พระราชปรารก คำพยากรณ์แผ่นดินกรุงเทพฯ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย aprin, 23 กรกฎาคม 2012.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เมื่อถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้า‌อยู่หัว ว่าต่อไปบ้านเมืองจะรุ่งเรืองมาก นี่พูด‌อย่างนี้ อาตมามีหลักฐานยืนยัน ไม่ใช่ยันอะไร ยัง‌ว่าไม่ใช่อาตมารู้เอง รู้มาจากที่อื่น ประเดี๋ยวจะ‌คุยให้ฟัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรง‌มีพระราชดำรัสถามว่า บ้านเมืองถ้ารุ่งเรืองมาก ‌จะมีชะตาเหมือนคนไหมขอรับ พระองค์ทรงมี‌พระราชดำรัสด้วย แล้วก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ด้วย ‌ว่าตามธรรมดาคนนี่นะ ถ้ามีชะตารุ่งเรืองถึงที่สุด‌

    แล้วก็ต้องตาย

    ความจริงเรื่องนี้อาตมาก็เคยพบมา พระยา‌ราชการุณ เวลานั้นอาตมาไปพบท่าน เวลานั้น‌ท่านมีตึกอยู่หลังหนึ่ง ปรากฏว่ามีต้นบัว ดอก‌บัวหลวงนี่แหละ ขึ้นบนหลังคาตึกของท่าน ซึ่งไม่มีน้ำไม่มีท่า แล้วก็มีดอกขึ้นมา 3 ดอก ท่าน‌นิมนต์พระไปฉันที่บ้านของท่านเป็นการทำบุญ ‌อาตมาก็เป็นพระอันดับ 1 ในเกณฑ์ที่ท่านนิมนต์ ‌คือ 1 นี่ 1 ข้างท้าย แบบเดียวกับที่เฝ้าฯรับเสด็จ‌พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาตมาก็เป็นหนึ่ง‌

    เหมือนกัน ถ้ามองข้างท้ายออกไปถึงอาตมาก่อน‌คราวนั้นก็เช่นเดียวกัน
    ขณะที่พระกำลังฉันอยู่ พระหลายรูปปรารภ‌ว่า ท่านเจ้าคุณมีชะตาดีมาก จะรุ่งเรืองมาก ‌เพราะว่าต้นบัวขึ้นบนหลังคาแล้วมีดอกตั้งสาม‌ดอก เป็นของอัศจรรย์ ท่านพระยาราชการุณ‌ท่านก็ตอบว่า ขอรับ แต่ผมทราบว่า เวลานี้ผมจะตายเพราะชะตาคนเราถ้าขึ้นสูงสุดเต็มขีด ‌ร่างกายของผมมันแก่ ทนไม่ไหว มันรับรองความ‌ดีของชะตาไม่ได้มันก็ต้องตาย หลังจากนั้นมา‌ปรากฏว่า ท่านพระยาราชการุณมีโชคดีเป็นกรณี‌พิเศษ แต่เป็นโชคอะไรจำไม่ได้ ไม่บอก แล้ว‌ต่อมาไม่ช้าท่านก็ตาย

    นี่ การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง‌ตรัสถามนั้น อาตมาก็เข้าใจว่า พระองค์ทรง‌ทราบวิชาความรู้ด้านนี้เป็นอย่างดี แต่ทว่า‌อาตมาก็ถวายพระพรตอบไปอีกแบบหนึ่งตาม‌ความเป็นจริงที่ทราบมาว่า ชะตาของบ้านเมืองที่จะมีความมั่งคั่งสมบูรณ์ขึ้นตามลำดับและจะ‌มั่งคั่งสมบูรณ์เต็มอัตราศึก...

    ...อาตมาถวายพระพรว่า เวลานี้บ้านเมือง‌ของเราจะสงบจากเหตุร้ายคือ เป็นชะตาของ‌ประเทศหรือชะตาของประชาชน ต่อไปจะมั่งคั่ง‌สมบูรณ์

    พระองค์ตรัสถามว่า คนเราถ้าชะตาสูงสุด‌แล้วมันก็ตาย อาตมาก็ได้ถวายพระพรว่า ไม่ใช่‌อย่างนั้น ชะตาของประเทศไทยไม่ใช่ว่าไม่มี‌ชะตาตาย เป็นชะตาที่มีแต่ความรุ่งเรือง เพราะ‌ว่า ถ้าหากดีขึ้นไปกว่านี้อีกสัก 100 เท่า เวลานี้‌เรามีงบประมาณแผ่นดินเท่าไหร่ อาตมาจำไม่ได้ ‌จะเป็นหกหมื่นล้านหรือเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ ทีนี้ถ้าร้อยเท่าล่ะ หกหมื่น หกแสน หกล้าน เอาหก‌ล้านล้าน งบประมาณของแผ่นดินอีก 100 เท่า ‌

    แสดงว่า ความมั่งคั่งของประชากรมากขึ้น มันก็‌ยังไม่ถึงชะตาสูงสุดของประเทศ ยังไม่เข้าเขตที่จะต้องตาย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเวลานี้ (2519) ชะตาของประเทศไทยมันแบะแตะเต็มที‌แล้ว มันทรุดลงไปไม่มีที่จะทรุด ขอบรรดาพุทธ‌บริษัทมองดูก็แล้วกัน...

    ...แม้พวกเราจะสร้างความดีแบบไหนขึ้นมาก็ตามที พวกเขาก็พยายามโจมตีด้วยประการทั้งปวงเพราะมายอมรับนับถือตามความเป็นจริง ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงดูอย่าง‌เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จ‌พระราชชนนี ทรงมีความเหน็ดเหนื่อยด้วย‌ประการทั้งปวง เวลานี้แจกอื่นๆ ไม่พอ แจก‌แผ่นดินอีกแล้วท่านพุทธบริษัท แต่ทว่าพระบาท‌สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ ‌พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระราชชนนีก็ยัง‌ไม่เป็นที่ถูกใจของบุคคลพวกนั้นผู้ทำลายชาติ ‌หวังจะให้เราขาดจากความเป็นอิสระ เป็นทาส‌เขา เรายอมกันไหมบรรดาท่านพุทธบริษัท

    ถ้าเต็มใจยอมก็จงอย่าดำเนินตามรอยพระ‌ยุคคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้‌รวมถึงข้าราชการทั้งหมด ถ้าเราคิดว่า ความเป็น‌ทาสดีละก็ อย่าดำเนินตามรอยพระบาทสมเด็จ‌พระเจ้าอยู่หัว ถ้าว่าเราไม่ต้องการความเป็นทาส ‌เราก็ปฏิบัติตามที่พระมหากษัตริย์ทรงกระทำที่เขาถือเป็นตัวอย่าง ตัวแบบ เราก็เอาแบบของ‌ทั้งสามพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ‌

    สมเด็จพระราชชนนี...

    ...ที่ว่าอาตมากล้าถวายพระพรกับพระบาท‌สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตอนนั้น ที่พระองค์ทรงตรัส‌อย่างนั้น แล้วอาตมาก็ถวายพระพรแบบนั้นเอาหลักฐานมาจากไหน...การพูดแบบนี้ก็จะขอ‌อ้างหลักฐาน อ้างหลักฐานขึ้นมาสักนิดหนึ่งว่าการที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่รู้ด้วยญาณของตนเอง ไม่‌ได้มีจักษุทิพย์ ไม่ได้มีญาณเป็นทิพย์ แต่ว่ามีความ‌จำเป็นทิพย์...

    ...ในสมัยที่อาตมาอยู่กับหลวงพ่อปาน (วัด‌บางนมโค) ปีนั้นจำไม่ได้ว่า เป็นปี พ.ศ. 2480 ‌หลวงพ่อปานไม่อยู่ อาตมาเป็นนักค้น แล้วก็คว้า‌ด้วย ค้นอะไรบรรดาท่านพุทธบริษัท กุฏิหลวงพ่อ‌ปาน กุฏิหลวงพ่อเล็ก 2 กุฏินี้ไม่มีใครกล้าค้นท่านวางอะไรไว้ที่ไหนไม่มีใครกล้าหยิบแต่อาตมา‌คนเดียวกล้าหยิบ สันดานมันเลว ลิง ลิงนี่มันจะเรียบร้อยอะไรกับมัน ค้นไปค้นมาหนังสือใน‌กุฏิหลวงพ่อเล็กก็มีมาก มี 2 ตู้ใหญ่ๆ เป็นหนังสือ‌สมุดข่อย สงสัย ไปได้สมุดข่อยกะรุ่งกะริ่งแต่มีใจความน่าคิด เอามานั่งอ่าน สนใจ หนังสือฉบับนั้นเขียนไว้ หนังสือขาด ข้อความก็ขาด เป็นอันว่า คำพยากรณ์ของพระอรหันต์สมัยอยุธยาพยากรณ์ไว้ตั้งแต่กรุงเทพฯ ยังไม่ปรากฏ

    ในหนังสือนั้นเขาว่ายังงี้นา ถ้าโกหกก็โกหก‌ด้วยกัน ถ้าหนังสือโกหกอาตมาก็โกหกแต่ไม่มี‌เจตนาโกหก พูดตามหนังสือนี่ จะปรับเป็นโทษก็ตามใจซีพ่อคุณ จะเอาเทวดาที่ไหนมาปรับก็เชิญเถอะพ่อคุณเอ๊ย ไม่หนักใจ หนักใจทำไมรู้เรื่องกันเสียหมดแล้วนี่ว่าใครดีใครชั่วล่ะ

    มาอ่านแล้ว มันเกิดความไม่สบายใจ หนังสือ‌เล่มนั้นมีใจความยังไงยังไม่พูด
    รอจนกระทั่งหลวงพ่อปานมาก็เข้าไปกราบ‌เรียนท่าน เวลาท่านว่างแขก สบายใจ ถามว่า ‌หลวงพ่อขอรับ กระผมได้หนังสือฉบับนี้มา 1 ‌ฉบับ แต่ทว่าข้อความมันขาดไปเสียหมด ปะติด‌ปะต่อกันไม่ได้แต่ข้อความจับใจมาก อยากจะ‌ทราบว่า หลวงพ่อทราบข้อความนี่ไหม?

    หลวงพ่อก็ถามถึงข้อความจุดหนึ่ง อาตมาก็‌พูดให้ฟัง ท่านเลยบอกว่า มีลูกมี หนังสือฉบับนี้‌พ่อเคยเห็นมาก่อนแล้วเหมือนกัน สมัยนั้นมันยัง‌สมบูรณ์อยู่แต่ทว่ามันผุเต็มที หนังสือนี้เป็น‌สมบัติของหลวงปู่คล้าย ท่านเอามาจากไหน ‌หลวงพ่อก็ไม่ทราบเหมือนกัน ท่านก็เลยจ้างเขา‌เขียนไว้ในสมุดข่อยอีกเล่มหนึ่ง
    แล้วหลวงพ่อก็สั่งให้ไปหยิบหนังสือเล่มนั้น‌จากกุฏิของท่าน ท่านซุกไว้ใต้ตู้นาฬิกา เอาผ้าสี‌แดงห่อเข้าไว้ เหมือนจะเตรียมไว้ให้เจ้าลิงอ่าน

    เมื่อเจ้าลิงถุงไปได้มาแล้วก็มานั่งอ่าน รู้สึกว่า‌อ่านสบายกว่าหนังสือฉบับแรก หนังสือฉบับแรก‌มันขาดก็ขาด ตัวหนังสือก็แสนจะอ่านลำบาก ‌ยุ่งๆ เหยิงๆ อ่านแล้วตีความหมายยากเพราะไอ้หางยาวๆ มันเยอะเหลือเกิน ถ้อยคำก็รู้สึกตีความลำบากแต่ก็พยายามแกะจนได้แต่ข้อความ‌มันไม่ครบ มาได้ที่หลวงพ่อปาน แหม มีจบอ่าน‌แล้วก็อ่านง่าย

    ข้อความในหนังสือฉบับนี้มีว่าอย่างนี้ บรรดา‌พุทธบริษัทจะพูดให้ฟัง...
    หนังสือฉบับที่หลวงพ่อปานนำมาให้อ่าน ‌มองดูแล้วก็ปรากฏว่า หนังสือฉบับนั้นจะมีอายุ‌สัก 30 ปีเศษๆ แล้วก็ตัวหนังสืออ่านง่าย เป็น‌ภาษาปัจจุบัน ใจความของหนังสือฉบับนั้นก็มีอยู่‌ว่า เราขอพยากรณ์กรุงเทพมหานครที่จะเกิดขึ้น‌ในวันข้างหน้า ท่านว่ายังงั้น แล้วหนังสือฉบับนั้น‌ก็ลงท้ายไว้ว่า“คนเขียน”จะเป็นสมัยไหนก็ไม่ทราบ

    ถามหลวงพ่อปานว่า คนเขียนนี่เป็นคนลอก‌หนังสือใหม่ใช่ไหม ท่านบอกไม่ใช่ ที่เขียนข้อ‌ความไว้ตอนท้าย ท่านก็บอกว่า ท่านลอกข้อ‌ความเดิมมาทั้งหมด ไม่ได้แต่งใหม่

    คนเขียนขมวดตอนท้ายไว้ว่า เป็นพระ‌อรหันต์สมัยกรุงศรีอยุธยา มีนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ใย) ชื่อหลวงพ่อใย เป็นผู้พยากรณ์ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยายังไม่แตกครั้งหลัง จะใช่หรือ‌ไม่ใช่ก็ช่าง แต่ว่า หนังสือฉบับนี้มีเหตุพอ
    ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ กล่าวถึงพระเจ้าแผ่นดิน‌ของกรุงเทพมหานคร ว่า

    [​IMG]


    รัชกาลที่ 1 มหากาฬผ่านมหายักษ์ (ขอท่านพุทธบริษัทจำให้ดีว่า ท่านไม่ได้เขียนบอกไว้‌ว่า มหากาฬฆ่ามหายักษ์)
    รัชกาลที่ 2 รู้จักธรรม
    รัชกาลที่ 3 จำต้องคิด
    รัชกาลที่ 4 สนิทธรรม
    รัชกาลที่ 5 จำแขนขาด
    รัชกาลที่ 6 ราษฎร์ราชาโจร
    รัชกาลที่ 7 นั่งทนทุกข์
    รัชกาลที่ 8 ยุคทมิฬ
    รัชกาลที่ 9 ถิ่นกาขาว
    รัชกาลที่ 10 ชาววิไล

    เมื่ออ่านมาถึงตอนนี้แล้ว จึงได้กราบเรียน‌ถามหลวงพ่อปานว่า กรุงเทพพระมหานครนี่จะมี‌พระมหากษัตริย์ต่อไปคู่กับประเทศไทยจนกว่า‌โลกจะสลายตัวแต่ที่ไม่ได้พยากรณ์ไว้ ดูรัชกาลที่ ‌10 ท่านบอกว่า ชาววิไล เป็นอันว่า เปรื่อง‌ปราชญ์สามารถ มีความสุขสบายด้วยประการทั้งปวง การพยากรณ์นั้น เขาพยากรณ์ดีกับชั่ว‌เท่านั้น ขึ้นหรือลง ถ้าเราจะเลวลง เขาจะบอกว่า ‌ต่อไปนั้นเคราะห์ร้าย ไม่ดี ถ้าหากว่า เราจะดีขึ้น ‌เขาบอกว่า จะดีขึ้น จะโชคดี ถ้าเป็นปรกติ ไม่มี‌ใครเขาพยากรณ์

    อันนี้เห็นจะเป็นความจริง เห็นพวกอุทก‌ศาสตร์หรืออุตุนิยม เขาก็พยากรณ์ว่า วันนั้นฝน‌จะตกที่นั่น วันนี้ฝนจะตกที่นี่ วันนี้อากาศจะสูง ‌จะร้อนเท่านั้นจะหนาวเท่านี้ น้ำจะขึ้นจะลงเมื่อ‌เท่านั้นเท่านี้ (อะไรเป็น) ปรกติ เขาไม่ได้บอกถ้าเขาจะบอกว่า นับแต่บัดนี้ไป น้ำจะไม่ขึ้นไม่ลง ฝนจะไม่ตก แดดจะไม่ออก มันจะเป็นปรกติไปเขาคงไม่พยากรณ์นี่เทียบคำพยากรณ์ ยังไม่อธิบายตอนนี้

    หนังสือฉบับนั้นยังมีต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง ไม่‌หน่อยล่ะ มีมาก แต่อาตมาจะขอย่อความ

    ท่านอ้างว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่าน‌พยากรณ์ไว้ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ โลกต่อ‌ไปจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ก่อนกึ่งพุทธกาล ‌15 ปี (คือ พ.ศ. 2485) จะมีฝนเหล็กตกจาก‌อากาศ จะมีไฟลุกจากอากาศ ฝนเหล็กก็เห็นจะเป็นลูกระเบิดหรือลูกปืนกล มันเอาเกือบเสีย‌ย่ำแย่ เวลานั้นอาตมาก็อยู่ในกรุงเทพฯ แล้วลูกระเบิดเพลิง (คงจะตรงกับ) ไฟที่ตกจาก‌อากาศ สมณะชีพราหมณ์จะตายกันมากแต่ทว่า ‌

    อานันทะ ดูก่อน อานนท์ ความเร่าร้อนกึ่งพุทธกาล 15 ปีที่ว่ามีความเร่าร้อนมาก มีความ‌ทุกข์ยากมาก ยังก่อนหรอกอานนท์ หลังกึ่งพุทธ‌กาลจะมีความร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้น

    ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นอาละวาด สมณะ‌ชีพราหมณ์จะล้มตาย ยักษ์นอกพระพุทธศาสนา‌ทั้งหลายจะฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะตายกันไปคน‌ละครึ่ง ถึงจะหยุดยั้งเลิกรบกัน แต่ทว่าประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยอย่างนี้บ้างเหมือนกัน‌แต่ว่าไม่มากนัก นี่ถือใจความจากหนังสือฉบับนั้น ‌ท่านเขียนไว้แบบนี้ อาตมาก็เอายังงี้

    ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ‌ก็ถือเกณฑ์นี้เป็นหลัก แต่อาตมาไม่ได้ถวาย‌พระพรพระองค์ตามนี้ วันนั้นอาตมาพูดแต่เพียง‌ย่อๆ แต่อาตมาเข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้า‌อยู่หัวทรงทราบเพราะทรงมีพระปรีชาสามารถ‌มาก แน่ใจ

    พระราชปรารก (2) คำพยากรณ์แผ่นดินกรุงเทพฯ - โพสต์ทูเดย์ ข่าวธรรมะ-จิตใจ
     
  2. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    คราวนี้ เรามาดูเรื่องราวรัชกาลต่างๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาเป็นคนอ่านเป็นคนจำแล้วก็คิดตาม ชอบตามเรื่อง เพราะเรื่องอะไรที่มันเกิดขึ้นแล้วชอบตามเรื่องนั้นตลอดเรื่อง ถ้ามีโอกาส ก็มานั่งพิจารณาตามคำพยากรณ์ของท่านว่า

    รัชกาลที่ 1 มหากาฬผ่านมหายักษ์
    นี่หมายความถึงว่ารัชกาลที่ 1 คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกผ่านพระเจ้าตากสินมา แล้วตามข่าวที่เขาเขียนกลับมาเป็นประวัติศาสตร์ บอกว่า พระเจ้าตากสินถูกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1 สั่งปลงพระชนม์ อันนี้ อาตมาก็เห็นจะต้องยอมรับ ว่าเรื่องนี้เป็นไปตามนั้นจะต้องมีกระแสพระราชดำรัสตรัสสั่งออกไปว่า ให้ปลงพระชนม์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คำสั่งก็เป็นคำสั่ง แต่ว่าการปฏิบัติ นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ผู้ปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติตาม แต่อย่าลืมว่า เวลานั้นการที่พระเจ้าแผ่นดินเป็นพระราชามีศักดิ์สูง ถ้าจะประหารด้วยดาบของเพชฌฆาตธรรมดามันก็ไม่ได้ เขาต้องใส่กระสอบ แล้วเอาท่อนจันทน์ที่มีกลิ่นหอมทุบให้ตาย ราชาศัพท์เขาเรียกว่าสวรรคต สวรรคตนี่เขาแปลว่าไปสวรรค์ มันก็ไม่แน่นักนี่

    เขาว่าอย่างนั้นแต่อาตมาน่ะรับรองว่าคำสั่งต้องเป็นคำสั่งจริงๆ ประหารก็ต้องประหารจริงๆ แต่ว่าคนที่ตายนั้นไม่ใช่พระเจ้าตากสินมหาราช เป็นคนอื่นเขาตายแทน นี่ตามความเห็นของอาตมาต้องเป็นคนที่มีความจงรักภักดีตายแทน หรือมิฉะนั้นก็ต้องเป็นนักโทษ ที่ต้องโทษประหารชีวิตตายแทน ไม่ใช่พระเจ้าตากสินมหาราช

    แล้วพระเจ้าตากสินมหาราชไปทางไหน แล้วทำไมถึงต้องทำอย่างนั้น นี่มันเป็นเรื่องของการเมือง บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาพูดไม่ได้ ถ้าขืนพูดแล้ว ความเดือดร้อนมันจะเกิดขึ้น ไม่พูดเสียเลยจะดีกว่า รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม แต่ก็พูดไปแล้ว แต่พูดไม่จบนี่ไม่เป็นไร

    หากใครจะถามว่า ถ้าพระเจ้าตากสินไม่ตายแล้วพระเจ้าตากสินไปไหน?
    อาตมาจะบอกทำไม ในเมื่อรัชกาลที่ 1 ท่านไม่บอกแล้วอาตมาจะบอกทำไม แล้วทำไมถึงจะต้องทำอย่างนั้น

    เราหันไปดูประวัติศาสตร์ว่า พระเจ้าตากสินมหาราช เวลาที่พระองค์ทรงกู้ชาติสมัยที่อยุธยาต้องแตกแหลกลาญในคราวนั้น พระองค์ตีฟันฝ่าข้าศึกออกมา เอาเงินที่ไหนออกมา? จะมีสตางค์มาสักกี่บาท แล้วในระหว่างการกู้ชาติจะเอาเงินทองที่ไหนมา การบริหารประเทศชาติต้องใช้เงิน บรรดาท่านพุทธบริษัท เพียงแค่กินมันก็แย่แล้ว นี่ต้องรบราฆ่าฟันกันตลอดเวลาแล้วพระเจ้าตากสินจะเอาเงินที่ไหนมา นั่งนึกดูซี ภาษีอากรสมัยนั้นเหมือนสมัยนี้หรือเปล่า นี่ ความลำบากของพระเจ้าตากสินมีเพียงไร เรื่องนี้มันก็ต้องมีการกู้การยืมกัน อาตมาพูดเท่านี้แหละแต่ขอยืนยันว่าพระเจ้าตากสินไม่ได้ตาย เพราะคำสั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1

    เพราะว่าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านพูดไว้แต่เพียงว่า “ผ่าน” มหายักษ์ ไม่ใช่ “ฆ่า” มหายักษ์ไป เรื่องนี้เก็บเอาไว้ก่อน ขอให้นักประวัติ ศาสตร์สืบประวัติศาสตร์กันให้ดี ค้นกันให้ดีแล้วจะพบจุดสำคัญของประวัติศาสตร์ตอนนี้ จะหาว่าพระราชวงศ์จักรีนี่เป็นกบฏต่อพระเจ้าตากสินแล้วขึ้นเถลิงราชย์ ไม่ใช่! นี่เป็นพระราชดำริ หรือพระราชประสงค์ของพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อหวังจะให้ชาติไทยทรงเป็นชาติไทยต่อไป และเพื่ออะไรพระองค์จึงไม่ทรงสละราชสมบัติเฉยๆ? นั่นมันเป็นเรื่องการเมือง ทำไม่ได้ ต้องทำกันตามระบบของการเมือง

    [​IMG]

    พระเจ้าตากสินมหาราชไม่ใช่กษัตริย์ที่มีความโง่เง่าไม่รู้เท่าทันคน ถ้าพระองค์มีความโง่เง่าไม่รู้เท่าทันคนแล้วจะทรงกู้ชาติได้อย่างไรภายในปีเดียว เอากันอย่างนี้ก็แล้วกัน ทิ้งไว้แค่นี้ให้เป็นข้อคิด เป็นการบ้านของบรรดาท่านพุทธบริษัท และนักประวัติศาสตร์ทั้งหลาย

    เป็นอันว่ารัชกาลที่ 1 มหากาฬผ่านมหายักษ์ แหมองค์สำคัญทีเดียว รุ่นราวคราวเดียวกันด้วย แล้วก็เป็นกษัตริย์ ถ้าจะคิดกบฏเสร็จ ไม่มีทาง ถ้าจะคิดกบฏแล้วก็เสร็จรัชกาลที่ 1 ม่องตี่แน่ แต่ทว่าพระเจ้าตากสินมหาราชทำไมจึงทรงปล่อยให้เป็นอย่างนั้นช่วยกันคิดด้วยความเป็นธรรม ช่วยกันพิจารณาด้วยปัญญาที่แท้จริง เอาระบบการเมืองเข้ามาเทียบเคียงกันความจริง แล้วจะรู้ความจริงต่อไปในวันหน้า อาตมาไม่บอก นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตรัสถามจึงจะบอก คนอื่นไม่บอกแน่ ไม่เกิดประโยชน์ แล้วอาตมาบอกก็ไม่มีหลักฐาน

    ท่านจะถามทำไม ท่านถามก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องมันผ่านมาแล้ว แล้วอาตมาบอกไปก็ไม่มีใครเขาเขียนไว้ ถ้าจะถามว่าอาตมารู้ได้ยังไง ก็ต้องตอบว่า “เดาเอาซี” มันไม่ยาก เดาเอาตามเล่ห์เหลี่ยมของการเมืองแล้วใครอยากจะฟังเรื่องเดาบ้างล่ะ มันไม่ค่อยจะจริงนักนี่ ผ่านไป รัชกาลที่ 1 สบายแล้วผ่านมหายักษ์เถลิงราชสมบัติ

    รัชกาลที่ 2 รู้จักธรรม
    เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 2 ปรากฏว่าบ้านเมืองค่อยสงบลง พระองค์ก็มีพระราชประสงค์ (แต่ความจริงมันเริ่มมีมาแต่รัชกาลที่ 1) ที่จะให้บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายสะสางพระไตรปิฎในตอนนั้น สมัยรัชกาลที่ 1 ไม่ค่อยว่างจากราชการสงคราม มารัชกาลที่ 2 นี่มีจุดว่าง รู้จักธรรม คือให้พระสงฆ์ทั้งหลายค้นคว้าพระธรรมวินัยแหมรวบรวมกันเป็นการใหญ่

    มาถึงรัชกาลที่ 3 จำต้องคิด
    ท่านนึกตามเอาก็แล้วกัน อ่านประวัติศาสตร์แล้วก็นึกตามกันไปด้วย เพราะว่ารัชกาลที่ 3 นี่ ความจริงเป็นพระองค์เจ้า เดิมมีพระนามว่าพระองค์เจ้าทับ แล้วก็เป็นพ่อค้าสำเภา เวลารัชกาลที่ 2 ท่านไม่มีสตางค์ ท่านก็บอกว่าพ่อทับเอ๊ยมีเงินไหมลูก พ่อจะทำนั่น พ่อจะทำนี่ ท่านก็บอกว่ามี ท่านก็เอาเงินที่ได้จากค้านี่มาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้มีความเจริญ เลี้ยงบรรดาพสกนิกรข้าราชบริพาร พระองค์ทรงมีความเหน็ดเหนื่อยมากในสมัยที่ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ ต้องค้าขายกับต่างประเทศ

    เวลานั้นธงประจำเขามีกันทุกชาติ เรือไทยเราไม่มีธง ไปต่างประเทศเขาต้องมีธงประจำชาติหาอะไรไม่ได้มีผ้าแดงอยู่ผืนหนึ่งเลยใช้ผ้าแดงทำเป็นธง ต่อมาสมัยหนึ่งเราจะเห็นว่าธงไทยคือสีแดง จำต้องคิดเพราะเรื่องราวของพระองค์ จะไม่อธิบาย ถ้าอยากจะทราบกันจริงๆ ให้ไปอ่านหนังสือจดหมายเหตุของหลวงอุดม จะรู้เรื่องราวในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่าพระองค์ทรงมีความหนักพระราชหฤทัยอยู่มาก คิดอยู่ตลอดเวลา แล้วเมื่อพระองค์จะสวรรคต ก็ทรงมีลายพระหัตถ์ไปถึงรัชกาลที่ 4 แล้วมีลายพระหัตถ์ไว้ฉบับหนึ่งว่า ฉันจะตาย ฉันไม่ตั้งรัชทายาท เมื่อฉันตายแล้วลูกของฉัน ถ้าไม่ต้องการให้รับราชการก็ขอให้ลงโทษเพียงแค่เนรเทศ อย่าถึงกับฆ่าแกงกันก็แล้วกัน นี่ใจความสั้นๆ เป็นอันว่าพระองค์มีเรื่องต้องคิดอยู่มาก

    ถึงรัชกาลที่ 4 เราฟังกันชัด เพราะตอนโน้นบางทีท่านพุทธบริษัทผู้อ่านและผู้รับฟังจะไม่เข้าใจ

    รัชกาลที่ 4 ท่านบอกว่าสนิทธรรม
    นี่เราก็รู้กันอยู่แล้วว่ารัชกาลที่ 4 ท่านทรงผนวชถึง 20 พรรษา แล้วก็ทรงออกธุดงค์ มีความสนิทสนมกับสมเด็จพระพุฒาจารย์โตเป็นอย่างดี แล้วทรงเป็นนักปราชญ์ ทรงพระไตรปิฎก ความจริงรัชกาลที่ 4 นี้ อาตมาชักคร้ามๆ ท่านเหมือนกัน เพราะทรงพระปรีชาสามารถ มีความฉลาดหลักแหลมบอกไม่ถูกพอดีกับสมเด็จพระพุฒาจารย์โต วัดระฆัง นี่ท่านเป็นคู่บารมีกันจริงๆ

    มาถึงรัชกาลที่ 5 จำแขนขาด นี่เราเข้าใจกันชัด เวลานั้นประเทศชาติของเราตกอยู่ในภัยพิบัติอย่างหนัก เพราะประเทศมหาอำนาจ 2 ประเทศ คือ อังกฤษกับฝรั่งเศสเขาจัดการแบ่งเขตแม่น้ำเจ้าพระยากันแล้ว เขาบอกเขาเอากันคนละครึ่ง ฝรั่งเศสเอาตะวันออก อังกฤษเอาตะวันตก สบายไหม นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย

    สมัยรัชกาลที่ 5 เหตุร้ายมีเพียงใดเวลานี้เราก็ตกอยู่ในสภาพอย่างนั้น แล้วในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านทรงความเป็นเอกราชของประเทศไว้ได้อย่างไร เวลานั้นกำลังของเราน้อย บรรดาท่านพุทธบริษัท การติดต่อกับต่างประเทศก็มีน้อย พระองค์ต้องใช้พระปรีชาสามารถมาก คนไทยทุกคนนับตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา ต้องมีหัวหน้าจึงทำ

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงคิดว่า ถ้าเราจะสู้เขา เราก็หมดทั้งประเทศ เราตายนี่ มันก็สิ้นกัน ทีนี้ ต่อมาถ้าเราแบ่งเขตขัณฑ์ให้เขาเสียบ้าง ยอมเสียแขนเสียขา ดีกว่าเสียตัว “จำแขนขาด” ยอมเสียผืนที่ดินบางส่วนให้แก่เขา เพื่อเป็นการรักษาเอกราชเข้าไว้

    ฉะนั้น ในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงทรงประเทศไทยไว้ได้ นี่ใครเคยเห็นคุณเห็นประโยชน์ของคนไทยสมัยโบราณบ้างไหมว่าท่านใช้พระปรีชาสามารถอย่างไร เวลานี้คนไทยเราควรจะทำอย่างไร เวลานั้น คนไทยเรามีความสามัคคีมาก ไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้มีความสามัคคีแบบไหนอาตมาไม่รู้ สามัคคีแบบขายชาติ ไม่เป็นเรื่อง สามัคคีแบบต้องการเป็นทาส อาตมาไม่เอาด้วย เพราะขี้เกียจเป็นทาสเขา การเป็นทาสเขาจะมีประโยชน์อะไร สมัยรัชกาลที่ 5 จำแขนขาด ถ้าไม่ยอมเสียแขนก็เสียหัวแล้วก็เสียคอ แล้วก็ตายทั้งตัวจะมีประโยชน์อะไร ยอมเสียแขนไปหน่อยจะเป็นไรไป เราก็ทรงความเป็นไทยไว้ได้ นี่คำพยากรณ์ของท่านตรงจุด ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ลงมานี่เราเห็นกันชัด

    มารัชกาลที่ 6 ท่านกล่าวว่า ราษฎร์ราชาโจร
    บางคนหาว่ารัชกาลที่ 6 เป็นจอมโจรแต่ว่าความเห็นของท่านไม่ได้เป็นแบบนั้น ท่านไม่ได้คิดว่ารัชกาลที่ 6 เป็นโจร แต่ว่าชาวบ้านเป็นว่ารัชกาลที่ 6 เป็นโจร หาว่าเอาเงินในท้องพระคลังไปใช้เสียหมด คนเวลานั้นยังไม่เห็นความดีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ทำอย่างนั้นเพราะพระองค์ต้องการให้คนไทยรู้จักคำว่าประชาธิปไตย พระองค์ไม่มีพระราชประสงค์ที่จะยึดอำนาจเด็ดขาดเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ต้องการให้ประชาชาติเป็นประชาธิปไตย จึงได้ทำทุกอย่างจะให้บุคคลทั้งหลายเห็นว่าพระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงถือพระองค์ พระองค์คลุกคลีตีโมงกับคนทุกชั้น แสดงมหรสพเล่นโขนก็ยังได้ แล้วก็ความปรีชาสามารถของพระองค์ในตอนนี้แสดงออกมามาก

    ความจริงตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว นี่ท่าน‌เป็นลูกเป็นพ่อกัน ท่านก็ฉลาดคล้ายคลึงกัน บรรดา‌ข้าราชบริพารและประชากรทั้งหลายมีบรรดาศักดิ์ กันเป็นแถวความจริง เรื่องบรรดาศักดิ์เป็นของดี ‌ทำให้บรรดาคนทั้งหลายมีความสบายใจ อย่างเรา‌เป็นร้อยตรีพอมาเป็นร้อยโท อัตรามันเต็ม ยังไม่‌ได้ร้อยเอก ก็ได้รับพระราชทานเหรียญบ้างอะไร‌บ้างเพื่อเป็นกำลังใจ ดีไม่ดีเอาท่านขุนยัดมับเข้าให้ ‌คนที่ได้เป็นขุนก็ครึ้มใจไปพักหนึ่งความสบายใจ‌มันเกิด แล้วคนก็ต้องรักษาศักดิ์ศรีตามบรรดา‌ศักดิ์ นี่คนเขาจะหาว่าอาตมาเป็นศักดินาก็ตามใจ

    ศักดินาสมัยก่อนนี้ไม่มีอะไร บรรดาท่านพุทธ‌บริษัท เพราะแม่ทัพนายกอง ข้าราชการ เบี้ยหวัดเงินเดือนในสมัยนั้นมันหาได้น้อย เวลาเขาจะไป‌รบทัพจับศึกก็ค่อยจ่ายเงินกัน เวลานี้จ่ายเงินกัน‌เป็นจ้าละหวั่น รัฐบาลก็แย่ สมัยโน้น รัฐบาลก็ให้‌มีศักดินา หมายความว่าเป็นขุนมีอำนาจมีนาเท่านี้ ‌ถ้าเป็นหลวง มีนาเท่านั้น เป็นคุณพระมีนาเท่า‌โน้น เป็นพระยามีนาเท่านั้น เป็นเจ้าพระยามีนา‌เท่านั้น ให้ผืนที่ดินที่ว่างเปล่าอยู่มากมีสิทธิในการ‌ปกครองในการทำนา ฉะนั้น การจ่ายเงินเดือนมัน‌จึงน้อย ไม่ลำบากกับทางราชการ นี่ ทางราชการ‌สมัยนั้นท่านฉลาด เวลานี้ไม่มีนาแจกก็เลยเล่น‌ศักดิ์เงินขึ้นกันไปแต่ไม่พอสักที และยิ่งต้องใช้เงิน‌ซื้อนิ้วมือด้วยยิ่งไปกันใหญ่เลย ท่านพุทธบริษัทไป‌กันมากเลย ไอ้นิ้วมือนี่ราคามันแพงนา

    นี่เราพูดเรื่องอะไรกัน?พูดเรื่องรัชกาลที่ 6 บอกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ‌ทรงมีพระปรีชาสามารถ ท่านใช้พระปรีชาสามารถ‌ปลุกใจประชาชน มีเพลงบทหนึ่ง ชอบใจตั้งแต่เด็ก ว่า“ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับ‌ขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย”นี่ถ้าให้คนอื่นเขามาเป็นเจ้าจะดีไหม ‌เวลานี้เรากำลังเป็นไทกัน แล้วทำไมเราถึงต้อง‌การให้คนอื่นเข้ามาเป็นเจ้า เคี่ยวเข็ญบังคับเรา ‌เห็นว่าลัทธิอะไรต่อลัทธิอะไรดีน่ะ มันไม่ใช่ลัทธิ‌อิสระ มันเป็นลัทธิทาส

    แล้วคำว่าประชาธิปไตยนี่ บรรดาท่านพุทธ‌บริษัท มันอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ใน‌รัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตยไม่ใช่ว่าเราจะทำอะไรได้ทุกอย่าง มีคนเป็นใหญ่ มีประชาชนเป็นใหญ่ ‌เราใหญ่กันตรงไหนล่ะ เราใหญ่กันตรงนี้ เลือก‌ผู้แทนราษฎรเข้าไป แล้วผู้แทนราษฎรเห็นว่าจะทรงประเทศชาติไว้ได้ตรงไหน ก็พากันออก‌กฎหมายมาเป็นข้อบังคับ นี้เรียกว่าว่าประชาชน‌เป็นใหญ่ บังคับประชาชนกันเอง เป็นอันว่า‌กฎหมายทุกฉบับที่สภาผู้แทนราษฎรให้ผ่านออก‌มาได้ เป็นความพอใจของบรรดาประชาชน

    ทั้งประเทศ นี่ประชาธิปไตยเขามีขอบเขต เราเป็น‌ใหญ่ ออกกฎหมายมาบังคับตัวเอง เราก็ต้อง‌ปฏิบัติตามนั้น ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบส่งเดช

    อย่างที่ไปที่บางปะอิน เจ้าหน้าที่บอกว่านี่เป็น‌พระราชฐาน เป็นที่ประทับของพระองค์มีเขาบอกว่า สมัยนี้ประชาธิปไตยโว้ย กูจะนั่งที่ไหนก็ได้ ‌ที่ของพระเจ้าแผ่นดินเรื่องเล็กคนเหมือนกันนี่หว่า ‌กูเป็นประชาธิปไตย ทำไมจึงจะนั่งไม่ได้ จะใช้ไม่ได้ ‌อย่างนี้เขาเรียกว่าประชาธิปตาย ปะตาย ปะเข้าไป‌หาความตาย คือ ไม่รู้ขอบเขตของตัวอยู่เพียงใด ‌กฎหมายทุกฉบับที่ออกมาต้องคิดว่านั่นเราเป็นคน‌ออกกฎหมายเอง! ไม่ใช่พระมหากษัตริย์ ออก‌กฎหมาย การตกลงมันเป็นเรื่องของพวกเราที่เลือก‌เป็นตัวแทนเราเข้าไป ออกกฎหมายมาบังคับให้‌พวกเราทั้งหมดปฏิบัติเพื่อความอยู่เป็นสุข ถ้าเรา‌ปฏิบัติตามกฎหมายที่พวกเราออกกันเองนี่ซิจึงจะ‌เป็นประชาธิปไตยแท้ แต่เวลานี้มีประชาธิปตายเสีย‌เยอะ เอาซีอยากจะตายก็เชิญตายไปเถอะพ่อคุณ

    อธิบายกันต่อไปถึงรัชกาลที่ 6 ราษฎร์ราชาโจร‌นั้น หมายถึงคนสมัยนั้นไม่เข้าใจ เห็นว่าพระองค์‌ทรงใช้เงินถล่มทลายมาก แต่ความจริงประโยชน์‌เกิดแก่ประเทศชาติอย่างหนัก พระองค์สามารถ‌ทำประเทศไทยให้ชาวโลกรู้จักในสมัยสงครามโลก‌ครั้งที่ 1 ส่งทหารไทยไปช่วยสงครามโลก นี่เป็น‌พระปรีชาสามารถของพระองค์ คือ ความ‌ประสงค์ก็มีอยู่อย่างเดียวคือความเป็นอยู่ ทรงอยู่ ‌หาเพื่อนบ้านเข้าไว้

    ทีนี้ มาสมัยรัชกาลที่ 7 นั่งทนทุกข์

    ตอนนี้เราก็เห็นกันแล้ว พระบาทสมเด็จ‌พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี

    เวลานั้นเงินของประเทศชาติมันก็ร่อยหรอไม่พอแก่การจ่าย เพราะว่าถ้าเราจะพลิกไปดู‌ประวัติศาสตร์บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ‌ประเทศไทยเวลานั้นจนก็จริงแหล่ แต่ทว่าเราจะดู‌ประชากรในเอเชียด้วยกันแล้ว ประชากรใน‌ประเทศไทยดีกว่าประชากรทั้งหมดของชาว‌เอเชีย ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าโลกทั้งโลกมันตกอยู่ในความยุคเข็ญทั้งหมด ไม่ใช่จะตกอยู่ในยุคเข็ญเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น

    รัชกาลที่ 7 ท่านพยากรณ์ว่านั่งทนทุกข์ จะเห็น‌ว่าเมื่อพระองค์ทรงเถลิงราชสมบัติประเทศชาติตก‌อยู่ในความยุคเข็ญ และไม่ใช่เฉพาะแต่ประเทศ‌ไทย ทั่วโลกด้วยกันต้องดุลข้าราชการ

    ออกจากราชการเพราะไม่มีเงินเดือนจ่ายพอ ทั้งนี้‌เพราะอะไร ก็เพื่อให้บรรดาประชาชนทั้งหลายจะ‌ได้มีเงินกินเงินใช้กัน แล้วอีกประการหนึ่งก็มีการ‌เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตย

    ที่อาตมากล่าวว่าประชาธิปตายก็เพราะว่า จน‌กระทั่งป่านนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 นี่ก็มา พ.ศ. 2518 ‌ใช้เวลามากี่ปีแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท ประชา‌ธิปไตยยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ แล้วการเปลี่ยนผลัด ‌กันขึ้น“เถลิงราชย์”เอาคนมาประชุมกัน ก็ทำให้‌การเงินของเรานี่หมด หมดไป สิ้นเปลืองไปมากไม่ใช่น้อยก็ต้องเพิ่มเบี้ยหวัดเงินเดือนขึ้นมาเยอะ ‌เงินคงคลัง เงินมีในคลังที่จะใช้ก่อสร้างความ‌เจริญให้ประเทศชาติมันก็ลดลงไป การเงินที่จะ‌สะพัดในท้องตลาดมันก็ไม่ค่อยจะมี นี่การประชา‌ธิปไตยแบบนี้มันก็แน่เหมือนกัน แต่ความจริง ถ้า‌เป็นประชาธิปไตยจริงๆ อาตมาก็ชอบเหมือนกัน ‌เพราะว่าระบบของศาสนาเป็นประชาธิปไตย ‌พระพุทธเจ้าทรงวางกฎแบบฉบับเข้าไว้ว่าทุก‌อย่างให้เป็นเรื่องของคณะสงฆ์ตกลงกันเอง มีการ‌ประชุมกันมาตลอดกาล

    ทีนี้ เราจะหันไปดูการปกครองประเทศชาตินับ‌แต่สมัยสุโขทัยลงมา แล้วในระบบกษัตริย์ เราก็จะ‌เห็นว่าสมัยนั้นก็เป็นระบอบประชาธิปไตยเหมือน‌กัน ไม่ใช่ว่าอะไรทุกอย่างกษัตริย์จะคิดแต่ผู้เดียว ‌เมื่อทรงตัดสินใจแล้ว จะใช้คำสั่งเด็ดขาดแต่‌พระองค์เดียวก็หาไม่ พระองค์ก็มีการประชุมมุขอำมาตย์เสนาข้าราชบริพารทั้งชั้นผู้ใหญ่และชั้นผู้น้อย จัดเป็นสภาขุนนางช่วยกันคิด ช่วยกัน ‌อ่าน แล้วใช้ความเห็นที่ตกลงกันว่าสมควร แล้วก็‌ทำลงไปความจริงในนามก็เรียกว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กษัตริย์มีอำนาจสมบูรณ์ครบถ้วน แต่‌ความจริงไม่ใช่ ความจริงเป็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว แล้วก็สุโขทัยก็ปกครองแบบ‌พ่อเมือง ไม่ใช่เจ้าเมือง พ่อเมืองนี่มีความเห็นแก่ลูก

    มาเวลานี้ปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้า‌อยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเอาแบบฉบับของสุโขทัยมาใช้ ทรงมีพระราชจริยาวัตรแบบสุโขทัย ใช้ระบบเป็นกันเอง หรือถ้าเราจะดูว่าใกล้กับแบบ‌รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 5 ถ้าเราจะดูกันให้ชัดให้ไป‌ดูหนังสือประพาสต้นเห็นว่าพระมหากษัตริย์ทรง‌คลุกคลีกับประชาชนอย่างชาวบ้าน ไม่รู้ว่าใครเป็น‌ใคร เวลานี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมี‌พระราชจริยาวัตรแบบนั้น เอ๊ นี่คุยกันไปก็จะหาว่า‌ยกย่องพระเจ้าแผ่นดินเกินไป อ้าว ดีก็ต้องว่าดีซี ที่ไม่ดีก็ต้องว่าไม่ดี เมื่อพระองค์ทรงทำดีจะว่า‌ชั่วยังไง ที่ชั่วเราก็ต้องว่าชั่ว แล้วมาดูกันไป

    บรรดาท่านพุทธบริษัท ระบอบสมบูรณา‌ญาสิทธิราชย์ ถ้าเราจะอ่านประวัติของชาติไทย ‌เราไม่เคยเสียดุลการค้ากับต่างประเทศเลยมีอยู่ในสมัยรัชกาลที่ 7 เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แล้ว‌ต่อมาเราก็ไม่เคยเสียดุลการค้าอีก ต่อมาสมัย‌ประชาธิปตายนี่เป็นยังไง?ตายทุกปี เสียดุล‌การค้ากับต่างประเทศทุกปี นี่ไม่ตายมันจะไปตาย‌กันเมื่อไหร่ เราช่วยกันเร่งรัดให้เป็นประชาธิปไตย‌กันไม่ดีกว่าหรือ?

    (อ่านต่อสัปดาห์หน้า)

    พระราชปรารภ(3) - โพสต์ทูเดย์ ข่าวธรรมะ-จิตใจ


     

แชร์หน้านี้

Loading...