลุ่มของเธอนี่แหละเป็นกลุ่มแรกที่มาจากเมืองปา
    เมืองปาเขาบอกว่าเป็นชาวจีนทั้งหมดน่ะไม่ใช่ ความจริงมีชาวไทยอยู่มาก
    ได้หากินเรื่อยๆ ลงมา ผ่านประเทศจีน ผ่านอินเดีย แล้วก็ผ่านทางพม่า
    เข้ามาทางมะริด ลงมาทางจังหวัดเพชรบุรี มาตั้งอาชีพ
    ประกอบกันเป็นกลุ่มๆ จะเรียกว่าตั้งเป็นประเทศก็ไม่ได้
    ตั้งเป็นกลุ่ม กลุ่มน้อยๆ กลุ่มหนึ่งของคนไทยสมัยนั้นก็มี
    ๒๐๐ คนบ้าง ๓๐๐ คนบ้าง พันคนบ้าง ที่ถึง ๒ พันคนก็ไม่มี
    อยู่เป็นเกาะๆ ความเป็นอยู่ก็อยู่ด้วยความเป็นสุข
    เพราะว่าไม่มีใครมารบกวน เวลานั้น คนน้อยกว่าภูมิประเทศ
    นี่เป็นเรื่องยืนยันของหญิงชาวสวรรค์ที่อ้างตัวบอกว่า
    เป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ จริงหรือไม่จริง ก็เป็นเรื่องของผี
    พ่อไม่ขอยืนยัน

    ขอบรรดาลูกทั้งหลาย ที่มีกำลังจิตประกอบไปด้วยศรัทธา
    มีบารมีครบถ้วนทั้ง ๑๐ ประการ มีจิตใจหวังซึ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์
    จงพิสูจน์ดู ว่าอารมณ์เข้าถึงจุดนั้น และก็จงทราบว่า
    เวลานั้น พ่อไม่ได้ใช้ฌานสมาบัติ เป็นแต่เพียงว่า นอนทำใจสบาย
    ให้มันว่างจากอารมณ์แห่งความโลภ ความโกรธ ความหลง
    จิตเป็นอุเบกขารมณ์ ใจเป็นสุขแบบเบาๆ จิตในเวลานั้น
    ยังอยู่ในช่วงของอุปจารสมาธิ และอีกประการหนึ่ง
    การเห็นก็เป็นการแสดงของท่านพวกนั้น ไม่ใช่พ่อตั้งใจจะเห็น
    การเห็นนี่มันได้สองอย่าง สำหรับคนที่เขาได้ทิพจักขุญาณ
    เขาบังคับการเห็นได้ ต้องการจะเห็นใครที่ไหนก็ได้
    เมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าท่านที่ไม่ได้ทิพจักขุญาณ แต่ทว่า
    ท่านผู้ต้องการให้เห็น จะมาพูดมาคุยด้วยก็เห็นได้เหมือนกัน
    ด้วยอานุภาพของเทวดาหรือพรหม จำไว้ว่า การเห็นเป็นเช่นนี้
    ฉะนั้น ท่านคนปากดี ที่บอกว่า พระมหาวีระชอบอวดฤทธิ์อวดเดช
    ท่านไม่มีความรู้อะไรเลย เป็นอันว่า
    ท่านผู้นั้นไม่ได้ประสีประสาเรื่องนี้ซะเลย นี่พ่อไม่ได้นินทาเขา
    จงอย่าถือเรื่องนั้นมาเป็นครู คนประเภทนี้ ขืนถือมาเป็นครู
    ลูกของพ่อทั้งหมด ก็จะต้องลงนรกไปตามๆ กัน
    เพราะว่า ท่านพวกนั้นยังนินทาคนอยู่นี่ ท่านจะดีได้ยังไง
    ไอ้นี่ไม่ใช่นินทาท่านนะ เกรงว่าลูกของพ่อจะเป็นอย่างนั้น

    เมื่อท่านคุยให้ฟังถึงทรัพยากรต่างๆ ในเขตตอนใต้นี่
    ยังมีอีกมาก ว่าถึงตอนใต้ตั้งแต่เพชรบุรีไป
    จนกระทั่งสุดปลายเขตแดน แดนจรดระหว่างไทยกับมาเลเซีย
    จุดหนึ่งที่เป็นเขตไทยต่อมาเลเซีย จุดนี้เราต้องคิดอยู่นิดหนึ่ง
    ว่ามีดินแดนอยู่ส่วนหนึ่ง คิดกันว่า เดิมที
    คงจะเป็นภาคพื้นของแผ่นดินไทย แต่มาเพราะอาศัยผู้ทรงอำนาจ
    วาดแผนที่คลุมจุดไว้จุดหนึ่ง ต้องคิด แต่ว่า
    มันจะจริงไม่จริงเพียงใดก็ตาม แต่มาเลเซียเขาว่าเป็นของเขา
    และจุดนั้นแหละมีผู้ก่อการร้ายมาก มีโจรแบ่งแยกดินแดนบ้าง
    มีโจรจีนบ้าง มีผู้ก่อการร้ายบ้าง และก็มีพวกผู้ร้ายบ้าง
    แล้วก็ทั้งหมดนี้ จะเป็นเพราะคนทั้งหลายทั้งหลายเขามีเจตนาอย่างนั้น
    พ่อไม่เชื่อ เพราะว่าจุดนั้นเป็นแหล่งทองคำที่ใหญ่ที่สุดของภาคใต้
    ไม่ใช่วุลแฟรม มันเป็นทองคำ ทองคำธรรมชาติที่ขุดขึ้นมาได้แล้ว
    มันเป็นทองคำที่มีค่ามาก พ่อคิดว่ามาเลเซียเขารู้
    และก็คงจะขุดทรัพยากรพวกนี้ ไปใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ของเขา
    ที่พูดนี่ ไม่ใช่พูดเพราะอาศัยจะให้ไทยเรากับมาเลเซียรบกัน
    เป็นแต่เพียงว่า แผนที่ของแผ่นดินในเขตชนกันนั้นมันไม่แน่นอน
    เพราะเป็นเรื่องของป่า เขาลากเส้นกันไปลากเส้นกันมาเนี่ย
    มันก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ภายใต้ภาคพื้นดินนี่เราก็มองไม่เห็น
    รวมความว่า ท่านหญิงทั้งหลายเหล่านั้นท่านก็ชี้ให้มองดูจุดต่างๆ
    ซึ่งมีทรัพยากรภายในผืนแผ่นดินของประเทศไทย
    พ่อมองดูด้วยอำนาจของเธอ เธอบันดาลให้เห็น เห็นแล้วก็ตกใจ
    คิดว่าโอ้หนอ ประเทศไทยเป็นเมืองทองจริงๆ มีทรัพย์มหาศาลอย่างนี้
    ก็น่าจะเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ของโลก แต่ว่าเป็นที่น่าเสียดาย
    ที่คนไทยเรายังไม่รักไทยแท้ ที่พ่อว่าอย่างนี้ก็เพราะว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง
    จะไปเป็นเรื่องของชาวต่างประเทศเสียหมด
    คนเราไปเรียนมามาก แต่ไม่อยากจะทำอะไรให้ปรากฏ
    ว่าเป็นผู้มีความสามารถ แต่ในช่วงระยะเวลานี้
    คนไทยเราก็ดีขึ้นมามากแล้ว ทั้งนี้เพราะอะไร
    เพราะรัฐบาลเริ่มปล่อยอิสรภาพในการคิดค้นคว้า
    และก็เริ่มมีการสนับสนุน นี่มีความสำคัญมาก มาพูดกันถึงว่า
    หญิงพวกนั้นแกเล่าสู่ให้ฟัง ถามว่า พรุ่งนี้ท่านจะไปชุมพรใช่ไหม
    ก็ตอบว่าใช่ เธอจึงได้บอกว่าไปชุมพรจะได้ข่าวน้ำมัน
    เพราะศูนย์แห่งการสายการเดินน้ำมัน จะออกจากหลังต้นของชุมพร
    คือในเขตก่อนๆ ถึงชุมพรหน่อยหนึ่ง เดินไปในพม่า
    เข้าเขตพม่าไปประมาณ ๓๐ กิโลเมตรก็จะเข้าเขต
    ถึงจุดที่มีน้ำมันมันพวยพุ่งขึ้น มาเป็นหนองน้ำ
    พวกชาวกะเหรี่ยงอิสระช้อนไปใช้น้ำมันได้ทันที คือจุดไฟได้ทันที
    โดยไม่ต้องไปกลั่น แต่เป็นน้ำมันประเภทเนื้อหยาบ
    คือคล้ายๆ กับว่า เป็นน้ำมันขี้โล้แต่มีสีแดง
    จุดไฟลุกแต่ว่าเป็นควันหน่อย พ่อคิดว่า
    ถึงแม้ว่าเราจะมีน้ำมันแบบนั้น เราก็น่าชื่นใจ
    คนโบราณเขามีความเข้าใจกันในเรื่องนี้ สำหรับต่อมา
    เธอก็บอกสายการเดินของน้ำมัน จากมะริด มีคนเขาบอกว่า
    น้ำมันไม่สามารถจะทะลุภูเขามาได้ พ่อก็แปลกใจเหมือนกัน
    แต่ผีบอกว่ามาได้ มาแล้วก็มาชนจังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดชัยนาท
    จังหวัดอุทัยธานี ตอนนี้เริ่มเป็นปากอ่าว ออกนครสวรรค์
    ดิ่งลงกรุงเทพ เธอว่าอย่างนั้น แต่น้ำมันนี่จะอยู่ลึกอยู่ตื้นต่างกัน

    เมื่อมาถึงชุมพรปี ๒๕๑๗ ได้รับคำพยากรณ์ไว้จุดหนึ่ง
    ขณะที่ทำการบูชาพระ ได้ยินเสียงบอกว่า เจ้าเฒ่า
    กรรมเก่าของมึงมาถึงแล้ว มึงจะต้องเดินทางทั่วประเทศ
    เวลานั้นพ่อมองไม่เห็นจริงๆ ว่าไอ้ความจำเป็น
    ที่จะเดินต้องเดินทั่วประเทศ มันจะมียังไง
    สำหรับคนอย่างพ่อ พ่อไม่มีคนมีความสำคัญอะไร
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะเดินเที่ยวเล่นมันก็ไม่ไหว ทุนรอนมันก็ไม่มี
    จึงได้ถามท่านว่า เหตุผลมันเป็นยังไง ท่านก็บอกว่า
    กรรมเก่าของมึงมาถึง สมัยหนึ่ง มึงเคยร่วมสร้างประเทศชาติไว้
    เพื่อไทยอยู่เป็นสุข เวลานี้ประเทศที่มึงทำไว้กำลังจะมีภัยเข้ามาทำลาย
    ฉะนั้น มึงจะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
    เพื่อความอยู่รอดของประเทศไทย ถามว่าทำคนเดียวรึ
    ประเทศมันใหญ่ กระต๊อบเล็กๆ ส้วมหลังเดียวยังทำคนเดียวไม่ได้
    ท่านก็บอกว่า ไม่ใช่ คนทุกคนของคนไทย
    จะรวมใจกันรักษาความเป็นไทย แต่ว่าเอ็งก็มีความสำคัญจุดหนึ่ง
    เรียกว่าทุกคนต่างคนต่างทำ แต่กลุ่มของเอ็งจะใหญ่สักหน่อยหนึ่ง
    มีคนร่วมมือมากทั่วประเทศ แต่ว่าไม่ใช่ทุกคน
    แต่ถึงกระไรก็ดี เราก็จะวางคนของเราไว้แต่ละจุดละจุด
    แบบฉบับที่ทำมาแล้วก่อนหน้าพระเจ้ารามคำแหง
    ก่อนที่พระเจ้ารามคำแหงมหาราช จะยึดเขตประเทศไทยภาคใต้ทั้งหมด
    เจ้าก็เป็นพระแบบนี้ เดินดงพงไพรมา
    รวบรวมกำลังใจของคนไทยไว้ก่อน เมื่อจอมบพิตรอดิศร
    พระเจ้ารามคำแหงมหาราชเดินทัพเข้ามา จึงมีการยึดแต่โดยสะดวก
    คำว่าโดยสะดวกไม่ใช่ว่า เจ้าทำแล้ว คนทั้งหมดมันถึงกะยกมือยอมรับ
    ไม่ใช่ยังงั้น เป็นสร้างกำลังใจให้มีความเข้าใจว่า
    เวลานี้คนไทยเราตั้งประเทศเขตพระนครขึ้นแล้ว ให้รวมคนไทยกัน
    ขยายอาณาเขต คนไทยปกครองคนไทยเอง จะมีความสุข

    เมื่อพูดถึงเขตชุมพรก็ต้องคิด ชุมพรก็ดี ประจวบคีรีขันธ์ก็ดี
    กุยบุรี ปราณบุรี เมืองพง เพชรบุรี มองลงไปภาคใต้พื้นปฐพี
    ตามที่แม่หญิงได้ชี้ พ่อตกใจลูกรัก ทั้งทองคำธรรมชาติ
    ทั้งเพชรนิลจินดา ทั้งแร่ธาตุที่มีค่า น้ำมันมาก
    เป็นอันว่าทรัพย์สมบัติที่เป็นทรัพย์สินที่ฝังไว้ก็มีมาก
    เป็นทรัพย์ธรรมชาติก็มีมาก ดีใจที่เมืองไทยเป็นเมืองทอง
    พ่อขอผ่านไป ถึงเมืองสุราษฎร์ธานี เมืองนี้ต้องคิด
    ไอ้เมืองสุราษฎร์ธานีนี่ และเราก็เลี้ยวไปกระบี่
    เมื่อเลี้ยวไปจังหวัดกระบี่ แล้วต่อไป เราก็ไป อ้าไปอำเภอทุ่งสง
    นครศรีธรรมราช สำหรับกระบี่เป็นสายเดียวกับภูเก็ต
    ตรัง พัทลุง ตอนนี้มีอะไรบ้าง ใครจะปานเป็นมัคคุเทศก์นำทาง
    ถามนิด สำหรับพี่ช้างส่ายหน้า ว่าตอนนี้
    ยกเรื่องราวขอให้แม่กัลยายอดนารี ศรีสุพรรณวดีศรีโสภาค

    อ๋อ ใครนะ น้องหญิงเรอะ อ๋อ เป็นแม่ศรีเหรอ
    สุพรรณวดีศรีโสภาค เอ้าลองว่าไป
    เมืองสุราษฎร์ธานีเป็นเมืองมีอาถรรพ์ เมืองกระบี่ เมืองภูเก็ต
    เมืองพังงา เวลานี้ กลายเป็นเมืองมีอาถรรพ์ ทั้งนี้เพราะอะไร
    ก็เพราะว่า คนต่อคน ฟันต่อฟัน ลิ้นต่อลิ้น
    ที่มีความชิงกันจนเป็นปกติ แต่ก็ที่น่าเสียดาย
    ที่คนไทยในที่นี้บางพวกเห็นแก่ตัวมากเกินไป
    นี่เราก็รวมนครศรีธรรมราชเข้ามาด้วย
    ความเข้าใจซึ่งกันและกันไม่มี และบางพวกไม่ได้ใช้ปัญญาที่ดี
    เพื่อยึดกำลังใจของคนไว้ในอำนาจของตน
    กำลังใจที่จะยึดให้คนเป็นคนร่วมกัน นั่นก็คือ ความดีต่อความดี
    ไม่ใช่มาสงสัยซึ่งกันและกัน ไม่ใช่จะใช้อำนาจ
    อำนาจที่เราจะใช้ให้ดีก็จริงๆ ก็ต้องเป็นอำนาจได้แก่ความดี
    ต่อมาเราก็มารวมทั้งหมด จังหวัดทั้งหมดนี้มีอะไรบ้าง
    เฉพาะจังหวัดภูเก็ต จังหวัดนี้ต้องคิด มีเพชรที่มาจากแร่
    ที่มีความสำคัญคล้ายนิวเคลียร์ มีมาก แร่อย่างอื่นก็มีมาก
    ถ้าแร่ประเภทนี้เราจะงัดขึ้นมาได้แล้ว มันมากมายเหลือเกิน
    และก็มีแร่ดีบุก แร่ดีบุกเวลานี้ ที่เขาเอาขึ้นมา
    มันก็ติดเอาแร่ที่มีความสำคัญขึ้นมาด้วย
    ช่วยเกื้อกูลแก่บุคคลผู้ได้ประโยชน์ ไอ้เราก็น่าเสียดาย
    ที่เราเป็นคนไทยเป็นเจ้าของแร่ ไม่มีโอกาสจะรู้จักแร่ประเภทนี้
    เห็นของดีเป็นของเลว ซึ่งเป็นกากของดีบุก เราก็ทิ้งไป นอกจากนั้น
    เขตน้ำมันใหญ่ติดอยู่กับเกาะภูเก็ตก็มีมาก แหล่งใหญ่มาก
    เป็นทะเลเทือกยาว ถ้าเราเจาะน้ำมันจุดนี้ได้
    จะมีความหมายสำคัญ ดึงมาใช้เท่าไรๆ เท่าที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้
    ถ้าจะใช้ไปสัก ๔,๐๐๐ ปี น้ำมันตุ่มนี้มันยังไม่มีความรู้สึก
    ยังไม่มีความรู้สึกว่ามันจะหมดลดลงไป สำหรับ...
    ณ เมืองนครศรีธรรมราชนั่นไซร้ เวลานี้เรื่องใหญ่สำคัญ
    มันก็จะเกิดขึ้นอีก คือภูเขาที่มีสภาพเหมือนภูเขาศูนย์
    และมีแร่วุลแฟรม ซึ่งเป็นแร่ที่มี...มีราคาแพงมาก
    เกิดขึ้นในภูเขาทั้งลูก ภูเขาลูกนี้ชื่อว่าอะไร พ่อไม่รู้จัก
    ไม่อยากจะรู้จัก แต่ก็เข้าใจว่า ภูเขาลูกนี้จะเป็นเมืองมรณะอีกเมืองหนึ่ง
    ซึ่งทางราชการถ้าไม่สนใจ ไม่หาทางป้องกันไว้ซะก่อน
    มันก็จะมีประเภทแบบเขาศูนย์ เขาศูนย์นี่ก็แปลก มีเจ้าของเหมือง
    ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของ เดิมทีคนมากด ๒๐ นาทีต่อ ๓,๐๐๐ บาท
    ต่อมาก็มา ๒๐ นาทีต่อ ๓๐,๐๐๐ บาท เวลานี้ขึ้น ๒๐ นาที
    ต่อ ๓๐๐,๐๐๐ บาท เสือนอนกิน เวลานี้
    เขาศูนย์ก็ยังมีเป็นทรัพยากรคับคั่ง เพราะไอ้การที่ได้แร่มากๆ นี่
    ค่าภาคหลวงไปไหน ประเทศไทยน่าจะรวย เราต้องคิด
    และเขาอีกลูกหนึ่งที่เกิดมา ที่พ่อกล่าวแล้วเมื่อกี้นี้
    ถ้าหากว่าทางบุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่หาทางป้องกัน
    แร่ก็จะขยายตัวออกมามาก ขายไปเป็นแบบแร่เทียน ทางรัฐจะไม่ได้
    ทางรัฐเองก็จะไม่มีส่วนได้ค่าภาคหลวง

    นี่แหละบรรดาลูกรักทั้งหลาย ที่ผีและเทวดาท่านบอกว่า
    ถ้าคนไทยยังดีไม่พอ ทรัพยากรทั้งหลายที่มีอยู่
    จะขึ้นมาสมบูรณ์บริบูรณ์ไม่ได้ เพราะขึ้นมาแล้ว
    มันก็เป็นอันตรายแก่คนไทย คนไทยจะต้องฆ่ากับคนไทย
    เพราะอาศัยความโลภเป็นสำคัญ แต่บุคคลส่วนกลาง
    คือเงินส่วนกลางจะไม่เข้า ก็ได้แก่เงินภาคหลวง
    ค่าภาคหลวงมันไม่ได้ น่าเสียดายมั้ยลูกรัก
    น่าเสียดายทรัพยากรที่มีอยู่ในกาลก่อน นี่อันนี้ไม่มีใครเขาสร้าง
    ต้องถือว่าเป็นบุญบารมีของท่าน ของใคร
    ของคนอยู่ในภาคพื้นนี้ที่ควรจะได้ แต่ถ้าหากจะได้ขึ้นมาเมื่อไร
    นั่นก็หมายว่า คนไทยต้องเป็นคนดี ครั้นมาถึงเมืองนครศรีธรรมราช
    คณะของเราก็ได้พักที่สถานีตำรวจตระเวนชายแดนทุ่งสง ปรากฏว่า
    ท่านผู้กำกับ พันตำรวจเอกสุดินทร์ กะร้อยตำรวจเอกยุทธนา
    กับภรรยาของท่านพันตำรวจเอกสุดินทร์ ให้ความอุปการะเป็นอย่างดี
    เพราะท่านผู้นี้เป็นผู้มีความสนิทสนม และก็เป็นคนดี
    เอาจริงเอาจังต่อการงาน แต่ทว่างานทุกอย่างลูกรัก
    จะดีคนเดียวนั้นมันไม่ได้ จะต้องมีคนอื่นเห็นอกเห็นใจ เห็นประโยชน์
    เห็นเหตุเห็นผล งานของประเทศไทย
    ที่ไม่เป็นไปตามความประสงค์ของทุกคนก็เป็นเพราะเหตุนี้

    สำหรับต่อนี้ไป สำหรับเมืองสุราษฎร์ธานี เป็นเมืองอาถรรพ์
    เพราะเวลานี้ยุ่งมาก ยุ่งมากมีคนที่พูดไม่รู้ภาษากันอยู่เยอะ เป็นคนไทย
    แต่พูดไม่รู้ภาษากัน การเดินทางตั้งแต่ออกจากชุมพร ถึงสุราษฎร์ธานี
    เข้ากระบี่ ไปทุ่งสง ไปเมืองนครศรีธรรมราช เราก็ได้ชมพระมหาวิหาร
    คือพระเจดีย์และพิพิธภัณฑ์ หลังจากนั้นก็ออกเดินทางกลับ
    ก่อนที่จะเดินทางกลับที่ชมนั้น ชมอยู่นั้น เราก็เจอะของแปลกประหลาด
    คือคนที่แต่งกายคล้ายสาวกขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ๓ ท่าน
    ติดตามดูพ่ออย่างจิตที่ไม่เป็นมิตร จนกระทั่งทุกคนต้องคิดว่า
    เอ๊ะ ท่านพระ ๓ องค์นี่ เป็นพระประเภทใด
    เป็นเหตุให้สงสัยจนกระทั่งท่านผู้ใหญ่ อดีตกงสุลของฮ่องกง
    ของคนไทยซึ่งประจำฮ่องกง ถ่ายภาพเข้าไว้ เป็นที่น่าเสียดายที่ผ้ากาสาวพัตร
    ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ยกย่องว่าเป็นธงชัยของพระอรหันต์
    แต่ว่ากลับเป็นเช่นนี้ไปได้

    เอาล่ะบรรดาลูกรักทั้งหลาย สำหรับเทปหน้านี้ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงแค่นี้
    ด้วยว่าเวลามันหมด เทปยังเหลือแต่เวลามันหมด เอาไว้รับฟังกันด้านหน้า
    คือเทปด้านต่อไป สำหรับวันนี้ก็ขอหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์
    พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ลูกรักทุกคน สวัสดี
     
  18. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    18.เล่าเรื่องนครศรีธรรมราช-สมเด็จพระเจ้าตากสิน.mp3
    เอ้อ สำหรับตอนนี้ วันนี้ที่บันทึกนี่ ก็ยังนั่งอยู่ที่บ้านของระพี เลขะกุล
    ลูกสาวซึ่งให้การรับรองเป็นอย่างดี ขอย้อนของประวัติการเดินทางมานี่
    วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๒๑ ออกจากอำเภอทุ่งสง ตั้งใจจะมาหาดใหญ่
    คือพักที่หาดใหญ่ก่อน แต่ก็คิดว่า ถ้าหากพักที่หาดใหญ่ แล้วมายะลา
    การเดินทางมันก็จะยาวเกินไป ขากลับไปจะไปพักที่หลังสวน เกรงว่าจะค่ำ
    หรือจะดึก คืนนั้นจึงได้เปลี่ยนแผน จากการออกวันที่ ๒๓ แทนที่จะพักหาดใหญ่
    อ้าพักที่สงขลา ก็เป็นการเดินทางมาบ้านระพี เลขะกุล ที่จังหวัดยะลา
    เจ้าของบ้านทั้งสอง คือท่านคุณหมอบุณยสิทธิ์ และก็ระพี เลขะกุล
    ลูกรักทั้งสองเป็นคนดีมาก จัดสถานที่ไว้โอ่โถง
    การเดินมาก็รู้สึกว่ามาด้วยความสะดวก ซึ่งระยะทางมีการสนใจกันนิดหน่อย
    สำหรับผู้ควบคุมรถ คือคุณเหม่ คุณสมบูรณ์ เอี๊ยง สมนึก ทั้งนี้มี
    และก็ วิวัฒน์หรือวิชัย นที และก็จ่า จ่าสิบเอกของกองบัญชาการทหารสูงสุด
    ซึ่งคุมรถแลนด์ ทั้งหมดนี้เป็นเจ้าหน้าที่ในการควบคุมรถ โดยเฉพาะเอี๊ยง
    เป็นเจ้าหน้าที่ เป็นนายช่างใหญ่ สำหรับแก้ไขรถเวลาที่ขัดข้อง
    ถ้าสิ่งใดที่ไม่เกินวิสัยของเธอ เธอเก่งมาก จัดว่ามีสมรรถภาพมากในเรื่องนี้
    สำหรับผู้อำนวยการในการดูรถก็คือเหม่ มีภารกิจมากในเรื่องนี้
    เจ้าหน้าที่การคลังก็ได้แก่สมบูรณ์ เวสารัชชานนท์
    เป็นคนรับผิดชอบในการจับจ่ายใช้สอย เกี่ยวกับเงินทองทั้งหมด ปรากฏว่า
    คนทุกคนต่างรับผิดชอบกันเต็มกำลัง น่าสรรเสริญ
    และเวลาลูกทุกคนก็เช่นเดียวกัน ต่างรับภาระหน้าที่ อยู่ในโอวาทอย่างดี
    พ่อดีใจมาก และอาจจะมีคนบางคนใช้จริยา ใช้ปากที่ไม่สมควร
    อาจจะมีหลงเหลือมาบ้าง จะมีใครเหลือบ้างพ่อก็ไม่ทราบ
    แต่ขอเตือนไว้ ว่าจะไปทางไหนก็ตาม ภาระใดๆ
    ที่เราไม่มีส่วนจะเกี่ยวข้อง อย่างงานด้านเทคนิค เรื่องรถเรื่องรานี่
    ถ้าเราไม่เป็น ปล่อยให้เจ้าหน้าที่เขาจัดการไปตามเรื่อง อย่าไปยุ่งกับเขา
    จะเป็นการทำลายกำลังใจ พ่อเอง ถึงแม้ว่าจะจัดว่าเป็นผู้ใหญ่ ผู้นำทาง
    ถ้างานเฉพาะกิจทุกอย่าง พ่อไม่ยุ่งกับเขา ปล่อยตามความสามารถ
    มิฉะนั้น เขาจะเสียกำลังใจ

    เดินทางจากอำเภอทุ่งสง ก่อนจะเดินทางออกมาก็ปรากฏว่า
    ท้าวเวสสุวรรณหรือว่าลุงเปรม เข้าชายคนหนึ่ง แล้วต่อมา
    ท้าวมหาพรหม แล้วต่อมา ท่านหนึ่งเรียกว่าเจ้าพ่อเสือ
    แต่ความจริงไม่ใช่ เป็นเทวดา มีนามว่าเจ้าพ่อเสือ เขามาเข้าทรง
    พ่อรู้สึกว่าท่าทางการเข้าทรง จะว่าเขาหลอกเขาลวงไม่ได้
    เพราะเขาไม่ได้ทรัพย์ไม่ได้สิน เหนื่อยอ่อนอย่างหนัก
    การทรงมีคนเลื่อมใสมาก ท่านเจ้าของร่างกายผู้ทรง
    ก็ไม่ได้สินจ้างรางวัล เสียการงานที่จะพึงได้สำหรับตน
    แต่ว่าน้ำใจเป็นกุศล ยอมทำให้
    เรื่องการทรงนี้ พ่อก็ไม่แปลกใจ เราจะมาว่ากันไปถึงว่า
    เขตอำเภอทุ่งสงหรือว่าบ้านเหนือคลอง อำเภอพระแสง
    อำเภอฉวาง อำเภอเวียงสระ
    ดินแดนส่วนนี้เป็นดินแดนประวัติศาสตร์ ที่เราทราบกันมาแล้ว
    ว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    รวมนครศรีธรรมราชกับสุราษฎร์ธานี เป็นเมืองที่น่าหนักใจมาก
    เพราะเวลานี้ กระบี่กับพังงาก็เริ่มงานอีกแล้ว
    มาตรังและพัทลุงก็ยุ่งเหมือนกัน จะหันมาจังหวัดสงขลาก็น่าคิด
    จะหันไปทีดูอีกที จังหวัดยะลา จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส
    ที่เราจะต้องผ่าน ยันอำเภอเบตง ก็เช่นเดียวกัน
    รวมความในเรื่องยุ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้นเพราะความไม่เข้าใจกัน
    เมืองนครศรีธรรมราชเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่มีสำคัญ
    มีความสำคัญ เพราะว่าในสมัยพระเจ้ารามคำแหงนั้น
    ท่านยึดได้ถึงสิงคโปร์ แต่เนื้อแท้จริงๆ แล้ว
    ท่านไม่ได้ตีไปถึงสิงคโปร์ ท่านตีเข้ามา
    ยึดครองนครศรีธรรมราชเมืองเดียวเท่านั้น ท่านก็ได้ไปถึงสิงคโปร์
    จะเห็นว่า นับตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรีลงมาถึงสิงคโปร์ในเวลานั้น
    ทุกเมืองในเขตนั้นทั้งหมด เป็นเขตของจังหวัดนครศรีธรรมราช
    ก็จัดว่าเป็นประเทศที่มีมหาอำนาจไม่น้อย และก็มีทรัพยากรมาก
    ความจริงภาคใต้ คนภาคใต้ไม่จนเหมือนคนภาคเหนือ
    หรือภาคกลาง ภาคอีสาน ทั้งนี้เพราะอะไร
    เพราะเดินไปที่ไหนมันก็เป็นเงินเป็นทอง ทำการรับจ้างกัน
    ขุดดินวัน ราคาถึงวันละ ๖๐ บาท บ้านเราถ้าจ้าง ๓๐ บาท เราก็พอใจ
    แต่ที่นี่ ธรรมดาๆ เขาจ้างกันแล้ววันละ ๖๐ บาท แต่ว่า ท่านผู้ทำก็ต้องคิด
    ทำนิดๆ หน่อยๆ พอเงินมีใช้มีสอย ท่านก็หยุด
    แล้วไม่มีถ้าไม่มีเงินจะใช้ก็ทำใหม่ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา
    ของคนที่หาเงินง่าย ในสมัยที่พ่อเป็นเด็ก
    สภาพของคนไทยส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ เพราะถือว่า
    เรานอนอยู่บนกองเงินกองทอง จะหาเมื่อไหร่ก็หาได้

    สำหรับเมืองนครศรีธรรมราชนี้ ท่านกล่าวว่า
    ชาวปาตลีบุตรเข้ามายึดครองไว้ก่อน ในสมัยก่อนโน้น
    น่าว่าควรจะเป็นก่อนพุทธกาล ในระยะช่วงหนึ่ง จึงมีนามว่า
    ชาวปาตลีบุตร อยู่ที่นครศรีธรรมราช แล้วก็มีอาณาเขตไปถึงจังหวัดภูเก็ต
    ที่รู้นี่ไม่ใช่หนังสือ เพราะไปเดินเล่นอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต
    ก็มีผีมาคุยให้ฟัง นี่เขาเรียกกันว่าประวัติศาสตร์ผี แต่นครศรีธรรมราชนี้
    ก็เป็นเมืองประวัติศาสตร์อีกอันหนึ่ง คือเมื่อพอรัชกาลที่ ๑
    สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เมื่อยึดอำนาจ อะไรล่ะ
    กรุงธนบุรีได้แล้ว จับพระเจ้าตากสินปลงพระชนม์คือประหารชีวิต
    ฆ่าตายง่ายๆ ไม่ยากนัก พอคำสั่งของ.. พอปรากฏว่า
    ข่าวของพระเจ้าตากสินทิวงคต เพราะถูกรัชกาลที่ ๑
    คือสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกสั่งประหาร ก็ในชั่วระยะเวลาคืนนั้น
    ก็ปรากฏว่าปีศาจของพระเจ้าตากสินมาปรากฏที่เมืองปากท่อ
    คือในเขตราชบุรี อำเภอปากท่อ หลังจากนั้น อยู่ที่ปากท่อพอสมควร
    ปีศาจของพระเจ้าตากสิน ท่านมีสภาพเป็นพระ
    ก็มาปรากฏขึ้นในเขตนครศรีธรรมราช จำพรรษาอยู่เลยถ้ำ
    ถ้ำพรหมนะ อะไรพรหมก็ไม่รู้ มหาพรหม รึไม่รู้ ก็พรหมๆ ก็แล้วกัน
    เลยน้ำตกพรหมไปหน่อยหนึ่ง ในที่นั้นมีถ้ำ แล้วก็มีกระท่อมอยู่ข้างหน้า
    เป็นบริเวณที่เงียบสงัด สมัยนั้นเป็นป่าชัฏ ยากแก่การเดินเข้าไปถึง
    เป็นที่สงัดไม่ล่อตาคน ก็ต้องคิด ปรากฏว่า
    ปีศาจพระเจ้าตากสินนี่ศักดิ์สิทธิ์ มีเนื้อมีหนังเหมือนกะคนธรรมดา
    แต่ว่าอย่าใครอย่าไปถามนะ ว่าพระพุทธยอดฟ้าท่านฆ่าแบบไหน
    จึงได้ตายแบบนั้น อันนี้ต้องขอขยับกันนิดหนึ่ง
    เพื่อความเข้าใจที่เขียนไว้แล้ว ว่าพระเจ้าตากสิน
    กับพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ไม่มีใครเป็นกบฏและก็ไม่มีใครตาย
    ข่าวนี้มาจากผีของพระเจ้าตากสิน แล้วก็ผีของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
    ที่เรียกว่าผีก็เพราะว่า คนอื่นมองไม่ค่อยเห็นนี่ เวลาที่ท่านมาบอก
    อย่าไปหาว่าพ่อเข้าฌานสมาบัติ อย่าคิดว่าพ่อเป็นคนมีตาทิพย์
    ท่านมาท่านแสดงตัวให้ปรากฏ เราจึงเห็น
    เวลาท่านแสดงตัวให้ปรากฏก็เห็นชัด

    เล่ากันไว้สักหน่อย จะต้องไม่ต้องไปหาหนังสือฉบับนั้นอ่าน
    มันเป็นประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญ วันหนึ่ง
    พระเจ้าตากสินทรงเสด็จประทับ อยู่ในห้องเจริญพระกรรมฐาน
    เวลานั้นเป็นเวลากลางวัน พระองค์ทรงฉลองพระองค์ขาว คือนุ่งผ้าขาว
    ห่มสไบเฉียงขาว มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานไปตามสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
    คือพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เวลานั้นมีตำแหน่งคล้ายๆ
    มหาอุปราชเข้ามาเฝ้า เพราะว่าบรรดาศักดิ์สมเด็จเจ้าพระยานี่
    มีสิทธิ์จะสั่งฆ่าคนได้ก่อนกราบทูล มีอำนาจคล้ายๆ พระมหากษัตริย์
    แต่ก็มีบางอย่างที่ต้องผ่านพระมหากษัตริย์
    แต่งานที่จะสั่งประหารชีวิตคนนั้น ทำได้ทันที เป็นอันว่าพระเจ้าตากสิน
    เมื่อสั่งให้พระพุทธยอดฟ้ามาเฝ้า เป็นเพื่อนเก่ากัน
    สั่งด้วยว่าให้แต่งชุดรบให้ครบถ้วนและขัดดาบมาด้วย
    พระพุทธยอดฟ้าได้ฟังก็ตกใจว่า เอ๊ะ นี่อาการข่าวคราวทั้งหลายมันก็เงียบ
    นี่สงครามอาจจะเกิดขึ้นที่ไหน พระองค์จึงได้สั่งแบบนี้
    เพราะอาศัยความจงรักภักดี ของสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
    ที่มีกับพระเจ้าตากสินมหาราช ทั้งๆ ที่เป็นเพื่อนกันมาก่อน
    ก็ยอมรับนับถือเคารพ ความจริงคนโบราณเนี่ยเขามีความกตัญญูรู้คุณ
    เมื่อมาถึงแล้วก็เห็นว่าพระเจ้าตากสินเสด็จประทับอยู่พระองค์เดียว
    ตกใจ คิดว่าคงจะประชุมอำมาตย์ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมด
    แต่ไม่มีใครเลย พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเห็นว่าเป็นการไม่สมควร
    ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่แต่พระองค์เดียว
    แล้วตัวเองจะขัดดาบเข้ามาอย่างนั้น ไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่ง
    จึงถอยหลังไปทำท่าจะถอดดาบออกทั้งฝัก ไม่ใช่ถอดเฉพาะคมออกมา
    ขยับจะขยับจะเอาดาบออก พอดีพระเจ้าตากสินมหาราชเห็นเข้าพอดี
    พ่อไม่ขอใช้ราชาศัพท์ จึงตรัสว่านั่นใคร ด้วงเรอะ เออ เข้ามาซิ
    เอาดาบเข้ามาด้วย อย่าเอาออก สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
    ก็หมอบเข้าคลานเข้าไปเฝ้า แล้วก็ถอดดาบออกวางไว้ หากอยู่ใกล้ประตู
    ตัวก็คลานเข้าไป พระเจ้าตากสินมหาราชจึงมีพระราชดำรัส ตรัสว่า
    ด้วง เอาดาบเข้ามาใกล้ๆ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
    จึงได้เอามือกระทุ้งดาบออกไปเสียนอกประตูเลย
    แล้วก็มีหญิงคนหนึ่งมาเก็บดาบไป เมื่อเข้าไปใกล้ไม่มีใคร
    พระเจ้าตากสินมหาราชก็ตรัสถามว่าด้วง อยากจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินมั้ย
    เจ้าพระยา สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกก็กราบทูลว่า
    ไม่เคยคิดเลยพระพุทธเจ้าค่ะ พระเจ้าตากสินก็บอกว่าด้วง
    ไม่ได้หรอกนะ ด้วงจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
    เพราะว่ามันมีความจำเป็นมาก ด้วงก็รู้อยู่แล้วนี่ว่า
    ฉันน่ะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยากจนที่สุด ไม่มีเงินไม่มีทอง
    ไม่มีทรัพย์ไม่มีสิน เพราะว่า การเป็นพระเจ้าแผ่นดินฉันไม่ได้สืบเชื้อสายมา
    ทรัพย์สินทั้งหลายมันก็ไม่มี เวลานี้ ฉันเป็นหนี้ข้าราชการ
    ไม่ได้ให้เบี้ยหวัดเงินปีเขามาก เงินที่เราจะใช้กัน
    ความจริงการปกครองประเทศนี่มันใช้เงินมากจริงๆ
    ก็ต้องกู้เจ้าสัวเขามาจากเมืองจีน นี่อีกไม่ช้าเขาจะมารับเงินเก่า
    พร้อมกับดอกเบี้ย แล้วก็ให้เรากู้ใหม่ การรับเงินเก่าเป็นค่าต้นทุน
    เราก็ไม่มีให้เขาแล้ว ให้เขาไม่พอแล้วแถมดอกเบี้ยอีก ฉันจะเอาที่ไหน
    แล้วพวกข้าราชการของเราก็ไม่ได้จ่ายกัน รบราฆ่าฟันทำงานกันหนัก
    ฉันเป็นหนี้เขามาก เวลานี้เขมรขบถ คิดทรยศ ด้วงจงยกทัพไปที่เขมร
    แล้วก็เอาลูกชายฉันไปด้วย ถ้าหากว่า ถ้ายึดเขมรได้
    ลูกชายของฉันอย่าเอาเข้ามาเลย ให้ครองอยู่ที่เขมร และกลับเข้ามาที่นี่
    ด้วงจงมายึดพระนคร ฉันจะทำเป็น ฉันจะบวชพระทำเป็นบ้า
    และก็ด้วงก็กำจัดฉันออกจากราชสมบัติเท่านั้นก็พอ ในที่สุด
    ในเมื่อฉันพ้นอำนาจตำแหน่งจากพระมหากษัตริย์
    และก็ด้วงไม่ใช่เป็นคนรับโอน เพราะด้วงยึดอำนาจได้ ล้มกษัตริย์ไป
    ไอ้หนี้เก่าทั้งหลายก็เป็นอันว่าเลิกกัน เพราะด้วงไม่ได้กู้

    นี่พูดกันเพียงเท่านี้ก็พอรู้ เป็นอันว่านโยบายนี้ทั้งหมด
    เป็นไปตามพระราชประสงค์ แต่ว่าผิดพระราชประสงค์อยู่หน่อยเดียว
    ที่ไปตีเขมรคราวนั้นไม่ทันจะจบ พระยาสรรค์ที่อยู่ในทางนี้
    เกิดขบถขึ้นมาเสียจริงๆ จับพระเจ้าตากสินแล้วก็ยึดอำนาจ
    จะประกาศตนเป็นกษัตริย์ ต่อมา พระยาอะไรไม่ทราบอยู่ที่นครราชสีมา
    เป็นหลานชายพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ยกทัพเข้าไปจับพระยาสรรค์บุรี
    เมื่อพระพุทธยอดฟ้าทราบเรื่องยุ่งอย่างนี้ ก็จำเป็นต้องยกทัพกลับ
    นี่ไอ้คนที่มันไม่รู้จักพอมันเป็นอย่างนี้ การเข้าไปจับพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น
    ความจริงมันเป็นนโยบายที่ตกลงกัน ระหว่างพระเจ้าตากสิน
    กับพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ถ้าหากว่าไม่ตกลงกันจริงๆ
    และไม่ตกลงเอาไว้ก่อน คนอย่างพระเจ้าตากสินยังมีฝีมือ
    และก็ยังมีคนที่มีความจงรักภักดีอยู่มาก พระราชาอยู่ที่ไหน
    ก็มีหน่วยรักษาพระองค์ที่นั่น ถ้าไม่เป็นเรื่องตกลงกันล่ะก็ จับกันไม่ได้
    ยังไงๆ ก็แหลก ในที่สุดพระยาสรรค์นั่นแหละจะต้องตาย
    แต่ไอ้การที่เข้าไปจับง่ายๆ นี่ต้องมีความรู้สึก ว่าต้องมีอะไรกันอยู่ก่อน
    แล้วมาตอนหนึ่งที่คนคิดว่าพระเจ้าตากสินนั่นบ้า
    เอาพระเข้ามาบังคับให้พระไหว้ แต่ความจริงเรื่องมันเป็นยังงี้
    ตามที่ท่านเล่าสู่กันฟัง พระที่กระทำความผิด ให้ไปนำตัวเข้ามาในพระราชฐาน
    แล้วก็เก็บพระไว้ในที่ลับ เอานักโทษที่เอามาโกนหัว แล้วให้นุ่งผ้าเหลือง
    แล้วก็เฆี่ยนให้ประชาชนดู บอกว่านี่แม้แต่พระทำความผิด ยังต้องถูกลงโทษ
    ถ้าพวกประชาชนทั้งหลายที่ไม่ใช่พระมีความผิด จะต้องตาย ไอ้ข่าวนี้ก็ลือไป
    หาว่าพระเจ้าตากสินบ้า เฆี่ยนกระทั่งพระกระทั่งเจ้า อันนี้เป็นอาการที่แสดงออก
    ให้คนเขาคิดว่า พระองค์เสียพระสติจริงๆ ต่อมา เมื่อพระยาสรรค์เข้ามาจับ
    จึงได้จับได้ง่ายตามนโยบาย แล้วก็ไปขังไว้ที่วัดระฆัง
    ในที่สุด พระยาสรรค์บุรีก็กำเริบ ไม่รู้เรื่องความเป็นจริง
    จะยึดอำนาจครองแผ่นดินซะเลย จะไม่ยอมให้แผ่นดินกะใครทั้งหมด

    นั่นแน่ เก่งมาก ในที่สุด ความโลภจงฆ่าคนชั่ว คือพระยาสรรค์บุรีก็ต้องตาย
    เมื่อสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เห็นบ้านเมืองยุ่งเหยิงผิดไปแบบนั้น
    ก็ต้องยกทัพกลับ มาถึงที่วัดสระเกศพักทัพอยู่ สระเกศน่ะเดิมทีชื่อวัดสระแก
    พักทัพอยู่ตรงนั้น มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ไปเชิญขึ้นครองราชย์ เพราะรู้สึกว่า
    พระเจ้าตากสินก็บ้าเสียแล้ว พระยาสรรค์บุรีคิดขบถทรยศถูกจับได้
    พระพุทธยอดฟ้าจึงทรงอะไร เขาเรียกว่า สระผมที่นั่นน่ะ สระเกศา
    สระเกศ สระเกศ สระเกศาคือสระผมแต่งตัวอาบน้ำที่นั่น เสร็จแล้ว
    จึงเสด็จเข้ามาถึงกรุงธนบุรี วัดนั้นจึงมีนามใหม่ว่า วัดสระเกศ
    และเข้ามาเถลิงราช พิจารณาความผิดของพระเจ้าตากสิน
    ว่าบ้าใบ้กระทำความชั่ว เฆี่ยนตีกระทั่งพระ จึงได้สั่งประหารชีวิต
    การประหารชีวิตพระราชาสมัยนั้นเขาใส่กระสอบทุบด้วยท่อนจันทน์
    เดิมทีเดียว เขาจะต้องการนักโทษที่ถึงประหารชีวิต เอาตายแทน
    ใส่กระสอบออกไปจากที่ลับ จะรู้ว่าใครเป็นใคร แล้วก็ทุบให้ตาย
    ศพก็โยนฝังไป มันก็หมดเรื่อง แต่ว่ามีคนๆ หนึ่ง
    ที่มีความจงรักภักดีแด่พระเจ้าตากสินมหาราช เป็นราชวัลลภ
    มหาดเล็กผู้ใกล้ชิดขออาสาตายแทน ในที่สุด คนนั้นก็จำเป็นจะต้องตาย
    เพราะไม่ตายเดี๋ยวปากแกมาก แกพูดไปว่าเรื่องฆ่ากันไม่เป็นความจริง
    มันจะยุ่ง ในที่สุดก็ต้องฆ่า เอาแกใส่กระสอบไปแทน
    ฆ่าแล้วพระเจ้าตากสินมหาราชอาศัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
    เวลากลางคืนใช้ขบวนห้อมล้อมกันไป ใช้พาหนะบรรทุกไป
    เอาไปเก็บไว้ปากท่อ เพราะสถานที่ตรงนั้นสร้างไว้ก่อนแล้วเรียบร้อย
    พักอยู่ที่ปากท่อพอสมควร ต่อมาพระเจ้าตากสินมหาราชคิดว่า
    ที่ตรงนี้ไม่ลี้ลับ อาจจะมีคนรู้เห็นได้ สมัยนั้นมันก็เป็นป่าพอสมควร
    จึงขยับขยายไปที่นครศรีธรรมราช ไปเลยแม่น้ำ
    เอ้อไปเลยน้ำตกอะไรพรหมก็ไม่ทราบ ชื่อพรหมก็แล้วกัน น้ำตกพรหม
    เลยเข้าไปเป็นป่าชัฏ เวลานี้เข้าไปยังรู้สึกสงัดๆ มันยังเป็นป่า
    เป็นที่ลับจริงๆ เวลานั้น ถือว่าเป็นป่าดงดิบ แล้วก็เป็นถ้ำเล็กๆ
    ไม่มีใครไป เป็นอันว่าพระเจ้าตากสินมหาราชจะต้องตายเพราะ
    เพราะการรับสั่งเท่านั้น ไม่ได้ตายเพราะการถูกฆ่า

    เป็นอันว่า เรื่องราวทั้งหลายเหล่านี้ ทราบมาจากผีลูกรัก
    จริงไม่จริงเพียงใดก็ช่าง ต่อมา พระเจ้า ต่อมาข่าวว่า
    พระเจ้าตากสินสิ้นทิวงคต เพราะพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกสั่งประหารชีวิต
    ต่อมา พระพุทธยอดฟ้าได้เรียกลูกชาย ๒ คน ความคิดนี้ทั้งหมด
    แม้แต่ลูกก็ยังไม่รู้ ก็เรียกเข้ามาถามว่า จะรับราชการด้วยหรือว่ายังไง
    ลูกชายทั้ง ๒ คนก็บอกว่า เมื่อพ่อตาย เราขอตามตายไปด้วย ฉะนั้น
    พระพุทธยอดฟ้าจึงจับสั่งตัดสินประหารชีวิต โดยตรัสว่า
    ฆ่าบัวแล้วจงอย่าไว้ใย จะเป็นภัยทีหลัง สั่งประหารชีวิต
    แต่ไม่ทราบว่าใครตายแทน ๒ คนนั้นพอตายก็ปรากฏว่า
    มาโผล่ขึ้นที่นครศรีธรรมราช ผี ๒ คนมาโผล่ขึ้นที่นครศรีธรรมราช
    เป็นผีมีเนื้อ คนหนึ่งเปลี่ยนชื่อใหม่ ชื่อว่าอะไรไม่บอก ที่ไม่บอก
    ไม่อยากบอก เป็นได้รับราชการอยู่ที่นครศรีธรรมราช
    เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ อีกคนหนึ่งเป็นพ่อค้าไทย
    ค้าเรือสำเภาติดต่อกับต่างประเทศ นี่สำหรับเรื่องราวที่เราผ่านมา
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมืองนครศรีธรรมราช ในเขตนี้
    ก็ยังมีเมืองสำคัญอีก ๒ เมือง ๓ จุดคือว่าเมืองเดียวแต่ว่าตั้งเป็น ๓ จุด
    ที่เรียกว่าเมืองคุนชิง (เข้าใจว่าหมายถึงกรุงชิง) ซึ่งอยู่ในเขา
    ปรากฏว่า เมืองกรุงชิงนี้ มีลำน้ำเล็ดลอด ตลอดกันเข้าไปถึงตามลำดับ
    มีจุดเป็นที่อาศัยใหญ่ๆ ๒ จุด เป็นเมืองเก่า มีทรัพยากรมาก

    เมืองกรุงชิงนี้เดิมทีเดียว เจ๊กมายึดอยู่ แกตั้งเป็นอาคารบ้านเรือนคล้ายๆ
    พระราชฐาน แต่เวลานี้ เราเข้ากันไปไม่ได้ เพราะกรุงชิงกลายเป็นคุณชัง
    เพราะว่า คุณจิตจงจิตแกอยู่ที่นั่น แกควบคุมกำลังทหารพิเศษของแกไว้
    ใครเข้าไปไม่ได้ ถือว่าเป็นเมืองพิเศษ สำหรับเมืองกรุงชิงนี้ เมื่อพูดแล้วก็น่าคิด
    ว่าทัพภาค ๔ ตามข่าวหนังสือพิมพ์เขาบอกว่า ยึดเมืองกรุงชิงได้
    แต่ในที่สุดกลับมาใหม่ กลายเป็นกรุงชิงที่มีความเข้มแข็งในการต่อต้าน
    ก็เลยไม่ทราบว่า ข่าวนั้นใครเป็นคนให้ออกไป ใครจะผิด ใครจะถูก
    อันนี้ไม่รู้ หนังสือพิมพ์ประโคมข่าวกันในสมัยนั้น บอกว่ากรุงชิงแตกแล้ว
    กองทัพภาค ๔ ได้แล้ว คอหนังเข้าทำการโจมตีกรุงชิงยับเยิน คนที่อยู่ในนั้นทั้งหมด
    ต้องหนีร่นไปอยู่ที่อื่น แต่ข่าวนั้นอาจจะเป็นความจริง แต่ว่าการตีกรุงชิงแตก
    ไม่ยึดกรุงชิงไว้ กรุงชิงก็ต้องกลับมีอำนาจใหม่ เช่นเดียวกับภูพาน
    สมัยที่ยุทธศิลป์นำกำลังเข้าไป ๓ กองร้อย ตีภูพาน ราบตั้งแต่ต้นจนปลาย
    แต่ในที่สุด ไม่ทราบว่าใคร สั่งถอนกำลังทหาร เป็นอันว่าภูพาน
    ก็เลยกลายเป็นภูอันธพาลใหม่ และก็เป็นภูอันธพาลที่มีกำลังแข็งแกร่งกว่าเก่ามาก
    เป็นการยากแก่การปราบปราม

    เอาล่ะบรรดาลูกรักทั้งหลาย เหตุทั้งหลายเหล่านี้ ฟังแล้วก็จงจำ จำไว้ด้วยช่วยกันคิด
    ว่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่พ่อกล่าวมานี่ อย่าไปยืนยัน อย่าไปโต้เถียงกับเขา
    เพราะเราได้มาจากคนที่ไม่มีเนื้อ ไม่มีหนัง ดีไม่ดีเขาจะหาว่าบรรดาลูกรักของพ่อทั้งหมด
    เป็นคนบ้าคนหลัง จะไม่เกิดประโยชน์ โทษที่จะพึงมีนั่นก็คือ ความเดือดร้อน
    เพราะการต่อล้อต่อเถียง การทะเลาะซึ่งกันและกัน พ่อมองดูเวลาที่ให้แล้วนั้น
    ๒๘ นาที มันก็หมดแต่เพียงเท่านี้ สำหรับเรื่องราวของเทปหน้านี้
    ก็ยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ลูกรักทุกคน สวัสดี
     
  19. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    19.ลำดับการเดินทางไปยะลา@25 เมษายน 2521.mp3
    บันทึกวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๒๑ ซึ่งวันพรุ่งนี้วันที่ ๒๖
    เราก็จะเดินไปพักกันที่สงขลาตามคำอาราธนาของท่านอัยการจังหวัดสงขลา
    นี่มาคุยกันต่อไป ว่ากันย่อๆ ดีกว่า เป็นอันว่า
    เดินทางเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๒๑ ล่องมาทางใต้ใกล้ชายทะเล
    เป็นทางใหม่คือทางสายเอเชีย มาถึงท่าข้ามสงขลา
    ๑๒ นาฬิกาเศษ ออกจาก เอ้อ ออกจากทุ่งสงเวลา ๙ นาฬิกา ๓๐ นาที
    เราก็เดินทางกันไม่นาน แต่ว่ากินข้าวกันในรถตลอดมา มาตามทาง
    เจ้าหน้าที่คือเหม่ สมบูรณ์ เอี๊ยง สงสัยว่าเจ้าโตงเตงทำยังไงถึงวิ่งช้าเกินไป
    ก็ปรากฏว่า เมื่อมาถึงยะลา คุณหมอบุณยสิทธิ์ สามีของคุณระพี เลขะกุล
    ได้ให้ช่างสำรวจ ช่างที่มีความชำนาญมากสำรวจตรวจสอบ ก็ทราบว่า
    เจ้าโตงเตง ก่อนที่จะออกจากกรุงเทพ ปรากฏว่านำเข้าไปซ่อม
    ที่อู่ใดก็ไม่ทราบ ความจริงเจ้าโตงเตงนี่มันวิ่งเก่งมาก มีความแข็งมาก
    ถ้าปรากฏนี่ซ่อมช่างซ่อมในกรุงเทพ ซ่อมแล้วก็แซม แซมแล้วก็ซุก
    ซุกแล้วก็ซน ทำเอากำลังของเจ้าหน้ามลโตงเตงตกไป เหม่มาบอกให้ฟังว่า
    ช่างเขาสำรวจแล้ว ปรากฏว่า ถ้าเทียบกับรถเบนซินก็ถือว่า ไฟอ่อนเกินไป
    เพราะใส่เฟืองผิดจังหวะ ความจริงรถดีเซลต้องมีกำลัง ของหัวฉีด
    มีกำลังปอนด์สม่ำเสมอตามกำลังที่เขากำหนดไว้ รถจึงจะมีกำลัง
    นี่บรรดาช่างนี่เราก็เชื่ออะไรไม่ได้ มันเป็นช่างเถอะซะมาก ทำให้มันออกวิ่งไปได้ก็แล้วกัน
    ทำรถที่ดีน้อยให้ดีพอดีตามเดิมก็ยังดี นี่รถนี่ดีอยู่แล้วมาก กลับกลาย
    ทำให้กลายเป็นรถมีกำลังน้อย ดีน้อย ก็ต้องคิด แต่ถึงกระไรก็ดี
    เขาก็เอาสตางค์ไปแล้ว มันเป็นเรื่องของเขา นี่การถือว่าอู่มีความสำคัญซะเรื่อยไป
    มันเป็นภัยอย่างนี้

    เป็นอันว่าเดินทางมาถึงจังหวัดสงขลา สงขลานี่ก็น่าคิด
    เอาไว้พูดกันวันหลัง เดินเลาะลัดตัดทางมา เข้าเขตนาทวี นอกจากสงขลา
    นาทวีเป็นเขตประวัติศาสตร์ ก็เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๐
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการ
    ตรัสสั่งให้พ่อนั่ง ฮ. ไปเยี่ยมตำรวจตระเวนชายแดน
    ตำรวจ นปภ. เอ้ยตระเวนชายแดนที่นั่น ก็พอดีมีข่าวว่า พวกผู้ร้าย
    เขาจะเข้าโจมตีตำรวจตระเวนชายแดน พ่อมานึกสังหรณ์ใจ
    จึงได้บอกกะเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมฐาน เจ้าหน้าที่คุมฐานก็บอกขนลุก
    เพราะวานนี้เองได้ยินข่าวมาว่าเขาจะเข้าโจมตี ในที่สุด
    จึงได้ให้กำลังใจแก่พวกเธอว่า เมื่อพวกเรามีความกตัญญูกตเวที
    ต่อบ้านเมือง มีระเบียบวินัย ข้าศึกไม่สามารถจะทำได้
    ในที่สุด ข้าศึกก็ไม่มีโอกาสจะทำได้จริงๆ นี่เป็นอันว่า จนกระทั่งถึงวันนั้น
    ถึงวันนี้
    ข้าศึกก็ยังไม่ตี เวลาที่เข้านาทวีก็รู้สึกว่าห่วงอยู่นิดๆ คัดรถวิ่งมา
    ผ่านหน้าวัดหลวงปู่ทวด ก็พอดีนทีคนขับรถประจำ เขาเปิดไฟขอทาง
    เหม่ซึ่งวิ่งมาข้างหน้าเจ้าต่องแต่ง ก็หยุดรถ วิ่งไปถามว่า หลวงพ่อเรียกผมหรือ
    นทีก็บอกว่าไม่ได้เรียก ผมเปิดไฟขอทางรถที่สวนมา เป็นอันว่า
    พอดีถึงวัดหลวงปู่ทวด เหม่ก็คิดว่า จะแวะวัดหลวงปู่ทวด เราก็ร้อนหนัก
    เพราะไม่อยากจะแวะ หลวงปู่ทวดจะไหว้ท่านที่ไหนก็ได้ หลวงปู่ทวด
    เป็นพระที่มีความสำคัญองค์หนึ่ง คือว่าหลวงปู่ทวดเขาลือว่า เหยียบน้ำทะเลจืด
    แต่ว่าจืดเป็นจุดที่ท่านเหยียบบริเวณใกล้ๆ สำหรับหลวงปู่แดงจังหวัดเพชรบุรี
    ท่านบอกว่า ท่านมีอำนาจยิ่งใหญ่กว่า ท่านสามารถเหยียบน้ำจืด
    ทางแม่น้ำเพชรบุรีให้ออกมาทะเล เค็มทั้งทะเล นี่เป็นการพูดสนุกๆ
    กันไปสำหรับพระผู้ใหญ่ แต่ความจริงหลวงปู่แดงก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน
    ท่านเป็นพระเต็มพระที่ควรแก่การสักการะบูชา สำหรับหลวงปู่ทวดนี่
    ทราบมาว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ ก็ต้องคิด พระที่ปรารถนาพุทธภูมินี่
    ต้องคิดมาก ถ้าไม่คิดก็เสร็จ

    เดินทางต่อมา เข้าถึงเขตทางแยกปัตตานี-นราธิวาส
    ซึ่งไปทางซ้าย แยกมายะลามาทางขวา คราวนี้
    เราเข้าเขตสุดเขตของประเทศไทยภาคใต้ ไปถึงจังหวัดสงขลา
    แล้วออกไปอีกนิด ไปทางสะเดาก็ออกด่านปาดังเบซาร์ หรือว่านั่น
    ทางนั้นมีสองด่าน จังโหลนกับปาดังเบซาร์ ทางนี้ก็มีสุไหงโกลก
    ข้ามไปปัตตานีถึงนราธิวาส ชายทะเล เป็นเขตของประเทศไทย
    เป็นอันว่าขบวนของเราเดินทางทั่วประเทศปีนี้ ภาคเหนือสุดเชียงราย
    แม่ฮ่องสอน เดินทางล่องใต้มาถึงจังหวัดชายแดน
    ภาคตะวันตกจังหวัดกาญจนบุรี เรานำของไปแจกถึงที่นั่น
    บางทีตัวจะไม่ได้ไป แต่ของไป ภาคตะวันออกทั้งสาย
    ภาคอีสานทั้งสิ้น เป็นอันว่าแผ่นดินไทย
    พ่อต้องเดินทางทั่วแผ่นดินมาหลายปีแล้ว
    ตามคำบอกเล่าไม่ทราบว่าใคร ท่านร้องมาในคราวนั้น เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๗
    ที่จังหวัดชุมพร ว่าเจ้าเฒ่า กรรมเก่ามาถึงเอ็งแล้ว
    เอ็งจะต้องเดินทางทั่วประเทศ นี่มันก็ทั่วจริงๆ ครั้นมาถึงจังหวัดยะลา
    ปรากฏว่ามีข่าวว่า เทปบันทึกเสียงของพ่อได้มีโอกาสออกอากาศที่
    ปชส. ของจังหวัดยะลา และปรากฏว่า ท่านเจ้าหน้าที่หัวหน้าฝ่ายสถานี
    กับหัวหน้าฝ่ายคุมเครื่อง ท่านมาหาพ่อ ท่านก็บอกว่า
    เป็นความประสงค์ของท่าน ท่านต้องการจะใช้นทีธรรม
    หรือเวลาทองขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกอากาศ
    แต่ก็ไม่สามารถที่จะไปหาถ้อยคำการบรรยายธรรมะของบุคคลผู้ใด
    ให้เป็นที่ถูกใจของประชาชน พอดีระพีลูกพ่อได้มีเทปของพ่อมา
    จึงได้มอบเทปไว้ให้กับทางสถานี ทางสถานีก็นำออก เห็นทางสถานี
    นายสถานี ผู้ควบคุม ท่านบอกว่า เป็นที่สนใจของประชาชน
    พ่อก็ดีใจ ไม่ใช่ดีใจในความสามารถของพ่อ
    แต่ดีใจที่กระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เข้าถึงใจคน แล้วคนผู้รับฟังท่านก็มีกำลังน้ำใจเป็นมหากุศล
    เรียกว่าคนดีทำดี ก็เลยเข้าถึงกันได้ เป็นที่ชอบใจ
    ธรรมะก็เหมือนกับเพื่อนรัก แต่คนถ้าไม่รักกันก็คบกันไม่ได้
    ถ้ารักกันเมื่อไร คบกันได้เมื่อนั้น

    ฉะนั้น ชาวจังหวัดยะลาก็ดี ปัตตานีก็ดี นราธิวาสก็ดี พัทลุงก็ดี
    ตรังก็ดี สงขลาก็ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    สถานีของยะลาคือ ปชส. มีกำลัง ๕๐ กิโลวัตต์ ท่านกล่าวว่า
    ฟังได้ถึงจังหวัดเชียงราย แต่ท่านผู้ควบคุมสถานีที่เป็นผู้ใหญ่ชั้นเอก
    ท่านบอกว่ารู้สึกว่าเป็นที่สนใจของประชาชน พอดีพ่อมานอนอยู่ถึงคืนที่ ๒
    คืนที่ ๑ ก็นั่งคิดดูว่า วันรุ่งขึ้นจะพูดถึงประวัติการเดินทางต่อมา
    แต่เวลาเช้ามืดมีเสียงบอกว่า ไอ้เรื่องนั้นระงับไว้ก่อนนะ
    เพราะว่าเรื่องสำคัญต้องมีอยู่ พ่อฟังแล้วพ่อมองดู พ่อก็ไม่รู้ว่าใคร
    พ่อมองไม่เห็น จึงได้ถามท่านว่าจะใช้เรื่องอะไรบันทึกเสียง
    ก็บอกว่า ให้บันทึกเสียงเรื่องน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ที่มีต่อประชาชนภาคใต้และคนทั่วประเทศ พ่อก็ยอมรับว่า
    ถ้าต้องการเช่นนั้นล่ะก็พ่อจะทำตามคำสั่ง แต่ทว่า เมื่อมีคำสั่งมาแล้ว
    เวลาจะทำก็ต้องช่วยกัน เสียงนั้นบอกว่า ไม่เป็นไร
    ถ้าสิ่งใดเป็นการสมควรฉันจะช่วย เมื่อทำการบันทึกเสียงวันเดียวเสร็จ
    ซึ่งไม่เคยทำมาก่อน ๖ เทป เอ๊ย ๓ เทป ๖ หน้า
    เรียกว่าเป็นการทำอย่างเร่งรัด ทั้งนี้เพราะอะไรที่ทำได้
    เพราะอาการมาพักที่บ้านระพี เลขะกุลนี่ มีความสุขมาก
    ๑ เธอมีห้องแอร์ให้นอน พระอย่างพ่อ ต้องเป็นพระห้องแอร์
    เพราะอะไร เพราะแออัดก็ได้ หรือว่าแอร์ปรับอากาศก็ได้
    ไปที่ไหนก็ต้องนอนห้องแอร์ทั้งนั้น เวลานั่งก็ต้องนั่งห้องแอร์
    ปรากฏว่าบางทีไม่มีแอร์ปรับอากาศก็แออัด
    เบียดเสียดยัดเยียดกันก็แอเหมือนกัน แต่ที่นี่เขามีเครื่องปรับอากาศจริงๆ
    พ่อเองเป็นโรคความดันต่ำ สมัยหนุ่มๆ พ่อไม่กลัวทั้งร้อน ไม่กลัวทั้งหนาว
    แต่ว่าตอนนี้แก่เฒ่าร่างกายมันกรอบเต็มที ก่อนที่จะมาคราวนี้
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่า ทรงฝากด้วยนะขอรับ
    ก็รับพระราชดำรัสของพระองค์ ว่าเรื่องนี้อาตมาถือว่าเป็นภาระหน้าที่
    ถ้าโอกาสใดจะพึงมีล่ะก็ จะขอทำทันที และก็คิดในใจว่า
    เราจะไปนั่งพูดกับใครหนอให้เขามีความเข้าใจในความสามัคคี
    ก็พอดีได้ยินข่าวว่า ท่านเจ้าหน้าที่ของสถานีโดยเฉพาะหัวหน้าผู้ใหญ่
    ท่านจะมาเป็นข้าราชการชั้นเอก ลืมถามชื่อท่านกับหัวหน้าช่าง
    ฝ่ายควบคุมเครื่อง มาด้วยกัน แล้วในตอนเย็นก่อนหน้านั้น
    ก็ได้มอบจะให้คุณโยมสำราญ คือมอบระพี เลขะกุล
    ว่าขอให้ส่งสถานีวิทยุด้วย ช่วยออกอากาศให้ด้วย
    ถือว่าเป็นการเยี่ยมเยียนบรรดาประชาชนภาคใต้โดยทั่วถึงกันด้วยเสียง
    แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีน้ำพระทัยหวังดี
    มีความรัก มีความปรารถนาดีแก่บรรดาพี่น้องชาวไทยภาคใต้
    และพระองค์ก็ทรงตรัสว่า คนภาคใต้จริงๆ เป็นคนรักถิ่นฐานบ้านช่องและบ้านเมือง
    ไม่มีใครที่จะคิดแบ่งแยกบ้านเมืองออกไปเป็นสัดเป็นส่วนต่างหาก
    และก็ได้บรรยายถึงน้ำพระทัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ได้กระทบกระทั่งกับเสียงระเบิด แทนที่พระองค์จะโกรธใครว่าทำแก่พระองค์
    พระองค์ไม่เคยพูดให้ใครกระเทือนใจเลย จึงนำเรื่องนี้มาพูด
    ให้บรรดาพี่น้องชาวไทยฝ่ายใต้ฟังเพื่อจะได้ทราบพระราชอัธยาศัย
    ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และก็ได้พูดถึงความหวังดี
    ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้ง ศูนย์สงเคราะห์บุคคลผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร
    พูดถึงประโยชน์แห่งการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ว่ามันเป็นปัจจัยของความสุข
    และก็ยังจะพูดไปถึงว่า ความดีของท่านนายกรัฐมนตรี เมื่อได้ทราบว่า
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งศูนย์ขึ้นที่วัด ท่านก็จัดของทุกอย่างที่ต้องการ
    มีข้าวสาร ๒,๐๐๐ กระสอบ เป็นต้น ทั้งน้ำตาลอีกหลายร้อยกระสอบ
    แล้วก็มีพันธุ์ผัก พันธุ์พืชต่างๆ มีน้ำมันสำหรับผัดผักอ้าผัดของ รวมว่า
    ของที่มีความจำเป็น ท่านช่วยถ้าออกปาก นี่เป็นอันว่า และก็พูดถึงนโยบายของรัฐบาล
    กับพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ลงกันได้ รวมกันได้
    นั่นคือระบบชลประทานขนาดย่อม ภายในปี พ.ศ.๒๕๒๑ และต่อไป
    คณะรัฐบาลกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเห็นตรงกัน
    ซึ่งรัฐบาลจะตั้งงบประมาณสนับสนุนพระราชประสงค์
    ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่วางโครงการชลประทานขนาดใหญ่ทั่วประเทศ
    จะให้เขตไทยทั้งประเทศมีความอุดมสมบูรณ์ มีความเป็นอยู่เป็นสุข มีข้าวพอกินทั้งประเทศ
    แล้วก็พอขายกับต่างประเทศด้วย ช่วยให้คนไทยมีความสุข จะทำนาเมื่อไร
    จะปลูกไร่เมื่อไร จะมีน้ำใช้ตลอดปี อันนี้จัดว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ดี ที่ไม่เคยมีรัฐบาลใดๆ
    ที่จะร่วมมือกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแข็งแรง
    อย่างรัฐบาลของท่านพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ พ่อว่าดีที่เวลาที่ท่านทำดี
    หากว่าท่านทำไม่ดีเมื่อไร เราก็ต้องตำหนิเมื่อนั้น นี่ว่ากันถึงรัฐบาล
    แต่ก็เคยบอกแก่ท่านนายก พูดกะท่านโดยตรง ท่านเป็นคนดีมาก
    พ่อเคยรู้จักท่านมานานหลายปี ท่านนายกคนนี้ท่านเป็นคนพูดน้อย แต่เป็นคนทำจริง
    บางทีพ่อพูดว่า อยากจะขอความปรานี เพื่อบรรดาประชาชนท่านเท่านี้
    ท่านก็บอกว่า หลวงพ่อครับ อย่างนั้นได้ แต่ว่าน้อยเกินไป ผมคิดว่าควรจะได้อย่างนั้น
    ควรจะได้อย่างนี้ ก็เลยเรียนท่านว่า ถ้าหากว่าท่านนายกรัฐมนตรีเห็นชอบด้วย
    มอบให้อาตมาก็ยินดีรับ ท่านก็จัดทันที เพราะท่านไม่ได้พูดแต่ปาก
    ดูหน้าตาของท่านนายกรู้สึกว่าเป็นคนซื่อๆ แต่ลูกรัก
    นัตถิโลเก อะนินทิโต อย่าลืมนะลูก คนที่ไม่ถูกนินทาเลย ไม่มีในโลก
    คนทุกคนในโลก จะทำอะไรถูกเสียทั้งหมดนั้นมันไม่มี ก็อาจจะผิดบ้าง
    เพราะงานมากๆ ทั่วประเทศนี่ จะให้ทำถูกเผงไปทุกอย่าง มันไม่ได้ แม้แต่ห้องเล็กๆ
    ที่เราอาศัยอยู่เพียงห้องเดียว เราคนเดียวก็ไม่ได้สามารถจะทำให้มันดี
    มีระเบียบไปได้ทุกเวลา บางครั้งที่เรามีใจสบายก็จัดห้องให้เป็นระเบียบได้
    บางครั้งที่งานมันยุ่งเข้ามา ไอ้ห้องเล็กไม่ใหญ่
    มันก็ไม่สามารถจะสร้างระเบียบให้มันดีมันเรียบร้อยได้ฉันใด
    แต่งานใหญ่ทั่วประเทศอย่างนายกรัฐมนตรี จะทำให้เป็นที่ถูกใจคนย่อมไม่ได้
    แต่จะเห็นว่า สำหรับนายกรัฐมนตรีคนนี้ ไม่มีมานะทิฐิ น่าชมอยู่นิดหนึ่ง
    ตอนดีพ่อชมนะ ถ้าท่านไปเสียเมื่อไหร่ พ่อไม่ติ เพราะถือว่า เรื่องของงาน
    จะทำให้ถูกใจคนได้ยาก อย่างเรื่องปุ๋ย ทีแรกท่านตั้งกำแพงกั้น เก็บภาษีปุ๋ยเสียมาก
    เพราะว่าโรงงานปุ๋ยในประเทศไทยเรามี สนับสนุนอุตสาหกรรมของไทย
    ต่อมาเรื่องทั้งหลายมันก็กลับโอละพ่อ คือปุ๋ยในประเทศไทยผลิตไม่พอแก่การขาย
    ไม่พอใช้ เป็นอันว่าคนเขาไปร้องบอกว่า ถ้าปิดประตูกัน
    พอการเก็บภาษีปุ๋ยแบบนี้ไม่ให้ปุ๋ยเข้ามาแล้วก็แย่ปุ๋ยไม่พอ
    ท่านพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นความจริง ในเมื่อเขาบอกมาอย่างนั้น
    ก็ต้องรับพิจารณา พิจารณาแล้วเห็นว่า มันจริง เอ้า มันจริงก็ใช้ได้ เลิกเก็บภาษีปุ๋ย
    ปล่อยให้ปุ๋ยเข้ามาขายได้เป็นอิสระ ราคามันจะได้ถูก ชาวนาชาวไร่ที่ยังใช้ปุ๋ย
    จะได้ใช้ปุ๋ยไม่แพง นี่ คนประเภทนี้แหละลูกรัก เขาเรียกกันว่าคนดี
    ความจริงพ่อไม่ได้ยอนะ แต่ว่าท่านนายกท่านจะไปชั่วตรงไหน
    พ่อยังไม่เจอะนี่ ถ้าใครเขาพบความชั่วของท่านแล้ว
    ท่านจะคิดว่า แหม อีตาหลวงตานี่มาเชียร์นายก ซึ่งเป็นคนเลว อันนี่
    พ่อก็ต้องขออภัยคนประเภทนั้นด้วย เพราะพ่อยังไม่เห็นความชั่ว
    ถ้าเห็นความชั่วเมื่อไรอาจจะติก็ได้ แต่นี่เห็นความดี ก็ต้องชมกันไปก่อน

    เป็นอันว่ายะลา เป็นจุดหนึ่งแห่งความสุข พ่อเดินทางมาที่นี่ ลูกระพีก็ดี
    คุณหมอบุณยสิทธิ์ก็ดี โยมสำราญก็ดี และทุกคนต่างให้ความสะดวกสบาย
    ให้ความ เรียกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถจะช่วยได้
    ช่วยให้มีความสะดวก มีความสุข รู้สึกว่าต้องขอบคุณทุกๆ ท่านที่มีความดี
    แล้วในขณะเดียวกันนี้ พ่อก็ต้องขอขอบใจลูกของพ่อทุกคน
    ที่ลูกทุกคนอยู่ในโอวาทจริงๆ ไม่ว่าชายไม่ว่าหญิง
    ตลอดจนทั้งเจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร ท่านเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดรถมา
    ทุกคนนี่เป็นคนดีจริงๆ ไม่เป็นคนนอกโอวาท ไม่ถืออิสรภาพตนจนเกินพอดี
    พูดอะไรกันเพียงคำเดียวเท่านี้ บุคคลรับฟัง ทุกคนรับฟัง พ่อรักและพ่อชื่นใจมาก
    ดีใจที่คนทุกคนของพ่อเป็นคนดี ต่อตลอดจนกระทั่งลูกระพี ที่อยู่ไกลถึงยะลา
    พวกเราจะมากันกี่คนก็รับหมด และก็ปรากฏว่าให้ความสะดวกสบาย
    จุดที่น่าเสียดาย ไม่ทราบว่าวัดอะไรนะ ลืมถามเขาซะแล้ว เขาบอกชื่อวัดจำไม่ได้
    ที่พวกเรามาได้ไปพักอาศัย พ่อไม่มีได้มีโอกาสไปขอบคุณขอบใจท่านเลย
    และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายเสียแล้ว ลืมไป ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพ่อมา
    จากเดินทางมา ออกจากคลองวาฬ นับตั้งแต่นั้น รู้สึกว่าร่างกายมันไม่สบาย
    มันกวนใจกวนประสาทอยู่ตลอดเวลา ประสาทก็มึน มาจับลีลาได้
    ต่อเมื่อมาพักอยู่ที่บ้านระพี คือเมื่อวันที่ ๒๔ ตอนเย็น
    ว่าอาหารในท้องที่กินเข้าไปก่อน มันออกมาไม่หมด เอาออกมาไม่หมดก็ปรากฏว่า
    มันก็ยันไม่ให้อาหารใหม่เข้า แล้วมันก็เข้าไปกวนประสาท ทำเวียนไปมึนมา
    เป็นอันว่าความสุขทางกายไม่มี แต่ว่าความสุขทางใจมีมาก
    ทั้งนี้ ก็อาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสำคัญ
    ที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระมหากรุณาธิคุณ
    ทรงสั่งสอนให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์
    ทรงสั่งสอนให้รู้จักสภาวะของร่างกายและสังขาร ว่าร่างกายมันเป็นอนิจจัง
    หาความเที่ยงไม่ได้ ร่างกายมันเป็นทุกขังถ้าเราไปยุ่งกับมัน ใจเราก็เป็นความทุกข์
    ร่างกายมันเป็นอนัตตา มันจะเป็นยังไงขึ้นมาเราก็ห้ามไม่ได้ นี่อย่างหนึ่ง
    อีกอย่างหนึ่งพระองค์ทรงตรัสว่า ร่างกายเป็นโรคะนิทธัง มันเป็นรังของโรค
    ทุกคนต้องมีโรคทั้งหมด ขึ้นชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บของร่างกาย มันมีเป็นของธรรมดา
    และอีกศัพท์หนึ่งท่านว่า ร่างกายเป็นปะภังคุณัง มันจะต้องเปื่อยเน่าเป็นธรรมดาในที่สุด
    นี่คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พ่อจำได้
    และก็ไม่ลืมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร
    ว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า ถ้าเราต้องการหมดความทุกข์
    ต้องมีต้องการมีความสุข ก็จงอย่าคิดว่าโลกนี้เป็นของเรา
    ทรัพย์สินทั้งหมดในโลกนี้เป็นของเรา ร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรา
    ร่างกายของบุคคลอื่นเป็นพวกเรา เป็นของเรา จงคิดว่า
    ร่างกายมันเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ เข้ามาประชุมกัน เห็นร่างกายภายใน
    คือร่างกายของเรา ก็ทำความรู้สึกแต่เพียงสักแต่ว่าเห็น คือไม่สนใจ ไม่ยึดถือว่า
    มันกับเราจะอยู่ด้วยกันตลอดกาลตลอดสมัย ตัดความโลภเสียด้วยการให้ทาน
    ตัดความโกรธเสียด้วยการเห็นใจซึ่งกันและกัน ตัดความหลงคือ
    ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง ลูกชายและหญิง
    ถ้ามีอารมณ์ได้อย่างนี้ทั้งหมด ก็ปรากฏว่าทุกคนจะมีกำลังใจเป็นสุข
    ทุกคนจะหาความทุกข์ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะมีใจสบาย
    อารมณ์ใจของเราจะสบายได้เมื่อเรายอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
    สมมติว่าตอนเช้าพระอาทิตย์ขึ้น ตอนเที่ยงพระอาทิตย์ร้อนจัด
    ตอนเย็นพระอาทิตย์หายลับ ตอนกลางคืนความมืดเข้ามาถึง
    ถ้าเรารู้ว่าอย่างนี้มันเป็นปกติ เราก็ไม่มีความหนักใจ เมื่อค่ำลงไปเมื่อไหร่
    เราก็หาตะเกียง หาไฟเข้าไว้ เพื่อจะทำแสงสว่างให้ปรากฏ
    เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตก็มีแสงปรากฏคือแสงไฟสว่างแทน
    มันก็หมดความหนักใจ เวลาเช้าพระอาทิตย์ขึ้นมาใหม่เราก็ดับไฟ
    เตรียมตัวไว้เวลากลางคืน เวลาตอนกลางวัน เที่ยงจัด ก็ปรากฏว่า
    อากาศมันร้อนจัด เราก็รู้อยู่แล้ว น้ำใจของเราก็มีแต่ความผ่องแผ้ว
    ไม่มีความกลัดกลุ้ม เพราะมันจะร้อนยังไงก็ตามที ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่มีมาทุกวัน

    เอาล่ะบรรดาลูกรักทั้งหลายของพ่อ ถ้อยคำขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร
    บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนี้ ถ้าทุกคนปฏิบัติได้
    กำลังใจของลูกจะมีความสุข ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่า ใจเราจะสบาย
    เพราะยอมรับนับถือกฏของความเป็นจริง ถ้าลูกรักทั้งชายและหญิง
    พยายามตัดโลภะคือความโลภ โทสะคือความโกรธ โมหะคือความหลงเสียได้แล้วทุกคน
    ทุกคนจะมีแต่ความสุข และก็มันเป็นความสุขที่เราคิดไม่ถึง มีบางคนว่า
    มันจะมีความสุขได้ยังไง ความสุขอันนั้นจะมีความรู้สึกประการใด
    อันนี้อธิบายไม่ได้จริงๆ ลูก ร่างกายมันจะปั่นป่วน ร่างกายมันจะผันผวน
    อาการต่างๆ มันจะรุกราน แต่รู้สึกว่าถ้าใจของเรานี้นั้น เป็นใจที่ปราศจากความโลภ
    เป็นใจที่ปราศจากความโกรธ เป็นใจที่ปราศจากความหลง
    ขึ้นชื่อว่าความผันผวนใดๆ ที่เกิดขึ้นกะร่างกาย หรือว่าอารมณ์ต่างๆ
    ที่มากระทบกระทั่ง มันจะเป็นยังไงก็ช่าง ใจมีความสุข

    มองดูเวลาลูกรัก สำหรับเนื้อเทปยังคงเหลืออยู่ แต่ทว่ามองดูเวลาที่ควรจะพูด
    เวลามันบอกว่าเวลานี้ สมควรแล้วที่จะงด เรื่องใดก็ตามที่ยังไม่หมดก็คือ
    เรื่องกลับไปสงขลา พ่อไม่อยากจะพูดอะไรให้ละเอียดนัก เพราะเกรงว่า
    มันจะมีความรำคาญเกินไป ในที่สุด จงทราบตามกำลังใจของพ่อว่า
    พ่อต้องการให้ลูกทุกคน มาคราวนี้รู้จักสถานที่ๆ เราจะทำประโยชน์ให้แก่ชาติ
    ศาสนา พระมหากษัตริย์และปวงชนชาวไทย ไม่ใช่มาเที่ยวหาความสุข
    หาความสบาย เรามาช่วยกันตั้งใจสร้างสรรค์ความเจริญ ให้แก่ชาติ
    ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชาวไทยทั้งหมดจนกว่าจะสิ้นลมปราณ
    สำหรับเวลาหมดแล้วลูกหลาน พ่อขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์
    พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ลูกทุกคน สวัสดี
     
  20. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +640
    20.คุยกับลูกหลานก่อนเดินทางกลับ.mp3
    มีลาดบริเวณนั้นนะซัก ๔-๕ วา เป็น เป็นบริเวณกว้างนะ
    ก็มี เข้าไปก็มีหินกั้นเป็นช่อง ช่องนี่ก็ซักวาเศษๆ
    อีตอนที่บริเวณกว้างเนี่ย มีพี่ชายเขาอยู่ที่นั่น เขาตัวขนาดนี้ล่ะมั้ง
    โตกว่า...สักหน่อย ขดกลม พอโผล่เข้าไปเขาก็มองดู ชูหัวดู
    แลบลิ้นแผล็บๆ เอ้าพี่ชาย ขออนุญาตชม ไม่เอาอะไร
    พอเดินพอทะลุไอ้ประตูนั้นเข้าไปแล้ว ก็เจอะพระพุทธรูปองค์หนึ่ง
    หน้าตักประมาณ ๒๐ นิ้วกว่าๆ เป็นพระพุทธรูปทองคำล้วน
    ทองสวยมากโยม พอเราเข้าไปกราบๆๆ เขาก็ชะเง้อดู
    พอเข้าไปจับ แลบลิ้นแผล็บๆๆ บอกพี่ชาย ขอชม เขาก็วางหัวตามเดิม
    มีทางให้เข้าไปข้างในในบริเวณของอีก ก็เป็น เป็นห้องอีกห้องหนึ่ง
    ก็มันก็เป็นคล้ายๆ มีประตูอีกจุดหนึ่ง เข้าไป โอ้ย ไอ้นี่กว้างมาก
    ใครจะปลูกบ้านธรรมดา บ้านชาวบ้านธรรมดาได้ซัก ๔-๕ หลัง
    (โอ้โห) กว้าง ในนั้น โอ้โห งงเลยโยม มงกุฎเอย เพชรพลอย พวกทองนี่
    โอ้โหเยอะเลย พอเราเข้าไปดูปั๊บ พี่ชายเขาก็เดินตามมาดู
    เดิน โอ้โหยาวเหยียดเลย พอเดินเข้าไป ไปหันหน้ามา เขาชูหัวขึ้นมา
    ชูขึ้นมาสูง บอกไม่มีใครแตะต้องอะไร ขอชม เขาขด....เฝ้าตามเดิม
    เราก็เดินกันทั่ว แหมมัน ทองเยอะ ทองกับเพชรนี่เยอะมาก .... สองข้าง
    ไอ้หินนี่วางเป็นระเบียบดีมาก วางเป็นระเบียบ มีกระทั่งมงกุฎ
    มีพระแสง อะไรเนี่ย มงกุฎก็ประดับเพชรแพรวเลย

    แต่ว่า สั่งทุกคนบอกห้ามจับต้อง อีตอนนั้นกำลังมางาน...แถวนี้เองแหละ
    ไปนอนบ้านคริสต์ที่เลยนี่ไปหน่อย ๑๓ กิโล ใช่มั้ย ไปที่นอนบ้านเขาแล้วกลับมา
    ก็คุยก็ชวนกัน เราก็มา มาดูอะไรกัน ดูอะไร พอไปเจอะยังงั้นเข้ามันตกใจเลย
    ไอ้พวกนั้นไปใส่บาตร เดี๋ยวนี้ใส่บาตรกันเป็นแถวล่ะเดี๋ยวนี้ มาทำบุญเข้าวัด
    ...ใส่บาตรหน้าบ้าน อันดับแรก หัวหน้าเขาบอกว่าอย่าเพิ่งใส่บาตรหน้าบ้าน
    เพราะว่า...เดี๋ยวนี้มันใส่บาตรหน้าบ้าน ทำบุญบ้านกัน แล้วบ้านอยู่ติดๆ กับวัด
    พอขึ้นจาก...ดูหน่อยก็วัดคริสต์ใช่มั้ย เลยไปอีกนิดไปหน่อยก็คริสเตียน
    นี่เป็นอันว่า สมัยนั้นมีมงกุฎพิเศษอยู่อัน ถ้าคนใส่มีผมมากเนี่ยจะใส่ไม่ได้
    (หัวเราะ) มีเพชรแพรวเลย (หัวเราะ) ถึงตอนนี้พอดี ก็เลยถามเขาว่า
    เรื่องราวมันเป็นยังไง แล้วก็ทำไมจึงต้องเอาของกษัตริย์มาไว้ที่นี่
    กษัตริย์ผู้นี้มาจากไหน อันกษัตริย์ผู้นี้ก็คือเป็นกษัตริย์ที่ครองเมืองกุยบุรี
    สมัยก่อนเป็นเมืองเล็กๆ อยู่ในไทย แต่พวกนครศรีธรรมราชยกทัพมาตี
    เห็นท่าว่าจะสู้ไม่ได้ สู้ได้หรือไม่ได้ กันก่อน เพราะเราเป็นเมืองเล็ก
    เอาของไปเก็บไว้ ในที่สุดก็สู้เขาไม่ได้ เมื่อสู้เขาไม่ได้
    เขาคุ้ยทรัพย์สินในประเทศมันก็ไม่มีอะไรมาก เพราะของมีค่าใหญ่อยู่ที่นี่
    ไอ้เงินนี่ยังไม่เป็นเงินเหรียญ มันเป็นเงินแท่ง
    เป็นเงินแท่งแต่ว่าไม่ใช่แท่งยาวอย่างที่พวกเราเห็นที่เงินแท่งกัน
    มันเป็นเงินแท่งสี่เหลี่ยม สี่เหลี่ยมก็ ตรงหัวเนี่ยมันจะมีคอดๆ
    หน่อยและมีตรา (อ๋อ ใช้ ใช้อย่างนั้นเลยหรือคะ)
    เออนั่นแหละ เขาก็แลกแบบนั้นเลย เอาทองคำเนี่ย โอ้โห โยมเอ๊ย
    ลมจะจับตาย เราเคยเจอะไอ้ ไอ้ทองคำแท่งๆ เป็นลิ่มๆ ใช่มั้ย
    ขากลับเดินไม่ไหว (หัวเราะ) ไอ้พวกเด็กๆ นะ ไม่ใช่เรานะ (หัวเราะ)
    ไอ้พวกคริสเตียนพวกเด็กๆ เดินไม่ไหวเลย ถามทำไม แหม
    มันเสียดายทองคำเขา (หัวเราะ) (มีของเก่าพวกเราอยู่นั่นหรือเปล่า)
    มี ของฉัน (หัวเราะ) (พูดจริงหรือเปล่าคะ) อ้าว เดี๋ยวก็...(หัวเราะ)
    (จะได้ขอเป็นเงิน) อ้าว เดี๋ยว ถามเจ้าของเขามาหรือเปล่าหว่า
    ...ดูซิมีของมาหรือเปล่า (เป็นของเก่า ขอแลกเป็นเงิน)
    ...ใช่ๆ นี่ นี่เข้าไปในนี้ลึก สูงมาก ปลูกบ้านได้ตั้งหลายหลัง
    (ถ้าเจ้าของเขากลับมาก็คงได้นะ) อ้า ก็เห็นจะไม่ใช่เจ้าของหรอก
    ทรัพย์นี่จะใช้ได้สมัย ร.๑๐ (โอ้โห) เขาบอกเดี๋ยวนี้แหละ (ไม่ช้านะ)
    ไม่ช้า เนี่ย เพราะพอถามเดี๋ยวนี้เขาบอกเดี๋ยวนี้เลย (อ๋อ)
    เขาบอกรุ่นๆ ร.๑๐ นี่ เขายังบอกว่า มันมีทรัพย์สินมากกว่าเท่าที่เห็นนี้มาก
    ทรัพย์สินที่ต้องขึ้นมาให้ได้นะ อันนี้ทองคำมหาศาล ... เขาเพิ่งบอกเดี๋ยวนี้นะ
    ทีแรกยังนึกว่าเจ้าของ เจ้าของที่มานี่เป็นพรหมทั้งนั้น
    (อาจจะมีพวกเราเพิ่มมั่งก็ได้นะ) (หัวเราะ) ระยะนี้ไม่ไกลนะ
    เพราะก่อนหน้าที่พระเจ้ารามคำแหงจะมาตีเพียงแค่ระยะประมาณ ๑๐ ปีเศษ
    หา (มาตีที่นี่) ไม่ใช่มาตีที่ ที่กุยบุรี (๑๐ ปีนี่แน่ หรือคะหลวงพ่อ หนูก็เกิดแล้ว)
    สิบปี (พระเจ้ารามคำแหง) แกเกิดทันพระเจ้ารามคำแหงเรอะ (หัวเราะ)
    (...มันเกิดก่อน) ทีนี้เป็นกลุ่มคนไทย กลุ่มคนไทยอยู่ที่นี่ตลอด
    กลุ่มคนไทยที่ลงมาทางด้านพวกเมืองปาลงมา มาทางอ้า มาทางพม่านะ
    มาก็มาทางทวาย มามะริดเนี่ย แล้วมาลงมาทางกำแพงเอ้อ
    มาทางเพชรบุรี คือเขาลงก่อนทางด้านโน้น

    วันโน้นที่ไปนอนที่หัวหิน ที่เข้าไปนอนคุย ฟังพูดถึงเรื่องน้ำมันเนี่ย
    แล้วพวกผู้หญิงเขามาก่อน เขามาเล่าให้ฟัง คุณเสริมแกก็เลยได้ยินว่า
    ไอ้ ไอ้พันจ่านั่น มันมีพี่สาวมานอนอยู่ที่นี่คน บอกไอ้ห่านี่
    เอาผู้หญิงมานอนด้วย มึงบอกว่าพี่สาว คุยตั้งแต่คืนยันรุ่ง
    เห็นผู้หญิงคนผู้ชายคน แต่ความจริงผู้หญิงเขาคุยกับฉัน ผู้หญิงผี
    มากันสามสี่สิบเลยมั้ง แล้วพวกผู้น้ำผู้ชายจึงเข้าไปเล่าประวัติอีกทีหนึ่ง
    แต่ทีหลังก็เสียงผู้ชาย ผู้ชายก็ห้าวๆ เสียงผู้หญิง ผู้หญิงเขาก็เล็ก
    เสียงนิ่มๆ นวลๆ ทีนี้แกตอนดึก พอเช้าออกไปแกบอก
    แหม ไอ้ระยำนี่ เรานอนไม่หลับเสียทั้งคืน ถามทำไมล่ะ
    แหม มันเอาผู้หญิงมานอนด้วย บอกคุยกันทั้งคืน
    บอกจะคุยบ้าบออะไรก็ไม่รู้ ไอ้เราก็นึกในใจบอกเดี๋ยวก่อน
    จะค้านแกก็ไม่ควร เลยเรียกไอ้พันจ่านั้นขึ้นมา พอขึ้นมาก็ถามไอ้หนู
    น้ำร้อนต้มเดือดหรือยัง บอกยังครับ เพิ่งตั้งเมื่อกี้นี้
    ก็บอกไม่ไม่ต้องเร่งหรอกนะ ไปทำตามสบาย พอลงไปแล้วถามเสริม
    เสียงเหมือนกันหรือเปล่า ความจริงเราไม่ต้องการน้ำร้อนอะไรหรอก
    ให้คุณเสริมเห็นว่าไอ้เสียงเนี่ย มันไม่เหมือนกัน
    เขาบอกไม่เหมือนครับคือเสียงห้าว ก็เสียงห้าวเขาคุยกับฉันนี่
    เขามีผู้หญิงอยู่ด้วย ไอ้แกมันเอาจิตใจไปโทษไอ้ลูกศิษย์ข้างล่างนั่นน่ะ
    ความจริงมันอยู่ข้างห้อง เสริมมันนอนหน้าห้อง ฉันอยู่ในห้อง (หัวเราะ)
    แล้วใครล่ะลูกน้อง ไอ้นั่นมันเป็นพันจ่า ไอ้นี่เป็นนายพล
    จะมานั่งแกล้งคุยกันให้ได้ยินขนาดนั้น ใช่มั้ย (กลัวติดตะราง)
    ใช่ๆๆๆ ดีไม่ดีเขาเขม่นขึ้นมานี่ เดี๋ยวก็ลืมขึ้นเงินเดือนซัก ๓ ปี (หัวเราะ)

    นี่เป็นอันว่า เมื่อกี้ท่านมาบอก บอกว่าสมัย ร.๑๐
    แต่เห็นจะเป็นระยะกลางซักหน่อยนะ เมื่อกี้ใครถามนะ
    บอกว่าสมัยไหนน่ะ เจ้าของเขามาใครถาม ไอ้เปี๊ยกหรือใครล่ะ
    โยมถามก็พอดีเขาตอบเลย ว่าไม่ใช่หรอก ร.๑๐ นู่นคุณ เขายังบอกว่า
    ทองนี่มีมหาศาล เป็นอันว่าบริเวณที่เรานั่งเนี่ย ๒ นิ้ว เอามั้ย ... ไม่ใช่
    นี่มีเยอะ อันนี้ทอง ทองที่จะมีเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ทองแท่ง
    (หนูนึกว่าอยู่เฉพาะในถ้ำ) ไม่ใช่ ไอ้นั่นถ้ำมันเป็นที่เก็บ
    แต่ว่าส่วนที่เราเห็นนี่ยังไม่พอ จริงๆ เขาบอกว่าสิ่งที่เห็นเนี่ย
    ยังมันยังไม่ได้ ๑ ใน ๔ (คือคล้ายๆ เก็บเป็นคลัง) เก็บเป็นคลัง
    ใช่ เก็บเป็นคลัง และใหญ่มาก ทีนี้เขาบรรจุทองแท่งเนี่ยเยอะ
    มันมีอีกจุดหนึ่งที่บอกว่าเข้าไปแล้ว วันนั้นท่านไม่ได้
    ท่านไม่ได้ให้เลี้ยวไปทางซ้ายมือ เวลามันหมด แต่ได้ยินเขาบอกว่า
    ท่านไม่ได้ให้เลี้ยวไปทางซ้ายมือ ซ้ายมือมันจะเป็นหินเรียบอยู่อย่างนี้
    ถ้าเข้าไปมันจะมีช่องไม่โตนัก ก็เข้าไป เข้าไปจะเป็นช่องกว้างอีกเป็นห้อง
    อันนี้เก็บทอง เก็บทองเก็บเพชรมหาศาล เป็นหนึ่งในทุนสำรอง
    ไอ้ส่วนที่วางไว้จุดนั้น ก็มันเป็นเครื่องของกษัตริย์ เพราะฉะนั้น
    เขาแยกกันไว้สองจุด เอาเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
    และทรัพย์ที่ใช้เพื่อประเทศ นั่นเขาเรียกพระคลังข้างที่
    (หลวงพ่อ แล้วในนั้นมืดมั้ยคะ) ไม่มืด เราเข้าไปไม่มืดหรอกเปี๊ยก
    มันมีปล่องลงมานะ มันมีปล่อง มันเป็นปล่องสว่างและอากาศดี
    ลมมาฉิวเลย รึใครทำให้ฉิวก็ไม่รู้ ...
    ก็ฉิวเหมือนกัน นอนลงไปแล้วก็วิ่งฉิว ปรากฏว่างูไล่
    (เราก็บอก หลวงพ่อ ลูกศิษย์หลวงพ่อ อย่ามางาบ) เขาไม่ได้เขียนว่างูหลอก
    แต่งูจริงเขาไม่ได้เขียน ฉันเห็นงูเฉยๆ มันจริงหรือหลอกฉันไม่รู้
    ฉันไม่ได้เขียนต่อ พวกท้าววิรุฬหก วิรูปักษ์
    (เราลงไปถึงบอก อิฉันลูกศิษย์หลวงพ่อฮ่ะ อย่าทำเลย) (หัวเราะ)
    พอหยิบอะไรนี่บอก...ถามหลวงพ่อสั่งมาหยิบรึเปล่า (หัวเราะ) บอกเปล่าๆ
    ตบหน้าเพียะ เอาหางตบหน้า (หัวเราะ) แล้วน่ากลัวสลบไป ๘๐ ปี
    เป็นเจ้าหญิงนิทราไปเลย (หลวงพ่อคะ แล้วตัวหลวงพ่อลงไป
    แล้วพวกทางข้างบนนี่ไม่แปลกใจเหรอคะ หายลงไปนาน)
    เอ้ย ไปหมด (เหรอคะ) ชวนไปหมดกรุ๊ปเลย ไปให้มันดู
    เรานำไปบอกทุกคนตามฉันมา (ย่ามเยิ่มเลยเปียกหมด) อ๋อ ย่ามวางไว้บนนี้
    ให้เขาลูกพี่เฝ้า ลูกพี่เดินเก่ง ลูกพี่เฝ้านาน เข้าไป เข้าไปเป็นชั่วโมงเลย
    (โอ้โห ขึ้นมาเลยเปียกหมดเลย)

    ...สามสิบเศษโยม (แล้วเขาไม่คุยเหรอเนี่ย) เขา เขาคุยสิ ถึงบอกว่า
    ผมปิดนะครับ ท่านพาคนมาเห็น แล้วพอไปได้ไม่เกินเดือน
    ปีหน้าผมปิด มันก็มาจะสิ้นปีอยู่แล้ว มาธันวา จะสิ้นปีเอาปีหน้าผมปิด
    ไอ้พวกบ้านนั้นได้ยินเสียงครืดๆๆ หินลงเนี่ย เช้ามาดูกัน
    ปากถ้ำถล่ม (คงคิดจะกลับมามั้ง) ใช่ๆ ไอ้เจ้านั่นก็ต้องเอาแน่
    แต่ปัญหามีว่า เขาต้องหาอาวุธมายิงงู อันดับแรกนะ แต่ถ้ายิง
    พวกนั้นก็ตายหมด เพราะงูนี่ไม่ใช่งูจริง เป็นงูเทวดา
    ...ท้าววิรูปักษ์หรืองูไง ถ้ามีทอง มีทรัพย์สินที่ไหน
    ก็ต้องประชุมหมดทั้ง ๔ ทิศ ทั้ง ๔ ด้าน ท้าวธตรฐ
    วิรุฬหก วิรูปักษ์ ท้าวเวสสุวรรณ ก็ส่งลูกน้องมาประจำ
    ประจำตามจุดแล้วก็ยังประจำห่างเป็นกิโลๆ เลยนี่อีก
    (โอ้โห) ฉะนั้น เขตของที่ที่มีทรัพย์สินนี่ พวกชาวบ้านที่ตั้งศาลพระภูมิ
    ก็ควรจะตั้งศาล ๔ เสา เพราะพวกนี้อารักขา (เวลาคนเขาฝังไว้...)
    ไอ้นี่มันเป็นหน้าที่ (อ๋อ) เป็นหน้าที่ตรง ท้าวจตุโลกบาล
    คือเป็นหน้าที่ตรงที่จะต้องอารักขา ไม่ใช่ไว้เพื่อให้ใคร นี่ถ้าว่า
    มีทรัพย์สินร่วมกันอยู่หลายคน ถ้าบังเอิญ ไปข้างหน้าเจอลายแทงนะ
    เขาบอกมีลายแทงบอกไว้ผีบอกเนี่ย จะต้องเอาได้เฉพาะตามส่วนเท่าสูงสุด
    นอกเหนือจากนั้นเก็บ

    ก็มีเรื่องเกิดขึ้นที่สามชุก อาตมาประมาณอายุได้ ๑๔-๑๕
    ก็มีเรื่องเล่ากันขึ้นมาและพวกเราก็อยากจะรู้ความจริง ไปหาเจ้าของบ้าน
    มีพระองค์มาจากเหนือ คำว่าเหนือนี่ก็ไม่ทราบว่าเหนือที่ไหน
    สมัยโน้นน่ะนะ มาถึงก็ มันมีเงิน มันมีทองอยู่ครึ่งลำเรือชะล่านี้ครึ่งหนึ่ง
    ท่านก็สั่งให้จุดเทียน มาถึงเอาเทียนจุด จุดไม่ถึง
    ไอ้ตามใบบอกหรือว่าตามที่ถือบอกว่า เงินของท่านมีอยู่ ๑ บาท
    ให้ท่านมาเอาที่อยู่ในเรือชะล่าท่านมีสิทธิ์ แกก็เอาบาตรไปลูกหนึ่ง
    (หัวเราะ) โกยเต็มบาตร เลยโดนแพะเข้าไม่ใช่พระ
    (หัวเราะ) โกยเต็มบาตร อีตานั่นพอเดินออกมาเท่านั้น แกโมโห แกจับ
    ไอ้หัวโล้น มึงไม่ใช่พระแล้ว มึงขโมยของ ของมึงบาทเดียว
    บาทเหรียญบาท... ไม่ใช่บาทเต็มบาตร มึงตะกละแบบนี้อย่าอยู่เลย
    ก็จับลงน้ำในแม่น้ำท่าจีนนั่นแหละ มันลึกจะตายไป จับกดไปก็ดึงขึ้น
    กดไปก็ดึงขึ้น ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ จนกระทั่งเรือเขาแจวมาเห็นเข้า บอก
    เอ้า พระจมน้ำ พระจมน้ำ แต่ก็ไม่มีที่อะไรนี่ มันลึกมาก เท้าก็ไม่ถึงดิน
    ผลที่สุด ชาวบ้านเขาเอาเรือมาช่วย พอช่วย ไอ้เจ้าผีนั่นก็ปล่อย
    พระท่านเล่าให้ฟัง บอกว่าจับกดน้ำแล้วก็ดึงขึ้น จับกดน้ำแล้วก็ดึงขึ้น
    แต่ถ้าไอ้เงินน่ะหายไปหมดแล้ว ไอ้บาทก็ไม่ได้ (หัวเราะ)
    (นึกว่ายังได้บาท) ต่อไปได้แต่บาตรเปล่ากลับไป (หัวเราะ)
    ไหนลองเล่นน้ำดู ทีนี้ ส่วนของตัวมีเท่าไหร่ จะพึงได้เท่านั้น

    เวลานี้ก็มีที่เขาพลองอีกแห่งหนึ่ง (บาทเดียว) เขาพลองนี่
    ถ้าเราจะใส่พื้นที่กว้าง ๔ เมตร ยาว ๔ เมตร สูง ๔ เมตร
    เฉพาะทองไม่พอ ปากถ้ำเวลานี้ปิดไว้ แล้วก็ ถ้าเราจะไปดูหินนะ
    มันจะไม่สนิทเหมือนหินที่อื่น และก็เจ้าอาวาสที่นั่น
    คืออาจารย์ชื้นเขาสอนวิปัสสนาอยู่ ตอนนั้นแกยังไม่บวช
    แกขอ แกขอเจ้าของ แกขอทั้งหมด แล้วท่านเจ้าของก็ไปบอกฉัน
    บอกอีกฝั่งเข้าไปปากถ้ำน่ะ ถ้าเขาเปิดถ้ำเมื่อไหร่นะ
    ของคุณอยู่ขวามือคุณไม่เอา มันเป็นของคุณเอง นะ
    แต่ของไอ้หัวล้าน ไม่ใช่คนนี้ (หัวเราะ) บอกไอ้หัวล้านมันมีอยู่ไหเดียว
    มันก็ขอโยม ขอโยมเนี่ย ขอทั้งหมด ขอทั้งหมด ไอ้หัวล้านนี่โลภมาก
    มันสอนกรรมฐานได้ยังไง แกก็นั่ง ลุกขึ้นมาแกเขียนให้เขียนแผนที่ที่
    แต่ก็บอกว่า ถ้าเขาเปิดเข้าไปได้แล้ว เขาไปเห็น
    เขาเอาไปหมด บอกไม่เห็นหรอก เราก็ ก็เลยบอกกับท่านบอกว่าไม่เอาล่ะ
    ถ้าขืนเอาออกมาอย่าว่าแต่มากขนาดนั้นเลย ถึงแค่ก้อนเท่านี้ก็ตาย
    ขโมยคงทุบตาย ดีไม่ดีข่าวลือไอ้ก้อนเล็กนิดเดียว มันบอกแหม
    ได้มาตั้งปีบ (หัวเราะ) หือ เข้ามาให้ก้อนนั้นมันก็ยังไม่พออยู่ดี
    ทุบตาย เอ้าที่นั่นเขาเจอกันบ่อยๆ (จังหวัดอะไรคะ) จังหวัดอุทัย
    เอ๊ย จังหวัดชัยนาท เขาพลอง ไอ้เขาก่อนหน้าที่จะเข้าไปถึงชัยนาทแหละ
    แยกจากทางรถแยกเข้าไปแล้วนะ เขาอยู่ขวามือ อ้า ที่
    ที่เขาสร้างวัดอยู่นั่นแหละ (กำลังสร้างอยู่
    หลวงพ่อกำลังสร้างพระอยู่องค์ใหญ่) กำลังสร้างพระเหรอ
    ไอ้นี่แหละ ที่ว่า แก แกโลภมากไป แกขอทั้งหมด ท่านก็เลยบอกว่า
    ไอ้หัวล้านมันขอ มันขอโยม แต่มันไม่ใช่ มันไม่ใช่สิทธิของมัน
    โยมให้ไม่ได้ เลยเวลานี้แกปลุกพระแกเลิกขอแล้ว ที่นั่นเขามีใคร
    ที่มีท่าน...นี่ก็ตาไปล่ ตาไปล่หรือตาปลั่ง รักษาอยู่ เป็นหัวหน้า
    มีอยู่คืนหนึ่งเขานิมนต์ไปนอนที่นั่น เขาจัดกุฏิด้านหลัง ไปกับเณรองค์
    แล้วให้เณรนอนทางหัวกุฏิ ...หัวกุฏิอยู่นี่ แล้วไอ้ตอนนอนนั่น
    วันนั้นคนอื่นนอนไม่หลับเลย เหมือนกับทหารใส่ท็อปบู๊ตเดิน
    ฉับๆๆๆๆ ตลอดคืน มาเป็นคนหมู่มากด้วยนะ
    เจอตอนดึกออกมาจงกรม เห็นเขานั่งกันเป็นแถว ถามมาทำไม
    บอกอยู่ยามครับ พอเข้าไปนอนแล้วเช้ามืดออกมาจะไปห้องน้ำ
    พอเปิดมาก็ ๒ คนนอนเต็มห้อง ไปนั่งเบียดกัน ๒ คน
    เฉพาะตัวนะ หัวเข้าไปข้างใน ...กับตัว ๒ คนนอนเต็มพอดี
    ขาอยู่ข้างนอกนู่น ยาวเหยียด ถามว่าไงพ่อคุณ
    จะไปขี้ไปเยี่ยวมันก็ไม่ได้แล้วมานอนยังงี้ ก็บอกผมเป็นนายยามนี่ครับ
    เอ้า ถ้าหากท่านจะไปขี้ไปเยี่ยว เดี๋ยวผมทำตัวเล็กหน่อยก็ได้
    (หัวเราะ) ตัวเล็กออกได้ พอเข้ามาอีก เดี๋ยวบอกผมต้องทำตัวใหญ่ใหม่
    แล้วเขาก็เลยรายงานบอก วันนี้อีชี เชอ พวกนี้นอนไม่หลับหมด
    ผมให้ทหารเดินแกล้งแม่ง (หัวเราะ) ถามทำไม
    ชีพวกนี้นับถือไม่ได้ ทะเลาะกันเรื่อย มึงแข่งดีกู กูแข่งดีมึง
    ก็เลยนั่งคุยกับเขา ถามแกหลอกอะไรเขาบ้างล่ะ เมื่อซัก ๑๐ วันเนี่ย
    ผมเดินมา ทำเป็นคนธรรมดามาแล้วก็ขอน้ำมันกิน
    กลางวันๆ ซักเที่ยงได้ พอมันหันไปเอา เอาขัน ผมก็ทำตัวสูง
    เอาสะดือแค่ชายคา อีกทีหันกลับมาอีกที วิ่งราบเลย (หัวเราะ)
    ทั้งศาลาไม่มีเหลือ ถามไปหลอกเขาทำไม มันไม่ดี กวนให้มันอยู่ไม่ได้
    บอกมันไม่ดีก็กวนให้อยู่ไม่ได้ ก็ดีเหมือนกัน นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงอย่าทะเลาะกันแหล่ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    ถ้าใครจะกินถั่วลิสง ก็ต้องดูคนอื่นเขาซื้อก่อน (หัวเราะ) อ้ะเชิญ
    เมื่อกี้จะซื้อถั่วลิสงก็กลัวชาวบ้านเขาว่าเอา เห็นคนอื่นซื้อก่อนเลยดีใจ
    ซื้อได้ อ้าคุณสมบูรณ์ เอ๊เชิญ เอ๊ เขาบอกของแกมีมงกุฎด้วย
    เข้าไปเอาสิ (หัวเราะ) นี่ใช่มั้ยล่ะ

    มิน่าล่ะ วันนั้นถึงได้บอกไอ้นี่มันโลภ โลภมันเอาไปไม่ได้หรอก (หัวเราะ)
    ก็สม ความจริงสมัยโน้นมันก็มีคนตั้งเป็นหย่อมๆ นะ อย่างเมืองอะไร
    เมืองกุย เมืองปราณเนี่ย เขาเป็นประเทศๆ ทั้งนั้นแหละ
    ประเทศหนึ่งก็เท่ากับอำเภอหนึ่งมั่ง ไม่ถึงอำเภอบ้าง
    เป็นหย่อมๆ ของคน แต่ว่า ตามที่นักโบราณคดีเขาบอกว่า
    คนไทยมีพื้นเพที่นู่นก่อนไม่จริง เราขึ้นไปถึงประเทศจีนนี่
    ไม่ใช่มาจากประเทศจีน ขึ้นไปแล้วก็ลงมา
    และก็การลงมาของคนกลุ่มน้อยมันนานแล้ว แต่คนไอ้กลุ่มใหญ่ที่เราบอก
    มาเมื่อนั่นเมื่อนี่เป็นคนกลุ่มใหญ่ ถ้าไม่งั้นเขาก็ไม่มุ่งลงมาสายนี้
    เพราะทางนี้หากินดีกว่า (แต่พวกปานี่ไม่ใช่คนไทย?) หา (พวกปา)
    พวกปาเป็นคนไทย โธ่ ชาวเมืองปาเนี่ยนะ ถือเป็นถิ่นไทยอยู่ตั้งแต่
    กี่มณฑล ๔ มณฑลใช่มั้ย ๔ มณฑลนี่ความจริงเป็นเมืองไทย
    แต่ว่า และก็นอกจาก ๔ มณฑลนี่มันยังมีอีก
    ทีนี้ที่ลงมาทางเมืองปานี่ก็เป็นคนไทย ทีนี้
    ตามประวัติศาสตร์มันเขียนไว้ไม่หมดนี่ ประวัติศาสตร์
    จะไปโทษกรมพระยาดำรงท่านก็ไม่ได้ ท่านรู้มาจากที่โน่น
    รู้มาจากที่นี่ใช่มั้ย แต่ว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่แน่นอนคือประวัติศาสตร์ผี
    เขียนแล้วใครพิสูจน์ไม่ได้ โอ้ยแต่ว่าถ้าเขาบอกอะไร จะต้องมีหลักฐาน
    คือจะไม่ยอมฟังเฉยๆ นะ ท่านบอกปุ้บขึ้นมาเนี่ย เราจะต้องหาหลักฐานว่า
    เวลานี้อะไรอยู่ที่ไหนบ้าง อย่างพวกนั้นเขาคุยเรื่องน้ำมัน เรื่องน้ำมันก็บอก
    ฉันเชื่อได้ ฟังได้แต่ฉันไม่เชื่อ ต้องมีหลักฐานปัจจุบัน เขาบอกว่า ท่าน
    พรุ่งนี้ท่านไปชุมพรใช่มั้ย บอกใช่ ท่านไปชุมพรวันที่ ๓
    ถึงได้ข่าว ไอ้ศูนย์น้ำมันที่ไปขึ้นที่มะริดนะ ไอ้วันที่หนึ่งที่สองนั่นก็ลืมสนิท
    วันที่สามตอนเช้าฉันข้าวแล้ว เอ๊ะ นึกขึ้นมาได้ว่า
    เอ๊เรื่องน้ำมัน ถามว่าใครเคยเดินทางไปมะริดบ้าง
    เขาบอกมีกะเหรี่ยงอยู่คน ก็ไปตามกะเหรี่ยงนั่นมา แกเดินซื้อควายขาย
    บอกมีครับ เมื่อก่อนนี้มันเป็นหนองน้ำ เวลานี้เป็นน้ำมันทั้งหนอง
    และเป็นน้ำมันสีแดง ใช้มันเป็นเชื้อ จุดเอามาจุดตะเกียงได้เลย
    ออกเป็นควันหน่อย คล้ายๆ กับไอ้พวกโซล่าข้น
    ทีนี้สายน้ำมันที่สายจากจุดนั้นมามันก็ผ่านเรื่อยมาที่นี่
    ผ่านแล้วก็ไปตั้งปากอ่าวในช่วงระยะ เอ้อ สิงห์บุรี ชัยนาท
    นครสวรรค์ ออกปากอ่าวจากช่วงนั้นไปมันเป็นทะเล ถามเขาบอกว่า
    ไอ้ช่วงที่สายน้ำมันเดินเนี่ย มันมีระยะทางกว้างเท่ากับเท่าไหร่
    ก็ประมาณกิโล แม่น้ำกว้างกิโล เราไม่ต้องไปออกปากอ่าวก็ได้มั้ง
    คือสุพรรณที่แกดูวัดลาวทองวันนั้นน่ะนะ ที่นั่นเป็นจุดหนึ่ง
    ที่ออกไปใต้สนามชัย ออกไปยังไม่ถึงกิโลดี รึประมาณกิโล
    ไอ้นั่นเป็นจุดหนึ่ง ที่ถ้าเจาะลงไปแล้วจะได้น้ำมันมาก แต่ก็
    คนไทยเราพูดเท่าไหร่คนไทยไม่เชื่อหรอก เวลานี้ ไทยเริ่มเชื่อฝรั่ง
    เพราะปลายปีที่แล้วมา ฝรั่งบอกว่า ประเทศไทยเนี่ย
    เป็นแหล่งน้ำมันที่ตรงที่สุดในโลก และตั้งแต่ช่วงนครสวรรค์ลงไป
    น้ำมันมากเหลือเกิน ลงไปลงมาทางกรุงเทพเนี่ยนะ แต่พอมาบอก แหม
    หลวงพ่อพูดตั้งแต่ปี ๑๗ ไม่มีใครฟัง ไอ้พวกฝรั่งพูดล่ะตาโตไปตามๆ กัน
    บอกว่าใช่ พระพูดจะมีความหมายอะไร (เขาเชื่อวิทยาศาสตร์)
    ใช่ อันนี้มันเรื่องธรรมดา หมอ เราจะโทษเขาไม่ได้นะ
    เราต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาใช่มั้ย ไอ้เราพูดนี่เราไม่มีอะไรพิเศษ
    เวลาที่เขาพูด เขามีเครื่องมือพิเศษ ก็ต้องเชื่อไว้ก่อน

    เป็นอันว่า ทรัพยากรของเรา เรามีทั้งน้ำมัน มีทั้งทอง มีทั้งเพชร มีทั้งเงิน
    มีทั้งสังกะสี มีทั้งเหล็ก ทองแดง ทองขาวเนี่ย และมีทั้งยูเรเนียม
    ยูเรเนียมนี่มหาศาล หา (แต่เรารวยไง) เพชรมีทุกจังหวัด
    ไปดูไอ้ที่เขารวยๆ เขาซื้อๆ ไว้น่ะ (หัวเราะ)
    (แต่เรามั่งคั่งแล้วก็เป็นอันตราย ถ้าเผื่อว่าเราไม่มีกำลังพอ) ไอ้นี่เนี่ยซิ
    ที่...ขอบใจคึกฤทธิ์ท่านมาก ที่ไล่อเมริกันไป เวลานี้ อย่างน้ำมันต่างๆ
    อะไรต่างๆ ความจริงเขาพบหลายจุดแล้ว เขาก็ไม่กล้าบอก
    อาจจะเป็นระบบเกี่ยวกับความมั่นคง อย่างไปที่ ที่ภูเก็ต
    ที่เขาไปเจาะในมหาสมุทรอินเดีย แต่เป็นทะเลเศรษฐกิจของเรานะ
    ไอ้พวกนั้นเขาถามว่า ผมเจาะที่นี้จะพบไหมครับ จึงถามว่าแก
    เฉพาะบริษัทของคุณน่ะ ในอ่าวไทยคุณพบแล้วประมาณ ๔ หลุมใช่มั้ย
    แล้วก็เป็นน้ำมันเกรดดี มันนิ่ง นี่ก็เลยบอกว่า
    การพูดจริงน่ะเป็นวาจาที่ไม่ตายนะ เขาก็เลยตอบว่า
    ถ้าผมพูดจริง ผมอาจจะถูกไล่ออกจากงานก็ได้ แต่ก็เป็นอันว่า
    เขามีวิทยุมาเรียกใช่มั้ย ไอ้พวกนั้นก็เลยไล่ลูกน้อง ๒ คนไป
    ก็เหลือตามลำพังตัวต่อตัว เขาก็เลยรับว่า ใช่ครับ
    ที่หลวงพ่อพูดนี่จริงแต่ผมก็พูดไม่ได้ครับ เลยบอกว่า
    ถ้าหากว่าข้างในคุณขุดเจาะเจอะล่ะก็ ไอ้ที่เนี่ยมันมากกว่า
    มหาสมุทรอินเดียนี่นะ อีเฉพาะจุดที่เขาเจาะไปนั่น
    มันห่างไป ๙๒ ไมล์ มันมีในทะเลเศรษฐกิจ อันนี้มัน
    มันมากเกินกว่าที่จะใช้ในประเทศไทย โดยเฉพาะที่พบในทะเลเรานี่
    มันก็พอใช้ในประเทศไทยแล้ว แต่ว่าเราเอาขึ้นไม่ได้
    มันเป็นน้ำมันเกรดดีกว่าของตะวันออกกลาง เวลานี้
    เรากำลังถูกขโมยไป เอาไปเรื่อย น้ำมันดิบเนี่ย
    ขโมยไปถ่ายกันที่สิงคโปร์ นะ มันก็ทำมา ๒ ปีแล้ว
    แต่ว่าคงไม่ขโมยทุกวันหรอก นานๆ ทีนึง เพราะไม่มีใครไป
    ไปดูเขาเลยนี่ (แล้วเราจะป้องกัน...) มันป้องกันไม่ได้เพราะไอ้
    คนระยำสมัยนั้นมันกินด้วย ในกรุงเทพน่ะ มีส่วนได้ส่วนเสีย
    เวลานี้คนพวกนั้นมันก็ยังมีอำนาจ แต่เป็นข้าราชการประจำ
    ...เวลานี้ก็เป็นอย่างเดิม แต่พวกเด็กๆ ทหารนี่มันรู้จริง
    วันนั้นที่ไประงับเรื่องที่ ม.พัน ๔ เมื่อสิงหาที่แล้วนี่นะ
    เขาก็พูดถึงเรื่องนี้มา หา มันก็พูดถึงเรื่องนี้ ก็บอก จริง
    ข้ารู้ ข้าก็รู้ แต่ว่าทำยังไงล่ะ บอกไม่มีปราการอะไรควบคุมเลย
    เพราะว่าสัญญาของเรามันระยำ สัญญาสำรวจของเรานี่
    มันมีแค่สำรวจเท่านั้นนะ อย่างมาเลเซียเนี่ย
    เขาสำรวจพบแล้วเมื่อไรจะเอาขึ้น เวลานี้มาเลเซียเขาใช้ของเขา
    แล้วก็มีขายด้วยน้ำมันดิบ ของเราไม่ ไม่ละ ได้แค่สำรวจ
    หลุมละกี่สิบล้าน คุณ (ผมว่าเป็นร้อยๆ ล้านขึ้นไป) ไม่ใช่คือว่า
    ที่ต้องเสียให้เราล่ะ เขาสำรวจไปหลุม รัฐบาลได้กี่ล้าน คิดกันแค่นี้เอง
    คือว่าไม่ได้คิดว่า เมื่อขุดหรือสำรวจพบแล้ว เมื่อไรจะมาใช้
    แต่ว่า เราก็ต้องคิดไปอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าเอาขึ้นมาแล้ว
    ความมั่นคงของเราพอหรือเปล่า ใช่มั้ย ทีนี้ตอนนั้นจึงคิดว่า
    ที่คึกฤทธิ์ไล่อเมริกันไปเนี่ย เราใจหายวาบไปเลย ก็คิดว่า
    ที่ท่านพยากรณ์ไว้ว่า ต้อง ๒๔ ประเทศไทยจึงจะลืมตาอ้าปากได้
    นี่ก็ต้องจริง เพราะทราบแล้วว่า ทั้งน้ำมัน ทั้งแร่ที่มีความสำคัญ
    แล้วก็พบหมด แล้วน้ำมันนี่ควรจะเอามาใช้ได้ พออเมริกันไปแล้ว
    เราก็ไม่มีลูกพี่ อเมริกันเนี่ย ความจริงเราไม่ต้องการกำลังของเขา
    แต่อาวุธกับเทคนิคสำคัญใช่มั้ย เวลานี้เราจะยิงไปนัดก็คิดละ
    ลูกปืน ยิงไปนัดฉีกแบงค์กี่ใบ เนี่ย ถ้าปืนกล ใช่มั้ย
    อย่างปืนกลอากาศเนี่ยหลายตังค์ อย่างปืนลูกระเบิดอากาศของเขาขาย
    ....ขายที่กรุงเทพเนี่ย ๑๕๐ บาท แต่ว่า
    ตำรวจตระเวนชายแดนตั้งงบไว้ซื้อนัดละ ๗๐๐ บาท
    ที่รู้เพราะอะไรเพราะว่า เมื่อคุณบุญชัยเขายังอยู่ปลายปีน่ะ
    ...ก็มาที่บ้านคุณเสริมตอนเย็น แล้วคุณอรุณก็ขึ้น...มาอีก ๒-๓ คนไม่รู้จัก
    ก็พูดถึงเรื่องการซื้ออาวุธ ว่าควรจะซื้อตรงโรงงาน
    เวลานี้เราต้องผ่านนายหน้า ๔ เอ้อ ๓ จุด ๓ จุดนี่แต่ละจุดมันเอาค่า
    มาเปอร์เซ็นต์ ๔๕ เปอร์เซ็นต์ แล้วก็ยังจะมาพลาธิการกินอีก
    ใช่มั้ย แกก็เลยถามว่า แต่เราซื้อตรงได้ยังไง บอกไม่ยากหรอก
    เรามีโรงงานอยู่ ๓-๔ โรง ที่รู้จักกัน เราซื้อตรงได้ แล้วราคาเขาให้มาแล้ว
    เขาถามหลวงพ่อได้มาจากไหน บอกได้จากไหนคุณไม่ต้องถาม
    เอาเรื่องแน่นอนก็เลยดึงหนังสือออกมา บอกนี่ ของแต่ละอย่างน่ะ
    ราคาเท่านี้ๆๆ แล้วที่คุณซื้อน่ะมันกี่เท่าล่ะ แกก็เลย
    ตั้งแต่ไปแสดงตำรวจเขาทำ เขาก็เลยไปให้เด็กมันไปขอไอ้สำเนามา
    ความจริงมันก็ไปขโมยถ่ายภาพไว้แล้ว ถ่ายภาพเอกสารน่ะนะ
    มาเทียบราคาแกดู มาดูเนี่ยๆ มัน ๑๕๐ บาทนะ
    และก็เขาตั้งงบไว้ซื้อ ๗๐๐ บาท ยิงนัดหนึ่ง ๗๐๐ บาทเนี่ย มันไหวมั้ย
    และก็ถ้าคุณมาให้ฉัน ๑๘๐ บาท ฉันเอา เพราะนี่
    ถึงแม้ว่าเราเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายตุนกำลัง เราจะไม่เกี่ยวข้องพลาธิการ
    แต่ก็ควรจะรับทราบไว้ด้วย ตอนนี้เอะอะโวยวายกัน
    ตอนนั้นนี่เอะอะโวยวายอยู่พักหนึ่ง พอเขาปฏิรูปขึ้นมา
    พลาธิการตำรวจคนนั้นก็เลยต้องออกไป และฉันก็เลยมีข้าศึกมาอีกหน่วย
    คือมีตำรวจติดตาม (หัวเราะ) อีตอนที่ยุ่งๆ ที่บ้านคุณเสริมตอนนั้นน่ะ
    ที่หมุนกันใหญ่เนี่ยตำรวจ แต่อย่าไปโทษตำรวจดีเขานะ
    คือคำว่าตำรวจนี่หมายความว่า ตำรวจที่ออกไปแล้วและก็เขาใช้คนมา
    เพราะเขาเกลียดน้ำหน้าเรา คือเอาความจริงมาพูด
    เลยบอกไอ้ของที่เราติดต่อตรงโรงงานนี่ เราทำได้ เพราะมันเงินของเรา
    ไม่จำเป็นจะต้องไป ไปรับช่วงมาจากใคร แล้วพอคึกฤทธิ์ไล่อเมริกันไปเนี่ย
    เราหงายท้องไปเลย ตังค์ก็ไม่มีซื้อ ใช่มั้ย เวลานี้ ไอ้เงินค่าอาวุธไปต้องเป็น
    เอ๊ยค่าอาหารไปเป็นค่าอาวุธ เราก็แย่แล้ว ก็กรอบ เราก็จ่ายไปเป็น
    ไอ้ปีหนึ่งตั้งหลายพันล้าน ใช่มั้ย เอ้า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    เดินทางกลับกันดีกว่า (หัวเราะ) เอ้อถึงไหนแล้วเปี๊ยกเอ๊ย
    (จะหมดแล้วล่ะค่ะ) อ้อ จวนหมดแล้วพอดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...