มรดกธรรมคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 19 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    นี่ลูกศิษย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น เราก็หลายองค์มากนะ

    นับได้สิบกว่าองค์ ตั้งแต่อัฐิกลายเป็นพระธาตุนะ เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นทั้งนั้นแหละ

    อัฐิกลายเป็นพระธาตุดูเหมือนจะสิบกว่าองค์นะ

    นี่ท่านผลิตลูกศิษย์ลูกหาได้มากขนาดไหน ท่านเป็นผู้บุกเบิกแทบเป็นแทบตาย ไม่ได้ฉันถั่วฉันงา ฉันแต่ข้าวเปล่าๆ ท่านเล่าให้ฟัง เวลาท่านบุกเบิกได้ลูกศิษย์ลูกหามากขนาดไหนดูซิ เพชรน้ำหนึ่งๆ กระเทือนอยู่ทั่วประเทศไทยนี่ เฉพาะอย่างยิ่งภาคอีสานนี้มีแต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้นแหละเด่นมาก
    นับแต่หลวงปู่แหวนลงมาแหละ หลวงปู่พรหม หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว มาเรื่อย เรื่อยๆ มา หลวงปู่ฝั้น อย่างนี้ใช่ทั้งนั้น

    หลวงปู่คำดีก็เป็นพระธาตุแล้ว อัฐิเป็นพระธาตุแล้ว หลวงปู่คำดี หลวงปู่ฝั้น เหล่านี้เป็นหมดละ หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวนเป็น ท่านจวน ภูทอกก็เป็น ท่านสิงห์ทองนี้ก็เป็น ท่านอาจารย์พรหมที่บ้านดงเย็นก็เป็น เป็นหลายองค์ เราจำไม่ได้นะมีอยู่ แล้วแม่ชีแก้วก็เป็น
    แม่ชีแก้วที่อยู่บ้านห้วยทราย นี้เป็นลูกศิษย์ดั้งเดิมของท่านมาตั้งแต่เป็นสาวโน่นนะ

    [​IMG]


    แกภาวนาเป็นตั้งแต่เป็นสาวโน่นจนเขาหาเรื่อง แต่ไม่ใช่เขาตั้งใจฟ้องนะ เขาพูดกันหยุมหยิมๆ นอกสภาโน่นแหละ เขาว่าผู้เฒ่ารักสาว เขาว่าผู้เฒ่ารักเด็กสาวว่างั้น เขาว่าหลวงปู่มั่นรักเด็กผู้สาวนั่น คือ วันท่านภาวนาของท่านนั้น ทางนี้ภาวนาเป็นยังไง วันไหนแปลกๆ ท่านจะสั่งออกไปข้างนอก ไปวัดตอนฉันจังหันเสร็จแล้ว ก็เอากันตอนนั้นละ พระเณรนี้รุมเต็มหมดเลยเวลาแกไปนี่

    แกเล่าภาวนาทางด้านจิตใจของแก ก็คนไม่ได้เรียนนี่ เวลาเป็นยังไงก็พูดตามเรื่องความเป็น ก็สนุกฟังละซิ พระเณรนี้ล้อมเต็มไปหมดเลย

    แกก็ไปกับพวกคนเฒ่าคนแก่ ไปจังหันนั่นแหละ บางที่ไปบิณฑบาตอย่างนี้ พอไปถึงจุดนั้นจะบอก “วันนี้ออกไปวัดนะ” แน่ะท่านสั่งไว้นะ วันนี้ท่านได้เหตุแล้วกลางคืนนั้น เป็นยังไงภาวนาเมื่อคืนนี้ นั่นเอาละนะ ถ้าธรรมดาๆ ท่านก็ไม่ว่า ถ้าวันไทยทางนี้เขาภาวนาแปลกๆ แล้วท่านจะสั่งทางโน้นแหละ
    ท่านก็เหมือนญาณหยั่งทราบอยู่ตลอดเวลาจะว่าไงทางนี้ จนเก็งได้เลยว่าวันนี้ญาท่าน เรียกญาท่าน คือความเคารพเรียกญาท่าน วันนี้ญาท่านจะให้ออกไปวัดแน่ๆ ละวันนี้ ภาวนาเป็นอย่างนี้ พอบิณฑบาตมาถึงนั้น “วันนี้ออกไปวันนะ” นั่นเห็นไหม ท่านหยั่งทราบทุกอย่าง

    ทีนี้พอท่านจะจากที่นั่นไป ท่านก็บอกตรงๆ เลย บอกว่า “นี่ถ้าเป็นผู้ชายแล้วเราจะเอาไปด้วย เอาไปบวชเป็นเณร” ท่านว่าอย่างนั้นนะ เอาไปบวชเป็นเณรด้วย อายุแกตอนนั้นก็ในราว 1617 ปี

    “นี่เป็นผู้หญิงมันลำบากลำบนไม่เอาไปแหละ อยู่นี่แหละ จะเป็นบ้าครอบครัวเหมือนโลกเขาก็แล้วแต่เถอะ” ท่านว่าอย่างนั้นนะ จะเป็นบ้าครอบครัวเหมือนโลกเขาก็แล้วแต่เถอะท่านว่า ท่านจะไปแล้วท่านก็ไป “แต่อย่าภาวนานะ”

    นี่สำคัญ ท่านสั่งไว้จุดนี้แหละ คือ นิสัยแกผาดโผนมาก เรื่องภาวนานี้นิสัยผาดโผนมากจริงๆ เหาะเหินเดินฟ้าดำดินบินบนในหัวใจ มันออกรู้ออกเห็นหมด เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมเปรตผีนี้ มันไปรู้ไปหมดนั่นซิ ทีนี้เวลาไม่มีครูมีอาจารย์คอยแนะคอยบอกกลัวมันจะเสีย ท่านจึงห้ามไม่ให้ภาวนา “เราไปนี้ไม่ต้องภาวนาแหละ ต่อไปมันก็จะมีครูมีอาจารย์สอนเหมือนกันนั่นแหละ” ท่านว่าอย่างนี้

    ท่านว่าผ่านๆ ไปอย่างนี้แหละ ต่อไปมันก็จะมีครูมีอาจารย์สอนเหมือนกันนั่นแหละ

    ตอนนี้อย่า อย่าภาวนานะ ท่านห้าม แกก็ไม่ภาวนา

    พอทีนี้นานเข้าๆ หนักเข้ามันอดไม่ได้ มันอยากภาวนาอยู่ตลอด แกก็เลยภาวนา ก็พอดีเป็นจังหวะที่เราไปที่นั่นพอเหมาะดีเลยเทียว ไปแกก็มาเล่าให้ฟัง เราไปจำพรรษาอยู่บนภูเขาให้หมู่เพื่อนจำข้างล่าง เรากับเณรหนึ่งไปจำพรรษาอยู่บนภูเขา บ้านห้วยทรายนั่นแหละ

    พอวันพระหนึ่งๆ พวกเขาจะไป ไปพร้อมกันไปละ ไปทั้งวัดเขาเลยแหละ พวกแม่ชีแม่ขาวหลั่งไหลกันไปขึ้นภูเขาหาเราตอนบ่าย 4 โมง 4 โมงเย็นเขาก็ไป ตอนจวน 6 โมงเย็นเขาก็กลับลงมา แกไปเล่าให้ฟัง ขึ้นต้นก็น่าฟังเลยนะ พอแกขึ้นต้นก็น่าฟังทันที “นี่ก็ไม่ได้ภาวนา เพิ่งเริ่มมาภาวนานี่แหละญาท่านมั่นท่านไม่ให้ภาวนา” แกว่าอย่างนั้น ท่านห้ามไม่ให้ภาวนา

    เราก็สะดุดใจกึก มันต้องมันหนึ่งแน่นอน ลงหลวงปู่มั่นห้ามไม่ให้ภาวนานี้ต้องมีอันหนึ่งแน่นอน แกก็ไปเล่าภาวนาให้ฟังนี้ โถ ไม่ใช่เล่นๆ พิสดารเกินคาดเกินหมาย

    เราก็จับได้เลยทันที อ๋อ อันนี้เองที่ท่านห้ามไม่ให้ภาวนา

    พอไปอยู่กับเรา วันนี้เปิดให้รู้เสีย ไปหาเราก็ภาวนา พูดตั้งแต่เรื่องความรู้ความเห็น ไปโปรดเปรตโปรดผีโปรดอะไรต่ออะไร นรกสวรรค์แกไปได้หมดรู้หมดแกรู้ ทีนี้เวลาภาวนามันก็เพลินแต่ชมสิ่งเหล่านี้ ครั้นไปหาเรานานเข้าๆ เราก็ค่อยห้ามเข้า หักเข้ามาเป็นลำดับลำดาห้ามไม่ให้ออก ต่อไปห้ามไม่ให้ออกเด็ดขาด นี่แหละเอากันตอนนี้ ต่อไปห้ามไม่ให้ออกเด็ดขาด นี่แหละเอากันตอนนี้

    ทีแรกให้ออกได้ ให้ออกก็ได้ไม่ออกก็ได้ ได้ไหมเอาไปภาวนาดู ครั้งต่อมาไม่ให้ออก ต่อมาตัดเลยเด็ดเลย ห้ามไม่ให้ออกเป็นอันขาด นั่นเอาขนาดนั้นนะทีนี้

    ให้แกรู้ภายใน อันนั้นเป็นรู้ภายนอก ไม่ใช่รู้ภายใน ไม่ใช่รู้เรื่องแก้กิเลส จะให้แกเข้ามารู้ภายในเพื่อจะแก้กิเลส แกไม่ยอมเข้า เถียงกันแกก็ว่าแกรู้ แกก็เถียงกันกับเรานี่แหละตอนมันสำคัญนะ พอมาเถียงกับอาจารย์ อาจารย์ก็ไล่ลงภูเขา ร้องไห้ลงภูเขาเลย

    “ไป จะไปที่ไหนไป สถานที่นี่ไม่มีบัณฑิตนักปราชญ์ มีแต่คนพาลนะ ใครเป็นบัณฑิตนักปราชญ์ให้ไป ลงไป” ไล่ลงเดี๋ยวนั้น ร้องไห้ลงไปเลย
    เราก็เฉย น้ำตานี้ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร เราเอาตรงนั้น ไล่.. “ลงไป อย่าขึ้นมานะ แต่นี้ต่อไปห้าม” ตัดเด็ดกันเลย ไปได้ 45 วันโผล่ขึ้นมาอีก

    “ขึ้นมาอะไร”

    “เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อน เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อน”

    “มันอะไรกันนักปราชญ์ใหญ่” เราว่าอย่างนี้นะ ว่านักปราชญ์ใหญ่

    “เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อน เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อน” คราวหลังแกจึงเล่าให้ฟัง คือไปมันหมดหวัง แกก็หวังจะพึ่ง ก็พูดเปิดอกเสียเลย แกหวังว่าจะพึ่งอาจารย์องค์นี้ ชีวิตจิตใจมอบไว้หมดแล้วไม่มีอะไร แล้วก็ถูกท่านไล่ลงจากภูเขา เราจะพึ่งที่ไหนแล้วเหตุที่ท่านไล่ท่านก็มีเหตุผลของท่านว่าเราไม่ฟังคำท่าน ท่านไล่นี่ ถ้าหากว่าเราจะถือว่าท่านเป็นครูเป็นอาจารย์ แล้วทำไมจึงไม่ฟังคำของท่าน เพราะเราอวดดีแล้วมันก็เป็นอย่างนี้ ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร ทีนี้ก็เลยเอาคำของท่านมาสอนมาปฏิบัติ มันจะเป็นยังไง เอาว่าซิมันจะจมก็จมไปซิ

    คราวนี้เลยเอาคำของเราไปสอน บังคับไม่ให้ออกอย่างว่านั่นแหละ แต่ก่อนมีแต่ออกๆ ห้ามขนาดถึงว่าไล่ลงภูเขา แกไม่ยอมเข้ามีแต่ออก รู้อย่างเดียวพอไปหมดท่าหมดทางหมดที่พึ่งที่เกาะแล้วก็มาเห็นโทษตัวเอง ถ้าว่าเราถือท่านเป็นครูเป็นอาจารย์ ทำไมไม่ฟังคำท่าน

    ฟังคำท่านซิ ทำลงไปแล้วเป็นยังไงให้รู้ซิ เลยทำตามนั้น พอทำตามนั้นมันก็เปิดโล่งภายในซิที่นี่ จ้าขึ้นเลยเชียว นี่ก็สรุปความเอาเลย นี่แหละที่กลับขึ้นมา กลับขึ้นมาเพราะเหตุนี้ ทีนี้ได้รู้อย่างนั้นๆ ละที่นี่ รู้ตามที่เราสอนนะ เออ เอาละทีนี้ขยำลงไปนะตรงนี้ ทีนี้อย่าออกอย่างยุ่งๆ มานานแล้วไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร เหมือนเราดูดินฟ้าอากาศ ดูสิ่งเหล่านั้นน่ะ ดูเปรตดูผีดูเทวบุตรเทวดา มันก็เหมือนตาเนื้อเราดูสิ่งเหล่านี้ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร ถอนกิเลสตัวเดียวก็ไม่ได้

    นี่ตรงนี้ตรงถอนกิเลส เราก็ว่าอย่างนี้ เอ้า ดูตรงนี้นะ แกก็ขยำใหญ่เลย เอาใหญ่เลย ลงใจ ไม่นานนะก็ผ่านไป
    แกบอกแกผ่านมานานนะ สมควรที่อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุได้รวดเร็ว

    เราก็ไปอยู่นั้นปีหนึ่งปีที่สองนั่นละ ปีแรกปีขนาบกันใหญ่ ปีไล่ลงภูเขานั้นปีแรกเราจำพรรษาบนภูเขา พอออกพรรษามาแล้วแกก็ขนาบใหญ่เลย เอาตัวเองใหญ่เลยก็ผ่าน ผ่านได้

    เพราะงั้นเวลาแกตายแล้วอัฐิของแกจึงกลายเป็นพระธาตุ เป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้ว

    ก็นานขนาดนั้นนะ พ.ศ. 94 เราไปจำพรรษาที่ห้วยทราย ในราวสัก 95 ละมั้งแกก็ผ่าน จากนั้นมาจนกระทั่งถึงแกได้เสียไปได้ 3 ปีนี้มั้ง 3536 นี้ละมั้งเราก็ลืมเสีย แกเสียได้ 23 ปีนี้ ตั้งแต่โน้นมาจนกระทั่งถึงวันแกเสียมันก็นาน ก็กลายเป็นพระธาตุได้ง่าย

    อัฐิกลายเป็นพระธาตุนี้ไม่แน่ เรื่องเป็นนั้นเป็น เป็นได้ไม่สงสัย แต่จะเป็นช้าเป็นเร็วนั้น เป็นอยู่กับจิตของผู้ทรงจิตที่บริสุทธิ์นั้น ถ้าบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็วแล้วก็ตายเสียอย่างรวดเร็วนี้ อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุช้ามาก เพราะจิตใจนี้ยังไม่ได้ฟอกธาตุขันธ์ให้มีความละเอียดลออให้มีความสะอาดสะอ้าน แล้วเจ้าของตายไปเสียก่อน จิตก็ยังไม่ได้ฟอกให้ถึงขีดถึงที่ถึงแดน

    อันนี้จะกลายเป็นพระธาตุช้า

    องค์ไหนที่อบรมเจ้าของอยู่ ค่อยคืบคลานไปเรื่อย คืบคลานไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติ เสร็จแล้วค่อยตาย อย่างนี้อัฐิก็กลายเป็นพระธาตุได้เร็ว และยังครองขันธ์อยู่อีก ต่อไปอีก นอกจากจิตบริสุทธ์แล้วยังครองขันธ์ไปอีกนานนี้ยิ่งเร็ว

    พอตายไปแล้วอัฐิก็กลายเป็นพระธาตุได้อย่างรวดเร็ว

    มันเป็นชั้นๆ คือจิตที่บริสุทธิ์นี้ฟอกขันธ์ฟอกธาตุฟอกโดยหลักธรรมชาติก็ฟอกอยู่อย่างนั้น

    แล้วเวลาเข้าที่เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา จิตส่งเข้าข้างในนี้ยิ่งเป็นการฟอก ภาวนาเท่าไรก็ยิ่งฟอกเข้าไปเรื่อยๆ มันสะอาด ในเวลาตายแล้วอัฐิก็กลายเป็นพระธาตุได้ แต่ถ้าหากว่าท่านอธิษฐานไม่ให้เป็นพระธาตุนี้อาจไม่เป็นนะ มันก็ไม่แน่นักนะ เพราะจิตของท่านมีอำนาจนี่ เช่น อย่างท่านตายท่านอธิษฐานจิตของท่านไม่ให้กลายเป็นพระธาตุ อย่างนี้ก็อาจเป็นได้นะ อาจจะไม่เป็นพระธาตุแหละ

    คือ จะเป็นได้ตามท่านอธิษฐานไม่ให้เป็นพระธาตุนี้อาจเป็นได้นะ เพราะจิตท่านมีอำนาจ เช่น อย่างพระอานนท์ตายแล้วอัฐิก็แยกออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งแม่น้ำอะไรลืมแล้วแหละที่พระอานนท์นิพพาน อธิษฐานอัฐิร่างกายของตัวเองให้แตกเป็น 2 ภาคเลย ไปฝั่งโน้นภาคหนึ่ง ฝั่งนี้ภาคหนึ่ง นี่พระอานนท์ ก็อย่างนั้นแล้วบริสุทธิ์แล้ว อัฐิกลายเป็น 2 ภาคไปฝั่งแม่น้ำอะไรนะ เป็นญาติทั้งสองฝ่ายนั้นแหละ
    เมื่อพูดตามตำราแล้วเป็นญาติเป็นลูกศิษย์ทั้งสองฝ่าย จะต้องได้ทั้งสองฝ่าย

    http://www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใจ/137220/มรดกธรรมคุณแม่ชีแก้ว-เสียงล้ำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2012
  2. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    พูดถึงเรื่องอัฐิกลายเป็นพระธาตุนี้ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนี้มีมาก ที่ชัด ๆ มาแล้วก็หลายองค์แล้วนี่ร่วมสิบแล้ว แต่เราจำได้นะ หลวงปู่เสาร์ท่านก็กลายเป็นพระธาตุของท่าน อาจารย์ของหลวงปู่มั่นนะ อันนั้นก็กลายเป็นพระธาตุของท่านอย่าง

    หลวงปู่มั่นของเรานี้เป็นพระธาตุอย่างพิสดารมากนะไม่เหมือนพระธาตุใด ๆ ในบรรดาพระธาตุทั้งหลายนี้

    หลวงปู่มั่นนี่พิสดารมากทีเดียว เป็นแก้วใส ๆ เขียว ๆ ก็มีอยู่ในผอบเดียวกัน ทีแรกก็เป็นอัฐิด้วยกันทั้งนั้นนะ ครั้นต่อมานี่แยกตัวออกเป็นเหมือนแก้วขาว ๆ แล้วต่อมาบางชิ้นก็เป็นเหมือนแก้วเขียว ๆ เขาเรียกแก้วผลึกหรืออะไรเขียว ๆ แล้วกลายเป็นพระธาตุขึ้นมา เป็นพระธาตุกลม ๆ อย่างนี้ใสแจ๋วเลย

    บางองค์ก็เป็นพระธาตุเหมือนพระธาตุธรรมดาพระธาตุพระอรหันต์ธรรมดา เท่าเมล็ดข้าวโพด ๆ อันนี้มีเยอะ แต่ที่แยกที่แตกออกไปเป็นแปลก ๆ ต่าง ๆ นั้นมีน้อย นี่แหละแปลกอยู่

    หลวงปู่มั่นนี่แปลกอยู่มาก ท่านคงขัดมาขานเหมือนกันนะ อายุท่านพรรษาท่าน 22-23 ปีมั้ง หรือจะเลยนั้นก็ไม่ทราบ ท่านมาผ่านที่เชียงใหม่ ที่ท่านได้หลักเกณฑ์ท้าทายได้ก็ไปฝึกอยู่ถ้ำสาริกา ที่ว่าต่อสู้กับผีใหญ่ยักษ์ใหญ่เขียนไว้ในประวัติฯ เวลาจิตมันสว่างจ้านี้ครอบโลกธาตุท่านว่า มองไปเห็นหมดทุกอย่างเลย

    อยู่ที่ถ้ำสาริกานั่นแหละเป็นครั้งแรกท่านบอก ท่านไม่เคยเป็นมาแต่ไหนแต่ไร เป็นครั้งแรกเท่านั้นแหละท่านว่าอย่างนั้น

    จากนั้นมาท่านก็ได้หลัก ท้าทายได้เลยทีนี่ท่านก็กลับมาที่เชียงใหม่ มาเป็นที่เชียงใหม่ แต่มาเป็นที่เชียงใหม่ไม่ทราบเป็นพรรษาที่เท่าไรเราไม่รู้เสีย จากนั้นท่านก็ผ่านมาอยู่นี้อีกนาน กว่าท่านจะมรณภาพก็มาอยู่ที่อุดรฯ ตั้ง 10 ปี มาจากเชียงใหม่มาอยู่อุดรฯ ก็ตั้ง 10 ปี ท่านถึงมรณภาพ

    [​IMG]
    ท่านอาจารย์พรหม (หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ) นี้ก็เป็นมาตั้งแต่โน้น
    เชียงใหม่นี้เพาะพระอรหันต์หลายองค์นะที่เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่มั่นเราก็ใช้ หลวงปู่พรหมก็ใช่ หลวงปู่ขาว(อนาลโย) ก็ใช่ หลวงปู่แหวน (สุจิณโณ) ก็ใช่ 4 องค์ที่เชียงใหม่นะนี่ว่าเราผลิตพระอรหันต์ขึ้นได้หลายองค์ เท่าที่เราจำได้นะ 4 องค์ คือหลวงปู่มั่นองค์หนึ่ง หลวงปู่ขาวองค์หนึ่ง หลวงปู่แหวนองค์หนึ่ง หลวงปู่พรหมองค์หนึ่ง แต่เมืองอุดรฯ เรานี้ผลิตได้ตั้งแต่เสื่อกับหมอน พูดแล้วโมโห เอ้อ พอหันมาหาเจ้าของทีไรแฟบหมด มันน่าโมโหนะ หันไปทางไหนก็น่าเพลิดน่าเพลิน หันไปหันทางโน้นทางนี้รอบตัวน่าเพลิดน่าเพลิน พอหันมาหาเจ้าของมีแต่กองมูตรกองคูถ น่าโมโหนะ

    นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าประกาศท้าทายอยู่ตลอดไปนะ คือพื้นที่แห่งธรรมแล้วเหมือนกับสมบัติมีในร้านเต็มไปหมด ใครจะเอาไปทำประโยชน์อะไรก็ได้ ถ้าไม่ทำประโยชน์จะให้กองเต็มร้านอยู่อย่างนั้นก็เป็นทองเต็มร้านอยู่อย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าจะเอาไปทำประโยชน์ ก็เป็นประโยชน์อย่างนั้น
    นี้ศาสนาธรรมของพระพุทธเจ้าเหมือนตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน สินค้าเต็มเลย สินค้ามรรคผลนิพพาน ถ้าผู้ปฏิบัติตามหนักเบามากน้อยก็จะได้มาครอง
    ได้มาครองมากน้อย ๆ ที่ว่าผลิตขึ้นเป็นพระโสดา พระสกิทา พระอนาคา พระอรหันต์นั้นล้วนแล้วแต่สินค้าที่เลิศเลอ ออกมารจากพุทธศาสนาทั้งนั้น
    ถ้าผู้ปฏิบัติตามจะเป็นผู้ได้ครองธรรมเหล่านี้เป็นอริยธรรม ผู้ไม่ปฏิบัติจะนั่งเฝ้าคัมภีร์อยู่เฉย ๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์ เรียนก็เรียนมางั้นก็มีความจำ ความจริงไม่มีในหัวใจ กิเลสไม่ถลอกปอกเปิกจะว่าอะไร ว่าให้เจ้าของเองนี่ แบกมหาไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น เราลืมเมื่อไรเรียนมาเต็มหัวอกแต่ไม่รู้จักวิธีจะปฏิบัติ เช่น เครื่องทำครัวนี้ เราไม่ใช่นักทำครัว เราไม่ใช่แม่ครัว อาหารเครื่องทำครัวเต็มรอบด้านรอบตัวเอง แต่จะจับอะไรมาใส่อะไรผสมอะไร ที่จะเป็นแกงเป็นต้มเป็นอาหารประเภทใดนี้จับมารไม่ถูกน่ะซิ อันไหนก็เป็นเครื่องครัวทั้งนั้น แต่ไม่ทราบว่าเครื่องครัวอันไหนจะเอามาประกอบกับอะไรถึงจะเป็นอาหารประเภทนั้น ๆ ขึ้นมานี้ เราไม่ใช่แม่ครัวเราไม่ร้า

    อันนี้เรียนมาก็แบบเดียวกัน อาหารเต็มเครื่องทำครัวเต็ม แต่ไม่รู้จักวิธีประกอบ
    พอไปถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ ท่านบอกหยิบอันนั้นมาใส่อันนี้ หยิบอันนี้มาใส่อันนี้ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องทำนี้ เท่ากับว่าหยิบเอาเครื่องครัวมาทำอย่างนั้นมาทำอย่างนี้ ก็สำเร็จเป็นแกงเป็นนั้นขึ้นมา นี่ก็สำเร็จเป็นพระสกิทา เป็นพระอนาคา เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาซิจะว่ายังไง

    นี่แหละสำเร็จเป็นแกงขึ้นมา เป็นชั้นๆ ขึ้นมาจนกระทั่งถึงอรหัตภูมิออกมาจากนี้แหละ แล้วเราเรียนมามันไม่เกิดประโยชน์อะไร ไม่รู้จักใช้ เวลาท่านหยิบยกก็เรียนๆ มาแล้ว พอท่านว่าอะไรปั๊บก็เข้าใจทันทีๆ เพราะเรียนมาแล้ว แต่ไม่รู้วิธีประกอบเท่านั้นเอง มันก็เข้าใจๆ

    ศาสนาของพระพุทธเจ้าจึงเป็นศาสนาที่ท้าทายได้เลย เป็นศาสนาที่เลิศโลก เป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสารคู่บ้านคู่เมือง คือพุทธศาสนา ศาสนานี้เป็นศาสนาที่ยืนยันได้ เป็นศาสนาคู่โลก คู่สงสาร คู่บ้านคู่เมือง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้แต่ธรรมประเภทนี้แหละขึ้นมาเป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพานๆ ผู้ปฏิบัติตามก็เป็นคนดีโดยลำดับเป็นอย่างน้อย มากกว่านั้นก็เป็นอริยบุคคล เป็นอริยภูมิไปเรื่อย ๆ สำเร็จเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาตามธรรมของพระพุทธเจ้า

    ไม่มีคำว่าไร้ผลไร้ประโยชน์ สฺวากฺขาโต ภควตาธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ที่ว่าดีแล้วชอบแล้ว จะนิพพานแล้วก็ยังชอบแล้วอยู่อย่างนั้นดีแล้วอยู่อย่างนั้น อันไหนที่ว่าผิดก็ผิดอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วก็ผิดอยู่อย่างนั้น ใครไปทำก็ร้อนเป็นไฟไปเลย พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วอันไหนที่เย็นก็เย็นอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้านิพานแล้วก็เย็นอยู่อย่างนั้น

    จึงเรียกว่าตรัสไว้ชอบแล้วอย่างที่ท่านรับสั่งขนาบพระอานนท์ เราก็ยังไม่ลืมได้พูดให้ลูกศิษย์ฟังหลายครั้งแล้ว ไปขออาราธนาพระพุทธเจ้าให้อยู่โปรดสัตว์โลกไปนานๆ พระอานนท์ไปอาราธนาพระพุทธเจ้าให้อยู่โปรดสัตว์โลกไปนานๆ ท่านขู่เลย “อานนท์มาหวังอะไรกับเราอีก สวากขาตธรรมเราตรัสไว้ชอบแล้วทุกอย่าง นั้นคือองค์ศาสดาแทนเรา” นั่นเห็นไหมท่านดุเอา

    “เราตรัสไว้ชอบแล้วทุกอย่าง อยู่ในธรรมนั้นหมด นั่นละศาสดาองค์เอก คือธรรมคือวินัยนั้นแล นั่นแหละเป็นศาสดาแทนเราจะเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต เมื่อเราผ่านไปแล้ว”

    จากนั้นมาก็ปลอบโยน “เอาเถอะอานนท์ขอให้ปฏิบัติตามสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้เถิด พระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะอานนท์” นี่คำปลอบ ปลอบคำหลังนี้ “ขอให้ปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยที่เราสอนไว้แล้วนี้เถิด พระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะอานนท์” ท่านบอกงั้นเลย

    เอาละทีนี้ให้พร

    มรดกธรรมคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ (จบ) - โพสต์ทูเดย์ ข่าวธรรมะ-จิตใจ-
     
  3. mailma16

    mailma16 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +87
    งานบูชาคุณ แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ ที่มุกดาหาร ปี2555

    จัดวันที่เท่าไรครับ jaidee2011@hotmail.com
     
  4. mol

    mol สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +4
    งานบูชาคุณ แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ ที่มุกดาหาร ปี2555

    งานบูชาคุณ แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ ที่มุกดาหาร ปี2555
    จัดสวดมนต์เย็นวันเสาร์ที่๒๔ และฉันเช้าวันอาทิตย์ที่๒๕ มีนาคม
    (จัดทุกปีวันเสาร์-อาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม)
     

แชร์หน้านี้

Loading...