พระรัตนตรัยและการถึงพระรัตนตรัย

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย KK1234, 16 กรกฎาคม 2009.

  1. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    พระรัตนตรัยเกิดขึ้นในโลก

    พระรัตนตรัยก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้ชาวโลกได้กราบไหว้และเคารพนับถือ ซึ่งของดีเลิศที่ข้าพระพุทธเจ้าได้มาแล้วไม่เสียเปล่า ยังได้กราบไหว้บูชาของวิเศษ ๓ อย่าง ( พระรัตนตรัย ) อีกด้วย กล่าวคือ

    พระพุทธเจ้าพระองค์ได้บำเพ็ญบารมีมา ๓๐ ทัศครบบริบูรณ์แล้ว จึงมาอุบัติขึ้นในโลกนี้ในตระกูลศากยราช มีพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระราชบิดา พระนางสิริมหามายาเป็นพระราชมารดา เสวยรสชาติในกามสุขอยู่จนพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา โดยมีพระนางพิมพาเป็นพระชายา มีพระราหุลกุมารเป็นพยานของกามสุข ด้วยบุญบารมีที่พระองค์ทรงสร้างสมมาเป็นอเนกประการ จึงบันดาลพระทัยให้เบื่อหน่ายในกามสุข สละราชสมบัติออกทรงบรรพชา ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอันยวดยิ่งถึง ๖ พรรษา จึงได้สำเร็จพระโพธิญาณอันประเสริฐ เป็นสัมมาสัมพุทธะในโลกแต่เพียงพระองค์เดียว ชนทั้งปวงจึงได้ขนานพระนามตามความเป็นจริง ( เพราะเห็นว่าเป็นจริงอย่างนั้นแน่นอน ) ตามความเห็นของตน ๆ ว่า พระบรมครู พระสัพพัญญูพุทธเจ้า พระบรมโลกนาถ พระบรมศาสดา พระชินสีห์ พระศากยมุนี พระพิชิตมาร ฯลฯ มีพระนามมากมายตามความรู้สึกของตน ๆ แต่พระองค์มักใช้สรรพนามแทนพระองค์เองว่า "เราตถาคต" พระนามที่พระญาติพระวงศ์ขนานนามเลยหายไป

    รัตนตรัย คือ แก้วทั้งสาม อันได้แก่ พระพุทธเจ้า ๑ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ๑ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ๑

    ทำไมจึงเรียกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทั้งสามนี้ว่าเป็นแก้ว แก้วเป็นวัตถุธาตุดินไม่มีดีอะไร พระรัตนตรัยไม่ใช่เป็นแก้ว แต่ท่านเปรียบเอาเฉย ๆ เพราะของดี ๆ เกิดมีขึ้นมาในโลกเป็นของมีค่ามาก ไม่ทราบว่าจะเอาไปเปรียบเทียบกับของสิ่งใดนอกจากแก้ว เห็นว่านอกจากแก้วแล้วเป็นไม่มี จึงเปรียบคุณค่าเหมือนกับแก้ว อันที่จริงแล้วแก้วก็เป็นวัตถุธาตุดินอันหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นของใสจนมีประกายรอบข้าง มนุษย์คนเราเห็นเป็นของแปลกจึงนำเอามาเป็นเครื่องประดับร่างกาย ถ้าคนไม่นิยมนำมาประดับร่างกายแล้ว ก็ทิ้งเป็นเศษก้อนดินอยู่ดี ๆ นี่เอง

    ส่วนพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์นั้นดีเลิศยิ่งกว่านั้นตั้งหลายหมื่นเท่า เพราะพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ มีจิต วิญญาณ พูดภาษามนุษย์ด้วยกันได้ ทรงฝึกฝนอบรมพระองค์จนได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว และทรงสั่งสอนให้มนุษย์ละชั่ว ทำดี มีชีวิตให้เจริญก้าวหน้า ทั้งเมื่อยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อตายไปแล้วก็ไปสู่สุคติภพในเบื้องหน้า เป็นครูผู้สอนที่ยิ่งใหญ่ สอนให้ได้รับประโยชน์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า และประโยชน์อย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน

    พระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงนำมาสั่งสอนนั้นเล่า ก็มีคุณค่ามหาศาลเหลือที่จะคณานับ เป็นประโยชน์แก่ปวงชนทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ผู้ใดได้ฟังแล้วเป็นเหตุให้เกิดปาฏิหาริย์น้อมจิตใจเข้าถึงธรรม เป็นเหตุให้มีอุตสาหะวิริยะอยากทำตามโดยมิได้มีใครบังคับ ยิ่งทำตามก็ยิ่งซาบซึ้งในรสชาติพระธรรมคำสอนของพระองค์ จนบางท่านบางคนยอมสละเกียรติยศชื่อเสียง สมบัติ ออกบวชเป็นลูกศิษย์ของพระองค์ก็มีมากดังปรากฏอยู่ทั่วไป พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีคุณอเนกอนันต์แก่ปวงชนมนุษย์ในโลกเหลือที่จะ คณานับ

    พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าท่านได้สดับตรับฟัง หรือดูตามตำราที่พระบูรพาจารย์ท่านได้จารึกไว้ แล้วประพฤติปฏิบัติสืบต่อเนื่องกันมาโดยลำดับอันเป็นเหตุให้คำสอนของพระ พุทธเจ้ามั่นคงถาวรสืบมา ถ้าหากลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าคือพระสงฆ์ไม่มีแล้ว ป่านนี้พระพุทธศาสนาคงจะสูญสิ้นไปจากโลกหมดแล้ว พระสงฆ์นับว่ามีคุณประโยชน์แก่พุทธบริษัทมาก ทั้งเมื่อพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ก็ได้ช่วยเผยแพร่พระศาสนาให้กว้างขวางไปในจตุรทิศทั้งสี่ เมื่อพระองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ก็ได้ดำรงทรงจำและปฏิบัติศาสนกิจสืบต่อกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ถ้ามีแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียวแล้ว พระศาสนาคงจะไม่กว้างขวางถึงขนาดนี้

    พระรัตนตรัยเกิดขึ้นมาในโลกนี้เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลกเป็นอเนก อนันต์ ทำให้ชาวโลกมีหูตาสว่างแจ่มใสมองเห็นสิ่งที่ดีแจ่มใสชัดเจนขึ้น สมควรที่มนุษย์ทุกคนเมื่อเกิดมาแล้วจะต้องปฏิบัติตามพระรัตนตรัยอันมีคุณค่า ยิ่งใหญ่ใสสว่างแจ่มจ้าหาอะไรเปรียบมิได้ในโลก

    พระรัตนตรัยเป็นของเกี่ยวเนื่องกัน พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเพราะพระองค์ได้ค้นคว้าสัจธรรรมทั้งสี่จนปรากฎขึ้น มาในพระทัยของพระองค์ จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมเหล่านั้น แล้วจึงได้เป็นพระอริยสงฆ์ตกลงว่าพระพุทธเจ้าก็ดี พระสงฆ์ก็ดีมารู้สัจธรรมทั้งสี่จึงได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า " สท
    ธมโม ครุกาตพโพ ْ พุธาน[FONT=&quot]
    าสนْ " แปลความว่า "เมื่อระลึกถึงคำสั่งสอนของพระองค์ พึงทำความเคารพพระสัทธรรม " พระธรรมเป็นอมตะ แม้พระพุทธเจ้านิพพานไปนานแล้ว แต่พระธรรมก็ยังคงมีอยู่ ถึงพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจะสิ้นสูญไปแล้ว แต่พระธรรมก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิมพระสงฆ์ยังมีอยู่แต่ปฏิบัติแหลกเหลวไม่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระองค์ก็ยังเจิดจ้าใสสว่างอยู่ในโลกนี้ตามเดิม เป็นแต่ผู้นั้นปฏิบัติตนให้เศร้าหมองไปต่างหาก

    แก้ว ๓ ดวง คือ พระรัตนตรัยอันเป็นของสดใสเจิดจ้าอยู่ในโลกแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าพุทธบริษัททั้งหลายเกิดมา เมื่อสุดท้ายได้ของดีเลิศ ๓ ประการคือ กาย วาจา และใจ ขอเอามาแสดงความเคารพกราบไหว้ซึ่งพระรัตนตรัยนั้นไว้เหนืออุตมางคสิโรตม์ให้ครบทั้ง ๓ ครั้งด้วยสัจจะเคารพ

    การถึงพระรัตนตรัย

    พระรัตนตรัยนี้เป็นเครื่องวัดของผู้เป็นพุทธมามกะในพุทธศาสนาโดยแท้ คือ เราขอถึงพระพุทธเจ้า ๑ ขอถึงพระธรรม ๑ ขอถึงพระอริยสงฆ์ ๑ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คือ เชื่อกรรรม เชื่อผลของกรรม เราทำกรรมดีย่อมได้รับผลเป็นสุขตอบแทนด้วยตนเอง เราทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลเป็นทุกข์ตอบแทนด้วยตนเอง คนอื่นจะรับแทนไม่ได้ ๑ ไม่ทำบุญนอกจากพุทธศาสนา ( เว้นแต่ทำเพื่อสงเคราะห์ อนุเคราะห์ ) ๑ หากผู้นั้นมีศีล ๕ เป็นนิจจักได้ชื่อว่าผู้นั้นเป็นอริยบุคคลขั้นต้นด้วย

    องค์ทั้ง ๕ ประการนี้เป็นเครื่องวัดด้วยใจของตนเองว่า เรา " ขอถึง " หรือเรา " ถึงแล้ว " ขอถึงกับถึงแล้วมันผิดกัน

    ขอถึง คือ เห็นว่าพระตรัยสรณคมน์เป็นของดี ชนส่วนมากเขาถือกัน เราก็อยากจะถือบ้างเพื่อจะได้เป็นคนดีกับเขา และก็ไปขอถึงกับเขาบ้าง แต่ไม่รู้จักว่าไตรสรณคมน์ นั้นเป็นอย่างไร จะรู้บ้างก็เป็นแต่คำพูดของคนอื่น หรือตามตำราเท่านั้น ไม่ซาบซึ้งเข้าถึงจิตใจของตนจริง ๆ นี่เรียกว่าขอถึง ก็ยังดีกว่าไม่ขอถึงเสียเลย เพราะผู้ขอถึงนาน ๆ เข้าอาจเข้าถึง เพราะการศึกษาเข้าใจถ่องแท้ในพระรัตนตรัย

    ถึงแล้ว คือ ผู้ที่เข้าถึงพระรัตนตรัยเบื้องต้นด้วยการ ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น เสียก่อน เช่น ได้เห็น พระพุทธเจ้าด้วยตาของตนเอง หรือเห็นแล้วได้ฟังธรรมเทศนาของพระองค์ หรือได้ฟังธรรมเทศนาที่พระองค์ใดองค์หนึ่งท่านเทศน์ให้ฟัง หรือได้เห็นพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใสขึ้นในใจ แล้วจิตใจของผู้นั้นเข้าถึงคือ เลื่อมใสศรัทธาเอาเป็นสรณะที่พึ่งจริง ๆ ไม่เอาที่พึ่งอื่น เช่น ภูตผีปีศาจ ต้นไม้ ภูเขา เทวดา เป็นต้น สิ่งที่เคยเป็นที่พึ่งมาแต่ก่อนทิ้งหมด แล้วก็ไม่ได้คำนึงถึงข้อที่ท่านบัญญัติไว้ ๕ ประการ ดังอธิบายมาแล้วในข้างต้นนั้นด้วย

    ข้อบัญญัติกับการปฏิบัติ มันผิดกันตรงนี้ ผู้ปฏิบัติเป็นไปตามความเป็นจริงแล้วแต่ไม่รู้ว่ามันเป็นจริงอะไรต่ออะไร เมื่อผู้นั้นแสดงออกด้วยทาง กาย วาจา และทางใจด้วยความคิดนึก จึงปรากฏว่า อ๋อ ผู้เข้าถึงพระไตรสรณคมน์จริงเป็นอย่างนี้ ๆ แล้วจึงบัญญัติข้อบังคับนั้นไว้ว่า ผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยต้องกอปรด้วยธรรม ๕ ประการ

    แต่ผู้ขอถึงพระรัตนตรัยด้วยข้อบัญญัติดังอธิบายมาแล้วโดยมากมักขบถตนเอง จึงไปไม่กี่มากน้อยเดี๋ยวก็ทิ้งหมด เพราะไม่เห็นคุณของพระรัตนตรัย คนเราโดยมากเห็นแต่วัตถุภายนอกเป็นของสำคัญกว่า แม้แต่ชีวิตร่างกายอันนี้ก็เป็นของภายนอก ถ้าใจไม่มีแล้วสังขารร่างกายอันนี้ก็ไม่ได้เกิดมา การถึงพระไตรสรณ์คมน ์ ต้องถึงด้วยใจอันเลื่อมใสจริง ๆ จึงจะถึงคุณพระรัตนตรัยอันแท้จริง

    ผู้จะถึงพระไตรสรณคมน์มั่นคงต้องเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม

    ผู้จะถึงพระไตรสรณคมน์ได้มั่นคง ต้องมีปัญญาพิจารณาเห็นด้วยใจของตนจริง ๆ ว่า เราทำกรรมดีต้องได้รับผลเป็นสุขตอบแทน เราทำกรรมชั้วต้องได้รับผลเป็นทุกข์ตอบแทนด้วยตนเอง คนอื่นจะมารับแทนไม่ได้ อย่างนี้แน่วแน่ในใจจริง ๆ จึงจะถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิตได้

    คนเราเกิดมาในโลกก็เพราะกรรม ถ้าไม่มีกรรมก็ไม่ได้มาเกิด ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า " โลก คือ มนุษย์ต้องเป็นไปตามกรรม " ดังนี้ กรรม คือ การกระทำทั้งดี ทั้งชั่ว กรรมดี เรียก กุศลกรรม กรรมชั่ว เรียก อกุศลกรรม คนเกิดมาในโลกนี้มี กาย วาจา และใจ แล้ว ใครจะไม่ทำกรรมย่อมไม่มี ฉะนั้น คนเราทุกคนเกิดขึ้นมาในโลกได้ชื่อว่าเกิดมาสร้างกรรม แต่ขอให้เลือกสร้างเอาแต่กรรมดี ซึ่งจะทำให้เกิดความสุขกายและใจอย่างเดียว เมื่อตนเองสร้างกรรมชั่วแล้วแต่อยากจะได้ความสุข มันจะได้มาแต่ที่ไหน ปลูกมะนาว ออกผลมามันก็ต้องเป็นมะนาวละซี มันจะเป็นละมุด ลำไยได้อย่างไร เมื่อกรรมชั่วให้ผลเป็นทุกข์ก็บ่นว่าทำบุญไม่ช่วยตน บุญไม่มีผล ทีหน้าทีหลังไม่อยากทำละ

    ผู้ทำบุญไม่รู้จักบุญย่อมคิดอยู่อย่างนี้ บ่นอย่างนี้เป็นธรรมดา แท้จริงบุญมิใช่วัตถุ หรือเป็นของมีตัวมีตน บุญเกิดจากจิตใจต่างหาก วัตถุทานที่เราให้นั้นมันเกิดจากน้ำใจที่มันแผ่ออกไปจากจิตใจ เพื่อให้เกิดความเกื้อกูลแก่มนุษย์และสัตว์เหล่าอื่นต่างหาก น้ำใจที่มันแผ่ออกไปนี้ไม่มีหมดสักที ยิ่งแผ่ออกไปมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นของกว้างเท่านั้น

    วัตถุทานที่เราให้ไปนั้นหมดเป็น เมื่อเราได้เห็นบุคคลหรือวัตถุ สถานที่ คำสอนที่มีเหตุมีผล ฟังแล้วเกิดความเลื่อมใสนั้นเป็นบุญแท้ มนุษย์ สัตว์ทั้งหลาย เมื่อเกิดมาแล้วต้องมีความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นธรรมดา เกิดมาแล้วจะไม่ให้มีเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ เราทำกรรมดีไว้มาก ๆ ระลึกถึงกรรมดีนั้นอยู่เสมอ ๆ ถึงร่างกายอันนี้มันจะเจ็บหรือจะตายก็เป็นเรื่องของมันต่างหาก ส่วนกรรมดีคือบุญกุศลเป็นของไม่ตาย ฉะนั้น อย่าไปโทษบุญกรรมเลย โทษตัวเราผู้เกิดมานั้นดีกว่า แล้วพึงระลึกถึงกรรมดีที่ได้กระทำไว้นั้นเป็นที่พึ่งดีกว่า

    ---------------------------------------------------------------------
    นำบางส่วนมาจากพระธรรมเทศนา
    [/FONT]ของดีมีในศาสนาพุทธ
    โดย พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์ (เทสก์ เทสรังสี)

     

แชร์หน้านี้

Loading...