พระสมเด็จสิงห์ป้อนเหยื่อหลวงพ่อมีวัดมารวิชัยพระแก้วมรกตพิธีพรหมศาสตร์วัดทุ่งเสรี๒๕๑๙

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,193
    ค่าพลัง:
    +21,388
    FB_IMG_1748193011086.jpg

    หลวงพ่อสง่า อนุปุพฺโพ อดีตเจ้าอาวาสแห่งวัดหนองม่วงจังหวัดราชบุรี มีนามเดิมว่า สง่า เล่ห์ปะสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 11มีนาคม 2459 เป็นบุตรของนายเขี้ยมและนางเม้า เล่ห์ปะสุวรรณ ณ บ้านหม้อ ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ชีวิตในวัยเยาว์ของท่านได้รับการศึกษาจากโรงเรียนวัดบ้านหม้อโดยมีบรรดาพระภิกษุสงฆ์ เป็นผู้อบรมสั่งสอนวิทยาวิชาการ อีกทั้งบางวันยังต้องนอนค้างที่วัดเพื่อช่วยปรนนิบัติรับใช้ พระสงฆ์อยู่เสมอๆ ดังนั้นชีวิตของหลวงพ่อสง่าจึงอยู่ใกล้ชิดกับพระและวัดมาโดยตลอดจนกระทั่ง ท่านเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จึงได้ออกจากโรงเรียนมาช่วยครอบครัวทำไร่ทำนา อุปนิสัยของท่านในวัยหนุ่มก็เหมือนกับวัยรุ่นในสมัยนั้นส่วนใหญ่ทั่วไป คือเมื่อเสร็จจากการทำงานก็มักไปเที่ยว เล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆไปตามเรื่อง บางครั้งท่านก็ไปเที่ยวยังหมู่บ้านอื่น เพื่อเสาะแสวงหาความรู้ด้านคาถาอาคมจากครูอาจารย์ที่เก่งๆ แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจจนกระทั่งทราบมาว่าที่วัดไทรอารักษ์ มีอาจารย์ที่เชี่ยวชาญคาถาอาคมอยู่รูปหนึ่ง ท่านจึงดั้นด้นไปพบเพื่อขอเรียนวิชาแต่หลวงพ่อวัดไทรอารักษ์ กลับตั้งคำถามว่ามาจากที่ใดและพอทราบว่ามาจากบ้านหม้อ ท่านจึงปรารภขึ้นว่า "หาหญ้ากินไกลคอกเหลือเกินนะเรา อย่าลืมหญ้าปากคอกดูบ้างว่าหญ้าปากคอกนั้นงามขนาดไหน" นายสง่าในขณะนั้นได้แต่คิดถึงถ้อยคำปริศนาที่หลวงพ่อวัดไทรฯได้พูดถึงแต่ก็คิดไม่ออก จนกระทั่งไม่นานท่านจึงไขปริศนาได้ว่า หญ้าปากคอกที่พูดถึงนั้นก็คือท่านพระครูเจ้าอาวาส วัดบ้านหม้อนั่นเอง ท่านจึงได้ปวารณาตัวเป็นศิษย์เพื่อเล่าเรียนวิชาอาคมนานนับปี จนมีความรู้แคล่วคล่องในบทสวด คาถาอาคม อักขระเลขยันต์พอควร ต่อมาในปี 2481 ท่านได้ตัดสินใจอุปสมบทที่วัดบ้านหม้อ จ.ราชบุรี ขณะมีอายุได้ 22 ปีโดยมี พระอธิการกลิ่น วัดคงคาเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เกลี้ยง วัดเฉลิมอาสน์เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เช้งและพระอาจารย์แป๊ะ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ (สมัยนั้นใช้พระคู่สวดในพิธีกรรมถึง 3 รูป) ได้รับฉายาว่า อนุปุพฺโพ ครั้นอุปสมบทแล้วท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดบ้านหม้อ เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจนสามารถ สอบได้นักธรรมชั้นตรีและโทตามลำดับ รวมถึงวิชาอาคมที่ได้รับการถ่ายทอดมาจาก พระอาจารย์แป๊ะ พระอาจารย์เปีย วัดบ้านหม้อและวิชาการแพทย์แผนโบราณ วิชาสมุนไพร จนกระทั่งเรียกได้ว่ามีความเชี่ยวชาญยากหาใครเทียบในเวลานั้น ต่อมาในปี 2484 ทางวัดหนองม่วง อ.บางแพ จ.ราชบุรี ขาดพระสงฆ์ผู้นำที่จะดูแลวัด ชาวบ้านและไวยาวัจกรจึงได้พร้อมใจนิมนต์ท่านให้มาดูแลและพัฒนาวัดหนองม่วง หลวงพ่อสง่าพิจารณาดูแล้วเห็นด้วยกับเจตนาอันบริสุทธิ์ของชาวบ้าน ท่านจึงได้ย้ายมาอยู่ ที่วัดหนองม่วงตามคำขอและได้พัฒนาวัดให้ดีขึ้น ตามที่ชาวบ้านต้องการดังที่เห็นในปัจจุบัน โดยได้ใช้วิชาความรู้ที่เรียนมาให้เกิดประโยชน์กับชาวบ้านอย่างสูงสุด
    การศึกษาพุทธาคม
    หลวงพ่อสง่าเริ่มศึกษาคาถาอาคมและอักขระเลขยันต์ มาตั้งแต่ตอนสมัยเป็นหนุ่ม ทั้งวิชาสักยันต์ รดน้ำมนต์ ครั้นเมื่อท่านได้อุปสมบท แล้วก็ยังให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องด้วยว่า แม้ไม่ใช่กิจของสงฆ์แต่ก็เป็นความนิยมของคนสมัยนั้น เพื่อให้เกิดศรัทธายึดเหนี่ยวทางจิตใจ โดยหลวงพ่อท่านได้เป็นอาจารย์สักยันต์อยู่หลายปีจนกระทั่งได้ข่าวว่า ผู้ที่ท่านสักให้ส่วนมากไปกระทำความชั่ว เป็นนักเลงเพราะฮึกเหิมลำพองในความคงกระพันของรอยสักที่หลวงพ่อสักให้ ท่านจึงได้เลิกพิธีกรรมการสักทั้งหมด เพราะเห็นว่าสิ่งนี้ไม่เกิดแก่นสารที่แท้จริง หลังจากนั้นเมื่อมีเวลาว่างท่าน ท่านได้ไปขอต่อวิชากับ หลวงปู่ดี วัดบ้านยาง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ซึ่งเก่งในด้านการสร้างพระปิดตามหาอุตม์ คงกระพันชาตรี, หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ จ.กาญจนบุรี โดยได้รับการถ่ายทอดวิชาลบผงอิทธิเจ ปถมัง และการเขียนยันต์ 108, หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ได้วิชามหาอุตม์, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมได้ครอบครูนะเมตตาและได้รับการสอนวิชาเจริญวิปัสสนา และท่านยังมีครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆอีกมากมาย ปฏิปทากิตติคุณและคุณธรรมของหลวงพ่อสง่า หลวงพ่อท่านจะมีเมตตาธรรมสูงส่งยิ่งนัก ท่านได้พัฒนาวัดหนองม่วง และพัฒนาคนในชุมชนวัดหนองม่วง ให้รู้จักหลักการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข สอนให้ทุกคนรู้จักอดทน ให้หมั่นเพียรพยายามพึ่งตนเองเป็นหลัก เอาชนะใจตนเองให้ได้ ท่านจะเน้นวิถีชีวิตอย่างชาวบ้านดั่งที่ท่านพร่ำสอนศิษย์เสมอว่า "คนเราถ้าไม่รวยก็อย่าจน ให้มีหิริโอตัปปะ ให้มีความอดทนและเพียรพยายามจะไม่อดตาย ความจนความรวย เราไม่ได้เอามาตั้งแต่เกิด แต่เราทำตัวเราให้รวย ให้จนได้ทั้งนั้น เป็นหนี้ก็เอามาให้พระแก้ เราต้องแก้ที่ต้นเหตุคือตัวเราเอง หาได้ใช้เป็น ใช้ให้น้อย หาพอเพียงก็จะไม่จน" อนิจจัง วัตสังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา หลวงพ่อสง่าท่านก็ไม่อาจพ้นจากพระพุทธพจน์บทนี้ได้ หลวงพ่อสง่าท่านได้ละสังขารลงอย่างสงบ เมื่อวังอังคาร แรม 4 ค่ำ เดือน 4 ปีวอก ตรงกับวันที่ 29 เดือนมีนาคม ปี 2547 สิริอายุรวม 88 ปี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญรุ่นอาเสี่ยหลวงพ่อสง่าวัดบ้านหม้อ ราชบุรี
    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาท

    IMG_20250525_214746.jpg IMG_20250525_214823.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,193
    ค่าพลัง:
    +21,388
    _1_~3.JPG

    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อมหาวิบูลย์ได้ทำการจารพระอยู่ในห้องส่วนตัวด้านใน ในขณะนั้นก็มีลูกศิษย์เป็นนายทหารมากราบท่าน และนั่งรออยู่ด้านนอกห้องซักพักก็มีเสียง ดัง แก๊ก เหมือนเสียงเหรียหล่น
    ลงมากระทบพื้น คนที่นั่งรอก็หันไปมองตามเสียงปรากฏว่าเป็นเหรียญหันข้างรุ่นแรกของท่านกำลังกลิ้งอยู่ที่พื้นหน้าห้อง โดยที่ห้องนั้นก็ยัง
    ปิดสนิทเหมือนเดิม เมื่อเห็นดังนั้นเค้าจึงคว้าเหรียญดังกล่าว เก็บโดยไว เพราะคิดว่าเทวดาให้ศิษย์ทหารคนดังกล่าวเก็บเรื่องนี้มาเงียบๆจนวันหนึ่งได้กราบหลวงพ่อสุจินต์ที่เป็นศิษย์หลวงพ่อมหาวิบูลย์ศิษย์ทหารจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้หลวงพ่อสุจินต์ฟัง
    เมื่อหลวงพ่อสุจินต์ได้ฟังจึงไปสอบถามกับหลวงพ่อมหาวิบูลย์ หลวงพ่อมหาวิบูลย์จึงบอกว่า ในตอนนั้นกำลัง ลงจารวัตถุมงคลด้วยวิชา นะปัดตลอด ซึ่งท่านได้ร่ำเรียนมาจากหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีเหรียญที่ทะลุจากผนังห้องออกมาอาจจะเป็นผลพลอยได้จากอานุภาพของวิชาที่ท่านกำลังใช้อยู่
    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฮือฮามากในหมู่ศิษย์ครับ
    เหรียญแลกชีวิตเมื่อหลายปีก่อนมีโอกาศไปกราบหลวงมหาวิบูลย์ได้ไปฟังธรรมะหลายๆอย่างจากท่านท่านเมตตาเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังมากมายทั้งที่เป็นธรรมะ
    และเรื่องตื่นเต้นเร้นลับ (หากมีเวลาจะเอามาเล่าให้ฟัง)
    ในวันนั้นผมได้นำเหรียญพระพุทธสิหิงค์ ปี 2537
    ไปให้ท่านเมตตาอธิษฐานจิตเพิ่มให้พร้อมๆกับของเพื่อนๆ
    เมื่อท่านอธิษฐานจิตเสร็จท่านก็หยิบเหรียญนี้ขึ้นมาแล้วบอกว่าเหรียญนี้บางคนก็เรียกว่าเหรียญแลกชีวิตแล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า มีคนในแม่สอดมาเล่าให้ท่านฟังว่ามีชาวกระเหรี่ยงได้รับแจกเหรียญนี้ไปด้วยความศรัทธาท่านจึงนำไปห้อย แล้วเกิดการหักหลังกันในกลุ่มจึงโดนตามล่า หนีไปได้หลายครั้ง สุดท้ายก็ไปไม่รอดถูกจับได้ แล้วเค้าจับเอามือมัดไพล่หลัง เอาจ่อปืนยิงหัวแต่ยิงเท่าไรก็ไม่ได้ สุดท้ายคนยิงก็ล้วงเอาพระออกมาเมื่อเห็นเป็นพระท่านก็ได้สติและบอกกับคนที่ถูกยิงว่าจะให้โอกาศในครั้งนี้แต่จะต้องถอดเหรียญให้เค้า
    เพื่อแลกกับชิวิตในครั้งนี้และต้องหายไปอย่ามาให้เค้าเห็นหน้าอีกจึงเป็นที่มาของชื่อเหรียญแลกชีวิตท่านพระอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ลาพุทธภูมิและเข้าพระ นิพพานแล้ว ก่อนท่านจะนิพพาน เกศาท่านปลงภายในวันเดี่ยว แปรสภาพพระธาตุ สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก และองค์ท่านอมชมพู มีรัศมี เหมือนพระอรหันต์จะนิพพานแล้ว และนิพพานอย่างสงบ ทรงสติสัมชญะสมบูรณ์มาก
    หลวงพ่อพระมหาวิบูลย์ วัดโพธิคุณ จ.ตาก เป็นเจ้าอาวาส รูปแรกของวัดโพธิคุณ (วัดห้วยเตย) ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๑ หลวงพ่อท่านเป็นนักปฏิบัติธรรมที่เคร่งครัด มีระเบียบวินัยและอีกทั้งเป็นนักพัฒนาอีกด้วย ตลอดที่ท่านอยู่กับวัดโพธิคุณ ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด โดยไม่ได้เห็นความเหน็ดเหนื่อยใด ๆทั้งสิ้นและยังมีลูกศิษย์อีกมากมายพร้อมใจกันมาร่วมสร้างวัดให้เจริญให้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ท่านเป็นศิษย์ของพระอาจารย์หลายรูป เช่น - หลวงพ่อมหาปิ่น ชลิโต เจ้าอาวาสวัดอริยวงศาราม จังหวัดราชบุรี ได้ศึกษาธรรมปฏิบัติกรรมฐานในสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต - พระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อพุทธทาสอินทปญฺโญ) สวนโมกขพลาราม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับโอวาทจากพระเดชพระคุณท่าน - พระครูพิพัฒน์ธรรมคุณ (หลวงพ่อเตียงเนกขมฺโม) วัดเขารูปช้าง จังหวัดพิจิตร ได้ศึกษาวิทยาคมที่ได้สืบทอดมาจากหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร และศึกษาการทำตะกรุดจากท่าน - หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ได้ศึกษาธรรมะและเข้าถึงสมาธิตลอดทุกอิริยาบถอย่างเคร่งครัด และยังได้ศึกษาจากพระครูสังฆรักษ์ (ชม อนํคโณ) วัดเขานันทาพาสุภาพ จังหวัดปราจีนบุรี) พระครูวิสุทธาจารเณร (เทียม สิริปญฺโญ) วัดกษัตราธิราช จังหวัดอยุธยา และพระโพธิญาณเถร (ชา สภทฺโท) วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี , หลวงพ่อพระวิเชียรมุนี อดีตเจ้าอาวาสวัดอินทาราม หลวงพ่อพระวิเชียรมุนี นี้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อเจ้าคุณทักษิณคณิสร วัดอินทาราม พระผู้สร้างพระเพชรหลีกเพชรกลับอันโด่งดัง พระ อาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ที่ลาพุทธภูมิและเข้าพระนิพพานแล้ว ในวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ก่อนท่านจะนิพพาน เกศาท่านปลงภายในวันเดี่ยว แปรสภาพพระธาตุ สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก มีลูกศิษย์หลายท่าน ขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลจากหลวงพ่อพระมหาวิบูลย์ แต่จะให้สร้างเฉพาะพระพุทธเท่านั้น และเหรียญพระพุทธ รุ่นแรกของท่าน (เหรียญรัตนรังสี) ก็เป็นที่นิยมและต้องการ ในเหล่าลูกศิษย์ที่เคารพรักท่าน ลพ.ฯจะไม่อนุญาตให้สร้างวัตถุมงคลที่เป็นรูปของท่าน จนกระทั้ง ปี๒๕๓๘ ซึ่ง ลพ.ฯมีอายุครบ ๖๐ปี ท่านได้รับการขอร้องจากลูกศิษย์ ขอสร้างวัตถุมงคล ที่มีรูปของท่าน คือเหรียญ รูปเหมือนรุ่นแรกของท่าน จัดทำโดย กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์วัตถุมงคลต่างๆหลายรุ่นของหลวงพ่อ มักจะถูกกำหนดให้ สร้างขึ้นเนื่องในงานพิธีต่างๆ เช่น งานทอดกฐินของวัดโพธิคุณ , เนื่องในงานวันเกิดของหลวงพ่อ ๕ มีนาคม ของทุกปี และในงานสำคัญอื่นๆครับ
    ชาติภูมิ
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เกิดที่อำเภอโพธิ์ประทับช้าง (โพธิ์ทะเลเดิม) จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ บิดามารดาประกอบอาชีพด้วยการทำนาเช่นชาวนาชนบททั้งหลายในสมัยนั้น
    ท่านมีพี่น้องร่วมอุทร ๔ คน เป็นหญิง ๒ ชาย ๒ ท่านเป็นบุตรคนโต
    อยากบวชมาตั้งแต่เด็ก
    ท่านเปิดเผยว่าไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด ท่านอยากจะบวชเป็นสามเณร เป็นพระภิกษุมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ขัดที่เป็นลูกชายคนโตถ้าท่านออกบวชทางครอบครัวก็จะไม่มีคนช่วยทำงาน
    ความอยากที่จะบวชนั้น ท่านได้เดินทางไปยังวัดพระศรีมหาธาตุจังหวัดพิษณุโลก เพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อพระพุทธชินราช ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุดในประเทศไทย โดยท่านบอกว่า
    “ อาตมาได้ไปเห็นพระพุทธชินราชในครั้งนั้นแล้ว เกิดความเลื่อมใสศรัทธามนพระศาสนามากจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้หลวงพ่อพระพุทธชินราชช่วยให้อาตมาได้บวชเถิด ถ้าบวชแล้วจะไม่สึกตลอดชีวิต ”
    ...อย่างไม่คาดคิด
    ปีที่ท่านจะได้บวชเป็นสามเณร ทั้ง ๆ ที่มีอายุ ๒๐ แล้ว แต่ยังไม่ครบปีดี เพราะท่านเกิดปลายปี มีเหตุอยู่ว่า
    ในปีนั้นท่านไปทำนาอยู่กับโยมผู้ชายของท่าน และในขณะนั้นฝนตกชุก ปลาพล่านไปมา ก็เลยนึกอยากจะทำลอบดักปลาจึงไปเอาไม้ไผ่มาเหลาเป็นซี่ลอบ
    แต่เมื่อท่านกำลังนั่งเหลาซี่ลอบอยู่ดี ๆ นั้น เกิดเป็นตะคริวขึ้นที่มือ ทำให้ไม่สามารถจะเหลาไม้ไผ่ต่อไปได้ ท่านจึงเรียกน้องชายของท่านให้ช่วยมาบีบนวดมือให้
    “ แล้วอาตมาก็หมดความรู้สึกไปตั้งแต่เช้า มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนเที่ยงคืน
    โยมแกก็ถามว่า อาตมาไปบนอะไรไว้บ้าง อาตมาก็บอกไปตามความจริง แกเลยพูดขึ้นว่า ถ้าอยากบวชถึงขนาดนี้ก็บวชไป อาตมาก็เลยได้บวชสมกับที่ปรารถนามาช้านาน ”
    แต่การบวชครั้งนั้นเป็นเพียงบรรพชาเป็นสามเณร โดยท่านได้ไปบรรพชาที่วัดไผ่ท่าโพธิ์มี พระครูธรรมาภิรัตน์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    ครั้นบวชเณรได้พรรษาหนึ่งท่านก็เริ่มไปศึกษานักธรรมบาลีที่วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนากจังหวัดพิจิตร จนใกล้จะสอบก็ต้องสึกเพราะโยมผู้ชายของท่านเกิดเสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วน !
    ฝันประหลาด
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ เล่าถึงคืนที่โยมผู้ชายจะเสียชีวิตว่า
    ในคืนนั้นท่านซึ่งกำลังป่วยหนักด้วยไข้รากสาดได้เกิดไข้สูงกว่าทุกวัน ทั้งท้องเดิน ทั้งอาเจียนจนคล้ายจะสลบไป ก็มียมทูตจำนวนสี่นายล้วนนุ่งผ้าแดง ตัวเปล่าเปลือยรูปร่างกำยำสูงใหญ่ จะเข้ามาจับท่าน
    ท่านเห็นท่าไม่สู้จะดีก็ออกวิ่งหนีไปถึงหนองน้ำแห่งหนึ่งจึงกระโดดลงไปซ่อนตัวอยู่ใต้กองผักตบชวา
    ยมทูตตามท่านมาถึงหนองน้ำก็กระโดดลงไปในหนองน้ำนั้น ๓ นาย เหลืออีกนายหนึ่งให้ยืนเฝ้าปากทางไว้ ซึ่งท่านเล่าถึงตอนนี้ว่า
    “ อาตมาคำนวณดูกำลังเห็นว่ายมทูตในน้ำมีถึง ๓ คน เห็นจะสู้ไม่ไหว ก็ตัดสินใจผละจากกองผักตบชวาขึ้นจากหนองน้ำไปสู้กับยมทูตที่เฝ้าปากทาง
    ยมทูตคว้าอาวุธจะมาทำร้ายอาตมาแย่งมาได้ ก็พอดีรู้สึกตัวแล้วก็หายป่วยแต่นั้นมา ”
    ในคืนเดียวกันนั้นเอง โยมผู้ชายของท่านก็ฝันไปว่า เห็นใครก็ไม่ทราบมีจำนวน ๔ คน ไล่จับสามเณรลูกชายของตน แล้วเอาโซ่เหล็กมามัดตัว พลางถามสามเณรว่า “ รับได้ไหม? รับได้ไหม? ”
    ฝ่ายโยมผู้ชายเมื่อเห็นเขาทรมานลูกชายเช่นนั้นก็เกิดความสงสาร ก็เลยหันมาถามลูกของตนว่า
    “ เณรรับเขาได้หรือไม่ได้ก็บอกเขาเถิด ”
    “ ในฝันของโยมผู้ชายนั้นแกบอกว่า อาตมาว่ารับได้
    พอบอกว่ารับได้เท่านั้น ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่มาจากไหนไม่ทราบ มาจับตัวอาตมาพุ่งลงแม่น้ำไป
    โยมผู้ชายก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ปลุกโยมผู้หญิงแล้วเล่าให้ฟังไว้ พอวันรุ่งขึ้นโยมผู้ชายก็เสียเลย !” ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์เล่า
    มันตรัย
    เป็นที่รู้จักกันดี
    อุปสมบท
    เมื่อจัดการฌาปนกิจศพบิดาเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ช่วยมารดาของท่านเกี่ยวข้าว เพราะในปีนั้นทางบ้านทำนาไว้มากไม่มีกำลังคนจะเกี่ยวข้าวเพียงพอ ครั้นเกี่ยวข้าวเสร็จอายุท่านก็ครบเป็นพระได้
    ตามปกติธรรมดาของชาวชนบทในสมัยนั้น เมื่อบ้านใดจะบวชลูกชาย ก็จำต้องป่าวประกาศเชิญแขกเหรื่อมาในงานทำขวัญนาค และมารดาของท่านอาจารย์วิบูลย์ก็ต้องการที่จะจัดงานเช่นนั้น โดยเตรียมเครื่องอัฐบริขารไว้แล้วจะไปเชิญหมอทำขวัญนาค
    แต่ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้ชิงบอกแก่มารดาของท่านในตอนนั้นเสียก่อนว่า ท่านต้องการบวชเงียบ ๆ และจะไปบวชเองเพียงแต่ขอให้มารดาอนุญาตเท่านั้นมารดาท่านก็นิ่งอั้น
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ ก็หอบเครื่องอัฐบริขารไปที่วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนาก โดยลำฟัง แต่มารดาของท่านได้ตามไปทันในวันรุ่งขึ้น
    ก่อนที่จะบวชในคืนนั้นท่านพักอยู่ที่ศาลา โกนศีรษะเรียบร้อยแล้ว ท่านหลับไปก็ฝันว่า ไปพบบิดาที่หน้าประตูโบสถ์
    ในความฝันนั้นท่านเป็นนาคแล้วโดยนุ่งขาวห่มขาวเป็นอันดี
    ท่านเห็นบิดาของท่านมายืนอยู่เช่นนั้น ก็กล่าวชวนว่า
    “ พ่อเข้าไปในโบสถ์ด้วยกันเถิด ” แต่บิดาไม่ยอมพูดด้วย ท่านก็นึกเสียใจว่าทำไมบิดาไม่ยอมพูดไม่ยอมเข้าไปในโบสถ์ร่วมบวชท่าน
    ในฝันนั้นท่านนึกเสียใจจนร้องไห้ออกมา ครั้นตื่นขึ้นหมอนหนุนศีรษะเปียกน้ำตาไปหมด
    รุ่งขึ้นในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๙๙ ท่านก็อุปสมบท ณ วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร มี ท่านพระครูวิเศษธัมมวินิษฐ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    มุ่งมั่นบุกบั่นเรียน
    ครั้นท่านอุปสมบทบทเป็นพระนวกะที่วัดชัยมงคลแล้ว ก็เรียนทั้งบาลีและนักธรรมควบคู่กันไป
    ตามธรรมดานั้นพระนวกะจะต้องเรียนถึง ๓ ปี จึงจะสมัครสอบบาลีได้ แต่ท่านอาจารย์วัดชัยมงคลเห็นท่านเรียนเก่ง พอเรียนได้ ๒ ปี ก็ให้ท่านเข้าสอบนักธรรมตรีกับเปรียญ ๓ ผลปรากฏว่าท่านสอบนักธรรมตรีได้ แต่สอบเปรียญ ๓ ตก ท่านเล่าว่า
    “ พอสอบตกอาตมาอายเขาก็หนีมาจำพรรษาที่วัดค้างคาวจังหวัดลพบุรี มาเรียนบาลีที่วัดบัวเรียนได้พรรษาหนึ่ง ก็เข้าสอบนักธรรมโทคู่กับเปรียญ ๓
    ผลออกมาสอบได้นักธรรมโทแต่ตกเปรียญ ๓ อีก อาตมาก็ลงมากรุงเทพฯ มาพำนักอยู่วัดอินทาราม ตลาดพลูนี้ เมื่อปี ๒๕๐๑ ตั้งใจว่าจะเรียนเปรียญให้จงได้ถ้าเรียนไม่ได้ก็ให้ตายหมดเรื่องไป
    จึงพยายามมุมานะดูหนังสือแต่เกิดป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบเสียอีก ต้องเข้าโรงพยาบาลไปผ่าตัดไส้ติ่ง
    หลังจากผ่าตัดแล้วก็มุมานะเรียนบาลี ก็สอบได้เปรียญ ๓
    จากนั้นก็เรียนต่อจนถึงปี ๒๕๐๔ โดยเรียนนักธรรมเอกกับวิชาครูที่กรมฝึกหัดครู ซึ่งสมัยนั้นเขาเปิดรับพระเณรเข้าเรียนได้ ก็สอบได้นักธรรมเอกและวิชาครู จึงเลิกเรียน แล้วไปเรียนพระอภิธรรมที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ ของท่านพระครูประกาศสมาธิคุณ อยู่พรรษาหนึ่ง ”
    ไม่เชื่อก็ต้องลอง
    ผู้เขียนได้นมัสการกราบเรียนถามท่านถึงสาเหตุที่มาปฏิบัติธรรมทั้ง ๆ ที่เป็นพระนักศึกษามาก่อน ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้เปิดเผยว่า
    “ สาเหตุที่อาตมามาปฏิบัตินั้น เพราะเคยเข้าใจว่าธรรมะอยู่ที่การเรียน คือการศึกษาเล่าเรียนอาจจะทำให้เข้าใจธรรมะดี
    แต่เรียน ๆ ไปจนได้นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก และมหาเปรียญแล้วก็รู้สึกเหมือนเดิมไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดสุขก็ยังสุข ทุกข์ก็ยังทุกข์จิตใจไม่ดีขึ้น ก็เลยมาค้นหาธรรมะ ว่าธรรมะที่แท้จริงนั้นอยู่ตรงไหน ธรรมะนั้นเป็นอย่างไร
    ตอนนั้นอาตมาเกิดอคติต่อธรรมะ คือแทบไม่เชื่อว่าธรรมะนั้นมีจริง ! คิดว่าเป็นเพียงตัวหนังสือที่ชาวบ้านเขาเขียนกันขึ้นมาให้คนเรียนเท่านั้น
    อาตมาเข้าใจอย่างนั้น มีความเห็นผิดขนาดนั้น ! ต่อมาจึงได้ตัดสินใจ หลังจากได้ยินท่านพระครูประกาศพูดบ้าง ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ้าง
    ครูบาอาจารย์ที่รู้จักมักคุ้นโดยเฉพาะ “ หลวงพ่อใหญ่ ” (ท่านเจ้าคุณวิเชียรมุนี) เจ้าอาวาสวัดอินทารามสมัยโน้น ท่านเป็นพระภาวนาแต่เป็นพระสันโดษ ท่านไม่ค่อยพูด อยู่เงียบ ๆ ท่านเรียกไปพูดให้ฟังก็เลยลองตัดสินใจภาวนาจากตำรา
    มานั่งภาวนาอยู่ในกุฎิคืนหนึ่ง ผลก็คือรู้จักเหตุรู้จักผลดีขึ้น จิตใจสงบลง
    อาตมาภาวนาโดยใช้เพ่งกสิณเพ่งน้ำอยู่คืนหนึ่ง รู้สึกสบายดี ก็เลยตั้งใจจะลองภาวนาดูสัก ๖ เดือน ถ้า ๖ เดือน ไม่รู้อะไรเลยก็จะเลิกแล้ว ไม่เชื่อแล้วธรรมะนี้ ”
    ปฏิบัติกันขั้นอุกฤษฏ์
    เมื่อท่านอาจารย์มหาวิบูลย์พุทธญาโณ ตัดสินใจเช่นนั้น ท่านก็เริ่มปฏิบัติและปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง โดยใช้คำภาวนา “ พุท-โธ ” บ้างใช้ภาวนา “ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ” บ้าง
    แต่ส่วนมากใช้ อาโปกสิณ หรือไม่ก็ เตโชกสิณ ท่านบอกว่าเป็นวิธีที่ง่ายหน่อย รวมจิตเร็ว
    การปฏิบัติของท่านอาจารย์มหาวิบูลย์นั้น ท่านปฏิบัติอยู่ในสามอิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง ไม่มีการนอนตลอด ๖ เดือน !
    ยืนก็ภาวนา เดินก็ภาวน นั่งก็ภาวนา เพ่งกสิณบ้าง ถึงกระนั้นท่านยังบอกว่าสองเดือนแรกไม่เห็นผลอะไร พอเข้าเดือนที่สามจึงรู้สึกจะได้ผลดี จิตมีความรู้แปลก ๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็เกิดรู้ขึ้น อะไรที่แปลกปลอมเข้ามา จิตก็เริ่มรู้ทันเร็วขึ้น ธรรมะที่ไม่เคยเรียนรู้ก็ผุดขึ้นมาในใจ
    การปฏิบัติของท่านตอนนั้นทำให้สุขภาพทรุดโทรม ร่างกายผ่ายผอม แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อ ท่านต้องการเห็นธรรมะ ท่านต้องการรู้ธรรมะ แม้ตัวจะตายท่านก็ยอม
    “ พออาตมาปฏิบัติได้ครบ ๖ เดือนก็เข้าป่า ” ท่านบอก
    การธุดงค์ครั้งแรก
    ครั้งแรกที่ท่านแบกกลดสะพายบาตรออกจากวัดอินทารามตลาดพลูนั้น ท่านธุดงค์ไปอยู่ที่เกาะสีชัง โดยถือธุดงควัตรอย่างเคร่งครัด
    เมื่อไปอยู่เกาะสีชังพักหนึ่งเห็นผู้คนชักจะพลุ่กพล่าน ท่านก็หนี ธุดงค์ขึ้นไปทางภาคเหนือ ท่องเที่ยวหาวิเวกไปตั้งแต่พิษณุโลก แพร่ น่าน ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่
    ท่านบอกว่า “ อาตมาไม่ได้ไปแต่แม่ฮ่องสอนเท่านั้น ”
    การธุดงค์ของท่านนั้นปฏิบัติเป็นประจำทุกปี นับแต่ พ.ศ.๒๕๐๖ ถึงปัจจุบันนี้
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกหันข้าง ๖๐ ปี หลวงพ่อมหาวิบูลย์ วัดโพธิคุณ จ.ตาก
    เป็นเหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกรุ่นเดียวที่ท่านอนุญาตให้สร้าง
    ( รุ่นอื่นจะเป็นพระพุทธรูปหรือ รูปเหมือน ด้านหลัง)

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ มี เหรียญครับ

    เหรียญที่ ๑ (ปิดรายการ)

    IMG_20250526_004115.jpg IMG_20250526_004134.jpg

    เหรียญที่ ๒(ปิดรายการ)

    IMG_20250526_004158.jpg IMG_20250526_004237.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2025 at 14:20
  3. ktv

    ktv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,212
    จองเหรียญที่ 2 ครับ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,193
    ค่าพลัง:
    +21,388
    FB_IMG_1748249896037.jpg

    อาจารย์บุญหนา ทวีจิตร อาศรมแดนธรรมฆารวาสผู้สำเร็จวิชาปรอกหมอกหนาวศิษย์องค์ หลวงปู่เทพโลกอุดร พระผงที่มีอานุภาพป้องกันเชื้อโรคระบาดและดูดสารพิษต่างๆ สร้างจากผงว่านวิเศษกายสิทธิ์ในป่าลึก ตามคำสั่งของหลวงปู่เทพโลกอุดรเพื่อช่วยมนุษย์โลก พระสมเด็จผงว่านกายสิทธิ์ดูดสารพิษและเชื้อโรค หลังรูปหลวงปู่เทพโลกอุดรสร้างขึ้นตามคำสั่งของหลวงปู่เทพโลกอุดร เพื่อช่วยมนุษย์โลกให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ โดย อ.ปู่บุญหนา ทวีจิตร อาจารย์ฆราวาสผู้เฒ่าศิษย์หลวงปู่เทพโลกอุดร)))
    สร้างขึ้นจากต้นว่าน ๑๒ ราศรี (ว่านกายสิทธิ์เทพรักษาในป่าลึก มีคุณวิเศษด้านดูดสารพิษและเชื้อโรคต่างๆ)
    -ผสมกับผงพุทธคุณ ๑๐๘
    -และมวลสารว่านยาต่างๆ
    พุทธาภิเษกใหญ่ภายในถ้ำที่หลวงปู่ใหญ่เคยจำพรรษา
    โดยอาราธนาบารมีหลวงปู่ใหญ่มาเป็นประธานประกอบพิธีโดย ท่านอาจารย์ปู่ บุญหนา ทวีจิตรผู้เคยอยู่ในป่ากับหลวงปู่ใหญ่ ตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี*ปัจจุบันนี้..ท่านอาจารย์ปู่บุญหนามีอายุ ๗๒ ปี*พุทธคุณและอานุภาพ
    -ป้องกันโรคระบาดทุกชนิด
    -ใช้อาราธนาทำน้ำมนต์รักษาโรคต่างๆ
    -สามารถช่วยดูดสารพิษที่อยู่ในอาหารน้ำดื่ม
    -ป้องกันสารพิษและเชื้อโรคที่อยู่ในอากาศ
    - ดูดสารในร่างกายของเรา - เมตตามหานิยม
    - แคล้วคลาดปลอดภัย
    - มีลาภมาหาไม่ขาดสาย
    อาจารย์ปู่บุญหนา ได้เมตตาพูดให้ฟังว่า
    หลวงปู่ใหญ่ท่านบอกว่า หากต่างประเทศเขาเกิดรบกันด้วยอาวุธต่างๆ ซึ่งต้องยิงข้ามประเทศ หรือเกิดระเบิดบนฟ้า ก็จะมีสารพิษ แก๊สพิษต่างๆ หรือเชื้อโรคปะปนมากับอากาศถ้าเรามีพระว่านดูดสารพิษอยู่ที่ตัวหรือที่บ้านก็จะสามารถช่วยไม่ให้สารพิษเข้ามาถึงเราได้
    ในระยะ 10 เมตร สารพิษจะเข้ามาไม่ได้เลย*การเลี่ยมบูชาติดตัว เราควรเจาะรูเล็กๆไว้ที่กรอบองค์พระด้วยครับเพื่อองค์พระจะสามารถดูดสารพิษได้ครับ*
    พระชุดนี้สร้างขึ้นตามคำสั่งของหลวงปู่ใหญ่เพื่อสงเคราะห์ลูกหลานที่เคารพนับถือองค์ท่านถึงจะราคาไม่สูง แต่มีอานุภาพมากเกินประมาณเนื่องจากมวลสารพระสร้างจากผงว่านวิเศษ และว่านยาล้วนๆ กดพิมพ์ด้วยมือทุกองค์ พระบางองค์จึงมีรอยราน หรือบิ่นงอบ้าง แต่พุทธคุณสุดประมาณครับหลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านได้จิตสื่อสาร อาจารย์บุญหนา ทวีจิตร ให้สร้างพระสมเด็จนี้ขึ้นเพื่อช่วยเหลือปกป้องมวลมนุษย์จากภัยพิบัติต่างๆ รวมทั้งภัยพิบัติจากสารพิษ มลภาวะต่างๆ ที่ไม่ดีต่อร่างกายมนุษย์
    องค์หลวงปู่ใหญ่บรมครูหลวงปู่เทพโลกอุดร ซึ่งท่านได้เตือนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นต่อมวลมนุษย์
    ซึ่งหลวงปู่เทพโลกอุดรปรากฏในนิมิตรให้อาจารย์บุญหนาสร้างเพื่อแจกให้ศิษยานุศิษย์ไปบูชา ให้หลวงปู่ได้ปกปักรักษาผู้ใดบูชาติดตัว ผู้นั้นจะรอดจากภยันตรายต่างๆ สารพิษ และโรคภัยไข้เจ็บ
    เนื้อมวลสารผงผสมว่าน มวลสารศักดิ์สิทธิ์มงคลอาถรรพ์ต่างๆ มากเข้มข้นที่สุด ซึ่งป้องกันปกปักรักษาได้สารพัด
    พระสมเด็จผงว่านกายสิทธิ์ดูดสารพิษและเชื้อโรค อ.ปู่บุญหนา ทวีจิตร ท่านสร้างขึ้นตามคำสั่งหลวงปู่เทพโลกอุดรเพื่อช่วยมนุษย์โลก สร้างจากว่านกายสิทธิ์ที่มีคุณวิเศษดูดเชื้อโรคและสารพิษต่างๆ ทั้งในน้ำ อากาศ อาหาร ฯลฯเหมาะกับการนำไว้ติดตัว ติดบ้าน เพื่อป้องกันโรคระบาดที่กำลังส่งผลในปัจจุบันนี้
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จดูดพิษอาจารย์บุญหนา
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250524_204223.jpg IMG_20250524_204301.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,193
    ค่าพลัง:
    +21,388
    วันนี้ จัดส่ง
    1748262995948.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,193
    ค่าพลัง:
    +21,388
    FB_IMG_1748253200361.jpg

    หลวงพ่อมี เขมธัมโม ผู้สำเร็จอสุภกรรมฐานหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แล้วยังสำเร็จเตโชกสิณ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และสืบทอดวิทยาคมมาจากหลวงพ่อเขียน พระอาจารย์ชาวรามัญ วัดบ้านพร้าวนอก จนได้สมาธิจิตและ “ฌาน” ขั้นสูง ฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมอิทธิมงคลที่ผ่านการปลุกเสกจากหลวงพ่อมี จึงล้วนใช้ได้ผลประสิทธิภาพเข้าขลัง และความมีวิทยาคมเก่งกล้ารักษาโรค แก้คุณไสยกระทำย่ำยีต่าง ๆ ขับไล่คุณไสยด้วยพระเวทวิทยาคม สมกับสมญานามที่ว่า
    “พระเถราจารย์จอมขมังเวท แห่งวัดมารวิชัย ทุกประการ
    พระสมเด็จสิงห์ป้อนเหยื่อ
    มวลสารประกอบด้วยดินโป่ง 7 โป่ง ดินท่า 7 ท่าดินเสาหลักเมือง 7 หลักเมือง ขี้เถ้าไส้เทียนบูชาพระประธานพระอุโบสถ ดอกกาหลง ยอดสวาท ยอดรักซ้อน ขี้ไคลเสมา ขี้ไคลประตูวัง ขี้ไคลเสาตะลุงช้างเผือก ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ พลูร่วมใจ พลูสองหาง กระแจะตะนาว จ้ำมัน 7 รส และดินสอพอง มาผสมกัน ป่นละเอียด เจือน้ำ ปั้นเป็นแท่งดินสอ หลังจากนั้น ท่านก็จะทำการเขียนยันต์แล้วลบเป็นผงวิเศษ 5 ประการ หลวงปู่มี ท่านจะกระทำในพระอุโบสถ เตรียมเครื่องสักการะ หน้าพระประธาน กล่าวคาถาอัญเชิญครู ประกาศอัญเชิญเทพยดา ทำประสะน้ำมนต์พรมตัว เรียกอักขระเข้าตัว และอัญเชิญครูเข้าตัว แล้วเริ่มนำแท่งผงดินสอที่ผสมไว้มาเขียนสูตรยันต์ลงบนกระดานชนวนแล้วลบเป็น “ผงปถมัง” มีอานุภาพ หลายด้าน แต่หนักไปทาง คงกระพันชาตรี มหาอุตม์ แคล้วคลาด กำบังล่องหนและป้องกันภูตผีปีศาจและคุณไสย เสร็จแล้วก็นำผงปถมังที่ลบแล้วมาปั้นเป็นดินสอแล้วเขียนสูตร ลบผงเป็น ”ผงอิธะเจ” มีอานุภาพด้านเมตตามหานิยมอย่างสูงรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ด้วยเสร็จแล้วก็ นำผงอิธะเจ ที่ลบแล้วมาปั้นเป็นดินสอแล้วเขียนสูตร ลบผง เป็น”ผงมหาราช” มีอานุภาพด้านเมตตามหานิยมอย่าสูงป้องกันและถอนคุณไสย และแคล้วคลาด เสร็จแล้วก็นำผงมหาราช ที่ลบแล้วมาปั้นเป็นดินสอแล้วเขียนสูตร ลบเป็น”ผงพุทธคุณ” ให้อานุภาพด้านเมตตามหานิยมอย่างสูง กำบัง สะเดาะ และล่องหน เสร็จแล้วก็นำผงมหาราช ที่ลบแล้วมาปั้นเป็นดินสออีกครั้ง แล้วก็เขียนสูตร ลบเป็น”ผงยันต์ตรีนิสิงเห” หรือ “ยันต์นารายณ์ถอดรูป” แล้วยังมี”ยันต์พระควัมบดี” และ”ยันต์ตราพระสีห์” อานุภาพด้าน เมตตามหานิยมป้องกันถอนคุณไสย และภูตผี ป้องกันสัตว์เขี้ยวเล็บงา รักษาโรค อุบัติภัยอันตรายทั้งปวง..เป็นอันเสร็จสิ้นกรรมวิธีตามโบราณครูบาอาจารย์ที่หลวงปู่มี ม่านได้ร่ำเรียนมา จึงบังเกิดเป็นผงวิเศษ ๕ ประการ อันวิเศษสุดขลังพุทธคุณครอบจักรวาล
    ผมสีดำคือแร่เหล็กน้ำพี้
    ความกตัญญูเป็นเลิศ
    ในการออกธุดงค์ครั้งแรกของหลวงพ่อมีนี้ แทนที่จิตใจของท่านจะบังเกิดความสงบต่อความสงัดงดงามของธรรมชาติภายในป่าเขาลำเนาไพร แต่ดวงจิตของท่านกลับร้อนรุ่มวุ่นวาย หาความสงบสบาย ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้ก็สืบเนื่องมาจากท่านมีความเป็นห่วงเป็นใยในโยมมารดาของท่านเป็นอย่างมาก เกรงว่าเมื่อหนีท่านมาอย่างนี้แล้วจะไม่มีผู้ช่วยเหลือโยมมารดาทำไร่ไถนา แต่ถ้าจะกลับไปท่านต้องขอร้องให้สึก ไปช่วยทำนาอย่างแน่นอน แล้วการที่ตนจะบวชอุทิศส่วนกุศลไปให้กับโยมบิดาที่เพิ่งถึงแก่กรรมไปนาน ๆ คงจะไม่สมกับความตั้งใจเป็นแน่

    เมื่อยิ่งคิดก็ยิ่งมีแต่ความสับสนวุ่นวายใจ เรียกว่าตลอดเวลา 2 เดือนเศษ ที่ออกธุดงค์มานั้นหาความสุขใจไม่ได้เลยแม้แต่เพียงวันเดียว แต่พอได้จากโยมมารดามานานจึงทำให้คิดขึ้นมาได้ว่า ควรจะกลับไปช่วยโยมที่มีชีวิตอยู่ เพื่อช่วยท่านทำไร่ไถนาและเลี้ยงดูท่านเป็นการทดแทนพระคุณจะดีกว่า แม้ว่าท่านจะให้ลาสิกขาก็ยอม
    ดังนั้นหลวงพ่อมีจึงตัดสินใจบอกความจำเป็นกับหลวงตาปลั่ง และพระภิกษุที่ร่วมธุดงค์ไปด้วยกัน ซึ่งทุกท่านก็มีความเห็นใจจึงพร้อมใจกันถอนกลด เดินทางกลับสู่วัดมารวิชัยในเช้าวันรุ่งขึ้น

    ดีใจสุดชีวิต
    คณะธุดงค์กลับถึงวัดเมื่อปลายเดือน 3 ในปี พ.ศ. 2476 โยมมารดาของหลวงพ่อมีดีใจมากที่ท่านจะกลับมาช่วยทำงาน แต่ท่านก็มีความเข้าใจในกุศลและเจตนาของหลวงพ่อมีอย่างลึกซึ้งว่า ท่านตั้งใจอยู่ในสมณะเพศ โดยไม่ใช่บวชหนีงาน แต่เป็นการบวชอุทิศเพื่อต้องการแผ่กุศลผลบุญให้กับโยมบิดา ซึ่งหาได้ยากยิ่งที่จะมีบุตรกตัญญูเช่นหลวงพ่อมีภายในหมู่บ้านนี้ โยมมารดาจึงมีความยินดีอนุโมทนาสาธุ อนุญาตให้หลวงพ่อมีครองเพศบรรพชิตต่อไป โดยกล่าวว่า
    “เมื่ออยู่ได้ ก็อยู่ไปนาน ๆ ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไร่นาแม่จะทำแต่น้อยให้พอกินพอใช้เท่านั้น”
    จากคำพูดเพียงสั้น ๆ ของโยมมารดา ทำให้หลวงพ่อมีบังเกิดความปิติตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งท่านบอกว่า ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวตน ไม่เคยมีความดีใจอย่างใหญ่หลวงเท่ากับความดีใจ ครั้งกระนั้นเลย ดังนั้นหลวงพ่อมี จึงตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยด้วยตนเอง พร้อมกับไปฝากตัวเป็นศิษย์ของ หลวงพ่อปานวัดบางนมโค เพื่อศึกษาพระเวทวิทยาคม การรักษาโรค ตลอดทั้งการปฏิบัติสมถะ และวิปัสสนากรรมฐานอยู่ 5 ปี ซึ่งในระหว่างเข้าพรรษาก็กลับมาเข้าพรรษาที่วัดมารวิชัยตามเดิม
    ส่วนเวลากลางวันก็มาช่วยหลวงพ่อปานรักษาโรคคนไข้บ้าง ติดตามท่านไปสร้างกุฏิวิหารยังวัดอื่นๆ บ้าง ช่วยสร้างเขื่อนที่หน้าวัดบางนมโคบ้าง เพราะระยะทางจากวัดบางนมโคและวัดมารวิชัยไม่ไกลเท่าใดนัก การเดินทางไปกลับก็สะดวกพอสมควร และเมื่อถึงคราวออกพรรษารับกฐินเรียบร้อยแล้ว ก็กราบลาหลวงพ่อปาน และหลวงพ่อจงก่อนออกธุดงค์ทุกปี

    การธุดงค์ครั้งที่ 2
    ปลายปี พ.ศ. 2476 หลวงพ่อมีติดตามหลวงตาปลั่งออกธุดงค์ไปเขาวงพระจันทร์ ลพบุรี เป็นการออกธุดงค์ครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้ภายในดวงจิตของท่านไม่มีสิ่งใดต้องคอยห่วงกังวลอีกแล้ว การออกจาริกแสวงบุญ เพื่อหาความสงัดวิเวกของท่านจึงเป็นการค้นหาสัจจะธรรมอันแท้จริงของมนุษย์ เพื่อให้ดวงจิตบังเกิดมีศีล คือรู้จักการละซึ่งอาสวะแห่งกิเลสให้เบาบางลง จนบริสุทธิ์หลุดพ้นจาก วัฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิดต่อไป อีกทั้งยังเป็นการบำเพ็ญตบะให้สมาธิจิตมีพลังกล้าแข็งแก่กล้ายิ่งขึ้น
    ดังนั้น การที่จิตใจของหลวงพ่อมี ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงกังวล ท่านจึงปฏิบัติธรรมทางจิตใจได้ผลก้าวหน้าดีอย่างเกินคาด ประกอบกับท่านสำเร็จอสุภกรรมฐานมาใหม่ ๆ ท่านจึงใช้เวลาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นขณะที่กำลังเดิน นั่งพักผ่อน หรือจำวัด ภายในกลดยามค่ำคืน หลวงพ่อมี ได้กำหนดอารมณ์ภาวนาอานาปานา นุสสติกรรมฐาน คือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับภาวนาว่า “พุท-โธ” อยู่ตลอดเวลา ควบคู่กับการพิจารณาขันธ์ 5 และกำหนดนิมิตเทียบเคียง แห่งซากอสุภ มาเป็นกสิณ เปรียบเทียบกับร่างกายของตนเองอยู่ทุกขณะจิต

    เป็นพระอาจารย์นำธุดงค์
    ในปลายปี พ.ศ. 2477 หลวงพ่อมีออกธุดงค์เป็นครั้งที่ 3 มาคราวนี้หลวงตาปลั่ง ไม่ได้เป็นผู้นำทางเพราะท่านชราภาพมาก เนื่องจากมีอายุถึง 70 ปีแล้ว หลวงพ่อมีจึงต้องเป็นอาจารย์นำคณะธุดงค์ไปยังเขาวงพระจันทร์ จังหวัดลพบุรีอีกครั้ง การได้เป็นผู้นำไปธุดงค์คราวแรกของหลวงพ่อมี พระภิกษุร่วมคณะยังไม่ค่อยจะเชื่อใจท่านเท่าใดนัก เพราะมีพรรษาวัยแค่ 3 พรรษาเท่านั้น รวมพระภิกษุในคณะธุดงค์ครั้งนั้น 5 องค์ด้วยกัน
    เหตุการณ์ทุกอย่างเป็นปกติ

    ผจญช้างแม่ลูกอ่อน
    แต่แล้วเหตุการณ์อันไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อคณะธุดงค์กำลังเข้าสู่แนวป่าทึบก็ประจันหน้าเข้ากับช้างแม่ลูกอ่อนอย่างกระชั้นชิด
    ช้างซึ่งมีลูกอ่อนตามมาด้วย หยุดชะงักชูงวงขึ้นพุ่งตัวสู่พระธุดงค์ทั้ง 5 ด้วยความประสงค์ร้าย จึงทำให้พระธุดงค์ที่ร่วมคณะหลวงพ่อเผ่นหนีเข้าข้างทางด้วยความอกสั่นขวัญแขวน ส่วนหลวงพ่อมีจะเลี่ยงหลบเข้าข้างทางก็ไม่ทัน เพราะยืนใกล้ช้างมากที่สุด ท่านจึงยืนสำรวมจิต เผชิญหน้ากับช้างแม่ลูกอ่อน นิ่งอยู่อย่างนั้นประมาณ 10 นาที พลังจิตและเวทวิทยาคมที่ร่ำเรียนมาใช้ได้ผล ช้างแม่ลูกอ่อนซึ่งธรรมชาติวิสัยอันดุร้ายก็ค่อย ๆ ถอยกลับไปทางริมป่า ไม่ทำอันตรายหลวงพ่อมีที่ยืนบริกรรมพระคาถา เป็นการเปิดทางให้พระธุดงค์ไปกันก่อน แล้วจึงพาลูกน้อยค่อย ๆ เดินทางไปภายหลัง

    เริ่มมีชื่อเสียงตั้งแต่พรรษา 3
    พระธุดงค์ไปถึงจุดหมายปลายทาง คือ เขาวงพระจันทร์ จ.ลพบุรีแล้วกก็เดินธุดงค์กลับวัดมารวิชัย โดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นอีก เมื่อเดือน 5 ของต้นปี พ.ศ. 2478
    ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กิตติศัพท์การมีวิทยาคมแก่กล้าของหลวงพ่อมีที่สามารถปราบช้างแม่ลูกอ่อนให้เกรงกลัว จึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อมีอุปสมบทเป็นพระภิกษุมาได้แค่ 3 พรรษาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว พอหลวงพ่อมีประกาศว่าปีนี้จะธุดงค์ไปกราบนมัสการ พระบรมสารีริกธาตุที่ดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ จึงมีพระภิกษุทั้งภายในวัดมารวิชัยและวัดที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งมีความเชื่อถือในวิทยาคมของหลวงพ่อมี ขอติดตามท่านไปด้วยเป็นจำนวนมากถึง 25 องค์ด้วยกัน
    ก่อนที่หลวงพ่อมีจะเป็นอาจารย์นำพระภิกษุทั้งหลายออกธุดงค์ หลวงพ่อปาน ได้ถ่ายทอดวิชา “ร่มโพธิ์” ให้ใช้คุ้มคน ตลอดทั้งพระเวทวิทยาคมและเคล็ดลับอันสำคัญในการถือรุกขมูลต่าง ๆ ภายในป่าเขาลำเนาไพร แก่หลวงพ่อมีจนหมดสิ้นความรู้ เมื่อพระธุดงค์ทั้ง 25 องค์ ได้รับการประพรมน้ำพระพุทธมนต์จากหลวงพ่อปาน และ หลวงพ่อจงแล้ว คณะธุดงค์ก็เริ่มออกเดินด้วยเท้าเปล่าไป จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีระยะทางเกือบพันกิโลเมตร ในปลายปี พ.ศ. 2478

    พบเสือโคร่งเฝ้าศาล
    คณะธุดงค์เดินทางออกจากอยุธยามุ่งตรงไปยังจังหวัดสระบุรี เมื่อนมัสการ พระพุทธฉาย แล้วก็เลยไปนมัสการพระพุทธบาท จากนั้นก็เข้าเมืองลพบุรีสู่เทือกเขาวงพระจันทร์ ที่อำเภอโคกสำโรง โดยไม่พบกับเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นใด ๆ ตลอดทางมาจนถึงเชิงเขาสาริกา ณ อำเภอบ้านหมี่ ชาวบ้านในละแวกนั้นเห็นพระธุดงค์พากันมาปักกลดที่เชิงเขาอยู่ที่หน้าศาลเจ้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริเวณกว้างขวาง จึงมาตักเตือนพระธุดงค์ทั้งหลายด้วยถ้อยคำและท่าทีที่มีความเคารพ เกรงกลัวขึ้นว่า
    ม้าขาว ของเจ้าพ่อที่เฝ้าศาลนี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ในตอนกลางคืนมักปรากฏตัวออกมาเดินหน้าศาลอยู่เสมอ พระธุดงค์ที่ผ่านมาปักกลดหน้าศาลนี้ต้องทิ้งกลดเผ่นหนีในกลางดึกมามากแล้ว ขนาดชาวบ้านละแวกนี้ ยังไม่กล้าออกมาเดินหลังจากที่พระอาทิตย์ตกดินแล้ว หลวงพ่อมีทราบเรื่องจึงกล่าวเตือนบรรดาพระภิกษุทั้งหลายว่า คืนนี้ต้องมีความสำรวมให้มากและต้องเจริญภาวนาพระกรรมฐานให้หนัก เพราะว่าท่านจะขอชมบารมี
    ดังนั้นพระธุดงค์ทุกองค์จึงใจคอไม่ค่อยดีนัก เมื่อรู้ว่าคืนนี้จะต้องพบกับเสือโคร่งที่เฝ้าศาล จึงเข้ากลดไปนั่งสมาธิภาวนากันเงียบกริบด้วยความสำรวมตั้งแต่ยังหัวค่ำ
    ตกดึกของคืนวันนั้น สภาพบริเวณศาลเจ้าเงียบสงัดปราศจากเสียงร้องของสัตว์ใด ๆ นอกจากเสียงจักจั่น เรไร และเสียงจิ้งหรีดร้อง แล้วนาน ๆ ถึงจะได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนมาแต่ไกล ประกอบอากาศอันหนาวเย็นยะเยือกยามหน้าหนาว ยิ่งทำให้บรรยากาศบริเวณนั้นเพิ่มความวังเวงอย่างน่าสะพรึงกลัวจนจับขั้วหัวใจพระธุดงค์ ที่กำลังเจริญภาวนาอยู่ภายในกลด
    โฮก...!
    ทันใดนั้น เสียงคำรามของเสือ ก็ดังกึกก้องขึ้นทำลายความเงียบ ทำให้พระธุดงค์ทุกองค์สะดุ้งตกใจไปตาม ๆ กัน หลวงพ่อมีนั่งทำสมาธิภาวนานิ่งเฉยโดยปราศจากอารมณ์หวั่นไหว มองลอดกลดออกไปที่หน้าศาลก็เห็นเสือโคร่งขนาดใหญ่ค่อย ๆ เดินปรากฏตัวออกมา
    ร่างพญาเสือโคร่งกระทบกับแสงเดือนที่ขึ้นเหนือยอดต้นไผ่ จนตัวขาวโพลน แลดูแล้วคล้ายกับม้าขาวตัวใหญ่ไม่ผิดจากคำเล่าลือของชาวบ้าน พญาเสือโคร่งเดินวนไปมาที่ลานกว้างหน้ากลดหลวงพ่อมี อยู่ 3 รอบ จึงค่อย ๆ ย่างเดินอย่างน่าเกรงขามเข้าไปในศาล สักครู่หนึ่งต่อมาเสียงคำรามก็ค่อย ๆ เงียบหายไปในที่สุด
    หลวงพ่อมี เล่าเหตุการณ์ที่ท่านนำพระภิกษุออกธุดงค์มาพบเสือโคร่งที่เชิงเขาสาลิกามาถึงตอนนี้แล้ว ก็หัวเราะก่อนเล่าต่อไปว่า “พอ เสือเดินหายเงียบเข้าไปในศาลแล้ว ฉันก็หันไปมองข้างหลัง...พระที่ตามฉันไปถอดกลดกันเกือบหมด...บางองค์ตั้งท่า เตรียมสู้...บางองค์ก็เตรียมเผ่นหนีหน้าตื่นกันไปหมด...ฉันก็เลยหัวเราะบอก ว่า ปัดโธ่เอ๊ย หลวงพ่อเจ้าพ่อท่านมาให้ชมบารมีท่านไม่ทำร้ายเราหรอก จะไปสู้อะไรกับท่านได้”

    พบปาฏิหาริย์หลวงพ่อกบ
    ในเวลาเช้า ณ เขาสาริกา พระธุดงค์ที่นำโดยหลวงพ่อมีได้เตรียมตัวที่จะออกบิณฑบาตกันตามปกติ ขณะนั้นมีชายชราผู้หนึ่งแต่งกายด้วยชุดขาวล้วน ๆ มาบอกว่า หลวงพ่อกบให้มานิมนต์พระคุณเจ้าทุกองค์ขึ้นไปฉันเช้าบนถ้ำเขาสาริกา หลวงพ่อมีจึงนำพระภิกษุทั้งหลายติดตามตาผ้าขาวขึ้นเขาในทันที เพราะเคยได้ยินชื่อเสียงของหลวงพ่อกบ ทั้งยังมีความตั้งใจจะขึ้นไปกราบนมัสการท่านอยู่ก่อนแล้ว
    เมื่อพระธุดงค์ทั้งหมดขึ้นไปถึงก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะภาพที่เห็นหลวงพ่อกบ ท่านได้จัดสำรับข้าวและแกงเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว โดยไม่ทราบว่าท่านไปหามาจากไหนในเวลาอันเช้าตรู่เช่นนี้ พอฉันเสร็จก็พากันไปนมัสการหลวงพ่อกบ ซึ่งแต่งกายด้วยผ้าอังสะ กำลังนั่งยอง ๆ เอาสิ่งของโยนใส่กองไฟ เมื่อเข้าไปกราบหลวงพ่อกบ ท่านก็นั่งเฉยไม่เป็นธุระเอาแต่เผาไฟอยู่อย่างเดียว... ฉันจึงกราบท่านหลวงพ่อครับผมขอให้หลวงพ่อช่วยแนะนำทางธรรมบ้าง ท่านจึงหันมายิ้มแล้วพูดว่า.. “เรียนมากับหลวงพ่อปานนั่นดีแล้ว...ถูกแล้วปฏิบัติตามพระพุทธองค์ท่านไว้”...ดูซิฉันยังไม่ทันได้บอกท่านเลยว่าเป็นศิษย์ของหลวงพ่อปาน ท่านก็สามารถรู้ล่วงหน้าก่อนแล้ว... ต่อจากนั้น ท่านก็แนะนำหลักปฏิบัติธรรมบางอย่างให้และพูดถึงเรื่องการ เผาไฟของท่านว่า...
    “มันเป็นการเผากิเลสนะ...อ้ายพวกนั้นมันไม่เคยเห็นก็เลยตื่นกันใหญ่...เราจะทำยังไง ที่ไหน มันก็เหมือน ๆ กันทั้งนั้น มันอยู่ที่ใจ...” พอท่านพูดจบก็นั่งเฉยนิ่งไม่พูดไม่จากับใครอีก ฉันไม่อยากรบกวนการปฏิบัติธรรมของท่านก็เลยกราบลาท่านลงจากเขาไป หลวงพ่อมีเล่าเหตุการณ์ในระหว่างการเดินธุดงค์ไปพบหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา และโชคดีได้ศึกษาหลักปฏิบัติธรรมบางประการจากท่านมาโดยบังเอิญ

    เมื่อพระธุดงค์หลงป่า
    “พอออกจากจังหวัดลพบุรีแล้ว ก็เข้าจังหวัดนครสวรรค์เดินขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ...คราวนี้ไปถึงไหนก็ไม่รู้ เพราะเกิดหลงป่าไม่รู้ทางไป ก็ได้อาศัยถามชาวบ้านบ้าง แต่ก็เดินมุ่งขึ้นเหนือเรื่อยไป... บางวันก็ไม่พบเห็นแสงเดือนแสงตะวัน เพราะมันเป็นป่าทึบไปหมด...แต่เพราะบารมี หลวงพ่อปานและหลวงพ่อจง คอยคุ้มครอง จึงไม่มีพระธุดงค์องค์ใดพบกับอันตรายใด ๆ เลย นอกจากบางครั้งจะผิดข้า
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จสิงห์ป้อนเหยื่อหลวงพ่อมีวัดมารวิชัย อ.เสนา ๒ องค์ คู่

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250526_161014.jpg IMG_20250526_161038.jpg IMG_20250526_161121.jpg IMG_20250526_161149.jpg IMG_20250526_161208.jpg IMG_20250526_161234.jpg
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,193
    ค่าพลัง:
    +21,388
    วันนี้ จัดส่ง
    1748359770310.jpg
    ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...