พระอริยะต้องตัดกิเลส ๑๐ อย่าง

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Phuket, 17 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. Phuket

    Phuket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    499
    ค่าพลัง:
    +877
    [​IMG]


    พระอริยะต้องตัดกิเลส ๑๐ อย่าง หรือตัดกิเลสเพื่อความเป็นพระอริยะมี ๑๐ อย่าง ท่านเรียกว่า สังโยชน์

    คำว่า สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด มันรัดใจจนกระทั่งเราต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่างด้วยกันคือ

    ๑. สักกายทิฏฐิ
    ๒. วิจิกิจฉา
    ๓. สีลัพพตปรามาส

    สามข้อนี้เป็นพระโสดาบันก็ได้ เป็นพระสกิทาคามีก็ได้ แล้วก็

    ๔. กามราคะ
    ๕. ปฏิฆะ

    สองข้อหลังนี่ต้องได้ ๑, ๒, ๓ ด้วยนะ ได้ ๑, ๒, ๓ แล้ว ๔, ๕ ถ้าได้ ๔, ๕ มานี่จะได้เป็นพระอนาคามี ต่อไปจะเป็นพระอรหันต์ก็

    ๖. รูปราคะ
    ๗. อรูปราคะ
    ๘. อุทธัจจะ
    ๙. มานะ
    ๑๐. อวิชชา

    ขอนำสังโยชน์มาพูดกัน คำว่า สักกายทิฏฐิ ในพระโสดาบัน สักกายทิฏฐินี่จริงๆ เป็นตัวกิเลสที่ตัดโดยเฉพาะ ตอนที่ พระสารีบุตร ท่านแนะนำพระสงฆ์ ที่พระสงฆ์ไปลาพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าทรงให้ไปลาพระสารีบุตรเพื่อจะเข้าป่า พระได้ถามพระสารีบุตรว่า "พวกผมเป็นปุถุชน ถ้าต้องการปฏิบัติให้เป็นพระอริยเจ้าเพื่อพระโสดาบัน จะทำยังไงขอรับ"

    พระสารีบุตรก็บอกว่า "จงปฏิับัติตามนี้ คือมีความรู้สึกว่า ร่างกาย ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้ง ๕ ประการนี้ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าเธอคิดอย่างนี้ได้อันดับต่ำ มีความทรงตัวอันดับต่ำ เธอก็เป็นพระโสดาบัน" พระก็ถามต่อไปว่า "ถ้าพวกผมเป็นพระโสดาบันแล้ว ต้องการเป็นพระสกิทาคามี จะมีความรู้สึกยังไง ต้องปฏิบัติแบบไหน"

    พระสารีบุตรก็บอกว่า "ข้อเดียวกันน่ะแหละ ถ้าเธอมีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา จิตละเอียดลง ปัญญาเกิดมากขึ้น เธอก็เป็นพระสกิทาคามี" พระก็ถามว่า "ถ้าผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว ต้องการเป็นพระอนาคามี จะทำยังไง" ท่านก็บอกเหมือนกัน จะทำยังไงท่านก็บอกข้อเดียวกัน ก็รวมความว่า ให้พิจารณาขันธ์ ๕ ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

    ท่านอาจจะคิดว่า ความเป็นพระอริยเจ้านี่เป็นของไม่ยาก แต่ความจริงมันก็ไม่ยาก แต่ทั้งนี้อย่าไปนึกว่าคนพูดเป็นพระอริยเจ้าไปด้วยก็แล้วกัน ว่ากันไปตามตำราของท่าน ไม่ยากจริงๆ ทีนี้เพื่อความเข้าใจง่ายไปกว่านั้น หวนกลับมาจับอารมณ์ของพระโสดาบันใหม่ว่า คนที่จะเป็นพระโสดาบันจริงๆ จะมีอารมณ์เยือกเย็นจริงๆ สามารถจะตัดกิเลสได้จะทำยังไง

    ก็ต้องไปดูบาลีจุดหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า พระโสดาบัน ก็ดี พระสกิทาคามี ก็ดี ทั้งสองประการนี้ มีปัญญาเล็กน้อย มีสมาธิเล็กน้อย แล้วก็มีศีลบริสุทธิ์ ถ้าว่ากันถึงตามนี้ ก็จะเห็นว่าพระโสดาบันเป็นไม่ยากนัก ท่านบอกใช้สมาธิไม่มาก ไม่ต้องนั่งเครียด มีสมาธิเล็กน้อยขั้นปฐมฌานก็พอ แล้วก็มีปัญญาเล็กน้อยไม่มากนัก คำว่า ปัญญาเล็กน้อย มีความสำคัญ ต้องหวนกลับมาว่า ปัญญาเล็กน้อยมีความรู้สึกยังไง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สักกายทิฏฐิ มีความสำคัญมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กุมภาพันธ์ 2011
  2. Phuket

    Phuket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    499
    ค่าพลัง:
    +877
    สักกายทิฏฐิ

    ซึ่งแปลว่า มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ตอนนี้ก็มาตั้งจุดกันแค่เล็กๆ อันดับแรกถ้าเราจะทำ แรกที่สุดหาทางรู้จัก นิวรณ์ ๕ ประการเสียก่อน ว่านิวรณ์ ๕ ประการมีอะไรบ้าง อย่าให้มันกวนใจตลอดวัน ยังไงๆ มันก็กวนใจแน่ ขั้นพระโสดา สกิทาคา อนาคา นี่หลีกนิวรณ์ไม่พ้น แล้วก็หาทางยับยั้งมัน

    วิธีหาทางยับยั้งก็คือว่า ไม่รู้จักหน้ามันเลย ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียว สักครู่เดียว นั่นคือว่า อันดับแรก ก่อนจะทำอะไรทั้งหมด หมวดนี้มีความสำคัญนะ จิตนึกถึง พรหมวิหาร ๔ ก่อน ทางที่ล่ะก็ลืมตาขึ้นมา เอาจิตเข้าไปตั้งไว้ในพรหมวิหาร ๔ ก่อน พรหมวิหาร ๔ ถ้าท่านมีกันแล้วนะเป็นประจำ ทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ตามทรงตัวหมด การตัดกิเลสก็เป็นของง่าย พรหมวิหาร ๔ มีอะไรบ้าง คือ

    ๑. เมตตา ความรัก มีความรู้สึกจากการตื่นนอน ก็ตั้งใจทีเดียวว่า วันนี้เราจะรักตัวเดียว คำว่าเกลียดไม่มี ในใจของเรา เราจะมีความรักในตัวเราเองด้วย มีความรักในตัวบุคคลอื่นด้วย มีความรักในสัีตว์ด้วย มีความรักในวัตถุด้วย ความรักในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงกามารมณ์ หมายถึงเมตตาตัวรักในฐานะเป็นเพื่อน ในฐานะเป็นมิตรที่ดี เรารักตัวเราคือเราไม่ทำลายตัวเรา เรารักคนอื่นคือไม่ทำลายคนอื่น เรารักสัตว์เราไม่ทำลายสัตว์ เรารักวัตถุึเราไม่ทำลายวัตถุ ทำจิตรักเป็นอันดับแรกว่า เราจะเป็นมิตรที่ดี หรือรักคนทั้งโลก รักสัตว์ทั้งโลกเหมือนกัน รักวัตถุที่เขาใช้ของใช้ของหวงแหนเขาแต่ละคน ของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี เราจะรัก ไม่ทำลายไม่ยื้อแย่งของเขา ตั้งใจตามนี้นะครับ เช้ามืดเริ่มตอนนี้เลย และต่อมาเมื่ออารมณ์นี้ทรงตัวดีแล้ว แล้วเราก็คิดว่า ความรักก็ดี กฎ ๔ ข้อก็ตามจะประจำเราตั้งแต่ตื่นจนกว่าจะหลับ

    ๒. กรุณา อารมณ์สงสาร เราไม่ทำร้ายใคร เราไม่ทำร้ายร่างกายเรา ไม่ทำบุคคลอื่น ไม่ทำร้ายสัตว์ ไม่ทำร้ายวัตถุ ไม่ทำอันตรายกับเขา เพราะความสงสาร มีความปรารถนาจะเกื้อกูลให้ทุกคนมีความสุข เห็นใครมีทุกข์อยากจะให้มีสุข ถ้าช่วยได้ไม่เกินวิสัยที่เราจะช่วย แล้วข้อต่อไป

    ๓. มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นคนอื่นได้ดีพลอยยินดีด้วย ตั้งใจไว้ตามนี้ อย่าไปแย่งความดีของเขา เขาทำความดีแบบนั้นเราตั้งใจทำแบบนั้น เพื่อมีความดีเสมอเขา หรือเลวกว่าเขา แต่ว่าอย่าให้เป็นมานะทิฐิ ว่าเธอทำได้ดีแค่นี้น่ะหรือฉันทำได้ดีกว่า กลายเป็นมานะทิฐิไม่ถูกต้อง อย่างนี้ผิด ไปอบายภูมิจิตหมอง ต้องคิดว่าความดีมีอยู่เราต้องทำความดีอย่างเขา แต่บังเอิญมันจะดีกว่าเขาได้ ก็เป็นความปลื้มใจของเรา ไม่เหยียดหยามเขา

    ๔. อุเบกขา อารมณ์็วางเฉย นั่นหมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเกินวิสัยที่เราจะช่วยได้ จะเป็นคนก็ตามสัตว์ก็ตาม เราจะไม่ซ้ำเติม เราจะช่วยเขาให้มีความสุข ถ้าเกินวิสัยที่เราจะพึงช่วยได้ เราก็เฉยไว้ก่อนไม่ซ้ำเติมเขา พร้อมที่จะช่วยเหลือ อารมณ์อย่างนี้ต้องประจำใจของทุกท่าน ตั้งแต่ลืมตาใหม่ๆ จนกว่าจะหลับตานอนหลับไปเลย

    นี่เป็นอันดับที่หนึ่งที่เราจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า และก็อันดับนี้พรหมวิหาร ๔ นี้ หรือการกั้นนิวรณ์ เราจะทรงตลอดไป มันก็เผลอบ้างอะไรบ้างเป็นของธรรมดาใหม่ๆ แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้าจริงๆ ไม่มีคำว่าเผลอ พรหมวิหาร ๔ นี่พระอริยเจ้าไม่เผลอ ยิ่งเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงขึ้นไป พรหมวิหาร ๔ อย่างหนักต้องเป็นประจำใจ เพื่อประโยชน์ในการเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์
     
  3. Phuket

    Phuket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    499
    ค่าพลัง:
    +877
    ถ้าพระโสดาบันก็มี ๓ ขั้น สัตตักขัตตุง โกลังโกละ เอกพิชี มีความเย็นเหนือขึ้นไปตามลำดับ พระสกิทาคามีก็เย็นกว่าพระโสดาบัน อนาคามีก็เย็นกว่าสกิทาคามี อรหันต์เย็นที่สุด ก็รวมความว่าเราต้องมีจิตเยือกเย็น อารมณ์เยือกเย็นจะมีได้เพราะพรหมวิหาร ๔ พรหมวิหาร ๔ จะทรงตัวได้เพราะ อานาปานุสสติ จำให้ดี เมื่อทรงอานาปานุสสติแล้ว จิตเราก็ยอมรับนับถือ นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็น พุทธานุสสติ นึกถึงพระธรรมด้วยความเคารพ เคารพด้วยกันทั้งหมดนะ เป็น ธัมมานุสสติ นึกถึงพระอริยสงฆ์ด้วยความเคารพเป็น สังฆานุสสติ อย่างนี้เป็นการตัด วิจิกิจฉา ตัดสงสัย

    มาถึงสักกายทิฏฐิทางด้านร่างกาย ขอย้อนกลับนิดหนึ่ง สักกายทิฏฐิ เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา อย่างนี้กำลังจะหนักเกินไปสำหรับพระโสดาบัน อารมณ์อย่างนี้ถ้าทรงตัวละเอียดจริงๆ ต้องเป็นพระอรหันต์ แต่การมีความรู้้สึกว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ต้องมีความทรงตัว ถ้าจะคิดให้ง่ายลงมา เพราะว่าท่านบอกว่าใช้ปัญญาเล็กน้อย พระโสดาบันกับสกิทาคามี ถ้าไปล่อขนาดไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราเข้าจะกลุ้ม แต่ว่าทำคล่องตัวก็ดี ถ้าทำถนัดควรทำเพราะมีความสำคัญมาก

    ถ้ากำลังจิตยังอ่อนก็คิดตามนี้ว่า ร่างกายมันเป็น อนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ มีความเสื่อมเป็นปกติ ไอ้เรื่องความเสื่อมเป็นไงหาเอาเองก็แล้วกันนะ อย่าให้อธิบายเลยมันจะเกินพอดีไป การไม่รู้ตัวแก่ ไม่รู้ร่างกายทรุดโทรมนี่ ก็ไม่ควรจะเข้ามาเป็นพระอริยเจ้า ไม่ต้องปฏิบัติกับเขา เวียนว่ายตายเกิดไปตามเรื่องก็แล้วกัน ร่างกายมันเกิดมาแล้วก็มีความเสื่อม จากเด็กเล็กเป็นเด็กใหญ่ จากเด็กใหญ่เป็นหนุ่มเป็นสาว จากเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นวัยกลางคน จากวัยกลางคนเป็นคนแก่ จากคนแก่เป็นคนตาย นี่มันไม่เที่ยง ขณะที่ทรงร่างกายอยู่ก็เป็นทุกข์ ทุกข์อะไรบ้าง ย้อนกลับฟังอนุสสติ และในที่สุดก็เป็น อนัตตา คือสลายตัว

    ไหวไหม ถ้ายังคิดไม่ไหวใช้ต่ำลงมาอีกนิดหนึ่งเป็นพระโสดาบันขั้นต้นคือ สัตตักขัตตุง มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้มันต้องตาย ตายกับอนัตตานี่มันตัวเดียวกัน อาจจะมีบางคนบอกคำว่าตายนี่มันมรณานุสสติ เป็นสมถภาวนา ก็ต้องขอตอบว่าถ้าไม่โง่เสียอย่างมันก็เหมือนกัน ตายก็สลายตัว อนัตตาก็เหมือนกัน อนัตตาก็คือตาย ตายก็ค่อยๆ ย่อยไป ในที่สุดก็หายไป มันก็เหมือนกัน อย่าติดศัพท์มากเกินไป ใช้ปัญญาด้วย

    ปัญญามีอยู่ควรจะใช้ให้มันเป็นประโยชน์ รู้จักใช้จะเบา ให้มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตายก็ได้ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็ได้ เห็นร่างกายไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเราก็ได้ ให้นึกเอาตามชอบ มีความรู้สึกอย่างนี้แต่ตอนเช้ามืด ต่อไปนี้ก็ยึดอารมณ์ให้มันแน่นอน เอาจริงเอาจัง ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่งจริงๆ แล้วอย่าปล่อยนะ นึกแต่เช้าให้ยันหลับ
     
  4. Phuket

    Phuket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    499
    ค่าพลัง:
    +877
    แล้วต่อไป สีลัพพตปรามาส ก็มานั่งดูศีล ศีล ๕ ก็ดี กรรมบถ ๑๐ ก็ดี เราครบถ้วนไหม พระโสดาบันนี่จะมีแต่ศีล ๕ ไม่ได้ สังเกตดูปาก ปากพระโสดาบัน ไม่ใช่ปากชั่วเป็นปากดี จะเห็นได้ว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็ดี นางวิสาขา ก็ดี ทุกท่านก็ตามที่เป็นพระโสดาบัน ท่านรักษาปากด้านกรรมบถ ๑๐ ปากดีไม่ใช่ปากเลว ไอ้ปากเลวถือเป็นปากหมาก็ไม่ได้ มันปากเลวกว่าปากหมา เพราะหมาด่าคนคนไม่รู้เรื่อง ไม่กลุ้ม ถ้าคนด่าคนนี่คนมันรู้เรื่องมันกลุ้ม

    ในด้านปากก็คือว่า ข้อที่ ๑. ไม่พูดปด ข้อ ๒. ไม่พูดคำหยาบ ข้อ ๓. ไม่นินทาชาวบ้า่น คือส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกัน และข้อที่ ๔. ไม่เพ้อเจ้อเหลวไหล นี่ทางวาจา ทางใจก็ไม่นึกอยากจะได้ทรัพย์สมบัติของใครมาครอบครองโดยไม่ชอบธรรม และก็ไม่โลภอยากได้ทรัพย์สมบัติ นี่ข้อ ๑ นะ ข้อ ๒ ไม่คิดประทุษร้ายใคร คือความโกรธยังมีอยู่ แต่การจองล้างจองผลาญไม่มี แล้วข้อที่ ๓ ทางใจมีความเห็นไม่ค้านคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ คือพระพุทธเจ้าตรัสมา ใช้ปัญญาพิจารณาตามแล้วปฏิบัติตามด้วย ในที่สุดก็เห็นว่าพระพุทธเจ้าตรัสถูก มีความสุข

    นี่เป็นอันว่าครบแล้วนะ ครบพระโสดาบัน

    -----------------------------------------------

    ที่มา : ��Ǵ�����������
     

แชร์หน้านี้

Loading...