รบกวนถาม - เรื่องของใส่บาตร

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Kongkiet, 16 เมษายน 2012.

  1. Kongkiet

    Kongkiet สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    สวัสดีครับท่านผู้รู้

    สวัสดีครับ ผมก้องเกียรติขออนุญาตเรียกตัวเองว่าผมนะครับ ผมมีเรื่องทุกข์ใจอยากจะปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องของถวายทานครับ เรื่องมีดังต่อไปนี้ครับ

    คุณพ่อของผม ท่านได้ตัดสินใจบวชเมื่ออายุท่านได้ 55 ปี ท่านบอกว่าจุดประสงค์ที่ท่านบวชคือเพื่อต้องการให้มารดา นั่นก็คือคุณย่าของผมได้ใส่บาตร ทำบุญ เนื่องจากสมัยก่อนคุณย่าไม่ค่อยได้มีโอกาสทำบุญเท่าไหร่ ซึ่งคุณพ่อผมท่านก็บวชเป็นพระอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี (ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม) ได้ประมาณ 6-7 เดือนแล้ว เรื่องมีอยู่ว่า ทุกๆครั้งที่ท่านได้ของใส่บาตรจากชาวบ้าน ญาติโยมคนนอก คุณพ่อท่านจะเก็บอาหารหรือกับข้าวของคนที่มาถวายส่วนหนึ่งไว้ เพื่อเอาไปให้คุณปู่และคุณย่า นอกจากนั้น ท่านก็ได้เอาข้าวสารอาหารแห้ง ส่งไปให้หลานชายของท่านอีกคนหนึ่ง ผมคิดว่าคุณพ่อท่านทำมาค่อนข้างหลายครั้งแล้ว เหตุผลของท่านคือ ท่านบอกว่าท่านฉันคนเดียวไม่หมดอยู่แล้ว แล้วถ้าท่านไม่ฉัน อาหารเหล่านี้จะเน่าเสียไป และท่านบอกว่าของที่ชาวบ้านนำมาถวาย ก็กลายมาเป็นของของพระแล้ว เขามีสิทธิจะทำอะไรกับของเหล่านี้ก็ได้

    แต่อยู่มาวันหนึ่ง ผมได้ทราบเรื่องราวเกี่ยวของใส่บาตรจากคนรู้จักว่า จริงๆแล้วของใส่บาตรเหล่านี้ อาทิเช่น กับข้าวที่มาถวายวัด ของแห้ง น้ำเปล่า ยา รวมถึงเงินคนที่นำมาถวายให้พระนั้น เป็นของที่เค้าตั้งใจใส่บาตรให้กับคนที่ล่วงลับไปแล้ว รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรของคนนั้นๆ ซึ่งการที่พระนำของเหล่านี้ มาให้กับญาติโยมของตัวเอง เป็นสิ่งที่ไม่ดี แล้วอาจจะมีผลร้ายตามมาจากการกระทำนี้ด้วย เช่นญาติโยมที่กินของที่เค้านำมาถวายจะเจ็บป่วย จะมีวิญญาณของคนอื่นตามมาหาคนที่กินของนั้นๆ เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์ข้างต้นนี้คนรู้จักที่เล่าให้ผมฟังยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง

    ผมอยากทราบความจริงครับว่า แท้จริงแล้วเป็นอย่างที่ผมเข้าใจข้างต้นหรือป่าว แต่อย่างไรก็ตามผมก็ไม่เห็นด้วยนะครับที่จะนำของที่คนมาถวาย เอามาให้กับพ่อแม่หรือญาติของตัวเองนะครับ แต่เนื่องจากพระท่านเป็นบิดาของผม มันค่อนข้างยากที่จะอธิบายให้ท่านเลิกความคิดและความเชื่อของท่าน

    พอจะมีข้อแนะนำให้นำไปบอกบิดาของผมหรือไม่ครับ แล้วถ้าผมเป็นผู้ขับรถขนส่งสิ่งของเหล่านั้นจากคุณพ่อซึ่งบวชเป็นพระไปให้คุณปู่คุณย่า ผมจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดเหล่านี้ไหมครับ แล้วถ้าหากว่าการทำสิ่งเหล่านี้ผิดจริงและคุณปู่คุณย่าท่านได้ทำไปแล้ว จะมีวิธีแก้ไขผลกรรมเหล่านี้ไหมครับ


    เจตนาของผมคือ ไม่อยากให้คุณปู่คุณย่าหรือญาติๆได้รับผลกรรมจากการเข้าใจผิดเหล่านี้ครับ เนื่องจากสมัยอดีต คุณพ่อท่านก็ได้ทำผิดศีลค่อนข้างเยอะแล้ว ผมไม่อยากให้ท่านต้องมาทำผิดเพราะความไม่รู้อีกครับ

    ด้วยความเคารพอย่างสูง
    ก้องเกียรติ
     
  2. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ท่านบอกว่าของที่ชาวบ้านนำมาถวาย ก็กลายมาเป็นของของพระแล้ว เขามีสิทธิจะทำอะไรกับของเหล่านี้ก็ได้


    การที่บิดาคุณเข้าใจว่าเป็นของพระแล้ว นั่นท่านเข้าใจถูกแล้ว แต่ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่ ก็คือ
    ของพระในที่นี้ ไม่ใช่หมายถึงของส่วนตัวเฉพาะพระที่ได้รับการบิณฑบาต แต่หมายถึงของสงฆ์ เป็นของพระโดยส่วนรวม เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นของของพระโดยส่วนรวม การที่พระรูปใดรูปหนึ่งจะมีเจตนาหวงไว้เป็นของส่วนตัว ให้เฉพาะญาติสนิทมิตรสหายของตน โดยที่ไม่ได้รับการยินยอมจากหมู่สงฆ์โดยส่วนรวมนั้น เค้าเรียกว่ามันบาป จะเป็นบาปกรรมติดตัว ทั้งผู้ให้ ผู้รับ และผู้สนับสนุน (กรณีของคุณถือว่าเป็นผู้สนับสนุน) มากบ้างน้อยบ้าง ก็สุดวิสัยจะจาระไน ส่วนเรื่องวิญญาณ เจ้ากรรมนายเวรอะไรนั่น ขอไม่พูดถึง เพราะพูดไปบิดาคุณก็คงไม่เชื่อ เอาเป็นว่า ไปบอกท่านว่า ของที่เค้าตักบาตร ทางพระถือว่าเป็นสังฆทาน สังฆทานคือของส่วนรวมของสงฆ์ เพราะฉะนั้นเวลาจะไปให้ใครต่อ ก็ต้องให้หมู่สงฆ์มีฉันทานุมัติ

    ส่วนเรื่องจะแก้ไขผลกรรมอย่างไรนั้น ทางแรกก็ต้องหยุดความเข้าใจผิดๆ ด้วยการอธิบาย ถ้ายังไม่เข้าใจอีก ก็ค่อยหาโอกาสไปอธิบายก็ได้ บางทีอาจยังไม่ถึงเวลา
    ในขณะเดียวกัน คุณก็ต้องไม่ไปสนับสนุนการทำผิดนั้นด้วย ก็ต้องหาทางปฏิเสธการเป็นเครื่องมือในการร่วมกระทำความผิดนั้น

    คุณปู่คุณย่าคุณก็เหมือนกัน ไปอธิบายให้ท่านเข้าใจ ไป search หาคำว่า "กากะเปรต" พริ้นท์นำไปให้คุณปู่คุณย่าและบิดาของคุณอ่านดู เผื่อจะได้มีสติขึ้นบ้าง

    เรื่องการทำผิดเกี่ยวของสงฆ์นี้ เค้าเรียกว่า เป็นการติดหนี้สงฆ์ หลักการก็คือ ใครผูกคนนั้นก็ต้องแก้ ใครทำผิด คนนั้นก็ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง แก้ด้วยวิธีที่เรียกว่า ชำระหนี้สงฆ์ ในส่วนตัวคุณก็ไปชำระหนี้สงฆ์ด้วยการร่วมสร้างพระพุทธรูปที่มีโอกาส ทำไปเหอะสิบบาทยี่สิบบาท แล้วก็อธิษฐานว่าขอเป็นการชำระหนี้สงฆ์ แล้วคุณก็อย่าไปทำผิดเพิ่ม ส่วนปู่ย่าและบิดาคุณก็ต้องแก้ข้อผิดพลาดนี้ด้วยตัวเอง
     
  3. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    คุณก้องเกียรติ....
    1.ของถวาย ใส่บาตร ทุกชนิดทุกประเภท....สมัยพุทธกาล...ชาวบ้านเขาเลี้ยงพระ เพื่อให้ปฏิบัติธรรม แล้วนำธรรมวิเศษนั้น มาสอนชาวบ้าน...นี่ มีแค่นี้...
    ...ไม่ว่าทำบุญทานกับพระพุทธเจ้าหรือสาวก...เขาต้องการหล่อเลี้ยงพระเพื่อให้ปฏิบัติมาสอนเขาอีกที....
    2.มาปัจจุบัน เจตนาก็คงมีเหมือนเดิม แต่เพิ่ม...คือ ทำบุญให้คนตาย....นี่ก็ ถ้าเจตนาบริสุทธิ์...พระบริสุทธิ์ กรวดน้ำหรือ ตั้งจิต ก็ถึงคนตายได้...ถ้าคนตายสามารถรับได้ เช่นไปเป็นเปรตบางประเภท...รับได้...แต่ถ้าไปเกิดเป็นช้างม้าวัวควาย นี่ ...รับไม่ได้..แต่บุญตกกับผู้ทำเอง...
    3.คนที่ตั้งจิตทำบุญ แม้ของยังไม่ถึงพระ...ก็ได้บุญไปแล้ว...
    ดังนั้น...ของสิ่งนั้นๆ...พระจะเอาไปทำอะไรเป็นเรื่องของพระ...เพราะบุญสำเร็จไปแล้ว....
    ....ถ้าจะถวายเพื่อให้ปฏิบัติธรรม...บุญก็ได้แล้ว...แต่พระก็คงไปฉันท์กับคนอื่นๆได้..ถ้ากับข้าวไม่ถึงท่าน...
    ....ถ้าจะถวายเพื่อให้คนตาย....คนตายก็ได้ไปแล้วถ้ารับได้ดังกล่าว..เพราะเราตั้งจิตมั่นแล้ว...
    ...ของถวาย....เมื่อตั้งจิต..บุญได้กับผู้ทำ....เสร็จภารกิจไปแล้ว..ของสิ่งนั้น..มีอยู่หรือสูญไป..มีค่าเท่ากัน...พระนำไปใช้ประโยชน์บริสุทธิ์ได้ทุกอย่าง...
    ...พ่อพระของคุณทำถูกต้องแล้ว...ไม่ต้องไปห่วงหรือไปชี้แนะอย่างใด...มีแต่บุญ ไม่มีบาป
     
  4. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    อนุโมทนา สาธุ กับท่านที่ช่วยชี้ทางสว่างให้ทุกท่านครับ
     
  5. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ของที่เหลือจากพระ กับของที่พระรูปใดรูปหนึ่งได้รับมาเป็นส่วนรวม แต่กลับกันไว้เป็นของส่วนตัวหรือจะเอาให้ญาติพี่น้องของตนนะ มันคนละกรณีกัน

    เวลาพระฉันเพลเสร็จ อาหารเหลือ พอพระลุกจากโต๊ะ ก็เป็นอันรู้กันว่าถึงคิวเด็กวัด พระในวัดนั้นมีฉันทานุมัติโดยปริยายว่า เอ้า ต่อไปนี้ อาหารที่เหลือนั้น พระท่านสละแล้ว เด็กวัดถึงมีสิทธิกินได้ อย่างนี้นะได้ เป็นของเหลือจากพระจริงๆ อย่างนี้แหละไม่บาป

    กรณีต่างกันกับชาวบ้านเค้าทำบุญตักบาตร ถ้าพระมีเจตนาจะกันไว้ให้เป็นของส่วนตัว เห็นของอันโน้นอันนี้ ชอบใจ นึกถึงโยมพ่อโยมแม่ที่บ้าน นึกถึงพี่ป้าน้าอาที่บ้าน อยากเก็บไว้ให้ญาติพี่น้อง อย่างนี้นะ เสร็จแน่ ไม่เหลือ.........
     
  6. gaiou419

    gaiou419 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +716
    เป็นอะไรที่เสี่ยงมากเลยค่ะ จากที่เคยฟังเทปหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านว่าเอาไว้
    ของ"สงฆ์"นี้ ทำเล่นไม่ได้เลย กรรมหนักมากๆๆ คิดเอาเองว่าถูกแต่จริงๆแล้ว
    ไม่ใช่อย่างนั้น ดิฉันคิดว่า สิ่งที่ญาติโยมถวายนั้น เป็นของ"สงฆ์"แล้ว
    หากจะให้ใครต่อไปนั้นควรเป็นมติของ "สงฆ์" นั่นก็คือมี"พระสี่รูป"ขึ้นไป
    รับทราบและอนุญาติ ดิฉันมีหลวงน้าที่บวชมาสี่สิบพรรษาเป็นพระป่าสาย
    หลวงปู่ชา ท่านมีปฏิปฐาที่เข้มงวดมาก เท่าที่จำความได้ เห็นทุกครั้งที่
    ได้ของเกินมา ท่านส่งเข้า"กองกลางของสงฆ์"ทั้งนั้น ไม่เคยเห็นท่านเอา
    มาให้ญาติพี่น้องเลย ลองฟังเรื่อง"กากะเปรต" ของหลวงพ่อดูนะคะ
    อาจจะได้ข้อคิดในการตัดสินใจดู ผิดพลาดประการใดขออภัยค่ะ
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เล่าเรื่อง กากะเปรต, สาตกีเทพธิดา หน้า B.mp3 - 4shared.com - การจัดเก็บแฟ้มและใช้งานร

    มา update ค่ะ เมือวานได้เอากรณีของคุณไปเรียนถามท่านพระอาจารย์หลวงน้า
    ที่เป็นพระสายวัดป่า ท่านได้เอาข้อปฏิบัติเมื่ออยู่วัดป่านานาชาติมาเล่าให้ฟังว่า
    อาหารแห้งนั้น ได้แล้วก็ส่งไปเก็บไว้ในห้องเก็บอาหารสงฆ์ ยาสีฟัน สบู่ ผงซักฟอกต่างๆ
    เอามาแจกให้คณะสงฆ์ให้เพียงพอแล้ว ต่อเมื่อเหลือเก็บ จึงนำไปให้พระวัดอื่นที่ขาดแคลน
    เมื่อยังเหลือจากนั้นอีก ก็มีมติให้แจกจ่ายคนยากไร้ หากจะสงเคราะห์ญาติ ก็ควรมีมติของ
    คณะสงฆ์อันประกอบด้วยพระสงฆ์ 4 รูปขึ้นไป หากญาติไม่ได้เดือดร้อนอะไร ก็ควรสงเคราะห์
    ผู้เดือดร้อนก่อนเสมอ
    เฉพาะอาหารสดนั้น เมื่อมีมากเหลือเกินแล้ว ก็ให้แจกจ่ายภายในก่อน เด็กวัดบ้าง
    แม่ครัวบ้าง คนตัดหญ้า ผู้มาอาศัยวัดอยู่ อย่าได้อด จากนั้นถ้ายังเหลืออีก
    ก็แบ่งใส่ถุง ทานให้แก่ผู้ยากไร้ ดิฉันได้ถามในกรณีของพระคุณพ่อคุณ พระอาจารย์ท่านว่า
    หากพระคุณพ่อคุณให้ด้วยเจตนาเป็นทาน สงสารสงเคราะห์ญาติที่ไม่มีอันจะกิน อันนั้น
    ไม่เป็นไร เพราะมีในสมัยพุทธกาลที่พระโสณะบิณฑบาตมาเลี้ยงมารดา พระพุทธองค์
    ไม่กล่าวห้ามแต่อย่างใด แต่หากญาตินั้นเป็นผู้มีอันจะกิน เจตนานั้นเป็นไปโดย"เลือก"
    สงเคราะห์ญาติ อันนั้นไม่ควร โดยเฉพาะของสงฆ์ทุกอย่างนั้น ควรมีมติจากสงฆ์ก่อน
    และไม่ควรทำบ่อยๆ ท่านว่ามาอย่างนี้ค่ะเท่าที่จำได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2012
  7. เขตปกครอง230

    เขตปกครอง230 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +324
    เราไม่ได้ไปหยิบฉวยเอาแต่ประการใด พระท่านอนุญาติแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...